Wednesday, November 19, 2014

เขาวานให้ผมเป็น 'สายรับ' (เคคู่ผู้รู้รอบฯ) : บทรุกที่ 31: คู่เรียงเคียงหมอน



บทรุกที่ 31: คู่เรียงเคียงหมอน
 (คู่เรียงเคียงหมอน : การที่เป็นสามีภรรยากัน)




“ได้ฮะพี่ปีย์...เดี๋ยวผมจัดการทุกอย่างให้ตามที่ขอเลย” ผมวางหูโทรศัพท์หลังจากรับคำสั่งของพี่ชายต่างสายเลือดเรื่องที่ต้องจัดการคืนเอกสารเกี่ยวกับงานสืบเคสพี่กานต์ทั้งหมดไปให้ไอ้เหี้ยว่าที่อดีตนายจ้าง ก่อนเดินกลับเข้ามาในบ้านพี่กานต์

ตั้งแต่บ่ายโมงกว่าๆของวัน  ผมก็ย้ายสถานที่ทำการเพื่อมานั่งเฝ้าเมียเป็นบ้านหลังนี้แทน  เพราะทันทีที่พี่ชาย กับพี่สะใภ้ของผม กลับมาถึงบ้านเมื่อเย็นวานพร้อมกับบรรดาของฝากปริมาณมากราวกับจะเลี้ยงคนได้ทั้งจังหวัด  เมียผมก็ออกปากเสนอตัวเพื่อมาช่วยพี่กานต์แยกของฝากในวันนี้ ก่อนจะจัดสรรปันส่วนเพื่อแจกจ่ายให้กับญาติๆ เพื่อนๆ และเพื่อนบ้านทั้งหลายต่อไป


ในที่สุด เรื่องทั้งหมดก็ดำเนินมาถึงปลายทางเสียที   งานออกสืบ และการปลอมตัวในคราวนี้ ใกล้จะจบลงแล้ว...

...อีกไม่นาน  ผมก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตลุ่มๆดอนๆตะลอนไปทั่วตามแต่พี่ปีย์จะเห็นควรเหมือนที่เคยเป็น  สิ่งที่พี่ปีย์บอกกับผมทางโทรศัพท์เมื่อครู่ คือ สัญญาณบอกกับผมให้รู้ว่า ก่อนพี่ผมจะบอกเลิกสัญญากับไอ้เหี้ยผู้ว่าจ้างนั่นเป็นการถาวรโดยสมบูรณ์  ซึ่งผมแน่ใจว่ามันน่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดียวกันกับที่พวกเราทั้งหมดจะเฮโลไปเที่ยวบ้านผมที่หัวหินสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้  ผมต้องหาทางมัดใจขนุน และสารภาพความรู้สึกที่ผมมีต่อเจ้าตัวให้ได้เร็วที่สุด

จริงอยู่...ผมเองยังไม่ค่อยจะแน่ใจเรื่องความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีต่อผมมากเท่าไร  ถึงอย่างนั้น...ผมกลับรู้จักตัวเองดีพอ จนประเมินสถานการณ์ได้ว่า...ถ้าต้องกลับไปทำงานออกสืบภาคสนามทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ นานๆที่ละเป็นสิบๆวัน ทั้งที่เรื่องระหว่างผมกับขนุนยังไม่ชัดเจนแน่นอน  สติผมอาจจะกร่อน สมองผมอาจจะเอ๋อ ถึงขั้นนั่งเพ้อจนเป็นบ้าวันละหลายเวลาได้  

แต่ครั้นจะให้ผมสรุปโดยฟันธงไปเลยว่า ความเปลี่ยนแปลงเรื่องหน้าที่การงานซึ่งกำลังรอผมอยู่อีกไม่นานเท่าไร คือสิ่งที่เร่งให้ผมตัดสินใจได้ และกล้าพอที่จะลุกขึ้นมาเอ่ยคำว่ารักให้ขนุนได้รับฟังอย่างเป็นทางการเสียที คงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะตอนนี้ มันเกิดสถานการณ์บางอย่างที่ ทำเอาผมกังวลจนไม่อาจจะวางใจได้อีกต่อไป



เรื่องร้อนที่กำลังกัดกินใจผมมากที่สุดในเวลานี้ เห็นจะหนีไม่พ้น การเสนอหน้าเข้ามาแสดงตัวขอเป็นเบ๊ให้ขนุนของไอ้เหี้ยช็อป  โดยแม่งอ้างว่า...ที่มันต้องทำอย่างนี้ เนื่องจากมันต้องรับการลงโทษ เพราะเล่นเกมเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาแพ้ไม่เป็นท่า  และตลอดคืนที่ผ่านมา...ขนุนยังไม่ได้ใช้สิทธิใดๆในการใช้งานมันแม้แต่ครั้งเดียว

หึ! แค่ผมสังเกตสีหน้าและแววตาของแม่ง ตอนที่ไอ้แฝดนรกผู้พี่เดินตบเท้ากลับเข้ามาในบ้านผม เพื่อบอกเรื่องนี้ต่อหน้าขนุนด้วยสีหน้าแอ๊บแบ๊ว ผมก็รู้ได้ทันทีว่า ไอ้เหี้ยช็อปแม่งต้องเลือกใช้ข้ออ้างนี้ เพื่อหาโอกาสลอบเข้าหาขนุนแน่ๆ เพราะเท่าที่ฟังดู ไอ้โควต้าการเป็นเบ๊ของแม่งเนี่ยะ...ยังไง๊ยังไง แม่งก็ไม่ต่างอะไรกับข้ออ้างชัดชัด
ลำพังเมียผมน่ะ ผมไม่ห่วงเท่าไร แถมออกจะเชื่อใจขนุนมากเสียด้วยซ้ำ เพราะหลังจากเราได้ตกลงกันเป็นการภายใน โดยขนุนให้สัญญากับผมเป็นมั่นเหมาะว่า เขาจะไม่ทำท่าเป็นมิตร หรือแสดงท่าทีให้ความหวังใดๆกับไอ้ไชล็อกหน้านิ่ง แค่นั้นก็ทำให้ผมเริ่มจะมั่นใจระดับหนึ่ง    แต่คนหน้าแว่นกลับทำให้ผมยิ่งรู้สึกสบายใจได้เกินร้อยเปอร์เซนต์ โดยยืนยันความหนักแน่นของคำพูดตัวเอง ผ่านการกระทำที่ไม่แตกต่างไปจากสิ่งที่เขาสัญญา...  

ทุกครั้งที่ไอ้เหี้ยม้าหมากรุกแม่งคอยมาวอแว วนเวียนอยู่ข้างๆตัว ขนุนจะแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความเฉยชา และไม่สนใจใยดีไอ้เหี้ยช็อปแต่อย่างใด ราวกับในสายตาของเขา ไอ้เด็กเหี้ยนั่นเป็นเพียงแค่อากาศที่ไหลผ่านตัวเท่านั้น 

นั่นจึงทำให้ผมตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดว่า  ในเมื่อเขาทำให้ผมแน่ใจกับความหนักแน่นและมั่นคงของตัวเองได้มากขนาดนี้  ผมจะไม่ดูหมิ่นคำพูดของขนุนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง  ผมจะไม่แทรกแซง หรือใช้กำลังแก้ปัญหากับการเข้ามาคุกคามเมียผมของไอ้เด็กเมื่อวานซืนแสนห้าวที่กร้าวขนาดกล้าเดินฝ่าตีนผมเข้ามาตีสนิทกับขนุนแบบเนียนๆ   ผมจะปล่อยให้เมียเป็นผู้ลงมือกำจัดขยะเปียกชิ้นนี้ให้พ้นออกไปจากชีวิตรักของเรา ตามที่เจ้าตัวออกปากขอร้องผมดีๆว่า ขอให้เขาได้บอกปัดน้องด้วยตัวเองเมื่อมีโอกาส

อย่าเพิ่งกังวลไปเลยฮะ ว่า...ความรักเกิดเล่นตลก จนทำเอาผมสมองกลับ สลับสันดานให้เปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่...

...ผมยังไม่อาจนั่งเย็นใจยิ้มให้ไอ้เด็กเหี้ยเมื่อเห็นแม่งมากระดิกหางใส่เมียอยู่ตำตา เพราะเกิดเข้าใจ และปล่อยวางได้...
...ยิ่งไปกว่านั้น  ผมขอคอนเฟิร์มว่า ผมยังไม่ได้กลายเป็นพวกหงอสิ้นท่าหมอบราบกราบแทบฝ่าเท้าเมียแต่อย่างใดหรอกฮะ แต่การที่ผมยอมเฝ้าดูอยู่ห่างๆโดยกลั้นใจไม่วู่วามทำเกินกว่าเหตุ  น่าจะเป็นด้วยเหตุผลที่ว่า...

...หากผมเกิดรู้สึกไม่เชื่อใจในการรักษาสัญญาของแฟนตัวเอง แล้วเที่ยวไปหาเรื่องฟาดงวงฟาดงาใส่ไอ้เหี้ยช็อปในเรื่องขี้หมากะอีแค่บทลงโทษของเกมเด็กเล่น ทั้งที่ขนุนเอ่ยปากขอเอาไว้แล้ว เมียผมจะต้องไม่ชอบใจแน่ๆ  เผลอๆเรื่องเล็กๆแค่นี้ อาจจะกลายเป็นชนวนทำให้เรื่องทั้งหมดบานปลายใหญ่โต จนทำให้ขนุนโกรธขึ้นมาอีกครั้งได้ไม่ยาก... 
.
.
...ซึ่งผมบอกได้เลยฮะว่า แค่คืนนั้นที่ต้องมารับมือกับการต่อต้าน ที่มาคู่กันกับการแสดงฤทธาอภินิหารท้าทายความอดทนของผมที่ซุปเปอร์เมียจงใจทำ เพื่อเอาคืนการเพิกเฉยกับคำร้องขอของเจ้าตัวที่เฝ้าย้ำนักย้ำหนาล่วงหน้ามาหลายต่อหลายครั้ง...ผมก็เต็มกลืนเหลือแหล่แล้วล่ะฮะ หึ หึ... 

...นั่นจึงทำให้คนสติสตังดีๆอย่างผมไม่อยากจะลุกขึ้นมาต่อกรกับขนุนเพื่อกวนน้ำให้ขุ่นไปเปล่าๆ...
...การก่อเรื่องหักหาญน้ำใจซ้ำๆ เพราะไม่เชื่อฟังคำเมียอีกครั้ง คือ หนทางสู่ความพังพินาศของครอบครัวผมโดยแท้ เพราะขนุนแม่งรู้จุดอ่อนของผมเป็นอย่างดีฮะว่า ผมไม่ชอบให้ใครมาเกาะแกะและเข้าใกล้ตัวเขา แล้วถ้าเรามีปัญหากันด้วยเรื่องเดิมๆ ทั้งๆที่ตกลงกันจบไปนานแล้ว  ขนุนแม่งอาจจะดับเครื่องชนด้วยการอ่อยปล่อยฟีโรโมนใส่ไอ้ตัวผู้หน้าไหนๆในโลก เพื่อทำให้อกผมร้อนรุ่มเหมือนสุมไฟอีกรอบก็ได้



หึ หึ ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าผมปล่อยให้ไอ้เด็กเหี้ยแม่งลอยนวลเชิดหน้าปรายตาหวานส่งให้เมียสุดที่รัก โดยไม่คิดจะสั่งสอนมันเสียหน่อยหรอกนะฮะ  เรื่องระหว่างผมกับไอ้เหี้ยช็อปนี่ ก็ต้องสะสางกันเป็นการส่วนตัวต่างหากอยู่แล้ว

เพราะบอกตรงๆว่า...ผมชักจะทนเห็นหน้าแม่งไม่ไหวอีกต่อไป  ทั้งๆที่ผมกับมันไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใจกันมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถ้าไม่นับรวมเอาเรื่องของขนุนเข้ามาเอี่ยว  นับวัน...อาการเกลียดขี้หน้าไอ้เด็กเหี้ยที่ผมกำลังเป็นอยู่นี่ ก็ชักจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากแค่ไม่ถูกชะตาจนไม่อยากจะเสวนาด้วย ตอนนี้เริ่มจะพัฒนาเป็นไม่อยากจะใช้อากาศที่หายใจร่วมกันไปเสียแล้วล่ะฮะ



เท่าที่นึกๆดู ผมคิดว่า ความเกลียดอันรุนแรงแบบขยะแขยงจนขนลุกขนชันไปทั้งร่างที่ผมมีต่อไอ้เด็กเหี้ยนี่ น่าจะมีที่มาจาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายแก่ๆของวันรุ่งขึ้นจากคืนงาน  ซึ่งผมยังจำรายละเอียดทุกสิ่งได้ติดตา...

....ผม ขนุน พี่ปีย์ พี่กานต์ และพี่โอ่งเพิ่งได้มีโอกาสหย่อนก้นนั่งกินข้าวเช้าเวลาบ่ายสามด้วยกันอย่างหิวโหยไปได้ไม่ถึงยี่สิบนาที อยู่ดีๆไอ้เหี้ยช็อปแม่งก็เดินลอยหน้าเข้ามา แล้วก็บอกขนุนว่า ทุกๆวันนับจากวันนี้ไป มันจะมาอยู่ให้ขนุนใช้งานมันได้ทุกอย่างเป็นเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง

เมื่อได้ยิน ข้อเสนอแปลกๆของไอ้เหี้ยช็อป เมียผมก็ออกปากปฏิเสธความหวังดีอย่างนุ่มนวลโดยไม่รอรี  โดยให้เหตุผลว่า เมื่อคืนงาน ผมในฐานะแฟนได้เป็นตัวแทนจิกใช้แม่งไปมากจนเกินพอแล้ว ซึ่งก็น่าจะถือว่า...การลงโทษทั้งหมดควรจะยุติลงได้เสียที แต่ไอ้เด็กเหี้ยนี่มันก็ไม่เบาฮะ เพราะแม่งเสือกยังจะเล่นลิ้นค้านออกมาว่า...เรื่องเมื่อคืนนั้น มันไม่ถือ เพราะคำสั่งของมันก็คือ มันต้องเป็นทาสให้กับขนุนคนเดียวเท่านั้น  ซึ่งถ้าพูดกันตามความเป็นจริง ระหว่างขนุนกับมัน...ยังไม่ได้เริ่มความสัมพันธ์ของการเป็นทาส กับเจ้านายเลยแม้แต่ครั้งเดียว

วินาทีนั้น ผมเกือบหลุดการควบคุม แล้วลุกขึ้นมากระแทกปากแม่งสักทีให้สมกับความหน้าหนาหน้าทนจนทำให้คนฟังอย่างผมถึงกับละอายใจแทน  ติดตรงที่ขนุนบีบแขนของผมเบาๆเพื่อห้ามปราม  เมื่อเห็นว่าไม่มีใครแย้งอะไร ไอ้เหี้ยช็อปแม่งก็ลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆเมียผม ก่อนจัดแจงตักโน่นตักนี่มาใส่จานให้ พลางทำตัวเอาอกเอาใจขนุนไม่ได้ห่างราวกับเป็นเงา แถมยังคอยกันไม่ให้ผมได้เข้าใกล้ขนุนได้ง่ายๆเสียอีก  

จนเมื่อครบสามชั่วโมงนั่นแหละฮะ แม่งถึงจะยอมบอกลาเมียผมเพื่อกลับบ้านไป... แต่ก่อนจะเดินลับออกจากบ้าน มันยังมีน้ำหน้าตะโกนเข้ามาว่า โควต้าที่เหลือ มันจะขอใช้คืนให้ระหว่างที่เราไปเที่ยวหัวหันกัน ซึ่งระหว่างที่แม่งพูดกับเมียผมอยู่ แม่งก็หันมาส่งสายตาเยาะเย้ยผมอยู่ในที คล้ายกับจะบอกให้ผมรู้ว่า อย่าได้หวังว่าจะมีช่วงเวลาแห่งความสุขกับเมียตลอดเสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้ได้เลย...

...มึงไม่มานอนแทรกกลางระหว่างกูกับเมียเสียเลยล่ะ ยี่สิบสี่ชั่วโมงของมึงจะได้ถูกผลาญไปให้หมดๆได้เร็วๆเสียที...ไอ้เด็กผีเปรต!!

ความคิดเดียวที่เกิดกับผมตลอดเวลาที่นึกถึงเรื่องของไอ้เหี้ยช็อปขึ้นมาทีไร ก็คือ...ไอ้เหี้ยนี่แม่งหน้าด้านสัดอ่ะฮะ  หน้าด้านแบบที่ว่า ตั้งแต่เกิดมา...ผมเพิ่งเคยเจอระดับความหน้าด้านขั้นแอดวานซ์จากมันเป็นคนแรก  ในโลกนี้ คงไม่มีใครกล้าขนาดบังอาจยกข้องอ้างกากๆ  เพื่อเข้ามาตีสนิทกับขนุนทั้งที่รู้ว่าเจ้าตัวมีเจ้าของแล้ว เพียงเพราะหวังจะได้อะไรบางอย่างจากเขากลับคืนไป  นี่ถ้าขนุนไม่มีผมเป็นแฟน...สงสัยว่าไอ้หน้าม้าหมากรุกแม่งคงจะเข้าหาโอกาสมารวบหัวรวบหางขนุนในอีกไม่กี่วันหลังจากนี้แหงๆ




ตลอดเวลาที่ไอ้เหี้ยช็อปแม่งคอยล้อมหน้าล้อมหลังขนุน  เมียผมมักจะแอบถอนใจอยู่บ่อยๆ กับความดื้อดึง และต้องการเอาชนะของไอ้เหี้ยเด็กเวร แต่เมื่อเห็นว่าแม่งตีหน้าซื่อจนไม่อาจถือสาหาความอะไรได้ แถมเรื่องมันจะจบภายหลังจากยี่สิบสี่ชั่วโมงสิ้นสุด เมียผมก็ยอมปล่อยให้แม่งได้ทำหน้าที่ทาสให้ครบตามโควต้า... 

...แม้ฝ่ายเมียผมจะเฉยเมย ไม่ใส่ใจ แต่ก็ใช่ว่าไอ้เหี้ยช็อปแม่งจะยอมแพ้พ่ายขอบายไปง่ายๆหรอกนะฮะ
...เพราะหลังจากวันนั้น ทุกๆบ่าย ไอ้เหี้ยช็อปแม่งก็นำทีมลูกเด็กเล็กแดงมาทั้งขโยงเพื่อมาถล่มบ้านผม ไม่ก็บ้านพี่กานต์ จนผมต้องหาเรื่องพาขนุนออกจากบ้านตั้งแต่เช้าเพื่อไปทำโน่นทำนี่  ให้สิ้นเรื่องสิ้นราวอยู่หลายวัน 

แต่หากผมจะปล่อยปละละเลยให้เรื่องราวทั้งหมดดำเนินต่อไปในอีหรอบนี้จนกว่าจะหมดโควต้า ดูท่าจะไม่ค่อยดีเท่าไร...

เพราะสองสามวันมานี่ ผมเริ่มจะได้ยินคนหน้าแว่นบ่นกระปอดกระแปด เกี่ยวกับการที่เจ้าตัวแทบจะไม่ได้แตะคอมพิวเตอร์เพื่อทำงานมากเท่าที่ควร  ซึ่งมันอาจนำไปสู่การลดชั่วโมงเซ็กส์ข้ามคืนของเราได้ในไม่ช้า ผมเลยสรุปกับตัวเองในใจว่า หากมีจังหวะเหมาะๆ ผมจะเปิดอกคุยกับไอ้เหี้ยช็อปแบบแมนๆให้รู้แล้วรู้รอดไป...  แต่สุดท้าย ถ้าคุยด้วยดีๆแล้วแม่งยากนัก...ผมกะว่า จะถือโอกาสจัดแมทช์ศึกกำปั้นลุ่นๆอุ่นไอรัก เพื่อกระชับความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนบ้านกับแม่งสักยก อะไรๆคงจะเข้าที่เข้าทางอย่างที่ควรจะเป็นเสียที


นอกจากจะหน้าด้านแล้ว ดูเหมือนไอ้มารขวางความสุขของผมแม่งจะตายยากเสียด้วย เพราะแค่ผมนั่งคิดถึงวิธีที่จะกำจัดมันขึ้นมาเพียงเดี๋ยวเดียว ไอ้เหี้ยช็อปแม่งก็เดินหน้าเชิดผ่านรั้วหน้าบ้านพี่กานต์เข้ามาทันที  โดยไม่ลืมหนีบสองแฝดและน้องเค้กติดมาด้วย 

แค่เห็นหน้าแม่งผมก็ตีนกระดิกริกๆ ยิ่งพอได้เห็นสายตาเรียบเฉยที่เปลี่ยนเป็นวาววับ พร้อมกับยกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจขึ้นมาอย่างฉับพลัน เมื่อแม่งหันไปเห็นขนุนกำลังก้มหน้าก้มตาแยกประเภทขนมอยู่ตรงโต๊ะด้วยความขยันขันแข็ง  ผมก็อยากจะกระโดดเทคตัวกับข้างฝา ก่อนจะถลาเข้าใส่ไอ้เด็กเวร แล้วกระทืบแม่งให้ยับคาตีน 

ดูเหมือนแม่งจะจับสัญญาณอำมหิตที่ถูกส่งออกมาจากตัวของผมได้ เพราะอยู่ๆ ไอ้เหี้ยไชล็อกแม่งก็เลื่อนสายตาจากหน้าขนุนเพื่อมาจ้องหน้าผมแบบกวนตีนสัดๆ จนทำให้ผมสาวเท้าเข้าไปหาอย่างตั้งใจ กะว่าจะลากคอแม่งออกไปสงบความซ่าด้วยฝ่าเท้าของตัวเองดูสักหน่อยก็คงจะดี


แต่ก่อนที่ผมจะเดินเข้าไปถึงตัวแม่ง พี่กานต์ก็โผล่เข้ามาแทรกกลางระหว่างผมกับไอ้เหี้ยช็อป แล้วยิ้มน้อยๆให้ พลางเอ่ยเสียงนุ่ม “น็อต ช็อป...พาน้องๆไปช่วยซื้อของให้พี่หน่อยได้ไม๊จ๊ะ เดี๋ยวพี่กับคุณขนุนที่อยู่ทางนี้ จะรีบจัดของให้เสร็จ... พอพวกเรากลับมา จะได้กินข้าวเย็นพร้อมๆหน้ากันยังไงล่ะ” คนพูดรุนหลังผมกับไอ้เหี้ยช็อปให้เดินออกจากบ้านไป พร้อมยัดรายการสิ่งของเครื่องใข้ที่ต้องการใส่มือผม ส่วนเงินก็ถูกเสียบเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อเชิ๊ตของไอ้เด็กเหี้ย โดยไม่รอให้ผมโต้แย้งแต่อย่างใด
.
.
.
...เฮ๊ยพี่กานต์...เอาจริงดิ???!!
...จะว่าไปก็ดีเหมือนกันว่ะ ผมจะได้คุยกับไอ้เหี้ยช็อปให้เรื่องมันจบๆกันไปเสียที


๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐


พอไปถึงซุปเปอร์ ผมก็จัดแจงเอารายการซื้อของและเงินฟ่อนหนึ่งยัดลงในมือของแชมป์ กับโช แล้วบอกให้พาเค้กไปซื้อของให้เสร็จ แล้วค่อยกลับมาเจอกันตรงจุดที่แยกจากกัน  เมื่อเด็กๆทั้งสามเดินหายลับเข้าซุปเปอร์ไปอย่างงงๆ ผมก็เรียกไอ้เหี้ยช็อปเดินกลับไปคุยกันตัวต่อตัวตรงลานจอดรถ


ผมจุดบุหรี่ก่อนอัดควันเข้าปอดหนักๆ แล้วถามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าห้วนๆ “ไอ้ช็อป...ที่มึงเข้ามายุ่มย่ามกับขนุนทุกวันนี่ มึงต้องการอะไร?”

“ผมไม่มีความจำเป็นต้องบอกคุณ” ไอ้เด็กเวรตอบผมสั้นๆด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

“แต่กูได้ยินมาว่า มึงเข้ามาหาเค้าเพราะสนใจในตัวเค้า...และหลังๆมานี่ กูเริ่มจะเชื่อสิ่งที่กูได้ยินมาขึ้นเรื่อยๆซะแล้วซิ” ผมสืบเท้าเข้าไปใกล้กับร่างที่เตี้ยกว่า และไม่หนาเท่า ก่อนจะหยุดในระยะที่ยื่นแขนไปผลักอกกันได้ถนัด พลางจ้องหน้าแม่งด้วยทักษะการหาเรื่องชั้นสูงที่ผมเฝ้าฝึกฝนมาตลอดหลายปีที่ต่อยตีกับไอ้พวกเด็กเหี้ยๆสมัยเรียนมัธยม

“ที่คุณจะพูด มีแค่นี้ใช่ไม๊...ผมจะได้ไปช่วยน้องๆซื้อของซะที” ไอ้เหี้ยช็อปมองหน้าผม แล้วถอนหายใจ ก่อนจะก้มมองหน้าปัดนาฬิกาอย่างเสียมารยาท จากนั้นมันก็ส่ายหัวน้อยๆ เหมือนกับการพูดคุยกับผมทำให้แม่งเสียเวลาอันมีประโยชน์ของมันมากเสียเต็มประดา

“กูคงยังปล่อยให้มึงไปไหนไม่ได้ ถ้ามึงยังไม่ยอมเลิกตอแยขนุนซะที” เมื่อพูดจบ ผมก็อัดควันใส่หน้าแม่งอย่างตั้งใจ โดยไม่ละสายตาอาฆาตแค้นที่ส่งให้มาตั้งแต่เปิดบทสนทนา

ไอ้เหี้ยช็อปแม่งก็สวนออกมาทันที “นั่นไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องเข้ามายุ่มย่าม หรือห้ามปรามผมซะหน่อย...ผมจะทำอะไรให้พี่ขนุนก็ได้ เพราะมันเป็นสิทธิของผม!

ผมเริ่มควบคุมอารมณ์โกรธที่อยู่ข้างในไม่ได้อีกต่อไป จนผมเริ่มจะใช้เสียงเข้าข่มขู่อีกฝ่าย “แต่กูเป็นแฟนเค้า เพราะฉะนั้น กูก็มีสิทธิที่จะห้ามมึงอย่างเต็มที่”
.
.
แต่แทนที่ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมตรงหน้าผมแม่งจะตาสว่าง มันกลับไหวไหล่ แสยะยิ้ม แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยอย่างจงใจ “แฟนแค่ในนามรึเปล่า...ผมไม่เห็นพี่ขนุนจะใยดีคุณเท่าไรเลยนี่ หึ หึ”

“ไอ้เหี้ยช็อป!! นี่มึงชักจะมากไปแล้วนะ!!!” ผมตะคอกใส่หน้าแม่งอย่างเหลืออด มือของผมกำแน่นขนาดที่ว่า เล็บที่สั้นกุดยังสามารถจิกลงเข้าในเนื้อจนทำให้ผมเริ่มจะรู้สึกเจ็บนิดๆขึ้นมาได้ ผมเริ่มจะแน่ใจแล้วว่า ไอ้เหี้ยช็อปนี่ คงจะไม่ใช่คนที่ผมควรจะตั้งโต๊ะน้ำชาเพื่อเจรจาด้วยสันติวิธีกับมันได้แน่ๆ

และแม่งก็พิสูจน์ความเชื่อของผมออกมาทันควัน เพราะนอกจากจะไม่หุบปากพล่อยๆง่ายๆ แม่งยังเสือกจะเห่าต่อเนื่องแบบน็อนสต็อปอีกตังหาก “หึ! ที่ผมพูดไปทั้งหมด คงจะจี้ใจดำของคุณน่าดูล่ะสินะ...
.
.
...ถ้าอย่างนั้น ก็ยิ่งไม่จำเป็นที่ผมจะต้องสนใจฟังคำพูดของคุณ เพราะตราบใดที่พี่ขนุนยังไม่รักใคร ผมก็ยังมีโอกาส” พอพูดจบ แม่งก็ปรายตาหันไปมองทางอื่น พร้อมกับกลอกตาทำหน้ารำคาญที่ต้องยืนคุยกับผมเต็มทน

ซึ่งนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ร่างผมกระโจนเข้าใส่ไอ้เด็กเหี้ย แล้วกระชากคอเสื้อนักศึกษาของแม่งขึ้นด้วยความรุนแรงเสียจนกระดุมเม็ดบนหลุดออก เสียงกร้าวอย่างเหลืออดของผมตะคอกสุดเสียง “ไอ้เหี้ยช็อป....มึ้งงงงงงง!!!!!”  ผมง้างหมัดหมายจะประเคนเข้าตรงหน้าของอีกฝ่าย หากแต่ก็ยั้งเอาไว้

ไอ้เหี้ยช็อปพูดเรียบๆอย่างไม่เกรง และไม่คิดจะปัดป้องใดๆ “คุณอยากทำร้ายผมก็เชิญเถอะ เพราะชาตินี้ ผมคงไม่มีวันที่จะสู้แรงคุณได้แน่  แต่ขอบอกเอาไว้เลยนะว่า มันคงจะดูไม่ดีเท่าไหร่ หากอยู่ดีๆ ก็มีร่องรอยฟกช้ำดำเขียวโผล่หราขึ้นมาบนหน้าผม หลังจากออกมาซื้อของข้างนอกกับคุณแค่เพียงเดี๋ยวเดียวแบบนี้”

ด้วยความที่เห็นว่ามวยคนละรุ่น และถ้าผมเกิดพลั้งมือทำร้ายแม่งลงไปจริงๆ ผมก็แน่ใจว่า สิ่งที่ไอ้เหี้ยช็อปเพิ่งพูดออกมาน่าจะมีส่วนจริงอยู่มาก ทั้งเรื่องที่มันไม่น่าจะสู้ผมได้ แล้วสุดท้าย...ผมจะกลายเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กไปเสียเปล่าๆ ทำให้ผมยังไม่ออกหมัดที่กำแน่นมาโดยตลอด ตั้งแต่ได้ยินคำพูดแทงใจของไอ้เด็กเหี้ยนี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...

...เมื่อกี๊ ผมขาดสติเพราะความโกรธที่มีต่อไอ้เด็กปากดีตรงหน้า และความกลัวที่มีต่อความจริงระหว่างผมกับขนุน...
...แต่ผมไม่แน่ใจว่า ระหว่างสองสิ่งนี้ อะไรที่ส่งผลกับการกระทำของผมมากกว่า  ความโกรธ หรือ ความกลัว... 
...หรือจริงๆแล้ว มันอาจจะเป็นไปได้ว่า ผมเองก็ยังไม่กล้าหาคำตอบในส่วนนี้ เพราะผมคงไม่พร้อมแน่ๆ...หากคำตอบที่รอผมอยู่ คือเหตุผลข้อที่สองที่นึกออก


เมื่อแม่งเห็นว่าผมนิ่ง แม่งก็เห่าใหญ่ แต่การเห่าในครั้งนี้ ผมแน่ใจว่า ไอ้เด็กปากดีนี่ มันต้องไม่รักชีวิตของมันเท่าไร ถึงได้กล้าท้าทายผมอย่างเต็มที่และเปิดเผย ทั้งๆที่ตัวมันกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แห่งความเป็นความตายของมันแท้ๆ “ผมรับรองได้ว่า คนที่ใช้หัวคิดมากกว่าทำตามคำสั่งของร่างกายคนไหนๆ น่าจะเดาออกว่า เกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่...
...โดยเฉพาะคนฉลาดๆอย่างพี่ขนุน แค่มองปราดเดียว เค้าก็คงจะเข้าใจเรื่องทั้งหมด โดยไม่ต้องเสียเวลาออกปากซักรายละเอียดให้เหนื่อยหรอกมั้งครับ...
.
.
...ผมว่า คุณเอาเวลาไปคิดหาวิธีรับมือกับการสู้ศึกชิงนายในครั้งนี้จะดีกว่าไม๊ครับ?...
...เพราะในเวลานี้ ...การสู้โดยใช้กำลังตามอารมณ์ไปเรื่อยเปื่อยเหมือนเด็กเอาแต่ใจอยากได้ของเล่น  ดูท่าว่า จะไม่ให้ผลดีกับคุณเท่าไหร่  ดีไม่ดี...ผมจะได้คะแนนสงสารจาก แฟนของคุณเพิ่มขึ้นซะเปล่าๆ...
.
.
...แต่ผมขอแนะนำเป็นการส่วนตัวด้วยความหวังดีอย่างจริงใจว่า ทางที่ดี...ผมว่าคุณควรจะคิดเผื่อใจเอาไว้เลยว่า หากคุณเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในครั้งนี้  คุณจะทำใจยอมรับผลของมันได้ยังไง...
.
.
...หมดธุระของคุณแล้วใช่ไม๊ครับ  ถ้างั้น...ผมขอตัวไปดูน้องๆก่อนนะครับ หึ หึ หึ” พูดจบ ไอ้เหี้ยช็อปแม่งก็เอามือกระชากเสื้อเชิ๊ตนักศึกษาของตัวเองออกจากมือที่ไร้เรี่ยวแรง หลังจากโดนโจมตีด้วยคำพูดของแม่งอยู่ซ้ำๆ  ก่อนจะจัดเสื้อผ้าหน้าผมของแม่งให้กลับสู่สภาพคล้ายปกติ แล้วก็เดินแสยะยิ้มผ่านผมไป ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ไอ้สัดช็อป!!” “โธ่โว้ยยยยยยย!!” ผมตะโกนด้วยความอัดอั้นออกมาทันที หลังจากที่รู้ว่าศึกนี้...ผมแพ้หมดรูปเสียแล้ว


๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐


เมื่อผมขับรถกลับมาเทียบหน้าบ้านพี่กานต์ ขนุนก็เดินออกมารอรับผมอยู่พร้อมรอยยิ้มสดใส จนผมที่นั่งหน้าเครียดไม่พูดไม่จากลับใครมาตลอดทาง อดคลี่ยิ้มเต็มหน้าส่งกลับไปให้ไม่ได้ แต่ยังไม่ทันได้เดินปรี่เข้าไปหาเมียตามที่ตั้งใจ ลูกสมุนทั้งสามของไอ้เหี้ยช็อปก็มามะรุมมะตุ้มส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจขอให้ผมช่วยเปิดท้ายรถ เพื่อให้ทั้งสามสามารถขนของเข้าไปเก็บในบ้านได้เสียที

พอผมหันกลับไปมองหาขนุนอีกครั้ง ก็เห็นไอ้เหี้ยช็อปกำลังเสนอหน้าพลางพูดจากระหนุงกระหนิงกับเมียผมเป็นที่เรียบร้อย  แถมแม่งไม่คุยเปล่าเสียแล้วฮะตอนนี้ เพราะอยู่ๆ ไอ้เด็กเหี้ยก็จับแก้มเมียผม ก่อนก้มหน้าลงต่ำ แล้วโน้มตัวเข้าไปหาขนุนช้าๆโดยที่อีกฝ่ายดูจะมีสีหน้าตกใจไม่น้อย

...ไอ้เหี้ยช็อป มึงล้ำเส้นมากไปแล้ว!!!!!

ผมผลักไอ้น้องๆที่กำลังขนของหลังรถกันวุ่นวายไปให้พ้นๆเพื่อแหวกทาง ก่อนกระโดดพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อเชิ๊ตนักศึกษาของไอ้เหี้ยช็อปจากทางด้านหลัง  แต่ที่ผมว่าแม่งแปลกๆคือ คราวนี้...ผมกลับไม่ต้องใช้แรงมากเท่ากับรอบที่ลานจอดรถ เพราะร่างของไอ้เด็กเวรมันลอยเข้ามาหามือผมเหมือนกับตัวแม่งไร้น้ำหนัก แต่ผมก็ปัดข้อสงสัยนั้นให้ตกไป ระหว่างที่ง้างหมัดซึ่งล็อคปลายคางเป็นเป้าหมายตกกระทบอย่างเต็มเหนี่ยว เตรียมจะซัดเพื่อสั่งสอนอีกฝ่ายไม่ให้แตะต้องเมียผมอย่างเต็มเหนี่ยว  แต่เสียงเฉียบของขนุนกลับทำให้ผมต้องค้างอยู่ท่านั้น



“น็อต  ตัวเองทำอะไรน่ะ??? หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!! เสียงเล็กๆตวาดออกมาทันทีที่เข้าใจถึงเจตนาของผม ผมหันกลับไปมองหน้าเมียด้วยใบหน้าไม่พอใจ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรเข้ามาห้าม

แม้ผมจะไม่ชอบใจกับสิ่งที่ขนุนทำนัก แต่ผมก็ยอมลดกำปั้นลงก่อนจะพูดอย่างโกรธๆ “ก็ไอ้เหี้ยนี่มันกำลังลวนลามขนุนต่อหน้าต่อตาน็อตเลยนะฮะ”

ขนุนพูดเสียงดัง ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่า เจ้าตัวกำลังไม่พอใจกับสิ่งที่ผมทำเอามากๆ “น้องช็อปไม่ได้ลวนลามเค้า เมื่อกี๊เค้าเคืองตาเพราะขนตาทิ่ม น้องช็อปเลยอาสาเขี่ยออกให้...
.
.
...ตัวเองเป็นบ้าไปแล้วเหรอ??” ตากลมใสวาวโรจน์ด้วยประกายแห่งความโกรธหลังแว่น ถูกเจ้าตัวส่งออกมาจ้องผมอย่างไม่ไว้หน้า เพื่อจะบอกว่า ผมกำลังทำเกินกว่าเหตุ

ผมเริ่มจะอ่อนลงบ้าง เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของคนร่างเล็กผู้เป็นที่รัก แต่ก็ไม่วายที่จะเถียงในสิ่งที่ผมเห็น และยิ่งกว่าแน่ใจในเจตนาของไอ้เหี้ยมือที่สาม “ไม่จริงหรอก แค่เอาขนตาออก ทำไมต้องยื่นหน้ามาใกล้กันขนาดนั้นด้วยล่ะ... มันอยากหาโอกาสแต๊ะอั๋งตัวมากกว่า!!!

ไอ้คนที่แม่งทำทีเหมือนไร้ทางสู้อยู่ในกำมือผมพูดเสียงอ่อน อย่างนอบน้อมผิดไปจากทุกที “ผมว่าพี่น็อตมโนไปเองนะครับ ผมก็แค่อยากจะช่วย เพราะพี่ขนุนบอกว่าเคืองตามาก...ก็เท่านั้นเอง...แค่ก แค่ก”...ไอ้ที่มึงไออย่างสำออยเมื่อกี๊ กับสายตาลูกกวางน้อยของแม่งที่ทอดไปมองขนุนราวกับจะขอความเห็นใจนั่นมันคืออะไร????!!!

...ไอ้เด็กสัดนี่!! แม่งโคตรตีสองหน้าเลยว่ะ...
...ก่อนหน้านี้ แม่งไม่เคยเห็นหัวผม แถมยังไม่เคยนับญาติเรียกพี่เรียกน้องกับผมมาก่อน ขนาดจะมองหน้าดีๆแม่งยังไม่เคยคิดที่จะทำ แต่พออยู่ต่อหน้าขนุนเท่านั้นแหละ แม่งตอแหลทำท่าเป็นเด็กดีมีสัมมาคารวะ หนำซ้ำยังทำตัวอ่อนแอเป็นดาวพระศุกร์โดนรังแกขึ้นมาเชียว...

...มึงกับกูนี่คงไม่ได้อยู่ร่วมโลกกันอย่างสงบสุขอีกต่อไปแน่ๆว่ะไอ้เหี้ยช็อป!!

พอเห็นท่าของไอ้เด็กเวร พร้อมทั้งได้ยินสิ่งที่แม่งเพิ่งจะเห่าออกมา แม้ว่าเรื่องที่ผมกำลังคุยกับขนุนอยู่นี่ ไม่ใช่เรื่องของมันที่จะต้องมายุ่งด้วยแท้ๆ ผมก็เลยด่าออกไปอย่างเหลืออด “มึงหุบปากไปเลยนะไอ้เหี้ยช็อป... อีกอย่าง มึงไม่ต้องสะเออะมาเรียกกูว่าพี่  ทั้งที่ก่อนหน้านี้มึงไม่เคยเห็นหัวกูซักครั้ง  ไอ้คนหน้าไหว้หลังหลอก” ปากผมพูดพลาง มือก็กระชากคอเสื้อลากหน้าไอ้เด็กเหี้ยให้แม่งได้มีโอกาสรับฟังถ้อยคำของผมใกล้ๆไปพลาง  ผมอยากให้แม่งเข้าใจ และรับรู้ได้เสียทีว่า ผมเกลียดขี้หน้ามันมากขนาดไหน

“ตัวเอง! ตัวเองหยุดซะที! แล้วก็ปล่อยน้องช็อปเดี๋ยวนี้นะ!!!! ขนุนพยายามกระชากแขนเสื้อผม เพื่อให้ผมปล่อยมือจากคอเสื้อของไอ้เหี้ยช็อป แต่เรี่ยวแรงเท่าหยิบมือของขนุน...ต่อให้พยายามฉุดลากผมอย่างไร คงไม่เป็นผล เพราะนอกจากผมจะไม่ยอมแล้ว ผมยิ่งกระชับฝ่ามือให้แน่นยิ่งกว่าที่เคยเสียอีก

“ไม่!! วันนี้น็อตจะสั่งสอนไม่ให้มันมายุ่งกับตัวเองอีก พอกันที...กับไอ้สัญญาทาสบ้าๆนั่น!!!! ผมหันกลับไปดุขนุนที่กำลังส่งสายตาต่อว่าอย่างไม่ลดละมาให้ เพราะกำลังไม่พอใจกับท่าทีปกป้องไอ้เหี้ยช็อปที่เมียผมกำลังทำอย่างไม่ลืมหูลืมตาอยู่อย่างนี้ ทั้งๆที่เรื่องทั้งหมด...เริ่มมาจากการกระทำของมันคนเดียวแท้ๆ

ขนุนสะบัดหน้าหันไปมองทางอื่นแล้วพูดเสียงเรียบๆ “งั้นตัวเองก็ทำตัวเป็นหมาบ้าพูดจาไม่รู้เรื่องต่อไปก็แล้วกัน... คืนนี้เค้าจะกลับไปนอนบ้านกับเจ๊แล้วก็ยัยนิ้ง  ไว้ตัวอารมณ์เย็นเมื่อไร เราค่อยกลับมาคุยกัน” พูดจบ ขนุนก็เดินเลี่ยงออกไปทันที

ผมปล่อยมือจากคอเสื้อของไอ้เหี้ยช็อป เพื่อคว้าข้อมือของขนุนเอาไว้ ก่อนจะส่งเสียงอ้อนวอน “เดี๋ยวซิฮะขนุน... คุยกับน็อตก่อน”

“ปล่อย!” คนหน้าแว่นตอบโดยไม่คิดแม้แต่จะหันกลับมามอง แล้วกระชากข้อมือออกจากอุ้งมือผมไปอย่างไม่ใยดี ก่อนจะเดินฝ่าน้องๆอีกสามคนที่กำลังยืนมองเราทั้งสามคนอย่างอึ้งๆออกนอกรั้วบ้านพี่กานต์ไป

“ขนุน......เค้าขอโทษ” ผมตะโกนไล่แผ่นหลังบางๆเพราะอยู่ๆขาของผมก็หมดแรงขึ้นมาดื้อๆ...

...นี่เป็นครั้งแรกที่ขนุนทำท่าหมางเมินและไม่สนใจผม นับตั้งแต่ที่เราสองคนย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน...
...พอเห็นท่าทงของขนุนเป็นแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้ผมเจ็บปวดรวดร้าวตรงด้านในของทรวงอกอย่างที่สุด ที่ต้องกลายมาเป็นไอ้ตัวร้ายในสายตาของคนที่ผมรัก ทั้งๆที่ความตั้งใจของผมแต่แรกเริ่มเดิมที มีเพียงแค่...ทำอย่างไรก็ได้ เพื่อปกป้องคนที่ผมรักมากที่สุด ให้รอดพ้นจากการสัมผัส หรือแตะต้องด้วยน้ำมือของผู้ชายคนอื่น
.
.
.
ก่อนที่ไอ้เหี้ยช็อปจะเดินสวนผมกลับเข้าไปในบ้าน มันก็กระซิบเบาๆตรงข้างๆหูผมอย่างเน้นๆด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความสุขอย่างที่สุด “ผมเตือนคุณแล้วว่าอย่าดีแต่ใช้กำลัง.........คุณไม่เชื่อผมเองนี่นะ...หึ หึ”

ผมกัดกรามแน่นเพื่อข่มความรู้สึกอยากจะตะบันหน้าไอ้เหี้ยช็อปเอาไว้ข้างใน เพราะเท่าที่เป็นอยู่นี่ เรื่องทั้งหมดแม่งก็ชักจะไปกันใหญ่เต็มที   ผมเดินไปหยุดตรงประตูก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปในบ้าน แล้วตะโกนบอกพี่ๆทั้งสองที่กำลังง่วนหยิบโน่นจับนี่อยู่ในครัว “พี่กานต์ พี่โอ่งฮะ วันนี้ผมกับขนุนไม่กินข้าวเย็นนะฮะ”

พี่กานต์กับพี่โอ่งมองหน้าผม สลับกับไอ้เหี้ยช็อปที่ลงไปนั่งตรงโซฟาหน้าทีวีอย่างสบายใจ แล้วส่งเสียงถามออกมาอย่างสงสัยที่สุด “น็อต...เมื่อกี๊มีเรื่องอะไรกัน?.......น็อต น็อต...เดี๋ยวก่อนน็อต!! เฮ้ออออ ไปซะแล้ว”

ผมไม่ได้อยู่รอตอบคำถามพี่กานต์ เพราะผมกำลังซอยเท้าวิ่งอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจสายตาของน้องๆอีกสามคนที่จ้องมองอย่างสนอกสนใจ เพราะอยากไปแก้ไขความผิดพลาดซึ่งเกิดจากความวู่วามเพียงชั่ววูบ หากแต่มันกลับทำลายล้างบรรยากาศแห่งความชื่นมื่นระหว่างผมกับขนุนตลอดหลายวันที่ผ่านมาลงอย่างราบคาบในพริบตา


๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐


เมื่อผมตบเท้าเดินเข้าไปในบ้านลายดอกพร้อย ก็เจอเข้ากับเฮียห้าวนั่งอยู่ในชุดอยู่บ้าน ที่ดูเผินๆออกจะคล้ายกับอาแปะที่ออกมากินโกปี๊ตอนเช้าๆที่ร้านน้ำชาในตลาดอย่างไรอย่างนั้น หากแต่สิ่งที่เฮียกำลังซดอยู่นี่...กลับเป็นเบียร์กระป๋องที่ดีกรีความเมาเข้าขั้นใช้ได้ มองจากสีแดงระเรื่อบนแก้มของเฮียก็บอกผมได้ดีว่าเจ้าตัวเริ่มจะได้ที่

หญิงสาวสุดห้าวผู้มีฐานะเป็นพี่ชายของขนุนซึ่งกำลังตั้งวงกินเหล้าวงใหญ่อยู่ตรงโซฟาลายดอกกุหลาบสีชมพูแปร๋นหน้าทีวีที่เปิดช่องบาสฯเอ็นบีเอ เงยหน้าขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงหายใจหอบของผม แกเลยส่งยิ้มกว้างออกมาทักทาย แล้วเอ่ยออกมาอย่างร่าเริง และดูจะยินดีเป็นที่สุด “หึ หึ...ว่าไงไอ้น้องเขย เดินหน้าบูดเป็นตูดเข้ามาเลยนะ”

โชคดีที่ผมเตือนตัวเองตั้งแต่เดินเข้าบ้าน และเห็นเฮียนั่งหัวโด่แล้วว่า ผมต้องเรียกเฮียห้าวแบบเดียวกับที่ขนุนเรียก ผมเลยไม่หลุดทำเฮียแกเสียอารมณ์ไปอีกคน ผมเอ่ยพลางยกมือไหว้ผู้มีอาวุโสกว่าอย่างน้อบน้อม “เจ๊น้า หวัดดีฮะ...วันนี้ไม่มีบินเหรอฮะ?”  

เฮียห้าวมองหน้าผมแล้วยิ้มกวนๆ แล้วพูดขำๆ “ก็เออดิวะ ไม่งั้นพี่เมียจะมานั่งดวดเบียร์หัวโด่อยู่อย่างงี้ได้ไงล่ะ  น้องเขยมาได้จังหวะพอดีเลย...มา มา มา...นั่งก่อน จัดไปซักกระป๋อง จะได้หายเครียด” ฝ่ามือคล่องแคล่วทั้งสองทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยม เพราะมือข้างหนึ่งถูกส่งลงไปคว้ากระป๋องเบียร์ในกระติกใบใหญ่ก่อนเอามาวางลงตรงโต๊ะตัวเล็กๆหน้าทีวีที่เต็มไปด้วยจานกลับแกล้มมากมาย ส่วนอีกมือก็ตบลงบนเบาะของโซฟาแรงๆหลายๆทีเพื่อเชื้อเชิญ...

...ผมดูจากสีหน้าของเฮีย กับบรรดาเครื่องเคราแวดล้อมตรงร่างเล็กๆก็รู้เลยว่าน่าจะยาว...
...ผมจึงออกอาการรีๆรอๆไม่กล้าตัดสินใจว่า ผมควรจะปฏิเสธคำเชิญของพี่เมียเพื่อรี่ขึ้นไปหาเมียเพื่อปรับความเข้าใจโดยเร็วที่สุดดี หรือควรจะนั่งลงดื่มดับกลุ้มให้ใจเย็นลงเสียหน่อย  ผมเลยยังยืนค้ำหัวเฮียแก โดยสองตานี่จ้องขั้นบันไดอยู่ไม่ยอมวาง พลางถามเฮียเกี่ยวกับเรื่องที่ผมร้อนใจมากที่สุด “แล้วขนุนล่ะฮะ? ขนุนอยู่ข้างบนรึเปล่า”

พี่เมียของผมยังไม่หยุดตบเบาะ หากแต่ลดความรุนแรงลงมากอยู่ พอผมเห็นหน้าเฮียที่ไม่คิดจะปล่อยเหยื่อหลงทางให้หลุดมือจากการเป็นเพื่อนดื่มไปได้ง่ายๆ ผมก็ค่อยๆหย่อนก้นลงนั่งตรงเบาะที่เฮียเจาะจงแต่โดยดี ระหว่างนั้นเอง เฮียก็ตอบผมอย่างอารมณ์ดีราวกับต้องการให้รางวัลที่ผมยอมตามใจ  “เออน่า...นั่งเหอะ  น้องสาวชั้นมันอยู่ในห้องมันนั่นแหละ รับรองว่ามันไม่หนีไปไหนหรอก...ดูมันออกจะสบายใจซะด้วยซ้ำ”

สิ่งที่ผมเพิ่งจะได้ยินผ่านหูไปทำให้ผมหันไปมองหน้าเฮียที่ระบายด้วยรอยยิ้มโคตรจะผ่อนคลาย แล้วถามออกมาทันที “ห๊ะ??? เมื่อกี๊เจ๊น้าว่าไงนะฮะ?”

“เฮ๊ย เปล่าๆ... ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ” พูดจบแกก็เปิดฝากระป๋องเบียร์แล้วยื่นส่งมาให้ผม ก่อนทำไม้ทำมือบอกผมว่าให้ยกจิบไปพลางๆ แล้วแกก็ถามออกมาหลังจากที่ผมกลืนเบียร์เย็นๆอึกแรกลงคอ “เออ...ว่าแต่ ที่วิ่งกระหืดกระหอบมานั่งหน้าหมาป่วยอยู่แบบนี้ หลังจากที่พาน้องสาวคนกลางของชั้นหายหน้าออกจากบ้านไปเป็นเดือนๆน่ะ มันหมายความว่าอะไร? ไหนลองบอกพี่เมียให้เข้าใจหน่อยได้ไม๊? ห๊ะ?”

สีหน้าทีเล่นที่จริงของคนตรงหน้าไม่ได้ทำให้ผมสบายใจเท่าไรนัก เพราะสิ่งที่ผมทำ...แม้จะไม่เสียหายเท่ากับพาลูกสาวของบ้านนี้หนี แต่มันก็ไม่สมควรอยู่ดี เพราะวันที่ผมพาขนุนมาขนของออกไปจากบ้าน ผมก็ทำโดยไม่ได้บอกไม่ได้กล่าวผู้ใหญ่ของบ้านอย่างเฮียเลยแม้แต่ประโยคเดียว

ผมเลยถือโอกาสนี้ ยกมือไหว้ท่วมหัวเพื่อขอขมาเฮีย แล้วเอ่ยขอโทษพี่เมียอย่างเป็นทางการ “ผมขอโทษเรื่องที่พาขนุนไปอยู่ด้วย โดยไม่ได้บอกกล่าวหรือขอความยินยอมจากเจ๊น้ากับน้องนิ้งก่อนนะฮะ... 

...แต่ตอนนั้น...มันจวนตัวจริงๆ... ผมรู้แค่อย่างเดียวว่า ผมต้องทำยังไงก็ได้  ให้เค้ามาอยู่ใกล้ๆตลอดเวลา จะได้หาทางทำให้เค้ายอมรับที่จะให้ผมยืนเคียงข้าง ยอมเปิดหัวใจมองคนอย่างผมบ้าง ผมเลยต้องใช้แผนกึ่งหลอกล่อกึ่งบังคับให้เจ้าตัวต้องยอมย้ายไปอยู่ด้วยกันโดยเร็วที่สุดน่ะฮะ”

เมื่อผมพูดจบเฮียก็ยิ้มให้อย่างถูกอกถูกใจ ก่อนผายมือมาตบบ่าผมเบาๆ แล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หึ หึ...เรื่องนั้นชั้นไม่ติดใจ ชั้นอยากรู้อย่างเดียวว่า...เราน่ะ รักน้องสาวคนนี้ของชั้นรึเปล่า?”

...ฟังคำถามเฮียแล้ว ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังซ้อมบทสนทนาที่จะใช้พูดต่อหน้าคุณพ่อของขนุนเอาไว้ล่วงหน้าอย่างไรอย่างนั้น ผมเลยตอบเฮียห้าวออกไปทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด “ผมรักขนุนฮะ ผมรักเค้ามาก...รักอย่างที่ไม่เคยรักใครนอกจากคนในครอบครัว และเพื่อนสนิทได้มากเท่านี้มาก่อน เค้าเป็นคนรักคนแรก และจะเป็นคนรักเพียงคนเดียวของผมเลยฮะ”

มือที่เคยตบลงตรงบ่าผม ถูกเจ้าตัวเลื่อนไปตบลงตรงหน้าขาของตัวเองเพื่อบอกความชอบใจในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ก่อนที่เฮียจะโต้ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเริงร่า “อุ๊วะ!! ตอบได้ถูกใจดีเลื๊ออออเกิน.... เอ้า โชนนนน!! ซดรวดเดียวเอาให้หมดกระป๋องเลยนะเว่ยไอ้น้องเขย!” เฮียห้าวเอากระป๋องในมือตัวเองกระแทกเข้ากับกระป๋องเบียร์ในมือผม แล้วก็ยกขึ้นดื่มอย่างเอาเป็นเอาตาย จนผมต้องทำตามพี่เมียเพราะเสียไม่ได้ “ฮ่าห์...ชื่นจายยย... เอ้านี่ กระป๋องใหม่ เอาไปเลย!” พูดจบก็เหมือนกับมีมือวิเศษจากที่ไหนก็ไม่รู้ เอาเบียร์สองกระป๋องใหม่เอี่ยมเย็นเยียบโดยมีไอเย็นเกาะพราว วางลงตรงหน้าเราสองคน...

...อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยฮะ  เห็นท่าเฮียชนหาย ชนหายแบบนี้ ผมเริ่มชักจะไม่แน่ใจแล้วว่า เฮียแกเป็นแอร์ฯ หรือสาวเด็กนั่งดริงค์เป็นเพื่อนกันแน่...เพราะนอกจากจะมือไว คอแข็ง บริการดี เอาใจใส่เพื่อนร่วมวง แถมยังมีจิตวิญญาณแห่งการเป็นผู้ฟังที่ดีเป็นเลิศอีกด้วย...  หรือว่าระหว่างเวลาขึ้นบิน...แกก็แอบไปกรึ๊บอย่างนี้เป็นพักๆอยู่บ่อยๆวะ ถึงได้ตบะแก่กล้า และแคล่วคล่องว่องไวได้มากขนาดนี้กัน???!!

“แต่...เอ่อ ขนุน... ผมขอตัวขึ้นไปหาขนุนก่อนได้ไม๊ฮะ?” ผมพูดพลางมองเบียร์กระป๋องตรงหน้า แล้วก็เลื่อนสายตาไปมองเฮีย ก่อนจะจบลงที่ขั้นบันไดด้วยความลังเลใจอย่างที่สุด

แต่ดูเหมือนความร้อนใจของผม จะส่งไปไม่ถึงเฮียเสียแล้ว “เฮ๊ยยยย อะไรวะ?!!...อย่าขัดใจพี่เมียอย่างงี้ดี้  อยู่นั่งดื่มเป็นเพื่อนกันก่อน  อย่าเพิ่งใจร้อน นี่เพิ่งเริ่มกินไปได้ไม่เท่าไร ยังไม่เมาเลย...
.
...เถอะน่า!! เชื่อเฮีย เดี๋ยวก็ได้เสียเป็นผัวเป็นเมียกันไปตลอดทั้งชาติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เย็นนี้...ไม่ต้องรีบต้องร้อนไปหรอกไอ้น้องเขย”

...อ้าวเฮ๊ย!!! ไหนบอกว่ายังไม่เมายังไงล่ะฮะเฮีย...
...แล้วไหงเฮียถึงได้เปลี่ยนสรรพนามจากชั้นไปเป็นเฮียเสียเฉยๆเลยล่ะฮะ??
...เออเว้ย! พี่น้องบ้านนี้ เวลาเมาๆนี่แม่งมีตลกเข้าทีดีเหมือนกัน... แหม่ อยากจะจัดให้แกไปดวลเหล้ากับพวกไอ้เพื่อนสนิทสามตัวของผมขึ้นมาเสียแล้วสิ รับรองว่าต้องรั่วจนมีเรื่องสนุกๆมาเผากันจนลูกบวชแหงๆ
...เอาวะ!! ไหนๆเฮียก็เมาได้ที่แล้ว ผมก็จะไม่ฝืนเรียกแกว่าเจ๊อีกต่อไปให้เหนื่อยสมอง

สิ่งที่เฮียเพิ่งพูดออกมา กลับทำให้ผมไม่ค่อยแน่ใจเท่ากับน้ำเสียง แววตา และสีหน้าหนักแน่นกับคำพูดของตัวเองเมื่อครู่สักเท่าไร ผมเลยบ่นกับตัวเองออกมาเบาๆ “ถ้าเป็นได้อย่างที่เฮียว่าก็ดีซิฮะ ผมจะได้สบายใจ”

 “เอ๊า แล้วทำไมมันจะไม่ได้ล่ะ? มีปัญหาอะไร...ระบายออกมาให้เฮียฟังก็ได้นะ เฮียน่ะเป็นผู้ฟังชั้นเยี่ยม แถมยังมีใจรักในการบริการระดับสุดยอดเลยนะเว่ยเฮ่ย...
.
...น่า ไม่ต้องเกรงใจ มีอะไรก็บอกเฮียมาได้เลย ไหนๆเราก็จะกลายเป็นทองแผ่นเดียวกันอยู่แล้ว” เฮียเอื้อมมือมาตบบ่าผมอีกครั้ง...คราวนี้ แกวางฝ่ามือลงตรงไหล่ผมแล้วบีบเบาๆเหมือนจะให้กำลังใจ
.
.
.
ผมมองหน้าเฮียนิ่งๆ แล้วค่อยๆพูดในสิ่งที่ผมเองก็ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา จนเกือบจะเป็นบ้าเข้าไปทุกที “คือ...ผมไม่แน่ใจว่าขนุนเค้ารักผมบ้างรึเปล่าน่ะฮะ”

“ยังไงวะ? น้องเขยเอาหลักฐานอะไรมาบอกว่าน้องสาวเฮียไม่รักน้องเขยกัน?” ทีนี้ไอ้มือที่ปลอบผมอยู่ก่อนหน้า แม่งเปลี่ยนมาเป็นฟาดลงกลางหลังผมเต็มแรง ราวกับไม่พอใจในสิ่งที่ผมเพิ่งพูดออกไปเท่าไรนัก... ดีนะที่ผมไม่ได้จิบเบียร์อยู่ ไม่อย่างนั้น มีพุ่งแน่ๆ เพราะเฮียแกมือหนักหลายๆ

ผมสูดริมฝีปากเบาๆเพื่อข่มความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั้งหลังเพราะฝ่ามืออรหันต์ของเฮีย แล้วตอบตามความคิด และความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง “ส่วนใหญ่มันน่าจะเป็นความผิดของผม ที่ตั้งแต่แรก...ผมเข้าหาเค้าโดยไม่เคยบอกถึงเจตนา และความรู้สึกที่ผมมีอยู่ข้างใน เค้าเลยเข้าใจมาตลอดว่า ผมต้องการจะเป็นเพื่อนเค้า มากกว่าจะเป็นคนรัก...
.
.
...แต่ผมไม่รู้จะทำยังไงจริงๆฮะเฮีย เพราะขนุนบอกผมตั้งแต่ตอนแรกๆที่เรารู้จักกันว่า เค้าไม่มีทางรักคนที่ต่างไปจากสเปคของเค้าได้ และเค้าจะไม่ฝืนใจคบใคร หากคนๆนั้น ไม่ได้มีหน้าตา ท่าทาง หรือนิสัยเหมือนกับคนในฝันน่ะฮะ ผมเลยต้องแฝงตัวเข้ามาในคราบเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ เพื่อจะค่อยๆหาทางครอบครองทั้งตัวและหัวใจของขนุนให้ได้ในท้ายที่สุด”

จริงอย่างที่เฮียได้บอกผมไว้ก่อนหน้า ที่ว่า แกเป็นผู้ฟังที่ดี เพราะเมื่อผมพูดจบ แกก็ยิ้มให้กำลังใจ แล้วก็นั่งนิ่งๆพลางมองหน้าผมอย่างตั้งใจ จึงทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย จนยอมปริปากบอกถึงสิ่งที่อยู่ในใจออกมาให้คนอื่นได้รับฟังเป็นครั้งแรก

“ที่ผ่านมา ผมเคยลองถามเค้าหลายครั้งว่า ถ้าเราเป็นแฟนกัน เค้าจะโอเคไม๊... เค้าก็บอกว่าระหว่างเราคงเป็นไปไม่ได้ เพราะผมคงไม่มีทางชอบผู้ชาย แต่ผมก็ยืนยันไปว่า ผมเปลี่ยนไปแล้ว ผมชอบผู้ชายได้...และผมมั่นใจว่าผมจะอยู่กับผู้ชายไปตลอดชีวิตได้อย่างมีความสุข... โดยผู้ชายคนที่ผมว่า คือเค้าคนเดียวเท่านั้นน่ะฮะ”

“แล้วน้องเขยเคยพูดแบบนี้ ให้ขนุนฟังบ้างรึเปล่าล่ะ? เคยบอกรักน้องเฮียต่อหน้า เหมือนกับที่บอกกับเฮียก่อนหน้านี้มั่งไม๊?”

คำถามของเฮียแม่งโคตรแทงใจของผมเลยฮะ แต่สิ่งเดียวที่ผมทำได้ดีที่สุดในเวลานี้ คือ การส่ายหน้าอย่างหมดอาลัย แล้วตอบด้วยเสียงเศร้าๆ “ไม่เคยฮะ เพราะผมเฝ้าถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเค้าจะรักผมบ้างรึเปล่า...
.
...เพราะถ้าเกิดผมบอกความรู้สึกของตัวเองออกไป โดยที่เค้ายังฝังใจกับคนในสเปคอยู่  แล้วสุดท้าย...เค้าเกิดไม่อยากให้ผมอยู่ใกล้ๆ เพราะไม่อยากอึดอัดกับความรัก ความต้องการเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ความต้องการมีสิทธิครอบครองทั้งตัวและหัวใจของเค้าหมดทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างที่ผมเป็นอยู่ทุกวันนี้...ผมก็ไม่รู้ว่า ชีวิตของผมต่อจากนี้ จะเป็นยังไง”

เฮียห้าวพยักหน้าเข้าใจ แล้วโน้มตัวเข้ามาหาผม พลางส่งสายตาสำรวจเพื่อความแน่ใจว่าไม่มีใครอื่นแอบฟังอยู่...ก่อนจะเอ่ยเบาๆ “งั้นถามหน่อย...ได้กันยัง?”

ผมมองหน้าเฮียงงๆ แต่พอเห็นสายตาและสีหน้าจริงจังของอีกฝ่าย ผมก็เลยต้องอ้อมแอ้มตอบออกไป “...เอ่อ... ได้แล้วฮะ” ไม่ใช่ว่าผมอายที่ต้องบอกแกหรอกนะฮะ แต่อย่างว่าแหละฮะ ว่าผมรู้สึกเหมือนว่ากำลังกึ่งๆซ้อมคุยกับคุณพ่อเมีย กึ่งๆคุยปรับทุกข์กับเฮียแกอยู่ ผมเลยไม่รู้จะตอบอย่างไร หากคำถามนี้...ถูกยิงออกมาจากปากของคุณพ่อจริงๆ

ไอ้ผมก็นึกว่าเฮียจะพอใจกับคำตอบ ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่น... แต่ที่ไหนได้...
.
.
“น้องสาวเฮียแจ่มป่ะ?”

ผมเกือบจะสำลักเบียร์เมื่อได้ยินคำถามล้วงลูกของแก แต่พอเห็นสีหน้าทะเล้นของเฮีย ผมก็ป้องปากแล้วตอบออกไปอย่างทะเล้นพอกัน “แจ่มสัดๆฮะ”

เฮียยิ้มกว้างด้วยความชอบใจ แล้วปรับท่าทาง และน้ำเสียงให้เป็นการเป็นงานอีกครั้ง ก่อนจะพูดจริงจัง “โอเค...งั้นฟังให้ดีๆนะ เพราะเฮียจะไม่พูดซ้ำ... 


...น้องสาวเฮียน่ะ ถึงมันจะออกตัวว่าเป็นเกย์มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก  แต่เฮียช่วยแม่เลี้ยงมันมากับมือของเฮียเอง เพราะฉะนั้น...เฮียรับประกันเรื่องความรักนวลสงวนตัวยิ่งกว่าผู้หญิงหลายๆคนของมันได้เป็นอย่างดี...
.
.
...น้องเขยจงระลึกรู้เอาไว้เลยนะว่า ขนุนน่ะ มันไม่มีทางยอมนอนกับใครง่ายๆ เพราะหลงใหลได้ปลื้มกับรูปกายภายนอก หรือ ออปชันเสริมของคนๆนั้น   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ถ้ามันต้องยอมสลับขั้วมาทำหน้าที่เป็นเมียให้ใครเวลาอยู่บนเตียง ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตของมันเลยนะ...   
.
.
...จะมาบอกว่าที่มันยอมนอนอ้าให้น้องเขยเสียบอยู่ทุกวัน ทุกวันเพราะมันเห็นแก่ความเป็นเพื่อน...หรือ เพราะแค่ปรารถนาดีต่อกันน่ะ เฮียว่า...มันฟังดูสตรอเบอร์แหลเหนือจริงไปรึเปล่าๆวะ...
...เฮียฟันธงได้เลยว่า ต่อให้น้องเขย หรือใครก็ตามยกประโยคโลกสวยที่มีรวมกันทั้งโลกมาเป่าหูมัน ก็ไม่มีวันที่น้องสาวของเฮียคนนี้ จะยอมทำลายความฝันที่จะได้กดคนอื่นมาตลอดชีวิตลงอย่างง่ายๆได้ร๊อกก... 
.
.
.
...รู้ไว้เลยนะไอ้น้อง การมีผัวสำหรับขนุนนี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่เล่นนะเว่ย...
...ถ้าลองว่าน้องเฮียมันไม่รักซักนิดน่ะนะ... ต่อให้หล่อขนาดไหน รวยซักเท่าไหร่ ก็อย่าหวังว่าจะได้แอ้มมันซะให้ยาก...
...ไม่งั้น มันคงมีผัวเป็นตัวเป็นตนเป็นสิบๆคนไปตั้งนานแล้วล่ะ เพราะน้องเฮียมันเนื้อหอมในหมู่พวกผู้ชายจะตาย...เห็นหน้าแว่นๆ ดูเนิร์ดๆอย่างนั้นก็เถอะนะ”

“เหรอฮะเฮีย?” ผมถามออกไปทันที ด้วยความตื่นตะลึงต่อข้อมูลใหม่ๆที่ผมเพิ่งเคยได้ยิน

สิ่งที่เฮียบอก นอกจากจะจุดประกายความหวังให้ผมแล้ว ยังเปิดโลกทัศน์ให้ผมได้รู้จักตัวตนของขนุนที่ผมไม่เคยล่วงรู้มาก่อนอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะทัศนคติในการวางตัวของเขา กระทั่งเสน่ห์ของคนหน้าแว่นที่มีมาตั้งแต่ก่อนที่จะเจอหน้าผม...ต่อจากนี้ไป เห็นทีผมต้องคอยระวังไม่ให้เมียไปเผลอเจอหน้าใครโดยไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วล่ะฮะ เพราะยิ่งได้รู้อย่างนี้ ก็ยิ่งทำให้ผมโคตรหวงขนุนแบบสุดใจขึ้นมาทันทีเลยล่ะฮะ

เฮียยกกระป๋องเบียร์ขึ้นกระดก แล้วพูดออกมาอย่างเอ็นดู “แหน่ะ...เฮียพูดถึงขนาดนี้ น้องเขยยังจะไม่แน่ใจอยู่อีกเหรอ?”

ผมเลยยอมรับกับแกตรงๆถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเราเมื่อเร็วๆนี้  “ก็ขนุนไม่เคยพูด หรือแสดงท่าทางอะไรออกมาให้ผมแน่ใจซักอย่างนี่ฮะ แต่ผมนี่สิ...นับวันก็ยิ่งกลายเป็นไอ้บ้า ที่คอยวิ่งไล่กันคนอื่นไม่ให้เข้าใกล้เค้า เพราะผมไม่แน่ใจว่าเค้าจะตกลงปลงใจกับผมแน่ๆไม๊ คนที่ใช่สำหรับเค้าจะเป็นผมได้รึเปล่า จนผมเพิ่งจะโดนเค้าโกรธและวิ่งหนีเข้าบ้านมาก่อนที่ผมจะเจอเฮียนี่ยังไงล่ะฮะ”

ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ เฮียก็ทำหน้าเหมือนโดนผีหลอกกลางวันแสกๆ แล้วก็ถามอย่างตื่นเต้นเมื่อมีจังหวะให้แกพูดได้ “เฮ๊ยยย ถามจริง??!! นี่ถึงขนาดทำน้องเฮียโกรธได้เลยเรอะ?”

ถึงผมจะไม่รู้ว่าพอแกได้ยินว่าผมทำให้น้องของแกโกรธ แกจะทำอะไรกับผมบ้าง แต่ผมก็ยังเลือกที่จะบอกแกออกไปตามตรงแต่โดยดีด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก... “ฮะ...ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกฮะ ครั้งที่สองแล้วล่ะ”

แทนที่เฮียจะด่าผม แต่แกกลับหัวเราะร่าอย่างถูกอกถูกใจ “ฮ่าๆๆๆๆๆ ถ้างั้น เฮียฟันธงได้เลย ว่าน้องสาวเฮียต้องรักน้องเขยมากแน่ๆ... ก็เหลือแต่น้องเขยสารภาพความในใจให้น้องสาวเฮียฟังอย่างเดียวแล้วล่ะ หลังจากนั้นน่ะเหรอ...หึ หึ น้องเขยเตรียมบอกที่บ้านให้ยกขันหมากมาสู่ขอน้องสาวเฮียได้เลย” คนพูดปิดประโยคด้วยการตบบ่าผมเบาๆอีกหลายครั้ง พร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข

ผมไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เฮียบอกเท่าไรนัก แม้คนพูดจะดูมั่นอกมั่นใจอยู่ไม่น้อยก็ตามที ผมเลยต้องถามออกมาอีกครั้ง เผื่อว่าโชคดี แกจะยอมอธิบายเพิ่มเติม เพื่อให้ผมเข้าใจในความหมายของประโยคที่เฮียเพิ่งจะพูดจบลงไป “ขนุนเค้ารักผมจริงๆเหรอฮะเฮีย?”

เฮียยิ้มแล้วก็ตอบโดยไม่ต้องคิด “ก็เออเด่ะ เฮียเลี้ยงของเฮียมา เฮียดูออก...
...น้องเฮียคนนี้น่ะ ถ้ามันไม่รักไม่รู้สึกอะไรด้วย มันไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาให้เห็นเลยนะ... 
...ยิ่งถ้าเป็นคนนอก...ลำพังกะอีแค่อารมณ์ทั่วๆไปตามปกติของน้องเฮีย ต่อให้ดูคนเก่งยังไง ยังแทยอ่านอารมณ์และความคิดของมันแทบไม่ออก  เพราะฉะนั้น...ไอ้อารมณ์ หรือความรู้สึกจำพวกทำลายล้างด้วยพลังงานด้านลบนี่ อย่าหวังว่าจะได้เห็นเป็นบุญตาเล๊ยยย  เพราะขนุนมันจะเก็บงานซะเรียบกริ๊บ...  
.
...แต่กับที่บ้านนี่ไม่มีกั๊กแม้แต่น้อยเลยนะ... เมื่อไรที่มันอยากเหวี่ยง อยากวีน อยากทำตัวปัญญาอ่อนขึ้นมา มันก็งัดออกมาโชว์ให้เห็นกันหมด ยิ่งไอ้เสียงง๊องแง๊งแง๊วๆเหมือนการ์ตูนนะ น้องเฮียคนนี้มันยิ่งชอบทำ...
.
.
...มีอยู่วันนึง เฮียรำคาญไอ้เสียงง๊องแง๊งของมันสุดๆ เลยสั่งให้มันเลิกทำเสียงแบบนั้นซะที แต่น้องเขยรู้ไม๊ว่ามันว่าไง...
...มันก็ใช้สิทธิความเป็นน้อง ขอเฮียคืนว่ะ ขนุนมันบอกเฮียว่า ไม่เคยมีที่ไหนที่มันจะสบายใจ และเป็นตัวของตัวเองได้มากเท่ากับเวลาที่อยู่ที่บ้าน  ซึ่งเป็นสถานที่เดียวในโลก ที่มันรู้ว่าทุกๆคนที่อยู่รายล้อมตัวมัน...รักมัน และมันก็รักทุกๆคน  นั่นเลยทำให้มันมีความสุขมากซะจนกล้าทำเสียงหน่อมแน๊มบ้าๆบอๆออกมา เพราะมันรู้ดีว่า เราทุกคนจะรับตัวตนที่แท้จริงของมันได้...
.
.
...เอ๊า! จะทำหน้าเศร้าไปทำไม เรื่องน่าดีใจอย่างนี้มันต้องโชนนนนน!! หมดป๋องไปเลยไอ้น้อง อย่าช้า!!!” เฮียไม่ได้ปล่อยให้ผมดีใจกับสิ่งที่ผมเพิ่งจะได้ยินเลยแม้แต่วินาทีเดียว เพราะหลังจากนั้น...เฮียก็เสกเบียร์กระป๋องแล้วกระป๋องเล่าขึ้นมาวางตรงหน้าเราสองคน ก่อนจะคะยั้นคะยอให้ผมดื่ม ดื่ม ดื่ม และก็ดื่ม เป็นเพื่อนแก พลางเปลี่ยนมาฟังแกคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้บ้าง


ระหว่างที่ผมนั่งฟังเฮียเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ไป ในใจผมแม่งก็เริ่มจะรู้สึกมั่นใจในคำพูดของเฮียขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มจะคล้อยตาม และเริ่มเห็นลำแสงแห่งความหวังสว่างรำไรอยู่ตรงปลายทางที่กำลังรอผมและขนุนอยู่...

...จริงสินะ ถ้าผมเป็นขนุน แล้วต้องการที่จะเอาชนะใจผู้ชายคนอื่นที่ตัวเองหมายปอง ก็ไม่เห็นต้องยอมนอนกับผู้ชายอีกคนที่แทบจะไม่รู้จักซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงเพราะเขายื่นมาเข้าช่วยเหลือเลยนี่หว่า เพราะนอกจากจะได้ไม่คุ้มเสียแล้ว ผมว่ามันยังออกจะฝืนใจมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ...

...และถ้าเป็นผมที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับขนุนจริงๆ แค่คิดว่าต้องนอนกับผู้ชาย แถมยังต้องทำหน้าที่บนเตียงตรงข้ามกับความต้องการของตัวเอง...ผมคงจะยกเลิกข้อตกลงบ้าๆไปเสียตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน  ดีไม่ดี...ผมน่าจะไล่ตะเพิดไอ้คนที่เข้าหาผม พร้อมข้อตกลงที่มีลับลมคมในร้อยแปดไปให้พ้นหูพ้นตาเป็นของแถมอีกดอกแหงๆ...

...ส่วนเรื่องที่เฮียพูดมาว่า เขาจะแสดงอารมณ์ต่างๆออกมาให้คนที่เขารักเท่านั้นได้เห็น อันนี้ผมเชื่อเฮียเต็มประตู เพราะตั้งแต่ที่เราย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน ขนุนก็แสดงอารมณ์แปลกๆที่ผมไม่เคยเห็นว่าเขาเคยทำ ในตอนที่อยู่ต่อหน้าใครคนไหน ให้ผมดูอยู่เสมอ...

...และถ้าผมจำไม่ผิด...ตอนที่ผมถามเรื่องอาการโกรธของเขา...เขาก็บอกว่า เขาจะโกรธเฉพาะกับคนในครอบครัวเท่านั้น... นั่นก็แปลว่า ในเวลานี้ ผมอยู่ในฐานะเดียวกันกับคนในครอบครัว และผมจำได้แม่นว่า ขนุนเป็นคนรักครอบครัวมาก เพราะนั่นคือคุณสมบัติเดียวกันกับสิ่งที่ผมมี  ดังนั้น...หากผมเทียบข้อมูลเหล่านี้เป็นสมการง่ายๆ ก็เท่ากับว่า....ขนุนก็รักผมมากไม่แพ้กับคนในครอบครัวของเขาคนไหนๆเลย...

...ผมดีใจว่ะ ที่หยุดแวะนั่งดื่มเป็นเพื่อนเฮียในวันนี้ เพราะเฮียช่วยขจัดความไม่แน่ใจของผมไปได้อีกเยอะเลยฮะ หลังจากนี้แหละ ผมจะได้เดินหน้าทำอย่างที่ตั้งใจเอาไว้เสียที


๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐


กว่าเฮียห้าวจะปล่อยตัวผมให้ขึ้นมาหาขนุน  ผมก็ต้องนั่งดวดเบียร์ไปอีกหลายกระป๋อง เพื่อรอจนถึงเวลาโพล้เพล้ซึ่งเป็นช่วงที่น้องหัวม่วงกลับมาถึงบ้าน ก่อนจะส่งไม้ก๊งเบียร์เป็นเพื่อนเฮียต่อจากผมให้น้องหัวม่วงอีกทอดหนึ่ง... พอเข้ามาให้ห้องเมียได้ ผมก็รีบเดินเข้าไปหาร่างบางที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ที่โต๊ะ ก่อนจะโน้มตัวลงเพื่อสวมกอดตัวหอมกรุ่นกลิ่นวนิลาอันแสนอบอุ่นของขนุนเอาไว้แนบอก


ผมถามออกมาอย่างเป็นห่วง จนลืมไปแล้วว่าอีกคนอาจจะยังคงโกรธผมอยู่ “หิวข้าวรึเปล่าฮะคนเก่ง? (ฟอดดด)”

ขนุนเงยหน้าขึ้นเพื่อจ้องหน้าผมนิ่งๆ แล้วตอบเบาๆโดยไม่วางสีหน้าไม่พอใจแต่อย่างใด “อื้อ...ก็นิดหน่อย”

เมื่อเห็นอาการของขนุน ผมก็พูดต่ออย่างสบายใจ “งั้นเราออกไปกินข้าวเย็นกันนะฮะ เดี๋ยวเค้าพาไปกินข้าวร้านหร่อยๆนะ”

“ตัวเองอารมณ์เย็นแล้วเหรอ?” ตอนนี้คนพูดเลื่อนสายตาจากหน้าผม กลับไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ตัวเองกำลังเขียนอีเมลตอบเรื่องงานค้างอยู่ แต่เท่าที่ฟังดู ผมรู้ดีว่าเจ้าตัวไม่ได้มีอารมณ์ขุ่นมัวแต่อย่างใด

ผมเลยถือโอกาสอ้อนเมียเสียเลย “ฮะ เย็นเป็นน้ำแข็งจนตอนนี้น๊าวหนาวจังเลยฮะ... ตัวเองทำให้เค้าอุ่นขึ้นหน่อยได้ไม๊ครับ? หื้มมมม...คนดีของน็อต (ฟอด ฟอด ฟอด ฟอด)” ผมถอนหน้าออกจากแก้มนุ่มนิ่ม แล้วยิ้มให้ขนุนอย่างมีความสุข

“ฮื่อ...กอดอย่างเดียวก่อนนะ...เดี๋ยวไม่ได้กินข้าวเย็นกันพอดี” พูดจบ ร่างเล็กก็ค่อยๆยืนขึ้นช้าๆ หันหน้ามาหาผม ก่อนจะเดินเข้ามาสวมกอดร่างผมเอาไว้แน่น ผมก็สอดแขนทั้งสองข้างลอดวงแขนของอีกฝ่าย ก่อนจะรัดรอบร่างกายแบบบางของอีกคนให้เข้ามาฝังเอาไว้แนบอกอย่างทนุถนอม

ผมกดหน้าลงเพื่อสูดดมความหอมของผมนุ่ม แล้วขออีกฝ่ายด้วยเสียงอ้อนๆ “ฮะ เดี๋ยวพอกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว เรากลับไปนอนบ้านเรากันนะฮะ เค้าอยากนอนกอดตัวทั้งคืนเลย” ...จริงๆถ้าไม่ติดว่าขนุนต้องกินข้าวเย็น ผมคงกอดเจ้าตัวเอาไว้โดยไม่คิดจะปล่อยให้ไปไหนอีกเลยที่เพิ่งบอกออกไป

“นอนที่นี่ก็กอดได้” เสียงอู้อี้บอกกับผมเรียบๆ เพราะใบหน้าเล็กๆกำลังซุกเข้ากับหน้าอกผม ผมรู้ดีว่า ประโยคนี้ของขนุนมาพร้อมกับความต้องการที่จะดัดนิสัยผม เพราะการมานอนที่นี่...แปลว่า ผมน่าจะต้องสำรวมตัวเอง และไม่เผลอทำอะไรรุ่มร่ามตามใจ แต่ขนุนคงลืมไปว่า...เรื่องชอบโชว์เป็นนิสัยน่ะมันเข้าทางผมอย่างที่สุด

คำตอบของผมจึงถูกส่งออกไปกลั้วกับเสียงหัวเราะในลำคอ “หึ หึ ก็ได้ฮะ...คืนนี้เรานอนที่นี่กันก็ได้  ถ้าตัวโอเคกับการปล่อยให้น้องหรือพี่สาวตัวเอง เปิดประตูมาเจอเราสองคนนอนกอดกันแบบไม่ใส่อะไรเลย เค้าก็โอเคฮะ”

“โรคจิต! พอว่าจบ มือเรียวก็หยิกเบาๆลงตรงหน้าอกข้างๆใบหน้าเล็กๆของเขานั่นเอง

ผมชอบอกชอบใจกับอาการของเมียเป็นอย่างมาก ที่ไม่เหลือเค้าโกรธขึ้นบึ้งตึงใดๆ แถมยังทำตัวน่ารักมากเป็นพิเศษเสียอีก ผมเลยอดแหย่คนในอ้อมกอดออกมาไม่ได้จริงๆ “หึ หึ...เค้ายอมเป็นคนโรคจิตไปอีกสิบชาติ ขอแค่ให้ได้นอนแก้ผ้ากอดกับตัวแบบที่เราทำกันอยู่ทุกคืนไปตลอด”
.
.
.
ขนุนเงียบไปสักพัก แล้วพูดออกมาเบาๆ “งั้นเค้าคงต้องเลิกทำงานเป็นนักเขียนตั้งแต่วันนี้ แล้วเปลี่ยนอาชีพไปเอาดีด้วยการเป็นจิตแพทย์แทนแล้วล่ะ”

ผมถึงกับคลายวงแขน ถอยออกห่างจากเจ้าตัวเพื่อจะได้มองหน้าของอีกคนให้ชัดๆ เพราะอยากรู้ว่าเพราะอะไรขนุนถึงได้พูดเรื่องเปลี่ยนงานขึ้นมาเสียดื้อๆ “ทำไมล่ะฮะ?”

ใบหน้าเล็กๆคลี่ยิ้มหวานจ๋อยส่งมาให้ แล้วพูดด้วยเสียงขำๆ “ก็ตัวต้องเป็นคนโรคจิตไปอีกตั้งสิบชาตินี่นา” พอพูดจบ คนตรงหน้าผมก็ย่นจมูกนิดๆอย่างน่ารักน่าชังเสียเหลือเกิน......ใครจะรู้ว่า เมียผมจะหยอดได้น่ารักขนาดนี้ 

และเพื่อให้แน่ใจว่า ตลอดทั้งคืนนี้ ผมจะสามารถตอบแทนความน่ารักของขนุนได้อย่างคู่ควร ผมเลยออกปากชวนอีกฝ่ายอกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้...ผมเผยแววตา และสีหน้าหื่นแบบเผยหน้าไพ่ ไม่มีบลัฟ ก่อนปิดท้ายด้วยจูบลงบนริมฝีปากเล็กๆอย่างแผ่วเบา “หึ หึ...เรากลับไปนอนบ้านโน้นกันคืนนี้นะฮะคนเก่ง (จุ๊บ)”

เจ้าของริมฝีปากนุ่มเนียนที่ยังประกบอยู่ไม่ห่างจากผม ยิ้มทั้งที่ยังไม่คลายสัมผัสจากปากผม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงยั่วๆ “อื้อ  เอาซิ”...ผมล่ะชอบใจจริงๆเลย ที่เดี๋ยวนี้ แค่มองตา...เราก็รู้ใจกันดีแล้วว่า อีกฝ่ายต้องการอะไร แถมพอขนุนเข้าใจความต้องการของผมแล้ว เขาก็สนองให้ทุกอย่าง จนผมอิ่มเอมเปรมปรีดิ์อย่างที่สุดไปเสียทุกครั้ง

“น่ารัก! ผมเอ่ยชมสุดที่รักของผมอย่างจริงใจ แล้วกดน้ำหนักของปากลงบนกลีบแดงเต่งที่เต้นไหวผ่านริมฝีปากของผมไปมา ระหว่างที่ขนุนยิ้มแล้วยิ้มอีกหลังจากได้ฟังสิ่งที่ผมเพิ่งจะบอกออกไป

เราประทับรอยสัมผัสแผ่วเบาลงบนริมฝีปากของกันและกันอยู่สักพัก แล้วก็เป็นอีกฝ่ายที่ถอนใบหน้าออกห่างผมน้อยๆ เพื่อส่งยิ้มให้ ก่อนจะนิ่งไปสักพัก แล้วอยู่ๆ ขนุนก็เอ่ยคำพูดที่ผมไม่คาดคิดว่า ชาตินี้ผมจะได้ยินมันหลุดออกจากริมฝีปากบางๆนั่น ออกมาให้ผมดีใจอย่างที่สุด
.
.
“ก็รักซิ” เมื่อพูดจบ ริมฝีปากเล็กๆก็เล่นซ่อนหากับผมอีกครั้ง ซึ่งดูเหมือนว่า คราวนี้ เจ้าของจะเขินมาก เลยซ่อนริมฝีปากเอาไว้เสียลึก จนทำให้ลักยิ้มทั้งสองข้างเผยออกมาให้เห็น เลยยิ่งทำให้ขนุนในเวลานี้ ยิ่งดูน่ารักไปกันใหญ่

แม้ไม่อาจจะหุบยิ้มได้ แต่ผมก็ไม่ลืมถามอีกคนออกไปอย่างจริงจังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “รักได้จริงๆเหรอฮะ?”

ร่างเล็กพยักหน้าช้าๆ แล้วส่งเสียงตามออกมาให้ผมชื่นใจขึ้นอีกเป็นร้อยเป็นพันเท่า “อื้อ...รักได้”

เย่สสส!!! ในที่สุด!!!.. ผมก็มีโอกาสได้พูดคำๆนี้ออกไปให้ขนุนได้รับฟังเสียที... ผมเลยไม่ลังเลที่จะเอ่ยมันออกไปเพื่อบอกแก่คนหน้าแว่น ถึงสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของผมมานานแสนนาน “งั้นเค้ารักตัวเองแล้วนะ น็อตรักขนุนนะฮะ ขนุนได้ยินไม๊ฮะ???...”

ผมถามอีกฝ่ายด้วยความดีใจอย่างที่สุด และคนที่กำลังเม้มปากอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็พยักหน้าน้อยๆส่งกลับมาให้อีกครั้ง แม้ภาพที่เห็นจะดูน่ารัก น่าประทับใจ...แต่นั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะรับรู้อย่างที่สุดในเวลานี้อีกต่อไปแล้วล่ะฮะ เมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมกำลังจะถามด้วยความตั้งใจ ในประโยคสั้นๆแสนเว้าวอนต่อไปนี้  “แล้วคนน่ารักล่ะฮะ จะรักเค้าได้ไม๊?”

ขนุนตอบนิ่งๆ แต่สิ่งที่เจ้าตัวบอกออกมามันฟังดูจะไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากได้ยินแม้แต่น้อย “ตัวรู้ไม๊  ถ้าไม่ติดที่ว่าตัวเป็นพวกอารมณ์ร้อน ใช้กำลัง และไม่ฟังใคร...โดยเนื้อแท้แล้ว เค้ารู้สึกว่าตัวน่ะน่ารักมากเลยนะ”

...อย่าบอกนะว่า เจ้าตัวเกิดอยากจะเฉไฉด้วยการใช้เสต็ปเทพเพื่อเลี่ยงคำถามของผมอีกครั้ง...
...บอกเลยว่า เรื่องนี้ ไอ้น็อตไม่ทนฮะ!!

ผมเลยรับคำไปแกนๆ หากแต่เน้นเสียงในประโยคปิดท้าย “อืมม...งั้นเหรอฮะ  แต่ตัวยังไม่ตอบคำถามเค้าเลยนะ” พอพูดจบ ผมก็เชยคางอีกฝ่ายขึ้น เพื่อให้สี่ตาจ้องตรงเข้ามาในตาผม อย่างน้อยๆ ถ้าเขาจะเลี่ยงไม่ตอบ เขาต้องรู้สึกผิดแน่ๆ ที่เขาทำให้ผมเสียใจ ที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ยินในสิ่งที่ผมอยากฟังมากที่สุด
.
.
.
หลังจากจ้องตากันนานสักพักหนึ่ง ขนุนก็ยอมพูดออกมาเบาๆ “ในคำว่า น่ารักน่ะ...มันมีคำว่าอะไรรวมอยู่บ้างล่ะ?”

...น่ารัก... น่า...รัก...
...รักเหรอ???!
...รักจริงๆเหรอ????!!!

ปากผมหลุดถามออกมาโดยไม่ได้กลั่นกรองอะไร “จริงเหรอฮะขนุน?...ขนุนพูดจริงๆนะ?”

อีกคนก็ตอบง่ายๆไม่อ้อมค้อม “อื้อ...หรืออยากจะให้เค้าบอกว่าล้อเล่น... ก็ได้นะ” รอยยิ้มนี้ ส่งมายั่วพร้อมๆกับเตือนให้ผมรู้ตัวว่า สิ่งที่ผมได้ยินไปทั้งหมดนั้นน่ะเป็นของจริง แต่ถ้าถามเซ้าซี้เหมือนไม่เชื่อใจกันอย่างนี้ล่ะก็...ไม่แน่ว่า เจ้าตัวอาจจะกลับคำพูดได้ง่ายๆ เพื่อแกล้งให้ผมตายทั้งเป็นเล่นๆสักวันสองวัน

ผมส่ายหัวป้อย แล้วปฏิเสธรัวๆ “ไม่ฮะ ไม่เอาฮะ...
.
...ตัวรักเค้านะ  รักเค้ามากๆนะฮะ และก็รักเค้าคนเดียวนะ”

ที่ผ่านมา...ผมไม่เคยต้องร้องขอความรักจากใคร เพราะไม่เคยรู้สึกอยากได้มันมากเท่ากับครั้งนี้มาก่อน  แต่พอผมรู้ตัวว่าผมรักขนุน ผมเลยไม่อาย หากต้องเลิกวางมาด เพื่อออกปากร้องขอความรักจากอีกฝ่ายซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนี้  และดูเหมือนอีกคนจะเข้าใจผมดี เลยตอบออกมาตามปกติโดยไม่คิดโยกโย้ หรือล้อเล่นให้ผมใจแกว่งแต่อย่างใด  “ฮื่ออออ รู้แล้ว ก็ทำอยู่ทุกวันเนี่ยะ ไม่รู้มั่งรึไงล่ะหัวจุก...หื๊ออ???”

ว่าจบ มือเล็กๆก็ถูกเจ้าตัวส่งมาหยิกแก้มผมเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว ผมเลยจับมือข้างนั้นเอาไว้ แล้วจูบหลังมือนั้นด้วยความตั้งใจ เพื่อส่งผ่านความขอบคุณที่ผมมีให้กับอีกฝ่าย ที่สุดท้ายก็ยอมเปิดใจให้ผมเสียที ผมรู้ว่าการกระทำของผมคงทำให้อีกคนเขินไม่น้อย เพราะแทนที่จะพูดอะไรหวานๆออกมาให้ผมฟัง ขนุนกลับเปลี่ยนเรื่องไปสู่หัวข้อที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องใหญ่ที่เพิ่งจะจบไปเมื่อครู่นี้ “ไปกินข้าวก่อนเถอะ...เค้าหิวแล้ว”

ผมคงต้องทำใจ...เพราะขนุนของผมน่าจะเป็นคนแบบนี้...
...แบบที่เมื่อเจ้าตัวพร้อมเต็มที่ เขาจะสามารถพูดเรื่องสำคัญต่างๆออกมาให้ฟังได้ เหมือนเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องง่ายๆ ด้วยท่าทางทีเล่นทีจริง หากแต่คำพูดฟังสบายๆเหล่านั้น กลับมาพร้อมกับความจริงใจ และความน่าเชื่อถืออย่างเต็มเปี่ยม...
...แต่พอถูกทำให้เขิน หรือ ทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เจ้าตัวไม่อาจจะควบคุมอารมณ์ และการตอบสนองได้อย่างเหมาะสม ก็จะเลี่ยงด้วยการเปลี่ยนเรื่อง ไม่ก็นั่งนิ่งไม่ยอมพูดไปเลยก็มี...
...หึ หึ... ถึงจะอย่างไร ผมก็รักคนๆนี้ของผมอย่างที่สุด

ผมเลยสะบัดไล่ความคิดเรื่องอื่นๆที่ไม่สำคัญนักออกจากหัว แล้วกุมมือข้างหนึ่งของอีกคนเอาไว้แน่น “ฮะ ฮะ...ไปกินข้าวเย็น แล้วค่อยกลับบ้านเรากันนะฮะ”

มือเรียวเล็กนุ่มนิ่มที่ถูกผมกับอยู่ กางนิ้วออก แล้วสอดอย่างบรรจงเข้าประกบกับมือผมอย่างแนบแน่น ก่อนที่เจ้าของร่างบางจะเอ่ยออกมาเบาๆ พลางพยักหน้าหงึกหงักทันใด “ฮื่อ ไปซิ”



ในที่สุดช่วงเวลาแห่งความสุขที่แท้จริงของผมก็มาถึงจนได้...
...ผมไม่นึกเลยว่า ความว้าวุ่นใจตลอดหลายวันที่ผ่านมา จะหายวับไปกับตาภายในช่วงเวลาไม่กี่นาทีที่เราสองคนพูดคุยกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้  แม้การบอกรักระหว่างเราจะมาถึงเร็วเกินกว่าที่ผมคาดคิดไว้ และค่อนข้างจะกะทันหันเกินไป จนไม่อาจเตรียมใจรอรับได้ทัน  แต่มันจะสำคัญอะไรล่ะฮะ...ในเมื่อเรื่องทั้งหมด คลี่คลายไปในทิศทางที่น่าพอใจเป็นที่สุด

หลังจากนี้...ผมจะบอกรักกับขนุนอย่างเป็นทางการอีกสักที พร้อมๆกับเปิดเผยเรื่องราวของตัวเองทั้งหมด ซึ่งต้องเก็บซ่อนเอาไว้เนื่องจากข้อจำกัดจากงาน  จากนั้น...ผมจะพาตัวว่าที่ลูกสะใภ้เข้าไปแนะนำให้คุณป๋า คุณบี๋ และคุณๆอีกสี่คนได้รู้จัก... และแล้ว เราสองคน จะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขไปตลอดได้เสียที



๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

No comments:

Post a Comment