Monday, October 31, 2016

«♥» บน บานฯ สาน รัก «♥» The Special Bonding Vol.1|| 31.10.2016



และแล้ว ตอนพิเศษตอนแรกก็ปรากฏ (หลังจากเงียบหายไปนาน แฮ่!)
จริง ๆ ตั้งใจจะลงเนื้อหาตอนหลัก แต่พอดูวันที่ลงนิยายในปฏิทินแล้ว
ก็อดเอาตอนนี้มาลงให้อ่านกันไม่ได้
ถึงมันจะสั้น แต่เนื้อหากับเข้ากั้นเข้ากันกับบรรยากาศของวันนี้เป็นอย่างดี
หวังว่าทุกคนจะปรานีเราแล้วทำเป็นลืม ๆ เรื่องความยาวไปเลยเนอะ

ก่อนอ่าน รบกวนย้อนอารมณ์กลับเมื่อหลายสิบปีก่อน (ตามท้องเรื่อง)
ขณะที่เหล่าสมุนเลวและรุ่นพี่ยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยกันอยู่
นี่คือการฉลองวันเกิดปีแรกของสกล หลังจากได้ครอบครองหมีโพลาร์อย่างเป็นทางการ
ถึงจะสั้นไปหน่อย แต่หวังว่าจะพอทำให้ใคร ๆ หายคิดถึงเหล่าสมุนเลวยุคบุกเบิกไปได้บ้างนะคะ






«»------------------------------------------------------------------------------------«»



The Special Bonding Vol.1
Halloween, (Say) Hello (to the) World!!




เนื่องจากพวกท่านคือผู้ได้รับคัดเลือกจากสวรรค์ ดังนั้น เวลาหกโมงเย็นของอีกสองวันข้างหน้า
ขอให้พวกท่านจงเร่งเดินทางไปยังชมรมมิติพิศวงเพื่อร่วมพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่นานทีปีหนจะจัดขึ้นสักครั้ง

หากพวกท่านขัดขืน ต่อต้าน หลบเลี่ยง หรือแกล้งหลงลืมหมายกำหนดการดังกล่าว
ชีวิตของพวกท่านนับจากวันนี้ จะอับเฉาและพานพบกับความอัปยศอดสูจนไม่อาจสู้หน้าผู้คน
จิตใจของพวกท่านจะสับสน วิปริตผิดเพศ จนพวกท่านอาจถึงแก่ความตายอย่างน่าอะเฟรดภายในเจ็ดวัน สิบสองเดือน

ป.ล. กรุณาส่งจดหมายนี้ต่อไปให้บุคคลที่ท่านรักอีกอย่างน้อยสามสี่ราย
ไม่เช่นนั้น คอนเซปต์ของจดหมายลูกโซ่นี้จะไม่สมบูรณ์
และโปรดทราบว่า อีกสองวันที่จะถึง คือ วันที่ 31 ตุลาคม 25XX
(อุตส่าห์ระบุชัดเสียขนาดนี้ เย็นวันนั้นก็อย่าเที่ยวไปตกปากรับนัดใครแบบสุ่มสี่สุ่มห้าอีกล่ะ!)




“เต๋อ เต๋อพาพวกเรามาที่นี่ทำไม?” สภาพโกโรโกโส รกชัฏใต้แสงแดดวอมแวมช่วงใกล้ค่ำทำเอากังฟูขาสั่นจนต้องแอบขดตัวอยู่ตรงกลางระหว่างร่างหนาของสองหมีอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ... ดู ๆ แล้วจุดประสงค์ของการมาเยี่ยมเยือนสถานที่น่ากลัวตรงหน้าอาจไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วงที่สุด ความสงสัยที่มีต่อการดำรงอยู่ของชมรมสุดพังก์ห่างไกลความเจริญนี่ต่างหากที่ทำให้กรกฏอดโพล่งประโยคเมื่อครู่ออกมาไม่ได้

“นี่ไงครับสาเหตุ” ตรินว่าพลางยื่นซองจดหมายสีชมพูช็อกกิ้งพิงค์คล้ายซองแต๊ะเอียส่งให้คนรัก

“หืม?! อะไรเหรอเต๋อ?” สีหน้างุนงงของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยดึงดูดความสนใจของด้วงได้อย่างชะงัด คิวท์บอยหนุ่มโน้มตัวลงแนบแก้มกับอริยะตรัยคนพี่พลางกวาดสายตาผ่านใจความในการ์ดใบน้อยด้วยความสนอกสนใจ แต่ก่อนที่หนึ่งในเด็กวิศวะปีสี่จะได้เปิดปากซักไซ้ถึงที่มาที่ไปของบัตรสนเท่ห์ในมือ กลุ่มคนคุ้นเคยก็พากันยกขโยงมาหยุดยืนเกาหัวพร้อมกับทำหน้าหมางงอยู่ตรงที่ว่างข้าง ๆ พวกเขานั่นเอง

“หึ! พวกมึงก็โดนเหมือนกันสินะ” เต๋อแสยะยิ้มเมื่อเห็นเหล่าสมุนเลวมากันพร้อมหน้าแถมแต่ละคนยังถือซองสีชมพูแบบเดียวกันเป๊ะ ๆ มาเสียอีก

“ครับพี่เต๋อ” ฌานรับคำด้วยรอยยิ้มบาง ๆ พลางโบกซองในมือเพื่อยืนยันความเข้าใจตรงกันอีกคำรบ

เมื่อตระหนักได้ว่ามีสมาชิกอีกสองหน่อตกสำรวจไป รุ่นพี่ร่างหมีจึงไม่อาจมองข้าม “อ้าว! แล้วไอ้สัดกลกับไอ้รินล่ะ?”

“พี่เต๋อไม่คิดว่าเรื่องนี้มีแว่นอยู่เบื้องหลังเหรอครับ?” แฝดพี่เลิกคิ้วมองพลางคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์  

“หึ หึ!” คนฟังหลุดหัวเราะขื่น ๆ ในลำคอก่อนเสริมความ “มิน่าล่ะ ตอนกินข้าวด้วยกันเมื่อวันก่อนไอ้รินมันถึงได้ดูลับ ๆ ล่อ ๆ นัก ที่แท้แม่งก็แอบเอาจดหมายปัญญาอ่อนของเมียมันมาสอดในสมุดสเก็ตกูนี่เอง”

“ว่าแต่ไอ้แนนมันจะเล่นอะไร? ทำไมพวกเราถึงต้องแห่กันมาถึงที่นี่ด้วย?” อารามไม่ไว้ใจสิ่งแวดล้อมน่าสะพรึงโดยรอบอยู่ทุกขณะจิต ความชัดเจนจึงเป็นสิ่งที่กังฟูถามหา

เฮ่ย!” สิ้นเสียงของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัย ประตูชมรมที่เคยปิดงับไว้ก็เปิดผางออกโดยไม่มีใครแตะต้อง จนหนุ่ม ๆ หลายคนหลุดปากร้องอุทานด้วยความตระหนก

แต่ก่อนที่ใครจะวิ่งหนีป่าราบกลับไปปลุกพระประพรมน้ำมนต์นั้น เสียงประกาศคุ้นหูซึ่งดังลอดลำโพงแตก ๆ ก็ได้ทำลายความเงียบปนหลอนเสียราบคาบ “ขอต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่านเข้าสู่งานเฉลิมฉลองสุดยิ่งใหญ่ประจำปีของชมรมมิติพิศวงในค่ำคืนนี้ครับ”

“หืม?! งานฉลองเหรอ? ชมรมมิติพิศวงเนี่ยนะ?” ด้วงพึมพำพลางมองหน้าคนรักทั้งสองสลับกับเหล่าสมุนเลวที่ได้แต่ยิ้มแหย ๆ อย่างละเหี่ยใจ

“แว่นมันเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ประจำชมรมนี้น่ะครับ มันคงไปล็อบบี้พวกน้อง ๆ จนได้ที่นี่เป็นสถานที่จัดงานคืนนี้น่ะครับ” ฌานอธิบายสั้น ๆ พลางเสมองไปทางอื่นเพื่อเลี่ยงบาลีคล้ายมีส่วนได้ส่วนเสียกับเจ้าภาพก็ไม่ปาน

“เอ้า! มัวยืนทอดหุ่ยอะไรกันอยู่ล่ะครับ? งานฉลองน่ะเขาจัดกันด้านใน ถ้าจะปักหลักอยู่ตรงนั้นทั้งคืน ก็เชิญขุดไส้เดือน จับหอยทากกิ้งกือกินกันตามอัธยาศัยแล้วกันนะครับ แต่สำหรับพี่เต๋อ... หญ้าขนมีบริการอยู่ตรงท้ายสโมฯ สัตวบาล คงต้องลำบากพี่เต๋อขับรถไปเคี้ยวเอื้องไกลหน่อยนะครับ”

ไม่ต้องเดาน้ำเสียงให้ลำบาก ลองว่าฝีปากเผ็ดร้อนขนาดนี้ ทุกคนในที่นั้นต่างก็รู้ได้ในทันทีว่าโฆษกตัวดีคือผู้ใด “ไอ้สัดกล! เดี๋ยวมึงได้โดนกูแน่!” ตรินถลึงตาพลางพูดจาคาดโทษใส่ลำโพง ก่อนจะกระชับฝ่ามือคนรักทั้งสองพร้อมเอ่ยชักชวนด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “ไปครับฟู ไปด้วง!

“สรุปว่าจะเข้าไปใช่ไหม?” วิญญูออกหน้าแทนอริยะตรัยคนพี่ เพราะเมื่อประเมินจากความมืดมนเวิ้งว้างของพื้นที่ว่างด้านหลังบานประตูแล้วล่ะก็ เขาบอกได้เลยว่ากังฟูต้องไม่พอใจกับการตบเท้าก้าวเข้าไปด้านในแน่ ๆ

ครับ ถ้าคืนนี้เต๋อไม่ได้เตะไอ้แว่น เต๋อไม่กลับห้อง! เต๋อลั่นวาจาหนักแน่นจนกรกฏพลอยรู้สึกฮึกเหิมตามไปด้วย 

“หึ หึ หึ... งั้นให้ฟูกับด้วงช่วยด้วยแล้วกัน”

“หึ! อย่างตั่วเฮียจะเข้าไปข้างในได้ด้วยเหรอครับ?” บรรยากาศมืด ๆ ทึม ๆ ของชมรมมิติพิศวงทำให้อิ๊กอดนึกถึงคุณสมบัติกลัวผีจนขี้ขึ้นสมองของพี่ชายอดีตแฟนไม่ได้ ไหน ๆ โอกาสงาม ๆ ในการขี่แพะไล่อีกฝ่ายก็มากองอยู่ตรงหน้า มีหรือที่อคิราจะไม่คว้าไว้ “อยู่จับนกจับหนูท่อแถวนี้กินไม่ดีกว่าเหรอ? เดี๋ยวกลับไปก็กลัวผีจนเดือดร้อนพี่เต๋อพี่ด้วงต้องผลัดกันตบก้นเห่กล่อมจนไม่เป็นอันหลับอันนอนกันหมดพอดี” หนุ่มบริหารยกยิ้มมุมปากพลางยักไหล่เยาะเย้ยรุ่นพี่ต่างคณะอย่างสะใจเหลือคณานับ

ไอ้สัดอิ๊ก เดี๋ยวกูลัดคิวเจิมเหง้าหน้ามึงก่อนไอ้เหี้ยแนนเลยดีไหม?!

โอ๊ย! เหม็นน้ำลาย! อดีตเดือนบริหารปรายตามองเหยียดหยามกรกฏอย่างไม่เห็นหัว “ถ้าทำได้แค่พูดปาว ๆ ก็เอาเวลาไปเห่าใบไม้เล่นไม่ดีกว่าเหรอครับตั่วเฮีย” เจ้าของประโยคบีบจมูกแถมทำหน้าทำตารังเกียจอีกฝ่ายราวกับไม่อาจทนสูดดมอากาศร่วมกันได้อย่างไรอย่างนั้น

หนอย! ไอ้เหี้ยอิ๊ก ปากดีนักนะมึง!” ถ้าไม่ติดว่าตรินกับวิญญูช่วยกันรั้งตัวเอาไว้ ป่านนี้กังฟูคงได้กระโจนเข้าตะกุยหน้าคู่กรณีจนเยินไปแล้วแน่ ๆ ฝ่ายฌอนที่เห็นท่าไม่ดี ก็รีบปิดปากพร้อมกับสวมกอดคนรักเอาไว้แน่น

“พวกเรารีบเข้าไปข้างในกันเถอะเต๋อ” ด้วงรวบรัดพร้อมกับฉุดอริยะตรัยคนพี่ให้เดินตามเขาและหนุ่มร่างหมีเข้าข้างในไปโดยพลัน

“ไป! เข้าข้างในกันเถอะพวกเรา! เดี๋ยวแว่นมันจะไม่เหลือใครให้คอยช่วยโทรเรียกรถพยาบาล”

“อ้าว! แล้วพี่รินล่ะครับพี่ฌาน?” เก็กโพล่งขึ้นด้วยความสับสน... แปลว่าคืนนี้พี่รินจะปล่อยให้สกลถึงแก่ความตายเพราะทนพิษสหบาทาไม่ไหวโดยไม่มาดูดำดูดีเลยน่ะเหรอ?

“หึ! ถ้ารายนั้นออกมาเซอร์ไพรส์แฟนทันก่อนแว่นจะโดนบ้านพี่เต๋อตื้บล่ะก็นะ” ร่างทรงหนุ่มว่ายิ้ม ๆ  พลางเดินนำหน้าทุกคนเข้าสู่ใจกลางความมืดมิดอย่างไม่ลังเล




“ฮี่โธ่ไอ้อิ๊ก มึงเองหรือเปล่าที่ตาขาวไม่กล้าเข้ามา”  พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเปิดฉากแดกดันข้ามฟากโต๊ะทันทีที่ความครึกครื้นของงานเลี้ยงคืนนี้เป็นที่ประจักษ์ “ข้างในนี้ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหน เด็กชมรมไอ้แนนออกจะเยอะแยะ” กังฟูพยักเพยิดนำสายตาคู่กรณีไปยังเหล่าสมาชิกชมรมที่เดินว่อนไปมารอบ ๆ โต๊ะจนแทบไม่มีที่ว่าง

“ชิส์!” นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่อคิราจนคำพูด ก็จริงอย่างที่ไอ้ตั่วเฮียมันว่า งานสังสรรค์นี่มีแขกเหรื่อหนาตาเกินกว่าที่เขาประเมินไปมาก แต่ถึงแม้จะมีผู้คนจับจองพื้นที่กันแน่นขนัด ความรู้สึกอึดอัดระคนพะวงแปลก ๆ ก็ทำให้ชายหนุ่มนั่งได้ไม่เต็มก้นสักเท่าไร

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าชมรมพิศวงจะมีสมาชิกเยอะขนาดนี้” คิวท์บอยเปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงกึ่งประหลาดใจ กึ่งชื่นชมในความยิ่งใหญ่ของชมรมที่แทบไม่มีใครพูดถึง

“นั่นสิครับพี่ด้วง ดูข้างนอกออกจะซอมซ่อแท้ ๆ ” ไม่ใช่แค่เออออห่อหมกไปเรื่อยเปื่อย หากแต่ธันวายังออกความเห็นเสนอแนะเสร็จสรรพ “นี่ถ้าเรี่ยไรเงินสมาชิกกันสักคนละร้อยสองร้อย ผมว่าห้องชมรมคงนิ้งกว่านี้เยอะเลยนะครับ”

ยิ่งได้ฟังถ้อยคำสรรเสริญเยินยอของบรรดาเพื่อน ๆ พี่ ๆ นานเท่าไร ฝาแฝดมากบารมีทั้งสองก็ลอบมองหน้ากันด้วยสายตายุ่งยากใจมากขึ้นเท่านั้น แต่แม้จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ฌานกับฌอนกลับทำได้แค่นั่งคลี่ยิ้มบาง ๆ พลางเต๊ะท่าเป็นปกติเพราะไม่อยากพูดอะไรให้ไก่ตื่น... ทว่าอนิจจา คนที่ไม่รู้ หรือดูไม่เห็นฉันใด ย่อมนำพาซึ่งความน่าหนักใจมาสู่ผู้มีดวงตาลึกล้ำฉันนั้น

“พี่ฌาน ฌอน เดี๋ยวผมจะไปตักอาหารตรงโน้น เอาอะไรไหมครับ?” บ๊วยเสนอตัวด้วยความปรารถนาดี แต่แฝดพี่กลับปฏิเสธด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักอย่างทันทีทันใด

“อย่าเลยบ๊วย พี่ฌานว่าพวกเรารอกินโต๊ะจีนทีเดียวจะดีกว่า” แฝดพี่ละล่ำละลักด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

“ทำไมล่ะพี่ฌาน? อิ๊กเห็นขนมไทยตรงโน้นดูน่ากินออกนะ” อคิราผู้หมายตาขนมทองทั้งตระกูลโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงขัดใจ

“ทุกคนครับ ผมแนะนำว่าให้ทุกคนกินอาหารที่เสิร์ฟบนโต๊ะนี้อย่างเดียวนะครับ อย่าไปตักอาหารบุฟเฟ่ต์กินเป็นอันขาด” เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม ร่างทรงหนุ่มจึงรีบประกาศแทรกด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดจริงจังเพื่อให้สมาชิกทั้งโต๊ะรับทราบโดยทั่วกัน

“อ้าว! ไหงงั้นล่ะไอ้ตัวบอส?! มึงห้ามพวกกูทำไม?” ตรินเริ่มยั้วกับความไม่มีเหตุผลของรุ่นน้อง ฌอนจึงออกรับแทนพี่ชายด้วยคำอธิบายที่เข้าใจง่ายกว่าความจริง

“ก็พวกเราไม่ได้จ่ายค่าหัวบุฟเฟ่ต์ล่วงหน้านี่ครับพี่เต๋อ เดี๋ยวคนจัดงานเขาจะว่าเอาได้”

“ใช่ครับ อีกอย่าง สำหรับแขกที่นั่งโต๊ะ เขาจะเสิร์ฟอาหารกับเครื่องดื่มให้เป็นพิเศษอยู่แล้วล่ะครับ” จังหวะที่แฝดพี่เสริมความก็พอดีกับที่พนักงานวางออเดิร์ฟจานใหญ่พร้อมด้วยเครื่องดื่มครบชุดลงตรงหน้าพวกเขาทั้งหมด สีสัน ควันกรุ่น กับกลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายสอ อีกทั้งปริมาณอันมากมายของอาหารกินเล่นในจานทำให้ทุก ๆ คนต่างพากันหลงลืมเรื่องอาหารในไลน์บุฟเฟ่ต์ไปในพริบตา

“เออ ว่าแต่ ใครมันเป็นคนคิดธีมงานวันนี้วะ? อย่าบอกนะว่าเป็นไอ้แนน” กรกฏตั้งข้อสังเกตขณะเคี้ยวอาหารหนุบหนับ

“ทำไมเหรอครับเฮีย?” ประโยคของพี่ชายคนรักทำเอาลูกแม่บัวกวาดตามองผู้คนรอบห้องอย่างสนอกสนใจ

“ก็ดูแต่ละคนสิ แต่งตัวธรรมดา ๆ เหมือนพวกเราที่ไหน”

“นั่นสิ” บรรยากาศทึม ๆ กับริ้วความเย็นเยียบชวนขนหัวลุกส่งเสริมให้อิ๊กร่วมสุมหัวเม้ากับอีกสองหนุ่มทั้ง ๆ ที่เกลียดอริยะตรัยคนโตยิ่งกว่าอะไร “โน่น ๆ เห็นผู้ชายคนนั้นไหม อย่างกับพวกนักรบในละครจักร ๆ วงศ์ ๆ เช้าวันเสาร์อาทิตย์ยังไงยังงั้น” อคิราว่าพลางชี้นิ้วนำสายตาเพื่อนร่วมวงสนทนาให้มองตามชายฉกรรจ์หน้าตาดุดัน ผิวสีบ่มแดดที่สวมใส่เพียงเสื้อกั๊กลงอาคมกับโจงกระเบนเท่านั้น

“ไอ้แนนนี่ก็เหลือเกินจริง ๆ จัดงานแฟนซีก็ไม่บอก ดูสิ พวกเราเลยดูเสล่อกันไปหมด” กังฟูบ่นหงุงหงิงด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก แต่อริเก่าแก่กลับไม่ละวางปล่อยผ่าน

“แหม ทำมาเป็นพูดดี ที่แท้ก็อยากแต่งคอสเพลย์” อคิราแซะรุ่นพี่ด้วยสีหน้าหมั่นไส้ “หึ! ติดใจชุดสาวน้อยเข้าหรือไงครับตั่วเฮีย ผมเห็นนะว่าเมื่อกี๊ตัวเฮียมองเกอิชาคนนั้นไม่วางตาเชียว”

“แดก ๆ เข้าไปเลยมึง ปากจะได้ไม่ว่าง!” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยจัดแจงยัดหอยจ้อลูกโตเข้าปากคู่อาฆาตด้วยความไวแสงจนอีกฝ่ายน้ำหูน้ำตาไหลพูดอะไรไม่ออกไปหลายนาที

“ผมขอต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทุก ๆ ท่านเข้าสู่ช่วงพิธีการของงานฉลองคืนนี้อย่างเป็นทางการเลยนะครับ” ที่สุดแล้ว สกลก็ปรากฏกายขึ้นท่ามกลางแสงไฟสป็อตไลท์ที่ส่องตรงไปยังใจกลางเวทียกพื้นเตี้ย ๆ ด้านหน้าห้อง “หลาย ๆ ท่านอาจสงสัยว่างานในวันนี้เกิดขึ้นเพราะเหตุผลกลใด กระผม ในฐานะเจ้าภาพขอแจ้งให้ทุกคนทราบว่า งานคืนนี้ คืองานวันเกิดของตัวกระผมเอง โฮะ ๆๆๆ ”

โห่!” เสียงตอบรับดังแซ่ซ้องมาจากโต๊ะของเหล่าสมุนเลวและรุ่นพี่โดยพร้อมเพรียงกันจนผู้ดำเนินรายการพ่วงตำแหน่งเจ้าภาพถึงกับต้องโบกมือโบกไม้ให้แฟน ๆ แทบไม่ทัน  

“ผมรู้ครับผมรู้ว่าผมเป็นคนสำคัญ ไม่ต้องโห่ร้องสรรเสริญผมดังขนาดนั้นก็ได้ ผมเข้าใจดี”

“แล้วนั่นมึงแต่งชุดบ้าอะไรของมึงกันครับ ไม่อายคนอื่นบ้างหรือไงไอ้เจ้าของวันเกิด?” สภาพหนุ่มแว่นในชุดสาวน้อยเซเลอร์มูนคือต้นเหตุของเสียงตะโกนแซวของรุ่นพี่ร่างหมีที่ไม่อาจทนมองอีกฝ่ายติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ได้ ทว่าหลานอาม่าใหญ่กลับมิได้นำพาแม้สักกระผีก

“แหม่ ความอิจฉานี่มันไม่เข้าใครออกใครจริง ๆ แค่เห็นน้องแต่งหญิงนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ตัวซี้ตัวสั่นอยากจะแต่งกันมั่งใช่ไหมล่ะ เดี๋ยวไว้ปีหน้าผมจะบอกอาเจ็กให้ส่งชุดมาให้พวกพี่ ๆ ได้แต่งเล่นเป็นเพื่อนกันนะครับ” คนเห็นผีพูดคล่องปร๋ออย่างต่อเนื่องและไม่เว้นช่องไฟให้ใครได้เอ่ยแทรก “แน่นอนว่า เมื่องานเฉลิมฉลองสุดอลังการเช่นนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดให้แก่คนไฮโปรไฟล์อย่างผม ผมก็ย่อมต้องมีกิจกรรมน่าสนใจมาให้ท่านผู้มีเกียรติทุก ๆ ท่านได้ร่วมสนุกสนานกันอย่างแน่นอน” สกลขยิบตาพลางทำท่าวาดแขนกางขาเลียนแบบอัศวินจันทราพลางอธิบายหมายกำหนดการของค่ำคืนโดยไม่สนท่าทางคัดค้านของผู้ใด

“ไม่เอาเว่ย! วันนี้พวกกูมาแดก แดกเสร็จแล้วก็จะกลับ!” และแล้ว กรกฏก็ประกาศจุดยืนเป็นคนแรก

“ฮื่อ อย่าพูดจาสามหาวใส่เจ้าภาพแบบนี้สิครับเฮียฟู ไหน ๆ ก็มากินของเขาฟรี ๆ แล้ว เฮียก็ต้องหัดทำตัวมีประโยชน์ตอบแทนเจ้าภาพบ้าง ความกตัญญูน่ะรู้จักไหมเอ่ย?”

ด้วยความที่รักและเทิดทูนเมียยิ่งกว่าสิ่งใด เต๋อจึงไม่อาจปล่อยให้รุ่นน้องหัวไข่ลามปามพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยโดยไม่โต้ตอบ “ไป! งั้นพวกเรากลับกันเถอะ!” ทันทีที่หัวหน้าครอบครัวสละเรือ หนุ่มวิศวะทั้งสองก็ผุดลุกขึ้นยืนตามโดยแทบจะพร้อมเพรียงกัน

เฮ่ย! อย่าเพิ่งดิครับพี่เต๋อ พี่ด้วง เฮียฟู!!” คนเห็นผีตาลีตาเหลือกกระเสือกกระสนลงจากเวทีมายืนดักหน้ารุ่นพี่ทั้งสามพลางอ้อนวอนและสารภาพความในใจด้วยท่าทางน่าเวทนา “อย่างน้อย ๆ ก็อยู่ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ให้ผมเป่าเค้กก่อนก็ยังดี! นะ ๆ ผมอยากฉลองวันเกิดพร้อมหน้าพร้อมตากับทุกคนน่ะครับ”

“งั้นก็เป่าเค้กเลยแล้วกัน พวกกูจะได้ไม่เสียเวลา!

“โห ทีตอนเฮียยังไม่ได้กับพี่เต๋อพี่ด้วง น้องรึก็อุตส่าห์ช่วยเหลือเป็นกาวใจให้ พอถึงทีน้องมั่ง แค่จะร้องเพลงวันเกิดให้น้องนิด ๆ หน่อย ๆ เฮียก็ดีแต่พูดจาพล่อย ๆ ราวกับคนไม่มีสัมมาคารวะเข้าเสียอีก จุด ๆ นี้ น้องชีช้ำระกำใจมากนะครับบอกเลย!” สกลบ่นใส่หน้ากรกฏผู้โหดร้ายโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมอย่างตรินหรือวิญญูเลยสักนิด

ได้ยินดังนั้น เต๋อจึงพูดลอย ๆ กับลมกับฟ้าราวกับรู้ว่ามีใครอีกคนกำลังแอบฟังอยู่อย่างตั้งใจ “เอ้า! ไอ้แนนมันเสียใจแล้ว ใครก็ได้ช่วยออกมาปลอบมันหน่อยดิ้!” ทันทีที่สิ้นเสียงประกาศของหนุ่มร่างหมี แสงไฟสลัว ๆ  ที่ให้ความสว่างของทั้งห้องก็ดับลงราวกับรู้คิว

“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทู้ยู แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทู้ยู...” ต้นเสียงเพลงสุขสันต์วันเกิดดังขึ้นพร้อม ๆ กับการปรากฏกายของสารินและเค้กวันเกิดขนาดใหญ่ที่จุดเทียนมาแล้วพร้อมสรรพ ไม่ใช่แค่เพราะคนรักที่แต่งตัวเป็นหน้ากากทักซิโด้หอบเค้กออกมาเซอร์ไพรส์อย่างเดียว หากแต่เป็นเพราะทุก ๆ คนที่เขารักต่างพากันร้องเพลงดังกล่าวอย่างเต็มอกเต็มใจ น้ำตาแห่งความตื้นตันของเจ้าของวันเกิดจึงไหลคลอหน่วยอย่างช่วยไม่ได้

“อธิษฐานก่อนนะครับเซเลอร์มูน แล้วค่อยเป่าเทียน” สารินเอ่ยแซวคนรักด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลจนอีกฝ่ายคลี่ยิ้มจนตาเป็นขีด จากนั้นหลานอาม่าใหญ่จึงรีบหลับตาพลางอธิษฐานอย่างตั้งอกตั้งใจเป็นที่สุด

“ขอให้คืนนี้ได้สนทนาธรรมกับหน้ากากทักซิโด้จนถึงเช้า” ด้วยกลัวว่าห้องจะเงียบเกินไป เก็กจึงทำเสียงเล็กเสียงน้อยพากย์ประกอบเพื่อแซวเพื่อนหน้าแว่น

“ขอให้หน้ากากทักซิโด้ยกพลขึ้นบกทั้ง ๆ ที่ยังแต่งตัวเต็มยศ” ฌอนรับช่วงต่อจากสหายสนิทอย่างลื่นไหลจนคนโดนพาดพิงอย่างสกลกับสารินถึงกับหลุดหัวเราะคิก จากนั้นไม่นาน หลานอาม่าใหญ่ก็เป่าเทียนทุกเล่มจนหมดอย่างรวดเร็ว เมื่อความมืดเข้าปกคลุม บรรยากาศหนาวเหน็บราวกับขั้วโลกก็แผ่ซ่านปกคลุมไปทั่วทุกตารางนิ้วจนกรกฏอดโพล่งขึ้นไม่ได้

“เฮ้ยพวกมึง ไปเปิดไฟดิ้ แล้วก็เลยไปปรับแอร์ด้วย หนาวฉิบหาย! รอบนี้ไม่ใช่แค่หนุ่มวิศวะร่างเล็กคนเดียวเท่านั้นที่กระถดตัวเข้าอิงแอบคนรักของตน หากแต่คนมีพันธะอีกสองคู่ก็คว้าตัวแฟนมากอดเพื่อเพิ่มความอบอุ่นใจทันที ในที่นี้ หมายถึงอคิรา และธันวาขาลักกินขโมยกินไม่เลือกที่

“เดี๋ยวผมไปเองครับ” ฌานอาสาทันทีก่อนจะหายหน้าไปพักหนึ่ง

ขณะนับถอยหลังรอให้ระบบไฟฟ้ากลับมาทำงานตามปกติอีกครั้งอย่างจดจ่อ เหล่าหนุ่ม ๆ ก็อดรู้สึกตะครั่นตะครอหนาว ๆ ร้อน ๆ ไม่ได้ ทว่าภายหลังจากที่หายหน้าไปเพียงอึดใจเดียว แฝดพี่ก็เดินกลับมาพร้อมกับเสนอทางเลือกอื่นที่น่าสนใจกว่าสำหรับใครหลาย ๆ คน “ท่าทางแอร์กับไฟจะเสียกะทันหันน่ะครับ ผมถามเจ้าหน้าที่ข้างหลังแล้ว ทางนั้นบอกว่าน่าจะใช้เวลาซ่อมอีกพักใหญ่ ๆ ผมว่าพวกเราออกไปหาอะไรกินกันที่อื่นดีกว่าไหมครับ จะได้ฉลองวันเกิดให้แว่นกันแบบจริง ๆ จัง ๆ เสียที” ฌานจำใจพูดปดเนื่องจากเห็นท่าไม่ดี ขืนพวกเขายังคงปักหลักอยู่ที่นี่ ไม่ใครก็ใครเป็นต้องได้เห็นการแสดงแสงสีเสียงสุดตระการตาจากแขกเหรื่อแปลกหน้าจนจับไข้ไปก่อนแน่ ๆ

“เฮ่ย! แต่พวกเรายังกินออเดิร์ฟไม่หมดเลยนะครับพี่ฌาน ผมเสียดายอ่ะ” ธันวาผู้ไม่ดูตาม้าตาเรือทัดทานคำชวนของหัวหน้ากลุ่มด้วยความหิวยังไม่บรรเทา จนฌอนต้องรีบแซะเพื่อดึงสติเพื่อนรัก
“มึงอย่าเพิ่งห่วงแดกดิวะหล่อ!
“ก็มันอร่อยนี่หว่า!
“ไปกินข้างนอกเถอะนะ พี่ฌานขอร้อง” แฝดพี่พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบพลางส่งสายตาอ้อนวอนรุ่นพี่ให้ช่วยปิดการขายก่อนที่เรื่องทั้งหมดจะบานปลายไปยิ่งกว่านี้

“เออ ๆ ไป ๆ เดี๋ยวกูเลี้ยงหมูกะทะหน้ามอเอง” ประโยคคัดค้านของน้องเมียมีอันต้องตกไปหลังจากเต๋อตัดสินใจรวบตึงสถานการณ์ตรงหน้าด้วยไม่อยากปล่อยให้กรกฏต้องหวาดกลัวไปมากกว่านี้

ทันทีที่สิ้นคำเต๋อ ทุก ๆ คนก็ทำหน้าปีติราวกับเพิ่งประจักษ์ชัดถึงแสงสว่างตรงปลายอุโมงค์เป็นครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น ทั้งหมดพากันเดินออกจากห้องดังกล่าวโดยไม่ต้องให้พูดซ้ำสอง แต่ก่อนที่สกลจะงับบานประตูชมรมปิดลง ชายหนุ่มก็คลี่ยิ้มพลางเอ่ยทิ้งท้ายกับความมืดมนอนธการภายในห้องอยู่ในใจ

ขอให้ทุกคนฉลองวันปล่อยผีกันอย่างมีความสุขนะครับ คำอวยพรของหลานอาม่าใหญ่นำพารอยยิ้มมาสู่ใบหน้าโปร่งใสเรืองแสงของบรรดาวิญญาณนับร้อยที่มารวมตัวกันเพื่อร่วมกินดื่ม สังสรรค์ในคืนวันปล่อยผีที่จะจัดขึ้นแค่ปีละครั้ง ณ ชมรมมิติพิศวงของมหาวิทยาลัยภายใต้การสนับสนุนของที่ปรึกษากิตติมศักดิ์อย่างนายสกล คนเห็นผีผู้นี้นี่เอง!




 «»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «»




Monday, October 24, 2016

«♥» บน บานฯ สาน รัก «♥» The 38th Bonding|| 24.10.2015

เวลาวารีไม่เคยคอยใคร
เหล่าเด็กชายที่เคยใส ๆ ในตอนที่ผ่าน ๆ มาก็ไม่อาจคงความไร้เดียงสาไปได้ตลอดเช่นกัน

ขอต้อนรับเข้าสู่โค้งสุดท้ายของภาคน้ำตาลคว่ำอย่างเป็นทางการนะคะ
โปรดทราบว่า ไม่เกินสี่ตอน นิยายเรื่องนี้ก็น่าจะปิดฉากลงแล้ว
เพราะฉะนั้น ชอบไม่ชอบประการใด อย่าลืมฝากข้อความแทนใจเอาไว้นะคะคนดี
ที่สำคัญ ใครอยากอ่านตอนพิเศษแบบไหน เราเปิดให้รีเควสกันได้ค่ะ
ก่อนจะปิดรับคำขอตอนหน้า... โอเคไหม?
(ถ้าเราพอเขียนได้ และพอนึกเนื้อเรื่องออกเราจะเขียนให้อ่านอีกทีเนาะ เกี่ยวก้อยสัญญา)





«»------------------------------------------------------------------------------------«»



The 38thBonding
ไหวไหมพี่ฌาน?




เลิกเรียนแล้วไปร้านหนังสือด้วยกันไหมพลับละสายตาจากติวเตอร์หน้าชั้นเรียนเพื่อเหลือบมองกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่คนนั่งเรียนข้าง ๆ เลื่อนมาวางตรงหน้าเมื่อช่วงเวลาเรียนจวนเจียนสิ้นสุด

ไม่ใช่เพราะตัวหนังสือทั้งหลายในกระดาษใบนั้นหรอกที่ทำให้เด็กหนุ่มลำบากใจ หากแต่เพราะสายตาเว้าวอนเจ้าของคำชวนนั่นต่างหากที่ทำให้ปวรจำต้องเขียนเนื้อความโต้ตอบด้วยอย่างเสียไม่ได้ วันนี้อาเรามารับ โทษทีนะ

ไม่เป็นไร ไว้ค่อยไปด้วยกันวันหลังก็ได้ แววตาของเด็กหนุ่มต่างโรงเรียนอ่อนแสงลงพร้อม ๆ กับใบหน้าวาดหวังที่กลับกลายหมองหม่น แต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้ฝาแฝดคนสุดท้องเห็นอกเห็นใจแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้จากข้อความสุดท้ายที่เพียงแสดงออกถึงมารยาท หากแต่ปิดกั้นโอกาสของอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง

ขอโทษนะ




“เดี๋ยวพลับ!” น้ำเสียงหวานหูที่ดังขึ้นจากเบื้องหลังทำให้ฝีเท้าเจ้าของชื่อชะงักค้างกะทันหัน จนเมื่อผินหน้ากลับไปมอง เขาก็ได้รู้ว่า เด็กสาวจากต่างโรงเรียนผู้กว้างขวางและเป็นที่รู้จักของเกือบทุกคนในสถาบันสอนพิเศษแห่งนี้ คือ คนที่เรียกรั้งเขาเอาไว้

“มีอะไรเหรอมินนี่?”

“ไปกินอุด้งด้วยกันป่ะ? ร้านนี้เพิ่งเปิดใหม่ อร่อยสุด ๆ เนี่ย พวกทีมก็จะไปด้วยนะ” ทันทีที่เห็นใบหน้าแดงเรื่อของเด็กหนุ่มเจ้าของกระดาษแผ่นเมื่อครู่ที่ยืนอยู่อีกฟาก พลับก็อดคิดไม่ได้ว่า การเชื้อเชิญครั้งนี้ มินนี่ย่อมต้องรู้เห็นเป็นใจกับทีมไม่มากก็น้อย นั่นจึงยิ่งทำให้ปวรไม่นึกอยากตอบรับคำชวนดังกล่าวขึ้นอีกทวีคูณ

“วันนี้คงไม่ได้หรอก อาเรารออยู่ข้างนอกแน่ะ” พลับยกฐานะจอมปลอมของคนรักขึ้นอ้างด้วยรู้ว่า วิธีนี้มักจะใช้ปฏิเสธคำชวนของใครต่อใครได้อยู่หมัด กระนั้นข้ออ้างนี้กลับไม่ได้ผล เมื่ออีกฝ่าย คือ เด็กสาวผู้ปลาบปลื้มคุณอาสุดหล่อของแฝดสามผู้โด่งดังจากโรงเรียนเอกชนชายล้วนเป็นทุนเดิม

“อาฌานมาเหรอ?!” มินนี่ยิ้มกว้างพลางทำหน้าทำตาตื่นเต้นจนปวรอดหงุดหงิดไม่ได้ แต่เพราะสถานะอันจำกัดแค่เพียงอากับหลาน ทำให้เด็กหนุ่มทำได้เพียงพยักหน้าพลางรับคำเนือย ๆ เท่านั้น

“อืม”

“เหรอ ๆ ?!” เด็กสาวออกอาการดีใจอย่างเปิดเผยขณะเดินเคียงข้างฝาแฝดคนสุดท้องนำหน้าเด็กวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ออกจากสถาบันติวโดยพร้อมเพรียง เมื่อทั้งหมดก้าวพ้นประตูก็เห็นคุณอารูปหล่อยืนยิ้มเผล่รอท่าอยู่ แต่ก่อนที่ปวรจะได้เอ่ยทักทายคนรักหลังจากไม่ได้เห็นหน้าค่าตากันนานหลายชั่วโมง มินนี่ก็ปรี่เข้าไปหาชายหนุ่มก่อนใครเพื่อน “อาฌานสวัสดีค่ะ”

ร่างทรงหนุ่มออกอาการเลิ่กลั่กพลางแอบสบสายตากับคนรักอย่างกระอักกระอ่วนค่าที่รู้เจตนาของมินนี่เป็นอย่างดี แต่แล้วก็ปลงใจได้ว่า หากเขาแสดงท่าทีเพิกเฉยต่อเด็กสาวผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ คงจะไม่ใช่การแสดงออกที่เหมาะสมนัก “เอ่อ สวัสดีครับน้องมินนี่”

“วันนี้อาฌานจะพาพลับไปทำธุระที่ไหนหรือเปล่าคะ?”

“...” ผู้มากอาวุโสกว่าจ้องหน้าเด็กสาวงง ๆ แต่เพราะอีกฝ่ายตั้งตารอฟังคำตอบของเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ฌานจึงไม่อาจเฉไฉหลีกเลี่ยง “ไม่ครับ อาแค่จะมารับพลับกลับบ้านน่ะครับ”

“ถ้างั้นอาฌานกับพลับไปกินอุด้งกับพวกเรานะคะ มินนี่เพิ่งลองกินกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนไปเมื่อวันก่อน อร่อยมาก ๆ เลยค่ะ”

ออร่ามาคุที่ปกคลุมโดยรอบจุดที่พลับยืนอยู่ทำให้ฌานบอกปัดเด็กสาวโดยแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดหาข้ออ้าง “อืม อาต้องขอโทษด้วยนะทุกคน พอดีวันนี้อาจองคิวบุฟเฟ่ต์เอาไว้เพราะตั้งใจจะพาพลับไปเลี้ยงหลังสอบมิดเทอม เอาไว้คราวหน้าแล้วกันนะครับ”

“ว้า แย่จัง อาฌานกับพลับเลยอดกินของอร่อยเลย” เด็กสาวบ่นกระปอดกระแปดด้วยความเสียดายเหลือกำลัง เพราะนาน ๆ หล่อนจึงจะสบโอกาสได้พบปะคุณอาสุดหล่อเสียที

แต่ดูเหมือนวันนี้โชคจะเข้าข้างติ่งวัยคอซองอย่างมินนี่เสียแล้ว เพราะอยู่ ๆ ฝาแฝดคนโตและคนกลางซึ่งไม่มีชั่วโมงเรียนในรอบนี้ก็มาปรากฏกายขึ้นตรงหน้า อีกทั้งยังออกเสียงสนับสนุนความคิดของหล่อนเข้าเสียอีก “บุฟเฟ่ต์เอาไว้กินวันหลังก็ได้ครับอาฌาน วันนี้พวกเราไปกินอุด้งกับมินนี่ก่อนก็ได้”

พี่พลาย?!
“อ้าวพี่พลาย วันนี้พี่พลายไม่ได้จะไปดูหนังกับพวกเพื่อน ๆ เหรอ?” ทั้งฌานและพลับต่างประหลาดใจไม่ต่างกัน เพราะเท่าที่รู้ ปภพกับปพนขออนุญาตบิดาทั้งสามออกมาเที่ยวเล่นผ่อนคลายกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนตั้งแต่เช้า

“พอดีพลุอยากกินอุด้งน่ะครับ พี่พลายเลยเลื่อนรอบหนังไปตอนเย็น” เหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ของทายาทคุณะประสิฒธิ์คนโตทำเอาน้องชายทั้งสองอดสังหรณ์ใจแปลก ๆ ไม่ได้ ดูท่าแล้ว พลายคงหมายมั่นจะทำอะไรสักอย่างที่มินนี่จะต้องไม่ปลื้มเอามาก ๆ ในภายหลังแน่ ๆ  

แต่เพราะเด็กสาวเป็นเพียงคนนอก สำหรับหล่อน จึงไม่มีอะไรน่ายินดีไปกว่าการได้ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันกับคุณอาของฝาแฝดทั้งสามอีกแล้ว “ดีเลยค่ะ งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะนะคะ มินนี่หิวจนตาลายแล้วค่ะ”

จังหวะที่มินนี่กำลังจะเดินเข้าไปเกี่ยวแขนฌานอย่างถือวิสาสะ ปภพกลับปาดหน้าเค้กฉุดแขนของฌานพร้อมจูงมือน้อง ๆ ไปยืนอีกทางพลางเอ่ยพร้อมส่งสายตาเยาะเย้ยสาวน้อยคอนแวนต์อย่างยียวน “ไปครับอาฌาน พี่พลายหิ๊ว หิว” สิ้นคำ หนุ่มป็อบหน้าคมก็เดินออกเดินไปพร้อม ๆ กับสมาชิกในครอบครัวโดยไม่รั้งรอพรรคพวกจากต่างโรงเรียน




“กี่ท่านคะ?” พนักงานประจำร้านเอ่ยขึ้นทันทีที่ลูกค้ากลุ่มใหม่เดินเข้าร้าน ปภพจึงรับหน้าที่ตอบคำด้วยน้ำเสียงฉะฉานพลางจัดแจงทุกอย่างเสร็จสรรพ

“สิบสองครับ แต่พี่ไม่ต้องต่อโต๊ะหรอกครับ เดี๋ยวพวกผมนั่งแยกกันตรงนั้นก็ได้ครับ” พลายว่าด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ จากนั้นจึงปลีกตัวเดินนำน้อง ๆ และคุณอาไปจับจองโต๊ะตัวหนึ่งซึ่งมีเก้าอี้เพียงสี่ตัวโดยไม่แคร์สายตาเคียดแค้นแสนสาหัสของมินนี่ที่จับจ้องมองตามไม่ลดละ

“ทำไมทำแบบนี้ล่ะใหญ่? นั่งด้วยกันทั้งหมดก็ได้หนิ พวกนั้นอุตส่าห์ชวนเรามากินข้าวด้วยนะ” พลุอดทักท้วงไม่ได้... ยังไม่ทันไร พี่ชายก็ออกลายเสียแล้ว

แต่อย่างที่รู้ว่าไม่มีใครห้ามปรามหรือขัดขวางความต้องการของเด็กหนุ่มผู้เอาแต่ใจสูงสุดประจำบ้านได้ สิ่งที่แฝดคนกลางได้รับเป็นการตอบแทน จึงมีเพียงสีหน้าไม่ยี่หระที่มาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ และเหตุผลเข้าข้างตัวเองแบบไม่มีใครเกิน

“ก็จะให้พนักงานเขาลำบากต่อโต๊ะทำไมล่ะกลาง นั่งแยกกันแบบนี้ก็ได้ เห็นมะ พอดี ลงตัวเป๊ะ ๆ แถมยังไม่เดือดร้อนใครอีกต่างหาก ใช่ไหมครับอาฌาน?” ไม่พูดเปล่า เด็กหนุ่มยังหันไปหาแนวสนับสนุนเหตุผลของตัวเองเข้าให้อีก แล้วมีหรือที่ฝ่ายซึ่งได้รับผลประโยชน์ไปเต็ม ๆ อย่างฌานจะเห็นต่าง ทว่าชายหนุ่มกลับยิ้มน้อย ๆ พลางส่ายหัวโดยไม่ได้พูดจาชี้นำ หรือตอกย้ำใด ๆ

ร่างทรงหนุ่มแสร้งเสไปมองพนักงานพร้อมกับทำทีเป็นปกติ “ขอเมนูด้วยครับ”

“หึ! เห็นไหมกลาง อาฌานยังเห็นด้วยเลย” พลายยักไหล่เมื่อเห็นคุณอารูปหล่อจงใจเฉไฉพลางรวบรัดตัดความด้วยการทึกทักไปเองเพื่อปิดประเด็นกับฝาแฝดคนรองอย่างเด็ดขาด

“ตัวเล็กอยากกินอะไรครับ?”

“ไม่รู้สิ พลับไม่ค่อยหิว” น้ำเสียงอ้อมแอ้มกับสีหน้าบอกบุญไม่รับของพลับทำให้ฌานอ่านสถานการณ์ตรงหน้าได้ขาดลอยโดยแทบไม่ต้องอาศัยสายตาสอดรู้สอดเห็นของเด็กมินนี่ที่อุตส่าห์ย้ายมานั่งโต๊ะข้าง ๆ กันเป็นข้อสันนิษฐานเพิ่มเติม... ชะรอยว่า อาการไม่เจริญอาหารเฉียบพลันของคนรักคงจะกลายเป็นวาระแห่งชาติในอีกไม่ช้าแน่ ๆ

“ลองดูเมนูก่อนนะครับ เผื่อจะอยากกินอะไรบ้าง” คนโตกว่ากุลีกุจอเปิดเมนูอย่างเอาอกเอาใจ

“ถ้าฌานหิวก็กินก่อนเถอะ เดี๋ยวพลับค่อยออกไปหาอะไรกินที่อื่น” ปวรผินหน้าหลบไปอีกทางคล้ายไม่มีอารมณ์จะเสวนากับใคร ๆ นั่นจึงทำให้คนโตกว่าตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดบัดเดี๋ยวนั้น

“พี่พลาย เดี๋ยวอาจะบอกพนักงานว่าให้เก็บเงินทั้งหมดกับพี่พลายนะ” ฌานว่าพลางวางบัตรเครดิตลงตรงหน้าฝาแฝดคนโตก่อนจะกำชับสั้น ๆ “อ่ะนี่ รูดจ่ายค่าอาหารมื้อนี้แทนอาที”

“อ้าว! อาจะไม่อยู่กินข้าวกับพวกเราเหรอครับ?” ทายาทคนรองของตระกูลทักขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกใจเพราะไม่นึกว่าฌานจะหักหน้ามินนี่ได้ลงคอ แต่พลายกลับหัวเราะอย่างชอบอชอบใจเมื่อผลสุดท้าย คุณอาก็เห็นแก่ความสุขของน้องชายเหนือสิ่งอื่น

“หึ หึ หึ น่ากลาง ปล่อยอาฌานไปเหอะ” ปภพพยักหน้าเห็นชอบกับผู้อาวุโสมากกว่าขณะเผยความตั้งใจที่แท้จริง “อาไม่ต้องห่วงทางนี้หรอกครับ เดี๋ยวพอป่วนวงนี้แตกกระเจิงเมื่อไร พี่พลายก็ว่าจะพาพลุไปดูหนังเสียหน่อย” คนพูดปรายหางตามองกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ อย่างมีเลศนัย

เมื่อสบายใจแล้ว ฌานจึงฉุดข้อมือพลับให้ลุกตามกันโดยไม่รอช้าสักวินาที “ตัวเล็กไปครับ”




“เริ่มหิวหรือยังครับตัวเล็ก?” หลังจากจับจองที่นั่งภายในร้านอาหารโปรดของเด็กหนุ่มได้ ฌานก็เอ่ยแซวคนนั่งตรงข้ามอย่างรู้ทัน

“ครับ” พลับยิ้มรับเขิน ๆ

“งั้นก็สั่งให้เต็มที่เลยนะครับ... กินเยอะ ๆ นะ”

“จะได้โตไว ๆ ใช่ไหมฌาน?” คำถามของเด็กหนุ่มเรียกเสียงหัวเราะของทั้งคู่ได้เป็นอย่างดีด้วยนี่คือหัวข้อยอดนิยมที่ทั้งสองมักจะถกเถียงกันอยู่เนือง ๆ  ทว่าก่อนที่พวกเขาจะหิวจนแสบไส้ ช่างภาพมืออาชีพก็รับคำพลางโบกมือเรียกพนักงานมารับออเดอร์ทันที

“ครับ”

“ฌานไม่รู้หรอกว่าพลับอยากเป็นผู้ใหญ่มากแค่ไหน ไว้ครบสิบแปดเมื่อไร พลับจะป่าวประกาศให้คนทั้งโลกรู้ว่าพลับเป็นแฟนฌานมันสามวันแปดวันเลยคอยดู!”  เด็กหนุ่มเปรยขึ้นอย่าเหลืออดทันทีที่สั่งอาหารเสร็จ นึก ๆ ดู เขาก็ช่างอดช่างทนดีเหลือใจ ไม่อย่างนั้นเขาคงได้สับมินนี่เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยค่าที่กล้าวอแวคนรักต่อหน้าต่อตา

ร่างทรงหนุ่มหน้าเสียเมื่อได้ยินถ้อยปรารภของอีกฝ่าย ทว่าสิ่งเดียวที่เขาทำได้คือการปลอบประโลมใจอีกฝ่ายให้ผ่านพ้นไปอีกวัน “อีกแค่ไม่กี่ปีเองครับ อดทนหน่อยนะคนดีของฌาน”

“อืม พลับจะอดทนและจะไม่งอแง” ดวงตาคมกริบที่ฉายแววเว้าวอนอ้อนออดของคนโตกว่าทำเอาจิตใจของเด็กหนุ่มอ่อนยวบ กระนั้น ปวรกลับไม่อาจปล่อยผ่านเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ตรงหน้าโรงเรียนกวดวิชาไปได้ “แต่ฌานก็ห้ามชายตามองคนอื่นล่ะ ไม่งั้นพลับฟ้องป๋าแน่!!” ฝาแฝดคนสุดท้องคาดโทษพลางชี้หน้าคนรักอย่างขุ่นเคือง หากแต่ในสายตาคนมอง ท่าทางของขึ้นดังกล่าวกลับดูน่ารักน่าใคร่ไปเสียฉิบ

“หึ หึ ตัวเล็กก็รู้นี่ครับว่าฌานไม่เคยมองใคร และจะไม่มองใครนอกจากตัวเล็กคนเดียว”

“สัญญา?” พลับเลิกคิ้วพลางจับจ้องคู่สนทนาโดยไม่ละสายตาคล้ายจะจับผิด อดีตเด็กสถาปัตย์ยิ้มหวานพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดฟังชัดถ้อยชัดคำ

“ฌานไม่สัญญาหรอกครับ แต่ฌานจะทำให้ตัวเล็กเห็นด้วยตาของตัวเอง”
“หืม?!
“ตั้งแต่อาทิตย์หน้าเป็นต้นไป ฌานจะรอตัวเล็กที่ลานจอดรถ พอตัวเล็กเรียนเสร็จเมื่อไร ฌานจะวนรถลงมารับตัวเล็กแล้วกลับเลย เราจะได้ไม่ต้องเจอหน้าใคร ดีไหม?” แม้จะไม่ใช่ข้อเสนอที่เจ้าตัวโปรดปรานสักเท่าไร เนื่องจากนั่นจะปิดโอกาในการลอบดูลาดเลาของเหล่าศัตรูหัวใจที่หมายช่วงชิงปวร ทว่าร่างทรงหนุ่มก็กัดฟันเอ่ยอย่างหนักแน่นเพราะเขาไม่อย่างให้ฝาแฝดคนเล็กต้องพะวงกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เช่น เด็กมินนี่ จนไม่เป็นอันเล่าเรียน ไม่เป็นอันกินอีกต่อไป

“อืม เอาแบบนั้นก็ได้ ขอบคุณนะครับฌาน” ภายใต้รอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าหล่อหมดจดที่ละม้ายบิดาหน้าหยกหากแต่ดูนุ่มนวลและอ่อนโยนกว่าหลายเท่านั้น บอกเล่าถึงความพึงพอใจขั้นสูงสุดของเจ้าตัวจนฌานอดเบาใจไม่ได้ ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มกลับไม่ลืมที่จะสำทับกับคนรักถึงความห่วงหาอาทรที่ตนมีให้อีกฝ่ายอย่างไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันอีกคำรบ

“ถ้าอยากขอบคุณฌาน ตัวเล็กก็ต้องดูแลตัวเองดี ๆ อย่าปล่อยให้ใครเข้าใกล้ได้ง่าย ๆ รู้ไหมครับ”

“รับทราบและจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดครับพ้ม!” ท่าทางตะเบ๊ะพลางรับคำด้วยรอยยิ้มของเด็กหนุ่มทำเอาคุณอาในนนามคลี่ยิ้มตามด้วยความเอ็นดู  




“ฌาน เดี๋ยวพลับไปดูหนังสืออ่านเล่นทางโน้นนะ”

เจ้าของชื่อปิดหนังสือในมือแล้ววางคืนลงบนชั้นทันทีที่ได้ยินประโยคของคนที่เดินลิ่ว ๆ เข้าร้านหนังสือขนาดใหญ่ภายในห้างสรรพสินค้าภายหลังจากช่วงเวลาของอาหารมื้อกลางวันสิ้นสุด “ไว้ฌานค่อยแวะมาดูวันหลังอีกทีก็ได้ครับ ตัวเล็กอยากได้หนังสือใหม่เหรอ ไปสิ ไปดูกัน” พูดยังไม่ทันขาดคำ คนโตกว่าก็ทำท่าจะผละจากมุมหนังสือภาพเพื่อติดสอยห้อยตามอีกฝ่ายไปพร้อม ๆ กัน

แต่ประกายวิบวับที่ปรากฏขึ้นในแววตาของช่างภาพหนุ่มยามเพ่งมองรายละเอียดต่าง ๆ ในหนังสือเล่มเมื่อสักครู่ทำให้พลับรู้สึกไม่ดีหากฌานเฝ้าแต่จะเอาใจเขาอยู่ฝ่ายเดียว “ไม่เป็นไร พลับไปแป๊บเดียว ฌานดูหนังสือไปก่อนเถอะ เดี๋ยวพลับกลับมาหา”

“ครับ ๆ ”

เมื่อเห็นคนรักกลับเข้าสู่โลกแห่งภาพถ่ายเป็นที่เรียบร้อย เด็กหนุ่มก็ปลีกตัวไปเดินดูหนังสืออ่านเล่นบ้างทันที แต่ก่อนที่เจ้าตัวจะได้หนังสือเล่มใหม่ติดมือกลับบ้าน ก็มีเสียงคุ้นหูดังขึ้นใกล้ ๆ “พลับ”

“อ้าวทีม มาซื้อหนังสือเหรอ?” อารามประหลาดใจระคนประดักประเดิดเมื่อต้องเจอหน้าเพื่อนต่างโรงเรียนที่ตนคอยหาทางเลี่ยง ปวรจึงเผลอหลุดปากถามถึงสิ่งที่เขารู้คำตอบอยู่แล้วออกไปโดยไม่ทันได้ยั้งคิด

“ใช่ เราจะมาซื้อแฮร์รี่ พ็อตเตอร์เล่มใหม่น่ะ พลับล่ะ มาดูหนังสือเรื่องอะไร?”

“ไม่รู้ดิ ว่าจะดูไปเรื่อย ๆ ก่อนน่ะ” ฝาแฝดคนสุดท้องตอบด้วยท่าทางหลุกหลิก เด็กหนุ่มเริ่มมองหาตัวช่วยพลางคิดสะระตะถึงทางหนีทีไล่เพื่อพาตัวเองออกจากสถานการณ์ชวนอึดอัดตรงหน้าโดยเร็วที่สุด

“ถ้างั้นให้เราเดินดูหนังสือเป็นเพื่อนนะ” หลังจากผิดหวังซ้ำซากมาตลอดทั้งวัน ทีมจึงไม่ละความพยายามที่จะใช้เวลากับเด็กหนุ่มที่ตนหมายตาไปง่าย ๆ ผิดกับอีกฝ่ายที่จ้องแต่จะหาช่องเลี่ยงหลบไปเสียทุกเมื่อ

“ไม่ต้องหรอก เราอยู่คนเดียวได้ ทีมไปซื้อหนังสือเถอะ”

“ไม่เป็นไร เราอยากอยู่กับพลับมากกว่า” ทีมว่าพลางส่งสายตาสื่อความหมายลึกซึ้งเกินกว่าเพื่อนร่วมชั้นเเรียนกวดวิชาพึงกระทำ เขารู้ตัวดีว่าชอบอะไร รวมถึงชอบใคร แน่นอนว่าเมื่อเจอคนถูกใจ เด็กหนุ่มจึงไม่ยอมปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย

“อย่าเลยทีม เราเกรงใจ อีกอย่าง เดี๋ยวเราจะกลับไปหาอาแล้ว พอดีอาเราดูหนังสืออยู่ตรงโน้นแน่ะ เราไปนะ” ปวรโบกมือลาคนตรงหน้าแล้วสาวเท้าฉีกหลบไปอีกทางอย่างว่องไว หากแต่ก็โดนทีมส่งเสียงรั้งเข้าอีกครั้งจนได้

“เดี๋ยวพลับ”

“หืม มีอะไรเหรอทีม?” ค่าที่ไม่อยากทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายโดยไม่จำเป็น อีกทั้งไม่ขยันสร้างศัตรูเหมือนกับพี่ชายคนโต พลับจึงยอมหมุนตัวกลับไปคุยกับเด็กหนุ่มต่างโรงเรียนโดยดี

“พลับไม่ชอบกินอุด้งเหรอ?”

“เปล่า”

“แล้วทำไมพลับไม่อยู่กินอุด้งกับพวกเราล่ะ?”

“อ๋อ พอดีวันนี้เราท้องไม่ค่อยดีน่ะ อาเลยพาเราออกมาหาอะไรอ่อน ๆ กิน” ฝาแฝดคนสุดท้องอ้อมแอ้ม... จะให้ยอมรับกับอีกฝ่ายได้อย่างไรว่าเขาไม่มีอารมณ์จะกินอะไร ตราบใดที่มินนี่ยังปรากฏกายอยู่ในกรอบสายตา

“เหรอ” ทีมรับคำอย่างเลื่อนลอย เพราะครั้นจะให้บอกว่าไม่เชื่อ เขาก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก

“อืม ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เราไปก่อนนะ” ทายาทคุณะประสิฒธิ์ยืนกรานความตั้งใจอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไป ทว่าการเอ่ยลาดังกล่าว กลับทำให้เด็กหนุ่มต่างโรงเรียนฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง

“อย่าเพิ่งดิพลับ”

“ทีมมีอะไรเหรอ?” หากความรู้สึกรักใคร่ไม่บังตาปิดหูจนโสตประสาทผิดเพี้ยน ป่านนี้ทีมคงจับหางเสียงไม่พอใจปนรำคาญของพลับได้ไปนานแล้ว

“คือ พลับตอบไลน์เราหน่อยได้ไหม? เราอยากคุยกับพลับบ้างน่ะ” ขณะที่พลับถูกสายตาวิงวอนของเด็กหนุ่มต่างโรงเรียนกดดันอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงเรียกเข้าของหมายเลขคนพิเศษดังแทรกขึ้นทันควันราวกับพระมาโปรด

“ฮัลโหล”

ดูเหมือนทีมจะสามารถจับสัญญาณตื่นตระหนกในแววตาของคู่สนทนาหลังรับสายได้ เจ้าตัวจึงรีบรวบตึงอย่างรวดเร็วโดยหวังจะใช้ความฉุกละหุกของสถานการณ์ตรงหน้าทำให้พลับเผลอตกปากรับคำแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว “นะพลับ เราไม่อยากส่งข้อความไปหาพลับฝ่ายเดียวอีกแล้วน่ะ”

อนิจจา ความหัวใสของเด็กหนุ่มหรือจะสู้น้ำเสียงนิ่งเรียบ ไร้อารมณ์ที่ชวนให้ใจคนฟังกระตุกวูบที่ดังอยู่ข้าง ๆ หูได้ “ครับ ๆ จะไปเดี๋ยวนี้ครับ” พลับเบือนหน้าไปคุยกับเพื่อนร่วมห้องกวดวิชาแบบลวก ๆ “เราไปก่อนนะทีม อาเราโทรตามแล้ว” สิ้นคำ เด็กหนุ่มหน้าหยกก็ซอยฝีเท้าออกจากร้านไปทันทีเพื่อกวดไล่ตามแผ่นหลังกว้างที่เดินเลี่ยงไปอีกทางด้วยกลัวจะคลาดกัน

ฌาน!
ฌาน รอพลับด้วย!” แม้จะไม่มีสัญญาณตอบรับจากฌาน ทว่าเด็กหนุ่มก็ไม่ละความพยายามที่จะตะโกนพลางวิ่งกระหืดกระหอบตามร่างสูงกว่าเบื้องหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย

ไม่ว่าจะด้วยเพราะอดีตเด็กเต็กจะผ่อนความเร็วในการสืบเท้าลง หรือเพราะปวรสับขารวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ที่สุดแล้ว ฝ่ายคนไล่ตามก็สามารถวิ่งไปดักหน้าฌานได้สำเร็จ  “ฌานเดินช้า ๆ ได้ไหมครับ?”

“...” ชายหนุ่มเสมองไปอีกทางพลางสะกดกลั้นความรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านอย่างเต็มความสามารถ

“ฌาน ฌานอย่าโกรธพลับเลยนะ พลับไม่รู้จริง ๆ ว่าจะเจอคนอื่น”

“...”

“ขอโทษนะครับ เมื่อกี๊พลับน่าจะรอฌานไปดูหนังสือด้วยกัน” ปวรละล่ำละลักด้วยสีหน้ารู้สึกผิด หากเมื่อกี๊เขายอมอดใจยืนรออีกฝ่ายนานกว่านี้อีกนิด เหตุการณ์ดังกล่าวคงไม่เกิดขึ้น

อาการพูดไปหอบไป กับใบหน้าขึ้นสีแต้มเหงื่อพรายของคนรักที่เพิ่งวิ่งตามมาทำเอาร่างทรงหนุ่มอดสงสารและเป็นห่วงไม่ได้ “เฮ่อ ดูซิ ผมเผ้ากระเซิงหมดแล้ว”

“ก็วิ่งมานี่นา”

“เหนื่อยไหมครับตัวเล็ก?” เจ้าของคำถามว่าพลางจัดแต่งทรงผมของเด็กหนุ่มให้เข้าที่โดยไม่ลืมปาดเม็ดเหงื่อตามกรอบหน้าเรียวออกอย่างทะนุถนอม

“หึ! ไม่เหนื่อยครับ แค่กลัวว่าจะวิ่งตามฌานไม่ทันเฉย ๆ ฌานไม่รู้ตัวเหรอว่าฌานน่ะเดินเร็วมาก”

คำอธิบายของเด็กหนุ่มทำเอาอดีตเด็กเต็กรู้สึกผิดขึ้นมาถนัดใจ... ในฐานะของคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวและเห็นโลกมายาวนานกว่าอีกฝ่าย เขาน่าจะควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่านี้ แต่เอาเข้าจริง ฌานกลับทนเห็นคนอื่นเข้าใกล้พลับแทบไม่ได้เลย รู้ตัวอีกที เขาก็หลับหูหลับตาหันหลังให้คนรักเข้าเสียแล้ว “ขอโทษครับ ต่อไปฌานจะไม่เดินหนีตัวเล็กอีกแล้วครับ”

“ไม่ต้องขอโทษหรอก เพราะพลับเองก็จะไม่ยอมปล่อยให้ฌานเดินหนีพลับไปไหนง่าย ๆ อีกแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์พลางสอดนิ้วมือประสานกระชับกับฝ่ามือกร้านที่รั้นแต่จะชักมือกลับทันทีราวกับต้องของร้อน

“อย่าครับตัวเล็ก เดี๋ยวใครจะมองตัวเล็กไม่ดี” ขณะที่คัดค้านหัวชนฝา ฌานก็ไม่รามือจากการยื้อยุดฉุดปลายแขนจากการเกาะกุม แต่เด็กหนุ่มกลับไม่ให้ความร่วมมือแต่อย่างใด

“คนอื่นจะมองยังไงก็ช่างเขาสิ ก็พลับพอใจจะเดินกับแฟนแบบนี้ ใครจะทำอะไรพลับได้!!

“ไม่เอาอย่างนั้นสิครับตัวเล็ก” ร่างทรงหนุ่มพยายามคลายนิ้วมือของอีกฝ่าย ปวรจึงตอบแทนเขาด้วยใบหน้าบูดบึ้งขึ้งโกรธ เห็นดังนั้น ฌานจึงเปลี่ยนเป็นเอาน้ำเย็นเข้าลูบแทน “แข็งใจหน่อยเถอะครับ อีกแค่สามปีเอง... นะครับ ฌานไม่อยากผิดคำพูดกับป๋า”

“ป๋าแค่สั่งไม่ให้ฌานบอกคนอื่นว่าเราเป็นแฟนกัน แต่ถ้าฌานไม่พูด ถ้าพลับไม่พูด แล้วพวกเราจะทำผิดสัญญาของป๋าได้ยังไงล่ะครับ?!!” พลับเถียงคอเป็นเอ็น... กะอีแค่เดินควงแขน หรือจับมือกันยังทำไม่ได้ แล้วจะเหลืออะไรให้เขาใช้แทนสัญลักษณ์ของการแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของคนโตกว่าได้อีกล่ะ?!

“แต่เราก็ไม่ควรทำแบบนี้ ยิ่งในที่สาธารณะยิ่งไม่ควรไปกันใหญ่” เจ้าของประโยคชำเลืองมองฝ่ามือทั้งสองที่สอดประสานกันอย่างแนบแน่นสลับกับสอดส่องทีท่าของผู้คนรอบข้างด้วยสายตาหวาดหวั่น

“ไม่เห็นมีใครเคยบอกเลยว่าห้ามผู้ใหญ่กับเด็กเดินจับมือกัน เวลาพลับไปไหนมาไหนกับป๋า พลับก็ควงป๋าเดินออกบ่อยไป” ปวรลอยหน้าลอยตาให้เหตุผลตามความเคยชินที่ตนชอบทำยามอยู่กับบิดาทั้งสาม

“อย่าดื้อสิครับตัวเล็ก ที่ป๋าห้ามเพราะป๋าไม่อยากให้ตัวเล็กเสียหายนะครับ”

“ดีเสียอีก คนอื่นจะได้ไม่มายุ่งกับพลับไง ฌานจะได้ไม่หึงจนเดินหนีพลับแบบเมื่อกี๊อีก”

“โธ่!” ร่างทรงหนุ่มโอดครวญอย่างจนแต้ม... จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า ถ้าเมื่อกี๊เขาไม่มัวตื่นเต้นกับภาพถ่ายในหนังสือนั่น เด็กคนนั้นคงไม่กล้าดอดเข้าหาคนของเขาง่าย ๆ

“ถ้าฌานกลัวพลับจะเสียหาย ฌานก็ต้องดูแลตัวเองให้ดูหนุ่มแน่นอยู่ตลอดสิ เวลาเราสองคนเดินควงกัน คนอื่นเขาจะได้เข้าใจว่านี่แฟนนะ ไม่ใช่พ่อกับลูก” เด็กหนุ่มยิ้มเผล่พลางกระเซ้าเย้าแหย่คนฟังจนอีกฝ่ายคลี่ยิ้มตามอย่างห้ามใจไม่ได้

“มันใช่เสียที่ไหนล่ะครับ” ถึงปากจะติติง แต่เอาเข้าจริง ฌานก็เผลอยกธงขาวอยู่ในใจไปตั้งแต่เมื่อแรกเห็นสีหน้าไม่พึงพอใจของอีกฝ่าย ที่สำคัญ ลึก ๆ แล้ว เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การได้แสดงออกทางความรักต่อเด็กหนุ่มผ่านภาษากายทุกเมื่อ และทุกสถานที่ตามแต่ต้องการ คือ หนึ่งในความใฝ่ฝันตลอดช่วงหลายสิบปีมานี้

“เอ แต่ไม่ดีกว่า” ปวรชะงักค้างพลางทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกถึงเรื่องสำคัญบางประการได้อย่างฉับพลันจนฌานอดสงสัยไม่ได้ “ห้ามฌานดูดีไปกว่านี้เด็ดขาด แค่นี้พลับก็หึงจนไม่รู้จะหึงยังไงไหว!

“โธ่เอ๊ย! ไปกันใหญ่แล้ว” ขณะที่ส่ายหัวอย่างอ่อนใจให้กับเหตุผลที่เพิ่งได้รับฟัง ฝ่ามือกว้างของชายหนุ่มก็เลื่อนขึ้นไปยีผมนุ่มของคนรักด้วยความเอ็นดูอย่างที่สุด

“ก็มันจริงนี่” ฝาแฝดคนสุดท้องของบ้านคุณะประสิฒธิ์บ่นกระปอดกระแปดพลางออกเดินไปอย่างช้า ๆ หากแต่ไม่ปล่อยมือจากคนรักสักวินาที โดยที่อีกฝ่ายเองก็แสร้งทำเป็นลืม ๆ สัมผัสอบอุ่นแนบแน่ดังกล่าวไปเช่นกัน


«»------------------------------------------------------------------------------------«»


“อาห์ ใหญ่... เดี๋ยวก่อน” ปพนยันบ่าทั้งสองของเรือนร่างที่คร่อมเหนือตนให้ผละห่างพลางพยายามอ้อนวอนอีกฝ่ายให้ยุติบทเล้าโลมที่เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน

“ฮื่อ” ฝาแฝดคนโตส่งเสียงในลำคออย่างหงุดหงิดพร้อมกับทิ้งน้ำหนักกดทับลำตัวท่อนล่างของผู้เป็นน้องโดยไม่ละปลายจมูกโด่งจากซอกคออีกฝ่าย

“ใหญ่ ฮื่อ มีคนเคาะประตูห้อง” ขณะที่เบี่ยงลำคอหลบลี้หนีใบหน้าของปภพ พลุก็ปัดป่ายฝ่ามือร้อน ชื้นเหงื่อที่ค่อย ๆ ไต่ลงต่ำให้พ้นตัวเป็นพัลวัน นั่นจึงทำให้ผู้รุกรานจำต้องถอนใบหน้าขึ้นเพื่อส่งสายตาเกรี้ยวกราดกำราบคนดื้อดึงให้ยอมสิโรราบแต่โดยดี

“หูฝาดแล้ว กลางจำเสียงครางตัวเองไม่ได้หรือไง?”

ใหญ่ กลางบอกให้หยุดไง!” น้องรองของบ้านตวาดส่งท้ายก่อนจะใช้ฝ่าเท้าเป็นมาตรการขั้นเด็ดขาดเพื่อจัดการกับอีกฝ่ายจนแฝดพี่ลงไปนอนคู้ตัวอยู่ข้าง ๆ
โอ๊ย! กลางถีบใหญ่ทำไมเนี่ย?!
ก็บอกกี่ทีแล้วว่าให้หยุด ๆ !” พลุแผดเสียงดุฝาแฝดคนโตพลางพยักเพยิดไปทางประตูหน้าห้องที่มีเสียงเคาะดังแผ่ว ๆ ซึ่งหากไม่ลองตั้งใจฟัง ย่อมไม่มีทางได้ยิน “มีคนเคาะประตูหน้าห้องอยู่จริง ๆ นะ”
จิ๊!” พลายชี้นิ้วคาดโทษน้องชายก่อนก้มลงคว้าเสื้อยืดที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาใส่ก่อนจะย่ำเท้าหนัก ๆ ไปเปิดประตูอย่างไม่มีทางเลือก  

“อ้าว อาฌาน มีอะไรเหรอครับ?” ทายาทรุ่นที่สามคนโตอุทานด้วยน้ำเสียงแปลกใจเมื่อเห็นคุณอายืนทำหน้ายุ่งอยู่ตรงหน้าห้องนอนของพวกตน ร้อยวันพันปี ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องงานหรือเมากลับมา อาฌานของพวกเขาไม่เคยปล่อยให้พลับนอนคนเดียวเลยสักคืนนี่นา

“อามีเรื่องอยากคุยกับพี่พลายหน่อย ลงไปคุยกับอาข้างล่างแป๊บนึงได้ไหม?” คำถามดังกล่าวทำเอาคนฟังแอบเหลือบมองเด็กหนุ่มผู้มีรูปพรรณสัณฐานเหมือนตนที่กึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนเตียงอย่างห่วง ๆ ก่อนจะส่ายหัวดิกนำร่องประโยคปฏิเสธอย่างสุภาพ

“คุยตรงนี้เถอะครับอา คุยเบา ๆ ก็ได้”

“อืม” คนโตกว่าจำใจตอบรับด้วยเพราะครั้งนี้ตนเป็นฝ่ายแบกหน้ามาหาเด็กหนุ่มเพื่อขอความช่วยเหลือถึงที่

“อามีอะไรเหรอครับ?”

“พี่พลาย ตอนพลับอยู่โรงเรียนมีคนมาจีบเยอะไหม?” แม้คำถามดังกล่าวจะฟังแปร่งหู ยิ่งเมื่อพิจารณาจากสถานศึกษาของฝาแฝดทั้งสามที่เป็นโรงเรียนชายล้วนเป็นเหตุผลประกอบด้วยแล้ว หากแต่เพราะการรักชอบเพศเดียวกันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเด็ก ๆ ที่นั่น กอปรกับการที่คนรักคุ้นเคยกับความสัมพันธ์ของเพศเดียวกันเป็นทุน ฌานจึงไม่อาจเพิกเฉยต่อศัตรูหัวใจรายที่เขายังไม่เคยเห็นหน้าค่าตาได้อีก

“ไม่น่านะครับอา เอ หรือไอ้พวกนั้นมันจะเข้าหาเล็กตอนพี่พลายไม่ทันเห็นวะ?” คิ้วหนาบนใบหน้าคมคายขมวดเป็นปมขณะที่เด็กหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเอง “เอางี้ดีกว่าอาฌาน ไว้พี่พลายจะหาคำตอบเรื่องนั้นให้อีกทีแล้วกันครับ” พลายสรุปด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดเมื่อเห็นแววตากังขาระคนว้าวุ่นใจของผู้เป็นอา ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยการแบ่งปันข้อมูลเท่าที่ตนพอมี “แต่ที่เรียนพิเศษน่ะมีเพียบเลยนะอา”

“รวมถึงคนตัวสูง ๆ ที่ไปกินอุด้วงวันนี้ด้วยใช่ไหม?”

“อ๋อ ไอ้นั่นชื่อทีมครับ เด็กกางเกงดำ เกย์แท้เกย์เปิดเผยเลยอา แต่อาฌานไม่ต้องเป็นห่วงไปครับ เล็กไม่เล่นด้วยหรอก” ปภพสรุปห้วน ๆ ตามภาพที่ตนเห็นจนเจนตา... น่าสงสารไอ้ทีมนั่นจริง ๆ เล่นกับใครไม่เล่น ดันมาเล่นกับคนมีเจ้าของแล้วอย่างน้องชายเขา

“แล้วกับคนอื่น ๆ ล่ะ?” ฌานยังไม่คลายใจ

“หึ! โดนปฏิเสธเรียบทั้งชายทั้งหญิงครับอา” พี่คนโตอวดโอ่ด้วยน้ำเสียงภูมิอกภูมิใจราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง “นี่ถ้าไม่ติดว่าอาห้ามไว้ เล็กคงได้เที่ยวบอกกับทุกคนไปนานแล้วแหละว่าเป็นแฟนกับอาน่ะครับ” คำอธิบายดังกล่าวทำเอาฌานยกยิ้มมุมปากโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

สีหน้าผ่อนคลายผิดจากเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าทำให้ทายาทคนโตของบ้านรีบรวบตึงบทสนทนาทันที “อาฌานสบายใจแล้วใช่ไหมครับ งั้นพี่พลายไปนอนก่อนนะ”

“เฮ่ยเดี๋ยว! อายังพูดไม่จบ!” โชคยังดีที่ฌานจับลูกบิดประตูเอาไว้มั่น ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงได้งับบานไม้ใส่หน้าจนเขาต้องเปลืองแรง เปลืองน้ำลายเคาะเรียกกันอีกคำรบ  

“อาอยากขอให้พี่พลายช่วยเป็นไม้กันหมาให้อาเวลาที่อาไม่ได้อยู่กับพลับน่ะ”  ใบหน้าหงิกงอกับสายตาขุ่นข้องของผู้ฟังที่ดูละม้ายกับตรินยามไม่ได้ดั่งใจทำให้ฌานพรั่งพรูธุระของตนอย่างว่องไว... ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ไอ้เด็กนี่หน้าตาคล้ายเต๋อราวกับโขกกันมาล่ะ?!

ใจความดังกล่าวเรียกรอยยิ้มร้ายกาจของผู้ฟังให้แย้มพรายได้ในชั่วพริบตา “โธ่เอ๊ย! นึกว่าเรื่องอะไร ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ เรื่องแค่นี้ พี่พลายทำให้อาได้สบายมาก” ปภพตบอกตัวเองเบา ๆ พลางส่งสายตายืนยันเพื่อสร้างความมั่นใจให้คนฟัง ทว่านั่นกลับยังไม่ใช่สิ่งที่ฌานวาดหวังเสียทีเดียว

“แล้วถ้ามีคนไหนที่ล้ำเส้นหรือไล่ไม่เลิก พี่พลายต้องรายงานอาทันทีเลยนะ ตกลงไหม?”

“ล้ำเส้นของอาน่ะแค่ไหนครับ?” เด็กหนุ่มยืนกอดอกพลางเลิกคิ้วรอฟังคำอธิบายแบบจำเพาะเจาะจงของอีกฝ่าย โดยหารู้ไม่ว่า สิ่งที่คู่สนทนากำลังจะเอื้อนเอ่ย ได้เฉลยสถานะลับ ๆ ของตนกับฝาแฝดคนรองแบบหมดเปลือก

“พี่พลายไม่ชอบให้คนอื่นทำแบบไหนกับพลุ อาก็ไม่อยากให้พลับโดนแบบนั้นเหมือนกันนั่นแหละ”

หืม?!!” อารามตกใจ เด็กหนุ่มจึงไม่อาจปิดบังใบหน้าถอดสีของตัวเองจากอีกฝ่ายได้ จริงอยู่ที่ตลอดมา เขาไม่เคยปิดบังความสัมพันธ์ของเขากับน้องชายคนรอง หากแต่พลายก็ไม่เคยเพลี่ยงพล้ำทำรุ่มร่ามจนโดนใครจับไต๋ได้มาก่อน

“นั่นแหละ เอาเป็นว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วนะ” ฌานรวบรัดโดยพยายามไม่แตะต้องหัวข้อต้องห้ามโดยไม่จำเป็น เด็กหนุ่มมีสีหน้าโล่งอกและซาบซึ้งใจเมื่อคนโตกว่าไม่คิดจะฟื้นฝอยให้เขาต้องพลอยตกที่นั่งลำบาก

“ครับ”

“ฝากดูแลพลับแทนอาด้วยนะ อาไม่มีใครให้ไหว้วานแล้วจริง ๆ ”

เป็นเพราะร่างทรงหนุ่มไม่ก้าวก่ายหรือล้ำเส้นที่ตนขีดไว้ พลายจึงเต็มใจให้ความช่วยเหลืออีกฝ่ายโดยไม่ลังเล “อาฌานไม่ต้องเป็นห่วงครับ เรื่องนี้พี่พลายถนัดอย่างแรง”

เรื่องขี้ปะติ๋วแค่นี้ ทำไมเขาถึงจะทำให้ฌานไม่ได้... ในเมื่อทุกวันนี้ เขาก็ทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดให้บรรดาพ่อ ๆ รวมถึงพลุเป็นประจำอยู่แล้ว แค่นับรวมน้องชายคนเล็กเพิ่มขึ้นอีกคน จะลำบากลำบนสักกี่มากน้อยกัน

เสียงหักนิ้วดังกรึ๊บกรั๊บที่สอดรับกับถ้อยแถลงยืนยันความร่วมมือผ่านน้ำเสียงฮึกเหิมลำพองของหนุ่มน้อยวัยสิบห้าปีทำให้คนโตกว่ารู้สึกสบายใจราวกับยกภูเขาออกจากอก “ขอบใจมากนะพี่พลาย อ้อ! แล้วก็ขอบคุณเรื่องเมื่อกลางวันนี้ด้วย ถ้าอาไม่ได้พี่พลายกับพลุช่วยเอาไว้ ป่านนี้อากับพลับคงต้องเคลียร์กันอีกยาว”

“หึ หึ หึ” เสียงหัวเราะร้าย ๆ ที่บ่งบอกความชอบอกชอบใจดังลอดออกจากริมฝีปากได้รูปของผู้ด้อยอาวุโส “อาฌานไม่ต้องขอบคุณพี่พลายก็ได้ครับ เอาไว้พี่พลายต้องการความช่วยเหลือเมื่อไร อาฌานก็อย่าลืมพี่พลายแล้วกัน”

ทั้ง ๆ ที่สังหรณ์ใจว่าสิ่งที่แฝดคนโตจะร้องขอเป็นการตอบแทนน่าจะสร้างความหนักใจเป็นล้นพ้นให้กับตนในบั้นปลาย ทว่าอดีตเด็กสถาปัตย์ก็ไม่เห็นหนทางอื่นใดที่จะทำให้เขาสบายใจได้อีกแล้ว “ได้ ๆ ” ฌานแสร้งเมินสีหน้ามาเฟียจอมรีดไถของหลานชายเพื่อตกปากรับคำทันควัน

“งั้นพี่พลายไปนอนก่อนนะครับ เดี๋ยวพลุรอนาน” เด็กหนุ่มออกตัวล้อฟรีอีกครั้ง ทว่าฌานยังไม่หมดประเด็น

“เอ้อ พี่พลาย!” เสียงเรียกของคุณอาทำให้หลานชายที่กำลังจะหมุนตัวกลับเข้าห้องถึงกับชักสีหน้าพลางเลิกคิ้วมองอย่างขัดใจ “เพลา ๆ หน่อยก็ดีนะ”

“หืม!?!” เด็กหนุ่มออกท่าสงสัยติดหมัดจนฌานต้องขยายความอย่างช่วยไม่ได้

“เรื่องนั้นน่ะ เพลา ๆ หน่อยเถอะ” สีหน้าดื้อดึงแกมรำคาญของหลานชายคนโตส่งสัญญาณเตือนให้ผู้เป็นอารู้ซึ้งถึงอันตรายที่ใกล้จะปะทุในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า จนฌานต้องรีบเปลี่ยนทีท่าแทบไม่ทัน “เอาเป็นว่า ถ้าหักห้ามตัวเองไม่ได้ก็เบาเสียงลงหน่อยเถอะ ขนาดอายังรู้เลยนะว่าเมื่อกี๊พี่พลายทำอะไรอยู่ แล้วถ้าพวกป๋าเกิดผ่านมาได้ยิน พี่พลายคิดว่าป๋าจะนึกออกไหมล่ะ?”

เด็กหนุ่มกระแอมพลางหรุบตามองพื้นหน้าห้องขณะรับคำ “ครับ”

“อาไปล่ะนะ”

“ขอบคุณนะครับอา” ฌานพยักหน้าพลางยิ้มบาง ๆ ส่งให้หลานชายคนโตแล้วหมุนตัวเดินจากไป อีกฝ่ายจึงรีบปิดประตูห้องแล้วพุ่งหลาวขึ้นไปซุกตัวลงนอนพร้อมกับกอดฝาแฝดเบอร์สองเสียเต็มรัก

“ฮื่อ! ใหญ่ ใหญ่ตัวเย็นจัง!” ทันทีที่ผิวเนื้ออุ่น ๆ ใต้ผ้าห่มนวมผืนกว้างกระทบเข้ากับร่างกายที่อาบไล้ด้วยความเย็นของเครื่องปรับอากาศของพลาย คนนอนรอจึงไม่วายส่งเสียงประท้วงอย่างไม่ใครจะจริงจังนัก

“หนาวจังเลยกลาง กลางกอดใหญ่หน่อยสิ” ปภพออดอ้อนแฝดน้องเสียงอ่อนเสียงหวานผิดกับเวลาที่เจ้าตัวพูดคุยกับคนอื่น ๆ แบบลิบลับ

“ก็แล้วนี่อะไรล่ะ?” เจ้าของวงแขนที่รัดรึงโอบรอบลำตัวตึงแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อของแฝดพี่แซะอย่างอดไม่ได้

สีหน้าเย่อหยิ่งปนท้าทายของน้องชายคนรองทำให้ปภพแสยะยิ้มพลางแยกเขี้ยวขู่ “ปากดี เดี๋ยวเถอะนะ” พี่คนโตชี้หน้าพร้อมสำทับอย่างเอาเรื่อง “ใหญ่ยังไม่ลืมหรอกนะว่าเมื่อกี๊กลางทำอะไรเอาไว้!

“อาฌานมาทำไมเหรอ?” เมื่อเห็นวี่แววของพายุตั้งเค้ามาแต่ไกล พลุจึงทำเฉไฉเปลี่ยนเรื่องในบัดดล

“ก็มาคุยเรื่องเล็ก” ปภพคว้าเอวผู้เป็นน้องเข้าชิดใกล้แล้วเฉลยความง่าย ๆ ไม่โยกโย้ ทว่าทว่าคำโปรยสั้น ๆ ของกลับจุดประกายความสงสัยของคนฟังได้ชะงัดนัก

“หืม? เล็กทำไมเหรอ?”  ทายาทเบอร์สองอดเป็นห่วงน้องชายคนสุดท้องไม่ได้ ยิ่งเมื่อทั้งเขาและพลับตกอยู่ในสถานะผู้ถูกรักด้วยกันทั้งคู่ พลุก็ยิ่งสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น

“ไม่มีอะไรหรอก แค่อาฌานมาขอให้ใหญ่ช่วยกันไอ้พวกที่มาคอยจีบเล็กให้เวลาอาไม่อยู่ด้วยน่ะ”

“ทีมน่ะเหรอ?” พลุหลุดปากอ้างถึงผู้ต้องหารายแรกในทันใด หากแต่แฝดพี่กลับส่ายหัวบอกใบ้ว่าตัวเลือกดังกล่าวห่างไกลจากความต้องการของฌานไปมากพอดู

“ก็ทุกคนนั่นแหละ นี่ใหญ่ยังไม่รู้เลยว่าที่โรงเรียนมีคนชอบเล็กเยอะหรือเปล่า”

“อืม ก็พอมีนะ กลางเห็นเวลาเล็กกับวิวลงไปซื้อขนมเบรคชอบมีพวกรุ่นพี่มาคอยเดินตามขอเบอร์ขอไลน์อยู่หลายคน”

จริงดิ?!

“ก็จริงน่ะสิ กลางจะโกหกใหญ่ทำไมล่ะ” น้ำเสียงตระหนกที่ดังสวนขึ้นแบบฉับพลันบอกใบ้ความรู้สึกตกอกตกใจของผู้เป็นพี่ชายได้เป็นอย่างดี ขนาดพลายยังเสียอาการถึงเพียงนี้ แล้วถ้าอาฌานรู้ล่ะ รายนั้นจะไม่ตื่นตูมจนวุ่นวายไปเลยเหรอ?!

“แล้วกลางล่ะ? มีใครมาจีบหรือเปล่า?” คนเป็นพี่หรี่ตามองจับผิดแต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดอะไร
“มีที่ไหนล่ะ”
“น้อยไปสิ ไอ้พี่พรินซ์นั่นก็คนนึง”
“พี่พรินซ์เป็นพี่ชมรม ไม่มีอะไรหรอก” แฝดคนกลางตอบตามความเป็นจริงเท่าที่ตนเข้าใจ หากแต่นั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่พลายอยากได้ยิน
“จะไม่มีอะไรได้ยังไง สายตามันเวลามองกลางน่ะโคตรหื่นเลยไม่รู้เหรอ?! ขนาดใหญ่จับกลางใส่แว่น ทำผมเชย ๆ แล้วนะ มันยังมีหน้ามาทำรุ่มร่ามกับกลางอยู่อีก!” ปภพบ่นอย่างเหลืออดเพราะนับวัน เสน่ห์ของปพนก็ทำให้เจ้าตัวดูยั่วยวนและน่าหลงใหลมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่อยากคิดเลยว่าหากเขาไม่คอยบังคับให้ฝาแฝดผู้มีใบหน้าและรูปร่างเหมือนเขาอย่างกับแกะหมั่นทำตัวกลมกลืนไปกับพื้นหลังตลอดเวลา พลุจะยังอยู่กับเขาเหมือนทุกวันนี้หรือไม่

กระนั้น ดูเหมือนว่าแฝดคนรองเองก็คิดเห็นไม่ต่างกัน เพราะเมื่อได้ยินคนเป็นพี่เอ่ยอ้างถึงเสี้ยนหนามตำใจไปหมาด ๆ พลุก็อดแขวะอีกฝ่ายด้วยอารมณ์หึงหวงระคนหมั่นไส้ไม่ได้ “ใหญ่นั่นแหละ ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เวียนมาขายอ้อยขายขนมจีบให้อยู่ไม่เว้นแต่ละวันจนหัวกระไดบ้านเปียกโชก!
ก็เท่านั้น ใหญ่ไม่สนเสียอย่าง!
กลางก็ไม่สนคนอื่นเหมือนกัน!
ให้มันจริง!
จริง! ใหญ่นั่นแหละ ดีแต่พูดหรือเปล่า?
หลังจากลอยหน้าลอยตาประกาศความรู้สึกใส่หน้ากันอยู่พักใหญ่ ๆ พลายก็อาศัยภาษากายเข้าช่วยไกล่เกลี่ยกับแฝดน้องอย่างถึงลูกถึงคน “พูดอย่างเดียวกลางคงไม่เข้าใจ เดี๋ยวใหญ่จะพิสูจน์ให้กลางรู้เองว่า เพราะอะไร ทำไมใหญ่ถึงไม่สนใจใครหน้าไหนอีกแล้ว” ไม่ทันขาดคำ ฝ่ามือของฝาแฝดคนโตก็ขยี้ขยำยอดมงกุฏงามหวามไหวที่กลายเป็นติ่งไตหลังจากโดนปลายนิ้วสะกิดผ่านเพียงวูบเดียว

“ฮื่อใหญ่” ทันทีที่ร่างกายถูกปลุกเร้าถูกจุด แฝดน้องก็ครางสะท้านอย่างพึงพอใจเป็นที่สุด กระนั้นคนเกิดก่อนกลับยุติความเคลื่อนไหวทั้งหมดเพื่อยื่นข้อตกลงอย่างเร่งด่วน

“เดี๋ยวกลาง”

อะไร?!” ด้วยความที่ถูกปลุกเร้าแล้วโดนปล่อยเกาะให้ค้าง ๆ คา ๆ มาสองรอบติด ๆ จึงไม่แลกหากปพนจะหงุดหงิดจนเผลอชักสีหน้า

“คืนนี้อย่าครางดังนะ” พลายขอความร่วมมือจากผู้สมรู้ร่วมคิดอย่างไม่อ้อมค้อม แต่นั่นกลับทำให้คนฟังยิ่งไม่สบอารมณ์ไปกันใหญ่

ทำไม?!

“อาฌานบอกว่าได้ยินเสียงพลุครางเมื่อกี๊น่ะ”

จริงดิ?!” คำอธิบายที่เพิ่งได้ยินไปจะ ๆ นำพาความรู้สึกอับอายเหลือประมาณมาสู่ผู้ฟังอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ใบหูทั้งสองข้างของพลุเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดเมื่อเจ้าตัวเผลอนึกย้อนไปถึงวีรกรรมที่ตนทำเอาไว้... แล้วหลังจากนี้ เขาจะต้องรวบรวมความกล้าอีกสักเท่าไรจึงจะสามารถสู้หน้าอาฌานได้เหมือนเมื่อก่อน?!

“อือ เดี๋ยวใหญ่ว่าใหญ่จะขอป๋าทำห้องใหม่ คราวนี้ใหญ่จะให้ช่างเก็บเสียงให้เนี้ยบเลย” ฝาแฝดคนโตปลุกปลอบพร้อมทั้งเสนอแนะหนทางแก้ปัญหาระยะยาวไปพร้อม ๆ กัน แทนที่ปพนจะสบายใจ ทายาทเบอร์สองของบ้านกลับรวบรัดตัดจบแบบไร้เมตตา

“งั้นคืนนี้ก็อย่าเพิ่งทำเลยนะใหญ่ กลางกลัวเผลอส่งเสียงดังอ่ะ”

เฮ้ยไม่เอางี้ดิกลาง!” พลายคัดค้านอย่างเป็นเดือดเป็นร้อน เมื่อเห็นว่าน้องยังยืนกรานไม่เปลี่ยนท่าที ผู้เป็นพี่จึงคว้าฝ่ามืออีกฝ่ายพร้อมกับลากลงต่ำเพื่อไปสัมผัสของกลางที่พร้อมจะวาดลวดลายอยู่รอมร่อ

พลุชักมือหลบแล้วตอกกลับด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ไม่เอา ไม่ทำ! ใหญ่ก็รู้หนิว่าถึงตอนนั้นแล้วกลางจะเป็นยังไง!!

จะเอา จะทำ!” พลายสวนทันควันด้วยน้ำเสียงถือดีประสาผู้นำที่มีอัตตาสูงลิบลิ่ว “ห้ามเสียงไม่ได้ก็ต้องห้าม กลางพยายามหน่อยดิ้!

คำพูดเอาแต่ใจของปภพทำเอาเส้นความอดทนของคนฟังขาดผึง “เอ๊ะ! ก็บอกว่าไม่เอาไง! คนจะครางมันห้ามกันได้ที่ไหนวะใหญ่?!

จิ๊! งั้นเวลากลางจะคราง กลางก็กัดหมอนเอาแล้วกัน/b[]” ไม่พูดเปล่า เจ้าของประโยคคว้ามือน้องไปประกบกับของกลางที่เริ่มจะสั่นระริก ๆ เพราะเครื่องร้อนฉ่า แต่คนหน้าเหมือนกันกลับผลักพลายออกห่างก่อนจะนอนตะแคงหันหลังให้ในท้ายที่สุด

ครางไม่ได้ก็ไม่ต้องเอา! กลางจะนอนแล้ว!” ปพนทิ้งท้ายโดยไม่คิดจะเหลียวแลอาการทนทุกข์ทรมานของพี่ชายเลยสักนิด ทว่านั่นกลับไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเสียกำลังใจ ปภพขยับไปนอนซ้อนหลังแนบใกล้ แล้วกระซิบความตั้งใจของตนด้วยน้ำเสียงจริงจังจนขนอ่อนตามตัวคนฟังลุกเกรียว

หึ! ก็ลองดูสิว่าจะทนได้กี่น้ำ! พลายว่าพลางหย่อนหมอนใบเล็ก ๆ วางลงตรงหน้าฝาแฝดผู้น้อง จากนั้นจึงเริ่มเปิบข้าวต้มรอบดึกสุดพิสดารอย่างชำนิชำนาญไม่เป็นสองรองใคร




 «»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «»