วันนี้อากาศหนาว
แต่เรื่องราวกำลังอุ่นเลยค่ะ
มาตามพี่รินกับน้องแนนไปทำความรู้จักกับพี่รินให้มากขึ้นอีกนิดนะคะ
(จะบอกว่าไปเที่ยวเพ็ทโชว์
มันก็ไม่ใช่เสียทีเดียว
เพราะวันนี้ดันเป็นวันตลาดวาย
ไม่มีกิจกรรมอะไรมากนัก
เราเลยอาศัยจังหวะดีดังกล่าว
พาคนไปเจอกับคนในงานเพ็ทโชว์
เพื่อแจกแจงสรรพคุณอันเลอเลิศของพ่อพระเอกให้สกลได้เข้าใจเพิ่มขึ้นอีกหน่อยมันเสียเลย)
สองสามวันนี้น่าจะหนาวจริงจังอย่างที่กรมอุตุฯท่านทำนาย
เพราะฉะนั้น
อย่าลืมดูแลตัวเองกันให้ดี ๆ นะคะ
ใครที่มีเสื้อผ้าหน้าหนาวสวย
ๆ ก็รีบไปงัดออกมาโชว์ให้เต็มที่เลยค่ะ
บุญรักษา
และความอบอุ่นที่ปรารถนาจงอยู่กับทุกท่านค่ะ ^^
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 07th
Bonding
บอกเลยว่า งานนี้...
พี่พร้อมเอาตัวเข้าแลก!
“ถ้าไม่เป็นการรบกวน
ขอผมนั่งด้วยคนได้ไหมครับ?”
หากเป็นช่วงเช้าของวันอื่น...
เช้าที่ผู้คนในโรงอาหารหอเนืองแน่นจนโต๊ะกินข้าวทุกแถวถูกจับจองจนไม่เหลือที่นั่งว่าง
ประโยคคำถามเมื่อสักครู่ คงไม่อาจสยบเสียงพูดคุยเจี๊ยวจ๊าวน่าหนวกหูของชายหนุ่มทั้งหกได้ชะงัดดังที่เป็น
สายตาห้าคู่ตวัดขึ้นแหงนมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนแปลกหน้าจากคณะที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก
ก่อนจะเลื่อนลงแลสบกันไปมาคล้ายจะหารือเป็นการภายในว่า พวกเขาควรจะจัดการคำขอข้อนี้อย่างไรดี
ทว่าก่อนที่ใครจะไหวตัวทัน
หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์กลับบอกปัดอย่างไร้เยื่อใยจนเพื่อนร่วมโต๊ะที่เหลือต่างตั้งข้อสงสัยในท่าทางกระด้างกระเดื่องเคืองขุ่นของหัวหน้าคณะเผือกผู้ไม่เคยตั้งป้อมขวางใครโดยไม่รู้ทางหนีทีไล่
หรือไร้แบ็คอัพมาก่อน
“ตรงนั้นมีคนนั่ง
แต่โต๊ะทางโน้นว่าง... เชิญครับ!” สกลทำหน้าหงิกพลางตวัดปลายดัชนี้ชี้แหล่งกินข้าวทางเลือกให้อีกฝ่ายปิดท้ายการโป้ปดคำโตด้วยน้ำเสียงสั้นห้วน
ได้ยินดังนั้น
สีหน้ายิ้มย่องผ่องใสของผู้มาเยือนก็กลายเป็นจืดเจื่อนในชั่วพริบตา ยิ่งเมื่อสบกับสายตาไม่เป็นมิตรเบื้องหลังแว่นหนาทรงม้อด
ร่างสูงหนาที่ลำตัวช่วงบนถูกคลุมทับด้วยเสื้อช็อปสีฟ้าอมเทายอบลงจนหลังดูค้อมนิด
ๆ ถ้าจะบอกว่าดูน่าสงสารผิดกับจังหวะเปิดตัวลิบลับก็คงจะไม่ผิดนัก
ตามธรรมชาติของเหล่าสมุนเลวยามแรกพบปะกับผู้คนที่พวกเขาไม่คุ้นเคย
ส่วนใหญ่แล้ว... หากรู้แน่ว่า
คนแปลกหน้าผู้นั้น มิได้เอื้อสิทธิหรือประโยชน์อันใดแก่ชีวิตของพวกเขาทั้งหลาย
กลุ่มชายหนุ่มมักจะเพิกเฉยต่อสิ่งมีชีวิตสองเท้าที่ว่า แล้วเบนความสนใจไปให้กันและกันแทบทั้งหมด ทว่ากับชายหนุ่มต่างคณะผู้ที่แค่ปรากฏกายด้วยท่าทางใสซื่อไม่มีพิษภัยต่อสิ่งแวดล้อม
แต่กลับสามารถกระตุกหนวดสกลจนนอยด์อย่างไม่อ้อมค้อมได้ในระยะเวลาไม่ถึงนาที กรณีนี้ย่อมต้องถือเป็นข้อยกเว้นอย่างไม่ต้องสงสัย
“เหรอครับ?
ถ้าอย่างนั้... / นั่งด้วยกันก็ได้ครับคุณ
จริง ๆ ที่ตรงนั้นไม่มีใครนั่งหรอก / ขอบคุณมากนะครับ” รูปการณ์ชวนกระอักกระอ่วนดังกล่าว ทำให้แฝดพี่พอจะเดาสถานการณ์ได้ในระดับหนึ่ง ร่างทรงหนุ่มจึงออกหน้าเอ่ยรั้งชายแปลกหน้า
เพื่อตรวจสอบปูมหลัง พร้อมทั้งพิสูจน์ความจริงบางอย่างก่อนที่อีกฝ่ายจะโดนวาจาร้ายกาจของหนุ่มแว่นทำร้ายจนเตลิดเปิดเปิงหายหน้าไปเสียก่อน
หากฌานไม่ได้เข้าข้างสัญชาตญาณของตัวเองจนเกินไป
ดูเหมือนว่า...
การตัดสินใจของเขาสามารถกดดันคนร้ายให้รีบแสดงตัวได้อย่างแยบยลและฉับไวทันใจดีเสียจริง
“พี่ฌาน!” คนเห็นผีชะโงกใบหน้าหงิกง้ำข้ามโต๊ะไปต่อว่าแฝดพี่ใกล้
ๆ แต่พอร่างสูงใหญ่ของผู้มาใหม่ปักหลักลงตรงที่ว่างข้าง ๆ ฌานตนตามคำเชิญ เด็กเต็กหน้าตี๋ก็ทำเมินแล้วจึงเบือนหน้าหนีพลางส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอไม่ได้ขาด
“แว่นเป็นอะไร?
ทำไมล่กแปลก ๆ ?” คำถามจี้จุดของบอสเรียกความสนใจของเหล่าสมุนเลวทั้งหลายได้เป็นอย่างดี
ฝ่ายผู้ต้องสงสัยซึ่งออกอาการนั่งไม่ติดที่ก็เริ่มจะลนจนทำให้ดูผิดสังเกตไปกันใหญ่
“บ้า! พี่ฌานนี่ล่ะก็! ล่กเลิ่กแปลกเปลิกอะไรกันล่ะครับ?” เมื่อรู้สึกว่าตัวเองเพลี่ยงพล้ำทำตัวเลิ่กลั่กแถมยังพูดปากปฏิเสธเสียงสูง
สกลก็เหยียบเบรคจนหน้าทิ่มแล้วปรับท่าทีเสียใหม่ได้อย่างรวดเร็ว “ฮั่นแน่!... เป็นห่วงเค้าอ่ะดิ้! เดี๋ยวนี้ชอบโชว์หวานต่อหน้าธารกำนัลเรื่อยเลย!” จีบปากจีบคอจบ เด็กเต็กหัวไข่ก็เอื้อมมือข้ามชามก๋วยเตี๋ยวไปลูบไล้แขนของฌานพลางส่งสายตาหวานเชื่อมอ้อล้อให้อีกฝ่ายอย่างไม่สนใจคนทั้งโลก
แต่แทนที่บรรยากาศรื่นเริงในโต๊ะอาหารยามเช้าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
อริร้ายตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหาก็หาได้ปล่อยหนุ่มหน้าแว่นไปสู่สุคติอย่างที่ใจหวังไม่
“คุณมาคนเดียวเหรอครับ?”
และแล้ว... แฝดน้องผู้เฝ้ามองสถานการณ์
สลับกับนิ่งฟังบทวิเคราะห์ของเด็กชายในร่างทองโปร่งใสเป็นระยะ ๆ ก็แสดงเจตนารมย์อันเลวร้ายต่อความสุขของสกลออกมาอย่างเป็นมิตรพลางสะกิดเรียกคนรักให้แสดงความร่วมมือกับตนอย่างเต็มที่
ฝ่ายคนนอกผู้ไม่รู้จักแฝดน้องที่พูดน้อยต่อยหนักดีเท่ากับสหายทั้งสี่
และอคิรา ก็ยิ้มร่าคืนให้พลางตอบคำถามด้วยท่าทีสุภาพพอ ๆ กัน
“ครับ”
“ใส่เสื้อช็อปสีนี้
แปลว่าคุณเรียนอยู่สัตวแพทย์สินะครับ... ใกล้เป็นนายสัตวแพทย์แล้วหรือยังครับเนี่ย?”
แน่นอน... เมื่อแฟนหนุ่มตั้งท่าจะเอาคืนเด็กเต็กหน้าตี๋อย่างโจ่งแจ้ง อดีตเดือนบริหารจึงผสมโรงทักถามแซงคิวพูดห้ามปรามของสกลอย่างกระวีกระวาด
หนุ่มหัวไข่จึงไม่อาจวาดลวดลายนางโกงปากร้ายตามราวีชายแปลกหน้าได้ตามต้องการ
“อีกนานเลยครับ
ผมเพิ่งอยู่ปีสาม ยังต้องเรียนอีกเยอะครับ” สารินพูดกลั้วหัวเราะน้อย ๆ พลางเลื่อนสายตาจากคู่สนทนาจากคณะบริหารเพื่อกลับไปจับจ้องเสี้ยวหน้าแว่น
ๆ ของคนนั่งตรงข้ามตามเดิม ในขณะที่คนถูกจ้องก็กำลังสวดมนต์ภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยดลใจไม่ให้เพื่อนสนิทคนไหนชวนว่าที่นายสัตวแพทย์ต่อปากต่อคำอีกเลย
อนิจจา น้ำน้อยแพ้ไฟฉันใด...
สกลก็ไม่อาจต้านทานความวัวยังไม่ทันอันตรธาร
ความฌานและผองเพื่อนเข้าสกรัมได้ฉันนั้น
“ที่แท้ก็เป็นรุ่นพี่พวกผมนี่เอง...
เอ้าพวกเรา แนะนำตัว!”
ร่างทรงหนุ่มหันไปชักชวนเหล่าสมุนเลวและงูเห่าด้วยน้ำเสียงร่าเริงผิดกับระดับความบันเทิงในใจหนุ่มแว่นที่ดิ่งลงก้นเหวไปทุกขณะ
“พี่ฌาน
น้องว่าอย่าลำบากเลยครับ...
แค่คนไม่รู้จักมาขอนั่งกินข้าวด้วยยังต้องแนะนำตัว
ต่อไปพวกเราไม่ต้องชวนป้าแม่บ้านที่คณะไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยหรือยังไง ไม่ต้องสนใจคนอื่นให้เปลืองหน่วยความจำในสมองไปหรอกครับ”
เพื่อนสนิทหน้าแว่นเอื้อมสุดแขนไปบีบมือฌานเสียแน่นเพื่อทัดทานกลาย ๆ แล้วจึงชายสี่ตาไปจิกไล่ชายหนุ่มห้องตรงข้ามอย่างเสื่อมทรามไร้มารยาท
พลางพูดฉอเลาะเบี่ยงประเด็นด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ นี่ นี่... เรามาคุยเรื่องซีรีย์ที่ดูเมื่อคืนต่อกันเถอะครับ
น้องอยากเม้าท์!”
แต่แฝดพี่กลับมิได้นำพา...
“ผมชื่อฌาน
นี่น้องชายฝาแฝดผม... / ฌอนครับ
/ พวกเราอยู่สถาปัตย์ปีสอง”
ร่างทรงหนุ่มยิ้มกว้างขวางระหว่างพูดแนะนำตัวเองสลับกับน้องชายอย่างลื่นไหลคล้ายนางงามมิตรภาพ...
กายละเอียดของสกลถึงกับอึ้งจนแอบละทิ้งกายหยาบไปชั่วคราวเมื่อเหล่าเพื่อน ๆ รวมพลังกันตลบหลังเขาอย่างมีนัยยะสำคัญเข้าให้แล้ว
“ผมชื่ออิ๊กครับ
อยู่ปีสองเหมือนกันแต่เรียนบริหาร ยินดีที่ได้รู้จักครับ” อดีตเดือนบริหารเอ่ยอย่างอ่อนหวานเป็นลำดับถัดมา
ก่อนจะปิดท้ายด้วยธันวาผู้ไม่สนผู้ใดนอกจากชายกลางตัวน้อยที่นั่งห่างออกไปเพราะอริยะตรัยผู้น้องไม่อยากให้ใครนอกจากตัวเองถึงเนื้อถึงตัว
“ผมเก็ก...
วิศวะปีสอง ส่วนนี่... แฟนผม ชื่อบ๊วย เรียนคณะเดียวกับฝาแฝดแล้วก็ไอ้สี่ตานี่แหละครับพี่”
...ฝาแฝดและงูเห่าต่างพากันกลอกตาหน่าย ๆ กับอาการหวงได้แม้กระทั่งเสียงบ๊วยของหนุ่มหล่อดีกรีเดือนมหาลัย เพราะลำพังแค่จะปล่อยให้เพื่อนผู้แสนดีแนะนำตัวเอง
เด็กวิศวะก็ยังไม่ยอม
ฝ่ายรุ่นพี่ที่ได้ทำความรู้จักกับรุ่นน้องทั้งห้าโดยทั่วถึงก็พยักหน้าพร้อมส่งยิ้มจริงใจให้แก่เด็กปีสองทุกคนจนตาหยี
ก่อนจะหันไปวางสายตาสมทบกับอีกห้าหนุ่มยังใบหน้าบอกบุญไม่รับของชายหนุ่มคนสุดท้ายที่ไม่ปริปากพูดอะไรจนถึงเดี๋ยวนี้
“แว่น! อย่าเสียมารยาทสิ ทุกคนแนะนำตัวกันหมดแล้วนะ...
หรือแว่นอยากให้พี่ฌานแนะนำชื่อเล่นให้พี่เขารู้จัก? เอางั้นไหม?” เมื่อโดนแฝดพี่ข่มขู่ด้วยสีหน้าจริงจัง
สกลจะยังทำหน้ามึนต่อไปอย่างไรไหว
“จิ๊! ผมชื่อสกล พงษ์พินิจรุ่งโรจน์ สถาปัตย์ปีสอง... ผมไม่มีชื่อเล่น!” แม้จะขัดฌานไม่ได้ด้วยเงื่อนไขสุดท้ายที่ร่างทรงหนุ่มยกขึ้นมาใช้เป็นเครื่องมือ
แต่หลานอาม่าซิ้วงิ้งกลับไม่ยอมแพร่งพรายความลับระดับชาติอันยิ่งใหญ่ให้ชายแปลกหน้าล่วงรู้เป็นอันขาด
“สารินครับ
สัตวแพทย์ปีสาม ยินดีที่ได้รู้จักน้อง ๆ ทุกคนนะครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์กล่าวแนะนำตัวเองปิดท้ายด้วยน้ำเสียงอิ่มอกอิ่มใจคล้ายกับเพิ่งได้ฟังเรื่องน่ายินดีจบไปหมาด
ๆ
“แล้วชื่อเล่นพี่ล่ะครับ...
อย่าบอกนะว่าพี่ก็ไม่มีชื่อเล่นเหมือนกัน?” หลังจากที่สารินพูดจบเพียงไม่นาน
อคิราก็เริ่มซัดคำถามใส่เด็กสัตว์แพทย์อีกระลอกโดยไม่ลืมล้อเลียนเด็กเต็กหัวไข่อยู่กลาย
ๆ
“ครับ
ไม่มีครับ”
“ถ้างั้นพวกผมขอเรียกพี่ว่าพี่รินได้ไหมครับ”
ด้วยความที่ไม่อยากให้แฟนหนุ่มกลายเป็นเป้าโจมตีของสกลในภายหลัง อิ๊กจึงสวมบทพิธีกรหลักตั้งหน้าตั้งตาเจรจากับรุ่นพี่ที่พวกเขาทั้งหมดยังไม่เคยคุ้น
ทว่ากลับน่าลุ้นว่าจะกลายเป็นขาประจำเอาวันไหนด้วยน้ำเสียงหวานใส แต่กลับฟังโหดร้ายต่อหูของหนุ่มหน้าแว่นเสียเหลือเกิน
คอยดูนะงูเห่า...
อย่าให้ถึงทีเราบ้างก็แล้วกัน!
“เชิญครับ” ถึงจะรู้จักชื่อแซ่กันและกันเป็นอย่างดี
แต่จนถึงตอนนี้... สารินก็ยังวางตัวอย่างสุภาพกับกลุ่มรุ่นน้องอย่างไม่มีเสื่อมคลายจนชายหนุ่มหน้าหวานอดีตเดือนบริหารอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้
“พี่รินนี่พูดน้อยจังนะครับ
ถามคำตอบคำตลอดเลย!”
“ถ้าพี่ทำให้อึดอัด
พี่ต้องขอโทษด้วยนะครับ / หึ!”
สกลจงใจเปล่งเสียงเยาะในลำคอสั้น ๆ คล้ายจะคัดค้านสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
กับท่าทางกระอึกกระอักระคนเกรงอกเกรงใจที่สารินแสดงออกผ่านหน้ากากคนดีไม่เป็นพิษเป็นภัยไปเมื่อสักครู่... รู้ ๆ กันอยู่ว่าไม่ใช่ ยังจะกล้ารับสมอ้างตาใสได้ลงคออีกนะคนเรา!
อยู่ต่อหน้าคนอื่นทำมาเป็นเสแสร้ง...
แกล้งทำเป็นสุภาพ...
คนอะไรสร้างภาพชะมัด!
“เปล่าหรอกครับพี่ริน
พวกผมแค่กลัวว่าพี่ต่างหากที่จะอึดอัดเพราะพวกเราเอาแต่ถามพี่ไม่หยุดน่ะครับ” ฌานทำเป็นไม่สนใจเพื่อนสนิทหัวไข่
พลางพูดอธิบายเพื่อลดสภาวะตึงเครียดให้ลดน้อยลง คนโตกว่าจึงส่งสัญญาณไฟเขียวเปิดช่องให้เด็ก ๆ ได้ซักถามกันอย่างอิสระเพราะไม่มีอะไรจะปิดบัง
“ถามได้ครับ
ถ้าพี่ตอบได้พี่ก็จะตอบครับ” รอยยิ้มอบอุ่นของสารินยิ่งเพิ่มระดับความเจิดจ้าไปกันใหญ่เมื่อชายหัวไข่ที่นั่งเบื้อใบ้ทำหน้าคัฟเวอร์ม้าหมากรุกใส่เขาตลอดเวลาอ้าปากพูดคุยกับเขาเป็นครั้งแรกด้วยความสมัครใจของเจ้าตัว
“ถามอะไรก็ได้เหรอครับ?
แล้วถ้าผมถาม... คุณจะตอบไหม?” แม้ประโยคดังกล่าวจะประกอบด้วยถ้อยคำสุภาพ ไม่คุกคาม
แต่พอโดนถามด้วยน้ำเสียงโหดห้วนพร้อมสีหน้าชวนตี เหล่าสมุนเลวที่เหลือต่างก็เฝ้าระวังกับคำถามที่จะตามมาของสกลกันโดยพร้อมเพรียง
“ถ้าเป็นเราถามพี่
พี่ยินดีตอบทุกคำถามเลยครับ” สารินผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ตอบรับคำขอของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าชื่นบาน
แต่นั่นกลับยิ่งกระตุ้นความโกรธของหลานอาม่าซิ้วงิ้งได้เป็นอย่างดี...
ระดับความเกรงใจในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องที่เคยมีจึงแทบจะเหือดแห้งไม่เหลือหลอ
ดี! อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะทำเป็นพูดดีได้สักกี่น้ำ!
“หึ! ทำไมคุณถึงไม่ไปที่ชอบ ที่ชอบของคุณสักทีล่ะครับ
จะมานั่งขวางหูขวางตารบกวนเวลาคนอื่นหาอะไร?”
“แว่น! / สกล!!”
ฌานกับบ๊วยถึงกับประสานเสียงกันทันทีที่ได้ยินประโยคอันห้าวหาญชาญสมรของเพื่อนรักหน้าแว่นเมื่อสักครู่
แต่ที่น่าประหลาดใจไปกันใหญ่ คือ
ประโยคดังกล่าวกลับไม่อาจพรากรอยยิ้มไปจากใบหน้าหล่อเหลาของสารินได้สักวินาที
“หึ หึ หึ...
ก็พี่ ‘ชอบ’ ที่นี่ พี่เลยมานั่งในที่ ๆ พี่ ‘ชอบ’ ยังไงล่ะครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์อาศัยการตอบคำถามดังกล่าวพูดเน้นย้ำคำบางคำเป็นกรณีพิเศษ
เพื่อสื่อข้อความพิเศษที่ตนต้องการบอกอีกฝ่ายให้ร่วมรับรู้ และอาการอ้าปากค้างโดยทั่วกันราวกับอุปาทานหมู่ของผู้ที่นั่งฟังอยู่เกือบทั้งโต๊ะคือเครื่องยืนยันชั้นดีที่บอกให้หนุ่มหน้าตี๋ปีสามแน่ใจว่า
เด็กเต็กหน้าแว่นคงไม่พลาดความหมายเชิงซ้อนของประโยคเมื่อสักครู่ไปแน่ ๆ
“โรคจิต! / สกล... รีบ ๆ กินเถอะ ก๋วยเตี๋ยวอืดหมดแล้ว!” สกลยังไม่ทันได้ด่าให้สมใจ ชายกลางผู้รักสันติภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใครก็ส่งเสียงปรามข้ามฝั่งมาถึงตนเข้าเสียก่อน
“เราอิ่มแล้ว
เราไปรอที่คณะก่อนก็แล้วกัน” พูดจบ หนุ่มแว่นในตำนานก็ผลุนผลันผละจากโต๊ะแล้วเดินหายไปในชั่วอึดใจ
ฝ่ายสารินที่เห็นสีหน้าไม่พอใจเต็มสองตาก็ผุดลุกขึ้นแล้วตั้งท่าจะรีบตามเด็กต่างคณะไปให้ได้เสียเดี๋ยวนั่น
แต่คำถามของอคิราก็ฉุดให้หนุ่มรุ่นพี่หยุดชะงักอยู่กับที่ตามมารยาทอันดีที่พึงกระทำ
“อ้าว! แล้วนั่นพี่รินจะไปไหนล่ะครับ?”
“เอ่อ...
พี่ขอโทษที่ต้องเสียมารยาท พอดีพี่เพิ่งนึกได้ว่าพี่ต้องรีบไปที่คณะแต่เช้า
เอาไว้วันหลังพี่มากินข้าวด้วยใหม่แล้วกันนะครับ” ฝ่ายที่สอดส่ายสายตามองหาแผ่นหลังโย่ง
ๆ ของหนุ่มหน้าแว่นอยู่ไม่วางตาปดด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน หนึ่งในคนฟังจึงอดเช็คความโปร่งใสของเหตุผลของสารินไม่ได้
ซึ่งเมื่อหน่วยข่าวกรองขั้นเทพประจำกายบอกใบ้ทุกสิ่งจนกระจ่างแจ้งแก่ใจ
แฝดน้องจึงเอ่ยรั้งรุ่นพี่ต่างคณะด้วยรอยยิ้มนิ่ง ๆ ตามนิสัยที่แท้จริงโดยไม่เหลือร่องรอยความร่าเริงเมื่อสักครู่เลยสักนิด
“เดี๋ยวสิครับพี่ริน...
อยู่คุยกับพวกเราก่อนดีกว่าไหมครับ”
“แต่พี... /
ถ้าอยากได้ลูกเสือ
ผมว่าทางที่ดี พี่ควรผ่านด่านพ่อเสือทั้งหมดนี่ไปให้ได้ก่อน... เห็นด้วยไหมครับพี่ริน?”
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
หากเหตุการณ์ไม่สงบระหว่างรับประทานมื้อเช้าคือลางร้ายบอกใบ้อะไรบางอย่าง
หนุ่มแว่นในตำนานก็เพิ่งจะแน่ใจเอาตอนนี้เองว่า
มันคงอยากบอกใบ้ให้เขาเตรียมใจยอมรับกับการล่มสลายของโลกอันสดใสที่เต็มไปด้วยหมาน้อยใหญ่มากมายและตัวเขาที่เพิ่งผ่านไปเมื่อราว
ๆ สิบนาทีที่แล้วนั่นอย่างไร
ภาพของซิลเวสเตอร์ที่นอนหลับอย่างทุกข์ทรมานพร้อมกับคอลลาร์อันเท่าฝาบ้านยังเฝ้าหลอกหลอนเขาทุกขณะจิต
แต่นั่นยังไม่น่าเจ็บใจเท่ากับรอยยิ้มเยาะเย้ยที่ถูกเย็บติดริมฝีปากของคนขับรถจอมมารยาที่นั่งห่างออกไปแค่กระปุกเกียร์กั้น
จะยิ้มอะไรกันนักกันหนา?... ประสาท!
“ไม่ดีใจหน่อยเหรอ
เรากำลังจะไปเพ็ทโชว์กันแล้วนะครับ?” คนโตกว่าถามพลางละสายตาจากถนนสู่ประตูหน้ามหาลัยเหลียวไปมองใบหน้าด้านข้างของตุ๊กตาหน้ารถสุดถมึงทึงเป็นระยะ
ๆ ...
ใจนึง สารินก็อดเป็นห่วงไม่ได้เมื่อเห็นเด็กสถาปัตย์เผลอออกอาการหน้าม้านเสียยกใหญ่
ก่อนจะเดินก้มหน้างุด ๆ ตามหลังเขามาที่รถต้อย ๆ โดยไม่เปล่งเสียงต่อว่าหรือด่าทอเลยสักแอะ...
แต่อีกใจกลับบอกตัวเองให้เตรียมพร้อมรับมืออย่างเต็มที่... เห็นนั่งเงียบ ๆ แบบนี้
อาจจะเป็นแค่ช่วงเวลาที่ท้องทะเลสงบบังหน้า ก่อนจะส่งคลื่นลูกมหึมาเข้าโหมกระหน่ำจนชายฝั่งราพณาสูรก็เป็นได้
“ไม่! คุณมันขี้โกง!” สกลขึ้นเสียงต่อว่าอีกฝ่ายอย่างเหลืออด กระนั้นสีหน้าของคนขับกลับดูไม่สลดลงเลยสักนิด
“พี่ขี้โกงยังไงครับ?
ไหนบอกพี่ให้ชื่นใจทีสิ?”
กับสกลแล้ว
ไม่ว่าเมื่อไร หรืออยู่ในอารมณ์ไหน เด็กสัตว์แพทย์ก็จะเลือกใช้น้ำเสียงนุ่มนวลพูดคุยด้วยเสมอ
หากคนฟังไร้ซึ่งอคติย่อมรู้ได้ทันทีว่า
เสียงของสารินที่เอื้อนเอ่ยในยามที่พวกเขาอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง
มักจะอ่อนหวานชวนฟังยิ่งกว่าในช่วงเวลาไหน ๆ
“คุณต้องแอบใต้โต๊ะหมอเจ้าของไข้ด้วยอะไรบางอย่างเพื่อให้หมอยอมใจอ่อนใส่ดาวเทียมให้ซิลเวสเตอร์ผู้เรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ของผม
เพื่อที่สุดท้าย... ผมต้องจำยอมมางานเพ็ทโชว์กับคุณยังไงล่ะ!” เด็กสถาปัตย์ตีความใบหน้าระบายยิ้มกับถ้อยคำหวานล้ำของคนนั่งข้าง
ๆ ในทางติดลบไปทุกกระเบียด จึงไม่แปลกหากชายหนุ่มจะยัดเยียดความผิดทั้งหลายให้แก่สารินโดยไม่คิดถึงหลักเหตุผล
ถึงอย่างนั้น... คนเป็นพี่ ก็ไม่ได้ดีแต่แก่กว่าไปวัน ๆ เสียหน่อย
“เหรอครับ? เราคิดว่าพี่ให้อะไรหมอครับ
หมอถึงยอมทำผิดจรรยาบรรณเพื่อให้พี่ได้ไปงานนี้กับเรา? แล้วคอลลาร์ที่มีไว้เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้หมาเลียแผลหลังผ่าตัดนี่มันไม่ดีกับซิลเวสเตอร์ตรงไหน/ ? ก็เดี๋ยวซิลเวสเตอร์มันจะเครียด!” สกลยังไม่ลดราวาศอกทั้ง ๆ
ที่เจ้าตัวก็นึกหาเหตุผลที่ดีกว่านี้ไม่ออกเหมือนกัน
“ไหนเราลองบอกพี่สิครับว่าระหว่างเครียด
กับแผลไม่ติด... อย่างไหนจะเป็นอันตรายกับซิลเวสเตอร์มากกว่า? / จิ๊! พูดมากจริง!”
“พี่เลือกพูดมากกับเฉพาะบางคนเท่านั้นนะครับ
/ ผมควรจะดีใจสินะ!”
ยิ่งฟังคำพูดอธิบายอันหนักแน่นหากแต่นุ่มนวลของสารินมาก
ๆ เข้า ความหงุดหงิดไม่ใช่เบาของเด็กเต็กก็ยิ่งเผยชัดเจนผ่านถ้อยคำและน้ำเสียงแดกดันจิกกัดเน้น
ๆ มันไปเสียทุกประโยค แต่แม้สกลจะฟาดงวงฟาดงาหนักมือสักเท่าไร
ชายหนุ่มรุ่นพี่ก็ยังคงใจเย็นเฝ้าต่อบทสนทนาด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอ
“ก็แล้วแต่เราเลยครับ
/ โอ๊ย! ไม่ต่อปากต่อคำสักห้านาทีจะตายไหม?!” หลานชายอาม่าบ้านตึกตัดบทก่อนนั่งเบี่ยงข้างแล้วหันหลังให้คนขับเพื่อตัดช่องทางการสื่อสารเอาดื้อ
ๆ
“ก็ได้ครับ
แต่ถ้าอยากคุยเมื่อไรก็ไม่ต้องเกรงใจพี่นะครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์เหลือบมองแผ่นหลังของคนนั่งข้างด้วยสายตาละห้อย...
จริงอยู่ แม้ท่าทางถือดีของรุ่นน้องจะไม่ได้ทำให้สารินขุ่นข้องหมองใจได้เลยสักนิด
แต่เมื่อเห็นหนุ่มแว่นในตำนานทำทีเป็นนั่งท้องฟ้าปล่อยให้วาจาของคนขับลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาโดยไม่แยแสตนแต่อย่างใด
ฝ่ายที่อยากจะได้ยินเสียงของหนุ่มหัวไข่เจื้อยแจ้วจำนรรจาอยู่ตลอดเวลาก็รีบหาเรื่องแหย่ให้ตุ๊กตาหน้าเหวี่ยงยอมเปิดปากคุยกับตนอีกครั้งทั้งที่เพิ่งจะโดนด่าเปิงไปหยก
ๆ
“พี่ขอเปิดเพลงหน่อยนะครับ
/ จะทำอะไรก็เชิญ!” เด็กสัตว์แพทย์หลุดยิ้มเมื่อคำถามสุดทื่อมะลื่อของเขายั่วอีกคนให้ยอมหลงกลหลุดปากคุยกับตัวเองอีกครั้งจนได้
“อนุญาตแบบนั้นจะดีเหรอครับ?”
ในเมื่อคนขับยังเย้าไม่หยุด ฝ่ายคนฟังก็น็อตหลุดเสียเท่านั้น
“เอ๊ะคุณ!
ก็นี่มันรถคุณแล้วผมจะไปมีสิทธิห้ามอะไรคุณได้ล่ะ? คุณอยากทำอะไรคุณก็ทำไปสิ
ไม่เห็นต้องมาถามความเห็นผมให้เปลืองน้ำลายเลยนิ... เกิดก่อนเสียเปล่า!” หนุ่มสถาปัตย์เหน็บแนมแกล้มเสียงกระแนะกระแหนเจือรำคาญในความซื่อบื้อไม่แบ่งใครของสารถี
ฝ่ายคนเป็นพี่ก็แทบจะตีปีกเมื่อเด็กน้อยตกหลุมที่ตนแอบขุดล่อลวงเอาไว้
“ให้พี่ทำอะไรก็ได้เหรอครับ?
ถ้างั้นพี่ไม่เกรงใจแล้วนะ” ไม่ทันขาดคำ คนขับก็ตีไฟซ้ายแล้วจึงค่อย ๆ ลดความเร็วของรถลงก่อนจะจอดเทียบกับฟุตบาทที่ทั้งสองข้างทางเป็นเพียงนาข้าวเวิ้งว้างไม่มีผู้คน
กระทั่งยวดยานสัญจรไปมาก็ดูจะบางตาไปชั่วขณะ
ทันทีที่ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
กอปรกับการกระทำของอีกฝ่ายที่ไม่มีความสมเหตุสมผลรองรับ
เด็กสถาปัตย์ก็ถึงกับหน้าถอดสี
จอดรถทำไม?!
แล้วทำไมต้องจอดตรงที่เปลี่ยว ๆ ด้วย?!
หรือจริง ๆ แล้วเรากำลังโดนอุ้มฆ่า?!
“เฮ่ย! นี่คุณจะทำอะไร?!” สกลถามด้วยน้ำเสียงลนลาน แม้จะตื่นตระหนก แต่สี่ตาที่เบิกกว้างด้วยความตระหนกกลับจ้องหน้าคนขับไม่วางพร้อมกับตั้งท่านึกหาทางหนีทีไล่ในสถานการณ์คับขันถึงขั้นเสียเลือดเสียเนื้อให้วุ่นวาย
ท่าทางเหวอจนหลุดมาดของรุ่นน้องต่างคณะทำให้สารินยิ่งนึกครึ้มไปกันใหญ่
คนโตกว่าปลดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะโน้มกายข้ามแผงเกียร์ไปตอบคำถามของตุ๊กตาหน้าตื่นเสียใกล้กว่าทุกที
“ก็เราบอกพี่ให้ทำตามใจ...
พี่ก็จะทำอยู่นี่ไงครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์เอ่ยด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่ม
ไม่ใช่แล้ว...
หน้าตาหื่นโลกลืมแบบนี้ต้องไม่ได้พามาฆ่าอย่างเดียวแน่!
ป๊า ม้า ม่า... ปีเตอร์ ช่วยน้องแนนด้วย!
“จะ...
จะ จะทำอะไรน่ะ? จะไม่ไปเพ็ทโชว์แล้วเหรอ?! จอดรถทำไม?!!” สกลคาดคั้นเสียงสั่นเมื่อเห็นว่าสารินละฝ่ามือทั้งสองข้างจากพวกมาลัย
เพื่อเอี้ยวตัวเลื้อยมาทางเบาะคู่หน้าฝั่งของตนโดยสมบูรณ์
นับเป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มรุ่นพี่เลี่ยงไม่ตอบคำถาม
ด้วยเจ้าตัวยังกลั้นขำไม่เสร็จดี... ใครเล่าจะทานทนไม่หัวเราะลั่นเมื่อได้เห็นภาพตุ๊กตาหน้ารถหัวเกรียนที่นั่งหลับตาปี๋พลางกอดสายเข็มขัดนิรภัยเสียแน่นก่อนจะกระถดตัวพิงประตูรถจนแทบจะรวมร่างได้กัน?!
ทว่าหลังจากอดทนนั่งหลับหูหลับตาเล่นชู้กับประตูรถอยู่ชั่วอึดใจ
เครื่องยนต์ที่ครางแผ่วในวินาทีก่อน ก็เปลี่ยนเป็นคำรามก้องอีกครั้งพร้อมกับเสียงเพลงและการเคลื่อนที่แหวกอากาศไปข้างหน้าโดยไม่เกิดเหตุนองเลือดใด
ๆ ทั้งสิ้น หนุ่มหน้าแว่นจึงค่อย ๆ
เปิดเปลือกตาเพื่อชำเลืองมองหน้าคนขับพลางขยับปากถามทันที
“อ้าว! แล้วเมื่อกี๊จะจอดรถเพื่อ?”
“ก็เปิดเพลงไงครับ
เราคิดว่าที่พี่จอดรถเพราะพี่จะทำอย่างอื่นงั้นเหรอ? / จะเปิดเพลงแค่นี้ จะจอดรถให้คนอื่นตกใจทำไมก็ไม่รู้!” หลานอาม่าซิ้วงิ้งบ่นอุบโทษฐานที่อีกฝ่ายทำให้ตนเสียขวัญ
“พี่ไม่อยากเสียสมาธิในการขับรถเพราะต้องเลื่อนมือไปเปิดเพลงยังไงล่ะครับ
เราไม่ได้ใช้ถนนอยู่คนเดียว... ต้องคิดถึงความปลอดภัยของคนอื่นให้มาก ๆ ” คนฟังเหลือบมองตามสายตาคนนั่งข้างไปยังคอนโซลหน้า
แล้วก็พบคำอธิบายเป็นสายไฟที่เสียบเชื่อมต่อเข้ากับมือถือเพื่อเปิดเล่นเพลง
“ก็บอกสิ
ผมจะได้ช่วย!” แทนที่จะเอ่ยขอโทษหลังจากเผลอเข้าใจผิดอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง สกลกลับเชิดหน้า
ตั้งคอมองสูงแล้วตำหนิปิดท้ายเสียอย่างนั้น
ส่วนสารินที่ถือแต้มเหนือกว่าเพราะทำให้อีกฝ่ายปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อไปหมาด ๆ ก็เดินหน้ายียวนชวนหนุ่มแว่นในตำนานคุยต่ออย่างไม่ลดละ
“แต่พี่ขับรถทุกวันนะครับ
จะสะดวกเหรอ?”
“แล้วมันเกี่ยวกับเปิดเพลงตรงไหน?
อยู่กับสัตว์มากไปใช่ไหมถึงได้พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องเข้าไปทุกที?!”
“ก็เราบอกว่าเราจะช่วยพี่เปิดเพลงฟังในรถ
แปลว่าเราจะมาช่วยพี่เปิดเพลงทุกวันเลยใช่ไหมครับ?” ถ้าสกลรักจะพาล สารินเองก็รักจะใช้ตรรกะเพี้ยน
ๆ ในการออเซาะคนนั่งข้าง ๆ ไม่ต่างกัน
“โดนเห็บหมาไชสมองมาหรือไง?! สาบานเลยว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ผมจะไปไหนมาไหนกับคุณ!”
“งั้นก็แปลว่าขากลับเราจะหาทางกลับมอเองเหรอครับ?
เอ... รถหวานเย็นเที่ยวสุดท้ายหมดเมื่อไรพี่ก็ไม่รู้เสียด้วยสิ!”
“คุณ
นี่ มัน!!” เด็กสถาปัตย์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเหลืออด และเมื่อเห็นคนขับตั้งท่าจะต่อความยาวสาวความยืด
สกลก็ดักคอทันควัน “หุบปากไปเลยนะ! ผมจะฟังเพลง!”
“ครับ ครับ”
.
.
.
.
.
.
.
“จะว่าไป
เพลงนี้ก็เพราะดีนะครับ” เงียบไปได้ไม่ถึงนาที ผู้มีศักดิ์เป็นพี่ก็เอ่ยกระเซ้าตุ๊กตาหน้ายักษ์ขึ้นมาอีกครั้ง ผิดอยู่แต่ว่า รอบนี้คนขับจอมแหย่ยอมปล่อยให้เสียงเพลงดังคลอเสียงฮึดฮัดของคนนั่งข้าง
พลางส่งเสียงฮัมตามท่วงทำนองและคำร้องที่แสนหวานไปเรื่อย ๆ
มีจริงหรือ
รักแรกพบเพียงสบตาแค่หนึ่งครั้ง
แค่แรกเห็นเดินผ่านมาไม่พูดจา
ไม่ทักไม่ทาย
ไม่รู้ว่าใคร เหตุใดจึงรักกัน
ไม่มีทาง
เรื่องเพ้อฝันความผูกพันอย่างง่ายดาย
รักแรกพบมีอยู่จริงในนิยาย
หนังสือนิทาน
เพลงรักแสนหวาน กับความฝัน
แต่วันหนึ่งฉันผ่านมาพบเธอตรงนั้น
ดวงใจ
เป็นเดือดเป็นร้อนช่างทรมาน
ราวกับโดนมนตร์แม่มดสะกดพลัน
นาทีนั้น ฉันรักเธอทันใด
รักแรกพบแท้จริงเป็นอย่างไร
เพราะเธอใช่หรือไม่
เปิดใจใครที่ฉันเป็น
จากวันนั้น
หัวใจรู้สึกเอง ชัดเจนว่าทุกสิ่ง
เกิดขึ้นจริงใช่ฝันไป
ได้พบจึงเข้าใจ มีอยู่จริง
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“ชอบเหรอครับ?”
สารินที่เดินตามหลังอยู่ไม่ห่างถามพลางชะโงกหน้าแอบดูปลอกคอหมาที่อีกฝ่ายถืออยู่ในมือหลังจากวนผ่านร้านนี้เป็นรอบที่สาม
ไม่แปลกหากเด็กเรียนออกแบบจะสนใจปลอกคอของร้านนี้ เพราะผลงานส่วนใหญ่สวยงาม
แถมยังใช้วัสดุชั้นดีไม่ต่างไปจากเครื่องประดับเรือนร่างของคนแต่อย่างใด
“เปล่า! ใครชอบ?” อารามตกใจ หนุ่มแว่นหัวไข่จึงเผลอโกหกเสียคำโต
แต่เล่นพูดด้วยเสียงสูงแบบนั้น... ใครกันล่ะจะอ่านเกมไม่ออก
“เห็นยืนลูบ ๆ
คลำ ๆ พี่นึกว่าเราชอบเสียอีกครับ” หนุ่มรุ่นพี่หยอกเย้าอย่างอารมณ์ดีเพราะปลอกคอเส้นนี้ถูกอีกฝ่ายพินิจพิเคราะห์อยู่ตั้งนานสองนาน
“ก็... สวยดี”
เมื่อโดนจับไต๋ได้ สกลจึงยอมรับอย่างไม่เต็มเสียงนัก... เหตุที่นึกชอบใจปลอกคอสีทองอร่ามเส้นนี้เป็นพิเศษ
เพราะชายหนุ่มอยากจะซื้อไปใส่เพิ่มบารมีความร่ำรวยให้แก่เกรทเดนลายวัวตัวเขื่องที่บ้านขึ้นมาตงิด
ๆ นี่ถ้าไม่ติดว่ามาพร้อมกับเด็กต่างคณะผู้ที่เขาเฝ้าหวาดระแวงอยู่เป็นนิจ
ป่านนี้ปีเตอร์ย่อมต้องได้ครอบครองปลอกคอสุดมลังเมลืองเหลืองเตะตาเส้นนี้ไปแล้วแน่
ๆ
“นี่ของหมา เราใส่ไม่ได้หรอกครับ...
จะหายใจไม่ออกเอา”
คงไม่ต้องถึงคอปีเตอร์แล้วล่ะ...
ใช้ปลอกคอนี่ฟาดหน้าหมีขาวให้แตกรับหน้าหนาวเลยดีไหม?!
“คุณจะบ้าหรือไง
ใครเขาจะเอาปลอกคอหมามาใส่คอกัน? ดึงสติหน่อยดีไหมคุณ?!” ขนาดก่นด่าในใจไปแล้วหลายสิบรอบ แต่สกลกลับยังส่งเสียงพึมพำให้พรอีกฝ่ายออกหน้าไมค์ไปพร้อม
ๆ กันอีกคำรบ “สงสารอนาคตวงการอนามัยสัตว์จริง ๆ ที่ต้องมามีบุคลากรแบบนี้คอยถ่วงความเจริญ!”
“สนใจอันไหนถามได้นะครับ
สินค้าทุกชิ้น... เรายินดีคิดราคาแพงเป็นพิเศษให้โดยเฉพาะ” ก่อนที่สารินจะได้หยอดแหย่เย้าย้อนคนอ่อนวัยกว่าหนึ่งขวบปี
ประโยคสุดยียวนของเจ้าของร้านก็ดังแทรกขึ้นกลางคันทำให้ทั้งสองหนุ่มหันไปมองคนพูดเป็นตาเดียว
“หือ?!
/ พี่สิงห์! หวัดดีครับ” เป็นสารินที่รู้ตัวก่อน
ชายหนุ่มยกมือขึ้นไหว้ทำความเคารพชายหนุ่มร่างใหญ่สูสีภายในซุ้ม เจ้าของร้านที่ดูคล้ายนักมวยปล้ำผิวสีมากกว่าคนทำปลอกคอหมาขายสวดหลานรหัสทันทีที่สบโอกาส
“มางานนี้ก็ไม่เสือกบอกกูสักคำเลยนะไอ้หลานเซ่อ!”
“ผมก็เพิ่งรู้นี่แหละครับว่าพี่สิงห์มาออกร้านด้วย”
ว่าที่นายสัตวแพทย์ออกท่าออกทางขอโทษขอโพยพี่บัณฑิตอย่างเอาเป็นเอาตาย
“กูสั่งไอ้เจนไปตั้งชาติกว่า
บอกให้มันไปอัญเชิญมึงมาให้ได้ ดูดิ๊ พอโผล่หัวมาก็เสือกมาเอาวันสุดท้าย... ไอ้ห่า! หายจ้อยเลยนะมึง
งานเลี้ยงรับปริญญาพวกกูมึงก็ไม่ไป!” สิงหนาทที่พ่นไฟใส่สารินจบไปหนึ่งกัณฑ์ก็เลื่อนสายตาหันไปมองหน้าสกลสลับกับหลานรหัสตัวเองอย่างจับผิด
“แล้วนี่มึงมาเดินกับใครวะ?
แฟนเหรอ? เด็กคณะอะไรวะหน้าคุ้นฉิบหาย?... เดี๋ยวนะ...” พี่บัณฑิตหรี่ตายกมือขึ้นเกาคางพลางทำท่าครุ่นคิดอยู่เพียงไม่นาน
ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มร่าด้วยความดีใจที่ยังจดจำหลาย ๆ สิ่งได้เป็นอย่างดี
“อ๋อ! กูนึกออกแล้ว! นี่มันน้องแว่นในตำนานนี่หว่า!! ไอ้เหี้ย! มึงเดาะเล่นของสูงเลยเหรอวะไอ้ริน? เจ๋งฉิบหายเลยมึงเอ๊ย!” สารินยิ้มเขิน ๆ ให้กับลุงรหัสผู้โผงผางและเสียงดังเป็นที่หนึ่งของตนโดยลืมไปว่าท่าทางภูมิอกภูมิใจดังกล่าว
ทำเอาอีกคนเต้นเร่า ๆ ราวกับจะตายเสียให้ได้
“เฮ่ย! พี่! เดี๋ยวครับ! อย่าเพิ่งเข้าใจผิดครับ!! ผมแค่อาศัยติดรถเขามาเดินงานนี้เฉย ๆ ” ว่าแล้วก็หันไปแหวใส่สารินเบา
ๆ ค่าที่ไม่เอาไหน แถมยังทำหน้าดีอกดีใจรับสมอ้างสร้างความเข้าใจผิดไปเสียอีก “นี่คุณ! ใจคอคุณไม่คิดจะอธิบายอะไรหน่อยเหรอไง?”
แทนที่จะได้ฟังคำอธิบายที่ดี
ๆ อย่างที่สารินมักจะทำเวลาอยู่กับตนสองต่อสอง ทว่าเด็กสัตว์แพทย์ปีสามกลับเอาแต่ยืนอมยิ้มแล้วส่งสายตากระลิ้มกระเหลี่ยคืนมาให้
จนสกลต้องลอบถอนหายใจเพราะรู้ว่าตนเองไม่อาจพูดจาก้าวร้าวใส่อีกฝ่ายต่อหน้าสายรหัสร่างหมีกริซลีย์ได้
“แล้วนี่แดกข้าวเย็นกันแล้วหรือยัง?”
“ยังครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์ตอบพี่บัณฑิตอย่างไม่อิดออด
“งั้นเดี๋ยวกูเลี้ยงข้าว...
นาน ๆ เจอกันที เนี่ย! พวกไอ้ปอมมันคงขับรถใกล้จะถึงแล้วล่ะ
ได้โปรดให้พวกกูได้เสียเงินเพื่อมึงบ้างนะครับไอ้รินหลานเซ่อ!” สารินทำท่าจะปฏิเสธ แต่กลับช้ากว่าฝีปากของคนหน้าแว่นไปหนึ่งช่วงตัว
“ผมขอตัวดีกว่าครับ
เกรงใจ” เด็กเต็กยิ้มน้อย ๆ พลางบอกปัดอย่างสุภาพ... กับคนแปลกหน้าตัวใหญ่ที่ดูไม่เป็นมิตรกับผู้ใดนอกจากหมีขาวที่ยืนข้าง
ๆ ก็ถือว่าสกลมีสติมากพอที่จะไม่ทำตัวเกรียนใส่ให้โดนโบกหัวหลุดออกจากบ่าแบบโง่
ๆ ไปเสียก่อน
แม้จะกระบิดกระบวนรวนเรด้วยวิชาลับสำนักใด
แต่สุดท้ายโคตรพ่อหมีที่สยบลูกหมีขาวได้ด้วยวาจา
ก็เป็นฝ่ายที่เอาชนะทุกสรรพสิ่งในห่วงโซ่อาหารได้อย่างไม่มีใครกล้าต่อรอง
“โว๊ะ! จะเกรงใจทำไม คนกันเองทั้งนั้น ไป ๆ ไอ้พวกห่านั่นแม่งคงเนื้อเต้นที่ได้นั่งร่วมโต๊ะกับน้องแว่นในตำนานแหง
ๆ !” พูดจบ สิงหนาทก็เดินอาด ๆ มุ่งหน้าไปยังทางออกด้านหลังซุ้มจนสารินอดทักขึ้นไม่ได้
“แล้วใครจะเฝ้าซุ้มล่ะครับพี่สิงห์?”
“เหอะน่า กูรวย”
พ่อหมีที่ตะโกนสั่งโดยไม่วายหันหลังกลับมาด่ารุ่นน้องทั้งสองที่ยังยืนง่าวไม่เข้าท่าอยู่ตรงหน้าร้านไม่ยอมขยับไปไหน
“ยังเสือกเชื่ออีกนะมึงนิ! กูมีลูกน้องเฝ้าให้โว้ย! ไป ๆ แดก
ๆ !”
หลังจากมื้ออาหารเย็นเบา
ๆ ของรุ่นน้องสิ้นสุดลงได้พักใหญ่ ๆ ฝ่ายบัณฑิตหมาด ๆ ที่นั่งจิบน้ำสีอำพันเคล้าการแลกเปลี่ยนคำถามว่าด้วยสารทุกข์สุขดิบ
รวมถึงเรื่องสัพเพเหระต่าง ๆ กับหลานรหัสและแฟนหน้าแว่นตามที่สิงหนาทเข้าใจกันมาได้ระยะหนึ่ง
คนเป็นพี่ใหญ่ก็ยิงคำถามคาใจข้อสำคัญใส่สารินและสกลโดยไม่ปล่อยให้ทั้งสองตั้งตัว
“จะว่ากูเสือกก็ได้ แต่ถามจริง... พวกมึงได้กันยัง?” โชคดีที่ว่าที่นายสัตวแพทย์ไม่ได้กินน้ำอยู่ ผิดกับสกล... รายนั้นโดนความถึงลูกถึงคนของคำถามทำเอาสำลักน้ำจนไอโขลก
สารินจึงรีบลูบหลังลูบไหล่ ส่งน้ำแก้วใหม่
ส่งกระดาษทิชชูให้ พลางพูดปรามพี่บัณฑิตเป็นพัลวัน
“เฮ่ย! พี่สิงห์! พี่พูดแบบนี้ได้ไง? น้องเขาเสียหายนะครับ!” แต่คำตอบของพ่อหนุ่มตี๋ตัวใหญ่เหมือนหมีขาวของเด็กเต็กเมื่อกี๊
กลับยิ่งทำให้หนุ่มแว่นในตำนานยิ่งไอระส่ำจนหน้าดำหน้าแดง
คนเสียหาย...
เราเนี่ยนะ?...
.
.
เฮ่ย? บ้าเหรอ?!
“หนอย! เดี๋ยวนี้มึงกล้าขึ้นเสียงใส่กูเหรอไอ้หลานเซ่อ?!” สิงหนาทตะเบ็งใส่หน้าหลานรหัสจนคอเป็นเอ็น ฝ่ายสารินที่รู้สึกผิดเพราะเผลอขึ้นเสียงใส่รุ่นพี่ก็ยอมยกมือไหว้อีกฝ่ายแต่โดยดีพร้อมกับกล่าวขอโทษอย่างจริงใจ
“ขอโทษครับ”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ฮ่า ฮ่า
ฮ่า... เวลามึงล่กนี่ตลกฉิบหาย! กูล้อมึงเล่นหรอกน่า!” สิงห์เอื้อมมือข้ามโต๊ะไปตบบ่าหลานรหัสปุ ๆ แล้วพูดอย่างชอบอกชอบใจเหมือนเด็กได้ของเล่นชิ้นที่ตนใฝ่ฝัน
“คราวหน้าพอมึงเหวอ กูจะแอบถ่ายคลิปส่งไปให้พวกพี่ ๆ มึง
ไอ้พวกนั้นมันต้องตกใจจนทำอะไรไม่ถูกแน่ ๆ !”
“ไม่ดีหรอกครับพี่สิงห์”
“อย่าห้าม...
ความสุขกู! ว่าแต่ได้กันเมื่อไรอย่าลืมส่งข่าวบอกกูด้วยนะ”
พี่บัณฑิตไม่วายทิ้งท้ายด้วยอาการหื่นขึ้นหม้อจนสารินต้องร้องขอชีวิต ส่วนสกลที่ของเหลวเพิ่งยอมล่าถอยออกจากหลอดลม
ก็ได้แต่นั่งทำหน้าขื่นขมอยู่ข้าง ๆ อย่างไม่มีทางเลือก
“โธ่! พี่สิงห์ครับ!” ท่าทางแย้งอย่างกะปลกกะเปลี้ยของหลานรหัสสุดเนี๊ยบในยามนี้ทำเอาคนเป็นพี่ใหญ่หัวเราะร่วนอย่างเอร็ดอร่อย
แล้วจึงหันไปปล่อยข้อมูลลับเกี่ยวกับสารินให้หลานสะใภ้ได้รับทราบ
“น้องแว่น เวลาอยู่กับมันต้องอดทนหน่อยนะ
หลานรหัสพี่แม่งอมดอกพิกุลมาเกิด” สิงห์จั่วหัวพลางเหลือบมองหน้าสารินด้วยความหมั่นไส้
“ไอ้สัดนี่ดีแต่หล่อ เสียดาย... พ่อมันเสือกลืมให้ปากมา!”
“พี่สิงห์เข้าใจอะไรผิดอยู่หรือเปล่าครับ?
เวลาอยู่กับผมนี่จ้อจนลิงหลับเหมือนโดนเขียดตบปากไม่ยั้งมาตั้งแต่ยังแบเบาะ!” สกลอดใส่อารมณ์เอ่ยแย้งไม่ได้ ยิ่งเมื่อความเป็นจริงที่ตัวเขาสัมผัสมาช่างแตกต่างจากคำอวดอ้างของสิงหนาทราวฟ้ากับเหวด้วยแล้วล่ะก็
“เรอะ?! หึ หึ หึ... ไอ้ริน มึงซุ่มเหรอวะ? บร๊ะ!
ไม่เสียแรงที่เป็นน้องสายกู”
พี่บัณฑิตตบเข่าฉาดอย่างถูกใจก่อนจะกระดกของเหลวในแก้วลงคออึกใหญ่เพื่อเพิ่มความกระชุ่มกระชวย
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ” สารินแบ่งรับแบ่งสู้พร้อมรอยยิ้มบาง
ๆ ก่อนจะหันไปมองคนข้าง ๆ ที่นั่งซังกะตายหลังจากติดแหง็กอยู่ในวงสนทนาของสายรหัสเขามาเกือบสองชั่วโมงด้วยสายตาเอ็นดู
จนพี่คนโตอย่างสิงหนาทพลอยรู้สึกยินดีไปด้วย
“หึ หึ น้องแว่นนี่เก่งนะ
ทำให้ไอ้รินยอมโผล่หัวออกจากกะลามาให้คนอื่นเห็นหน้าบ้าง” เจ้าของร้านแอคเซสเซอรีของบรรดาสัตว์เลี้ยงชมเชยหลานสะใภ้
ฝ่ายสกลที่ตกอยู่ในสถานะผู้ฟังอย่างเสียไม่ได้ก็เผลอเลิกคิ้วแล้วตั้งใจเปิดรับข้อมูลของชายโรคจิตห้องตรงข้ามโดยไม่ทันรู้ตัว
“รู้ไหม
ตั้งแต่มันเข้าปีหนึ่งมาถึงมันจะหล่อตี๋เป็นที่ต้องตาของคนทั้งคณะ...
.
.
...แต่มันกลับชอบปลีกตัวไปอ่านตำรับตำราอยู่คนเดียว
ไม่เคยเหลียวแลเพื่อนร่วมรุ่นสักคน...
...เวลาว่างแทบไม่มีใครเคยเห็นหน้า
ตกเย็นวันศุกร์แม่งก็เอาแล้ว เปิดตูดกลับบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด...
...กว่าจะได้เจอหน้ากันอีกทีก็เช้าวันจันทร์โน่น...
...เลิกเรียนแต่ละวันแม่งก็หายต๋อม
จะเลี้ยงสายทีนี่พี่แทบต้องจุดธูปสามเวลาหลังอาหารไปอัญเชิญพ่อให้ลงมาโปรด!”
“พี่สิงห์ครับ
พอเถอะ” คนโดนพาดพิงอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย แต่สิงหนาทกลับหาได้แคร์ไม่
“หึ!” สิงห์หัวเราะเยาะเย้ยพลางยักไหล่ใส่หน้าสารินราวกับสะใจเสียเต็มประดา
แล้วจึงผินหน้าไปป้อนข้อมูลสำคัญใส่สมองหลานสะใภ้อย่างสนุกสนาน “แต่น้องแว่นรู้ไหมว่ามันทำแบบนั้นไปทำไม?”
คำถามของพี่คนโตทำเอาสกลส่ายหัวเพราะไม่รู้จะตอบสิงห์อย่างไร...
ขืนยอมรับไปตรง
ๆ ว่าไม่อยากรู้เห็น มีหวังต้องโดนโคตรพ่อหมีตบกะโหลกเล่นจนต้องนอนเป็นผักแหง
ๆ
กระนั้น... แม้เด็กเต็กหัวไข่จะไม่ได้ยินยอมรับฟังบทบรรยายดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น
ทว่าข้อมูลที่สิงหนาทเผยให้สกลได้ฟังต่อจากนั้น ทำให้ความรู้สึกด้านลบทั้งหลายเกี่ยวกับชายหนุ่มแปลกหน้าจากต่างคณะมลายหายไปได้อย่างน่าอัศจรรย์
“พี่เคยถามมันนะว่า
ทำไมมันถึงทำตัวไม่เอาใครแบบนี้ มันบอกว่า มันอยากเป็นหมอหมาที่ดีที่สุดเร็ว ๆ มันจะได้ช่วยชีวิตหมาของน้องมันได้เสียที พี่ฟังแล้วก็ยอมคารวะความบ้าน้องของมัน...
แต่ไอ้ที่น่าหมั่นไส้คืออะไรรู้ไหม?”
อยากเป็นสัตวแพทย์เพราะอยากช่วยหมาของน้องเหรอ?
ฟัง ๆ แล้วก็ดูจะเป็นคนดีเหมือนกันนะนายหมีขาว
“เอ่อ...
ไม่รู้ครับ” หนุ่มสถาปัตย์ยอมรับง่าย ๆ เพราะตนแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชายหนุ่มห้องตรงข้ามเลยสักนิด
“คือไอ้รินมันเสือกเก่งจริง
ๆ ไง...
.
.
...นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องเก็บชั่วโมงคลินิกและคณะอนุญาตให้เรียนข้ามชั้นปีได้...
...พี่ว่าเผลอ
ๆ ป่านนี้มันอาจจะเรียนจบพร้อมพวกพี่ไปแล้วก็ได้นะ...
.
.
...เชื่อป่ะ เพราะหนังหน้ากับสติปัญญาของไอ้รินมันเลยนะ
ที่ทำให้สายรหัสพี่รุ่งเรืองจนกลายเป็นตำนานคณะไปในที่สุด” สิงหนาทเอ่ยด้วยความภูมิใจราวกับกำลังโฆษณากิตติศัพท์ของลูกชายให้ว่าที่ลูกสะใภ้ฟัง
ถามจริง?!
“พี่สิงห์
พอเถอะครับผมขอร้อง”
“กูจะพอได้ยังไง
ก็น้องแว่นเขานั่งฟังกูตาใสอยู่นี่...
...มึงมีดีก็อย่าถ่อมตัวให้มันมากนักเลยวะ
หัดเอาของขึ้นมาอวดให้แฟนมึงร่วมชื่นชมบ้างเหอะว้า!... จริงไหมน้องแว่น?” สิงห์สั่งสอนหลานรหัสคำรบใหญ่
ก่อนจะหันไปขอความเห็นจากหลานสะใภ้คล้ายหาพวก แต่สกลกลับฉวยโอกาสดังกล่าวเปลี่ยนเรื่องมันเสียเลย
“สรุปพี่สิงห์ไม่สั่งอะไรกินรองท้องหน่อยเหรอครับ?”
“ไม่ล่ะ
เดี๋ยวพี่ไปกินอีกร้าน พวกเพื่อนพี่มันเปลี่ยนใจอยากไปเมาหัวราน้ำฉลองความสำเร็จ” พี่คนโตพูดพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือ
แล้วจึงเอ่ยประโยคที่ทำให้เด็กเต็กรู้สึกโล่งใจได้ในที่สุด “นี่ก็จวนเวลานัดอยู่เหมือนกัน...
ไปต่อกับพี่ไหมล่ะ?”
“ขอบคุณครับพี่สิงห์
แต่พรุ่งนี้ผมมีเรียนแต่เช้า คงไม่สะดวกเท่าไร” หนุ่มแว่นในตำนานปฏิเสธนุ่มนวล แต่สิงหนาทกลับไม่ยอมรามือปล่อยหลานสะใภ้ง่าย
ๆ
“น่าเสียดาย
แต่ก็ไม่เป็นไร เอาไว้งานรวมรุ่นก็ได้ เดี๋ยวให้ไอ้รินมันควงมาดวดเหล้ากับพวกพี่ก็แล้วกันนะ!”
“เอ่อ
ผมคงไม่สะดว... / น่า...
สนุกแน่ เชื่อพี่ดิ” พี่บัณฑิตโบกมือผ่านหน้าหลานสะใภ้ไหว ๆ เพื่อเรียกบริกรโดยไม่ได้สนใจปฏิกิริยาหงิกงอนไม่เอาผู้ใดของสกลเลยแม้แต่นิดเดียว
มิน่าล่ะ... หมีขาวถึงไม่ค่อยพูด
มีสายรหัสอย่างพี่สิงห์นี่เอง
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“เรื่องเย็นนี้พี่ต้องขอโทษเราด้วยนะ”
“...”
“อย่าถือสาคำพูดพี่สิงห์เลยนะครับ”
“...”
“แล้วเมื่อกี๊อิ่มหรือเปล่า
พี่เห็นเรากินไปนิดเดียวเอง”
“...”
“ว่าไงครับ?
อิ่มหรือเปล่า? หรืออยากให้พี่แวะตลาดโต้รุ่งก่อนกลับไหม?”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“...ไม่ต้อง...” สกลละล่ำละลักเสียงแผ่วเมื่อโดนสายตากดดันจากคนขับจับจ้องจนเจ้าตัวแทบไม่มองถนน
“หืม?
ว่ายังไงนะครับ?” ว่าที่นายสัตวแพทย์ยิ้มพลางเอียงตัวยื่นหน้าเข้าไปฟังใกล้ๆ
เพราะได้ยินคำตอบของตุ๊กตาหน้ารถเวอร์ชันสงบเสงี่ยมได้ไม่ดีนัก
“ไม่ต้อง...
ผมอิ่มแล้ว” เสียงตอบที่ดังกว่าเดิม... หากแต่โอนอ่อนจนฟังเสนาะหูกว่าทุกครั้งทำให้ชายหนุ่มยิ้มกว้างยิ่งกว่าครั้งไหน
ๆ ชายหนุ่มจึงไม่ปล่อยโอกาสอันดีนี้ให้หลุดลอยไปโดยไม่ได้ฉกฉวยความสุขให้มากกว่าเดิม
“ถ้างั้นพี่พากลับห้องเลยนะครับ”
“อืม”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“เป็นไงมั่ง
ชอบไหม?” สารินกลั้นใจรอฟังคำตอบของหนุ่มแว่นในตำนานด้วยใจจดจ่อ...
อดไม่ได้เลยที่จะขอให้ชายหนุ่มรุ่นน้องหลุดปากเผลอพูดอะไรน่ารัก ๆ ให้ได้ชื่นใจสักครั้ง
แต่คนนั่งข้างกลับไม่ได้หละหลวมอย่างที่ตนแอบเพ้อฝันไปล่วงหน้า
“อะไร?! ชอบอะไร?” ดวงตาใสที่ลอดผ่านเลนส์หนามาจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่องเรียกรอยยิ้มของสารินให้กลับคืนมาประจำใบหน้าได้เป็นครั้งที่เท่าไร...
เขาก็ไม่อาจนับถ้วน สุดท้ายคนเป็นพี่จึงต้องตอบรวน
ๆ เพื่อให้ตุ๊กตาหน้ารถหมดความสงสัยในเจตนาแอบแฝงของตนลงโดยเร็ว
“ก็งานวันนี้ไงครับ...
หรือมีอย่างอื่นให้เราชอบอีก?”
“...”
“ว่าไง
ชอบหรือเปล่าครับ?”
.
.
.
.
.
.
.
.
“...ก็ดี...” ที่สุดแล้วเด็กสถาปัตย์ก็ต้องยอมรับความรู้สึกที่มีต่องานนี้ตามตรง...
แม้งานเพ็ทโชว์ในวันนี้จะเป็นเพียงงานเล็ก
ๆ ของจังหวัดนอกเขตปริมณฑล และแม้จะไม่มีกิจกรรมไฮไลท์ใด ๆ หรือไม่มีน้องหมาผ่านมาให้เขากอดเล่นมากมายนัก
ทว่าหัวเรี่ยวหัวแรงทุก ๆ คนที่ร่วมใจกันจัดงานนี้ขึ้นรวมถึงผู้มาเดินชมงาน
ทั้งหมดต่างให้ความสำคัญอีกทั้งยังส่งมอบโอกาสให้แก่สัตว์อนาถาทุกประเภทโดยเท่าเทียมจนสกลสัมผัสได้
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เด็กเต็กหัวไข่ยอมรับว่าตนเองประทับใจกับงานในครั้งนี้อยู่ไม่น้อย
“ถ้าปีหน้าจัดอีก
ไว้มาด้วยกันนะครับ”
“!!!”
“นะครับ” สารินทอดเสียงออดอ้อนจนคนฟังร้อนรน
“ไว้ให้ว่างก่อนเถอะ
จะรีบชวนไปไหนก็ไม่รู้?!”
ยังดีที่ช่วงนี้ของถนนไม่มีไฟทาง คนขับจึงต้องมองถนนโดยไม่อาจละสายตา... ไม่อย่างนั้นคงได้เห็นผิวแก้มใต้แว่นแดงระเรื่อไปแล้วแน่
ๆ
“ครับ ครับ...
ถึงตอนนั้นพี่ค่อยชวนเราอีกทีดีไหมครับ? รับปากพี่ได้ไหม?”
“เออ ๆ ! จะทำอะไรก็ทำ!” ถึงจะชอบใจกับคำตอบที่ได้ยินเสียเหลือเกิน แต่เพราะบรรยากาศในห้องโดยสาร
ณ ตอนนี้ ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความประหม่าที่แผ่ออกมาจากตุ๊กตาหน้าแว่นข้าง ๆ
คนขับ สารินจึงไม่คิดเร้าหรือยื้อเย้าอีกฝ่ายหนักข้อเท่าขามา
“อยากฟังเพลงไหมครับ?”
“เอามือถือคุณมาสิ
เดี๋ยวผมเปิดเพลงให้” คำตอบของสกลเรียกรอยยิ้มจากคนขับได้อีกครั้ง ถึงอย่างนั้น...
สารินก็ยังจะจอดรถตรงริมข้างทางแล้วเปิดไฟห้องโดยสารจนสว่างอยู่ดี
“อ้าว! ก็ผมบอกแล้วไงว่าผมจะเปิดเพลงให้ แล้วคุณยังจะจอดรถทำไมอีก?”
เด็กสถาปัตย์ขยับเบี่ยงตัวเพื่อจะได้หันไปจ้องหน้าคนขับได้อย่างถนัดถนี่... รอบนี้เขาจะไม่หลงกลหมีขาวอีกแล้ว!
“ให้พี่สอนนะครับ
คราวหลังเราจะได้เปิดเพลงเพราะ ๆ ให้พี่ฟังได้” คำพูดอ่อนหวานของสารินกล่อมคนฟังให้นั่งนิ่งไม่ไหวติง
จะมีก็แต่เพียงวงหน้าที่ยกขึ้นลงเร็ว ๆ เพื่อตอบรับแทนการเปล่งเสียงที่เพิ่งจะชำรุดชั่วคราวหลังจากได้ยินประโยคเมื่อสักครู่
ฝ่ายคนสอนก็แอบอมยิ้มมุมปากเพราะไม่อยากให้รอยยิ้มกว้างก่อกวนคนนั่งนิ่งให้อาละวาดจนวงแตกไปเสียก่อน
“ง่าย ๆ เลยครับ
ถ้าอยากฟังเพลงนะ เราแค่ต้องเสียบสายลิงค์นี่เข้ากับเครื่อง กดปุ่มนี้ แล้วค่อยเปิดเพลง”
คนโตกว่าพูดพลางปฏิบัติขั้นตอนดังกล่าวไปพร้อม ๆ กัน ความง่ายดายของมันทำให้เด็กหัวไข่เผลอปากไวใส่ตามประสา
“เฮอะ!
แค่นี้ไม่เห็นจะต้องจอดรถสอนให้เสียเวลา... เด็กปอห้ายังรู้เลยมั้งเนี่ย!”
“หึ หึ พี่ก็ไม่น่าต้องสอนเราเรื่องนี้จริง
ๆ นั่นแหละ...
.
.
.
...แต่มีบางอย่างที่พี่ต้องบอกเป็นพิเศษ”
อาจเพราะสายตา หรือ เพราะประโยคดังกล่าวถูกเว้นช่วงจนน่าอึดอัด ความรู้สึกขยุกขยิกมวนท้องแปลก
ๆ จึงกลับมารบกวนความรู้สึกของสกลอีกครั้ง
“อะ...อะ
อะไร?” สิ้นสุ้มเสียงซักไซ้ติดประหม่า สารินก็ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบบอกตัวเลขสี่ตัวสำหรับปลดล็อคสมาร์ทโฟนสุดทันสมัยของเขาข้าง
ๆ หูคนข้าง ๆ ที่นั่งหลับตาทำตัวแข็งจนใกล้จะกลายร่างเป็นตุ๊กตาหน้ารถเข้าไปทุกที
“ไม่ลืมใช่ไหมครับ?” ว่าที่นายสัตวแพทย์ที่ยังไม่ผละห่างไปไหนเอ่ยถามในจังหวะที่ใบหน้าของทั้งสองอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบดี
นั่นจึงมีผลให้สายตาแป๋ว ๆ หลังแว่นหลบหายไปหลังเปลือกตาบางจ๋อยทั้งสองข้างอีกครั้ง
สารินอาศัยช่วงเวลาสั้น
ๆ ดังกล่าว กวาดสายตามองเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ บนใบหน้าขาวเนียนที่เครื่องหน้าทั้งหมดยู่มากองรวมกันตรงกลางหลังเจ้าของหลับตาปี๋อย่างกะทันหันเอาไว้ในความทรงจำ
แล้วจึงจะระงับความรู้สึกเสียดาย พูดเย้าตบท้ายเพราะไม่อยากให้ใบหน้าของน้องต้องบอบช้ำก่อนเวลาอันควร
“หรือเราอยากให้พี่ทวนช้า
ๆ อีกครั้ง เอาไหมครับ?”
“ไม่ต้อง! แค่นี้เอง ผมจำได้หรอกน่า! ขับรถต่อสักทีสิ ผมอยากกลับห้องแล้ว” สกลเบิกตาจ้องหน้าสารินอย่างกินเลือดกินเนื้อหลังจากเสียรู้ให้กับคนเป็นพี่อีกครั้งทั้งที่ระวังตัวแล้วแท้
ๆ
“ครับ ครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์จึงแสร้งยกมือทั้งสองขึ้นเสมอไหล่ทำท่ายอมแพ้แล้วกลับไปตั้งท่าพร้อมบังคับพวงมาลัยตามคำสั่งของอีกฝ่ายแต่โดยดี
“ลองเปิดเพลงดูสิครั...”
ไม่ทันขาดคำ เสียงเพลงก็ดังขับกล่อมชายหนุ่มทั้งสอง
และก่อนที่เครื่องยนต์จะเร่งความเร็วอีกครั้ง เจ้าของที่นั่งข้างซ้ายมือคนขับก็ยักคิ้วข้างเดียวยิก
ๆ พร้อมส่งยิ้มมุมปากให้สารินยิ้มตามอย่างช่วยไม่ได้อีกหน
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“เพลงเพราะดีนะครับ”
“...ก็งั้น ๆ ...”
“หึ หึ... งั้น
ๆ ก็งั้น ๆ ครับ” รอบนี้ สารินไม่คิดจะเซ้าซี้ให้มากความ เมื่อได้ยินเสียงฮัมตามท่วงทำนองของเพลงที่เปิดอยู่ดังแว่วมาจากคนนั่งข้างกัน
“ขอบคุณมากนะครับที่วันนี้เราไปเที่ยวเป็นเพื่อนพี่
พี่มีความสุขมาก ๆ เลยครับ” หลังจากที่ทั้งสองเดินมาหยุดยังหน้าประตูห้องทั้งสองบานที่หันเข้าหากัน เด็กสัตว์แพทย์ก็เป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
“หึ!
ถ้าไม่ใช่เพราะซิลเวสเตอร์ จ้างให้ผมก็ไม่ไปกับคุณหรอก!” สกลเชิดใส่... ดูเหมือนว่าการกลับมาเยือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์บริเวณหน้าห้องจะเสริมสร้างพลังงานกระด้างกระเดื่องให้กลับคืนสู่เด็กหน้าแว่นได้ดีเหลือเชื่อจนสารินนึกอยากให้ทั้งสองกลับไปนั่งอยู่ในรถเหมือนเมื่อราว
ๆ สิบนาทีก่อนเสียจริง ๆ
“สงสัยพรุ่งนี้เลิกเรียนพี่คงต้องแวะขอบไปคุณเจ้าซิลเวสเตอร์เสียหน่อยแล้วล่ะ”
ท่าทางยุกยิกอยู่ไม่สุขของเด็กสถาปัตย์ทำให้คนเป็นพี่รีบหย่อนเบ็ดส่งท้ายทันทีก่อนช่วงเวลาสุดพิเศษของค่ำคืนนี้จะหมดลง
“ไม่ต้อง!
บอกผ่านผมก็ได้
เดี๋ยวผมคุยกับซิลเวสเตอร์เอง” ...แน่นอน จากท่าทางเหมือนแม่หมาหวงลูกที่ชายหนุ่มหัวไข่แสดงออก
บ่งบอกว่าแผนการล่อลวงเด็กของสารินได้ผลอีกครั้ง
“นี่เราหวงซิลเวสเตอร์ขนาดนี้เชียวเหรอครับ?”
คนโตกว่าตีหน้าซื่อ
“ก็แหงสิ! เกิดปล่อยให้คุณไปแอบเจอกับซิลเวสเตอร์ตามลำพัง ไม่รู้ตอนออกจากโรงบาลจะกลายร่างเป็นตัวอะไรไปอีก!”
“งั้นก็แปลว่า
ถ้าพี่อยากจะไปเยี่ยมซิลเวสเตอร์ พี่ต้องรอไปพร้อมเราอย่างนั้นน่ะเหรอครับ? /
ใช่! ผมจะคอยจับตาดูคุณไม่ให้คลายสายตาเลย!”
“อย่างนั้นเหรอ?
อืม... งั้นพรุ่งนี้เดี๋ยวพอเลิกเรียนคาบสุดท้าย พี่ว่าพี่จะลงไปหาซิลเวสเตอร์สักแป๊บนึง...
.
...ราว ๆ
หกโมงเย็นน่ะครับ เราว่างไหม?” สารินพูดลอย
ๆ คล้ายกำลังคุยกับลมกับฟ้าโดยไม่สนใจว่าสกลจะตอบตกลงหรือไม่
“ไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะครับ... พี่สัญญาว่า ถ้าเราไม่อยู่ด้วย พี่จะไม่คุยกับซิลเวสเตอร์เลยสักคำ”
“เออ เออ! ผมว่าง! ผมจะไปควบคุมความประพฤติของคุณเอง!”
“ดีเลยครับ! ถ้างั้นเราเจอกันที่โรงพยาบาลสัตว์เหมือนเดิมนะครับ
แต่ถ้าเราเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน มากดกริ่งเรียกพี่ได้ตลอดคืนเลยนะครับ ไม่ต้องเกร...
/ พอได้แล้ว... ผมจะเข้าห้อง!” สกลเหวี่ยงใส่ด้วยท่าทางทรงอำนาจ... หารู้ไม่ว่า
ที่สุดแล้วตนเองคือเหยื่อที่ยอมงับเบ็ดของหมีร้ายโดยที่ไม่ทันรู้ตัว
“หึ หึ
งั้นพรุ่งนี้เจอกัน... ฝันดีนะครับ” สารินหลุดหัวเราะเสียงดังเมื่อเสียงปิดปึงปังของประตูห้องตรงข้ามคือเสียงเดียวที่ดังสอดรับตอบกลับประโยคส่งท้ายของตนเมื่อสักครู่...
ทุกอย่างที่คาดการณ์เอาไว้
เป็นไปตามนั้น
กระทั่งเสียงดังสนั่นของบานประตูเมื่อสักครู่เองก็เถอะ
«♥»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «♥»
ขอบคุณเนื้อเพลง: