ตอนนี้ก็สั้นอีกแล้ว
แต่มันได้แค่นี้จริง ๆ (ขอโทษอย่างแรงเลยค่ะ โฮว!!)
อย่างไรก็ดี เราเขียนตอนนี้ด้วยความเพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่งเพราะเรารักหมาน้อยมาก
ๆ
หวังว่าทุก ๆ
ท่านจะอ่านแล้วปลาบปลื้มไปตาม ๆ กันนะคะ
และเรื่องน่ายินดีอีกเรื่องก็คือ
วันนี้เป็นวันที่สี่ปีมีครั้งค่ะ
เพราะฉะนั้น
หากผู้อ่านท่านใดก็ตามที่เกิดวันนี้
เราขออวยพรวันเกิดให้คุณมีความสุข
ร่างกายและจิตใจแข็งแรงสมบูรณ์
ได้ทำในสิ่งที่รัก
ได้อยู่ท่ามกลางผู้คนดี ๆ ได้ทุก ๆ สิ่งที่ปรารถนามาอยู่ในครอบครองนะคะ
หากเจอคำผิดแนะนำได้เลย
เพราะเราจะเข้ามาแก้ไขในภายหลังค่ะ
รักชอบประการใด...
ฝากคอมเมนท์ไว้ให้เราอ่านบ้างเน้อ ^^
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 12th
Bonding
...You give me something that makes me scared alright
This could be
nothing.But I'm willing to give it a try...
“พี่ทีมหวัดดีครับ”
ว่าที่นายสัตวแพทย์กระพุ่มมือไหว้เจ้าของบ้านที่เพิ่งเดินออกมาเปิดประตูรั้วหน้าบ้านเดี่ยวหลังเดียวซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางสวนไม้ผลขนาดใหญ่สุดปลายถนนลาดยางที่แยกออกมาจากทางหลวงต่างจังหวัดเส้นหนึ่งไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก
ชายหนุ่มผู้ยื้อยุดฉุดประตูรั้วให้เลื่อนกว้างจากด้านในแม้จริงแท้จะอยู่ในวัยเดียวกันกับสิงหราช
บัณฑิตร่วมสายรหัสกับสาริน ทว่าความที่เจ้าตัวมีรูปร่างสันทัน ผนวกกับดูเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใสและเข้าถึงได้ง่ายมากกว่ารายแรก
จึงไม่แปลกที่วชิระจะดูอ่อนวัยกว่าเพื่อนตัวใหญ่หน้าตาไม่รับแขกอยู่หลายเท่าตัว
“เออ ๆ ดี ๆ
เข้ามาสิ กูรอมึงตั้งแต่เย็นวันศุกร์... นึกว่าจะเปลี่ยนใจไม่มาแล้วเสียอีก” วชิระบ่นเบา
ๆ พลางหาวหวอด ๆ พร้อมเกาหัวตัวเองยิก ๆ จนเส้นผมยิ่งยุ่งเหยิงไปกันใหญ่ก่อนจะกวักมือเรียกรุ่นน้องร่วมคณะให้เดินตามตนเองเข้าสู่ชายคาบ้าน
“ขอโทษด้วยครับ
พอดีวันก่อนอาม่าท่านอยากให้ผมไปทำธุระให้นิดหน่อย ผมเลยต้องกลับบ้านแทนที่จะได้มาที่นี่อย่างที่บอกเอาไว้แต่แรก”
หลานอาม่าเล็กเร่งเสียงอธิบายพร้อมกับรุนหลังเด็กเต็กให้เดินล่วงหน้าตามแผ่นหลังของรุ่นพี่เข้าไปด้านในระหว่างที่ตนงับประตูรั้วจนสนิท
“เฮ่ย!
ไม่เป็นไร
ไม่ต้องคิดมาก กูก็แซวมึงเอามันไปงั้นแหละ หึ หึ หึ” เจ้าของบ้านอาศัยจังหวะหยุดยืนรอแขกทั้งสองอยู่ตรงทางเดินข้างรั้วเพื่อลอบสังเกตเด็กแว่นสลับกับรุ่นน้องร่วมคณะอย่างสนอกสนใจ
ท่าทางอยากรู้แต่ไม่อยากถามของวชิระทำให้สารินรีบแนะนำหลานอาม่าใหญ่ให้รุ่นพี่ได้รู้จักตามมารยาททันที
“คนนี้เป็นรุ่นน้องผมเองครับ
ชื่อสกล” พ่อหมีโพลาร์เอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางผายมือแนะนำคนแปลกหน้าทั้งสองให้เริ่มทำความรู้จักซึ่งกันและกัน
“นี่พี่ทีมครับ เป็นเพื่อนพี่สิงห์... พี่ทีมเป็นเจ้าของลูกหมาที่เราจะมาช่วยป้อนนม”
“สวัสดีครับพี่ทีม”
ด้วยเห็นแก่หน้าตาและชื่อเสียงของหนุ่มรูปหล่อที่อาสาพาตนดั้นด้นมาถึงที่นี่ พอ ๆ กับอดรู้สึกเกรงใจหมีใหญ่นามสิงหราชไม่ได้
คนเห็นผีจึงรีบแสดงความเคารพต่อวชิระด้วยสัมมาคารวะอันดีผิดไปจากที่มักจะแสดงออกเวลาอยู่ต่อหน้ากลุ่มเพื่อนสนิทของตัวเองแบบลิบลับ
“เออ ๆ
หวัดดี... เราใช่น้องคนที่ไปกินข้าวกับไอ้สิงห์เมื่อวันก่อนป่ะ?” ทีมรับไหว้ลวก ๆ
เพราะเกิดจะอยากขยี้ตาขึ้นมาดื้อ ๆ เด็กปีสองจึงรีบตอบคำเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกนัยน์ตาของวชิระกระดอนหลุดออกจากเบ้าระหว่างรอฟังคำตอบของเขาไปเสียก่อน
“ครับพี่ทีม”
“อ้าว!
แล้วทำไมมึงถึงไม่แนะนำน้องว่าเป็นแฟนมึงเล่า?
อยู่ ๆ ก็เกิดเพิ่งจะอายขึ้นมาหรือไง?” แทนที่รุ่นพี่ผู้เหนื่อยล้าจากการอดหลับอดนอนมาหลายวันติดจะสนใจเด็กสถาปัตย์
บัณฑิตหมาด ๆ กลับหันไปถลึงตาเชิดปลายคางใส่รุ่นน้องร่วมคณะผู้อายุห่างกันราว ๆ
สี่ปีเสียอย่างนั้น “แต่จะอายตอนนี้คงไม่ทันแล้วล่ะเพราะไอ้สิงห์แม่งเอาเรื่องมึงสองคนไปโพนทะนาจนพวกมึงย่อยยับไม่เหลือหลอหมดแล้ว!”
“มึงก็รู้ว่ารุ่นพี่รุ่นน้องคณะเราแม่งก็กินกันเองออกเยอะแยะ
มึงพูดความจริงกับกูได้... กูไม่เอาไปแฉหรอก” เมื่อเห็นว่าหลานรหัสกำพร้าของเพื่อนสนิทเอาแต่อมยิ้มไม่พูดไม่จา
วชิระจึงรวบรัดสรุปความคล้ายกึ่งขู่กึ่งปลอบรุ่นน้องอยู่ในที ฝ่ายสารินจึงฉวยโอกาสที่รุ่นพี่มอบให้เพื่อทั้งตอบเจ้าบ้านและหยอกเย้าเด็กแว่นข้างกายให้คลายความประหม่าไปพร้อม
ๆ กัน
“ไม่ใช่ผมไม่อยากบอกหรอกครับพี่ทีม
แต่น้องยังไม่ยอมรับว่าเป็นแฟนผมเสียทีเดียวน่ะครับ ผมเลยยังแนะนำน้องว่าเป็นแฟนผมไม่
โอ๊ย!” ยังไม่ทันได้เอ่ยความจนจบประโยค
ปลายศอกแหลมของเด็กแว่นก็ถองเข้ากระแทกชายโครงซี่ล่างจนสารินถึงกับยืนตัวงอเพราะอาการเสียดจุกเฉียบพลัน
“น้องนี่ก็เขินแรงไปนะ...
ยั้ง ๆ มือหน่อย ไว้หน้ารุ่นพี่มันบ้าง นี่ก็ยืนหัวโด่อยู่ทั้งคน... อย่ามาทำห้าวสุ่มสี่สุ่มห้า!” วชิระขึ้นเสียงใส่เด็กน้อยต่างคณะผู้กระด้างกระเดื่องจนสกลลนลาน
“ขอโทษครับพี่ทีม
พอดีผม...”
“หึ หึ หึ...
พวกมึงนี่หลอกง่ายทั้งคู่เลยว่ะ ไอ้สิงห์ส่งเครื่องบรรณาการมาบันเทิงกูแท้ ๆ ” กว่าจะรู้สึกตัวว่าพลาดท่า
เด็กสถาปัตย์ก็ถวายความเคารพเจ้าบ้านไปหลายครั้งหลายคราจนน่าตลก แต่ก่อนที่เด็กน้อยจะออกอาการฟาดงวงฟาดงา โทรศัพท์มือถือของวชิระก็ดังขัดขึ้นจนพี่คนโตรีบสั่งความกับสารินอย่างรวดเร็วก่อนจะโบกมือไล่ทั้งสองให้เดินทะลุสวนเข้าไปด้านในอย่างไม่ใครจะใยดีนัก
“เอ้า! ไป ๆ พวกเด็ก
ๆ คงจะใกล้หิวเต็มทีแล้วล่ะ เดี๋ยวขอกูพักแป๊บ”
อาศัยว่าเคยถูกสิงห์และเหล่าพี่สายล่อลวงให้ขับรถตามมากินเหล้าที่นี่อยู่สามสี่หน
สารินจึงสามารถนำทางพาสกลเดินไปยังครัวไทยหลังใหม่ตรงท้ายบ้านอันเป็นสถานที่ที่วชิระปรับมาใช้เป็นเรือนอนุบาลลูกหมาทั้งห้าไปพลาง
ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว
แม้ภายในจะดูเหมือนเป็นเพียงพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าโล่ง
ๆ ที่กรุด้วยกระเบื้องสีสว่างโดยรอบ กระนั้นเจ้าของกลับไม่จำกัดจำเขี่ยด้านความสะดวกสบายเพราะนอกจากจะมีพัดลมเพดานขนาดใหญ่
ซิงค์ล้างจานพร้อมเครื่องกรองน้ำในตัว ช่องลมทั้งหมดยังถูกปิดด้วยบานมุ้งลวดอย่างมิดชิดจนรอดพ้นจากมดแมลงรบกวนทั้งหลาย
แถมยังมีปลั๊กไฟให้เลือกใช้อีกหลายจุด และตรงสุดมุมห้องก็ถูกต่อเติมเป็นห้องน้ำที่สร้างเผื่อไว้เอาใจแม่ครัวพ่อครัวหัวป่าก์ทั้งหลายอีกด้วย
ณ ใจกลางห้อง
ปรากฏกระบะพลาสติกทรงสี่เหลี่ยม ข้าง ๆ กันมีซากที่นอนปิคนิคกับหมอนในสภาพยับยู่ยี่
พร้อมด้วยพัดลมตั้งโต๊ะ ชั้นเล็ก ๆ ที่ใช้วางอุปกรณ์สื่อสารทั้งคอมพิวเตอร์และอื่น
ๆ จนแน่นขนัด ถัดไปอีกฝั่งคือที่ตั้งของโต๊ะญี่ปุ่นตัวใหญ่สำหรับวางกระติกน้ำร้อน กับกะละมังใส่ขวดนมเล็ก
ๆ หลายขวด ไมโครเวฟและสิ่งของเครื่องใช้เท่าที่จำเป็น แค่ดูจากภาพรวมทั้งหมดตรงหน้า
สองหนุ่มก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าของหมาคงจะย้ายนิวาสถานมาอยู่โยงเฝ้าดูแลประคบประหงมสิ่งมีชีวิตวัยอ้อแอ้ทั้งห้าเป็นการชั่วคราว
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สกลตาลุกวาวได้มากเท่ากับลูกหมาห้าตัวที่นอนคว่ำอยู่ระเกะระกะทั่วไปภายในกระบะสีชมพูที่ถูกจ่อด้วยแสงจากโคมไฟดวงใหญ่อีกแล้ว
“โอ๊ยโหย!
หนู ๆ
ยังตัวแดง ๆ กันอยู่เลยลูกกก!” หลานอาม่าใหญ่ยกมือขึ้นประคองสองแก้มของตนพลางกรีดร้องทอดหางเสียงอย่างโหยหวนด้วยความดีอกดีใจเหมือนเมื่อครั้งได้ลองใส่ชุดกระโปรงที่ร้านอาเจ็กเป็นครั้งแรก
หนุ่มแว่นวิ่งถลาหมายจะเข้าไปอุ้มลูกหมาวัยแบเบาะทั้งห้าที่นอนอยู่บนผ้าขนหนูหนานุ่มซึ่งรองอยู่ด้านใต้กระบะขึ้นมาชื่นชมใกล้
ๆ ด้วยความลิงโลด แต่แล้วเด็กเต็กกลับโดนคนโตกว่าคว้าข้อมือแล้วลากให้เดินตามกันไปที่อ่างล้างจานอีกด้านหนึ่งเข้าเสียก่อน
“อย่าเพิ่งจับน้องครับ!... ไปล้างมือให้สะอาดก่อน” สารินดุเด็กน้อยที่แทบจะพุ่งหลาวลงไปนั่งข้าง
ๆ คอกหมาโดยไม่สนอนามัยใด ๆ ทั้งสิ้น พลางเริ่มล้างมือให้กับอีกฝ่ายที่ไม่คิดละสายตาจากคอกหมาด้านหลังเลยสักวินาทีอย่างนุ่มนวล
ส่วนคนที่มัวแต่ดีใจจนเนื้อเต้นเพราะจะได้เล่นลูกหมาก็ไม่ทันได้สังเกตว่าตนเองเผลอทำตัวว่านอนสอนง่ายต่อหน้าว่าที่นายสัตวแพทย์ไปเสียแล้ว
“แล้วแม่เด็ก
ๆ ไปไหนเหรอคุณ?” คนเห็นผีซักไซ้ระหว่างยอมให้คนเป็นพี่ลูบไล้ฟองนุ่ม ๆ
ไปทั่วทั้งฝ่ามือเพราะไม่มีกะใจสนใจอย่างอื่นนอกจากสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ ในคอกนั่น
“แม่น้องตายครับ
พอดีว่าวันที่น้องคลอดพี่ทีมแกไม่อยู่...
.
.
...จริง ๆ
แกฝากเด็กพม่าที่บ้านช่วยเป็นหูเป็นตาให้เพราะยังไม่ถึงกำหนดคลอดตามที่แกกะอายุครรภ์ไว้คร่าว
ๆ ...
...กลายเป็นว่า
สุดท้าย แม่หมาดันคลอดก่อนกำหนด แต่เพราะเป็นหมาสาวไม่ค่อยรู้ประสาอะไร
แม่หมาเลยยื้อกับเด็ก ๆ ในท้องจนอ่อนเพลียเกินไป จังหวะที่พี่ทีมกลับมาเลยกลายเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่แกจำใจต้องปล่อยแม่หมากับน้องเล็ก
ๆ อีกสองตัวไป เพื่อแลกกับชีวิตของเด็ก ๆ ห้าตัวนี้น่ะครับ” สารินเผยปูมหลังคร่าว
ๆ ของเหล่าเจ้าสี่ขาทั้งห้าเท่าที่ได้ฟังสิงหราชบอกกล่าว รวมทั้งให้รายละเอียดที่ได้ถามในภายหลังกับเจ้าของโดยตรงในตอนที่โทรมาขออนุญาตอีกฝ่ายเพื่อพาเด็กน้อยมาเยี่ยมเยียนลูกหมาในช่วงบ่ายวันนี้
“น่าสงสารน้อง
ๆ จังเลย” หลานอาม่าใหญ่ปรารภด้วยสีหน้าเศร้าสลดจนคนมองอดใจหายระคนเอ็นดูไปพร้อม ๆ
กันไม่ได้
“ครับ...
น่าสงสาร พี่ทีมแกก็เสียใจเพราะแกรักแม่หมามาก แต่เพราะแกแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
พี่ทีมเลยลงทุนย้ายลงมานอนเฝ้าเด็ก ๆ เป็นแม่หมาจำเป็นไปจนกว่าพวกเด็ก ๆ
จะแข็งแรงนั่นแหละครับ” ว่าที่หมอหมาว่าพลางเอื้อมมือไปดึงกระดาษชำระแผ่นหนามาซับฝ่ามือทั้งสองของน้องอย่างแผ่วเบาก่อนจะออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไปนั่งรอข้าง ๆ เด็ก ๆ เลยครับ เดี๋ยวพี่เอาขวดนมไปให้”
ขาดคำ
คนเป็นพี่ก็เดินเลี่ยงไปยังโต๊ะญี่ปุ่นเพื่อตรวจดูนมแพะที่เจ้าบ้านนำมาอุ่นรอเอาไว้
ก่อนจะยกกะลังมังใส่ขวดนมทั้งห้ามานั่งลงยังที่ว่างถัดจากร่างของเด็กสถาปัตย์
“เดี๋ยวแนนทำตามพี่นะครับ”
หลานอาม่าเล็กใช้ฝ่ามือช้อนใต้ท้องของลูกหมาตัวหนึ่งขึ้นโดยจัดท่าให้เจ้าตูบน้อยนอนนอนคว่ำหน้าหันหน้าเข้าหาตัวเอง
อีกมือหนึ่งก็คว่ำนมขวดหนึ่งลงครู่หนึ่งรอให้ของเหลวในขวดไหลซึมออกมาตรงปลายจุกก่อนจะเลื่อนขวดนมเข้าใกล้กับปากของลูกหมามากขึ้นเรื่อย
ๆ จนมันเริ่มดูดปลายจุกยางไม่ปล่อย
“ทำไมไม่จับลูกหมานอนหงายเหมือนป้อนนมเด็กล่ะคุณ?
ให้น้องชะโงกหน้ากินแบบนี้น้องได้เมื่อยคอตายพอดี!” สกลที่จ้องมองทุก ๆ
ท่วงท่าของทั้งสารินและลูกหมาอย่างไม่คลาดสายตาเริ่มยิงคำถามทันทีที่เจ้าตัวเล็กเริ่มชะเง้อหัวและลำตัวช่วงบนขึ้นดูดนมจากขวดจนดูกึ่งยักแย่ยักยันกึ่งน่าสงสารในสายตาคนเฝ้ามองอย่างเขาเป็นที่สุด...
แกล้งน้องหรือยังไง? ทำไมถึงไม่ป้อนนมน้องดี
ๆ ?!
“ปกติท่านี้เป็นท่าดูดนมตามธรรมชาติของน้องครับ
ถึงลูกหมาบางตัวจะนอนหงายแล้วดูดนมแม่ในบางครั้ง
แต่ที่สุดแล้วมันก็จะพลิกตัวกลับมานอนคว่ำเพื่อดูดนมแม่อยู่ดี” ว่าที่หมอหมาเฉลยไขด้วยรอยยิ้มละไม
ส่วนฝ่ายที่ไม่เคยเลี้ยงหมาวัยเยาว์แบบนี้มาก่อนในชีวิตก็พยักหน้าหงึกหงักพลางงึมงำทำความเข้าใจกับตัวเองอยู่พักใหญ่จนสารินอยากชักอยากจะคว้าเด็กน้อยหน้าใสมาเก็บเอาไว้ใกล้มือแทนลูกหมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“แนนลองป้อนนมน้องดูสิครับ”
สารินเชื้อเชิญคนนั่งข้าง ๆ ที่เริ่มจะออกอาการเก้ ๆ กัง ๆ ผิดกับเมื่อแรกเห็นลูกหมา
“ทะ... ทะ... ทำแบบนี้ใช่ไหม?”
สกลถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจแต่กลับไม่พลาดพลั้งหลงลืมรายละเอียดใด ๆ เลยสักนิด จริงอยู่...
หากนับตั้งแต่ตอนที่หนุ่มแว่นอุ้มลูกหมาขึ้นมาจากคอก เจ้าตัวจะดูกล้า ๆ กลัว ๆ ผิดกับคนต้นแบบอยู่มากโข
ทว่าไม่ช้าความรู้สึกประหม่าและตื่นเต้นจนไม่เป็นอันทำอะไรก็เลือนหายไปทันทีที่ลูกหมาพันธ์ไซบีเรียน
ฮัสกี้วัยเจ็ดวันในมือเริ่มดูดนมอย่างรวดเร็ว
“ครับ...
แบบนั้นแหละครับ เก่งมากครับแนน” มือโปรฯอย่างสารินรีบชมเชยมือใหม่หัดป้อนทันทีเพื่อเพิ่มกำลังใจโดยไม่ทันได้ระแวดระวังเลยว่า
ดาเมจของเด็กน้อยเวลาอยู่กับลูกหมาจะรุนแรงยิ่งกว่าในยามไหน ๆ ไปอีกร้อยเท่าพันเท่า
แว่นทรงม้อดที่ถูกแรงโน้มถ่วงดึงให้ค่อย
ๆ ไหลลู่ลงมาตามเรียวดั้งเผยให้ประกายแวววาวภายในดวงตาใสแจ๋วทั้งสองปรากฏอย่างเด่นชัด
ซี่ฟันขาวเรียงตัวสวยที่ตัดกับสีแดงของริมฝีปากอย่างเด่นชัดยิ่งส่งเสริมให้รอยยิ้มบนใบหน้ารูปไข่งดงามตรึงใจคนมองได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แก้มใสทั้งสองนั่นเล่าก็ขึ้นสีแดงระเรื่อจนเขาแทบไม่เหลือความสามารถในการหักห้ามใจได้
ไหนจะท่าทางดีอกดีใจเป็นล้นพ้นนั่นอีกล่ะ...
“ตัวมันนุ่มมาก
โอ๊ย! ลูก...
หนูน่ารักที่สุดเลย!”
สกลเผื่อแผ่รอยยิ้มหวานที่มีให้กับสิ่งมีชีวิตตัวแดง ๆ ในฝ่ามือไปถึงคนนั่งข้าง ๆ อย่างลืมตัวจนสารินเริ่มจะทำตัวไม่ถูก
รุ่นพี่จากต่างคณะจึงพยายามชวนอีกฝ่ายคุยเพื่อทำให้ตัวเองประคองสติที่เริ่มจะริบหรี่ให้กลับเข้าที่เข้าทางโดยเร็ว
“แนนไม่เคยจับลูกหมาเล็ก
ๆ มาก่อนเลยเหรอครับ?”
“ไม่เลยครับ...
นี่ครั้งแรกเลย” เด็กน้อยของสารินสาดรอยยิ้มหยาดเยิ้มใส่ตาเขาเข้าอย่างจัง ก่อนจะหันกลับไปจ้องหน้าลูกหมาด้วยความตั้งอกตั้งใจพร้อมกับส่งเสียงเชียร์ไซบีเรียนน้อยไม่ขาดปาก
“ว่าไงครับ... กินเยอะ ๆ นะเด็กดี”
“ชอบไหมครับ?”
ว่าที่นายสัตวแพทย์หนุ่มถามพลางจับจ้องทุก ๆ การเคลื่อนไหวของหนุ่มแว่นคล้ายกับกำลังสั่งให้สมองบันทึกภาพดังกล่าวเอาไว้ในความทรงจำ
“ชอบครับ
ชอบมากเลย!” สายตาของคนพูดจดจ่ออยู่บนใบหน้าของลูกหมาในมือ
“ตาใกล้จะเปิดแล้ว...
.
.
...อีกเดี๋ยวพวกหนู
ๆ ก็จะลืมตาแล้ว พี่อยากเห็นตอนพวกหนูลืมตาจังเลย...
...อาทิตย์หน้าเรามาเยี่ยมเด็ก
ๆ อีกได้ไหมพี่ริน?”
“หืม?!” สารินถึงกับชะงักมือที่กำลังจะช้อนลูกหมาตัวใหม่ขึ้นมากินนมเมื่อได้ยินสรรพนามที่อีกฝ่ายเรียกเขาด้วยความลืมตัว...
อะไรนะ? เมื่อกี๊น้องเรียกเขาว่าอย่างไรนะ?
“ได้กินนมแล้วมีแรงถีบสูงเชียวนะ
นั่นแน่!” เด็กเต็กปีสองกระเซ้าเจ้าหมาเด็กที่ผงกหัวดูดจุกนมพร้อมกับถีบขาหน้ายึกยักไปมาอย่างรุนแรงด้วยน้ำเสียงร่าเริงแล้วจึงคาดคั้นขอคำตอบจากอีกฝ่ายโดยไม่รอช้า
ทว่ากลับไม่ทันรู้ตัว “ว่าไงครับ? อาทิตย์หน้าเราแวะมาอีกได้ไหมพี่ริน?”
“แนนอยากมาเหรอครับ?”
ว่าที่หมอหมาไหลตามน้ำด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่มสลับกับกลั้นยิ้มเป็นพัก ๆ เพราะในที่สุด น้องก็ยอมเรียกเขาด้วยสรรพนามแบบเดียวกันกับเมื่อเก้าปีก่อนไม่มีผิดเพี้ยน
รู้อย่างนี้ เขาน่าจะพาน้องมาเยี่ยมเยียนบรรดาลูกหมาไปนานแล้ว
“ครับ... จริง
ๆ ถ้าไม่ติดเรียนแนนก็อยากอยู่ช่วยพี่ทีมดูน้องตลอดเวลาเลย นะ...
แนนอยากเห็นตอนน้องลืมตา” เด็กสถาปัตย์เลิกวางฟอร์มก่อนจะเอ่ยยอมรับอย่างไม่อ้อมค้อมผิดกับทุกที
“อ้าว! นมหมดแล้วอ่ะพี่ริน...
มีนมอีกไหมครับ?” สกลส่งเสียงโวยวายคลอไปกับเสียงงี้ด ๆ ของเจ้าลูกหมาราวกับตั้งตนเป็นโฆษกประท้วงแทนไซบีเรียนเด็กที่ต้องหยุดกินนมเอากลางคันทั้งที่ยังไม่อิ่ม
“หมดขวดแล้วก็ต้องพอครับ
ให้น้องกินถี่ ๆ ตามจำนวนที่พี่ทีมเตรียมเอาไว้นี่แหละ
ไม่งั้นเดี๋ยวน้องจะกินเยอะจนปวดท้อง” คนฟังทำหน้ามุ่ยคล้ายขัดข้องหมองใจกับคำอธิบายตามตำราของพี่หมอหมาใจแข็ง
แต่สารินก็เบี่ยงประเด็นเก่งเสียจนสกลต้องยอมจำนนอย่างช่วยไม่ได้
“แนนป้อนนมตัวอื่นแทนเถอะครับ
เดี๋ยวน้อง ๆ ที่เหลือจะร้องไห้โยเยเพราะโดนแนนปล่อยให้หิวนมไม่รู้ด้วยนะ” พูดจบว่าที่นายสัตวแพทย์หนุ่มก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้พลางป้อนนมลูกหมาอีกตัว
จนเด็กน้อยต้องยอมทำความเข้าใจปล่อยเจ้าตัวเล็กที่อิ่มแล้วลงคลานในคอกเพื่อให้อาหารแก่ลูกหมาอีกสองตัวที่เหลือซึ่งเริ่มจะคลานดุ๊กดิ๊กเพราะหิวจนอยู่ไม่สุข
.
.
.
.
.
.
.
“ที่พี่สิงห์บอกเมื่อวันก่อน...
จริงหรือเปล่าครับ?”
เด็กเต็กหัวไข่ทึกทักเอาว่าท่าทางนิ่ง
ๆ ของสารินเป็นผลมาจากความดื้อดึงของตัวเองเมื่อสักครู่ เจ้าตัวจึงพยายามหาเรื่องพูดคุยกับคนตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ข้าง
ๆ หารู้ไม่ว่าเหตุผลที่ทำให้หลานอาม่ามุ่ยฟ้าต้องนั่งสงบปากสงบคำอยู่เงียบ ๆ จนถึงเดี๋ยวนี้
เป็นเพราะนอกจากสารินจะรู้สึกดีใจกับคำพูดคำจาของสกลจนวางหน้าไม่ถูกแล้ว คนเป็นพี่ยังจัดการกับความหวั่นไหวต่อด้านอ่อนโยนจนน่าขย้ำของหลานอาม่าใหญ่ไม่ได้ดีนัก
“เรื่องอะไรครับ?”
การที่ว่าที่หมอหมาเอาแต่เพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่เจ้าตัวเล็กในมือทำให้คู่สนทนากระตือรือล้นยิ่งกว่าเก่าอีกหลายเท่าตัว
“ก็เรื่องที่พี่รินเรียนสัตวแพทย์เพราะน้องไง”
หนุ่มแว่นลากหางเสียงยาวอย่างหงุดหงิด... นี่ถ้าไม่ติดว่ากำลังอุ้มเจ้าไซฯน้อยอยู่ล่ะก็
พ่อจะหันไปจับหน้าหมีขาวให้หันกลับมาคุยกันดี ๆ เสียให้รู้แล้วรู้รอด!
“จริงครับ” เสียงถอนหายใจฮึดฮัดของคนข้าง
ๆ ที่ฟังบ่อยจนเริ่มจะคุ้นหูทำให้สติสตังของสารินกลับมาอยู่กับร่องกับรอยได้อย่างไม่น่าเชื่อ
จึงไม่น่าแปลกใจหากเขาจะกลับลำทำหน้ามึนยั่วเย้าอีกคนไปเรื่อยเปื่อยเสียเอง
“มีพี่น้องกับเขาด้วยเหรอ?”
อาการถามคำตอบคำของคนเป็นพี่เร่งเร้าให้หลานอาม่าใหญ่ยิ่งฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดจนเกือบจะขึ้นเสียงแหวใส่ว่าที่นายสัตวแพทย์ผู้ไม่รู้สึกรู้สาใด
ๆ ทั้งสิ้น
“แนนถามถึงใครเหรอครับ?”
“ก็พี่รินน่ะสิมีพี่น้อ...”
ในที่สุดเด็กสถาปัตย์ก็รู้สึกตัว สกลอดเสียใจไม่ได้ที่เผลอปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเร่อ...
ทั้ง ๆ ที่ก็คอยห้ามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอย่าเผลอเรียกอีกฝ่ายอย่างสนิทสนมแบบเมื่อกี๊
แล้วทีนี้จะทำอย่างไรได้อีกล่ะ?!
“ใครนะครับ?” คนเป็นพี่เลิกคิ้วพลางยิ้มเผล่รอฟังด้วยใจจดจ่อ
ในขณะที่สกลกลับเข้าใจว่าใบหน้าหล่อ ๆ ตรงหน้าออกท่าล้อเลียนตนให้ต้องอับอาย
ชายหัวไข่จึงแสร้งทำเฉไฉเพื่อกลบเกลื่อนเร็วรี่
“ก็คุณน่ะแหละ!”
“ฮื่อออ
ไม่เอาสิ... ไม่เรียกคุณไม่เรียกผมแล้ว เรียกพี่ว่าพี่ริน
แล้วก็เรียกตัวเองว่าแนนเหมือนเมื่อกี๊เถอะนะครับ” สารินที่เพิ่งป้อนนมลูกหมาตัวที่สองของตนเสร็จสิ้นเอี้ยวตัวเพื่อนั่งมองหน้าเด็กน้อยของตนด้วยสายตารักใคร่พลางพูดจาออดอ้อนอย่างอ่อนหวานจนคนฟังอดจั๊กจี๊หัวใจไม่ได้
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“...ไม่เอา...” หลานอาม่าใหญ่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าน้ำหนักของคำปฏิเสธที่เพิ่งเปล่งผ่านริมฝีปากนั้นฟังแผ่วเบาจนสารินแทบไม่ได้ยิน
“นะครับ
เรียกพี่ว่าพี่รินเถอะครับ พี่ชอบฟัง” ว่าที่นายสัตวแพทย์กดใบหน้าลงต่ำก่อนจะช้อนสายตามองหน้าเด็กน้อยพลางเว้าวอน ฝ่ายที่โดนอ้อนจนใกล้จะอ่อนระทวยก็พยายามสะกลกลั้นอารมณ์ด้วยการเม้มปากเป็นเส้นตรง
พลางบอกกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ในเมื่อไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร ก็จงนั่งปิดปากให้สนิทไปจนกว่าอีกฝ่ายจะเลิกตอแย
“ได้ไหมครับแนน?”
สารินไม่ชอบใจเลยที่เห็นหลานอาม่าใหญ่ซ่อนริมฝีปากเอาไว้จนแน่นแบบนั้น ชายหนุ่มจึงเอื้อมมือไปด้วยหวังจะใช้ปลายนิ้วคลายปากแดง
ๆ ให้เป็นอิสระต่อกันเพื่อไม่ให้ทั้งปากของน้องและจิตใจของตัวเองต้องทนทรมานมากไปกว่านี้
ในขณะที่ชายหัวไข่ผู้เม้มปากเพราะไม่อยากจะตอบรับคำขอของหนุ่มตี๋รูปหล่อง่าย
ๆ ก็ตกใจกับมือที่ยื่นเข้าใกล้จนสามารถพรั่งพรูคำถามเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
“แล้วพี่ทีมไปไหนล่ะ
จะไม่มาเฝ้าลูกหมาหน่อยเหรอ?”
“ให้พี่ทีมแกได้พักบ้างเถอะครับ
พี่ว่าแกเหนื่อยมาหลายวันแล้วล่ะ” สารินพยายามตะล่อมเพื่อดึงเด็กน้อยให้กลับสู่บรรยากาศเพลี่ยงพล้ำเมื่อครู่อีกสักครั้งโดยอ้างอิงสภาพน่ารันทดของรุ่นพี่ที่โทรมจนสังเกตได้ชัดขึ้นมาเป็นเหตุผล
ทว่าคงจะสายเกินไปเพราะเมื่อมองจากสายตาหลังแว่นที่เลื่อนไปจับจ้องเจ้าสี่ขาตัวกระจ้อยร่อยไม่ละไปไหน
คนโตกว่าก็รู้ว่าอีกฝ่ายเบนความสนใจกลับไปที่การป้อนนมลูกไซบีเรียนในมืออย่างเอาจริงเอาจังเสียแล้ว
“แล้วต้องป้อนนมน้องอีกทีเมื่อไรเหรอครับ?”
“อีกสามชั่วโมงครับ”
พอเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของน้อง จิตวิญญาณของหมอก็ยอมปล่อยให้เด็กหัวไข่รอดตัวไปในที่สุด
“งั้นเราอยู่รอจนป้อนนมอีกรอบได้ไหมครับ?
ผมอยากเล่นกับน้องนาน ๆ ” สกลวางขวดนมขวดที่สองลงในกะละมังแล้วค่อย ๆ
จรดปลายนิ้วชี้ลงเกลี่ยขนอ่อนนุ่มตรงหน้าแงของลูกหมาตัวน้อยอย่างทนุถนอมและอาลัยอาวรณ์
แต่ครั้งนี้สารินกลับไม่ยอมใจอ่อนง่าย ๆ
“อย่าเลยครับ
พี่กลัวน้องจะเฉามือเราไปเสียก่อน” ชายหนุ่มผู้แก่อาวุโสกว่าให้เหตุผลจนอีกคนต้องยอมจำนนอย่างช่วยไม่ได้
กระนั้นเขากลับไม่ได้ทำร้ายจิตใจของเด็กแว่นหัวไข่เสียทีเดียว
“ไว้รอให้น้องโตกว่านี้อีกนิดแล้วค่อยมาเล่นดีกว่าครับ”
“กลับมาอีกได้เหรอครับ?”
เด็กเต็กผินหน้าหันกลับมาถามสารินด้วยความตื่นเต้น
“ถ้าแนนอยากจะมาเมื่อไร
พี่ก็จะพาแนนมาครับ” คำตอบดังกล่าวเกือบจะเรียกรอยยิ้มให้กลับมาประดับใบหน้าของสกลได้อยู่แล้วเชียวหากไม่ติดว่าคนเป็นพี่จะชิงดักคอเสียก่อน
“แต่มีข้อแม้”
“ข้อแม้อะไรครับ?”
หลานอาม่าใหญ่ขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความขัดใจ
“แนนต้องเรียกตัวเองกับเรียกพี่แบบที่พี่ขอไปตลอดเลยได้ไหมครับ?”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ต้องเรียกจริง
ๆ เหรอ?” หนุ่มแว่นของหมีโพลาร์อ้อมแอ้มแก้มแดงแจ๋ ทว่าเด็กสัตว์แพทย์กลับฉวยโอกาสครั้งที่สองเอาไว้โดยไม่คิดจะปล่อยให้หลุดมือ
“เถอะครับ
นะ... ถือว่าทำเพื่อพี่ ได้ไหมครับ?”
“...ก็ได้
เรียกก็ได้...”
“ขอบคุณครับ” สารินยิ้มรับด้วยความยินดีก่อนจะหยิบยกเรื่องอื่นขึ้นพูดเพื่อลดความรู้สึกประดักประเดิดของอีกฝ่ายให้น้อยลง
“คำถามของแนนเมื่อกี๊ พี่ขอตอบเลยแล้วกันนะครับ...
.
.
.
.
...พี่ไม่มีพี่น้องหรอกครับ
แต่พี่มีน้องชายแถวบ้านที่รู้จักกันตั้งแต่เด็ก ๆ อยู่หนึ่งคน...
...น้องชายของพี่รักหมามาก
รักจนพี่อยากเป็นสัตวแพทย์เพื่อช่วยดูแลรักษาหมาของน้องทุก ๆ
ตัวให้แข็งแรงไม่เจ็บป่วยน่ะครับ” ร่ายยาวเท้าความมาถึงตรงนี้ สกลผู้ยังไม่หายเขินดีก็เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาไม่พูดไม่จาโต้ตอบใด
ๆ ว่าที่นายสัตวแพทย์จึงต้องอาศัยลูกหมาตัวสุดท้ายเป็นผู้ช่วยผ่อนคลายอาการเขินจนหน้าไหม้ให้เด็กน้อยของตนโดยไม่รั้งรอ
“อ่ะนี่ครับ...
น้องตัวสุดท้าย น้องตัวเล็กที่สุดเลย แนนช่วยป้อนนมน้องหน่อยได้ไหมครับ?
พี่จะทำให้น้อง ๆ ถ่ายท้องไปพลาง ๆ ” หลานอาม่าเล็กนั่งยิ้มเป็นบ้าเป็นหลังเมื่อเห็นคนข้าง
ๆ กลายร่างเป็นลูกตำลึงสุกไปทั้งตัวอยู่อีกหลายนาที
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“ถามจริง
ๆ ...
.
.
.
...ทำไมต้องเป็นผม?”
หลังจากตกลงเรื่องสรรพนามใหม่กันเรียบร้อยเสร็จสรรพ
แทนที่เจ้าของหมาตัวจริงจะหายหน้าไปพักผ่อนอย่างที่สั่งความไว้ กลายเป็นว่า สุดท้ายวชิระก็โผล่หน้ามาเล่าพงศาวดารเกี่ยวกับหมาทุกตัวที่เคยเลี้ยง
ลามไปถึงการตายของแม่หมาตัวล่าสุด รวมทั้งยังฟื้นฝอยเกี่ยวกับความยากลำบากของกว่าหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาเมื่อต้องตกอยู่ในฐานะแม่หมาจำเป็นให้เด็กน้อยฟังเสียยืดยาวอยู่ราว
ๆ สองชั่วโมง จนสารินออกจะตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินคำถามลอย ๆ ดังออกมาจากฝั่งเบาะนั่งคู่คนขับทันทีที่รถของเขาเคลื่อนตัวพ้นซอยบ้านของพี่บัณฑิต
“หืม?
อะไรนะครับ?” สารินยอมละสายตาจากท้องถนนชั่วคราวเพื่อมองเสี้ยวหน้าของตุ๊กตาหน้าแว่นให้ชัด
ๆ ... เขาควรจะดีใจได้หรือยังที่อีกฝ่ายออกอาการสนใจในเจตนาของเขา? หรือเด็กน้อยจะแค่สงสัยกันนะ?
.
.
.
.
.
.
.
“ทำไมคุณถึงอยากรู้จักผม?
คนอื่นมีเยอะแยะไป”
ฝ่ายสกลซึ่งได้ทบทวนครวญใคร่ความรู้สึกทั้งหลายของตัวเองอีกครั้งระหว่างนั่งฟังทีมพร่ำพรรณนาถึงวิบากกรรมต่าง
ๆ อยู่หลายชั่วโมงก็แทบรอเวลาที่จะได้อยู่ลำพังกับสารินไม่ไหว จึงไม่แปลกอะไรที่ชายหนุ่มหัวไข่จะเปิดฉากถามเรื่องคาใจเป็นที่สุดกับคนต้นเรื่องทันทีที่สบโอกาส...
ขอเพียงกำจัดความกังวลข้อนี้ไปได้ หลานอาม่าใหญ่เชื่อว่าคงไม่มีความจำเป็นใด ๆ
ที่ต้องระงับความรู้สึกที่เริ่มจะเพิ่มพูนจนคันยุกยิกไปทั้งหัวใจหลังจากได้ใช้เวลากับอีกฝ่ายมากขึ้นทุกวัน
ๆ เอาไว้กับตัวอีกต่อไปแล้ว
“แล้วทำไมถึงจะเป็นแนนไม่ได้ล่ะครับ?”
สารินถามเสียงเรียบ เพราะหากไม่ใช่เด็กน้อยหัวไข่คนนี้ ชายหนุ่มคงไม่คิดจะจีบใครอื่นอย่างแน่นอน
.
.
.
.
.
“ก็คนอย่างคุณน่าจะหาคนที่ดีกว่าผมได้สบาย
ๆ... ผู้หญิงก็มี” ใช่ว่าอยากให้สารินเปลี่ยนใจ แต่เพราะจนกระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังตอบคำถามข้อสำคัญให้แก่ตัวเองไม่ได้
เด็กสถาปัตย์จึงพยายามเฟ้นหาตัวอย่างแนะทางเลือกที่เหมาะสมมากกว่า ปกติยิ่งกว่า
และน่าจะส่งเสริมภาพลักษณ์ของสารินได้ดีเหนือกว่าตนเอง เพื่อช่วยเบิกเนตรให้หมีโพลาร์เห็นภาพได้อย่างชัดเจนจนพิจารณาเรื่องระหว่างพวกเขาดูใหม่
ก่อนที่ไม่ใครก็ใครจะถลำตัวลึกจนยากจะถอน... อย่างน้อย ๆ หากรุ่นพี่ต่างคณะเกิดคิดจะเปลี่ยนใจเสียแต่ตอนนี้
เขาคงยังไม่รู้สึกเจ็บปวดเท่าไรหรอกมั้ง
“คนอย่างพี่เป็นยังไงครับ?
ทำไมถึงคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับพี่?” หลานอาม่าเล็กซักไซ้เพราะเริ่มจะเอะใจอะไรบางอย่าง
แต่ปฏิกิริยาดังกล่าวกลับไม่ใช่สิ่งที่อีกคนตั้งตารอ
“อย่ากวนได้ไหมล่ะ?
ผมถามคุณ คุณก็แค่ตอบผมดี ๆ ไม่ได้หรือไง?!” เด็กเต็กแหวใส่ด้วยความหงุดหงิดที่โดนอีกฝ่ายยอกย้อนตาใส
กระนั้นว่าที่นายสัตวแพทย์กลับเลือกที่จะอธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลตามสไตล์คนใจเย็นเป็นทุน
“พี่ไม่ได้ตั้งใจจะกวนแนนเลยนะครับ
พี่แค่อยากรู้ว่า ในสายตาแนน...แนนเห็นพี่เป็นคนยังไง...
.
.
.
พอรู้แล้ว
พี่จะได้บอกแนนได้ว่าจริง ๆ แล้วพี่เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า” พอได้รับฟังเหตุผลของคนขับ
สกลก็นั่งนึกอยู่สักพักก่อนจะค่อย ๆ เรียบเรียงความคิดออกมาเป็นคำพูดอย่างช้า ๆ
“เอ่อ...
คุณ คุณก็ดีกว่าผมทุกอย่าง... หน้าตา อุปนิสัยใจคอ แล้วก็...” เด็กน้อยของสารินอ้ำอึ้งเพราะไม่รู้จะหาข้อดีอื่นใดของอีกฝ่ายมาพูดต่อด้วยจวบจนถึงตอนนี้
เจ้าตัวไม่ได้รู้จักคนเป็นพี่ดีสักเท่าไร นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มผู้กุมพวงมาลัยจี้ถามย้ำให้ต้องตรึกตรองอย่างเร่งด่วนอีกครั้ง
“แล้วก็อะไรอีกครับ?”
“...”
แม้หลานอาม่าใหญ่จะใช้ความคิดจนแทบล้มประดาตาย
ทว่าจนแล้วจนรอด
สกลก็ไม่อาจพูดจายกย่องอีกฝ่ายด้วยคุณสมบัติดี ๆ ข้ออื่น ๆ ได้อีก
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“แนน...
แนนฟังพี่นะครับ
ตอนนี้แนนกำลังเอาสิ่งที่คนอื่นพูดเกี่ยวกับตัวพี่มาชี้วัดว่า เราเหมาะหรือเราไม่เหมาะกัน
ทั้ง ๆ ที่ตัวแนนเองยังไม่รู้จักพี่ดีสักกี่มากน้อยเลย” สารินค่อย ๆ พูดอย่างช้า ๆ เพื่อให้ตุ๊กตาหน้ารถได้มีเวลาทำความเข้าใจ จากคำถามของอีกฝ่าย ประกอบกับประโยคเย้ยหยันตัวเองที่เขาเคยได้ยินเด็กน้อยหลุดปากพูด
ทำให้ชายหนุ่มพอจะเข้าใจความปริวิตกของหลานอาม่าใหญ่ได้เลา ๆ
“พี่ห้ามไม่ให้แนนกังวลเรื่องรูปกายภายนอกไม่ได้
แต่พี่ยืนยันได้ว่า...
.
.
...พี่ไม่เคยตื่นเต้นเวลาอยู่ใกล้ใคร
เหมือนตอนพี่อยู่กับแนน...
...พี่ไม่อยากมองหน้าใครตลอดเวลา
เหมือนอย่างที่อยากมองหน้าแนน...
...พี่ไม่รู้สึกอยากแตะต้อง
อยากสัมผัสใคร เหมือนอย่า...”
“พอ! พอเลย!” หนุ่มแว่นหลับหูหลับตาปรามเจ้าของรถด้วยความอับอายคล้ายกับโดนวาจาของอีกฝ่ายปลดเปลื้องอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายออกจากร่างอย่างไรอย่างนั้น
แต่คนฟังกลับกระหยิ่มอย่างชื่นบานจนนึกครึ้มอยากสัพยอกหยอกเอินเด็กน้อยให้ยิ่งหน้าแดงไปกันใหญ่อีกสักหลาย
ๆ รอบ
“แนนไม่อยากฟังให้จบเหรอครับ?
ไม่กลัวพี่พูดชื่อคนอื่นออกมาเหรอ?” สารินยิ้มยั่วเย้าทั้งที่ก็รู้ว่าเด็กเต็กที่เอาแต่นั่งกอดอกหลับตาปี๋คงไม่มีวันได้เห็น
“คุณจะพูดชื่อใคร
จะเรียกหาใครมันก็เรื่องของคุณ!” ยิ่งอายสกลก็ยิ่งพ่นไฟ แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายกลับยิ่งอยากผูกสมัครรักใคร่มากกว่าจะถอดใจเพราะพรั่นพรึง
“รูปสมบัติอาจทำให้บางคนหวั่นไหวจนยอมเปิดใจรักก็จริง...
.
.
...แต่ความประทับใจตั้งแต่แรกพบทำให้คนธรรมดาคนหนึ่งกลายเป็นคนพิเศษของใครอีกคนไปตลอดชีวิต...
...แล้วแนนอยากรู้ไหมครับว่าแนนเป็นแบบไหนในความคิดพี่?”
ว่าที่นายสัตวแพทย์ยังไม่ยอมรามือง่าย ๆ
“จิ๊! พูดมาก! ขับรถไป!”
“หึ
หึ หึ... ทีนี้จะเลิกคิดมากเรื่องหน้าตาได้หรือยังครับ?”
“...”
แม้จะยังอับอายกับคำอธิบายก่อนหน้าของคนตัวใหญ่ที่ขยันยิ้มจนน่าหมั่นไส้เป็นที่หนึ่ง
แต่สกลกลับปฏิเสธไม่ได้ว่าตนเองเข้าใจคำตอบของสารินได้อย่างถ่องแท้ เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาเป็นเพียงคนธรรมดา
ๆ ที่หน้าตากระเดียดไปทางตลาดล่างยิ่งกว่าเพื่อนสนิทคนไหน ๆ ในกลุ่ม ดังนั้นหนุ่มแว่นจึงไม่มีทางสร้างความปั่นป่วนหวั่นไหวให้เกิดขึ้นในใจใครได้แน่
ๆ
แต่เดี๋ยวก่อน...
ถ้าอย่างนั้นจะไม่หมายความว่า
สำหรับสาริน...
เขาคือคนพิเศษอย่างนั้นหรือ?!!
“พี่ไม่ได้เข้าหาเราเพราะรูปกายภายนอกหรอกนะครับ
แต่เพราะว่าเราเป็นคนน่ารักแบบนี้ พี่เลยมักจะหวั่นไหวเพราะรูปสมบัติของเราอยู่ตลอดยังไงล่ะ”
คนขับพูดไปก็ยิ้มไปราวกับถนนหนทางถูกแทนที่ด้วยสภาพล่อแหลมชวนฝันของคนที่นั่งอยู่ข้าง
ๆ กันก็ไม่ปาน
“!!!” อ่ะโห! อะไรจะคมชัด...
เคลียร์คัทจนไม่ต้องแอบเอาไปมโนเป็นอื่นได้ขนาดนี้!!
“ว่าไงครับ?”
“...ก็อืม...”
สารินยังไม่เลิกจิ้มจนคนที่เพิ่งปลื้มปริ่มกับคำตอบล่าสุดจำต้องยอมรับออกมาตรง ๆ
เพื่อยุติความรุงรังของฝั่งคนขับเสียแต่เนิ่น ๆ ... อยากจะเขินเงียบ ๆ หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจ
แต่ดูเหมือนว่าพ่อหมีขาวตัวใหญ่จะไม่นำพา
“ส่วนเรื่องนิสัยใจคอ...
พี่ว่า เวลาไม่กี่วันคงทำให้แนนรู้จักพี่ไม่ได้มากเท่าไร” หลานอาม่าเล็กผู้กำลังอารมณ์ดีไม่มีใครเกินยังคงรวบตึงบทสนทนาเอาไว้กับตัว
“เอาเป็นว่าหลังจากนี้ เรามาลองใช้เวลาด้วยกันบ่อย ๆ เพื่อที่แนนจะได้ค่อย ๆ
ศึกษาดูใจพี่ไปดีไหมครับ อยากรู้อะไรเกี่ยวกับพี่... แนนก็ถาม
แนนจะได้รู้ว่าพี่เป็นคนยังไง... ไม่แน่พี่อาจจะเป็นคนร้ายกาจหลบใน
หรือเป็นพวกสายเอสชอบทำร้ายร่างกายแนนก็ได้ ใครจะรู้”
“ประสาท! เจอกันแทบทุกวันยังบ่อยไม่พออีกหรือไง?
ไม่ทำสำเนาแล้วเอากลับไปเลยล่ะจะได้หายบ้าเสียที” เด็กแว่นบ่นงุ้งงิ้งกับตัวเอง แต่เพราะมีเพียงกระปุกเกียร์กั้นระหว่างกลาง
ร่างใหญ่หลังพวงมาลัยจึงได้ยินข้อความทั้งหมดได้ไม่ยากเย็น
“หึ
หึ หึ... ไม่ต้องลำบากทำสำเนาหรอกครับ พี่อยากได้ตัวจริงมากกว่า” เป็นอีกครั้งที่หลังจากคนเป็นพี่พูดจบ
คนน้องก็ทำเป็นด่ากลบเกลื่อนริ้วแดง ๆ ที่พาดผ่านแก้มเนียนสองข้างไปเสียทุกที
“โรคจิต!”
“แล้วแนนล่ะครับ
ไม่อยากเจอพี่สักนิดเลยเหรอ? ตอบจริง ๆ นะครับ ห้ามประชด” ว่าที่หมอหมารีบดักคอด้วยเสียงเข้ม
ๆ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ก็มีบ้างบางที”
คำตอบที่เพิ่งได้ยินทำให้สารินหัวใจพองโตจนอยากจะรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายในยามที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาสองวันกว่า
ๆ ... แผนการของอาม่าจะได้ผลจริง ๆ ใช่ไหม? น้องจะคิดถึงเขาจนไม่เป็นอันทำอะไรเหมือนที่เขาเป็นบ้างหรือเปล่านะ?
“แล้วแนนคิดถึงพี่บ้างไหมครับตอนที่พี่ไม่อยู่?”
“โกหกได้ไหม?”
เด็กน้อยอึกอัก สารินจึงลอบยิงคำถามอย่างฉับไวเพื่อลักไก่ทันที
“ถ้าโกหก
จะโกหกว่าอะไรครับ?”
“ก็ไม่คิดถึงน่ะสิ...
เอ๊ย! ไม่ใช่! ไม่เอา! ไม่ตอบแล้ว!! ไม่ตอบ!” ดูเหมือนว่าโชคดีจะเป็นของหมีโพลาร์เพราะหลังจากฝีปากอันว่องไวขายความลับสุดยอดจนเจ้าตัวต้องอับอายไปถึงไหน
ๆ เด็กน้อยของสารินก็ได้แต่เม้มปากพลางโบกไม้โบกมือปัดไล่คำสารภาพความรู้สึกของตัวเองให้ล่องลอยไปไกล
ๆ พร้อมกับเปล่งเสียงโหวกเหวกโวยวายช่วยกลบร่องรอยแห่งความคิดถึงให้ค่อย
ๆ ลบเลือน
“หึ
หึ หึ... แต่พี่คิดถึงแนนนะครับ พี่คิดถึงแนนมาก แล้วก็เป็นห่วงแนนที่สุดเพราะพี่รู้ว่าแนนคงลำบากตอนไปรับซิลเวสเตอร์ออกจากโรงพยาบาลคนเดียว”
เด็กสัตว์แพทย์เอ่ยสบาย ๆ พร้อมทำวางเฉยกับความเขินอายของคนข้าง ๆ เพื่อหลอกล่อให้หนุ่มแว่นยอมเฉลยความนัยเกี่ยวกับทุก
ๆ เรื่องไปจนกว่าจะรู้สึกตัว
“ผมลำบากที่ไหนกันคุณ...
เพื่อนผมก็มีเหอะ!” หลานอาม่าใหญ่ปรายหางตามองคนข้าง
ๆ พลางตอบโต้ด้วยน้ำเสียงทรนง ได้ยินดังนั้นสารินก็ค่อยเบาใจที่ฝาแฝดทำตามที่ตนร้องขอเอาไว้ทุกประการโดยไม่บิดพลิ้ว
“พี่ฌานพาไปเหรอครับ?”
“...อือ...”
“ค่อยยังชั่ว...
พี่นึกว่าแนนต้องไปคนเดียวเสียอีก”
“เว่อร์!” เด็กสถาปัตย์กลอกตาพลางแสยะด้วยไม่เชื้อน้ำคำหวานล้ำที่คนเป็นพี่เพิ่งเอื้อนเอ่ย สารินจึงต้องเผยความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจตนให้สกลได้เห็นถึงหัวจิตหัวใจของตนมากขึ้นอีกนิด
“พี่ไม่ได้เว่อร์น่ะครับ
สองคืนที่ผ่านมาพี่เป็นห่วงแนนจนนอนแทบไม่หลับ...
.
.
...อยากจะโทรมาถาม
อยากได้ยินเสียงก็ดันโทรหาไม่ได้เพราะพี่ไม่มีเบอร์แนน...
...พี่เลยรีบกลับมอแทน
เพื่อจะได้เจอตัวเจอหน้าแนนให้หายเป็นห่วง หายคิดถึงยังไงล่ะครับ”
“ก็อยู่ด้วยกันแล้วนี่ไง
เลิกบ่นเสียทีจะได้ไหมเล่า?!” ต่อให้ภายในจะวี๊ดว้ายกระตู้วู้สักเพียงใด
ทว่าชายหนุ่มหัวไข่กลับแสร้งทำหน้าเบื่อหน่าย แล้วปรือตาใส่คนขับรถพลางโป้ปดด้วยการกระแทกเสียงตัดบทแบบขอไปทีเท่านั้น
“ครับ
ๆ ไม่พูดแล้วก็ได้... ถ้างั้น ฟังเพลงแทนไหมครับ?” สารินจึงไม่คิดจะขวางหรือแซะอีกฝ่ายให้ต้องเขินจนระบบเลือดระบบลมผิดปกติไปกันใหญ่...
ถ้าไม่จำเป็น
“เอามือถือมาสิเดี๋ยวผมเปิดเพลงให้”
แทนที่พอสกลขันอาสายื่นมือมาให้ความช่วยเหลือจะทำให้ดีใจ ทว่าเด็กสัตว์แพทย์กลับนึกอะไรบางอย่างที่หลงลืมไปขึ้นมาได้ทันควัน
“พี่ว่าจะทักตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว
ทำไมแนนถึงยังพูดแบบเดิมอยู่อีกล่ะครับ? ตอนป้อนนมน้อง
เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอครับ?” คนเป็นพี่อดทวงถามหนุ่มแว่นในตำนานไม่ได้
แน่นอนว่านั่นย่อมไม่ต่างกับการยื่นมือไปเล่นกับแมวอารมณ์ร้ายที่ชอบตะปบใครต่อใครไปทั่วเลยสักนิด
จะผิดกันอยู่ตรงที่ว่า...
สารินกลับหาโอกาสแหย่แมวตัวนี้ไม่สร่างซาโดยไม่สนว่าตนเองจะโดนข่วนจนเลือดซิบก็ตามที
“ก็มันยังไม่ชินนี่!” เด็กน้อยตวาดพร้อมส่งสายตามาดร้ายตามไปข่มขู่ แต่สารินกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แถมยังยิ้มสู้เข้าให้เสียอีก
“แต่พี่เคยได้ยินคำฝรั่งบอกว่า
Practice
makes perfect แนนเรียกพี่แล้วก็เรียกตัวเองแบบที่เราตกลงกันให้บ่อย ๆ สิครับ
จะได้ติดปากแล้วก็ชินเร็ว ๆ ”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ขอผมทำใจหน่อยไม่ได้หรือไง?”
เป็นเพราะเริ่มจะรู้ว่าหมีโพลาร์หนักแน่นและจริงจังกับคำพูดต่าง ๆ มากขนาดไหน สกลจึงเลือกที่จะต่อรองกับอีกฝ่ายแทนที่จะทำไก๋เหมือนในช่วงแรก
ๆ
อย่างไรก็ดี...
ด้วยเหตุเดียวกันนั้นเอง ว่าที่นายสัตวแพทย์ก็เริ่มจะจับทิศทางการแสดงออกความรู้สึกพิเศษบางประการของเด็กสถาปัตย์ได้อย่างแม่นยำมากขึ้นทุกทีเช่นกัน
.
.
.
.
.
.
.
“ที่ไม่เรียกเพราะเขินพี่เหรอครับ?”
สารินอมยิ้มจนแก้มกลมเป็นลูกขณะชำเลืองมองใบหน้ามู่ทู่แก้มชมพูระเรื่อของตุ๊กตาหน้าแว่น
“...”
“แนนเขินพี่เหรอครับ?
หืมมม... ว่ายังไงครับแนน? ” คนขับไล่ต้อนพลางฉีกยิ้มกว้างหนักยิ่งกว่าเก่าเมื่อยิ่งพูดกระเซ้า
ใบหน้าขาว ๆ แต้มชมพูจาง ๆ ก็กลายเป็นสีแดงทั่วทุกตารางนิ้ว
“รู้แล้วยังจะมีหน้ามาถามอีก!” ไม่น่าเปิดใจแล้วปล่อยให้ไอ้หมีขาวรู้จักตัวเขามากขึ้นเลย
ให้ตายสิ!
“หึ
หึ หึ”
“เงียบไปเลยนะ
ไม่ต้องมาหัวเราะเลย! เอามือถือมาสิ จะเปิดเพลงให้” ผู้แก่อาวุโสส่งมือถือให้หลานอาม่าใหญ่โดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดซ้ำ
ฝ่ายเด็กเต็กเมื่อได้อุปกรณ์สื่อสารดังประสงค์ก็ก้มหน้าก้มตาเชื่อมต่อเครื่องมือทั้งหลายโดยไม่ส่งเสียงจนสารินรู้สึกวูบโหวงโล่งหู
“ไม่ฟังเพลงแล้วได้ไหมครับ?
พี่อยากคุยกับแนนมากกว่า”
แม้ว่าที่นายสัตวแพทย์จะอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงน่าฟังเพียงไร
ตุ๊กตาหน้ารถหัวไข่กลับกดเปิดเพลงแล้วเร่งเสียงใส่ทันที...
แต่ก็แค่สักพักเท่านั้นแหละ
เพราะเสียงดนตรีดังกระหึ่มเมื่อสักครู่กลับค่อย ๆ ผ่อนลงอยู่ในระดับที่พอให้ทั้งสองหนุ่มพูดคุยกันรู้เรื่องได้
สารินยังไม่ทันได้เอ่ยข้อสงสัยใด ๆ เด็กน้อยแก้มใสของเขาก็ชิงพูดลอย
ๆ อย่างรู้ทันขึ้นมาเสียก่อน
“ฟังเพลงไปก็คุยไปได้ไม่ใช่เหรอ?
แล้วจะหันมาทำไม? มองถนนสิ”
“ครับ
ๆ ”
น่าสงสารเด็กสัตว์แพทย์ปีสามเสียจริง
ๆ ที่กว่าจะรู้ว่ามีคนแอบเพิ่มตัวเลขสิบหลักลงในบันทึกรายการโทรออกในมือถือของตนก็เป็นตอนก่อนนอนโน่นแหละ
แต่ที่น่าสงสารยิ่งไปกว่านั้น... เบอร์โทรศัพท์ของน้องไม่อาจใช้เป็นเครื่องต่อรองกับอาม่าใหญ่เพื่องดเว้นการกลับบ้านช่วงเสาร์อาทิตย์ได้อีกต่อไป
เพราะเงื่อนไขแต้มต่อประจำสัปดาห์นี้มีเพียงข้อเดียว นั่นคือ... เขาจะต้องทำให้น้องสมัครใจยอมย้ายเข้ามาอยู่เสียด้วยกันให้ได้ภายในอาทิตย์นี้นี่แหละ
«♥»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «♥»