Monday, February 29, 2016

«♥» บน บานฯ สาน รัก «♥» The 12th Bonding || 29.02.2016



ตอนนี้ก็สั้นอีกแล้ว แต่มันได้แค่นี้จริง ๆ (ขอโทษอย่างแรงเลยค่ะ โฮว!!)
อย่างไรก็ดี เราเขียนตอนนี้ด้วยความเพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่งเพราะเรารักหมาน้อยมาก ๆ
หวังว่าทุก ๆ ท่านจะอ่านแล้วปลาบปลื้มไปตาม ๆ กันนะคะ

และเรื่องน่ายินดีอีกเรื่องก็คือ วันนี้เป็นวันที่สี่ปีมีครั้งค่ะ
เพราะฉะนั้น หากผู้อ่านท่านใดก็ตามที่เกิดวันนี้
เราขออวยพรวันเกิดให้คุณมีความสุข ร่างกายและจิตใจแข็งแรงสมบูรณ์
ได้ทำในสิ่งที่รัก ได้อยู่ท่ามกลางผู้คนดี ๆ ได้ทุก ๆ สิ่งที่ปรารถนามาอยู่ในครอบครองนะคะ

หากเจอคำผิดแนะนำได้เลย เพราะเราจะเข้ามาแก้ไขในภายหลังค่ะ
รักชอบประการใด... ฝากคอมเมนท์ไว้ให้เราอ่านบ้างเน้อ ^^




«»------------------------------------------------------------------------------------«»




The 12th Bonding
 ...You give me something that makes me scared alright
This could be nothing.But I'm willing to give it a try...




“พี่ทีมหวัดดีครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์กระพุ่มมือไหว้เจ้าของบ้านที่เพิ่งเดินออกมาเปิดประตูรั้วหน้าบ้านเดี่ยวหลังเดียวซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางสวนไม้ผลขนาดใหญ่สุดปลายถนนลาดยางที่แยกออกมาจากทางหลวงต่างจังหวัดเส้นหนึ่งไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก  

ชายหนุ่มผู้ยื้อยุดฉุดประตูรั้วให้เลื่อนกว้างจากด้านในแม้จริงแท้จะอยู่ในวัยเดียวกันกับสิงหราช บัณฑิตร่วมสายรหัสกับสาริน ทว่าความที่เจ้าตัวมีรูปร่างสันทัน ผนวกกับดูเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใสและเข้าถึงได้ง่ายมากกว่ารายแรก จึงไม่แปลกที่วชิระจะดูอ่อนวัยกว่าเพื่อนตัวใหญ่หน้าตาไม่รับแขกอยู่หลายเท่าตัว


“เออ ๆ ดี ๆ เข้ามาสิ กูรอมึงตั้งแต่เย็นวันศุกร์... นึกว่าจะเปลี่ยนใจไม่มาแล้วเสียอีก” วชิระบ่นเบา ๆ พลางหาวหวอด ๆ พร้อมเกาหัวตัวเองยิก ๆ จนเส้นผมยิ่งยุ่งเหยิงไปกันใหญ่ก่อนจะกวักมือเรียกรุ่นน้องร่วมคณะให้เดินตามตนเองเข้าสู่ชายคาบ้าน   

“ขอโทษด้วยครับ พอดีวันก่อนอาม่าท่านอยากให้ผมไปทำธุระให้นิดหน่อย ผมเลยต้องกลับบ้านแทนที่จะได้มาที่นี่อย่างที่บอกเอาไว้แต่แรก” หลานอาม่าเล็กเร่งเสียงอธิบายพร้อมกับรุนหลังเด็กเต็กให้เดินล่วงหน้าตามแผ่นหลังของรุ่นพี่เข้าไปด้านในระหว่างที่ตนงับประตูรั้วจนสนิท

“เฮ่ย! ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก กูก็แซวมึงเอามันไปงั้นแหละ หึ หึ หึ” เจ้าของบ้านอาศัยจังหวะหยุดยืนรอแขกทั้งสองอยู่ตรงทางเดินข้างรั้วเพื่อลอบสังเกตเด็กแว่นสลับกับรุ่นน้องร่วมคณะอย่างสนอกสนใจ  ท่าทางอยากรู้แต่ไม่อยากถามของวชิระทำให้สารินรีบแนะนำหลานอาม่าใหญ่ให้รุ่นพี่ได้รู้จักตามมารยาททันที

“คนนี้เป็นรุ่นน้องผมเองครับ ชื่อสกล” พ่อหมีโพลาร์เอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางผายมือแนะนำคนแปลกหน้าทั้งสองให้เริ่มทำความรู้จักซึ่งกันและกัน “นี่พี่ทีมครับ เป็นเพื่อนพี่สิงห์... พี่ทีมเป็นเจ้าของลูกหมาที่เราจะมาช่วยป้อนนม”

“สวัสดีครับพี่ทีม” ด้วยเห็นแก่หน้าตาและชื่อเสียงของหนุ่มรูปหล่อที่อาสาพาตนดั้นด้นมาถึงที่นี่ พอ ๆ กับอดรู้สึกเกรงใจหมีใหญ่นามสิงหราชไม่ได้ คนเห็นผีจึงรีบแสดงความเคารพต่อวชิระด้วยสัมมาคารวะอันดีผิดไปจากที่มักจะแสดงออกเวลาอยู่ต่อหน้ากลุ่มเพื่อนสนิทของตัวเองแบบลิบลับ

“เออ ๆ หวัดดี... เราใช่น้องคนที่ไปกินข้าวกับไอ้สิงห์เมื่อวันก่อนป่ะ?” ทีมรับไหว้ลวก ๆ เพราะเกิดจะอยากขยี้ตาขึ้นมาดื้อ ๆ  เด็กปีสองจึงรีบตอบคำเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกนัยน์ตาของวชิระกระดอนหลุดออกจากเบ้าระหว่างรอฟังคำตอบของเขาไปเสียก่อน

“ครับพี่ทีม”

“อ้าว! แล้วทำไมมึงถึงไม่แนะนำน้องว่าเป็นแฟนมึงเล่า? อยู่ ๆ ก็เกิดเพิ่งจะอายขึ้นมาหรือไง?” แทนที่รุ่นพี่ผู้เหนื่อยล้าจากการอดหลับอดนอนมาหลายวันติดจะสนใจเด็กสถาปัตย์ บัณฑิตหมาด ๆ กลับหันไปถลึงตาเชิดปลายคางใส่รุ่นน้องร่วมคณะผู้อายุห่างกันราว ๆ สี่ปีเสียอย่างนั้น  “แต่จะอายตอนนี้คงไม่ทันแล้วล่ะเพราะไอ้สิงห์แม่งเอาเรื่องมึงสองคนไปโพนทะนาจนพวกมึงย่อยยับไม่เหลือหลอหมดแล้ว!”  

“มึงก็รู้ว่ารุ่นพี่รุ่นน้องคณะเราแม่งก็กินกันเองออกเยอะแยะ มึงพูดความจริงกับกูได้... กูไม่เอาไปแฉหรอก” เมื่อเห็นว่าหลานรหัสกำพร้าของเพื่อนสนิทเอาแต่อมยิ้มไม่พูดไม่จา วชิระจึงรวบรัดสรุปความคล้ายกึ่งขู่กึ่งปลอบรุ่นน้องอยู่ในที ฝ่ายสารินจึงฉวยโอกาสที่รุ่นพี่มอบให้เพื่อทั้งตอบเจ้าบ้านและหยอกเย้าเด็กแว่นข้างกายให้คลายความประหม่าไปพร้อม ๆ กัน

“ไม่ใช่ผมไม่อยากบอกหรอกครับพี่ทีม แต่น้องยังไม่ยอมรับว่าเป็นแฟนผมเสียทีเดียวน่ะครับ ผมเลยยังแนะนำน้องว่าเป็นแฟนผมไม่ โอ๊ย!” ยังไม่ทันได้เอ่ยความจนจบประโยค ปลายศอกแหลมของเด็กแว่นก็ถองเข้ากระแทกชายโครงซี่ล่างจนสารินถึงกับยืนตัวงอเพราะอาการเสียดจุกเฉียบพลัน  

“น้องนี่ก็เขินแรงไปนะ... ยั้ง ๆ มือหน่อย ไว้หน้ารุ่นพี่มันบ้าง นี่ก็ยืนหัวโด่อยู่ทั้งคน... อย่ามาทำห้าวสุ่มสี่สุ่มห้า!” วชิระขึ้นเสียงใส่เด็กน้อยต่างคณะผู้กระด้างกระเดื่องจนสกลลนลาน

“ขอโทษครับพี่ทีม พอดีผม...”

“หึ หึ หึ... พวกมึงนี่หลอกง่ายทั้งคู่เลยว่ะ ไอ้สิงห์ส่งเครื่องบรรณาการมาบันเทิงกูแท้ ๆ ” กว่าจะรู้สึกตัวว่าพลาดท่า เด็กสถาปัตย์ก็ถวายความเคารพเจ้าบ้านไปหลายครั้งหลายคราจนน่าตลก  แต่ก่อนที่เด็กน้อยจะออกอาการฟาดงวงฟาดงา โทรศัพท์มือถือของวชิระก็ดังขัดขึ้นจนพี่คนโตรีบสั่งความกับสารินอย่างรวดเร็วก่อนจะโบกมือไล่ทั้งสองให้เดินทะลุสวนเข้าไปด้านในอย่างไม่ใครจะใยดีนัก “เอ้า! ไป ๆ พวกเด็ก ๆ คงจะใกล้หิวเต็มทีแล้วล่ะ เดี๋ยวขอกูพักแป๊บ”




อาศัยว่าเคยถูกสิงห์และเหล่าพี่สายล่อลวงให้ขับรถตามมากินเหล้าที่นี่อยู่สามสี่หน สารินจึงสามารถนำทางพาสกลเดินไปยังครัวไทยหลังใหม่ตรงท้ายบ้านอันเป็นสถานที่ที่วชิระปรับมาใช้เป็นเรือนอนุบาลลูกหมาทั้งห้าไปพลาง ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว  

แม้ภายในจะดูเหมือนเป็นเพียงพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าโล่ง ๆ ที่กรุด้วยกระเบื้องสีสว่างโดยรอบ กระนั้นเจ้าของกลับไม่จำกัดจำเขี่ยด้านความสะดวกสบายเพราะนอกจากจะมีพัดลมเพดานขนาดใหญ่ ซิงค์ล้างจานพร้อมเครื่องกรองน้ำในตัว ช่องลมทั้งหมดยังถูกปิดด้วยบานมุ้งลวดอย่างมิดชิดจนรอดพ้นจากมดแมลงรบกวนทั้งหลาย แถมยังมีปลั๊กไฟให้เลือกใช้อีกหลายจุด และตรงสุดมุมห้องก็ถูกต่อเติมเป็นห้องน้ำที่สร้างเผื่อไว้เอาใจแม่ครัวพ่อครัวหัวป่าก์ทั้งหลายอีกด้วย

ณ ใจกลางห้อง ปรากฏกระบะพลาสติกทรงสี่เหลี่ยม ข้าง ๆ กันมีซากที่นอนปิคนิคกับหมอนในสภาพยับยู่ยี่ พร้อมด้วยพัดลมตั้งโต๊ะ ชั้นเล็ก ๆ ที่ใช้วางอุปกรณ์สื่อสารทั้งคอมพิวเตอร์และอื่น ๆ จนแน่นขนัด ถัดไปอีกฝั่งคือที่ตั้งของโต๊ะญี่ปุ่นตัวใหญ่สำหรับวางกระติกน้ำร้อน กับกะละมังใส่ขวดนมเล็ก ๆ หลายขวด ไมโครเวฟและสิ่งของเครื่องใช้เท่าที่จำเป็น แค่ดูจากภาพรวมทั้งหมดตรงหน้า สองหนุ่มก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าของหมาคงจะย้ายนิวาสถานมาอยู่โยงเฝ้าดูแลประคบประหงมสิ่งมีชีวิตวัยอ้อแอ้ทั้งห้าเป็นการชั่วคราว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สกลตาลุกวาวได้มากเท่ากับลูกหมาห้าตัวที่นอนคว่ำอยู่ระเกะระกะทั่วไปภายในกระบะสีชมพูที่ถูกจ่อด้วยแสงจากโคมไฟดวงใหญ่อีกแล้ว


“โอ๊ยโหย! หนู ๆ ยังตัวแดง ๆ กันอยู่เลยลูกกก!” หลานอาม่าใหญ่ยกมือขึ้นประคองสองแก้มของตนพลางกรีดร้องทอดหางเสียงอย่างโหยหวนด้วยความดีอกดีใจเหมือนเมื่อครั้งได้ลองใส่ชุดกระโปรงที่ร้านอาเจ็กเป็นครั้งแรก หนุ่มแว่นวิ่งถลาหมายจะเข้าไปอุ้มลูกหมาวัยแบเบาะทั้งห้าที่นอนอยู่บนผ้าขนหนูหนานุ่มซึ่งรองอยู่ด้านใต้กระบะขึ้นมาชื่นชมใกล้ ๆ ด้วยความลิงโลด แต่แล้วเด็กเต็กกลับโดนคนโตกว่าคว้าข้อมือแล้วลากให้เดินตามกันไปที่อ่างล้างจานอีกด้านหนึ่งเข้าเสียก่อน

“อย่าเพิ่งจับน้องครับ!... ไปล้างมือให้สะอาดก่อน” สารินดุเด็กน้อยที่แทบจะพุ่งหลาวลงไปนั่งข้าง ๆ คอกหมาโดยไม่สนอนามัยใด ๆ ทั้งสิ้น พลางเริ่มล้างมือให้กับอีกฝ่ายที่ไม่คิดละสายตาจากคอกหมาด้านหลังเลยสักวินาทีอย่างนุ่มนวล ส่วนคนที่มัวแต่ดีใจจนเนื้อเต้นเพราะจะได้เล่นลูกหมาก็ไม่ทันได้สังเกตว่าตนเองเผลอทำตัวว่านอนสอนง่ายต่อหน้าว่าที่นายสัตวแพทย์ไปเสียแล้ว

“แล้วแม่เด็ก ๆ ไปไหนเหรอคุณ?” คนเห็นผีซักไซ้ระหว่างยอมให้คนเป็นพี่ลูบไล้ฟองนุ่ม ๆ ไปทั่วทั้งฝ่ามือเพราะไม่มีกะใจสนใจอย่างอื่นนอกจากสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ ในคอกนั่น

“แม่น้องตายครับ พอดีว่าวันที่น้องคลอดพี่ทีมแกไม่อยู่...
.
.
...จริง ๆ แกฝากเด็กพม่าที่บ้านช่วยเป็นหูเป็นตาให้เพราะยังไม่ถึงกำหนดคลอดตามที่แกกะอายุครรภ์ไว้คร่าว ๆ ...
...กลายเป็นว่า สุดท้าย แม่หมาดันคลอดก่อนกำหนด แต่เพราะเป็นหมาสาวไม่ค่อยรู้ประสาอะไร แม่หมาเลยยื้อกับเด็ก ๆ ในท้องจนอ่อนเพลียเกินไป จังหวะที่พี่ทีมกลับมาเลยกลายเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่แกจำใจต้องปล่อยแม่หมากับน้องเล็ก ๆ อีกสองตัวไป เพื่อแลกกับชีวิตของเด็ก ๆ ห้าตัวนี้น่ะครับ” สารินเผยปูมหลังคร่าว ๆ ของเหล่าเจ้าสี่ขาทั้งห้าเท่าที่ได้ฟังสิงหราชบอกกล่าว รวมทั้งให้รายละเอียดที่ได้ถามในภายหลังกับเจ้าของโดยตรงในตอนที่โทรมาขออนุญาตอีกฝ่ายเพื่อพาเด็กน้อยมาเยี่ยมเยียนลูกหมาในช่วงบ่ายวันนี้

“น่าสงสารน้อง ๆ จังเลย” หลานอาม่าใหญ่ปรารภด้วยสีหน้าเศร้าสลดจนคนมองอดใจหายระคนเอ็นดูไปพร้อม ๆ กันไม่ได้  

“ครับ... น่าสงสาร พี่ทีมแกก็เสียใจเพราะแกรักแม่หมามาก แต่เพราะแกแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว พี่ทีมเลยลงทุนย้ายลงมานอนเฝ้าเด็ก ๆ เป็นแม่หมาจำเป็นไปจนกว่าพวกเด็ก ๆ จะแข็งแรงนั่นแหละครับ” ว่าที่หมอหมาว่าพลางเอื้อมมือไปดึงกระดาษชำระแผ่นหนามาซับฝ่ามือทั้งสองของน้องอย่างแผ่วเบาก่อนจะออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไปนั่งรอข้าง ๆ เด็ก ๆ เลยครับ เดี๋ยวพี่เอาขวดนมไปให้”

ขาดคำ คนเป็นพี่ก็เดินเลี่ยงไปยังโต๊ะญี่ปุ่นเพื่อตรวจดูนมแพะที่เจ้าบ้านนำมาอุ่นรอเอาไว้ ก่อนจะยกกะลังมังใส่ขวดนมทั้งห้ามานั่งลงยังที่ว่างถัดจากร่างของเด็กสถาปัตย์


“เดี๋ยวแนนทำตามพี่นะครับ” หลานอาม่าเล็กใช้ฝ่ามือช้อนใต้ท้องของลูกหมาตัวหนึ่งขึ้นโดยจัดท่าให้เจ้าตูบน้อยนอนนอนคว่ำหน้าหันหน้าเข้าหาตัวเอง อีกมือหนึ่งก็คว่ำนมขวดหนึ่งลงครู่หนึ่งรอให้ของเหลวในขวดไหลซึมออกมาตรงปลายจุกก่อนจะเลื่อนขวดนมเข้าใกล้กับปากของลูกหมามากขึ้นเรื่อย ๆ จนมันเริ่มดูดปลายจุกยางไม่ปล่อย  

“ทำไมไม่จับลูกหมานอนหงายเหมือนป้อนนมเด็กล่ะคุณ? ให้น้องชะโงกหน้ากินแบบนี้น้องได้เมื่อยคอตายพอดี!” สกลที่จ้องมองทุก ๆ ท่วงท่าของทั้งสารินและลูกหมาอย่างไม่คลาดสายตาเริ่มยิงคำถามทันทีที่เจ้าตัวเล็กเริ่มชะเง้อหัวและลำตัวช่วงบนขึ้นดูดนมจากขวดจนดูกึ่งยักแย่ยักยันกึ่งน่าสงสารในสายตาคนเฝ้ามองอย่างเขาเป็นที่สุด... แกล้งน้องหรือยังไง?  ทำไมถึงไม่ป้อนนมน้องดี ๆ ?!

“ปกติท่านี้เป็นท่าดูดนมตามธรรมชาติของน้องครับ ถึงลูกหมาบางตัวจะนอนหงายแล้วดูดนมแม่ในบางครั้ง แต่ที่สุดแล้วมันก็จะพลิกตัวกลับมานอนคว่ำเพื่อดูดนมแม่อยู่ดี” ว่าที่หมอหมาเฉลยไขด้วยรอยยิ้มละไม ส่วนฝ่ายที่ไม่เคยเลี้ยงหมาวัยเยาว์แบบนี้มาก่อนในชีวิตก็พยักหน้าหงึกหงักพลางงึมงำทำความเข้าใจกับตัวเองอยู่พักใหญ่จนสารินอยากชักอยากจะคว้าเด็กน้อยหน้าใสมาเก็บเอาไว้ใกล้มือแทนลูกหมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด  

“แนนลองป้อนนมน้องดูสิครับ” สารินเชื้อเชิญคนนั่งข้าง ๆ ที่เริ่มจะออกอาการเก้ ๆ กัง ๆ ผิดกับเมื่อแรกเห็นลูกหมา

“ทะ... ทะ... ทำแบบนี้ใช่ไหม?” สกลถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจแต่กลับไม่พลาดพลั้งหลงลืมรายละเอียดใด ๆ เลยสักนิด จริงอยู่... หากนับตั้งแต่ตอนที่หนุ่มแว่นอุ้มลูกหมาขึ้นมาจากคอก เจ้าตัวจะดูกล้า ๆ กลัว ๆ ผิดกับคนต้นแบบอยู่มากโข ทว่าไม่ช้าความรู้สึกประหม่าและตื่นเต้นจนไม่เป็นอันทำอะไรก็เลือนหายไปทันทีที่ลูกหมาพันธ์ไซบีเรียน ฮัสกี้วัยเจ็ดวันในมือเริ่มดูดนมอย่างรวดเร็ว  

“ครับ... แบบนั้นแหละครับ เก่งมากครับแนน” มือโปรฯอย่างสารินรีบชมเชยมือใหม่หัดป้อนทันทีเพื่อเพิ่มกำลังใจโดยไม่ทันได้ระแวดระวังเลยว่า ดาเมจของเด็กน้อยเวลาอยู่กับลูกหมาจะรุนแรงยิ่งกว่าในยามไหน ๆ ไปอีกร้อยเท่าพันเท่า

แว่นทรงม้อดที่ถูกแรงโน้มถ่วงดึงให้ค่อย ๆ ไหลลู่ลงมาตามเรียวดั้งเผยให้ประกายแวววาวภายในดวงตาใสแจ๋วทั้งสองปรากฏอย่างเด่นชัด ซี่ฟันขาวเรียงตัวสวยที่ตัดกับสีแดงของริมฝีปากอย่างเด่นชัดยิ่งส่งเสริมให้รอยยิ้มบนใบหน้ารูปไข่งดงามตรึงใจคนมองได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แก้มใสทั้งสองนั่นเล่าก็ขึ้นสีแดงระเรื่อจนเขาแทบไม่เหลือความสามารถในการหักห้ามใจได้ ไหนจะท่าทางดีอกดีใจเป็นล้นพ้นนั่นอีกล่ะ...


“ตัวมันนุ่มมาก โอ๊ย! ลูก... หนูน่ารักที่สุดเลย!” สกลเผื่อแผ่รอยยิ้มหวานที่มีให้กับสิ่งมีชีวิตตัวแดง ๆ ในฝ่ามือไปถึงคนนั่งข้าง ๆ อย่างลืมตัวจนสารินเริ่มจะทำตัวไม่ถูก รุ่นพี่จากต่างคณะจึงพยายามชวนอีกฝ่ายคุยเพื่อทำให้ตัวเองประคองสติที่เริ่มจะริบหรี่ให้กลับเข้าที่เข้าทางโดยเร็ว  

“แนนไม่เคยจับลูกหมาเล็ก ๆ มาก่อนเลยเหรอครับ?”

“ไม่เลยครับ... นี่ครั้งแรกเลย” เด็กน้อยของสารินสาดรอยยิ้มหยาดเยิ้มใส่ตาเขาเข้าอย่างจัง ก่อนจะหันกลับไปจ้องหน้าลูกหมาด้วยความตั้งอกตั้งใจพร้อมกับส่งเสียงเชียร์ไซบีเรียนน้อยไม่ขาดปาก “ว่าไงครับ... กินเยอะ ๆ นะเด็กดี”

“ชอบไหมครับ?” ว่าที่นายสัตวแพทย์หนุ่มถามพลางจับจ้องทุก ๆ การเคลื่อนไหวของหนุ่มแว่นคล้ายกับกำลังสั่งให้สมองบันทึกภาพดังกล่าวเอาไว้ในความทรงจำ

“ชอบครับ ชอบมากเลย!” สายตาของคนพูดจดจ่ออยู่บนใบหน้าของลูกหมาในมือ “ตาใกล้จะเปิดแล้ว...
.
.
...อีกเดี๋ยวพวกหนู ๆ ก็จะลืมตาแล้ว พี่อยากเห็นตอนพวกหนูลืมตาจังเลย...
...อาทิตย์หน้าเรามาเยี่ยมเด็ก ๆ อีกได้ไหมพี่ริน?”

“หืม?!” สารินถึงกับชะงักมือที่กำลังจะช้อนลูกหมาตัวใหม่ขึ้นมากินนมเมื่อได้ยินสรรพนามที่อีกฝ่ายเรียกเขาด้วยความลืมตัว... อะไรนะ? เมื่อกี๊น้องเรียกเขาว่าอย่างไรนะ?  

“ได้กินนมแล้วมีแรงถีบสูงเชียวนะ นั่นแน่!” เด็กเต็กปีสองกระเซ้าเจ้าหมาเด็กที่ผงกหัวดูดจุกนมพร้อมกับถีบขาหน้ายึกยักไปมาอย่างรุนแรงด้วยน้ำเสียงร่าเริงแล้วจึงคาดคั้นขอคำตอบจากอีกฝ่ายโดยไม่รอช้า ทว่ากลับไม่ทันรู้ตัว “ว่าไงครับ? อาทิตย์หน้าเราแวะมาอีกได้ไหมพี่ริน?”

“แนนอยากมาเหรอครับ?” ว่าที่หมอหมาไหลตามน้ำด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่มสลับกับกลั้นยิ้มเป็นพัก ๆ  เพราะในที่สุด น้องก็ยอมเรียกเขาด้วยสรรพนามแบบเดียวกันกับเมื่อเก้าปีก่อนไม่มีผิดเพี้ยน รู้อย่างนี้ เขาน่าจะพาน้องมาเยี่ยมเยียนบรรดาลูกหมาไปนานแล้ว

“ครับ... จริง ๆ ถ้าไม่ติดเรียนแนนก็อยากอยู่ช่วยพี่ทีมดูน้องตลอดเวลาเลย นะ... แนนอยากเห็นตอนน้องลืมตา” เด็กสถาปัตย์เลิกวางฟอร์มก่อนจะเอ่ยยอมรับอย่างไม่อ้อมค้อมผิดกับทุกที “อ้าว! นมหมดแล้วอ่ะพี่ริน... มีนมอีกไหมครับ?” สกลส่งเสียงโวยวายคลอไปกับเสียงงี้ด ๆ ของเจ้าลูกหมาราวกับตั้งตนเป็นโฆษกประท้วงแทนไซบีเรียนเด็กที่ต้องหยุดกินนมเอากลางคันทั้งที่ยังไม่อิ่ม

“หมดขวดแล้วก็ต้องพอครับ ให้น้องกินถี่ ๆ ตามจำนวนที่พี่ทีมเตรียมเอาไว้นี่แหละ ไม่งั้นเดี๋ยวน้องจะกินเยอะจนปวดท้อง” คนฟังทำหน้ามุ่ยคล้ายขัดข้องหมองใจกับคำอธิบายตามตำราของพี่หมอหมาใจแข็ง แต่สารินก็เบี่ยงประเด็นเก่งเสียจนสกลต้องยอมจำนนอย่างช่วยไม่ได้

“แนนป้อนนมตัวอื่นแทนเถอะครับ เดี๋ยวน้อง ๆ ที่เหลือจะร้องไห้โยเยเพราะโดนแนนปล่อยให้หิวนมไม่รู้ด้วยนะ” พูดจบว่าที่นายสัตวแพทย์หนุ่มก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้พลางป้อนนมลูกหมาอีกตัว จนเด็กน้อยต้องยอมทำความเข้าใจปล่อยเจ้าตัวเล็กที่อิ่มแล้วลงคลานในคอกเพื่อให้อาหารแก่ลูกหมาอีกสองตัวที่เหลือซึ่งเริ่มจะคลานดุ๊กดิ๊กเพราะหิวจนอยู่ไม่สุข 
.
.
.
.
.
.
.
“ที่พี่สิงห์บอกเมื่อวันก่อน... จริงหรือเปล่าครับ?”

เด็กเต็กหัวไข่ทึกทักเอาว่าท่าทางนิ่ง ๆ ของสารินเป็นผลมาจากความดื้อดึงของตัวเองเมื่อสักครู่ เจ้าตัวจึงพยายามหาเรื่องพูดคุยกับคนตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หารู้ไม่ว่าเหตุผลที่ทำให้หลานอาม่ามุ่ยฟ้าต้องนั่งสงบปากสงบคำอยู่เงียบ ๆ จนถึงเดี๋ยวนี้ เป็นเพราะนอกจากสารินจะรู้สึกดีใจกับคำพูดคำจาของสกลจนวางหน้าไม่ถูกแล้ว คนเป็นพี่ยังจัดการกับความหวั่นไหวต่อด้านอ่อนโยนจนน่าขย้ำของหลานอาม่าใหญ่ไม่ได้ดีนัก


“เรื่องอะไรครับ?” การที่ว่าที่หมอหมาเอาแต่เพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่เจ้าตัวเล็กในมือทำให้คู่สนทนากระตือรือล้นยิ่งกว่าเก่าอีกหลายเท่าตัว

“ก็เรื่องที่พี่รินเรียนสัตวแพทย์เพราะน้องไง” หนุ่มแว่นลากหางเสียงยาวอย่างหงุดหงิด... นี่ถ้าไม่ติดว่ากำลังอุ้มเจ้าไซฯน้อยอยู่ล่ะก็ พ่อจะหันไปจับหน้าหมีขาวให้หันกลับมาคุยกันดี ๆ เสียให้รู้แล้วรู้รอด!

“จริงครับ” เสียงถอนหายใจฮึดฮัดของคนข้าง ๆ ที่ฟังบ่อยจนเริ่มจะคุ้นหูทำให้สติสตังของสารินกลับมาอยู่กับร่องกับรอยได้อย่างไม่น่าเชื่อ จึงไม่น่าแปลกใจหากเขาจะกลับลำทำหน้ามึนยั่วเย้าอีกคนไปเรื่อยเปื่อยเสียเอง

มีพี่น้องกับเขาด้วยเหรอ?” อาการถามคำตอบคำของคนเป็นพี่เร่งเร้าให้หลานอาม่าใหญ่ยิ่งฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดจนเกือบจะขึ้นเสียงแหวใส่ว่าที่นายสัตวแพทย์ผู้ไม่รู้สึกรู้สาใด ๆ ทั้งสิ้น

“แนนถามถึงใครเหรอครับ?”

ก็พี่รินน่ะสิมีพี่น้อ...” ในที่สุดเด็กสถาปัตย์ก็รู้สึกตัว สกลอดเสียใจไม่ได้ที่เผลอปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเร่อ...


ทั้ง ๆ ที่ก็คอยห้ามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอย่าเผลอเรียกอีกฝ่ายอย่างสนิทสนมแบบเมื่อกี๊
แล้วทีนี้จะทำอย่างไรได้อีกล่ะ?!



“ใครนะครับ?” คนเป็นพี่เลิกคิ้วพลางยิ้มเผล่รอฟังด้วยใจจดจ่อ ในขณะที่สกลกลับเข้าใจว่าใบหน้าหล่อ ๆ ตรงหน้าออกท่าล้อเลียนตนให้ต้องอับอาย ชายหัวไข่จึงแสร้งทำเฉไฉเพื่อกลบเกลื่อนเร็วรี่

ก็คุณน่ะแหละ!

“ฮื่อออ ไม่เอาสิ... ไม่เรียกคุณไม่เรียกผมแล้ว เรียกพี่ว่าพี่ริน แล้วก็เรียกตัวเองว่าแนนเหมือนเมื่อกี๊เถอะนะครับ” สารินที่เพิ่งป้อนนมลูกหมาตัวที่สองของตนเสร็จสิ้นเอี้ยวตัวเพื่อนั่งมองหน้าเด็กน้อยของตนด้วยสายตารักใคร่พลางพูดจาออดอ้อนอย่างอ่อนหวานจนคนฟังอดจั๊กจี๊หัวใจไม่ได้
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“...ไม่เอา...” หลานอาม่าใหญ่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าน้ำหนักของคำปฏิเสธที่เพิ่งเปล่งผ่านริมฝีปากนั้นฟังแผ่วเบาจนสารินแทบไม่ได้ยิน

“นะครับ เรียกพี่ว่าพี่รินเถอะครับ พี่ชอบฟัง” ว่าที่นายสัตวแพทย์กดใบหน้าลงต่ำก่อนจะช้อนสายตามองหน้าเด็กน้อยพลางเว้าวอน  ฝ่ายที่โดนอ้อนจนใกล้จะอ่อนระทวยก็พยายามสะกลกลั้นอารมณ์ด้วยการเม้มปากเป็นเส้นตรง พลางบอกกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ในเมื่อไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร ก็จงนั่งปิดปากให้สนิทไปจนกว่าอีกฝ่ายจะเลิกตอแย

“ได้ไหมครับแนน?” สารินไม่ชอบใจเลยที่เห็นหลานอาม่าใหญ่ซ่อนริมฝีปากเอาไว้จนแน่นแบบนั้น ชายหนุ่มจึงเอื้อมมือไปด้วยหวังจะใช้ปลายนิ้วคลายปากแดง ๆ ให้เป็นอิสระต่อกันเพื่อไม่ให้ทั้งปากของน้องและจิตใจของตัวเองต้องทนทรมานมากไปกว่านี้

ในขณะที่ชายหัวไข่ผู้เม้มปากเพราะไม่อยากจะตอบรับคำขอของหนุ่มตี๋รูปหล่อง่าย ๆ ก็ตกใจกับมือที่ยื่นเข้าใกล้จนสามารถพรั่งพรูคำถามเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์


“แล้วพี่ทีมไปไหนล่ะ จะไม่มาเฝ้าลูกหมาหน่อยเหรอ?”

“ให้พี่ทีมแกได้พักบ้างเถอะครับ พี่ว่าแกเหนื่อยมาหลายวันแล้วล่ะ” สารินพยายามตะล่อมเพื่อดึงเด็กน้อยให้กลับสู่บรรยากาศเพลี่ยงพล้ำเมื่อครู่อีกสักครั้งโดยอ้างอิงสภาพน่ารันทดของรุ่นพี่ที่โทรมจนสังเกตได้ชัดขึ้นมาเป็นเหตุผล ทว่าคงจะสายเกินไปเพราะเมื่อมองจากสายตาหลังแว่นที่เลื่อนไปจับจ้องเจ้าสี่ขาตัวกระจ้อยร่อยไม่ละไปไหน คนโตกว่าก็รู้ว่าอีกฝ่ายเบนความสนใจกลับไปที่การป้อนนมลูกไซบีเรียนในมืออย่างเอาจริงเอาจังเสียแล้ว

“แล้วต้องป้อนนมน้องอีกทีเมื่อไรเหรอครับ?”

“อีกสามชั่วโมงครับ” พอเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของน้อง จิตวิญญาณของหมอก็ยอมปล่อยให้เด็กหัวไข่รอดตัวไปในที่สุด

“งั้นเราอยู่รอจนป้อนนมอีกรอบได้ไหมครับ? ผมอยากเล่นกับน้องนาน ๆ ” สกลวางขวดนมขวดที่สองลงในกะละมังแล้วค่อย ๆ จรดปลายนิ้วชี้ลงเกลี่ยขนอ่อนนุ่มตรงหน้าแงของลูกหมาตัวน้อยอย่างทนุถนอมและอาลัยอาวรณ์ แต่ครั้งนี้สารินกลับไม่ยอมใจอ่อนง่าย ๆ  

“อย่าเลยครับ พี่กลัวน้องจะเฉามือเราไปเสียก่อน” ชายหนุ่มผู้แก่อาวุโสกว่าให้เหตุผลจนอีกคนต้องยอมจำนนอย่างช่วยไม่ได้  กระนั้นเขากลับไม่ได้ทำร้ายจิตใจของเด็กแว่นหัวไข่เสียทีเดียว “ไว้รอให้น้องโตกว่านี้อีกนิดแล้วค่อยมาเล่นดีกว่าครับ”

“กลับมาอีกได้เหรอครับ?” เด็กเต็กผินหน้าหันกลับมาถามสารินด้วยความตื่นเต้น

“ถ้าแนนอยากจะมาเมื่อไร พี่ก็จะพาแนนมาครับ” คำตอบดังกล่าวเกือบจะเรียกรอยยิ้มให้กลับมาประดับใบหน้าของสกลได้อยู่แล้วเชียวหากไม่ติดว่าคนเป็นพี่จะชิงดักคอเสียก่อน “แต่มีข้อแม้”

“ข้อแม้อะไรครับ?” หลานอาม่าใหญ่ขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความขัดใจ

“แนนต้องเรียกตัวเองกับเรียกพี่แบบที่พี่ขอไปตลอดเลยได้ไหมครับ?”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ต้องเรียกจริง ๆ เหรอ?” หนุ่มแว่นของหมีโพลาร์อ้อมแอ้มแก้มแดงแจ๋ ทว่าเด็กสัตว์แพทย์กลับฉวยโอกาสครั้งที่สองเอาไว้โดยไม่คิดจะปล่อยให้หลุดมือ

“เถอะครับ นะ... ถือว่าทำเพื่อพี่ ได้ไหมครับ?”

“...ก็ได้ เรียกก็ได้...”

“ขอบคุณครับ” สารินยิ้มรับด้วยความยินดีก่อนจะหยิบยกเรื่องอื่นขึ้นพูดเพื่อลดความรู้สึกประดักประเดิดของอีกฝ่ายให้น้อยลง “คำถามของแนนเมื่อกี๊ พี่ขอตอบเลยแล้วกันนะครับ...
.
.
.
.
...พี่ไม่มีพี่น้องหรอกครับ แต่พี่มีน้องชายแถวบ้านที่รู้จักกันตั้งแต่เด็ก ๆ อยู่หนึ่งคน...
...น้องชายของพี่รักหมามาก รักจนพี่อยากเป็นสัตวแพทย์เพื่อช่วยดูแลรักษาหมาของน้องทุก ๆ ตัวให้แข็งแรงไม่เจ็บป่วยน่ะครับ” ร่ายยาวเท้าความมาถึงตรงนี้ สกลผู้ยังไม่หายเขินดีก็เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาไม่พูดไม่จาโต้ตอบใด ๆ ว่าที่นายสัตวแพทย์จึงต้องอาศัยลูกหมาตัวสุดท้ายเป็นผู้ช่วยผ่อนคลายอาการเขินจนหน้าไหม้ให้เด็กน้อยของตนโดยไม่รั้งรอ  

“อ่ะนี่ครับ... น้องตัวสุดท้าย น้องตัวเล็กที่สุดเลย แนนช่วยป้อนนมน้องหน่อยได้ไหมครับ? พี่จะทำให้น้อง ๆ ถ่ายท้องไปพลาง ๆ ” หลานอาม่าเล็กนั่งยิ้มเป็นบ้าเป็นหลังเมื่อเห็นคนข้าง ๆ กลายร่างเป็นลูกตำลึงสุกไปทั้งตัวอยู่อีกหลายนาที

«»------------------------------------------------------------------------------------«»


“ถามจริง ๆ ...
.
.
.
...ทำไมต้องเป็นผม?”

หลังจากตกลงเรื่องสรรพนามใหม่กันเรียบร้อยเสร็จสรรพ แทนที่เจ้าของหมาตัวจริงจะหายหน้าไปพักผ่อนอย่างที่สั่งความไว้ กลายเป็นว่า สุดท้ายวชิระก็โผล่หน้ามาเล่าพงศาวดารเกี่ยวกับหมาทุกตัวที่เคยเลี้ยง ลามไปถึงการตายของแม่หมาตัวล่าสุด รวมทั้งยังฟื้นฝอยเกี่ยวกับความยากลำบากของกว่าหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาเมื่อต้องตกอยู่ในฐานะแม่หมาจำเป็นให้เด็กน้อยฟังเสียยืดยาวอยู่ราว ๆ สองชั่วโมง จนสารินออกจะตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินคำถามลอย ๆ ดังออกมาจากฝั่งเบาะนั่งคู่คนขับทันทีที่รถของเขาเคลื่อนตัวพ้นซอยบ้านของพี่บัณฑิต


“หืม? อะไรนะครับ?” สารินยอมละสายตาจากท้องถนนชั่วคราวเพื่อมองเสี้ยวหน้าของตุ๊กตาหน้าแว่นให้ชัด ๆ ... เขาควรจะดีใจได้หรือยังที่อีกฝ่ายออกอาการสนใจในเจตนาของเขา? หรือเด็กน้อยจะแค่สงสัยกันนะ?
.
.
.
.
.
.
.
“ทำไมคุณถึงอยากรู้จักผม? คนอื่นมีเยอะแยะไป”

ฝ่ายสกลซึ่งได้ทบทวนครวญใคร่ความรู้สึกทั้งหลายของตัวเองอีกครั้งระหว่างนั่งฟังทีมพร่ำพรรณนาถึงวิบากกรรมต่าง ๆ อยู่หลายชั่วโมงก็แทบรอเวลาที่จะได้อยู่ลำพังกับสารินไม่ไหว จึงไม่แปลกอะไรที่ชายหนุ่มหัวไข่จะเปิดฉากถามเรื่องคาใจเป็นที่สุดกับคนต้นเรื่องทันทีที่สบโอกาส... ขอเพียงกำจัดความกังวลข้อนี้ไปได้ หลานอาม่าใหญ่เชื่อว่าคงไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ต้องระงับความรู้สึกที่เริ่มจะเพิ่มพูนจนคันยุกยิกไปทั้งหัวใจหลังจากได้ใช้เวลากับอีกฝ่ายมากขึ้นทุกวัน ๆ เอาไว้กับตัวอีกต่อไปแล้ว


“แล้วทำไมถึงจะเป็นแนนไม่ได้ล่ะครับ?” สารินถามเสียงเรียบ เพราะหากไม่ใช่เด็กน้อยหัวไข่คนนี้ ชายหนุ่มคงไม่คิดจะจีบใครอื่นอย่างแน่นอน
.
.
.
.
.
“ก็คนอย่างคุณน่าจะหาคนที่ดีกว่าผมได้สบาย ๆ... ผู้หญิงก็มี” ใช่ว่าอยากให้สารินเปลี่ยนใจ แต่เพราะจนกระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังตอบคำถามข้อสำคัญให้แก่ตัวเองไม่ได้ เด็กสถาปัตย์จึงพยายามเฟ้นหาตัวอย่างแนะทางเลือกที่เหมาะสมมากกว่า ปกติยิ่งกว่า และน่าจะส่งเสริมภาพลักษณ์ของสารินได้ดีเหนือกว่าตนเอง เพื่อช่วยเบิกเนตรให้หมีโพลาร์เห็นภาพได้อย่างชัดเจนจนพิจารณาเรื่องระหว่างพวกเขาดูใหม่ ก่อนที่ไม่ใครก็ใครจะถลำตัวลึกจนยากจะถอน... อย่างน้อย ๆ   หากรุ่นพี่ต่างคณะเกิดคิดจะเปลี่ยนใจเสียแต่ตอนนี้ เขาคงยังไม่รู้สึกเจ็บปวดเท่าไรหรอกมั้ง

“คนอย่างพี่เป็นยังไงครับ? ทำไมถึงคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับพี่?” หลานอาม่าเล็กซักไซ้เพราะเริ่มจะเอะใจอะไรบางอย่าง แต่ปฏิกิริยาดังกล่าวกลับไม่ใช่สิ่งที่อีกคนตั้งตารอ

“อย่ากวนได้ไหมล่ะ? ผมถามคุณ คุณก็แค่ตอบผมดี ๆ ไม่ได้หรือไง?!” เด็กเต็กแหวใส่ด้วยความหงุดหงิดที่โดนอีกฝ่ายยอกย้อนตาใส กระนั้นว่าที่นายสัตวแพทย์กลับเลือกที่จะอธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลตามสไตล์คนใจเย็นเป็นทุน  

“พี่ไม่ได้ตั้งใจจะกวนแนนเลยนะครับ พี่แค่อยากรู้ว่า ในสายตาแนน...แนนเห็นพี่เป็นคนยังไง...
.
.
.
พอรู้แล้ว พี่จะได้บอกแนนได้ว่าจริง ๆ แล้วพี่เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า” พอได้รับฟังเหตุผลของคนขับ สกลก็นั่งนึกอยู่สักพักก่อนจะค่อย ๆ เรียบเรียงความคิดออกมาเป็นคำพูดอย่างช้า ๆ  

“เอ่อ... คุณ คุณก็ดีกว่าผมทุกอย่าง... หน้าตา อุปนิสัยใจคอ แล้วก็...” เด็กน้อยของสารินอ้ำอึ้งเพราะไม่รู้จะหาข้อดีอื่นใดของอีกฝ่ายมาพูดต่อด้วยจวบจนถึงตอนนี้ เจ้าตัวไม่ได้รู้จักคนเป็นพี่ดีสักเท่าไร นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มผู้กุมพวงมาลัยจี้ถามย้ำให้ต้องตรึกตรองอย่างเร่งด่วนอีกครั้ง

“แล้วก็อะไรอีกครับ?”

“...”

แม้หลานอาม่าใหญ่จะใช้ความคิดจนแทบล้มประดาตาย
ทว่าจนแล้วจนรอด สกลก็ไม่อาจพูดจายกย่องอีกฝ่ายด้วยคุณสมบัติดี ๆ ข้ออื่น ๆ ได้อีก  
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“แนน... แนนฟังพี่นะครับ  ตอนนี้แนนกำลังเอาสิ่งที่คนอื่นพูดเกี่ยวกับตัวพี่มาชี้วัดว่า เราเหมาะหรือเราไม่เหมาะกัน ทั้ง ๆ ที่ตัวแนนเองยังไม่รู้จักพี่ดีสักกี่มากน้อยเลย”  สารินค่อย ๆ พูดอย่างช้า ๆ เพื่อให้ตุ๊กตาหน้ารถได้มีเวลาทำความเข้าใจ  จากคำถามของอีกฝ่าย ประกอบกับประโยคเย้ยหยันตัวเองที่เขาเคยได้ยินเด็กน้อยหลุดปากพูด ทำให้ชายหนุ่มพอจะเข้าใจความปริวิตกของหลานอาม่าใหญ่ได้เลา ๆ

“พี่ห้ามไม่ให้แนนกังวลเรื่องรูปกายภายนอกไม่ได้ แต่พี่ยืนยันได้ว่า...
.
.
...พี่ไม่เคยตื่นเต้นเวลาอยู่ใกล้ใคร เหมือนตอนพี่อยู่กับแนน...
...พี่ไม่อยากมองหน้าใครตลอดเวลา เหมือนอย่างที่อยากมองหน้าแนน...
...พี่ไม่รู้สึกอยากแตะต้อง อยากสัมผัสใคร เหมือนอย่า...”

พอ! พอเลย!” หนุ่มแว่นหลับหูหลับตาปรามเจ้าของรถด้วยความอับอายคล้ายกับโดนวาจาของอีกฝ่ายปลดเปลื้องอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายออกจากร่างอย่างไรอย่างนั้น แต่คนฟังกลับกระหยิ่มอย่างชื่นบานจนนึกครึ้มอยากสัพยอกหยอกเอินเด็กน้อยให้ยิ่งหน้าแดงไปกันใหญ่อีกสักหลาย ๆ รอบ  

“แนนไม่อยากฟังให้จบเหรอครับ? ไม่กลัวพี่พูดชื่อคนอื่นออกมาเหรอ?” สารินยิ้มยั่วเย้าทั้งที่ก็รู้ว่าเด็กเต็กที่เอาแต่นั่งกอดอกหลับตาปี๋คงไม่มีวันได้เห็น

คุณจะพูดชื่อใคร จะเรียกหาใครมันก็เรื่องของคุณ!” ยิ่งอายสกลก็ยิ่งพ่นไฟ แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายกลับยิ่งอยากผูกสมัครรักใคร่มากกว่าจะถอดใจเพราะพรั่นพรึง  

“รูปสมบัติอาจทำให้บางคนหวั่นไหวจนยอมเปิดใจรักก็จริง...
.
.
...แต่ความประทับใจตั้งแต่แรกพบทำให้คนธรรมดาคนหนึ่งกลายเป็นคนพิเศษของใครอีกคนไปตลอดชีวิต...
...แล้วแนนอยากรู้ไหมครับว่าแนนเป็นแบบไหนในความคิดพี่?” ว่าที่นายสัตวแพทย์ยังไม่ยอมรามือง่าย ๆ

จิ๊! พูดมาก! ขับรถไป!

“หึ หึ หึ... ทีนี้จะเลิกคิดมากเรื่องหน้าตาได้หรือยังครับ?”

“...”

แม้จะยังอับอายกับคำอธิบายก่อนหน้าของคนตัวใหญ่ที่ขยันยิ้มจนน่าหมั่นไส้เป็นที่หนึ่ง แต่สกลกลับปฏิเสธไม่ได้ว่าตนเองเข้าใจคำตอบของสารินได้อย่างถ่องแท้  เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาเป็นเพียงคนธรรมดา ๆ ที่หน้าตากระเดียดไปทางตลาดล่างยิ่งกว่าเพื่อนสนิทคนไหน ๆ ในกลุ่ม ดังนั้นหนุ่มแว่นจึงไม่มีทางสร้างความปั่นป่วนหวั่นไหวให้เกิดขึ้นในใจใครได้แน่ ๆ  

แต่เดี๋ยวก่อน... 
ถ้าอย่างนั้นจะไม่หมายความว่า
สำหรับสาริน... เขาคือคนพิเศษอย่างนั้นหรือ?!!  


“พี่ไม่ได้เข้าหาเราเพราะรูปกายภายนอกหรอกนะครับ แต่เพราะว่าเราเป็นคนน่ารักแบบนี้ พี่เลยมักจะหวั่นไหวเพราะรูปสมบัติของเราอยู่ตลอดยังไงล่ะ” คนขับพูดไปก็ยิ้มไปราวกับถนนหนทางถูกแทนที่ด้วยสภาพล่อแหลมชวนฝันของคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันก็ไม่ปาน

!!!” อ่ะโห! อะไรจะคมชัด... เคลียร์คัทจนไม่ต้องแอบเอาไปมโนเป็นอื่นได้ขนาดนี้!!

“ว่าไงครับ?”

“...ก็อืม...” สารินยังไม่เลิกจิ้มจนคนที่เพิ่งปลื้มปริ่มกับคำตอบล่าสุดจำต้องยอมรับออกมาตรง ๆ เพื่อยุติความรุงรังของฝั่งคนขับเสียแต่เนิ่น ๆ ... อยากจะเขินเงียบ ๆ หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจ แต่ดูเหมือนว่าพ่อหมีขาวตัวใหญ่จะไม่นำพา

“ส่วนเรื่องนิสัยใจคอ... พี่ว่า เวลาไม่กี่วันคงทำให้แนนรู้จักพี่ไม่ได้มากเท่าไร” หลานอาม่าเล็กผู้กำลังอารมณ์ดีไม่มีใครเกินยังคงรวบตึงบทสนทนาเอาไว้กับตัว “เอาเป็นว่าหลังจากนี้ เรามาลองใช้เวลาด้วยกันบ่อย ๆ เพื่อที่แนนจะได้ค่อย ๆ ศึกษาดูใจพี่ไปดีไหมครับ อยากรู้อะไรเกี่ยวกับพี่... แนนก็ถาม แนนจะได้รู้ว่าพี่เป็นคนยังไง... ไม่แน่พี่อาจจะเป็นคนร้ายกาจหลบใน หรือเป็นพวกสายเอสชอบทำร้ายร่างกายแนนก็ได้ ใครจะรู้”

“ประสาท! เจอกันแทบทุกวันยังบ่อยไม่พออีกหรือไง? ไม่ทำสำเนาแล้วเอากลับไปเลยล่ะจะได้หายบ้าเสียที” เด็กแว่นบ่นงุ้งงิ้งกับตัวเอง แต่เพราะมีเพียงกระปุกเกียร์กั้นระหว่างกลาง ร่างใหญ่หลังพวงมาลัยจึงได้ยินข้อความทั้งหมดได้ไม่ยากเย็น

“หึ หึ หึ... ไม่ต้องลำบากทำสำเนาหรอกครับ พี่อยากได้ตัวจริงมากกว่า” เป็นอีกครั้งที่หลังจากคนเป็นพี่พูดจบ คนน้องก็ทำเป็นด่ากลบเกลื่อนริ้วแดง ๆ ที่พาดผ่านแก้มเนียนสองข้างไปเสียทุกที

โรคจิต!

“แล้วแนนล่ะครับ ไม่อยากเจอพี่สักนิดเลยเหรอ? ตอบจริง ๆ นะครับ ห้ามประชด” ว่าที่หมอหมารีบดักคอด้วยเสียงเข้ม ๆ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ก็มีบ้างบางที” คำตอบที่เพิ่งได้ยินทำให้สารินหัวใจพองโตจนอยากจะรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายในยามที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาสองวันกว่า ๆ ... แผนการของอาม่าจะได้ผลจริง ๆ ใช่ไหม? น้องจะคิดถึงเขาจนไม่เป็นอันทำอะไรเหมือนที่เขาเป็นบ้างหรือเปล่านะ?

“แล้วแนนคิดถึงพี่บ้างไหมครับตอนที่พี่ไม่อยู่?”

“โกหกได้ไหม?” เด็กน้อยอึกอัก สารินจึงลอบยิงคำถามอย่างฉับไวเพื่อลักไก่ทันที  

“ถ้าโกหก จะโกหกว่าอะไรครับ?”

“ก็ไม่คิดถึงน่ะสิ...  เอ๊ย! ไม่ใช่! ไม่เอา! ไม่ตอบแล้ว!! ไม่ตอบ!” ดูเหมือนว่าโชคดีจะเป็นของหมีโพลาร์เพราะหลังจากฝีปากอันว่องไวขายความลับสุดยอดจนเจ้าตัวต้องอับอายไปถึงไหน ๆ  เด็กน้อยของสารินก็ได้แต่เม้มปากพลางโบกไม้โบกมือปัดไล่คำสารภาพความรู้สึกของตัวเองให้ล่องลอยไปไกล ๆ  พร้อมกับเปล่งเสียงโหวกเหวกโวยวายช่วยกลบร่องรอยแห่งความคิดถึงให้ค่อย ๆ ลบเลือน  

“หึ หึ หึ... แต่พี่คิดถึงแนนนะครับ พี่คิดถึงแนนมาก แล้วก็เป็นห่วงแนนที่สุดเพราะพี่รู้ว่าแนนคงลำบากตอนไปรับซิลเวสเตอร์ออกจากโรงพยาบาลคนเดียว” เด็กสัตว์แพทย์เอ่ยสบาย ๆ พร้อมทำวางเฉยกับความเขินอายของคนข้าง ๆ เพื่อหลอกล่อให้หนุ่มแว่นยอมเฉลยความนัยเกี่ยวกับทุก ๆ เรื่องไปจนกว่าจะรู้สึกตัว

“ผมลำบากที่ไหนกันคุณ... เพื่อนผมก็มีเหอะ!” หลานอาม่าใหญ่ปรายหางตามองคนข้าง ๆ พลางตอบโต้ด้วยน้ำเสียงทรนง ได้ยินดังนั้นสารินก็ค่อยเบาใจที่ฝาแฝดทำตามที่ตนร้องขอเอาไว้ทุกประการโดยไม่บิดพลิ้ว

“พี่ฌานพาไปเหรอครับ?”

“...อือ...”

“ค่อยยังชั่ว... พี่นึกว่าแนนต้องไปคนเดียวเสียอีก”

เว่อร์!” เด็กสถาปัตย์กลอกตาพลางแสยะด้วยไม่เชื้อน้ำคำหวานล้ำที่คนเป็นพี่เพิ่งเอื้อนเอ่ย สารินจึงต้องเผยความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจตนให้สกลได้เห็นถึงหัวจิตหัวใจของตนมากขึ้นอีกนิด

“พี่ไม่ได้เว่อร์น่ะครับ สองคืนที่ผ่านมาพี่เป็นห่วงแนนจนนอนแทบไม่หลับ...
.
.
...อยากจะโทรมาถาม อยากได้ยินเสียงก็ดันโทรหาไม่ได้เพราะพี่ไม่มีเบอร์แนน...
...พี่เลยรีบกลับมอแทน เพื่อจะได้เจอตัวเจอหน้าแนนให้หายเป็นห่วง หายคิดถึงยังไงล่ะครับ”

ก็อยู่ด้วยกันแล้วนี่ไง เลิกบ่นเสียทีจะได้ไหมเล่า?!” ต่อให้ภายในจะวี๊ดว้ายกระตู้วู้สักเพียงใด ทว่าชายหนุ่มหัวไข่กลับแสร้งทำหน้าเบื่อหน่าย แล้วปรือตาใส่คนขับรถพลางโป้ปดด้วยการกระแทกเสียงตัดบทแบบขอไปทีเท่านั้น  

“ครับ ๆ ไม่พูดแล้วก็ได้... ถ้างั้น ฟังเพลงแทนไหมครับ?” สารินจึงไม่คิดจะขวางหรือแซะอีกฝ่ายให้ต้องเขินจนระบบเลือดระบบลมผิดปกติไปกันใหญ่... ถ้าไม่จำเป็น  

“เอามือถือมาสิเดี๋ยวผมเปิดเพลงให้” แทนที่พอสกลขันอาสายื่นมือมาให้ความช่วยเหลือจะทำให้ดีใจ ทว่าเด็กสัตว์แพทย์กลับนึกอะไรบางอย่างที่หลงลืมไปขึ้นมาได้ทันควัน

“พี่ว่าจะทักตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว ทำไมแนนถึงยังพูดแบบเดิมอยู่อีกล่ะครับ? ตอนป้อนนมน้อง เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอครับ?” คนเป็นพี่อดทวงถามหนุ่มแว่นในตำนานไม่ได้

แน่นอนว่านั่นย่อมไม่ต่างกับการยื่นมือไปเล่นกับแมวอารมณ์ร้ายที่ชอบตะปบใครต่อใครไปทั่วเลยสักนิด
จะผิดกันอยู่ตรงที่ว่า... สารินกลับหาโอกาสแหย่แมวตัวนี้ไม่สร่างซาโดยไม่สนว่าตนเองจะโดนข่วนจนเลือดซิบก็ตามที


ก็มันยังไม่ชินนี่!” เด็กน้อยตวาดพร้อมส่งสายตามาดร้ายตามไปข่มขู่ แต่สารินกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แถมยังยิ้มสู้เข้าให้เสียอีก

“แต่พี่เคยได้ยินคำฝรั่งบอกว่า Practice makes perfect แนนเรียกพี่แล้วก็เรียกตัวเองแบบที่เราตกลงกันให้บ่อย ๆ สิครับ จะได้ติดปากแล้วก็ชินเร็ว ๆ ”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ขอผมทำใจหน่อยไม่ได้หรือไง?” เป็นเพราะเริ่มจะรู้ว่าหมีโพลาร์หนักแน่นและจริงจังกับคำพูดต่าง ๆ มากขนาดไหน สกลจึงเลือกที่จะต่อรองกับอีกฝ่ายแทนที่จะทำไก๋เหมือนในช่วงแรก ๆ

อย่างไรก็ดี... ด้วยเหตุเดียวกันนั้นเอง ว่าที่นายสัตวแพทย์ก็เริ่มจะจับทิศทางการแสดงออกความรู้สึกพิเศษบางประการของเด็กสถาปัตย์ได้อย่างแม่นยำมากขึ้นทุกทีเช่นกัน
.
.
.
.
.
.
“ที่ไม่เรียกเพราะเขินพี่เหรอครับ?” สารินอมยิ้มจนแก้มกลมเป็นลูกขณะชำเลืองมองใบหน้ามู่ทู่แก้มชมพูระเรื่อของตุ๊กตาหน้าแว่น

“...”

“แนนเขินพี่เหรอครับ? หืมมม... ว่ายังไงครับแนน? ” คนขับไล่ต้อนพลางฉีกยิ้มกว้างหนักยิ่งกว่าเก่าเมื่อยิ่งพูดกระเซ้า ใบหน้าขาว ๆ แต้มชมพูจาง ๆ ก็กลายเป็นสีแดงทั่วทุกตารางนิ้ว

รู้แล้วยังจะมีหน้ามาถามอีก!” ไม่น่าเปิดใจแล้วปล่อยให้ไอ้หมีขาวรู้จักตัวเขามากขึ้นเลย ให้ตายสิ!

“หึ หึ หึ”

เงียบไปเลยนะ ไม่ต้องมาหัวเราะเลย! เอามือถือมาสิ จะเปิดเพลงให้” ผู้แก่อาวุโสส่งมือถือให้หลานอาม่าใหญ่โดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดซ้ำ ฝ่ายเด็กเต็กเมื่อได้อุปกรณ์สื่อสารดังประสงค์ก็ก้มหน้าก้มตาเชื่อมต่อเครื่องมือทั้งหลายโดยไม่ส่งเสียงจนสารินรู้สึกวูบโหวงโล่งหู

“ไม่ฟังเพลงแล้วได้ไหมครับ? พี่อยากคุยกับแนนมากกว่า”

แม้ว่าที่นายสัตวแพทย์จะอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงน่าฟังเพียงไร ตุ๊กตาหน้ารถหัวไข่กลับกดเปิดเพลงแล้วเร่งเสียงใส่ทันที...
แต่ก็แค่สักพักเท่านั้นแหละ เพราะเสียงดนตรีดังกระหึ่มเมื่อสักครู่กลับค่อย ๆ ผ่อนลงอยู่ในระดับที่พอให้ทั้งสองหนุ่มพูดคุยกันรู้เรื่องได้ สารินยังไม่ทันได้เอ่ยข้อสงสัยใด ๆ  เด็กน้อยแก้มใสของเขาก็ชิงพูดลอย ๆ อย่างรู้ทันขึ้นมาเสียก่อน


“ฟังเพลงไปก็คุยไปได้ไม่ใช่เหรอ? แล้วจะหันมาทำไม? มองถนนสิ”

“ครับ ๆ ”

น่าสงสารเด็กสัตว์แพทย์ปีสามเสียจริง ๆ ที่กว่าจะรู้ว่ามีคนแอบเพิ่มตัวเลขสิบหลักลงในบันทึกรายการโทรออกในมือถือของตนก็เป็นตอนก่อนนอนโน่นแหละ แต่ที่น่าสงสารยิ่งไปกว่านั้น... เบอร์โทรศัพท์ของน้องไม่อาจใช้เป็นเครื่องต่อรองกับอาม่าใหญ่เพื่องดเว้นการกลับบ้านช่วงเสาร์อาทิตย์ได้อีกต่อไป เพราะเงื่อนไขแต้มต่อประจำสัปดาห์นี้มีเพียงข้อเดียว นั่นคือ... เขาจะต้องทำให้น้องสมัครใจยอมย้ายเข้ามาอยู่เสียด้วยกันให้ได้ภายในอาทิตย์นี้นี่แหละ




«»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «»