The Last Glance
“ท็อป
มึงเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ” สัตยาประสานสายตากับเพื่อนร่วมรุ่นอย่างจริงจังพลางยื่นข้อเสนอ
“ถ้ามึงยอมปล่อยเพียร กูสัญญาว่ากูจะช่วยวิ่งเต้นเรื่องคดีมึง”
“ถ้ามึงไม่ส่งตัวไอ้วินมาเดี๋ยวนี้
ไอ้เด็กนี่ตาย!”
“โอ๊ย!!” นอกจากไม่สนใจฟังแล้ว ธีทัตยังย้ำปลายกระบอกปืนลงแนบขมับของอังคารจนเจ้าตัวหลุดปากส่งเสียงครวญครางอย่างห้ามไม่ได้
“มึงทำแบบนี้ทำไมวะท็อป” ต่อให้คิดจนหัวแตก สัตยาก็มองไม่เห็นมูลเหตุจูงใจที่ทำให้ตำรวจหนุ่มฝีมือดียอมละทิ้งหน้าที่เพื่อมาเป็นอาชญากรเลยสักนิด
“อนาคตมึงยังอีกไกลนะเว่ย!”
“มึงนั่นแหละ
ทำแบบนี้ทำไม เมื่อเช้ากูอุตส่าห์ให้โอกาสมึงเลือกแล้วนะเสือ ถ้ามึงไปหาพี่เดียร์
กูจะไว้ชีวิตมึง” สีหน้าเจ็บปวดและผิดหวังของของผู้พูดปรากฏให้เห็นเพียงชั่วอึดใจ
ก่อนจะถูกรอยยิ้มแสยะจนรูปหน้าบิดเบี้ยวปกปิดอารมณ์ทั้งหลายอย่างมิดชิด “มึงมันรนหาที่
เพราะฉะนั้น กูจะสงเคราะห์มึงก่อน มึงจะได้ไม่ต้องทนเห็นไอ้เด็กนี่ตายยังไงล่ะ” ธีทัตทิ้งท้ายพลางลดนกพร้อมเบี่ยงวิถีปากกระบอกปืนไปหาสัตยาด้วยความตั้งใจ
“อโหสิกรรมให้กูด้วยนะเสือ
กูจำเป็นต้องทำจริง ๆ ”
“ท็อป...
ถ้ามึงยิงกู มึงรู้ใช่ไหมว่ามึงจะกลับตัวไม่ได้อีกแล้วนะ”
แม้จะไม่มั่นใจว่าตนจะสามารถเรียกสติของเพื่อนร่วมรุ่นได้หรือไม่
แต่สัตยาก็ไม่ยอมถอดใจง่าย ๆ
“ว.ยี่สิบ
ควบคุมพื้นที่ด้านนอกไว้หมดแล้ว เปลี่ยน” ทว่าก่อนจะเกิดความเคลื่อนไหวครั้งใหม่ใด
ๆ ภายในห้อง จู่ ๆ เสียงตอบโต้ผ่านวิทยุสื่อสารก็ดังแทรกขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
เสียงแปลกปลอมและรหัสยืนยันการตรวจค้นพื้นที่เมื่อครู่ทำให้ธีทัตตระหนกตกใจด้วยตระหนักชัดแล้วว่า
สัตยาไม่ได้บุกเข้ามาคนเดียว
“มึงยอมมอบตัวเสียเถอะ”
ผู้กองเคราเฟิ้มถือโอกาสที่ธีทัตออกอาการลอกแลกเอ่ยโน้มน้าวให้อีกฝ่ายกลับใจอีกครั้งด้วยรู้ดีว่า
การเจรจาคือยุทธวิธีเดียวที่เหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ควรใช้ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียเช่นนี้
“อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลยดีกว่าท็อป”
“ว.เก้า
เห็นเป้าหมายแล้ว เป้าหมายใช้อาวุธปืนจี้ตัวประกัน”
“ท็อป นี่กู...
พี่เดียร์เองนะ มึงวางปืนลงแล้วปล่อยตัวประกันเถอะ” หัวหน้าชุดสืบสวนคดีอาชญากรรมประจำจังหวัดให้สัญญาณมือสั่งลูกน้องให้รักษาระยะพร้อมกับจับตาดูท่าทีของคนที่ถือปืนอย่างระมัดระวัง
“โอ๊ย” แม้จะปิดปากเงียบ
ทว่าเสียงร้องครวญครางของตัวประกันอย่างอังคารก็ทำให้นายตำรวจทั้งหลายรับรู้ถึงอาการตกใจของธีทัตที่มีต่อสถานการณ์อันพลิกผันได้เป็นอย่างดี
“มึงปล่อยเพียรเถอะท็อป
มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน” สัตยาพยายามอ้อนวอนเพราะการจ่อปืนยิงตัดกำลังของธีทัต หรือบุกเข้าชิงตัวประกันล้วนแล้วแต่เป็นผลร้ายต่อความปลอยภัยของอังคารแทบทั้งสิ้น
“มึงยอมมอบตัวแล้วค่อยไปสู้คดีกันต่ออีกทีเถอะนะท็อป
ถ้ามึงให้ความร่วมมือตั้งแต่ตอนนี้ มึงน่าจะติดคุกไม่นาน”
“มึงก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าถ้าขืนมึงยังไม่ยอมวางอาวุธ
จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง... ฮะไอ้ท็อป” ความเคลื่อนไหวอีกหนึ่งระลอกใหญ่จากทางด้านหลัง
การฟาดฟันสายตากับสัตยา กอปรกับสีหน้าเจ็บปวดของชยินที่ปรากฏสู่กรอบสายตาของชายหนุ่มเป็นระยะ
ๆ กดดันธีทัตจนเสียสมาธิ
ทว่าเหนืออื่นใด
บทสรุปซึ่งรุ่นพี่ร่วมสถาบันเพิ่งเอื้อนเอ่ยให้ได้ยินก็ทำให้ชายหนุ่มทบทวนสถานการณ์
พร้อมทั้งประเมินความเป็นไปได้ทั้งหมดอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างเด็ดขาดในอีกไม่กี่อึดใจให้หลัง
***********
ย้อนไปเมื่อก่อนที่พวกเขาจะรู้จักกัน
โลกขนาดกะทัดรัดของธีทัตถูกบรรจุไว้ภายในรั้วเหล็กขึ้นสนิมของสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งหนึ่งในแถบภาคเหนือตอนล่าง
ด้วยวัยเพียงสิบขวบ เขาแทบไม่ต่างจากเด็กอนาถากว่าครึ่งร้อยคนอื่น ๆ กล่าวคือ แม้จะไม่มีใครหลงลืม
แต่ก็จำนวนคนที่เห็นความสำคัญของเด็กกำพร้าอย่างเขาจากใจจริงกลับมีเพียงหยิบมือ
ทว่าอยู่มาวันหนึ่ง
ชีวิตอันว่างเปล่า แสนน่าเบื่อก็เปลี่ยนไป เมื่อเด็กชายชยินกลายมาเป็นสมาชิกใหม่ร่วมชายคา
โดยมีเขารับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยช่วยครูผู้ดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำ
ทำความสะอาดร่างกายของเด็กชายตัวแดง ๆ
ผู้ไร้หัวนอนปลายเท้าหลังถูกผู้เป็นแม่ลืมทิ้งไว้ที่แผนกเด็กอ่อนประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
แรก ๆ
เด็กชายธีทัตแอบนึกต่อต้านระบบพี่ดูแลน้องของบ้านอยู่ในใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป
กลับกลายเป็นเขาเสียเองที่ตั้งตนเป็นพี่ชายของชยินก่อนอีกฝ่ายจะทันรู้ความ ถึงอย่างนั้น
ชีวิตที่ต้องอยู่ร่วมกันกับเด็กคนอื่น ๆ ในสถานสงเคราะห์ขนาดเล็กท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจตกสะเก็ด
ทำให้พวกเขาต้องแก่งแย่งทั้งความเอาใจใส่จากครูผู้ดูแล ลามไปจนถึงอาหารการกินในบางมื้อ
เมื่อความสุขมวลรวมของทุกคนเริ่มเว้าแหว่งและส่อแววแห้งแล้งชัดเจนในสามปีให้หลัง
เด็ก ๆ จึงเริ่มฝันเฟื่องถึงการถูกอุปการะจากพ่อแม่บุญธรรมผู้ใจดีอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน
ทว่าในความเป็นจริง กลับมีเด็กเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สมหวัง แต่ที่น่าเหลือเชื่อก็คือ
เขากับชยินและเพื่อน ๆ ชายหญิงอีกสามคนที่ดูไม่โดดเด่นอะไร กลายเป็นชนกลุ่มน้อยซึ่งได้รับเลือกโดยผู้อุปถัมป์สุดแสนจะใจดีแถมยังมีฐานะมั่งคั่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของบ้านเด็กกำพร้าไกลปืนเที่ยงเด็กแห่งนี้
ธีทัตยังจำวันที่เขาเดินจูงมือชยินก้าวตามหลังเพื่อน
ๆ ออกจากประตูรั้วเก่า ๆ ในฐานะลูกบุญธรรมของคู่สามีภรรยาคหบดีผู้อุปการะสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนั้นได้ไม่ลืม
เพราะเขาทั้งลำพองใจและยินดีเสียเต็มประดาที่ในที่สุดแล้ว ฟ้าก็เมตตา
หยิบยื่นโอกาสที่ดีกว่าให้กับทั้งตัวเขาและน้องชาย
ความเป็นอยู่และการดูแลเอาใจใส่แบบพลิกฝ่ามือทำให้กว่าที่สองพี่น้องจะล่วงรู้ว่า
ผัวเมียใจบุญเป็นเพียงหนึ่งในบรรดาหุ่นเชิดบังหน้าจำนวนมากของนาย อีกทั้งสถานสงเคราะห์ที่อุ้มชูเขาจนรู้ประสา
ที่แท้คือเซฟเฮาส์ที่นายสร้างขึ้นเพื่ออนุบาลตัวอ่อน ‘สินค้า’ สำหรับชำแหละชิ้นส่วนส่งขายให้แก่เหล่าลูกเศรษฐีที่ต้องการอะไหล่ชิ้นใหม่โดยเฉพาะ
ธีทัตกับชยินก็ถูกเลี้ยงดูและสั่งสอนให้หวาดหวั่นจนเข้าขั้นจงรักภักดีกับงานที่นายมอบหมายให้ทำไปเสียแล้ว
ว่ากันตามจริง
ไม่เคยมีสักครั้งที่นายหรือลูกน้องคนอื่น ๆ ของนายลงมือลงไม้กับพวกเขา
หากแต่ความเด็ดขาดราวกับเป็นเจ้าชีวิต และขั้นตอนการประกอบธุรกิจอันอำมหิตบอกใบ้กลาย
ๆ ว่า หากไม่ยอมอุทิศตนเป็นแขนขาให้แก่องค์กร เด็กกำพร้าอย่างพวกเขาก็มีค่าเท่ากับ
‘สินค้า’
มีชีวิตที่รอวันเก็บเกี่ยวเท่านั้น
มีบ้างเหมือนกันที่ภาพความโหดร้ายซึ่งเห็นผ่านตาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันปลุกปั่นให้ธีทัตคิดหนีไปเสี่ยงตายเอาดาบหน้า
แต่ชยินที่ยังเด็กเกินไป
ทำให้เด็กชายธีทัตในวัยสิบสี่ยับยั้งแผนการอันทะเยอทะยานนั้นเอาไว้ ผิดกับเพื่อน ๆ
อีกสามคนที่กระด้างกระเดื่องจนโดนชำแหละแยกชิ้นส่วนส่งขายเพียงไม่นานหลังการอุปการะจอมปลอมจบสิ้น
หากว่าเด็ดดอกไม้แล้วสะท้านสะเทือนถึงดวงดาว
ไฉนเลยการเห็นคนคุ้นเคยกลายเป็น ‘สินค้า’
ต่อหน้าต่อตาจะไม่ปลูกฝังความรู้สึกรักตัวกลัวตายขึ้นในใจ นับตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นต้นมา
ธีทัตก็ยอมสวามิภักดิ์ต่อนายโดยไม่กังขา ไม่ตั้งแง่สงสัย
จึงไม่แปลก
หากในท้ายที่สุดเด็กหนุ่มจะยินยอมพร้อมทำตามดำริของนายอย่างว่านอนสอนง่าย กระทั่ง ยอมให้นายขีดชะตาชีวิตให้กับทั้งตนและน้องชายต่างสายเลือดก็ตามที
“วินมันมีแวว...
ฉันจะให้มันไปหัดเป็นผู้ช่วยหมอตอนเตรียม ‘สินค้า’ ก็แล้วกัน ต่อไปมันจะได้รับช่วงต่อจากหมออีกที ส่วนเรา
ฉันจะส่งเราไปเป็นตำรวจ เราจะได้ไปคอยช่วยประสานงานกับคนใน ฉันจะได้ทำงานง่าย ๆ
หน่อย...ว่าแต่ ชอบเตะต่อยใช่ไหมเราน่ะ โตไปเป็นตำรวจเอาไหม”
“เอาครับ”
“ดี ๆ ฉันรักเราสองคนเหมือนลูกแท้
ๆ อย่าทำให้ฉันผิดหวังเชียวนะ”
“ครับนาย”
แม้การรับปากอย่างแข็งขันในวันนั้นจะเป็นเพียงการให้สัญญาของเด็กหนุ่มอายุสิบหกปีคนหนึ่ง
แต่เมื่อมือของพวกเขาเปื้อนเลือดจนยากจะล้างกลิ่นคาว ธีทัตก็รู้ซึ้งว่า
การฝากความหวังของนาย แท้จริงแล้ว
กินความรวมไปถึงการปกป้องตัวตนที่แท้จริงขององค์กรด้วยชีวิต
ดังนั้น
การโดนจับกุมด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องจนโดนสาวมาถึงกิจการของนาย จึงเท่ากับการทรยศพ่วงด้วยการทำลายสิ่งที่นายเพียรสร้างมาตลอดหลายสิบปี
ซึ่งไม่ว่ามองมุมไหน ธีทัตก็ไม่อาจปล่อยให้เรื่องเหลวไหลเช่นนั้นเกิดขึ้นได้ เพราะแม้คนที่จะโดนหางเลขจากการขยายผลในครั้งนี้จะไม่ใช่นายโดยตรงก็จริง
แต่เสือนอนกินตัวใหญ่จากหลากหลายสาขาวิชาชีพที่ร่วมหัวจมท้ายกับนายคงหนีบทลงโทษจากคดีค้าอวัยวะของผู้บริสุทธิ์ไปไม่พ้น
และต่อให้ธีทัตกับชยินจะเปลี่ยนใจมอบตัวเอานาทีสุดท้าย
แต่จากประสบการณ์ทำงานรับใช้นายมาตลอดสิบกว่าปีก็ทำให้ชายหนุ่มแน่ใจว่า
สายในเครื่องแบบคนอื่น ๆ ของนายจะต้องตามมาฆ่าปิดปากพวกเขาสองพี่น้องก่อนที่ไฟจะลามทุ่งอยู่ดี
ส่วนตัวธีทัตไม่กริ่งเกรงความตาย
แต่ครั้นนึกภาพน้องชายที่เลี้ยงมากับมือถูกปลิดลมหายใจอย่างทรมาน ชายหนุ่มก็ตัดสินใจปิดฉากเรื่องยุ่งเหยิงตรงหน้าได้ทันที
เขาใช้เสี้ยววินาทีที่ยังพอมีเหลือกวาดตามองหน้าเด็กหนุ่มที่จวนเจียนจะคอพับคออ่อนสลบไสลด้วยน้ำมือของสัตยาอยู่รอมร่อพลางพึมพำกับตัวเองเบา
ๆ “วิน... เฮียขอโทษ”
สิ้นเสียงสั่งลา
กระสุนปืนขนาดจุดสามแปดก็วิ่งตัดอากาศพุ่งเข้าฝังในกะโหลกของเป้าหมายอย่างแม่นยำ
และก่อนที่ใครจะไหวตัวทัน
ส่วนปลายของปืนสั้นกึ่งอัตโนมัติกระบอกที่เคยเป่าสมองชยินจนกลายเป็นซากไปเมื่อครู่
ก็เบี่ยงกลับมาจ่อขมับเจ้าของพร้อมกับเสียงลั่นไกที่ดังสนั่นหวั่นไหวในความรู้สึกของผู้เห็นเหตุการณ์ทุกคน
“ไอ้ท็อป!?!!”
***********
“วันศุกร์หน้าค่อยแวะมาตัดไหมที่ศรีษะนะคะ
ยังไงคืนนี้หมอขอให้น้ำเกลือคนไข้ต่ออีกคืนนึง คนไข้ต้องพักผ่อนเยอะ ๆ นะคะ อย่าเพิ่งฝืนใช้ความคิดจนเครียด
แล้วก็อย่าเผลอเกาหรือแกะแผลนะคะ เดี๋ยวถ้าพรุ่งนี้ตื่นมาแล้วไม่มีอาการอะไรแทรกซ้อน
หมอจะอนุญาตให้คนไข้กลับบ้านได้ค่ะ คนไข้กับญาติมีคำถามอะไรอีกไหมคะ”
“ไม่มีครับ”
สัตยาชิงตอบคำถามแทนเด็กหนุ่มที่เอาแต่นั่งมองหน้าแพทย์หญิงเจ้าของไข้รวมถึงนางพยาบาลตาปริบ
ๆ
ภายหลังจากเหตุการณ์ระทึกขวัญในโกดังข้างโรงน้ำแข็งจบลง
ตัวประกันของธีทัตที่สิ้นสติเพราะความตกใจก็ถูกส่งตัวมารักษาบาดแผลที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดทันที
ฝั่งสัตยาที่ไม่คิดจะปล่อยเด็กเมื่อวานซืนให้คลาดสายตาอีกต่อไปจึงต้องกระเตงเจ้าหน้าที่สอบสวนตามมาสอบปากคำกันถึงข้างเตียงคนป่วย
ความอ่อนล้าทำให้อังคารนอนหลับข้ามวัน
กว่าเด็กหนุ่มจะตื่นขึ้นอีกครั้ง เวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงบ่ายคล้อยของวันใหม่ และแน่นอนว่าสิ่งแรกที่เขาสนใจ
หาใช่สภาพร่างกายของตัวเอง หากแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อธีทัตลั่นไกครั้งที่สองแล้วต่างหาก
“สรุปว่าสองคนนั้น...
ตายแล้วจริง ๆ น่ะเหรอ” อังคารส่งเสียงขึ้นทันทีที่หมอและพยาบาลยกขบวนกันออกจากห้องพักฟื้นไปทั้งหมด
“...” นายตำรวจพยักหน้ารับคำพลางถอนหายใจหนักหน่วง
ส่วนคู่สนทนาเองก็มีสีหน้ายุ่งยากใจไม่แพ้กัน
“แล้วเพื่อนคุณไปรู้จักกับไอ้ฆาตกรนั่นได้ยังไง
ไหน... เมื่อวานมันเกิดอะไรขึ้นอีก คุณเล่าให้ผมฟังทั้งหมดเลยได้ไหม”
“เพียร ตั้งใจฟังฉันให้ดี
ๆ นะ” แม้จะหนักใจกับคดีที่ยังไม่คลี่คลาย ซ้ำร้ายยังดูมีเงื่อนงำผิดปกติ
แต่ในเมื่ออังคารมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องยุ่งเหยิงทั้งหมดทั้งที่ไม่เต็มใจ
สัตยาก็ไม่คิดจะปกปิดข้อมูลเท่าที่ตนรู้มา
“พวกพนักงานโรงน้ำแข็งให้ปากคำกับตำรวจว่า
ธีทัตกับชยินคือเด็กกำพร้าที่เจ้าของโรงน้ำแข็งรับมาเลี้ยง แต่เพราะเจ้าของโรงน้ำแข็งทั้งสองเสียชีวิตไปเมื่อปีกลาย
แถมเมื่อสิบกว่าปีก่อน ห้องทำงานของเจ้าของเคยเกิดเหตุไฟฟ้าลัดวงจร
เอกสารสำคัญหลายอย่างถูกเผาไปหมด น้องชายห่าง ๆ ของฝั่งเจ้าของโรงน้ำแข็งที่มารับช่วงกิจการต่อเมื่อต้นปีเลยไม่สามารถให้เอกสารยืนยันความเป็นมาของสองคนนั้นได้
ตำรวจเลยต้องตามไปตรวจค้นที่พักของสองคนนั้นถึงกรุงเทพ”
“... เป็นพี่น้องกันอย่างนั้นเหรอ...”
“อืม ส่วนใหญ่แล้วธีทัตกับชยินจะอยู่กรุงเทพ
จะมีแค่ช่วงปิดเทอมกับช่วงสองเดือนหลังนี่เองที่ชยินกลับมาอยู่บ้านที่เพชร
คนงานเลยได้เจอทั้งชยินและธีทัตบ่อย ๆ แต่ก็ไม่มีคนงานหน้าไหนกล้าถามลูกอดีตเจ้าของหรอกว่าโผล่มาทำอะไรกัน
ที่สำคัญ ปกติแล้วชยินกับธีทัตมักจะเก็บตัวอยู่แต่ในห้องพักด้านในโกดัง
เลยไม่ค่อยมีใครใส่ใจพี่น้องคู่นี้เท่าไร”
คำอธิบายของนายตำรวจช่วยคลี่คลายปมในใจอังคารลงได้บางส่วน
กระนั้นเรื่องที่สำคัญกว่าก็ยังทำให้อังคารว้าวุ่นได้อยู่ดี “แล้วคดีขลุ่ยล่ะ ตำรวจเจอหลักฐานอะไรบ้างไหม”
“นั่นแหละที่น่าแปลก
เพราะนอกจากอุปกรณ์ทางการแพทย์และข้าวของเครื่องใช้ทั่ว ๆ ไปแล้ว พวกพี่เดียร์ก็แทบหาอะไรแปลก
ๆ ไม่เจอ ซ้ำร้ายไอ้โกดังนี่ดันเป็นพื้นที่ส่วนตัวของลูกเจ้าของคนเก่าเลย พนักงานโรงน้ำแข็งเลยบอกไม่ได้ว่า
แต่ละวัน เกิดอะไรขึ้นในโกดังนั้นบ้าง”
“ทำไมพวกตำรวจถึงไม่ขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดล่ะ”
แม้จะตกอยู่ในภาวะคับขัน แต่ขณะที่วิ่งหาทางออกหัวซุกหัวซุนอยู่นั้นเอง อังคารกลับเห็นกล้องวงจรปิดติดอยู่ทั่วไป
เป็นอีกครั้งที่สัตยาทอดถอนใจยาวเหยียดก่อนเฉลยความ
“คิดเหรอว่าตำรวจจะละเลยกล้องวงจรปิด แต่เพราะมันไม่มีข้อมูลอะไรหลงเหลืออยู่ในนั้นเลยน่ะสิ
พวกพี่เดียร์เลยมืดแปดด้านอยู่จนถึงตอนนี้”
“บ้า! เป็นไปได้ไง!”
“ฉันก็ไม่รู้”
จากการพูดคุยกับรุ่นพี่เจ้าของคดีเมื่อช่วงบ่าย สัตยาก็ยิ่งหนักใจแทนหัวหน้าชุดสืบสวนของคดีนี้ไปกันใหญ่
เพราะแม้สถานที่เกิดเหตุจะละม้ายกับห้องผ่าตัดมาตรฐานจนทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ผู้เสียชีวิตทั้งสองน่าจะกระทำความผิดหนักหนากว่าการลักพาตัวเด็กกะโปโลอย่างอังคารมากักขัง
แต่ในเมื่อไม่มีหลักฐานสำคัญใด ๆ คดีนี้อาจจะถูกปิดลงในไม่ช้า
“แล้วตาล่ะ”
อยู่ ๆ อังคารก็นึกถึงของรักของหวงของชยินขึ้นมาได้ “ลูกตาในขวดโหลที่อยู่ในห้องนอนของไอ้ฆาตกรล่ะ
ตำรวจหาเจอไหม” เป็นเพราะแววตาของสัตยามีแต่คำถาม เด็กหนุ่มจึงรีบอธิบายเร็วรี่ “ไอ้วินมันเก็บลูกนัยน์ตาของขลุ่ยเอาไว้เป็นที่ระลึกข้างนึง
ผมเคยเห็นมันลูบ ๆ คลำ ๆ ขวดใส่ตาขลุ่ยในความฝันอยู่บ่อย ๆ ”
“ถ้ามันมีของแบบนั้นจริง
ๆ ป่านนี้ตำรวจคงรู้อะไรมากกว่านี้แล้วล่ะ” สัตยาแบ่งรับแบ่งสู้แม้ภายในใจจะคิดประโยคเลียบ
ๆ เคียง ๆ ที่จะใช้กระทุ้งถามรุ่นพี่ร่วมสถาบันเผื่ออีกฝ่ายจะสนใจจนยอมลงพื้นที่อีกครั้ง
เพราะหากค้นเจอดวงตาอีกข้างของขลุ่ย นอกจากรูปคดีจะเปลี่ยนไปในทางที่เหมาะสมแล้ว
เขายังสามารถจัดงานศพและทำพิธีบำเพ็ญกุศลให้แก่น้องบุญธรรมเป็นครั้งสุดท้ายได้อีกด้วย
“ฮึ่ย! ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ!” อาการหงุดหงิดขณะยกมือขึ้นลูบดวงตาข้างซ้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าของคู่สนทนาทำให้สัตยาอ่านความคิดของเด็กหนุ่มออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
“เพียร
จะให้ฉันเอาความฝันของนายไปเล่าให้พี่เดียร์ฟังไม่ได้หรอก ที่สำคัญ
ความผิดของธีทัตกับชยินมีเพียงการล่อลวง กักขังหน่วงเหนี่ยว
และทำร้ายร่างกายเท่านั้น ตราบใดที่ไม่มีหลักฐานอื่น ๆ โผล่มาชี้ชัดโทษ ตำรวจอย่างเราก็ใช้หลักไสยศาสตร์ทำงานไม่ได้”
“แต่มันน่าหงุดหงิดนี่หว่า
ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร แต่กลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง!” คนป่วยบนเตียงบ่นขรม “ถ้าอย่างนี้ก็แปลว่าขลุ่ยก็ตายฟรีงั้นสิ”
“อย่าเพิ่งกังวลไปเลย
ปล่อยเรื่องนั้นให้ตำรวจเขาจัดการเถอะ” แม้สีหน้าของอังคารจะดูดีกว่าเมื่อวาน แต่การเฝ้าครุ่นคิดถึงสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมอาจทำให้เด็กหนุ่มฟุ้งซ่านจนไม่เป็นอันพักผ่อน
รู้ดังนั้น ผู้กองเคราเฟิ้มจึงชิงตัดบทเรียบง่ายก่อนจะเข้าไปประคองร่างผอมกะหร่องให้ค่อย
ๆ นอนราบลงกับเตียง“นอนต่ออีกหน่อยนะเพียร เดี๋ยวเย็น ๆ ฉันจะปลุกมากินข้าว”
“หลับซะเพียร
นอนเยอะ ๆ ให้สมกับที่อดนอนมาตลอดสองเดือน” แม้จะออกอาการฮึดฮัดอยู่บ้าง
แต่หลังจากฝ่ามืออบอุ่นของสัตยาลูบแผ่วเบาลงบนเรือนผมเนิ่นนาน เปลือกตาของจอมดื้อก็ค่อย
ๆ คลี่ปิดลงอย่างว่าง่าย
***********
เมื่อเห็นห้องสี่เหลี่ยมดูคุ้นตาปรากฏขึ้นตรงหน้า
อังคารก็รู้ทันทีว่าตัวเขากำลังตกอยู่ใต้อำนาจแห่งนิทรารมณ์ ทว่าภาพสองพี่น้องโรคจิตขณะถึงแก่ความตายที่ยังติดตาไม่หายก็ทำให้ความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงต่อความมืดมิดที่โอบล้อมรอบตัวปลาสนาการไปโดยสิ้นเชิง
จะเหลือไว้ก็แค่เพียงความรู้สึกสงสัยว่าเพราะเหตุใดเขาจึงยังวนเวียนติดอยู่ในห้วงความฝันนี้ไม่เลิกรา
ห้องบ้านี่อีกแล้ว...
จะกลับมาทำไมอีกวะ?
“เราพาเพียรกลับมาที่นี่เองแหละ”
ตรงสุดมุมห้อง ร่างของเพียงออที่ส่องประกายสว่างสดใสกำลังยืนคลี่ยิ้มอย่างมีไมตรีส่งให้อังคาร
ซึ่งแทนที่การเผชิญหน้ากับคนตายจะทำให้เด็กหนุ่มตกใจสุดขีดเหมือนที่แล้ว ๆ มา เขากลับวางตัวนิ่งเฉยได้อย่างน่าชื่นชม
“ที่เรามาวันนี้เพราะเราอยากมาขอบคุณและก็มาขอโทษเพียรน่ะ”
ขอโทษเรื่องอะไร
“ก็ขอโทษที่ทำให้เพียรต้องลำบาก
แถมยังต้องเสี่ยงอันตรายเกือบทุกวันไง ถ้าเราไม่ได้เพียรช่วยเอาไว้
เราคงไปไหนไม่ได้เสียที” เพียงออค่อย ๆ ก้าวเดินอย่างช้า ๆ
เพื่อมาหยุดอยู่ตรงหน้าคู่สนทนาที่ยังคงรักษาท่าที
“เราฝากเพียรดูแลพี่เสือแทนเราด้วยนะ
เราเชื่อว่าเพียรต้องดูแลพี่เสือได้ดีกว่าเราแน่ ๆ ... ขอบใจเพียรมาก ๆ นะ
เราต้องไปแล้ว” สิ้นคำ เจ้าของประโยคร่ำลาก็ตวัดวงแขนโอบรอบลำตัวของอังคารเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกซาบซึ้งใจที่ไม่อาจเอ่ยผ่านคำพูดให้อีกฝ่ายได้รับทราบ
และก่อนที่อังคารจะทันทัดทานหรือไถ่ถาม ร่างเรื่อเรืองของเพียงออก็ค่อย ๆ เลือนลางจางลง
ก่อนจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นสายลมเย็นชื่นใจ พัดนำทางสติสัมปะชัญญะของอังคารให้ลอยละล่องไปสู่ห้วงความฝันอันน่ารื่นรมย์ยิ่งกว่า
จวบจนรุ่งอรุณของวันใหม่จะมาถึง
***********
“...ฮื่อ ...” เสียงละเมอไม่เป็นภาษาของคนป่วยที่ดังขึ้นกลางดึกทำให้สัตยาเดินโผเผจากโซฟามาปรือตามองเด็กเลี้ยงแกะถึงข้างเตียง
“ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ”
คนเฝ้าไข้เปรยพลางลูบผมอังคารเบา ๆ เพื่อปลอบประโลมให้คลายกังวล “ฉันอยู่ตรงนี้กับนายแล้วนะเพียร”
สัตยากระซิบข้างหูเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลจนเจ้าตัวเริ่มจะสงบลง
ทว่าจังหวะที่เขากำลังจะผละจากกลับไปนอน คนป่วยกลับลืมตาขึ้นแล้วจับจ้องนายตำรวจไม่วาง
“พี่เสือครับ”
“ขลุ่ย?!” สรรพนามกับท่าทางที่แปลกไปทำให้สัตยาเริ่มแยกแยะความแตกต่างระหว่างเพียงออกับเด็กดื้อได้อย่างรวดเร็ว
“นั่นขลุ่ยใช่ไหม”
“ครับ” เพียงออในร่างอังคารคลี่ยิ้มละไมให้กับคนคุ้นเคย
“ขลุ่ยจะมาลาพี่เสือครับ”
“...หมายความว่า...
”
“ขลุ่ยหมดห่วงแล้วครับพี่เสือ”
“แต่คดีของขลุ่ยยังไม่คลี่คลายเลยนะ”
ต่อให้จะทำใจยอมรับเรื่องเพียงออมาแล้วพักใหญ่ ๆ แต่เมื่อได้ฟังเจตน์จำนงของคนลาลับตรง
ๆ สัตยาก็อดใจหายไม่ได้
“มันถึงเวลาที่ขลุ่ยต้องไปแล้วครับ”
เพียงออเอ่ยเสียงนุ่มก่อนเจ้าตัวจะตบเบา ๆ ลงตรงที่ว่างข้าง ๆ ตัว “พี่เสือขึ้นมานอนเป็นเพื่อนขลุ่ยหน่อยได้ไหมครับ”
หากนี่เป็นคำขอจากน้องชายต่างสายเลือดในวันวาน
เชื่อเถอะว่า สัตยาไม่มีทางโอนอ่อนง่าย ๆ แต่เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าครั้งนี้คือโอกาสสุดท้ายที่ตนจะได้ปลดเปลื้องทุก
ๆ เรื่องที่ติดค้างใจ ชายหนุ่มก็ค่อย ๆ หย่อนตัวลงบนเตียงเดี่ยวของคนป่วยด้วยความระแวดระวัง
ทันทีที่สัตยาเอนหลังลงนอนข้างกัน
เพียงออในคราบของอังคารก็ซุกตัวเข้าหาอ้อมอกกว้างของชายผู้เป็นที่รักด้วยความโหยหา
“ถ้าขลุ่ยทำให้พี่เสืออึดอัด พี่เสือก็คิดเสียว่ากำลังกอดเพียรอยู่ก็ได้นะครับ”
“ก็พี่กำลังกอดเพียรอยู่จริง
ๆ นี่ขลุ่ย”
“หึ ๆ ” หากยังมีชีวิตอยู่
ความเถรตรงจนน่าหมั่นไส้ของนายตำรวจคงทำให้เพียงออสะท้อนใจเกินกว่าจะหลุดขำ วิญญาณในร่างของอังคารส่ายหัวระอากับแผ่นอกหนา
ก่อนจะระบายความในใจสุดท้ายที่อีกฝ่ายควรรับฟัง “พี่เสือเลิกโทษตัวเองเรื่องขลุ่ยได้แล้วนะครับ”
“พี่ขอโทษนะขลุ่ย
พี่คิดกับขลุ่ยมากกว่าน้องชายไม่ได้จริง ๆ ”
“ขลุ่ยบอกแล้วไงครับว่าเลิกโทษตัวเองได้แล้ว
แค่พี่เสือรักขลุ่ย ยอมให้ขลุ่ยเป็นน้องชาย ขลุ่ยก็มีความสุขมากแล้วครับ” เพียงออเอ่ยอย่างจริงใจ
ส่วนอีกฝ่ายที่นิ่งฟังก็กระชับวงแขนโอบร่างของอังคารแน่นขึ้นคล้ายกับต้องการใช้ภาษากายเอ่ยคำขอบคุณ
“แล้วก็หลังจากนี้ พี่เสือต้องดูแลเพียรให้ดี ๆ เพราะกว่าคนเราจะหาคนที่ใช่เจอมันไม่ง่ายเลยนะครับ
รู้ไหม”
“คนที่ใช่เหรอ?
ไอ้ตัวแสบเนี่ยนะ?”
“หึ ๆๆ ครับ”
“ถามจริง?!”
“ครับ ถ้าเมื่อก่อนพี่เสือยุ่งเพราะงาน
ต่อไปพี่เสือจะยุ่งเพราะเพียรจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นอีกเลยล่ะครับ หึ ๆๆๆ ” ลำพังแค่เอ่ยถึงอนาคตของพี่ชายต่างสายเลือดกับว่าที่คนรักเพียงออก็ไม่อาจกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ได้
“ถึงเพียรจะดื้ออยู่บ้าง แต่จริง ๆ แล้วเพียรเป็นคนดีนะครับ ที่สำคัญ เพียรเป็นคนที่พี่เสือจะรักได้โดยไม่ต้องตั้งคำถามว่าใช่ไหม
ถูกคนหรือเปล่า”
“...”
ใจจริงแล้วสัตยาไม่ได้นึกรังเกียจอังคาร กระนั้นความรู้สึกปวดมวนท้องแปลก ๆ ยามเผลอนึกถึงอนาคตที่จะมีเด็กเลี้ยงแกะอยู่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งก็พลันทำให้เขาอ้ำอึ้งจนพูดไม่ออก
“พี่เสือต้องมีความสุขมาก
ๆ นะครับ” เสียงพูดเงียบลงชั่วอึดใจ จนเมื่อเพียงออกลืนก้อนสะอื้นลงในคอได้
ชายหนุ่มก็เอ่ยผ่านน้ำเสียงห้าว ๆ ของอังคารออกมาอีกครั้ง “พี่เสือกับเพียรช่วยมีความสุขแทนขลุ่ยด้วยนะครับ”
“ได้สิขลุ่ย...
พี่ให้สัญญา”
“ขอบคุณครับพี่เสือ
ขลุ่ยดีใจที่ได้เป็นน้องชายของพี่เสือนะครับ” สิ้นเสียงทิ้งท้ายของเพียงออ สัตยาก็กอดร่างผอมแกร็นของเด็กเมื่อวานซืนเอาไว้แน่นก่อนจะค่อย
ๆ ม่อยหลับไปด้วยความอิ่มเอมใจหลังเหตุการณ์เลวร้ายทั้งหลายได้ผ่านพ้น
.
.
.
.
.
.
.
ก็อก ก็อก ก็อก
“อุ๊ย!”
“...ฮื่อ...”
เสียงอุทานด้วยความตกใจตามด้วยเสียงขยับจากตรงข้าง ๆ
เตียงปลุกให้เด็กหนุ่มจำต้องสลัดความรู้สึกอุ่นสบายทิ้งแล้วผงกหัวขึ้นกวาดตามองไปรอบห้อง
สายตาพิพักพิพ่วนของนางพยาบาลที่มองเขาราวกับตัวประหลาดทำให้อังคารก้มลงมองสำรวจตัวเองอย่างช่วยไม่ได้
เพียงชั่วอึดใจ
เด็กหนุ่มก็พบกับต้นตอของปัญหาที่กอดก่ายเขาเอาไว้อย่างหวงแหน แต่แทนที่จะปลุกสัตยาให้ตื่นขึ้นมาบากหน้ารับความอับอายไปพร้อม
ๆ กัน อังคารกลับหันกลับไปสบตากับนางฟ้าชุดขาวแล้วยกนิ้วขึ้นจรดริมฝีปากพลางบุ้ยใบ้ให้อีกฝ่ายงดใช้เสียงโดยเด็ดขาด
เจ้าหล่อนพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเบนความสนใจกลับไปยังหน้าที่ของตน
จวบจนขั้นตอนตรวจสอบปริมาณน้ำเกลือกับเช็กอาการคร่าว ๆ ของคนป่วยลุล่วง
ผู้บุกรุกยามฟ้าใกล้สางก็โหย่งปลายเท้าจากไปอย่างไร้ร่องรอย ปล่อยให้อังคารค่อย ๆ ซุกตัวลงนอนในอ้อมกอดอุ่น
ๆ ของนายตำรวจพร้อมรอยยิ้มที่ระบายอยู่เต็มหน้า
***********
“อ่ะไอ้หนู
เอาไอ้นี่ไปเผาให้เกลี้ยงทีซิ”
“...แต่...” เด็กชายก้มลงมองหลอดแก้วที่ตนประคองอีกครั้งอย่างลังเล
ดวงตาสีเขียวอมเทาที่ลอยเท้งเต้งอยู่ในนั้นทำให้เขาไม่มั่นใจว่าควรปฏิบัติตามคำสั่งของอีกฝ่ายดีหรือไม่
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เด็กเฝ้าเตาเผาถ่านอย่างตัวเขาจะต้องเผาอย่างอื่นที่ไม่ใช่ท่อนไม้
“ไปสิ! อย่าชักช้า”
“ครับ” สุดท้ายแล้วน้ำเสียงเด็ดขาดของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านายก็สั่งให้อดีตเด็กกำพร้าหมุนตัวเดินจากไปทำตามคำบอกโดยไม่ทันตระหนักว่า
เส้นทางของการเป็นผู้รักษาความลับสุดยอดขององค์กรคนใหม่ของตนได้ถูกขีดขึ้นเสียแล้ว
*****|| THE END ||*****
เราต้องขอโทษด้วยหากตอนจบของเรื่องไม่เป็นอย่างที่หวัง
แถมยังไม่มีฉากหวานชื่นระหว่างพระ
–
นายอีกต่างหาก
แต่เพราะเดิมที เราตั้งใจเน้นด้านสืบสวนสอบสวนและสยองขวัญเป็นหลัก
เราจึงตัดสินใจไม่เขียนพล็อตช่วงสวีทหวานให้ตัวเอกทั้งสองสักเท่าไร
อย่างไรก็ดี หากนิยายเรื่องนี้ได้รวมเล่ม
เราจะพยายามเข็นตอนพิเศษที่หวาน
(กว่านี้) ออกมาให้อ่านกันนะคะ
ขอบคุณสำหรับทุก ๆ
กำลังใจและคอมเมนท์อันแสนวิเศษ
หวังว่าเราจะได้พบกันใหม่
เร็ว ๆ นี้ค่ะ ^^