Monday, March 28, 2016

«♥» บน บานฯ สาน รัก «♥» The 16th Bonding & ประกาศ || 29.03.2016



...ประกาศ...
เรามีเรื่องมาแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันค่ะ
ตลอดทั้งเดือนเมษา เราจะพักการลงนิยายในเล้าเป็นเวลาหนึ่งเดือนนะคะ
เนื่องจากเราจะออกเดินทาง รวมทั้งมีเรื่องส่วนคั่งค้างที่ต้องไปจัดการให้เสร็จโดยเร็ว
ขออภัยที่เราต้องทำให้ทุก ๆ ท่านต้องตั้งตารอการกลับมาของนิยายเรื่องนี้นะคะ
อย่างไรก็ดี... หากธุระส่วนตัวของเราเสร็จสิ้นก่อนสิ้นเดือนหน้า เราจะรีบกลับมาทันทีค่ะ
ด้วยความเคารพ และรักคนอ่านทุก ๆ ท่านอย่างสุดซึ้ง



«»------------------------------------------------------------------------------------«»




The 16th Bonding
ห๊ะ?!...




“พี่ริน”

“ครับ?” ทันทีที่ได้ยินเสียงขานเรียกดังขึ้นจากฝั่งโต๊ะเขียนแบบตัวข้าง ๆ ที่เพิ่งถูกย้ายเข้ามาวางครองพื้นที่อีกฝั่งหนึ่งของมุมทำงานเมื่อช่วงโพล้เพล้ ว่าที่นายสัตวแพทย์ก็ละสายตาจากตำราภาษาอังกฤษเล่มหนาเพื่อหันไปจับจ้องเสี้ยวหน้าของเด็กสถาปัตย์ที่เพิ่งหลุดออกภวังค์แห่งการขีดเขียนเป็นครั้งแรกตั้งแต่ราว ๆ เมื่อเกือบสามชั่วโมงก่อน

“หามาม่ากินกันเถอะ!” สายตาจริงจังแน่วแน่บอกใบ้ให้สารินรู้ว่า หนุ่มแว่นไม่ได้พูดเล่น ๆ ทว่าโดยปกติวิสัย สารินเป็นพวกไม่เน้นกินเครื่องกระป๋อง ของแห้ง หรืออาหารสำเร็จรูปมากนักเจ้าตัวจึงไม่เคยซื้อของกินจำพวกนี้ติดห้องเอาไว้ ความต้องการของหลานอาม่าใหญ่ ณ เวลาที่ร้านขายของชำข้างล่างปิดทำการแล้วย่อมนำมาซึ่งความลำบากใจให้แก่คนเป็นพี่อย่างที่สุด

“ห้าทุ่มกว่าแล้วจะไปหามาม่ามาที่ไหนกินได้อีกล่ะครับ?... เอางี้  พี่อุ่นนมให้กินรองท้องไปก่อนดีไหม?” พ่อหมีโพลาร์หวังว่าตัวช่วยชั้นดีที่ตนใช้บรรเทาความหิวตลอดฤดูอ่านหนังสือเตรียมสอบจะเป็นทางออกให้แก่ปัญหาปากท้องตรงหน้า ทว่าเด็กหัวไข่กลับเอาแต่ใจมากกว่าที่คิด

“หึ!” รุ่นน้องต่างคณะส่ายหัวดิกพลางกอดอกทำหน้านิ่วคล้ายไม่ได้ดั่งใจ “กินอย่างอื่นให้ตายก็ไม่หายอยากหรอก วินาทีนี้ร่างกายแนนเรียกร้องน้ำซุปรสผงชูรส กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้น!

“งั้นแนนรอพี่เดี๋ยวนะครับ พี่จะขับรถออกไปซื้อมาม่าที่เซเว่นตรงตลาดให้” ในเมื่อน้องเปรี้ยวปากอยากจะกินเสียให้ได้ ชายหนุ่มผู้ปรนเปรอเด็กแว่นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร ก็ไม่คิดจะขัดใจกระทั่งพยาธิในตัวรุ่นน้องหน้าใสเลยสักนิด กระนั้น สกลกลับคว้าข้อมือใหญ่เอาไว้ก่อนจะออกคำสั่งยับยั้งความตั้งใจของว่าที่นายสัตวแพทย์พร้อมทำตาเป็นประกายวาววับ

“หึ! ไม่ต้อง!

“อ้าว?! ทำไมล่ะครั...”

“ไปกินมาม่าหม้อไฟห้องแฝดกัน!” หลานอาม่าใหญ่ยิ้มกว้างพลางสรุปเสียงดังฟังชัด

“จะดีเหรอครับ?”

“เถอะน่า!” สกลผุดลุกขึ้นแล้วจูงร่างสูงใหญ่ให้เดินดุ่ม ๆ ตามหลังกันออกจากห้องไปโดยไม่เปิดโอกาสให้รุ่นพี่สัตว์แพทย์ได้ลังเล




“ทุกโคนนน... ต้มมาม่ากินกันเถอะ!” หนุ่มแว่นป่าวร้องทันทีที่ตบเท้านำหน้าสารินเข้าสู่ใจกลางส่วนโถงรับแขกของห้องดูเพล็กซ์ตรงข้าม ถ้าไม่ติดว่ากลัวจะดูมารยาททรามจนเกินไป เขาคงไม่คิดเคาะประตูหน้าห้องแบบแกน ๆ เมื่อสักครู่ให้เสียเวลาทำมาหากินหรอก

“เออ! ก็ดี! พี่ฌานก็เริ่มตื้อแล้วเหมือนกัน” แฝดพี่บิดขี้เกียจพอเป็นพิธี ตามด้วยกดปลายนิ้วนวดหัวคิ้วเบา ๆ แล้วจึงวางมือจากแบบร่างบนโต๊ะแล้วจึงเดินไปส่องความคืบหน้าของน้องชาย กับชายกลางที่นั่งจับเจ่าเฝ้ากระดานวาดรูปอยู่กันคนละมุมห้อง

“บ๊วยยย! เราอยากกินมาม่าหม้อไฟ บ๊วยทำให้กินหน่อยดิ” หนุ่มแว่นปราดเข้าไปยืนค้ำหัวลูกแม่บัวข้าง ๆ ร่างทรงหนุ่มเพื่อหวังกดดันให้อีกฝ่ายยอมทำตามใจหลังจากได้ไฟเขียวจากหัวหน้าใหญ่ไปสด ๆ ร้อน ๆ  แต่อดีตเดือนมหาลัยกลับไม่ยอมอ่อนข้อปล่อยให้ใครมาทำกร่างใส่คนรักของตนได้ง่าย ๆ

“ให้มันน้อย ๆ หน่อยหนูแนน! แฟนพี่... พี่อ้อนได้คนเดียว!!” เก็กคว่ำหน้าหนังสือการ์ตูนลงกับพื้นแล้วยกนิ้วขึ้นชี้หน้าอ้ายตัวเหิมเกริมพลางแสยะยิ้ม

“หรือพี่หมีจะไม่กิน?! คนเห็นผีเพิ่มสเต็ปจิกปลายเท้าพลางลอยหน้าถลึงตาใส่หนุ่มรูปงามที่สุดในมหาลัยสมัยที่แล้วพร้อมเอ่ยสวนทันควันอย่างเหนือกว่า ด้วยเพราะแน่ใจว่าเดือนสายแดกอย่างธันวามักจะซื้อหาด้วยของกินได้อยู่แล้ว... ยิ่งเมื่อเป็นอาหารฝีมือบ๊วยด้วยแล้ว อีกฝ่ายย่อมไม่มีวันปฏิเสธ

“กิน!” อริยะตรัยผู้น้องกลับลำอย่างหน้าไม่อายระหว่างฉวยกระดานและอุปกรณ์ในมือคนรักไปจัดวางอย่างเป็นระเบียบบนโต๊ะตัวใกล้ ๆ พลางออดอ้อนชายกลางเสียงอ่อนเสียงหวาน “บูบู้ครับ เค้าอยากกินมาม่าฝีมือบูบู้ที่สุดเลยครับ”

“ครับ ๆ รอเดี๋ยวนะครับพี่หมี” ลูกแม่บัวรับคำด้วยรอยยิ้มสะกดหัวใจ จากนั้นจึงตะโกนถามแฝดน้องที่นั่งห่างออกไปอีกมุมห้อง “ฌอน ในตู้เย็นพอมีของสดเหลือบ้างหรือเปล่า?”  

“ถ้ากินกันหมดนี่ก็ไม่น่าจะพอ” ฌอนที่วางมือจากการบ้านได้สักพักเอี้ยวตัวไปจัดท่าให้คนตัวเล็กกว่าที่นั่งอิงแอบอยู่ข้าง ๆ ดูซีรีส์ได้สบายยิ่งขึ้น

“งั้นกินแต่มาม่าได้ไหมล่ะ? พี่ฌานเห็นอิ๊กซื้อมาตุนเอาไว้หลายลังอยู่” ฌานเสนอทางออกพลางชำเลืองมองอคิราที่เสียบหูฟังกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหลังฌอนจ้องไอแพ็ดตาแป๋วไม่ยุ่งกับใคร แต่นั่นกลับไม่ใช่คำตอบที่หลานอาม่าใหญ่รอฟัง

“ไม่ได้นะครับพี่ฌาน มาม่าหม้อไฟในตำนานต้องอลังการงานสร้างท็อปปิ้งเปรี้ยงเส้นปังเท่านั้น... ไม่งั้นไม่หายอยาก!

“อย่าเรื่องมากได้ไหมแว่น? มีมาม่าแถมมีคนต้มให้ก็น่าจะพอใจได้แล้วนะ” ฌานส่งสายตาตำหนิเพื่อนหัวไข่พลางถอนหายใจยาว

“ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา! น้องอยากกินมาม่าหม้อไฟแบบแหล่ม ๆ ไม่แหล่มน้องไม่กิน!”  

“เออดี! งั้นก็อดไป! แฝดน้องปาหมอนอิงใส่เพื่อนเพื่อเพิ่มเอฟเฟคความโหดร้ายให้กับคำพูดอีกหลายเท่าตัว ฝ่ายที่โดนขัดใจเอนตัวหลบได้อย่างเฉียดฉิวพลางแหกปากส่งเสียงกรรโชกใส่เพื่อนรักหัวจุกอย่างไม่จริงจังนัก

ฌอนศรี!

“เดี๋ยวพี่ลองไปหาของสดที่ห้องดูก่อนดีกว่าครับ แต่อาจจะมีไม่มากนะ” สารินรีบแทรกกลางเพื่อบรรเทาบรรยากาศอันเร่าร้อนระหว่างสองขั้วอำนาจ

“ผมไปด้วยดิพี่!” เก็กขันอาสาอย่างร่าเริง จากนั้นทั้งสองก็เดินหายลับออกจากห้องไปปล่อยให้เด็กปีสองหัวไข่กับหัวจุกประชันประกายไฟในดวงตากันอย่างบ้าระห่ำจนไม่เป็นอันทำอย่างอื่น  




“นี่ครับบ๊วย พี่ว่าน่าจะพอกล้อมแกล้มนะครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์วางถุงใบใหญ่เต็มไปด้วยของสดนา ๆ ชนิดที่แบ่งมาจากเสบียงที่เจ้าตัวมักจะตุนเก็บไว้เป็นรายอาทิตย์

“อืม... เดี๋ยวผมต้มเส้นเพิ่มอีกสักสองซองก็ได้ครับ กินเส้นเยอะหน่อยก็น่าจะไหวอยู่” บ๊วยตอบพลางประเมินของสดเท่าที่พอหาได้จากตู้เย็นทั้งสองห้อง

“พี่ริน แล้วพี่หมีล่ะ? พี่รินทิ้งพี่หมีไว้ในห้องเหรอ?” หนุ่มแว่นซึ่งโดนสารินควงแขนให้เดินตามกันเข้ามาในครัว หลังจากเอาแต่ยืนจ้องตากับแฝดน้องจนคนโตกว่าหางตากระตุกเปรยด้วยสีหน้าติดใจสงสัย อีกฝ่ายจึงอธิบายอย่างรวดเร็ว

“เปล่าครับ พอออกจากห้องเก็กก็วิ่งขึ้นบันไดไป เห็นบอกจะไปเอาเบคอนกับไส้กรอกในตู้เย็นห้องเต๋อน่ะครับ”

“พวกมึงกล้ามากนะที่ส่งตัวแทนไปแซงค์ของกินในตู้เย็นห้องกูลงมาสำเริงสำราญกันโดยไม่ขออนุญาตพวกกูก่อน” ก่อนที่ใครจะได้ซักไซ้อะไรเพิ่มเติม เสียงเปิดประตูผางกับเสียงทักทายดังลั่นจากร่างสันทัดหน้าห้องก็ทำให้เกือบทั้งหมดหันขวับไปมองรอรับขาใหญ่ที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในห้อง

เฮ่ย! เฮียฟู!”คนเห็นผีหลุดปากอุทานด้วยไม่คิดว่าแฟนร่างเล็กของเจ้าบ้านชั้นบนสุดจะตามลงมาสมทบโดยไม่ต้องเปลืองธูปเปลืองไฟจุดไหว้อัญเชิญแถมที่น่าแปลก คือ ไม่มีหมีสองตัวคอยเดินตามประกบเป็นเงาเหมือนทุกที ส่วนเก็กที่โดนสวดยับมาตลอดทางก็ยังจะเถียงพี่ชายให้ได้ถ้วยพระราชทานมาครอง

“โธ่เฮีย พี่เต๋อยังไม่ว่าอะไรเก็กสักคำเลยนะ!”  

“ไม่ต้องเลย! เดี๋ยะ เดี๊ยะ... เดี๊ยวกูจะโบกให้!” กรกฏขู่พลางยกหลังมือชูผ่านหน้าน้องแท้ ๆ จนอีกฝ่ายผงะ ก่อนจะละสายตาไปเฝ้ามองขวัญใจคนใหม่ของตน “บูบู้ มึงจะต้มมาม่าเหรอ? ต้มเผื่อกูด้วยดิ”

“ดึกป่านนี้แล้วเฮียยังไม่นอนอีกเหรอครับ?” ลูกแม่บัวผู้ครองตำแหน่งน้องชายคนใหม่ของรุ่นพี่วิศวะปีสามเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยตามปกติ ชายหนุ่มรุ่นพี่ยิ้มแหยพลางระดมความคิดหาคำตอบดี ๆ ที่จะยุติความน่าสงสัยของการปรากฏกายอย่างแปลกประหลาดของตนได้ในคราวเดียว
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“พอดีกูเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคืนนี้มีถ่ายทอดบอล กูเลยลงมาหาอะไรแดกพลาง ๆ ระหว่างรอน่ะ” คำโป้ปดของกังฟูยิ่งฟังน่าสงสัยเมื่อหนุ่มปีสามเสียเวลาไปกับการทอดสายตาคร่าวิญญาณจวกอดีตเดือนมหาลัยที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่โดยไม่พูดอะไรสักคำจนเกินพอดี

“คู่ไหนเหรอเฮีย? พรีเมียร์ลีกเตะเสาร์อาทิตย์ไม่ใช่หราาา?” อริยะตรัยผู้น้องไม่ปล่อยให้พี่ชายลอยนวลง่ายดายอย่างที่อีกฝ่ายเผลอเข้าใจ... ริจะโม้ก็ต้องโวอย่างมีศิลปะและแนบเนียนกว่านี้นะเฮีย หึ หึ

จะคู่ไหนมันก็เรื่องของกู! กูไปนั่งดูบนหัวมึงหรือไงไอ้น้องเหี้ย?” แน่ล่ะ... เมื่อตระหนักว่าเริ่มจะต้านทานความหน้าด้านของคนที่คลานตามก้นกันต้อย ๆ ไม่ได้ ผู้เป็นพี่จึงอาศัยอาการเหวี่ยงไม่สนหัวใครมาเป็นมาตรการแรกเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกซักฟอกจนแพ้พ่ายทันทีโดยไม่ได้นึกระแวงว่าน้องในไส้จะงัดไพ่ตายออกมาสู้

“เปล๊า! เก็กแค่อยากแน่ใจว่าเฮียไม่ได้ลงมาเพราะอายที่เก็กดันไปเห็นหนังส... โอ๊ยเฮีย! เก็กเจ็บนะเว่ย!” ยังไม่ทันจะได้เปิดปากแฉพี่ชายให้ทุกคนฟังเลยว่า ภาพวาบหวามของสามรุ่นพี่ที่ฉายเรียกน้ำย่อยด้านหลังประตูเพนท์เฮาส์เมื่อไม่ถึงสิบนาทีที่แล้วน่าตื่นเต้นเพียงใด หนุ่มวิศวะรูปงามก็โดนพี่ชายเตะหน้าแข้งเข้าให้อย่างจังจนเจ้าตัวเผลอสูดปากพลางกระโดดกระย่องกระแย่งไปรอบ ๆ พร้อมกับยกหน้าแข้งขึ้นถูยิก ๆ

ถ้ายังไม่เลิกปากดี มึงเจอหนักกว่านี้แน่!” กรกฏชี้หน้าพลางคาดโทษผู้เป็นน้องอย่างโกรธเกรี้ยว ชายกลางจึงรีบถามขัดตาทัพห้ามศึกสายเลือดไม่ให้ลุกลาม

“แล้วพี่เต๋อกับพี่ด้วงล่ะครับเฮีย... จะลงมากินด้วยกันหรือเปล่า? ผมจะได้เตรียมเครื่องเผื่อให้พอดีคน” ขณะลูบและเป่าหน้าขาให้คนรักไม่รามือ บ๊วยก็ตั้งตารอฟังคำตอบของหนุ่มรุ่นพี่ไปพร้อม ๆ กัน  นั่นจึงทำให้ลูกแม่บัวได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นสีเดียวกับลูกตำลึงสุกในชั่วพริบตาเดียว  

“...อืม... เดี๋ยวพวกมันลงมา” กรกฏส่งเสียงอ้อมแอ้มได้เพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เพราะเมื่อเหลือบไปเห็นเก็กเชิดหน้ากลอกตาใส่คล้ายจะกระเซ้าเย้าแหย่ โทสะก็เข้าครอบงำชายหนุ่มรุ่นพี่จนโกรธหน้าดำหน้าแดง “อะไร?! ไปเลย! มึงไปช่วยบูบู้เตรียมของเลย! ไม่ต้องมาจ้องกู!!




“พี่เต๋อกับพี่ด้วงทำอะไรอยู่เหรอครับ ทำไมถึงเพิ่งลงมา” ฌอนยิงคำถามใส่รุ่นพี่ปีสามทั้งสองซึ่งเพิ่งตามมาร่วมวงมาม่าไม่ผิดจากที่ธันวาเสี้ยมสอนโดยไม่รอให้ใครได้ตั้งตัว

“พวกกูเพิ่งอาบน้ำเสร็จน่ะ” ธันวาแสร้งกระแอมแซะทันทีที่ได้ยินคำของตรินจนกรกฏอดรนทนนิ่งเฉยไม่ได้อีกต่อไป  

ไอ้สัดเก็ก!” อริยะตรัยผู้พี่ตะคอกน้องชายแถมยังเพื่อแผ่ความใจกว้างมาถึงรุ่นน้องส่วนใหญ่ที่เริ่มจะสนอกสนใจบรรยากาศไม่ลงรอยกันของสองพี่น้องมากขึ้นทุกที ๆ “มองอะไร แดก ๆ กันเข้าไปสิ หิวนักไม่ใช่หรือไง?

“เฮียฟูเป็นอะไรหรือเปล่าครับ? ทำไมเฮียฟูดูลุกลี้ลุกลน ตาขวาง ๆ หางตก ๆ แปลก ๆ ?” ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ คงจะมีแต่เด็กเต็กหัวไข่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังสามารถวิ่งฮัมเพลงลั้นลาพร้อมกับแกว่งตะกร้าดอกลาเวนเดอร์ถลาเข้าลอดบ่วงไฟได้อย่างระริกระรี้ไม่มีใครเกิน   

ก้มหน้าก้มตาแดกไปเลยไอ้แนน ไม่มีใครอยากได้ยินเสียงมึง!” ค่าที่ไม่อาจปล่อยให้ใครขุดคุ้ยเรื่องลับ ๆ ในครัวเรือนของตนได้ กังฟูจึงตอกกลับสกลเสียหน้าหงายอย่างไร้เมตตาในหมัดเดียว  ฝ่ายอคิราที่เมื่อได้ลิ้มลองรสชาติอร่อยเด็ดถึงใจของมิดไนท์มาม่าจนเลิกเพ้อหาลอนกล้ามหน้าท้องของจุงกิได้ในชั่วพริบตา ก็กลับมาทำหน้าที่นกสองหัวลิ้นสองแฉกสุดชั่วช้าต่อโดยพลัน

“โอ๊ะ จริงสิ! ตั่วเฮียครับ ตั่วเฮียรู้เรื่องที่แนนซี่หอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่กับฮยองแล้วหรือยังครับ? แนนซี่เพิ่งควงแขนฮยองมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวกับพวกเราเมื่อเย็นนี้เองนะคร๊าบบบ” อดีตเดือนบริหารจีบปากจีบคอรายงานความคืบหน้าล่าสุดของว่าที่คู่รักคู่ใหม่ที่เป็นขี้ปากของใครต่อใครในกลุ่มตลอดหลายวันที่ผ่านมา

“หืม?! ยังไงไอ้แนน? จริงอย่างที่ไอ้อิ๊กมันว่าหรือเปล่า?” รุ่นพี่ปีสามร่างเล็กยกยิ้มอย่างโล่งอกเมื่อตนเองหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ได้อย่างหวุดหวิด พลางคาดหวังท่าทางอยู่ไม่สุขและสีหน้ากระอักกระอ่วนชวนหัวจากเด็กแว่นเป็นรางวัล กระนั้น... ปฏิกิริยาของหลานอาม่าใหญ่กลับอยู่เหนือความคาดหมายของอริยะตรัยผู้พี่ไปไกลโพ้น

“ครับเฮียฟู ผมย้ายไปอยู่กับพี่ริน แต่เฉพาะวันธรรมดานะครับ เสาร์อาทิตย์ผมก็กลับมานอนที่นี่เหมือนเดิม” เนื่องจากผ่านด่านอรหันต์ห่าคำถามของเหล่าสมุนเลวทั้งหลายมาได้ตั้งแต่เมื่อตอนเย็น เด็กสถาปัตย์หัวไข่จึงไม่อนาทรร้อนใจเมื่อต้องให้ข้อมูลแก่พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยอีกครั้ง

อย่างไรก็ดี... เสียงกระแอมเพียงเบา ๆ ของหมีโพลาร์ที่นั่งเบียดอยู่ข้าง ๆ กลับทำให้สกลต้องแก้ไขใจความที่เขาเพิ่งเอื้อนเอ่ยออกไปให้ถูกต้องโดยเร็ว “ผมจะกลับมานอนที่นี่ทุก ๆ เสาร์อาทิตย์ที่พี่รินกลับบ้านน่ะครับ”
.
.
.
.
.
.
.
.

“งั้นเรอะ?! แล้วไอ้ตัวไหนที่นั่งทำหน้าเหมือนจะตายตอนที่บอกพวกกูว่าไม่อยากไปอยู่กับผู้ชายเมื่อวาน?” กรกฏนิ่งไปพักใหญ่ด้วยไปไม่เป็น แต่สุดท้ายเมื่อเห็นช่องแหย่สกลให้เสียสูญ รุ่นพี่ก็ไม่ละความพยายาม... ความสนุกของการกระเซ้าเด็กแว่นหน้าขาว มักจะเกิดขึ้นเมื่ออีกฝ่ายบ้าจี้ไหลตามน้ำอย่างไร้สตินี่แหละ

ผมไม่ได้พูดเสียหน่อยว่าผมไม่อยากไปอยู่กับพี่ริน!

“หนอย! อย่ามาโกหกกูเสียให้ยาก! มึงเองไม่ใช่หรือไงที่บอกพวกกูว่า มึงคอยหาทางเลี่ยงไม่ตอบคำถามรินตลอดเช้าสายบ่ายค่ำ... ถ้ามึงอยากอยู่กับเขาแต่แรก แล้วทำไมต้องเรื่องมากด้วย? โก่งค่าตัวหรือไง?” แฟนหมีปีสามทั้งสองหรี่ตามองพลางจี้จุดเด็กเต็กรุ่นน้องอย่างจองหองพองขนจนเหยื่อที่โดนไล่ต้อนพลัดตกหลุมที่นายพรานและสมุนขุดล่อเอาไว้อีกครั้ง

“ก็ถ้าเฮียฟูไม่ไซโคผมปาว ๆ จนคิดอะไรไม่ออก ผมก็คงบอกพี่เต๋อไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะครับว่า ผมอยากย้ายไปอยู่กับพี่รินจะแย่ เฮ่ย!

“ฮั่นหน่อว! ในที่สุดคนร้ายก็ยอมรับสารภาพแล้วครับผ้มมม!” ธันวาดัดเสียงพลางทำหน้าล้อเลียนผสมโรงกับพี่ชายอย่างลื่นไหล อีกฝ่ายจึงเสหลบตาสารินที่นั่งยิ้มแก้มแทบแตกอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะตีหน้านิ่งวางท่าไม่รู้ไม่ชี้แล้วเหวี่ยงแหใส่เพื่อนสนิทที่คบหากันมาตั้งแต่เด็กเสียอย่างนั้น

“เมื่อกี๊ใครพูดอะไร?!... ห๊ะ? ใครพูดอะไรหรือเปล่า? บ๊วย! เมื่อกี๊นายพูดใช่ไหม?!

“งั้นเหรอ? โทษที ๆ หนูแนน สงสัยเมื่อกี๊พี่คงหูฝาดไปหน่อย... มึงว่ากูหูฝาดหรือเปล่าวะฌอน?” อดีตเดือนมหาลัยขยิบตาให้เพื่อนซี้ต่างคณะรับช่วงต่อ

(...ผมอยากย้ายไปอยู่กับพี่รินจะแย่ เฮ่ย!...ผมอยากย้ายไปอยู่กับพี่รินจะแย่ เฮ่ย!...ผมอยากย้ายไปอยู่กับพี่รินจะแย่ เฮ่ย!...) แฝดน้องผู้ไม่พูดพล่ามคำใดยืดอกทำทีอวดเบ่งอย่างน่าหมั่นไส้หลังจากกดเปิดคลิปเสียงที่เพิ่งอัดเสร็จใหม่ ๆ ให้เล่นวนครั้งแล้วครั้งเล่า

ฌอนศรี! ทำไมฌอนศรีทำกับผมแบบนี้ล่ะครับ?!” หลานอาม่าใหญ่แทบจะทิ้งตัวลงดีดดิ้นไถไปกับพื้นด้วยความอับอายเหลือคณานับ... ลำพังโดนหลอกล่อให้พูดความรู้สึกก็รวดร้าวเกินจะทานทน แต่นี่ดันมีหลักฐานประจานตัวเองไปจนตายแบบที่ไม่สามารถทำลายทิ้งได้ด้วยนี่สิ!

(...ผมอยากย้ายไปอยู่กับพี่รินจะแย่ เฮ่ย!...ผมอยากย้า... ) ฌอนยกยิ้มมุมปากพลางยักคิ้วข้างเดียวยั่วยุเพื่อนหน้าแว่นให้ธาตุไฟแตกซ่านอย่างว่องไว ซึ่งไม่ว่าเมื่อไร... ก็ดูจะได้ผลกับสกลอยู่เสมอ  

ปิดเดี๋ยวนี้เลยนะ!! ผมบอกให้ปิดไง!

“ไอ้หัวจุก ปิด ๆๆ แดกให้เสร็จก่อน แล้วมึงจะมิกซ์เป็นเพลงทีหลังยังไงกูก็ไม่ว่า” พี่รหัสบ๊วยต้องเข้ามาช่วยห้ามมวยระหว่างเพื่อนรักทั้งสองอีกคำรบ เมื่อเห็นสายตาอาฆาตกับท่าทางพร้อมตะกายข้ามโต๊ะกินข้าวไปฉกเอาโทรศัพท์ในมือแฝดน้องมาเขวี้ยงทิ้งของเด็กแว่นหัวไข่ตรงหน้า

“หึ หึ หึ ปิดก็ได้ครับพี่เต๋อ”




“พี่พาน้องกลับไปนอนก่อนดีกว่าครับ” สารินเอ่ยกับเจ้าของห้องขณะค่อย ๆ โอบประคองเด็กน้อยตาปรือให้เดินตามกันไปยังประตูห้อง

“อ้าวแว่น! ฟอร์มตกเหรอไง? สงสัยจะไม่ได้โต้รุ่งนาน  เฮ่ย! ไม่ได้นะ... เดี๋ยวช่วงงานเข้าจะตายเอานะเว่ย” อาการตัวเหลวเป๋วจนต้องเอนซบอกรุ่นพี่ต่างคณะของหนุ่มแว่นทำให้แฝดพี่อดใจแซวไม่ได้

“...ฮื่อออ!!...” คนตาจะปิดรอมร่อที่โดนฤทธิ์ของมาม่าหม้อไฟทำลายคุณสมบัติปากไวก็ได้แต่ส่งเสียงฮึ่มฮั่มอย่างไม่ชอบใจพร้อมทำหน้าหงิกใส่เพื่อนรักโทษฐานก่อกวนไม่รู้จักเวล่ำเวลา


“เมื่อคืนน้องช่วยพี่ดูลูกหมาจนไม่ได้นอนน่ะครับฌาน แถมวันนี้ยังนั่งทำงานต่อไม่หยุดตั้งแต่เมื่อเย็น เพิ่งได้พักตอนกินมาม่านี่แหละครับ” สารินโอบกระชับร่างน้องให้แนบใกล้พลางอธิบายความเป็นมาของอาการงัวเงียไม่มีสาเหตุของหลานอาม่าใหญ่โดยไม่รอรี

“พอเป็นเรื่องหมานี่ถวายหัวตลอดเลยนะแว่น... เฮ่อ!” คราวนี้แฝดพี่ถึงกับผ่อนลมหายใจยาวเหยียดเมื่อรู้ว่าหมาเป็นเหตุจูงใจทำให้สหายหัวไข่ทำอะไรเกินตัว ก่อนจะส่ายหัวอย่างอ่อนอกอ่อนใจเมื่อคนใกล้หลับยังมีหน้าต่อปากต่อคำ

“...ยุ่งงง!...” ว่าที่นายสัตวแพทย์หลุดหัวเราะกับความพยายามต่อสู้ที่น่าเอ็นดูของเด็กน้อยในวงแขนตน  

“พี่ริน ผมฝากเพื่อนด้วยนะครับ” ร่างทรงหนุ่มปรับอารมณ์เข้าสู่โหมดจริงจังในชั่วพริบตา ก่อนจะเอ่ยต่ออย่างช้า ๆ ด้วยเสียงเนิบ ๆ

“แว่นมันก็เป็นเสียแบบนี้แหละครับ ลองว่ารักอะไร ก็ทุ่มหมดหน้าตักจนน่าเป็นห่วง...
.
.
...ที่ผ่านมา พวกผมไม่ค่อยอะไรกับแว่น เพราะเห็นวัน ๆ วุ่นอยู่แต่กับหมาแล้วก็เข้าวัดทำบุญ...
...แต่พอพี่เข้าหาเพื่อนผมทั้ง ๆ ที่ดูเผิน ๆ แล้วพี่กับแว่นไม่น่าจะไปกันได้ พวกผมก็ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้แน่ใจว่า พี่รินจะไม่ทำเพื่อนผมเสียใจจริงทีหลัง... หวังว่าพี่รินจะเข้าใจและไม่ถือสาพวกผมนะครับ”

“ครับ พี่เข้าใจ และก็ขอบคุณฌานและทุก ๆ คนมากจริง ๆ ถ้าไม่ได้ทุก ๆ คนช่วย น้องคงไม่ยอมย้ายมาอยู่กับพี่เร็วขนาดนี้หรอกครับ” รุ่นพี่ปีสามเอ่ยด้วยความซาบซึ้งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ได้ทั้งหมดช่วยเหลือตน ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ดังเช่นบทสนทนาบนโต๊ะอาหารมื้อล่าสุด  

ฌานสบสายตามองว่าที่นายสัตวแพทย์อย่างลึกซึ้งราวกับเห็นก้นบึ้งของจิตใจ พลางตอบรับคำขอบคุณของอีกฝ่ายด้วยคำพูดฝากฝังคล้ายเถ้าแก่ของฝ่ายหญิงอย่างไรอย่างนั้น “หึ หึ หึ... พี่รินไม่ต้องขอบคุณพวกผมหรอกครับ แค่พี่รินสัญญาว่าจะรัก จะเข้าใจ จะเอาใจใส่ดูแลเพื่อนผมให้ดีที่สุด ก็ถือว่าเราหายกันแล้วล่ะครับ”

“ถึงฌานไม่ขอ พี่ก็จะทำให้น้องอยู่แล้วล่ะครับ พี่ขอตัวก่อนนะครับ เดี๋ยวน้องจะหลับกลางอากาศไปเสียก่อน” สารินรับปากหนักแน่นก่อนจะตั้งท่าออกเดินอีกครั้ง  

“ไม่น่าจะทันแล้วนะครับพี่ริน ผมว่า” รุ่นน้องพยักเพยิดให้คนโตกว่าเหลียวดูเพื่อนตัวเองที่คอพับคออ่อนไปเสียแล้ว

“งั้นรบกวนฌานประคองน้องขึ้นหลังพี่หน่อยได้ไหมครับ ถ้าให้พี่อุ้มกลับ พี่คงอุ้มคนเดียวไม่ไหว” หลานอาม่ามุ่ยฟ้าไหว้วานพลางค่อย ๆ ประคองส่งร่างผอมกระหร่องของน้องต่อไปถึงมือแฝดพี่อย่างละมุนละไม

“โอเคครับ” สิ้นคำ เด็กปีสามก็ย่อตัวลงนั่งยอง ๆ รอให้ฌานค่อย ๆ จัดการพาดลำตัวของเพื่อนหน้าแว่นลงบนแผ่นหลังของรุ่นพี่ต่างคณะด้วยความระมัดระวัง “เรียบร้อยแล้วครับ”

“ขอบคุณมากครับ งั้นพี่ไปนะครับ” ทันทีที่จัดท่าทางให้น้องเรียบร้อยเสร็จสรรพ ร่างสูงหนากว่าแฝดพี่นิดหน่อยก็ค่อย ๆ หยัดกายลุกขึ้นเต็มความสูงอย่างเชื่องช้าคล้ายไม่อยากให้การเคลื่อนไหวใด ๆ รบกวนการนอนของเด็กเต็กหน้าใสจนต้องตกใจตื่น

“เดี๋ยวครับพี่ริน!” แฝดทำหน้าลำบากใจจนสารินอดกังวลไม่ได้

“มีอะไรเหรอครับ?”

“อย่าลืมขอเพื่อนผมเป็นแฟนด้วยนะครับ”

“หืม?!” คนโตกว่าไม่อาจปิดบังสีหน้าสงสัยเอาไว้ได้... ถ้าเป็นเรื่องนี้ ไม่มีความจำเป็นที่ฌานต้องออกปากย้ำเตือนเขาให้เปลืองน้ำลายเลยนี่นา?!

“ขอโทษที่ก้าวก่ายครับพี่ริน... รบกวนพี่คิดเสียว่าเมื่อกี๊ผมไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกันครับ” ดูเหมือนร่างทรงหนุ่มเองก็อ่านความนัยของอีกฝ่ายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เพราะแทนที่ฌานจะชี้แจงเหตุผล รุ่นน้องกลับแสร้งยกยิ้มกลบเกลื่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะส่งแขกตามมารยาทของเจ้าบ้านทันที “พี่รินพาเพื่อนผมไปนอนเถอะครับ ดึกมากแล้ว”

“ฌานมีอะไร ฌานบอกพี่ได้นะครับ” รอยยิ้มหมอง ๆ กับริ้วความลังเลที่ฉายในแววตาของแฝดพี่ทำให้สารินปล่อยผ่านไม่ได้

“เฮ่อ! จริงๆ มันก็เป็นแค่เรื่องปัญญาอ่อนของแว่นมันน่ะครับ พี่รินไม่ต้องสนใจก็ได้” แฝดพี่เอ่ยไม่เต็มเสียงพลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อยู่ครู่ใหญ่ ๆ ราวกับจะหลบเลี่ยงสาริน

“พี่อยากรู้ครับฌาน” ว่าที่นายสัตวแพทย์ยืนกรานคำมั่น... จะต้องมีอะไรสักอย่างแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นฌานคงจะไม่ดูลำบากใจขนาดนี้หรอก
.
.
.
.
.
.
.
“คืองี้ครับพี่... แว่นมันเคยบอกพวกผมว่า ถ้าจะยอมตกลงคบใครเป็นแฟน คน ๆ นั้นต้องทำเซอร์ไพรส์โดยการขอมันเป็นแฟนแบบโรแมนติกสุด ๆ แบบพวกฝรั่งที่คุกเข่าขอแฟนแต่งงานต่อหน้าคนเยอะ ๆ อะไรทำนองนั้นน่ะครับ” ร่างทรงหนุ่มกลั้นใจเปิดโปงความลับสุดยอดของเพื่อนหน้าแว่นให้อีกฝ่ายรับฟังในท้ายที่สุด

“เหรอครับ?!! น้องชอบแบบนั้นเหรอครับ?!” หลานอาม่าเล็กอดแปลกใจไม่ได้เพราะตลอดมา ชายหนุ่มมักจะเห็นน้องเอียงอายเมื่อต้องเปิดเผยด้านอ่อนไหวให้คนอื่นได้ทำความรู้จัก... กับตัวเขายิ่งไม่ต้องพูดถึง ทุกครั้งที่ตะล่อมถามเกี่ยวกับความรู้สึกลึก ๆ ปากน้องนี่แทบจะเม้มเป็นเนื้อเดียวกันเพื่อกั้นเสียงไม่ให้เล็ดลอดออกมาเข้าหูเขาเลยทีเดียว

“ครับ... ไร้สาระใช่ไหมล่ะครับ?” แฝดพี่พูดเองเออเองเสร็จสรรพทำนองว่า กระทั่งตอนนี้ ตนเองก็ยังทำใจให้เชื่อไม่ได้เช่นกัน ท่าทางแบบนั้นทำให้สารินผู้ไม่ประสาตกเป็นเหยื่อมายาของขาอำสุดล้ำหน้าอย่างยากจะถอนตัว

“ไม่ครับ ไม่เลยครับ... ขอบคุณมากนะครับที่ฌานยอมบอกพี่ ไว้พี่จัดการเรื่องที่บ้านเสร็จเมื่อไร พี่จะขอแรงฌานกับทุก ๆ คนช่วยพี่เตรียมเซอร์ไพรส์ขอน้องเป็นแฟนด้วยนะครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์หนุ่มค้อมหัวน้อย ๆ พร้อมส่งยิ้มให้อีกฝ่ายเพื่อเน้นย้ำความรู้สึกขอบคุณจากใจจริง  

“ด้วยความยินดีครับพี่ริน”  

“พี่พาน้องไปนอนก่อนนะครับ”

“เชิญครับ!” แฝดพี่เผยรอยยิ้มชั่วร้ายทันทีที่รุ่นพี่ปีสามผู้อ่อนต่อโลกแบกเพื่อนหัวไข่ของตนเดินออกจากห้องไป... ที่เหลือ   ก็แค่นับถอยหลังรอเวลาถ่ายคลิปเก็บภาพประทับใจจังหวะที่สกลเขินจนหน้าไหม้เอาไว้ดูแก้เซ็งเท่านั้น หึ หึ!   

“นอนได้แล้วบูบู้ ไป! ขึ้นไปพร้อมกู!” เสียงของรุ่นพี่ปีสามร่างเล็กลอยลมมาเข้าหูฌานจนต้องหันไปมองตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ยังล่องลอยอย่างไร้ที่หมายอยู่รอบ ๆ โซฟากลางห้อง

“เฮียไม่ดูบอลแล้วเหรอครับ?” บ๊วยจำใจละสายตาจากกระดานวาดรูปตรงหน้าตักเงยหน้าขึ้นคุยกับอริยะตรัยผู้พี่ที่เอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง

“เออ ๆ ! กูง่วงแล้ว ไป! ไปนอนได้แล้ว” กรกฏรวบรัดพลางตัดโอกาสทำงานต่อของชายกลางลงทันตา

“แต่งานผมยังไม...”

“เหอะน่า! นอนก่อน! ขนาดไอ้แนนมันยังกลับไปนอนแล้วเลย... พวกมึงก็เหมือนกัน ไป ๆๆ! ปิดไฟ! แยกย้ายเข้าห้องนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่!” ด้วยความเป็นห่วงน้องสะใภ้จนไม่อาจละเลย กังฟูจึงเปลี่ยนเป้าหมายเป็นหันไปไล่บี้ทุก ๆ คนที่ยังนั่งหัวโด่อยู่ด้านนอกจนบรรยากาศเงียบสงบเหมาะแก่การทำงานหายวับไปกับตา

“กว่างานจะส่งก็อีกตั้งสองวัน ไปนอนก่อนเถอะบ๊วย” ฌานผันตัวเป็นแนวร่วมกับพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเพราะอดสงสารตัวแถมอย่างธันวาและอคิราไม่ได้ โดยเฉพาะรายหลังที่ม่อยกระรอกจนแฝดน้องต้องอุ้มกลับเข้าห้องพร้อมกับค้อมหัวให้รุ่นพี่และพยักหน้าให้เก็กสั้น ๆ แทนการเอ่ยคำอำลา  

“ไปนอนกันเถอะครับบูบู้ เค้าอยากนอนกอดบูบู้จะตายอยู่แล้ว”

“ครับ ๆ ” สุดท้ายก็ต้องเป็นอดีตเดือนมหาลัยที่ทำให้ชายกลางยอมวางมือจากการบ้านชิ้นแรกหลังเปิดเทอม และก็เป็นเก็กอีกเช่นกันที่ทำให้ชายหนุ่มที่เหลืองงเป็นไก่ตาแตกเมื่อเห็นพ่อรูปงามนั่งหันหลังชันเข่าข้างหนึ่งขึ้นตั้งฉากกับพื้น

“ป่ะ!

“ไอ้เก็ก... มึงทำบ้าอะไรของมึง?!” กังฟูอดสงสัยกับความไม่เต็มเต็งของน้องชายตัวเองไม่ได้... แต่ครั้นจะโบ้ยว่าเป็นความผิดของผงชูรสก็ดูจะโหดร้ายกับบะหมี่ยี่ห้อนั้นจนเกินไป อีกอย่าง... สติสตังของไอ้เด็กที่ใช้นามสกุลร่วมกับเขามาตั้งแต่เล็ก ๆ มันปกติที่ไหนกัน

“บูบู้ขึ้นมาเลยครับ เดี๋ยวเค้าจะเป็นราชรถพาบูบู้ขึ้นห้องเอง!” ธันวาในท่าผงกหัวชักชวนพลางกวักมือเรียกลูกแม่บัวหยอย ๆ อย่างแข็งขัน

บ้า! พี่หมี! ไม่เอา!” เป็นครั้งแรกที่ฌานรู้สึกสงสารบ๊วยขึ้นมาจับใจ... ไม่นึกเลยว่า คนที่หวังจะให้เพื่อนได้ฝากผีฝากไข้ไปจนวันตายจะเป็นไปได้มากถึงขนาดนี้

“ไม่เอาอ่ะ! เค้าอยากทำเหมือนพี่รินมั่ง! นะ นะ... เค้าอยากเป็นที่พึ่งของบูบู้มั่งอ่ะ เร็ว! ขึ้นมาสิครับ!” ธันวามิได้นำพากับท่าทีเขินอายจนไม่กล้ามองใครของคนรัก อดีตเดือนมหาลัยกระถดตัวในท่ากึ่งนั่งกึ่งยืนรุกคืบเข้าประชิดชายกลางเพื่อกดดันอีกฝ่ายให้ไขว้เขว
.
.
.
.
.
.
.
.
“...เอ่อ... จะดีเหรอครับพี่หมี?”

“เอา เอา! ถือว่าสงเคราะห์ไอ้เก็กมันเหอะบูบู้ ตอนเด็ก ๆ กูปล่อยให้มันเล่นเกมปัญญาอ่อนคนเดียวมากไปหน่อยมันเลยติดทำตัวหน่อมแน้มมาถึงเดี๋ยวนี้  ไป ๆ ! ขืนชักช้าเดี๋ยวก็ไม่ได้นอนกันพอดี!

ท่าทีลังเลของน้องชายคนใหม่ กับสายตามุ่งมั่นไม่หวั่นไหวจนน่าหมั่นไส้ของสายเลือดไม่เต็มบาททำให้กรกฏตัดบทอย่างเหี้ยมโหดโดยไม่ลืมยกผลประโยชน์ให้แก่คนบ้า ชะรอยว่า... เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ
.
.
.
“...เอ่อ...”

“เร็วสิครับบูบู้!” หนุ่มวิศวะรูปงามเร่งเร้าจนอีกฝ่ายเข้าตาจน

“ครับ ๆ ก็ได้ครับ” หลังจากปีนขึ้นหลังและจัดตำแหน่งของร่างกายกันจนพอใจทั้งสองฝ่าย ร่างสูงสมส่วนก็ทะยานออกจากห้องไปด้วยความเร็วคล้ายจรวดนำวิถี เด็กเต็กที่ห้อยต่องแต่งอยู่กลางหลังธันวาจึงต้องกระชับสัมผัสให้ยิ่งแน่นแฟ้นสมใจม้าตัวใหญ่เบื้องล่าง ทั้งสองต่างส่งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังก้องไปตลอดทางจนคนฟังยังต้องยิ้มตาม

กระนั้น ฌานกลับไม่อาจบอกได้ว่า รอยยิ้มดูมีเลศนัยที่รุ่นพี่ร่างใหญ่ทั้งสองสื่อสารกันระหว่างลอบมองร่างเล็กของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยนั้นมีเบื้องหลังเช่นไร ทว่าทันทีที่ได้เห็นเสี้ยวใบหน้าขึ้นสีแดงจัดของกังฟูขณะกระชากเสียงร่ำลาเจ้าบ้านอย่างเขาอย่างว่องไว ร่างทรงหนุ่มก็เข้าใจความหมายของอารมณ์กรุ้มกริ่มดังกล่าวได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคำอธิบาย


“พวกกูไปแล้วนะ ขอบใจสำหรับมาม่า!” ขาดคำ ทั้งสามก็ตบเท้าออกจากห้องไปโดยร่างเล็กที่เดินนำเอาแต่กดคางชิดอกจนดูตลกทั้งที่ปกติกังฟูแทบจะไม่ก้มหน้ามองต่ำทำลายมาดสุดผยองให้สูญสิ้นเลยสักที


«»------------------------------------------------------------------------------------«»


“ตื่นแล้วเหรอครับ? นาฬิกายังไม่ทันปลุกเลย นอนต่ออีกหน่อยไหมครับ?” สารินถามเด็กน้อยที่นั่งทำหน้าง่วงอยู่บนเตียงด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

“...พี่รินไปไหนมา?...” หลานอาม่าใหญ่ขยี้ตาพลางส่งเสียงงัวเงียถามคนที่ควรจะนอนอยู่ข้าง ๆ แต่กลับไปยืนยิ้มกว้างอยู่ตรงปลายเตียง

“ไปเข้าห้องน้ำครับ ว่าไง?... จะนอนต่อไหมครับ?” ว่าที่นายสัตวแพทย์หย่อนตัวนั่งพลางเอื้อมมือไปไล้ปลายนิ้วลงบนพวงแก้มของน้องเบา ๆ

“หึ!” เด็กเต็กส่ายหัวดิกก่อนจะจับมืออีกฝ่ายให้รองรับใบหน้าด้านข้างของตนที่ค่อย ๆ เอนเข้าหาฝ่ามืออุ่นคล้ายกับหนุนหมอน ก่อนจะเลื่อนดวงตาใสแจ๋วไร้กรอบแว่นบดบังไปสำรวจใบหน้าของสารินอย่างละเอียดละออ

“พี่รินจะนอนต่อก็ได้นะ แนนตื่นแล้ว... ฮ้าววว!” เจ้าของเสียงหาวยกมือขึ้นปาดน้ำตาทิ้งอย่างไม่ใยดีจนคนเป็นพี่แซวด้วยรอยยิ้ม

“ตื่นแล้วทำไมยังหาวอีกล่ะครับ... หืม?”  

“หาวทำไมไม่รู้ รู้แต่ว่าตื่นแล้ว” หลานอาม่าใหญ่ตอบพลางเหยียดแขนเอี้ยวบิดตัวจนกระดูกลั่น คนฟังจึงสั่งความสั้น ๆ บอกกำหนดการของช่วงเช้าวันนี้ที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากอีกฝ่ายตื่นเช้ากว่าเวลาที่สารินตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้เกือบครึ่งชั่วโมง   

“งั้นก็ไปล้างหน้าก่อนครับ เดี๋ยวพี่เก็บที่นอนเสร็จแล้วจะออกไปทำอะไรให้กิน เช้านี้กินที่ห้องแล้วกันนะครับ” เด็กเต็กหัวไข่พยักหน้ารับคำง่าย ๆ ก่อนจะเดินต้วมเตี้ยวมุ่งหน้าเข้าห้องน้ำไปแต่โดยดี








“อาทิตย์นี้พี่รินต้องกลับบ้านหรือเปล่า?” หลานอาม่าใหญ่ถามขณะหั่นไส้กรอกเป็นชิ้น ๆ พอดีคำ แล้วจึงจิ้มซอสมะเขือเทศตามก่อนจะเอาเข้าปาก

“แนนถามทำไมเหรอครับ?” ว่าที่นายสัตวแพทย์เลิกคิ้วรอฟังอย่างตั้งอกตั้งใจโดยไม่วางมือจากการทาเนยบาง ๆ ลงบนแผ่นขนมปังปิ้งหอมกรุ่นที่วางเรียงเป็นกองสูงในจานด้านหน้าพวกเขาทั้งสองเลยสักวินาที ฝ่ายเด็กน้อยที่กำลังใจเต้นตึกตักขณะเฝ้าลุ้นให้สารินตัดสินใจไม่กลับบ้านก็ได้แต่หาทางเฉไฉไปเรื่อย

“ก็... ก็แนนจะได้รู้ไงว่าแนนต้องเก็บของไปนอนกับพี่ฌานหรือเปล่าน่ะ” สกลไม่ทันได้รู้สึกใจหายขณะย้ายข้าวของออกจากหอเพื่อมาอยู่กับฌาน แต่เมื่อเย็นวานตอนร่ำลาแฝดพี่เขาก็อดสะท้อนใจนิด ๆ ไม่ได้ หนุ่มแว่นหัวไข่จึงได้แต่แอบภาวนาให้สารินอ่อนไหวกับการย้ายของไปห้องอื่นของตนจนไม่อยากทิ้งร้างห่างไปไหนเช่นกัน  

“เสาร์อาทิตย์นี้แนนต้องทำงานส่งอาจารย์ใช่ไหมครับ?” เด็กสัตว์แพทย์ปีสามครุ่นคิดถึงแต้มต่ออันเป็นผลจากสถานการณ์ล่าสุดพลางชั่งใจด้วยยังไม่ได้รายงานความคืบหน้าล่าสุดให้คุณย่าทั้งสองรับทราบนับตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน

“อือ... ถ้าพี่รินไม่อยู่ แนนจะได้ย้ายข้าวย้ายของไปตั้งรกรากโต้รุ่งกับเพื่อน ๆ ที่ห้องโน้นเสียแต่เนิ่น ๆ ” คนเห็นผีกลืนขนมปังที่ตนจัดแจงปาดแยมสตรอเบอรรี่ปื้นใหญ่เพิ่มตบท้ายพลางเอ่ยชี้นำอย่างอ้อยอิ่งด้วยหวังให้สารินได้สติโดยพลัน  

“งั้นเดี๋ยวพี่โทรถามม่าก่อนนะครับว่าท่านอยากให้กลับไปช่วยทำอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่มีอะไร... ก็ไม่น่าจะกลับหรอกครับ” รุ่นพี่ปีสามตอบอย่างกระวีกระวาดก่อนจะเว้นช่องไฟแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างอารมณ์ดีพลางหยอด “ช่วงนี้พี่ติดแนนขนาดหนัก ไม่ค่อยอยากกลับบ้านเท่าไร”  

รุ่นน้องต่างคณะนั่งก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ระหว่างรอให้อาการใบหน้าเห่อร้อน กับหัวใจเต้นเร็วระรัวค่อย ๆ คลี่คลายลง... แต่คงจะยากหน่อย เพราะข้างในเอาแต่โห่ร้องด้วยความยินดีที่อีกฝ่ายตัดสินใจใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์ร่วมกันเป็นครั้งแรก
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“พี่ริน” สุดท้ายแล้วหนุ่มแว่นก็ควบคุมตัวเองให้กลับเป็นปกติได้ หลานอาม่าใหญ่จึงเปิดประเด็นใหม่ที่ตนสนใจทันที

“ครับ?” ว่าที่นายสัตวแพทย์รวบช้อนก่อนจะเช็ดปากพลางจ้องหน้าคู่สนทนาไม่วางอย่างที่มักจะทำเป็นประจำ หากแต่คราวนี้กลับมีประกายสุกใสวูบไหวอยู่ในดวงตาเรียวของชายหนุ่มราวกับเด็กเล็ก ๆ เจอของเล่นถูกใจ   

“ทำไมพี่รินถึงกลับบ้านบ่อย ๆ ล่ะ?”

“พี่เป็นห่วงม่าครับ ท่านอายุเยอะแล้ว... พี่กลัวท่านจะเหงา เลยพยายามกลับบ้านให้ได้ทุกอาทิตย์ จะได้กลับไปช่วยท่านทำโน่นทำนี่ ได้ชวนท่านคุย ได้พาท่านไปไหนมาไหนอย่างน้อยสักวันสองวันก็ยังดี” ผู้มีศักดิ์เป็นพี่ตอบตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นตลอดเกือบสิบปีที่ผ่านมา ทว่าอารัมภบทว่าด้วยชีวิตครอบครัวของสารินกลับสร้างความรู้สึกคับข้องใจแก่เด็กเต็กผู้ไม่ค่อยกลับบ้านอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

“แล้วป๊ากับม้าพี่รินล่ะ ไม่ได้อยู่ที่บ้านด้วยกันเหรอ?” เมื่อเห็นคู่สนทนาเงียบไป สกลจึงฉุกคิดได้ว่าตนเองเผลอพูดจาเสียมารยาทกับอีกฝ่ายเข้าให้แล้ว หนุ่มแว่นจึงละล่ำละลักอธิบายเจตนาของตนเป็นพัลวัน “...คือ... ที่แนนถามนี่ไม่ใช่อะไรนะ แนนแค่สงสัย เพราะพี่รินพูดเหมือนอาม่าพี่รินอยู่ที่บ้านคนเดียวน่ะ ถ้าไม่สบายใจ พี่รินจะไม่ตอบก็ได้ แนนเข้าใจ!

แต่สิ่งที่เด็กเต็กหัวไข่เฝ้ากังวลกลับไม่เป็นจริงแม้แต่น้อย “หึ หึ หึ... ตอบได้ครับ พี่อยากตอบด้วยซ้ำ แต่ที่พี่เงียบไปเพราะพี่มัวแต่ดีใจอยู่น่ะครับ” ว่าที่หมอหมาตอบกลั้วรอยยิ้ม

“ดีใจ? พี่รินจะดีใจทำไม?!

“แนนรู้ไหมครับว่านี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่แนนถามเกี่ยวกับเรื่องที่บ้านพี่?”

“อ่อ!...เหรอออ...” คำตอบของอีกฝ่ายทำให้หลานชายอาม่าใหญ่เขินจนทำหน้าไม่ถูก แถมยังต้องพลอยขึ้นเสียงพร้อมรัวคำพูดจนรวนไปหมด “ใครมันจะรู้ล่ะ วู้ว! แล้วจะตอบไหม... ถามเนี่ย?”

“ม้าพี่เสียไปตั้งแต่เมื่อเก้าปีก่อนครับ หลังจากม้าตาย ป๊าก็เอาแต่ทำงาน อาม่าเลยเป็นเหมือนหม่าม้าอีกคนของพี่ไปเลยน่ะครับ” แม้ใจความจะชวนให้คนฟังรู้สึกเศร้าตาม แต่คนเล่ากลับทำหน้าระรื่นชื่นบานเหมือนจับฉลากได้รางวัลใหญ่ในงานปีใหม่ประจำหมู่บ้านหลังจากฝ่าด่านคุกกี้กล่องแดงมาได้หวุดหวิด
.
.
.
.
.
.
.
.
“แนนขอโทษ แนนไม่น่าถามขึ้นมาเลย” สกลอดสะท้อนใจไม่ได้เมื่อเปรียบเทียบบรรยากาศครึกครื้นในครอบครัวตัวเองกับคนโตกว่า กระนั้นสารินยังคงหน้าเป็นไม่แปรผัน

“จะขอโทษทำไมล่ะครับ พี่ไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย” ว่าที่นายสัตวแพทย์กระเถิบเก้าอี้เข้าใกล้เด็กน้อยหัวไข่ก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้แล้วบีบเบา ๆ

“...”

“ไม่เอาครับ... ไม่ทำหน้าแบบนั้น แนน...มองพี่สิครับ... ไหน ตอนนี้แนนเห็นพี่ทำหน้าเสียใจอยู่หรือเปล่า?” หลานอาม่าใหญ่ช้อนตาขึ้นมองหน้าอีกฝ่ายได้เพียงไม่นานก็หลุดปากส่งเสียงโวยวาย เมื่อโดนชายหนุ่มรุ่นพี่ทำตาเจ้าชู้ใส่แถมยังอมยิ้มอย่างหน้าไม่อายจนแก้มเต่งจวนระเบิด  

พี่รินยิ้มอะไร?! ยิ้มแบบนั้นหมายความว่าไง?

“พี่มีความสุขเพราะแนนเป็นห่วงพี่ พี่ก็ต้องยิ้มสิครับ” ยิ่งเด็กน้อยแก้มใสทำตัวว่าง่าย น่ารักน่าใคร่มากขึ้นเท่าไร สารินก็ยิ่งไม่อาจปั้นหน้าให้สงบนิ่งยามอยู่กับอีกฝ่ายได้สักวินาที

เลิกยิ้มได้แล้ว!” ในเมื่อความพยายามปิดบังอาการตกประหม่าล้มเหลวไม่เป็นท่า เด็กสถาปัตย์ปีสองจึงโก่งคอแหวใส่อีกฝ่ายทั้งที่หูหน้าคอจมูกแดงแจ๋จนใกล้จะกลายเป็นลูกท้อเต็มที

“หึ หึ หึ ครับ ๆ ไม่ยิ้มแล้วครับ” สารินยอมยกธงขาวด้วยความเห็นอกเห็นใจด้วยไม่อยากให้เด็กน้อยเขินจนชิ่งหนีกันไปกลางคัน “แล้วแนนล่ะครับ ทำไมถึงไม่ค่อยกลับบ้าน?”  

“...”

“ถ้าให้พี่เดา พี่ว่าเพราะแนนอยากอยู่กับเพื่อนใช่ไหมล่ะครับ?”

“พี่รินรู้ได้ไงอ่ะ?” สกลทำหน้าแปลกใจพลางเขย่าฝ่ามือใหญ่ที่กุมรอบมือของตัวเองเพื่อเร่งรัดให้สารินรีบตอบ คนฟังจึงคลายข้อข้องใจของเด็กเต็กหัวไข่โดยไม่รอช้า

“ก็ขนาดย้ายมาอยู่กับพี่วันแรก แทนที่จะใช้เวลากับพี่สองต่อสอง แต่แนนกลับพาพี่ไปกินมาม่าตอนเที่ยงคืนกับเพื่อน ๆ เสียอย่างนั้น”

“พี่รินไม่ชอบเหรอ?”

“เปล่าครับ พี่แค่ยกตัวอย่างเฉย ๆ ” ว่าที่หมอหมาอธิบายทันทีที่เห็นเด็กน้อยทำหน้าสลดลงทันตาพร้อมกับบอกตัวเองให้จดจำว่า กลุ่มชายหนุ่มซึ่งเขาเจอหน้าค่าตาอยู่เป็นประจำล้วนแล้วแต่เป็นคนสำคัญของน้องพอ ๆ กับคนในครอบครัว และหากเดาไม่ผิด... การที่น้องออกอาการเศร้าหมองเมื่อสักครู่ เป็นเพราะอยากให้ตัวเขาเข้าใจ รวมทั้งยอมรับบรรดาเพื่อน ๆ ของตนให้ได้โดยเร็วเป็นแน่แท้  

“แล้วพี่รินโอเคหรือเปล่าล่ะ ถ้าแนนจะลากพี่รินไปอยู่กับเพื่อนบ่อย ๆ ?” คนเห็นผีถามหยั่งเชิงด้วยความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก... ถ้าคำตอบของสารินคือไม่ เขาควรจะทำอย่างไรต่อไปดี?!  

“ถ้าแนนอยู่ที่ไหนแล้วสบายใจ พี่ก็พร้อมจะตามไปอยู่ข้าง ๆ แนนทุกที่นั่นแหละครับ... ไม่ต้องคิดมากนะ” หลานอาม่าเล็กตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ โดยไม่ลืมโปรยยิ้มกว้างพลางโยกหัวเด็กน้อยไปมาด้วยความเอ็นดูเป็นที่สุดก่อนจะหย่อนเบ็ดคันใหม่ลงน้ำพร้อมกับทำหน้าเจ้าเล่ห์ “...แต่...”

แต่อะไร?! ทำไมต้องแต่?!” เด็กเต็กตวัดมือจับฝ่ามือใหญ่ไม่ให้เคลื่อนไหวตามใจ ก่อนจะเปล่งพลังอาฆาตแค้นใส่อีกฝ่ายผ่านดวงตาอย่างหาเรื่องจนสารินอดกระหยิ่มไม่ได้... เหยื่อกินเบ็ดแล้ว!

“แต่ถ้าเป็นเวลาส่วนตัวของเราสองคน แนนก็ต้องให้พี่เต็มที่นะครับ”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“...อือ... รู้แล้วล่ะน่า!...”

น่าเสียดายที่ว่าที่นายสัตวแพทย์ไม่มีทักษะด้านการเทียบสี ชายหนุ่มจึงไม่มีโอกาสล่วงรู้ว่า ขณะนี้ใบหน้าของเด็กเต็กหัวไข่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยเลือดปริมาณมากยิ่งกว่าหนไหน ๆ ที่เจ้าตัวเคยเป็นมาก่อน  สารินจึงได้แต่กลั้นขำพลางหักห้ามใจไม่เต๊าะอีกฝ่ายต่อเพราะติดใจอยากถามไถ่เรื่องที่บ้านของเด็กน้อยเป็นพิเศษไปเสียนี่


“นาน ๆ กลับบ้านทีแบบนี้ ที่บ้านแนนไม่คิดถึงกันแย่เหรอครับ?”

“ก็น่าจะคิดถึงแหละ แต่พอแนนคิดว่า ทันทีที่เรียนจบต่างคนคงต่างแยกย้าย  แนนก็ตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเลยว่า แนนจะใช้เวลากับพวกเพื่อน ๆ ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วค่อยกลับไปอยู่กับอาม่า กับป๊า กับม้าให้ชุ่มปอดเอาทีหลัง...
.
.
...แนนอิ่มแล้ว แนนไปอาบน้ำก่อนนะพี่ริน จะได้ไม่ไปเรียนสาย” ประสาเด็กหน้าห้องผู้ขยันขันแข็ง จู่ ๆ สกลก็รวบตึงตัดฉับบทสนทนาเมื่อเหลือบเห็นเวลาตรงข้างฝาห้องที่เหลือเพียงหนึ่งชั่วโมงก่อนคาบแรกของวันจะเริ่มต้น   

“วางไว้ก็ได้ครับ เดี๋ยวพี่จัดการเอง” ว่าที่หมอหมาออกปากห้ามทันทีที่อีกฝ่ายเก็บและซ้อนจานทั้งหมดอย่างคล่องแคล่ว แต่หลังจากได้ฟังเหตุผลของหลานอาม่าใหญ่ สุดท้ายชายหนุ่มก็ต้องยอมตามใจน้องอย่างเสียไม่ได้

“ไม่เป็นไร แนนล้างแป๊บเดียว... พี่รินทำ แนนก็ล้างไง”








“ม่าครับ อาทิตย์นี้รินไม่กลับบ้านนะครับ ฝากม่าบอกม่าแนนให้ด้วยนะครับ” สารินกรอกเสียงยืนยันความตั้งใจของตนผ่านลำโพงโทรศัพท์ไปยังปลายทางทันทีที่เสียงซู่ซ่าดังแว่วออกมาจากด้านหลังประตูห้องน้ำได้พักใหญ่ ๆ  

(ยังไงของเราฮึริน? อยู่ ๆ จะมางอแงไม่ทำตามข้อตกลงไม่ได้นะ!) มุ่ยฟ้าทำเสียงไม่พอใจคล้ายกับเป็นอวตารของอาม่าใหญ่อย่างไรอย่างนั้น ทว่าผู้เป็นหลานชายกลับคลี่ยิ้มเต็มใบหน้าด้วยความภาคภูมิใจเมื่อเรียบเรียงประโยคตอบที่จะบอกกับผู้มีพระคุณในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า

“ที่รินไม่กลับบ้านเพราะรินทำตามข้อตกลงของม่าแนนได้แล้วต่างหากล่ะครับ”

(น้องยอมย้ายมาอยู่กับรินแล้วเหรอลูก?!)

“ครับ” น้ำเสียงดีอกดีใจของคนปลายสายเรียกรอยยิ้มที่ยิ่งกว้างไปกันใหญ่ให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มได้อีกครั้ง “น้องเพิ่งย้ายของเข้ามาเมื่อวานนี้ครับ”

(รินรอม่าเดี๋ยวนะ! ม่าขอประชุมสายกับเจ่เจ๊ก่อน!) อาม่าเล็กไม่คิดรั้งรอคำตอบรับของหลานชาย ความตื่นเต้นเป็นล้นพ้นกับข่าวล่ามาแรงทำให้หล่อนอยากจะแบ่งปันช่วงเวลานี้กับเพื่อนรุ่นพี่ผู้ร่วมอุดมการณ์อย่างที่สุด

“เดี๋ยวครับม่า! โธ่!

(ฮัลโหล! ริน... รินยังอยู่ไหมลูก?!)

“อยู่ครับม่า... แล้วม่าแนนล่ะครับ?” สารินเหลือบมองประตูห้องน้ำเป็นระยะ ๆ เพื่อดูลาดเลาพลางภาวนาให้เสียงของอาม่าใหญ่ไม่ดังลอดลำโพงจนโดนน้องจับได้ก่อนเวลาอันควร

(เจ่เจ้สายไม่ว่างน่ะ ไม่เป็นไร... เอาไว้เดี๋ยวค่อยประชุมสายกันตอนที่รินว่างอีกทีก็ได้  แล้วเป็นยังไงมั่งลูก? อยู่กับน้อง... รินชอบไหม?)

“ชอบครับ ชอบมาก รินมีความสุขมากครับม่า น้องน่ารักจริง ๆ ” ว่าที่นายสัตวแพทย์พูดถึงคนในห้องน้ำให้ย่าของตนฟังด้วยความประทับใจและปลื้มปริ่มเต็มที่... ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร แต่สำหรับเขา เด็กน้อยคนนี้ ดีที่หนึ่งเสมอ

(ได้ยินอย่างนั้นม่าก็ดีใจ... รินรู้ไหม ม่าไม่ได้ยินรินทำเสียงร่าเริงแบบนี้มานานแล้วนะ)

“เหรอครับ?”

(จ๊ะ... ม่าคิดไม่ผิดจริง ๆ ที่จับคู่รินกับอาโซ๊ยตี๋  เห็นรินมีความสุข ม่าก็มีความสุขเหลือเกินลูก) ไม่ทันขาดคำ ประตูห้องน้ำก็เปิดกว้างพร้อม ๆ กับที่ร่างผอมสูงเดินหน้าเรี่ยมออกมาในชุดเสื้อเชิ้ตครึ่งบน ผ้าเช็ดตัวครึ่งล่างอย่างสดชื่น  

“พี่รินห้องน้ำว่างแล้... อุ่ย! ขอโทษครับ!” อารามตกใจจนลืมตัว หนุ่มแว่นหัวไข่ก็ยกมือไหว้ขอโทษอีกฝ่ายป้อย ๆ 

(นั่นเสียงน้องเหรอลูก?)

“ครับม่า” เจ้าของห้องตอบคำถามของย่าอย่างสุภาพก่อนจะหันไปพูดปลอบน้องให้คลายใจ

“ไม่เป็นไรครับ แนนแต่งตัวไปเถอะ” ได้ยินดังนั้น เด็กน้อยจึงค่อย ๆ ย่องหนีไปประกอบร่างส่วนที่เหลือตรงมุมห้อง ฝ่ายสารินที่ยังไม่ทันได้อิ่มเอมกับสีหน้าเหวอ ๆ ของน้องได้อย่างใจก็ต้องตระหนกเมื่อได้ยินคำขอของอาม่าเล็กลอยเข้าหู

(ม่าขอคุยกับน้องหน่อยสิลูก)

ห๊ะ?!

“พี่รินเป็นอะไรหรือเปล่า?” หนุ่มแว่นถึงกับยอมหมุนตัวปรี่กลับมากระซิบถามสารินด้วยความเป็นห่วงเป็นใย หลังได้ยินอีกฝ่ายส่งเสียงอุทานแบบเสียอาการไปเมื่อสักครู่

(เร็ว ๆ ลูก ขอม่าคุยกับน้องหน่อย)

“พี่ไม่เป็นอะไรครับ พี่แค่ตกใจนิดหน่อย” รุ่นพี่ปีสามวางเฉยต่อคำสั่งของอาม่าด้วยกำลังอธิบายอาการของตัวเองให้กับคนตรงหน้าหมดห่วง ทว่าผู้เป็นย่ากลับไม่ละความตั้งใจง่าย ๆ

(ริน... ส่งมือถือให้น้องคุยกับม่าเร็ว ๆ สิลูก!) สิ้นคำอาม่า สารินถึงกับหลับตาแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดจนสุดเพื่อตั้งสติ จากนั้นจึงส่งผ่านคำขอของผู้มีพระคุณให้น้องรับช่วงต่อ

“แนนครับ”

“อะไร?” หลานอาม่าใหญ่ยื่นหน้าเข้ากระซิบถามเพราะไม่อยากทำตัวเสียมารยาทกับผู้ใหญ่ปลายสาย แต่ดูเหมือนว่าความตั้งใจนี้จะถูกทำลายลงในชั่วพริบตาเดียว

“ม่าพี่อยากคุยกับแนนครับ”

หา?! คุยกับแนนเนี่ยนะ?!” น่ายินดีที่คนเห็นผีสามารถควบคุมความกระหึ่มของเสียงให้กลับสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว ทว่าเจ้าตัวดันไม่อาจดึงสติให้กลับมาประทับร่างได้เต็มร้อยเสียอย่างนั้น “จะดีเหรอ? แล้วคุยเรื่องอะไรอ่ะพี่ริน? ยังไง? แนนยังไม่พร้อม!!

(ส่งมือถือให้น้องเดี๋ยวนี้เลยริน!) มุ่ยฟ้าเร่งเร้าด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดด้วยไม่อยากให้หลานชายหล่อนอิดออดจนไม่เป็นอันทำอะไร  

“นี่ครับ” เมื่อคนปลายสายยื่นคำขาดเสียงดังฟังชัดขนาดนี้ มีหรือที่สารินจะขัดใจอาม่าได้... ชายหนุ่มรุ่นพี่ยื่นโทรศัพท์ส่วนตัวให้กับเด็กเต็กหัวไข่ที่ยืนหน้านิ่วอยู่ข้าง ๆ อย่างจำยอม

“ง่า... เอาจริงดิ?!

“ครับ” ว่าที่หมอหมาได้แต่พยักหน้ารัว ๆ พลางส่งยิ้มให้กำลังใจหนุ่มแว่นอย่างเต็มที่

“...”สกลเหลือบมองมือถือสลับกับใบหน้าของสารินอยู่พักใหญ่พลางกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก...

ความประหม่า ความหวาดหวั่น ความไม่มั่นใจ รวมทั้งความปัจจุบันทันด่วนจวนตัวเกินไปทำให้หลานอาม่าใหญ่ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างแท้จริง... ก่อนอื่น เขาควรจะแนะนำตัวเองกับอาม่าของอีกฝ่ายว่าเป็นอะไรของสารินกันล่ะ?... รุ่นน้อง หรือ คนรัก?


“ไม่ต้องกลัวนะครับ อาม่าพี่ใจดีที่สุดเลยครับ” คนเห็นผีอยากจะบอกกับหมีโพลาร์เหลือเกินว่า วินาทีที่ตื่นเต้นจนหูทั้งสองได้ยินแต่เสียงวี้ ๆ ไม่มีบทเห่กล่อม หรือถ้อยคำปลอบประโลมใด ๆ จะช่วยให้เขาหายใจทั่วท้องได้อีกครั้ง... แกล้งตายตอนนี้ยังจะทันไหมนะ?
.
.
.
.
.
.
.
“สวัสดีครับ แนนพูดสายครับ” หลังรวบรวมความกล้าได้ก้อนใหญ่ เด็กสถาปัตย์ก็ส่งเสียงทักทายคนปลายสายอย่างนอบน้อม

ท่าทางค้อมหัวน้อย ๆ แทนคำขอโทษค่าที่ปล่อยให้ผู้อาวุโสต้องเสียเวลาคอยนานโดยไม่ทันรู้ตัว สีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งประหลาดใจของเด็กน้อยขณะตั้งใจฟังทุก ๆ คำอาม่า รวมทั้งอากัปกิริยาน่ามองทั้งหลายถูกสารินบันทึกเอาไว้ในความทรงจำเป็นที่เรียบร้อย เด็กน้อยของเขาค่อย ๆ ทิ้งระยะห่างออกไปหลังจากจมอยู่ในบทสนทนามาได้สักพักทำให้คนโตกว่าสืบเท้าตามสกลต้อย ๆ อย่างช่วยไม่ได้


“หา?! อ๋อ... ได้ครับ เดี๋ยวแนนขอเดินหามุมสงบ ๆ ก่อนนะครับม่า”

ประโยคขัดหูล่าสุดสั่งสารินให้คว้าข้อมือผอมเอาไว้ จากนั้นหลานชายและว่าที่หลานสะใภ้ของอาม่าเล็กก็ประลองพลังวัตรผ่านสายตากันอยู่พักใหญ่ ๆ ก่อนที่ว่าที่นายสัตวแพทย์จะเล่นทีเผลอรวบเอวน้องเข้ามากอดเอาไว้แล้วแนบหูเข้าไปฟังเสียงของคนปลายสายใกล้ ๆ อย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม... กระทั่งใบหน้าหลังแว่นที่ขึ้นสีแดงจัดอีกครั้งด้วยความเคอะเขินเกินพิกัดก็ตามที  


(เรียบร้อยหรือยังลูก ม่าไม่อยากให้รินได้ยินเรื่องที่เราจะคุยกันน่ะจ๊ะ)

“คระ ครับ... เรียบร้อยแล้วครับ” สกลอ้อมแอ้มเสียงอ่อน

(เห็นรินบอกว่า แนนย้ายเข้ามาอยู่กับรินแล้วเหรอจ๊ะ?)

“ครับ” หลังจากแน่ใจว่าสารินไม่ได้ทำตัวรุ่มร่ามหนักข้ออะไร เด็กเต็กหัวไข่จึงสามารถวางเฉยกับความแนบชิดยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

(อยู่แล้วเป็นไงบ้างลูก? ห้องรินคับแคบไปหรือเปล่า? แนนอยู่ได้ไหม?)

“แนนอยู่ได้สบายมากครับม่า แถมพี่รินยังดูแลแนนดีมาก ๆ ด้วย” หลานอาม่าใหญ่ให้เครดิตกับเจ้าของห้องอย่างเต็มที่โดยที่ไม่รู้เลยว่าคำพูดของตนจะผูกมัดสถานะที่หญิงชราตั้งใจจะมอบให้ไปเป็นที่เรียบร้อย  

(ถ้าอยู่ได้ แนนก็อยู่กับรินไปนาน ๆ นะลูก ต่อไปจะได้คอยช่วยดูแลกัน)

“ครับม่า”

(รับปากม่าแล้วต้องทำให้ได้นะลูก... ห้ามแนนทิ้งหลานม่าเป็นอันขาด เข้าใจไหม?)

“ครับ ไม่ทิ้งครับ แนนสัญญาครับ” เด็กปีสองรับคำอาม่าอย่างแข็งขันจนสารินอดยิ้มตามไม่ได้

(ดีจ๊ะ ถ้าอย่างนั้น... ม่าฝากแนนบอกรินด้วยนะลูก)

“ครับ?”

(ฝากบอกรินว่าเสาร์อาทิตย์นี้รินจะไม่กลับบ้านก็ได้ เพราะม่ากับป๊าจะแวะไปหารินกับแนนเอง)  

ห๊ะ?!

สกลไม่ใช่คนเดียวที่เผลอแหกปากด้วยความตกอกตกใจ สารินที่ผละห่างจากข้างหูน้องราวกับต้องของร้อนก็เช่นกัน... ทั้งสองประสานสายตาสบกันยาวนานคล้ายจะหาคำตอบว่า พวกเขาควรจะรับมือกับการตัดสินใจของอาม่าอย่างไรดี?!




 «»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «»