#18
ขอเพียงแต่
เธอแก้ตัวใหม่ ทำใจให้สบาย
ที่แล้วก็แล้วไป ไม่ตะขิดตะขวงใจ
ถึงยังไงจะจริงใจรักเธอ
ที่แล้วก็แล้วไป – เรวัต พุทธินันท์
…………………………………………………………………………………………………………
“คุณฟี่!” พวกผมย่างกรายเข้าร้านกาแฟใต้ตึกได้ไม่ถึงนาที
ก็เจอกลุ่มคนคุ้นหน้าปรี่เข้ามาทัก ซีเนียร์ประจำที่มเลยบุ้ยใบ้ให้ลูกสมุนผู้รู้ใจไปสั่งกาแฟแทน
ส่วนคอน้ำเปล่าอย่างผมก็ยืนยิ้มให้เหล่ายูสเซอร์สลับกับแอบไถหน้าจอทวิตเตอร์แก้เบื่อเป็นระยะ
ๆ
“คุณมิ้ม”
พี่ฟี่คลี่ยิ้มแล้วกระเถิบเข้าไปหาสาว ๆ ยูสเซอร์ทั้งสาม “บังเอิญจังเลย มาซื้อกาแฟเหมือนกันเหรอคะ”
“แหม
หลังกินข้าวก็ต้องขอนิดนึงเนอะ ตอนบ่ายจะได้ไม่หลับ” คุณมิ้มหลิ่วตาส่วนพี่ฟี่ก็อมยิ้มพยักหน้าเหมือนรู้กัน
ทั้ง ๆ ที่ตามปกติแล้ว เมนเทอร์ผมแทบไม่อัดคาเฟอีนหลังมื้ออาหารเลยก็ตามเพราะแกเคยบอกว่าถ้าไม่เสี้ยนจริง
ๆ จะไม่กินกาแฟตอนอิ่ม ๆ เพราะนอกจากจะเปลืองแล้วยังทำแกง่วงเสียอีก
“พี่มิ้ม
เดี๋ยวเซียงขึ้นก่อนนะ จะไปเข้าห้องน้ำ” เจ้าของชื่อพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ผมเองก็อดรู้สึกผิดไม่ได้
เพราะถึงสถานการณ์ระหว่างผมกับคุณเซียงจะไม่ตึงเครียดเหมือนช่วงสองเดือนแรก ๆ แต่หากไม่ใช่เรื่องงาน
อีกฝ่ายมักจะหาทางหลบเลี่ยงกันเสมอ
หลังสั่งกาแฟเสร็จ
ยีนส์ก็วิ่งดุ๊ก ๆ กลับมาสุมหัวซุบซิบกับคุณโอ้เอ้อยู่ชั่วอึดใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะหันมามองผมเป็นตาเดียว
“คุณทู วันนี้บอสก็ให้ดอกไม้คุณทูอีกแล้วเหรอคะ”
สิ้นเสียงยูสเซอร์
TM ผมก็ตวัดหางตามองหน้าไส้ศึกรุ่นน้องอย่างหนักใจ
ไม่คิดเลยว่าวันนึงผมจะโดนจูเนียร์ในทีมแว้งกัดด้วยความช่างเม้าท์ช่างขิงของมันนี่แหละ...
เฮ่อ ยีนส์นี่มันยีนส์ไม่เผื่อใครเลยจริงจริ้ง
“ได้ข่าวว่าเมื่อเช้าเป็นดอกลิลลี่ใช่ไหมคะ”
แววตาเคลิบเคลิ้มของสองสาวทำเอาผมพูดอะไรไม่ออก นอกจาก...
“อ่า
ครับ” ผ่านมาเกือบจะสองอาทิตย์ แต่พี่บูมก็ยังส่งดอกไม้มาให้ผมทุกวันไม่มีขาดจนผมชักเริ่มรำคาญ
แต่นั่นยังไม่เท่ากับการต้องแสร้งตีมึนขืนสายตาสู้สีหน้าเข้ม ๆ ของพี่หนาวระหว่างพิธีส่งมอบช่อในทุก
ๆ เย็น
“อู๊ยยย
อิจฉาคนมีความรักจัง”
“เนอะ!” ว่าแล้วคุณโอ้เอ้ก็ตีมือกับยีนส์ดังลั่นร้านก่อนที่ทั้งสองสาวจะพากันยิ้มหวานพลางมองเหม่อ
“ไม่นึกเลยนะคะว่าบอสจะโรแมนติกขนาดนี้”
“หึ! น้อยไปสิยัยเอ้
ไม่รู้หรือไงว่าบอสเราน่ะเป็นสุดยอดแฟนนะจ๊ะ”
คุณมิ้มเบรกมู้ดฝันเฟื่องด้วยสีหน้าพร้อมเม้าท์จนสาว ๆ ที่เหลือเริ่มสนอกสนใจ... เวร
ผมเริ่มเห็นเค้าลางแห่งหายนะตั้งท่ารออยู่รำไรแล้วไง
“พี่มิ้มรู้ได้ไงอ่ะคะ”
“พี่ไม่รู้หรอก”
ถึงคนเปิดประเด็นจะว่าอย่างนั้น
แต่สีหน้าดูมีลับลมคมในของคุณมิ้มก็ทำให้ผมขนลุกเกรียวอยู่ดี
คุณโอ้เอ้ถอนหายใจก่อนจะทำหน้าม่อยด้วยความเสียดาย
“โธ่ เอ้ก็นึกว่าพี่มิ้มรู้”
“แหม
ถึงพี่จะไม่รู้ แต่ถามคุณทูเอาก็ได้นี่” ผมยังไม่ทันพักสูดลมหายใจ
คุณมิ้มก็ชงต่อจนได้ หนำซ้ำพูดจบแกยังยิ้มพรายพลางปรายหางตามองกันอย่างเชือดเฉือน
“ใช่ไหมคะคุณทู”
เอ...
บรรยากาศมันชักจะยังไง ๆ อยู่นา
เมื่อเห็นท่าไม่ดี
ผมเลยกะจะชิ่ง แต่พี่ฟี่กลับดันหลังผมให้ก้าวเข้าสู่วงล้อมของสาว ๆ แล้วก็เป็นแกเองนี่แหละที่กระทุ้งเอวเร่งให้ผมตอบคำถาม
“ว่าไงทู คุณหนาวโรแมนติกไหม” หัวหน้าทีมผมแสยะยิ้มอย่างเลือดเย็น
เวลาขาเม้าท์แท็กทีมกันนี่น่ากลัวชะมัดเลยแฮะ
“อ่า...
ก็” คำถามเมื่อครู่ทำให้ผมนึกย้อนถึงตอนที่พี่หนาวร้องเพลงในรถ คนอื่น ๆ
เวลามีความรัก พวกเขาอาจเคยสัมผัสประสบการณ์หวานชื่นกว่าที่ผมเคยเจอเป็นร้อยเป็นพันเท่า
แต่สำหรับคนรักในนามอย่างตัวผม ลำพังแค่ได้ฟังลุงไซด์ไลน์ร้องเพลงใกล้ ๆ ผมก็ประทับใจมากแล้ว
“ครับ โรแมนติกครับ”
ยีนส์กับคุณโอ้เอ้ดีดดิ้นราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง
คุณมิ้มแกคงเอือมระอาระคนสังเวชเลยชูฝ่ามือขึ้นแล้วร้องห้ามก่อนที่สองสาวจะคุกคามคนทั้งร้านด้วยเสียงกรีดร้อง
“เบาค่ะหนู ๆ เดี๋ยวพนักงานเขาจะเชิญเราออกไปรอกาแฟข้างนอกโน่น”
คุณโอ้เอ้ที่ดึงสติกลับมาได้ก่อนใครดึงแขนผมไปยืนข้าง
ๆ ก่อนจะแย้งคนต้นเรื่องอย่างรวดเร็ว “แต่พี่มิ้ม
แค่บอสโรแมนติกไม่ได้แปลว่าบอสเป็นสุดยอดแฟนเสียหน่อยนะพี่” พูดจบ ยูสเซอร์ TM ก็หันมาส่งสายตาชักชวนให้ผมพยักหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน
แต่นั่นกลับไม่ได้ช่วยลดดีกรีความเร่าร้อนในแววตาของคุณมิ้มลงแต่อย่างใด
หนำซ้ำผมว่าแกยิ่งดูเหวี่ยงหนักกว่าเดิมไปอีกหลายเบอร์
“บอสจะไม่ใช่สุดยอดแฟนได้ไงล่ะ
ก็ขนาดเรื่องรายงานสำเร็จรูป บอสยังมากล่อมพี่แทนพวกคุณทูเลย”
ฉิบหาย
เดดแอร์ที่แท้ทรู...
ทีมผมกลอกตามองกันไปมาโดยไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำ
ส่วนคุณมิ้มกับคุณโอ้เอ้ก็ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่เมื่อลองเปรียบเทียบสายตาของสองสาวดูคร่าว
ๆ ผมเดาว่าคุณโอ้เอ้คงยังไม่รู้ตัวหรอกว่าเมื่อกี้รุ่นพี่แกได้กระทำการแดกหัวผมไปเป็นที่เรียบร้อย
“แหมคุณทูล่ะก็
มิ้มไม่ใช่คนใจร้ายใจดำเสียหน่อย ไม่เห็นต้องให้บอสมาช่วยคุยเรื่องรายงานให้เลย
ลำบากบอสเปล่า ๆ ” คุณมิ้มตบหัวแล้วลูบหลังผมด้วยรอยยิ้มอาบยาพิษ
การโดนยูสเซอร์เชือดนิ่ม
ๆ เหน็บเน้น ๆ ทั้งนอกและในห้องประชุมไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่
ยิ่งถ้าโปรเจคไหนบุคลากรหน้างานคัดค้านนโยบายการเปลี่ยนแปลงระบบปฏิบัติการของผู้บริหาร
หรือระหว่างการเตรียมงานดันเกิดข้อพิพาทขัดแย้งที่เกี่ยวพันกับหน้าที่ความรับผิดชอบและผลประโยชน์ของหลาย
ๆ ฝ่าย ที่ปรึกษาตาดำ ๆ
อย่างพวกผมก็มักจะต้องรับบทโศกโดนลูกค้าที่กำลังอารมณ์อ่อนไหวโขกสับจนกว่าจะพอใจ
บางเคสที่เบาหน่อย ยูสเซอร์ก็อาจจะเรียกพวกผมไปปรับทุกข์งอแงใส่พอเป็นกะษัย
หนักสุดคือลากพวกผมไปหลอกถามเหตุผลเพื่อใช้โต้กลับฝ่าย management จนโปรเจควอดวายและโดนยกเลิกในท้ายที่สุด
แต่กับเรื่องครั้งนี้
ผมคงทำใจร่ม ๆ แล้วท่อง ‘ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน’ ให้คุณมิ้มฟังไม่ไหว... ทำไมพี่หนาวถึงทำกับผมได้ลงคอวะ
ทำไมต้องเอาเรื่องที่เราคุยกันไปปั่นจนยูสเซอร์ตั้งแง่ใส่พวกผมด้วย?
ผมมัวแต่คิดเรื่องลุงไซด์ไลน์จนนึกคำพูดไม่ออก
ผู้ตกกระไดพลอยซวยไปกับผมแบบไม่รู้ตัวอย่างพี่ฟี่จึงชิงเปลี่ยนเรื่องคุยก่อนที่สถานการณ์จะบานปลาย
“อุ๊ย นั่นมอคค่ากับคาราเมลมัคคิอาโต้ของคุณมิ้มหรือเปล่าคะ ฟี่ได้ยินน้องพนักงานเรียกอยู่”
“อ๋อ
ไม่ใช่ค่ะ มิ้มกับน้องเอ้สั่งชาเขียวปั่น”
อ่า...
ผมกับพี่ฟี่หน้าแห้ง ยืนฉีกยิ้มค้างโดยพร้อมเพรียงกัน ส่วนน้องนุชสุดท้องของทีมก็พยายามส่งสายตามาถามผมว่าผมไปแอบใช้เส้นสายส่วนตัวคุยกับท่านผู้บริหารลับหลังยูสเซอร์ตอนไหน
“อ้าวทีม
HR มากันครับเลยนะครับ”
ก่อนที่จะมีใครขาดใจตายเพราะบรรยากาศชวนอึดอัด
เสียงสวรรค์ของบุคคลที่ไม่ควรปรากฏตัวขึ้นกลางร้านกาแฟในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานก็ดังแทรกขึ้นเสียก่อน
คุณพันเลิศเดินยิ้มแต้มาแต่ไกล แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือท่าน HR Director ที่ก้าวตามหลังบอสใหญ่มาอย่างช้า ๆ
นั่นต่างหาก
“ไม่ครบค่ะบอส
เซียงขึ้นไปก่อนแล้ว”
“สั่งอะไรกันหรือยังครับ”
แม้จะโดนหางเสียงเผ็ดร้อนของคุณมิ้มเบรกจนหน้าหงาย แต่ตาลุงคาสโนว่ากลับยิ้มกริ่มอย่างไม่อนาทรร้อนใจ
เห็นแล้วผมก็อดเลื่อมใสคุณพันเลิศไม่ได้ ไม่รู้ห้อยพระรอดหรือแอบไปกินหัวใจเสือ
ดีหมีที่ไหนมา ลุงแกถึงได้ตบะแก่กล้า ปั้นหน้ายิ้มร่าได้ตลอด ๆ
“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณเซ็น”
“เอาขนมเพิ่มกันไหมครับเดี๋ยวผมซื้อให้”
จบจากคุณมิ้ม คุณพันเลิศก็หันมาป๋าใส่ตัวแทนฝั่งคอนซัลท์ “พวกคุณฟี่เอาขนมอะไรไหมครับ”
“ขอบคุณค่ะ
แต่ไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ” ผมมั่นใจว่าเบื้องหลังรอยยิ้มกว้างของพี่ฟี่ในตอนนี้
คือความรู้สึกยินดีที่คุณพันเลิศขยันอวดรวยอย่างน่าหมั่นไส้จนใครต่อใครพากันลืมประเด็นร้อนเมื่อครู่ไปอย่างน่าทึ่ง
“โอเคครับ
แต่ถ้าใครเปลี่ยนใจไปหาผมที่หน้าเคาน์เตอร์ได้นะครับ...
หนาวมึงเอาอย่างเดิมใช่ไหม”
“อืม
ฝากด้วย” สิ้นเสียงพี่หนาว ชายผู้ช่วยชีวิตคอนซัลท์ทั้งสามก็หมุนตัวจากไป ปล่อยพวกผมทิ้งไว้กับท่าน
HR Director ที่กำลังกวาดตามองพวกเราทุกคนในที่นี้ด้วยความประหลาดใจ
ก่อนที่ตาคม ๆ คู่นั้นจะหยุดมองคุณมิ้มนิ่ง ๆ เหมือนมีเรื่องสำคัญจะพูด “คุณมิ้ม วันจันทร์หน้าจะลองเทสต์ระบบที่ห้องประชุมสองใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ
มิ้มจองห้องไว้เรียบร้อยแล้ว”
ลุงไซด์ไลน์ขมวดคิ้วพลางถอนหายใจหนัก
ๆ “คุณเซ็นเพิ่งบอกผมตอนกินข้าวว่าอาทิตย์หน้าทั้งอาทิตย์ ทีมลอจิสติกต้องขอใช้ห้องประชุมเกือบทั้งหมดอบรมครอสบอร์เดอร์น่ะครับ”
“อ้าว
ทำไมคุณโต้งถึงทำแบบนั้นล่ะคะ แล้วอย่างนี้พวกเราจะไปเทสต์ระบบกันที่ไหนล่ะคะคุณหนาว”
เท่าที่ฟังคุณมิ้มบ่น ถึงผมจะไม่รู้จักบุคคลที่ถูกพาดพิง แต่เดาว่าน่าจะเป็นคนใหญ่คนโตของแผนกโลจิสติกล่ะมั้ง
แต่ช่างคุณโต้งก่อนเถอะ ตอนนี้เรื่องสถานที่ ๆ พวกผมจะทำการทดสอบระบบนั้นสำคัญที่สุด
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับ
ผมโทรไปขอให้คุณปิ๊กช่วยจองห้องประชุมใหญ่ที่โรงงานให้พวกเราทดสอบระบบแทนแล้วครับ”
“สรุปว่าเราจะไปเทสต์ระบบกันที่โรงงานเหรอคะคุณหนาว”
ยูสเซอร์ทั้งสองเลิกคิ้วมองหน้ากันอย่างอึ้ง ๆ คล้ายกับแปลกใจ
ส่วนผมที่ไม่เคยไปโรงงานของลูกค้ามาก่อน ฟังแล้วก็ได้แต่นึกถึงขั้นตอนการทำงานรวมถึงสิ่งที่ต้องเตรียมเพิ่มเติมล่วงหน้าไปต่าง
ๆ นา ๆ
“ครับ”
ท่าน HR Director ยกมุมปากขึ้นนิด ๆ
ก่อนจะกำชับลูกน้องด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน “ผมฝากคุณมิ้มจัดการเรื่องรถตู้ด้วยนะครับ”
“ได้ค่ะ”
แม้จะขุ่นใจเพราะเรื่องที่พี่หนาวแอบทำลับหลัง
แต่พอคิดว่าตลอดสามวันที่ต้องย้ายไปเทสต์ระบบที่โรงงาน ผมอาจจะไม่ได้เจอหน้าพี่หนาว
หัวใจผมก็ห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรงอย่างไรไม่รู้
••••••
“คิดอะไรอยู่เหรอทู” ช่วงแรก ๆ แค่ผมได้เห็นรอยยิ้มพี่หนาวใกล้
ๆ ก็เขินจนตัวแทบบิด มาเดี๋ยวนี้ลุงแกเรียกผมด้วยชื่อทุกครั้ง หนำซ้ำยังเรียกแทนตัวเองว่าพี่จนติดปาก
ผมเลยยิ่งย้วยย้อยพร้อมย่อยสลายหนักกว่าเดิม แต่ผมควรดีใจใช่ไหมที่พอขึ้นรถมาได้สักพักก็โดนพี่หนาวทำเสียงสองใส่
ทั้ง ๆ ที่กำลังจะดุแกด้วยข้อหาแอบเจรจากับลูกน้องจนทีมคอนซัลท์เดือนร้อนกันไปทั้งหมด
“พี่หนาวคุยกับคุณมิ้มเรื่องรายงานเหรอครับ”
กว่าจะสะกดอาการเขินลงได้
ผมก็ต้องอาศัยสีหน้ากลุ้มใจของพี่ฟี่หลังพวกเราโดนยูสเซอร์สุดที่รักแหกที่ร้านกาแฟมาเป็นแรงจูงใจในการสอบปากคำอีกฝ่ายอย่างเอาจริงเอาจัง
ไม่ได้ ครั้งนี้ผมจะต้องไม่เห็นผู้ดีกว่าพี่น้องร่วมอาชีพเป็นอันขาด!
คนขับถอนหายใจพร้อม ๆ
กับเหยียบคันแร่งนำพริอุสแซงรถเลนขวาที่ขับช้าแช่ “ใช่ เมื่อวันก่อนพี่เรียกคุณมิ้มมาคุยเรื่องนี้
ทูรู้ได้ยังไง คุณมิ้มบอกเหรอ” พี่หนาวดูไม่แปลกใจกับคำถาม
แต่หัวคิ้วสองข้างที่ย่นเข้าหากันฟ้องว่าเจ้าตัวน่าจะเครียดกับเรื่องนี้ไม่น้อย
“ไม่เชิงครับ แต่ตอนนี้ผมอยากรู้เหตุผลที่พี่หนาวเรียกคุณมิ้มมาคุยมากกว่า”
ผมเลื่อนสายตาจากเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปทอดมองมวลมหาประชากรรถพลางใคร่ครวญ
แรกเลย ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าพี่หนาวทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
แต่พอใช้สมองด้านโลกสวยช่วยหาคำตอบ ก็ดันสรุปอย่างอื่นไม่ได้นอกจากลุงแกอยากจะช่วย
ซึ่งถ้านั่นคือเหตุผลจริง ๆ ผมยิ่งต้องควบคุมตัวเองไม่ให้ดีใจจนสติหลุดก่อนที่เราจะคุยกันจบ
“พี่อยากรู้ความจำเป็นของการสร้างรายงานสำเร็จรูปเกือบสามสิบรายงาน
อยากฟังเหตุผลจากปากคนทำงานโดยตรง แต่คุณมิ้มกลับให้เหตุผลพี่ไม่ได้
พี่เลยยึดข้อเสนอของคอนซัลท์เป็นแนวทางในการแก้ปัญหา”
“อ๋อ ครับ”
ผมแค่นยิ้มกลบเกลื่อนอาการพังเพราะผิดหวังจนใจห่อเหี่ยว ที่แท้พี่หนาวก็ทำเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทนี่เอง
สงสัยจะกลัวงบบาน แสดงว่าไอ้ที่ผมมโนไปใหญ่โตว่าผู้รักผู้หลงจนต้องยื่นมือเข้าช่วยนี่
ก็ไม่มีความหมายอะไรเลยสินะ
“บอกพี่ได้ไหมว่าทูรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
“คุณมิ้มบอกพวกผมว่าเพราะพี่หนาวช่วยพูดให้
แกเลยยอมน่ะครับ” แม้จะหงุดหงิดตัวเองที่เพ้อเจ้อเบอร์ใหญ่ แต่อยู่ดี ๆ จะให้ผมแฉยูสเซอร์ต่อหน้าท่าน
HR Director น่ะเหรอ ไม่เอาหรอก ขืนลุงแกแอบไปปรับจูนทัศนคติกับยูสเซอร์แบบลับ
ๆ อีกล่ะก็ คุณเซียงกับคุณมิ้มคงสมคบกันทรมานพวกผมไปจนจบโปรเจคแหง ๆ
“ทูคิดว่าพี่ทำเพราะพี่อยากช่วยทูเหรอ”
ผมตวัดหางตามองค้อนเจ้าของคำถามแบบเร็ว
ๆ ไปหนึ่งที ถามแบบนี้คือจะขยี้กันใช่หรือเปล่า “ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นแหละครับ
แต่พอได้ฟังเหตุผลของพี่หนาว ผมก็เข้าใจ”
“เข้าใจแล้วทำไมยังทำหน้ายู่ยี่อยู่อีกล่ะ”
ลองว่าลุงแกเปิดช่องมาอย่างนี้ ผมเลยสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่แล้วดึงสติกลับไปโฟกัสเรื่องงาน
ไหน ๆ พี่หนาวก็เคยบอกว่า ผมสามารถคุยกับแกได้ทุกเรื่อง ผมก็จะไม่เกรงใจล่ะนะ
“ผมอยากขออะไรพี่หนาวสักอย่างได้ไหมครับ”
“อะไรเหรอ” เมื่อเห็นสัญญาณไฟเหลือง
พี่หนาวก็ค่อย ๆ ผ่อนคันก่อนจะเหยียบเบรคอย่างนุ่มนวล ทันทีที่รถหยุด ลุงไซด์ไลน์ก็ยกมือขึ้นเท้าคางแล้วหันมารอฟังผมอย่างตั้งใจ
“ต่อไป ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก
ผมอยากลองแก้ปัญหาตามขั้นตอนที่ควรจะเป็นก่อนได้ไหมครับ” เรื่องนี้สำคัญกับตัวผม ทีมผม
รวมถึงตัวพี่หนาว ผมจึงจงใจกดสายตามองลอดกรอบแว่นไปสบตาคมคู่นั้นอย่างแน่วแน่กว่าทุกที
“ผมสัญญาว่าถ้าสุดท้ายทุกอย่างมันไม่ดีขึ้น ผมจะแจ้งพี่จี๊ดกับพี่หนาวทันที เพราะนอกจากพวกผมจะได้ทำตามที่วางแผนไว้แล้ว
ชื่อเสียงของพี่หนาวก็จะไม่ต้องเสื่อมเสียเพราะผมด้วยน่ะครับ”
“แสดงว่าตอนนี้ชื่อเสียงพี่คงป่นปี้ไม่เหลือแล้วใช่ไหม”
“เปล่านะครับ ไม่ใช่แบบนั้น” ผมก้มหน้าหลบสายตาคนข้างตัวพลางโบกมือปฏิเสธ
“คือ ผมไม่อยากให้คนอื่นมองว่าพี่หนาวทำแบบนี้เพราะเห็นแก่แฟนน่ะครับ”
“โอเค พี่เข้าใจแล้วครับ
พี่สัญญานะว่าต่อไปพี่จะไม่ทำแบบนี้อีก”
“ขอบคุณครับ” แม้เสียงหัวเราะเบา ๆ
ของพี่หนาวที่ดังเป็นระยะ ๆ จะช่วยปัดเป่าความรู้สึกอึดอัดภายในห้องโดยสารให้เบาบางลงก็จริง
แต่ลึก ๆ แล้วผมกลับยังรู้สึกอึดอัดเพราะยังมีบางสิ่งที่ไม่กล้าพูดให้ลุงแกฟังตรง
ๆ อยู่ดี
“แต่พี่ถามได้ไหมว่าถ้าสมมติเหตุผลคือพี่ทำเพราะอยากช่วยทู
ทูจะทำยังไง” พอถามเสร็จ คนขับก็อมยิ้มพลางทำหน้าวาดหวังเหมือนรอฟังเรื่องสนุก
ผมหยุดคิดนิดนึงก่อนจะสำนึกได้ว่า เมื่อมโนสลาย
หัวผมก็ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายเหมือนช่วงแรกของบทสนทนา ซึ่งทันทีที่สมองโล่ง ผมก็สามารถตอบทุก
ๆ คำถามด้วยเหตุและผลมากกว่าจะใช้อารมณ์แบบเมื่อครู่ “ก็คงไม่ต่างจากนี้หรอกครับ
แต่ผมอาจจะเผลอดุพี่หนาวแรงกว่าเมื่อกี้นิดหน่อย”
ลุงไซด์ไลน์หัวเราะร่วน “อ้าวเหรอ
ทำไมล่ะ”
“ก็เพราะพี่หนาวตั้งใจใช้อำนาจในทางที่ไม่ชอบจริง
ๆ น่ะสิครับ” หากเรื่องสมติที่ว่าเป็นจริง การที่ยูสเซอร์จะเหม็นหน้าพวกพวกผมแบบเหมารวมก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
เพราะพวกเราล้ำเส้นก่อน
“แต่ที่พี่ทำเพราะพี่อยากช่วยทูนะ
ทูจะไม่ลดโทษให้พี่หน่อยเหรอ” พี่หนาวเอียงคอยิ้มมุมปาก พลางเหลือบมองผมครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองสัญญาณไฟที่ยังไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียว
ถึงลุงแกจะทำท่าน่ารักสักแค่ไหน
แต่พอได้โอกาสตอบคำถามข้อนี้ใหม่อย่างมีสติ ผมก็รีบอธิบายถึงเรื่องสำคัญที่ควรพูดตั้งแต่แรกสนทนาทันที
“ไม่ได้ครับ ยิ่งเป็นเรื่องงานยิ่งต้องดุเลย เพราะนอกจากคนอื่นจะมองพี่หนาวไม่ดีแล้ว
มันยังทำให้พวกผมทำงานลำบากด้วย”
“อ้าว ไม่ใช่ว่าพี่ช่วยแล้วงานทูง่ายขึ้นหรอกเหรอ”
“ไม่เลยครับ
เพราะตอนนี้พวกผมเข้าหน้าคุณมิ้มแทบไม่ติดแล้ว” กระทั่งพี่ฟี่ที่สนิทกับคุณมิ้มกว่าใครยังหนักใจกับท่าทีเฉยเมยผิดปกติของยูสเซอร์คู่บุญ
แล้วผู้ต้องหาอย่างผมยังจะเชิดอกทำมั่นหน้าอยู่อย่างไรไหว
“เรื่องนี้ใช่ไหมที่ทำให้ทูกลุ้มอยู่ตอนนี้”
“หืม?” เมื่อกี้พี่หนาวถามอะไรนะ?
รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาหายวับไปพร้อม
ๆ กับองค์ท่าน HR
Director ลงประทับร่างลุงไซด์ไลน์ผู้อารี
“ทูกลุ้มเพราะเรื่องนี้ใช่ไหม”
“...เอ่อ...” กว่าจะรู้ตัวว่าโดนพี่หนาวหลอกถามพร้อม
ๆ กับที่รู้ตัวว่าโป๊ะแตกสารภาพทุกอย่างให้เขาฟังอย่างหมดเปลือก ก็เป็นตอนที่อีกฝ่ายก็หักเลี้ยวแล้วพาพรีอุสลงสู่ลานจอดชั้นใต้ดินของคอนโด
ผมสอดปลายนิ้วลอดใต้กรอบแว่น หลับตาแล้วนวดเป็นวงกลมเบา ๆ พลางพยายามคิดหาเหตุผลดี
ๆ มาตอบคำถามเมื่อครู่
จวบจนเมื่อแน่ใจว่ารถจอดสนิท
ผมก็ได้ยินเสียงทุ้มทว่าหนักแหน่นของคนข้างตัวดังขึ้นใกล้ ๆ “รับปากพี่ได้ไหมทูว่า
ทูจะเล่าทุกเรื่องที่ทูคิด ทุกเรื่องที่ทูรู้สึกให้พี่ฟังทั้งหมด” ความมืดที่ปกคลุมดวงตาหายไปพร้อม
ๆ กับสัมผัสอบอุ่นรอบ ๆ ข้อมือ “อย่าเก็บทุกอย่างเอาไว้ อย่าลุ้มใจคนเดียวอีกนะทู”
สายตาที่แฝงความห่วงใยของพี่หนาวทำให้ผมค่อย
ๆ ลดมือลงโดยไม่ทันรู้ตัว ผมเหลือบมองเส้นเลือดบนหลังฝ่ามือที่กุมรอบข้อมือตัวเองก่อนลดระดับสายตาลงวางบนคอนโซลรถ
“ครับ ได้ครับ”
“ทูรับปากพี่แล้วนะ” ผมพยักหน้ารับแรง
ๆ อยู่หลายทีเพราะตอนนี้ผมเขินจนไม่รู้จะพูดอะไร
ลุงไซด์ไลน์หัวเราะร่วนก่อนจะกระตุกข้อมือผมเบา ๆ พลางชักชวน “ถ้างั้นไปครับ
เราไปรับปลาวาฬกัน”
.
.
.
.
“ม้าสวัสดีครับ”
ผมรีบยกมือไหว้แม่คุณธามตามพี่หนาว เผื่อว่าท่านจะเห็น
“อ้าวหนาว มาพอดี ม้ากำลังจะเอาข้าวไปให้เวลา
เดี๋ยวเดินไปพร้อมม้าเลยนะ” แม่คุณธามน่าจะกำลังรีบเพราะทันทีที่เห็นเราสองคนท่านก็ออกตัวนำไปก่อน
ลุงไซด์ไลน์เลยพยักหน้าให้ผมเดินไปพร้อม ๆ กัน
พี่หนาวเร่งความเร็วขึ้นจนอยู่ในระยะที่ไม่ไกลจากแม่คุณธามมากนัก
“วันนี้เวลาไปเล่นที่ร้านดอกไม้เหรอครับ”
“ใช่ แวะตั้งแต่ขากลับจากโรงเรียนเลย
เขาเป็นห่วงแมวเขาน่ะ”
พอได้ยินแม่คุณธามพูดถึงแมวของเวลา
ผมก็อดนึกถึงบทสนทนาเมื่อวันก่อนไม่ได้ แต่ตัวผมในสภาพจิตใจว้าวุ่นหลังโดนฝ่ามือยูไลของลุงแกรุกราน
ผมก็เผลอหลุดปากโพล่งขึ้นโดยไม่สนสี่สนแปดใด ๆ “ลูกน้องเหรอครับ”
โชคดีที่ม้าไม่ติดใจ
เพราะหลังจากโดนผมพูดขัด ท่านเพียงคลี่ยิ้มอย่างใจดีพลางพยักหน้ารับ “ใช่จ้ะ”
“เมื่อวานผมไม่ทันได้แนะนำ ม้าครับ
นี่ทูครับ” พี่หนาวหันมาหาพยักพเยิดให้ผมรับลูกต่อ
“สวัสดีครับม้า
ขอโทษด้วยนะครับที่เมื่อวานไม่ทันได้แนะนำตัว”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกหนู
เพราะยังไงวันนี้เราก็รู้จักกันแล้ว จริงไหม”
“ครับ” แม่คุณธามยิ้มสวยเสียจนผมอดยิ้มตามท่านไม่ได้จริง
ๆ
“วันนี้ธามกับเวลาเป็นยังไงบ้างครับม้า”
“ก็ดีขึ้นแล้วล่ะ” แม่คุณธามยิ้มอ่อนก่อนจะถอนหายใจเบา
ๆ “อาธามอีรักเวลามากนะ แต่อีไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงกับลูก ยิ่งอาเล็กไม่อยู่
อีก็ยิ่งงก ๆ เงิ่น ๆ พูดจาขัดหูลูกตลอด”
“ถ้าให้เวลาอีกนิด ผมว่าธามน่าจะปรับตัวได้แหละครับม้า
ม้าไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
“ม้าก็อยากให้เป็นอย่างนั้นเร็ว ๆ เหมือนกัน”
“ทำไมม้าต้องเอาข้าวไปให้เวลาด้วยล่ะครับ”
พี่หนาวถามพลางบุ้ยใบ้ไปยังปิ่นโตเถาเล็กที่แม่คุณธามถือติดมือมาด้วย
“เวลาอีติดแมว ถ้าม้าไม่เอาข้าวไปให้อีก็ไม่ยอมกลับบ้านมากินข้าว
ม้าไม่อยากรบกวนหนูเชนให้ต้องมาหาข้าวหาปลาให้เวลากิน” ยิ่งเล่า สีหน้าของท่านก็ยิ่งแย่
แต่ก่อนที่บรรยากาศจะหดหู่จนน่าอึดอัด แม่คุณธามก็หยุดเดินกะทันหัน
สิ่งก่อสร้างที่อยู่ตรงหน้าพวกเราคือร้านดอกไม้ตรงสุดฟากของบล็อก
ม้าล่วงหน้าเดินนำผมกับพี่หนาวเข้าร้านดอกไม้ไปพร้อมกับส่งเสียงทักทายกลุ่มเงาตะคุ่ม
ๆ ด้านใน “ปลาวาฬ ดูซิใครมา”
พี่หนาวไม่ได้เดินตามแม่คุณธามเข้าไป ลุงแกหยุดมองผมแล้วยิ้มให้
ไอ้ผมที่โดนคนที่แอบชอบจ้องก็ดันเขินจนต้องแสร้งยกมือขึ้นป้องตามองหาปลาวาฬข้างในร้านดอกไม้
ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เด็กหญิงหันมาตรงจุดที่พวกเรายืนอยู่พอดิบพอดี
“ปลาทู!” เจ้าตัวเล็กที่นั่งอยู่บนพื้นโบกมือไหว ๆ พลางคลี่ยิ้มจนตาเป็นขีดก่อนจะวิ่งออกมาฉุดมือผมให้เดินตามแกเข้าไปด้านในด้วยกัน
“เข้าไปดูลูกพี่กับลูกน้องสิคะ”
“ไม่ดีมั้งครับ อาทูเกรงใจ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ลุงเชนใจดี” ผมเหล่มองคนข้าง
ๆ เพราะหวังพึ่งพา แต่ดูเหมือนปลาวาฬจะรู้แกว เด็กหญิงจึงปล่อยมือข้างหนึ่งจากแขนผมเพื่อไปคว้าข้อมือพ่อ
จากนั้นจึงลากผมกับพี่หนาวให้เดินตามแกเข้าไป “ปลาทูกับคุณพ่อเข้าไปหาเวลากันเถอะค่ะ”
“โอ๊ะ!” เนื่องจากกรอบประตูหน้าร้านดอกไม้ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้ผู้ชายตัวใหญ่
ๆ สองคนเดินลอดผ่านพร้อม ๆ กัน ไอ้ผมที่โดนกรอบไม้กระแทกหัวไหล่เข้าเต็มรักจึงเสียหลักเซไปอีกทางจนคนข้าง
ๆ ต้องช่วยประคอง “ขอบคุณครับ” ผมก้มหน้าก้มตาพูดกับหน้าอกตัวเองเสียงเบาราวกับสาวน้อยวัยคอซองหัดอ้อยผู้ชายเป็นครั้งแรก
“ไม่เป็นไร” ลุงไซด์ไลน์อมยิ้มพลางแตะเอวผมให้เดินเข้าประตูร้านไปก่อน
“นี่ไงคะลูกพี่กับลูกน้อง” ปลาวาฬผายมือพรีเซนต์สิ่งมีชีวิตสองหน่วยที่นอนให้เพื่อนสนิทตัวเองน้วยอยู่บนพื้น
“ตัวที่ใส่หน้ากากนั่นลูกพี่ค่ะ ส่วนตัวสีส้มอ้วน ๆ นี่ชื่อลูกน้องเป็นแมวของเวลา”
“น่ารักจังเลยครับ” ผมทรุดตัวลงนั่งยอง
ๆ พลางมองแมวสองตัวอย่างสนใจ รองจากเด็กก็สัตว์สี่ขาหน้าขนนี่แหละที่คนส่วนใหญ่
(รวมถึงตัวผมด้วย) มักจะพ่ายแพ้อย่างไม่มีเหตุผล
“ใช่ไหมคะ พวกมันน่ารักมาก ๆ
เลยใช่ไหมคะปลาทู” เด็กหญิงเอ่ยพลางจกเหนียงย้อย ๆ ใต้คอแมวหน้ากากอย่างเพลิดเพลิน
ส่วนเวลาก็ลูบพุงหลาม ๆ ของเจ้าลูกน้องจนมันยอมปรือตาทำหน้าเคลิ้มใส่มนุษย์แปลกหน้าอย่างไร้ยางอาย
“ใช่แล้วครับ”
“เล่นได้นะครับ” ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้าง
ๆ แม่คุณธามยิ้มสวยจนผมเผลอชะเง้อคอจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเสียมารยาท...
ผู้ชายอะไรสวยจัง
“ไม่เป็นไรครับ ไว้วันหลังดีกว่า”
ผมตอบพลางเหลือบมองผู้ชายที่น่าจะเป็นเจ้าของแมวอีกครั้ง โอ้โห ยอมรับเลยว่าเขาสวยจริง
ๆ สวยแบบที่ถ้าไม่ได้ฟังเสียงคงต้องเผลอเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิงแน่ ๆ
“โอเคครับ”
“ผมหนาวครับ เป็นพ่อของปลาวาฬ
นี่ทู...” หลังจากแนะนำตัวเองกับเจ้าของแมว พี่หนาวก็ฉุดข้อศอกผมให้ลุกขึ้นยืน “ทูเป็นรุ่นน้องผมครับ”
เจ้าของแมวคนสวยปัดลูกผมที่หลุดจากปอยหางม้าตรงต้นคอก่อนจะหันมายิ้มให้ผม
“สวัสดีครับ เรียกผมเชนก็ได้ครับ”ไม่ใช่แค่สวยแล้วล่ะ
แต่คุณเชนเป็นผู้ชายที่อ่อนหวานละมุนละไมจนผมอดคิดไม่ได้ว่าเขาเองก็น่าจะชอบผู้ชายเหมือนผม
“ขอบคุณคุณเชนมากนะครับที่อนุญาตให้เวลากับปลาวาฬมาเล่นที่นี่
พวกแกไม่ได้ทำให้คุณเชนลำบากหรือเหนื่อยเกินไปใช่ไหมครับ”
“ไม่เลยครับ
ผมต่างหากที่ดีใจที่คุณกับอาม่าไว้ใจ ยอมให้พวกแกมาเล่นที่ร้าน”
สายตาที่คุณเชนใช้มองเวลากับเจ้าวาฬน้อยของผมเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและรักใคร่ไม่ต่างจากคนในครอบครัว
เห็นแล้วผมก็อดหัวใจพองฟูไม่ได้ที่รู้ว่า ผู้คนรอบ ๆ ตัวสองพ่อลูก
ปรารถนาดีกับพวกเขาจากใจจริง
“ขอบคุณมาก ๆ นะครับที่เอ็นดูพวกแก”
“ยินดีครับ”
นอกจากใบหน้ากับรอยยิ้มแล้ว ผมว่าคุณเชนเป็นคนที่มีออร่าใจดีแผ่อออกมาจากตัวจนรู้สึกได้
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทั้งเด็กและแมวถึงได้ติดคุณเชนเป็นตังเมอย่างนี้
“ไปลูก ลาลุงเชนกับอาม่าก่อนครับ”
“สวัสดีค่ะลุงเชน อาม่า” เจ้าวาฬน้อยหันไปโบกมือใส่เพื่อนที่ยังนั่งลูบคางแมวอย่างมุ่งมั่น
“เวลา บ๊ายบาย พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียนนะ” เด็กชายพยักหน้าพลางยิ้มให้
“พวกผมกลับก่อนนะครับม้า” สิ้นเสียงพี่หนาว
ผมก็ยกมือไหว้ลาแม่คุณธามแล้วเดินตามหลังเด็กหญิงที่จูงทั้งพ่อทั้งผมติดมือออกจากร้านดอกไม้ไปพร้อม
ๆ กันเหมือนเมื่อครู่ ผิดกันเพียงที่รอบนี้ผมรีบสับขาเร็วกว่าพี่หนาวอยู่หลายจังหวะ
การจูงมือสุขสันต์ประมาณครอบครัว (ในห้วงมโนของผม) จึงผ่านพ้นไปโดยไม่เกิดเหตุทิ้งตัวใส่ผู้ให้ใครต้องขายหน้าอีก
••••••
“อาม่าครับ” คเชนทร์เอ่ยเรียกหญิงชราที่เพิ่งจัดการเรื่องอาหารของหลานชายเสร็จไปเมื่อครู่
“ผมขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหมครับ”
เมื่อแน่ใจว่าหลานชายเริ่มกินมื้อเย็น
อาม่าจึงเดินตามเจ้าของร้านดอกไม้ไปนั่งตรงโซฟา “มีอะไรเหรอหนู”
“ผมอยากรู้เรื่องเวลากับพ่อของเขาน่ะครับ
อาม่าพอจะเล่าให้ผมฟังได้ไหมครับ” ช่วงที่เวลาหายหน้าไป
คเชนทร์เคยทำใจว่าจะปล่อยเรื่องของเด็กชายให้เป็นไปตามครรลอง แต่ภายหลังจากเหตุการณ์เมื่อไม่กี่วันก่อน
อดีตนางโชว์ก็เปลี่ยนใจ
ในเมื่อตัวเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้อย่างช่วยไม่ได้
คเชนทร์ก็จะไม่ยอมเป็นเพียงคุณลุงใจดีแถวบ้านที่แค่ผ่านมาในชีวิตของกาลกมลเพียงช่วงเวลาหนึ่ง
ก่อนจะถูกหลงลืมอยู่ในอดีตได้อีก
“อืม จะเริ่มจากตรงไหนดีล่ะ” หญิงชราถอนหายใจพลางนิ่งนึก
“ถ้าอาม่าลำบากใจ
อาม่าไม่ต้องเล่าทั้งหมดก็ได้ครับ ผมแค่อยากรู้ว่าหลังจากเรื่องนั้น สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างน่ะครับ”
คเชนทร์ไม่ได้คาดหวังให้คู่สนทนาเท้าความถึงประวัติความเป็นมาของครอบครัว
ชายหนุ่มเพียงต้องการเข้าใจปัญหาเพื่อที่จะรับมือกับอารมณ์ของธามได้โดยไม่สร้างเรื่องยุ่งยากให้เวลาในภายภาคหน้าเท่านั้น
อาม่าไม่พูดอะไรหากแต่เอื้อมมาจับมือของคเชนทร์แล้วบีบเบา
ๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มพลางส่ายหัวให้ “ให้เวลาฉันนึกหน่อยนะหนู"
สายตาที่แฝงความอ่อนล้าของหล่อนกวาดมองไปรอบ ๆ ร้านดอกไม้พลางใคร่ครวญ
หลังจากแมวส้มหนีออกจากบ้าน
หลานชายของหล่อนมักจะหายมาหมกตัวอยู่ที่นี่ทันทีที่เลิกเรียน แถมหลัง ๆ
ยังงอแงขอเฝ้าแมวไม่ยอมกลับบ้านง่าย ๆ
นอกจากคเชนทร์จะต้อนรับขับสู้และดูแลเวลาอย่างดีแล้ว ชายหนุ่มยังรับมือกับทั้งหลานและลูกชายเจ้าอารมณ์ของหล่อนด้วยความสุขุมและอดทนจนน่าชื่นชม
ดังนั้น
อาม่าจึงไม่รู้สึกลำบากใจหากต้องเล่าเรื่องราวความขัดแย้งภายในบ้านให้อีกฝ่ายรับฟัง
“หม่าม้าเวลาตายเมื่อปีที่แล้ว” แม้สีหน้าของคนพูดจะราบเรียบ
แต่สายตาคู่นั้นกลับฉายแววเจ็บปวดจนคเชนทร์สัมผัสได้ “ตั้งแต่อาเล็กตายอาธามก็เก็บเนื้อเก็บตัว
วัน ๆ เอาแต่ทำงาน ส่วนเวลาก็ไม่ยอมพูดกับใครโดยเฉพาะป๊าอี”
“ทำไมล่ะครับ”
หญิงชราเหลือบมองหลานชายพลางถอนหายใจยาว
“เวลาอีติดหม่าม้ามาก แต่กับอาธามนี่ไม่เอาเลย ฉันเลยต้องย้ายจากบ้านลูกสาวมาอยู่กับพวกอีเพราะอดเป็นห่วงเวลาไม่ได้”
“ครับ”
“อาเล็กอีเป็นเพื่อนกับอาธามมาตั้งแต่เด็ก
ๆ อาเล็กอีขี้โรค ป่วยบ่อย ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงแต่อาธามอีรักของอีมาก
ฉันเลยไม่ห้ามตอนอาธามมาบอกให้ไปขออาเล็กให้อีตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ”
คเชนทร์พยายามนึกภาพตาม
แต่ความทรงจำที่มีต่อเจ้าของร้านขนมกลับทำให้เขานึกภาพผู้ชายอารมณ์ร้ายคนนั้นทำดีกับใครไม่ออก
“ตอนอาเล็กยังอยู่ อาธามอีก้มหน้าก้มตาทำงานเพราะอยากเก็บเงินเปิดร้านเร็ว
ๆ จะได้อยู่บ้านดูแลอาเล็กเวลาอีไม่สบาย ตั้งแต่มีเวลา อาเล็กเลยเป็นฝ่ายเลี้ยงลูกอยู่คนเดียว”
ยิ่งเล่า เสียงถอนหายใจของอาม่าก็ยิ่งยาวขึ้นเรื่อย ๆ “ส่วนอาธาม อีเป็นพวกเก็บตัว
ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ยังดีที่อาเล็กเข้าใจและคอยยืนหยัดเพื่ออาธามกับเวลามาตลอด เสียอย่างเดียวตรงที่อาธามอีดันรักเมียมากกว่าลูก
อีเลยไม่ค่อยสนิทกับเวลาเท่าไร”
“ยังไงเหรอครับที่ว่ารักเมียมากกว่าลูก”
หลายครั้งที่เฝ้าสังเกตท่าทีของธามยามที่อยู่กับลูกชาย อดีตนางโชว์ก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับคำบอกเล่าของหญิงชรา
แต่กว่าจะรู้ตัวว่าไม่ควรถามเรื่องนี้ออกมา เขาก็ห้ามปากตัวเองไม่ทันเสียแล้ว
อาม่าแค่นยิ้มทั้งที่ดวงตาเศร้าสร้อย “ฉันอาจจะอธิบายไม่เก่ง
แต่ฉันคิดว่าอาธามอีรักเวลามากนะ แต่ที่ผ่านมาอีไม่เคยเลี้ยงลูก
อีเลยไม่รู้ว่าต้องคุย ต้องเข้าหาเวลายังไง” หญิงชราจับจ้องอิริยาบทของหลานชายไม่วาง
เมื่อเห็นเวลานั่งแกว่งขาพลางเคี้ยวกับข้าวฝีมือหล่อนตุ้ย ๆ อาม่าก็หลุดยิ้ม
ความสุขของหล่อนก็มีเท่านี้ แต่เท่านี้จะไปพออะไรในเมื่อเรื่องทุกข์ของลูกชายหล่อนกลับมีมากมายเหลือเกิน
“อาธามอีพูดไม่เก่ง แถมยังพูดจาแข็ง ๆ ไม่เข้าหูใคร พอไม่มีอาเล็กคอยอธิบาย
ก็ไม่มีใครเข้าใจอีเหมือนที่อาเล็กเคยเป็น ขนาดฉันที่เลี้ยงอาธามมายังต้องคอยดุไม่ให้อีพูดจาขวานผ่าซากใส่ลูกอยู่บ่อย
ๆ เลย”
“อืม ครับ”
เจ้าของร้านดอกไม้พยักหน้าอย่างหนักใจ
ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นภาพเหล่านั้นกับตาเสียหน่อย
“แต่ของแบบนี้มันก็ต้องอาศัยเวลาและการปรับตัวกันทั้งสองฝ่ายแหละนะ”
ที่สุดแล้วหญิงชราก็ตัดบทลงกลางคันคล้ายหมดอารมณ์จะเล่า หล่อนเดินไปลูบหัวหลานชายเบา
ๆ พลางกำชับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เวลา เดี๋ยวสองทุ่มอาม่าจะมารับนะ”
“ครับ”
“อย่าดื้อกับคุณอาเขานะ”
“ครับ” เมื่อได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว
คเชนทร์ก็ได้แต่คลี่ยิ้มพลางมองสองย่าหลานด้วยความกังวลระคนสงสารเท่านั้น
.
.
.
.
แม้จะไม่มีการตกลงกันเป็นกิจลักษณะ
แต่โดยปกติแล้ว อาม่ามักจะกลับมารับเวลาอีกครั้งราว ๆ สองทุ่ม
แต่วันนี้คนที่มากลับเป็นพ่อของเด็กชาย แน่นอนว่าเมื่อเห็นหน้าบอกบุญไม่รับของอีกฝ่าย
เรื่องราวที่ได้รับฟังมาเมื่อตอนเย็นก็ย้อนกลับเข้ามาในห้วงคำนึงจนคเชนทร์ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
“ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบหน้าผม แต่ขอผมพูดอะไรหน่อยเถอะ”
จากที่เอาแต่มองเมิน เดินผ่านอย่างไม่เคยใส่ใจ
แต่ครั้งนี้ธามกลับชะงักเท้ายืนนิ่งอยู่กับที่คล้ายกับรอฟัง
“แม่คุณเหนื่อยมากนะ ท่านแก่มากแล้ว
นี่ไม่ได้แช่งหรืออะไรนะ แต่คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าคนที่คุณรักจะจากคุณไปเมื่อไร
ทำไมคุณถึงไม่ดูแลใส่ใจท่านในวันที่ยังทำได้” อดีตนางโชว์สืบเท้าเข้าใกล้แผ่นหลังของอีกฝ่ายก่อนจะพรั่งพรูความรู้สึกที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจด้วยความอัดอั้น
“ลูกชายคุณเครียดและไม่มีความสุขเวลาอยู่กับคุณ คุณรู้ใช่ไหม”
เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายทรุดตัวลงอุ้มเด็กชายที่นอนหลับอยู่บนเบาะข้างโซฟาแล้วตั้งท่าจะหมุนตัวเดินจากไป
เจ้าของร้านดอกไม้ก็เดินเข้าไปขวางพลางจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง
“คุณไม่ได้เป็นคนเดียวบนโลกนี้ที่ต้องเจ็บปวดเพราะสูญเสียคนที่คุณรักสักหน่อย คนอื่นเขายังมีชีวิตอยู่ต่อได้โดยไม่ต้องทำร้ายคนรอบตัวเลยนะคุณ”
ธามหัวเราะเยาะในลำคอก่อนจะเบี่ยงหลบแล้วเดินออกไป
ท่าทางไม่ยี่หระของอีกฝ่ายทำให้คเชนทร์เหลืออดจนต้องส่งเสียงตะโกนไล่หลังทั้ง ๆ
ที่ไม่มั่นใจว่าธามจะได้ยินข้อความนั้นหรือไม่ “ถ้าคุณรักพวกเขาก็ช่วยพูดหรือแสดงออกให้พวกเขารู้เสียทีเถอะ
รีบทำ... ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”
••• TBC •••
สวัสดีค่ะ เรากลับมาตามสัญญาแล้วเน่อ
ช่วงนี้เรายุ่งมากค่ะ
แต่จะพยายามรักษาสัญญาใจทุกวันจันทร์เอาไว้ให้ได้
ถ้าใครอ่านแล้วชอบ
หรือไม่ชอบยังไง ทิ้งความในใจไว้ให้เราอ่านบ้างนะคะ ^^