Monday, June 25, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#15|| 25.06.2018


#15


อยากให้โทรหากันหน่อย
โทรหากันหน่อย เพียงสักครั้งนะเธอ
ฝากข้อความให้โทรกลับ
เธอก็ไม่เคย คิดแล้วใจวุ่นวาย
โทรหากันหน่อย - เจมส์ เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์


…………………………………………………………………………………………………………


ผมเห็นคุณแล้ว เดี๋ยวผมเดินไปหานะ

“อุ๊ย!” เสียงหวีดของพี่ฟี่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามทำให้ยีนส์สะดุ้งเบา ๆ จากนั้นน้องเล็กก็เขย่าแขนผมอย่างบ้าคลั่ง ส่วนตัวผมที่แม้จะรู้ล่วงหน้าว่าอะไรเป็นอะไร แต่ที่สุดแล้วผมก็ยอมละสายตาจากข้อความที่พี่หนาวเพิ่งส่งเข้าเครื่องเพื่อให้สองสาวหยุดดีดดิ้น

“อะไร”

“พี่ทู ๆ ดูสิคะว่าใครมาหา” น้องนุชสุดท้องยิ้มกรุ้มกริ่มพลางเอนตัวกระแทกไหล่ผมคล้ายจะแหย่ แต่ผมกลับแสร้งตีมึนเก๊กแมนไม่ยี่หระทั้ง ๆ ที่ใจเต้นผับ ๆ ด้วยจังหวะอีดีเอ็ม

“กินข้าวเสร็จหรือยังทู”

“สักพักแล้วครับ” ผมพยักหน้าพลางยกมุมปากนิด ๆ ให้ท่าน HR Director ก่อนจะหันไปบอกสมาชิกในทีมเร็ว ๆ “พี่ฟี่กับยีนส์ขึ้นข้างบนไปก่อนเลยนะครับ ไม่ต้องรอผม”

“จ้า ไปนาน ๆ เลยก็ได้นะ พวกเราเข้าใจ”

“ค่า ขอให้สนุกนะคะพี่ทู”

ลำพังแค่รับมือพี่ฟี่คนเดียวก็เหนื่อยจะแย่ แต่นี่จูเนียร์ดันส่งสายตาล้อเลียนมองผมสลับกับท่าน HR Director อย่างโจ่งแจ้ง ผมเลยอาศัยจังหวะที่พี่หนาวหันหลัง ผมแอบถลึงตาแล้วชี้นิ้วขู่ยีนส์ด้วยความหมั่นไส้และเจ็บใจตัวเองอยู่ในที “เดี๋ยวเถอะ!” ถ้าทั้งคู่จะรู้ทันเบอร์นี้ ผมเชื่อว่ากี่สิบกี่ร้อยคำอธิบายคงไม่จำเป็นกับสายเม้าท์อย่างสองคนนี้แล้วล่ะมั้ง

“นี่ครับ ร้านนี้แหละ” ผมหันไปบอกคนที่เดินตามหลังทันทีที่พาอีกฝ่ายมาส่งยังหน้าร้านขนมเป็นที่เรียบร้อย

พี่หนาวกวาดตามองไปทั่วแผงพลางเปรยลอย ๆ อย่างพอใจ “ขนมเขาเยอะดีนะ”

“ครับ”

“คุณช่วยผมเลือกหน่อยสิ”

“อย่าดีกว่าครับ ผมไม่รู้ว่าปลาวาฬชอบกินขนมแบบไหน” ถึงปากจะบอกไปแบบนั้น แต่ผมก็พยายามเฟ้นหาตัวเลือกที่น่าจะเหมาะกับเจ้าวาฬน้อยอยู่ในใจ โชคดีที่คนขายกำลังติดพันกับลูกค้าคนอื่น พวกเราจึงมีเวลาดูของโดยไม่ต้องเร่งรีบนัก

ระหว่างกำลังตั้งใจวิเคราะห์ส่วนผสมของขนมแต่ละถุง ผมก็รู้สึกว่าสีข้างตัวเองชนเข้ากับแขนของคนที่มาด้วยกัน รู้ดังนั้น ผมจึงสไลด์ตัวเขยิบหลบไปอีกข้างทว่ากลับโดนแผ่นหลังของสาว ๆ ลูกค้าร้านยำมะม่วงที่อยู่ติดกันดันออกมา ผลสุดท้ายผมก็ต้องจำยอมให้ท่อนแขนแน่น ๆ ของลุงไซด์ไลน์ประกบติดชิดลำตัวอยู่เหมือนเดิม

อุณหภูมิที่เกิดจากความชิดใกล้ทำให้ประหม่าจนไม่กล้าหันกลับไปมองว่าเพราะอะไรลุงไซด์ไลน์ถึงยืนใกล้คล้ายตั้งใจจะสิงกัน ยิ่งเมื่อกี้ที่อีกฝ่ายชะโงกหน้าเข้ามาแล้วพูดเสียงเบาตรงข้าง ๆ หูด้วยแล้ว สติสตังของผมก็ยิ่งกระเจิดกระเจิง “คุณเลือกที่ไม่หวานมาก หรือไม่ก็เลือกเหมือนที่ซื้อให้ผมเมื่อวันนั้นก็ได้”

“คะ... ครับ” ผมก้มหน้าก้มตาเลือกขนมให้ตามบัญชาท่าน HR Director พลางปลอบใจตัวเองว่าร้านขนมนี่เล็กจะตาย ต่อให้ต้องโดนพี่หนาวยืนเกยหลังกอดไหล่ ผมก็ไม่ควรโวยวายหรือเปล่าวะ

“วันนี้ประชุมเป็นยังไงบ้าง”

น้ำเสียงเป็นห่วงของคนข้าง ๆ ทำให้ผมนึกทบทวนถึงเรื่องที่ประชุมเมื่อเช้าก่อนจะลอบถอนหายใจ ถึงแม้วันนี้คุณเซียงจะเลิกมองค้อนผมจนตาแทบหลุดเหมือนช่วงก่อน ๆ แล้วก็ตาม แต่ทีมยูสเซอร์ทั้งหมดกลับขอร้องแกมบังคับให้พวกผมทำงานในส่วนที่ไม่จำเป็นเพิ่มเติมไปอีก

“จริง ๆ ก็ยังมีเรื่องที่ต้องตกลงกับพวกคุณมิ้มนิดหน่อยครับ แต่คิดว่าถ้าอธิบายให้แกฟังอีกที ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”

“ผมไม่เข้าใจ” พี่หนาวขมวดคิ้วพลางมองหน้าผมอย่างจริงจัง แม้ลึก ๆ ผมจะอยากเล่ารายละเอียดให้อีกฝ่ายฟัง แต่เมื่อเหลือบดูเวลาเทียบกับสาระที่ต้องพูดแล้ว ผมคิดว่าอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องรับรู้เรื่องหยุมหยิมคราวนี้หรอก

“เรื่องมันเล็กมากเลยครับ คุณไม่ต้องเข้าใจก็ได้” ว่าแล้วผมก็ยื่นถุงขนมที่ตรงตามข้อแม้ทั้งหลายใส่มือคู่สนทนา “สามถุงพอไหมครับ”

“หึ!” เห็นพี่หนาวส่ายหัวป้อย ๆ ผมก็ตกใจเพราะเผลอคิดว่าลุงแกจะซื้อขนมไปถมที่ แต่การปฏิเสธเมื่อครู่นี้กลับไม่ใช่คำตอบสำหรับเรื่องจำนวนขนม “ถึงจะเรื่องเล็กแค่ไหนผมก็อยากฟัง เดี๋ยวเย็นนี้คุณค่อยเล่าให้ผมฟังบนรถอีกที” ท่าน HR Director เอ่ยเสียงเรียบแบบที่ใครฟังก็รู้ว่า เจ้าตัวกำลังสั่งด้วยจิตวิญญาณของผู้บริหารซึ่งผู้ให้บริการอย่างผมไม่ควรปฏิเสธ
.
.
.
.
“สรุปว่าลูกน้องผมขอให้ทีมคุณออกแบบรายงานสำเร็จรูปซ้ำซ้อนเหรอ” นอกเหนือไปจากจะตั้งใจฟังผมไล่เรียงเหตุการณ์เมื่อเช้าแล้ว ผมมั่นใจว่าพี่หนาวคงจะอ่านอีเมลบันทึกการประชุมมาด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นลุงแกคงสรุปรวบตึงทุก ๆ ประเด็นจบในประโยคเดียวได้แน่ ๆ

“ครับ” เมื่อมั่นใจว่าคู่สนทนาตามทัน ผมจึงเริ่มอธิบายเจาะลึกเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจปัญหาได้ดียิ่งขึ้น “ปกติแล้วถ้าเป็นรายงานมาตรฐานตัวที่ใช้บ่อย ๆ คอนซัลท์จะทำรองรับไว้ให้ทั้งหมดอยู่แล้วครับ ที่สำคัญระบบยังมีฟีเจอร์ให้ยูสเซอร์เลือกดึงข้อมูลเพื่อออกรายงานเบ็ดเตล็ดได้อย่างอิสระ เพียงแต่ต้องตั้งค่าก่อนออกรายงานทุกครั้งน่ะครับ”

“อืม” คนขับครางรับสั้น ๆ ก่อนจะเคาะนิ้วกับพวงมาลัยคล้ายกำลังครุ่นคิด ผมเลยรีบอัดข้อมูลต่อก่อนที่ท่านผู้บริหารขี้สงสัยจะตั้งคำถาม

“แต่ถ้าต้องการรายงานในรูปแบบเฉพาะเจาะจงเพื่อวัตถุประสงค์ปลีกย่อยอื่น ๆ แต่ไม่อยากใช้ฟีเจอร์นี้ ยูสเซอร์ก็สามารถดึงรายงานมาตรฐานแล้วเซฟเป็นไฟล์เอ็กเซลก่อนจะลบข้อมูลที่ไม่ต้องการออกเองน่ะครับ”

“ที่คุณบอกว่าซ้ำซ้อนเพราะคุณมิ้มอยากให้คุณทำรายงานสำเร็จรูปที่คล้าย ๆ กับรายงานหลัก เวลาใช้งานเขาจะได้ไม่ต้องทำอะไรยุ่งยากเองใช่ไหม”

“ครับ” ผมพยักหน้าแรงเมื่อประโยคล่าสุดคือสิ่งที่ทีมคอนซัลท์โดนบี้มาจริง

แม้พี่หนาวจะเป็นถึงผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดในทุก ๆ กรณี แต่เมื่อสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายพร้อมรับฟังอย่างเป็นกลาง หนำซ้ำยังคอยกระตุ้นถามเป็นระยะ ๆ ที่สุดแล้วผมก็ยอมพ่ายแพ้ ผมสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ พร้อม ๆ กับค่อย ๆ เรียบเรียงจัดระเบียบความคิดใหม่อีกครั้ง

“ถ้าถามผม ผมไม่แนะนำให้ครีเอทรายงานสำเร็จรูปเยอะเกินไป เพราะนอกจากจะทำให้สับสนจนไม่ได้ใช้งานจริงทั้งหมดแล้ว ยิ่งจำนวนรายงานมากเท่าไร ค่าใช้จ่ายก็จะยิ่งบานปลาย แถมต่อไปหากต้องการปรับเปลี่ยนสูตรคำณวนหรือเงื่อนไขสำคัญในการออกรายงาน มันจะกระทบกับรายงานทั้งหมด ยิ่งมีจำนวนรายงานมากก็ยิ่งกระทบมากครับ”

“ที่คุณพูดมาทั้งหมดนี่พวกคุณมิ้มรู้แล้วใช่ไหม”

ผมหันไปสบตาพี่หนาวก่อนจะพยักหน้ายืนยันอย่างหนักแน่น “ครับ”

“อืม ผมเข้าใจคุณนะแต่คุณจะแก้ปัญหานี้ยังไงล่ะ” คนขับไม่ได้ละสายตาจากท้องถนนตรงหน้า แต่คิ้วเข้ม ๆ ที่ขมวดเป็นปมกับริมฝีปากน่าจูบที่เม้มเป็นเส้นตรงของเขากลับทำให้ผมแอบอมยิ้มกับตัวเองด้วยความปลื้มปริ่มในใจ

ผมไม่ได้โดนพวกคุณมิ้มกดดันจนเป็นบ้า แต่สีหน้าเคร่งเครียดที่คนขับเผลอทำอยู่ในตอนนี้บอกกับผมว่า ในช่วงเวลาแย่ ๆ ลุงแกก็พร้อมจะเป็นเดือดเป็นร้อนไปกับผมด้วย

“เดี๋ยวพี่ฟี่แกจะลองคุยกับคุณมิ้มใหม่ตอนประชุมกันรอบหน้าครับ ระหว่างนี้พวกผมจะคอยโน้มน้าวยูสเซอร์นอกรอบอีกที แต่ถ้าไม่ได้ผลก็คงต้องแจ้งเรื่องให้ management รับทราบปัญหาไว้ล่วงหน้าเพราะจำนวนรายงานที่เยอะเกินไปอาจทำให้ขั้นตอนอื่น ๆ ล่าช้าน่ะครับ”

“ผมช่วยอะไรคุณได้ไหม”

“ไม่ต้องหรอกครับ พวกผมจัดการได้” ว่ากันตามจริง เรื่องนี้ไม่ได้สำคัญถึงขั้นต้องรายงานท่านหัวหน้าขาใหญ่รับทราบ แต่พอได้เปิดอกระบายความอัดอั้นออกไปบ้าง เงื่อนไขยิบย่อยที่ลูกน้องลุงแกเรียกร้องจึงยิ่งดูจิ๊บจ๊อยไปกันใหญ่

คนขับผงกหัวหงึกหงักก่อนจะนิ่วหน้าแล้วหันมามองผมสลับกับกระเป๋าสะพายบนหน้าตัก “มีคนโทรหาคุณหรือเปล่า”

“อ๋อ เอ้อ ครับ” เมื่อครู่ผมคงจมกับเรื่องงานมากไปหน่อยเลยไม่ทันรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนบนหน้าตัก พอโดนพี่หนาวทัก ผมเลยจำใจต้องล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าอย่างเสียไม่ได้

“เฮ่อ” ผมถอนหายใจเมื่อเห็นหมายเลขแปลก ๆ สิบกว่าหลักบนหน้าจอ โทรมาอีกแล้ว... ตื๊อเก่งไปอีก

โดยมากแล้วผมมักจะกดตัดสายหมายเลขเจ้าปัญหานี้ได้ทันหลังจากเครื่องสั่นไม่นาน แต่วันนี้ผมพลาดหนักมากหนำซ้ำยังเอ๋อขนาดที่เผลอกดตัดสายต่อหน้าต่อตาพี่หนาวเสียด้วย พอเบอร์แปลก ๆ นั่นโทรกลับมาอีกครั้งคนข้าง ๆ เลยหันหน้ามาถามกันอย่างสนอกสนใจคล้ายกับเป็นคนปลายสายเสียเอง “ไม่รับสายเหรอคุณ”

เท่าที่จับตาดูเรื่องผิดปกติในชีวิตช่วงนี้อยู่พักใหญ่ ผมสังหรณ์ใจว่าเจ้าของเบอร์ที่โทรมาเมื่อครู่เป็นคนที่ผมพยายามเลี่ยงอยู่ เพราะหากลองย้อนดูประวัติการโทรตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมาจะพบว่า หมายเลขต่างประเทศเบอร์นี้มักจะโทรเข้าเครื่องผมหลายต่อหลาย ๆ ครั้งช่วงหลังเลิกงานของทุกวันก่อนจะยอมตัดสายไปเมื่อรู้ว่าผมไม่คิดอยากคุย

ผมแค่นยิ้มก่อนจะฝืนปั้นหน้าพลางมุสาด้วยน้ำเสียงปกติ “ผมเคยรับแล้วครับ แต่ผมคิดว่าเขาน่าจะโทรผิด เพราะเขาพูดภาษาแปลก ๆ เหมือนเป็นพวกแขกน่ะครับ”

“อืม” โชคดีที่พี่หนาวเพียงแค่พยักหน้าแต่ไม่ได้ซักไซ้อะไรผมมากมายหลังจากนั้น

 ••••••

หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ เด็กชายกาลกมลก็หลบสายตาทุกคู่วิ่งขึ้นมานั่งตากลมตามลำพังอยู่บนดาดฟ้า ผลพวงจากเหตุการณ์เมื่อวานนำพาความโศกเศร้าให้หวนคืนมาอีกครั้ง การสูญเสียฉับพลันทำให้เวลาเฝ้านึกถึงผู้คนที่คงไม่มีวันได้พบกันอีก ทั้งมารดาที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปลายปีก่อน รวมถึงคุณลุงใจดีเจ้าของเพื่อนใหม่สี่เท้าสุดนุ่มนิ่มตัวนั้น

จริงอยู่ที่เขาอาจจะยังเด็ก แต่เวลาจดจำความเจ็บปวดของการถูกพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักได้เป็นอย่างดี
ครั้งก่อน อาม่าบอกว่าหม่าม้าไม่สบาย เทวดาเลยเหาะลงมาพาหม่าม้าขึ้นไปอยู่ด้วยกันบนสวรรค์
แต่คราวนี้ไม่เห็นมีใครเป็นอะไร ทำไมป๊าถึงต้องห้ามด้วย

“มาอยู่นี่เอง อาม่าเดินหาตั้งนาน” หญิงชราพักสูดหายใจเข้าเต็มปอดอยู่ครู่ใหญ่เพื่อปรับลมหายใจให้เป็นปกติ “พรุ่งนี้อาม่าจะตื่นมานึ่งหนมจ้างให้กินนะ หนมจ้างใส่เผือกกวนกับเกาลัดที่เวลาชอบกินไง กินแต่เช้าเลยดีไหม”

“...” ยิ่งเห็นใบหน้าเหงาหงอยของหลานชาย หญิงชราก็ยิ่งรู้สึกอดสูเสียจนต้องคว้าตัวอีกฝ่ายเข้ามากอด “... ลูกพี่...”

แม้น้ำเสียงแผ่วเบาของหลานชายจะฟังแทบไม่เป็นคำ แต่ความอาดูรที่แทรกซึมผ่านท่อนแขนเล็ก ๆ แสนเปราะบางบนแผ่นหลังของหล่อนก็ทำให้หญิงชราเข้าใจความหมายซึ่งอีกฝ่ายต้องการสื่อสารได้เป็นอย่างดี “เวลารู้ใช่ไหมว่าบ้านเราเลี้ยงแมวไม่ได้”

“รู้ครับ”

อาม่าลูบเส้นผมนุ่มนิ่มของเด็กชายครั้งแล้วครั้งเล่าคล้ายกำลังปัดเป่าความโศกเศร้าทั้งหลายออกไปจากร่างกายเล็ก ๆ ในอ้อมอก “เอาไว้วันไหนอาม่าจะบอกป๊าให้ปิดร้าน แล้วพวกเราไปสวนสัตว์ด้วยกันนะ”

เด็กชายห่อตัวเป็นก้อนเล็ก ๆ ก่อนจะพิงซบอกอาม่าพลางรับคำอย่างเซื่อง ๆ “ครับ”

“ป๊าเขาเป็นห่วง ไม่อยากให้เวลาไปเล่นไกลหูไกลตา เวลาเข้าใจป๊านะ” ภายหลังจากการสูญเสียครั้งใหญ่เมื่อปลายปีที่แล้ว เพื่อประคับประคองให้ครอบครัวยังคงเป็นครอบครัวอยู่ได้ หญิงชราจำต้องรับบทกาวใจให้แก่เลือดเนื้อเชื้อไขทั้งสองรุ่นมาโดยตลอด สำหรับครั้งนี้ แม้หล่อนจะไม่ยินดีกับการตัดสินใจของบุตรชาย แต่ครั้นจะเพิกเฉยปล่อยให้เวลาตั้งแง่ต่อต้านบิดาต่อไปเรื่อย ๆ หล่อนก็ทำใจไม่ได้เหมือนกัน

“เวลา!” เสียงร้องเรียกของไอซ์ที่เพิ่งวิ่งพ้นประตูชั้นบนดาดฟ้าได้ไม่ถึงอึดใจฟังดูแตกตื่นกว่าทุกที “เวลาดูอะไรนี่เร็ว!

อาม่ารีบหันกลับไปด้วยตั้งใจจะดุเด็กในร้านที่ตะโกนโหวกเหวกผิดวิสัย แต่เมื่อหล่อนเห็นบางอย่างในมือไอซ์ หญิงชราก็ยิ้มกริ่มพลางออกปากคะยั้นคะยอหลานชายตามไปอีกคน “เวลา ดูซิว่าพี่ไอซ์อุ้มอะไรมา”

จนถึงตอนนี้ เวลาก็ยังคงซุกหน้ากับอกหล่อนนิ่ง ๆ หญิงชราผลักหลานออกห่างพลางกระตุ้นซ้ำ “ดูเร็วเวลา เชื่ออาม่าสิว่าถ้าเห็นแล้วเวลาต้องชอบ”

หลังจากโดนรบเร้า ที่สุดแล้วเด็กชายก็ยินยอมชะโงกหน้าขึ้นมองข้ามไหล่อาม่าไปตามคำบอกเล่า ทันทีที่เห็นสิ่งผิดปกติ เวลาก็คลี่ยิ้มกว้างส่งให้ไอซ์ที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่แพ้กัน “ชอบไหมเวลา”

ชั่วขณะที่เด็กชายกำลังจะอ้าปากตอบพูด ดวงตาโศกคู่นั้นกลับเหลือบไปเห็นบิดายืนพิงกรอบประตูทางออกดาดฟ้า มองมาทางตน เจ้าตัวเล็กจึงเปลี่ยนใจ พยักหน้าถี่ ๆ ให้ไอซ์แทนเอ่ยคำ

“เนี่ย ป๊าเขาบอกให้พี่ไปเอามาให้เวลาเลี้ยงโดยเฉพาะเลยนะ” ว่าแล้ว ลูกมือพ่อครัวร้านขนมก็ยื่นแมวส้มหน้าตาเป็นมิตรส่งให้เด็กชายไปอุ้ม

“ทีนี้เวลาก็ได้เลี้ยงแมวแล้วนะ” อาม่าอมยิ้มพลางลูบหัวเวลาอย่างรักใคร่ก่อนจะหันไปสบตากับบุตรชายด้วยความรู้สึกโล่งอก

“ถึงจะไม่ใช่ลูกแมว แต่หน้าตามันบ้องแบ๊วมากเลยเนอะ” เวลาพยักหน้าเห็นด้วยกับไอซ์ก่อนจะหันไปยิ้มกับสัตว์เลี้ยงตัวแรกบนหน้าตัก ต่อให้เจ้าตัวนี้จะไม่ได้มีสีสันหรือลวดลายเหมือนกับลูกพี่ แต่ใบหน้ากลม ๆ กับเหนียงย้อย ๆ อีกทั้งพุงที่นุ่มนิ่มไม่แพ้กันก็ทำให้เด็กชายตกหลุมรักมันได้ไม่ได้ยาก

“ป๊าหาแมวมาให้แล้ว แต่ป๊า อาม่า กับพี่ไอซ์ไม่มีหน้าที่ดูแลมันนะ เวลาต้องให้อาหาร คอยเปลี่ยนถาดทรายเองทั้งหมด เข้าใจไหม” แม้จะยังขัดใจที่จนป่านนี้ ตนคือคนเดียวในบ้านที่ลูกชายไม่ยอมปริปากพูดด้วย แต่การได้เห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับคำโดยไม่มีน้ำตา ธามก็ไม่ถือสาหาความ “ป๊าห้ามเวลาเอามันไปนอนด้วยแล้วก็ห้ามมันเข้าไปเดินเพ่นพ่านในครัว และถ้ามันทำสกปรก เวลาต้องจัดการทำความสะอาดทันทีนะ”

“มันไม่ทำเรี่ยราดหรอกเฮีย ศูนย์แมวจรฯ บอกว่าไอ้ตัวเนี้ยเรียบร้อยจะตาย”

ธามเมินไอซ์ก่อนจะหันไปกำชับลูกชายเสียงเข้ม “ถ้าป๊าเจอมันฉี่เรี่ยราดหรือทำข้าวของเสียหาย ป๊าจะเอามันไปปล่อยทันทีเลยนะ”

“อาธาม!” หญิงชรามองปรามบุตรชายเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายทำลายบรรยากาศที่เริ่มสดใสด้วยน้ำลายเพียงไม่กี่หยด “เวลาทำตามที่ป๊าบอกได้ใช่ไหม”

เจ้าตัวเล็กพยักหน้าพลางยิ้มให้อาม่าด้วยความยินดีเป็นที่สุด

“ดี ๆ ” เจ้าหล่อนอมยิ้มพลางสอนหลานชายอย่างใจเย็น “ถ้าอยากให้มันมีความสุขและอยากให้มันอยู่กับเราไปนาน ๆ เวลาต้องไม่ทิ้งขว้าง ต้องไม่ปล่อยให้มันเหงานะ”

“มีแมวแล้วก็ต้องคอยดูแลมันให้ดี ๆ ล่ะ แล้วก็ไม่ต้องออกไปเล่นแมวที่ไหนอีก เข้าใจไหมเวลา”

เหตุผลที่ธามใจอ่อนยอมให้เลือดเนื้อเชื้อไขเลี้ยงสัตว์ทั้ง ๆ ที่ตนไม่เห็นด้วยเป็นเพราะชายหนุ่มต้องการไถ่ถอนความผิดที่เกิดขึ้นจากอารมณ์ชั่ววูบเมื่อเย็นวาน ที่สำคัญ หากการเลี้ยงแมวเพียงตัวเดียวจะสามารถทำให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเลิกไปสุงสิงกับเจ้าของร้านดอกไม้ตุ้งติ้งนั่นได้ตลอดกาล เขาก็ยินดีให้เวลาลองเลี้ยงสัตว์ดูสักตั้ง

ฟังแล้ว อาม่าก็ได้แต่ทอดถอนหายใจกับวิธีการพูดจาของลูกชายที่ไม่เคยพัฒนาเสียที ทว่าก่อนที่สถานการณ์จะแย่ลง ไอซ์กลับช่วยเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาแล้วเบี่ยงเบนความสนใจของเด็กชายได้ทันการณ์ “เวลาตั้งชื่อให้มันเลยสิ”

“ไม่เห็นต้องรีบเลยอาไอซ์” หญิงชราตีไม่อยากเร่งรัดจึงเอ่ยปรามเด็กหนุ่มเบา ๆ

“ไม่รีบได้ไงครับอาม่า คืนนี้อั๊วจะกลับไปทำป้ายชื่อมาติดให้มัน เผื่อมันหลงไปแถวไหนคนอื่นจะได้พามันมาส่งคืนถูกบ้านไงครับอาม่า” เจ้าของไอเดียปลอกคอหันไปหาเสียงกับเจ้าของแมวตัวจริง “ดีไหมเวลา เดี๋ยวพี่ใส่กระดิ่งให้มันด้วย เวลาจะได้ตามหามันง่าย ๆ ไง เอาเปล่า”

“กระดิ่งน่ะไม่ต้องเอาใหญ่มากนะไอซ์ กรุ๊งกริ๊ง ๆ ทั้งวันมันน่ารำคาญ” แค่คิดภาพตาม ธามก็เผลอขมวดคิ้วทำหน้าบอกบุญไม่รับ ลำพังแค่ยอมให้ลูกชายเลี้ยงแมวก็ลำบากใจจะแย่ ต่อไปยังต้องทนฟังเสียงกระดิ่งห้อยคอแมวตลอดทั้งวันอีกหรือนี่

โชคดีที่เวลาไม่ได้สนใจฟังคำพูดไม่รื่นหูของบิดา ซึ่งหากถามว่าเด็กชายกำลังทำอะไร เจ้าตัวคงตอบเดี๋ยวนั้นเลยว่า เขามัวแต่มองสำรวจแมวส้มบนตักอย่างสุขใจเพราะในที่สุดเขาก็มี ลูกน้อง เป็นของตัวเองเสียที

••••••

“ฮัลโหล”

อย่าหมั่นไส้ผมเลยถ้าผมจะบอกว่าเสียงพี่หนาวตอนใกล้ ๆ สามทุ่มเซ็กซี่มาก เพราะสำหรับผมแล้ว ถ้าไม่นับตอนที่องค์ท่าน HR Director ลงประทับร่าง เสียงทุ้ม ๆ นุ่ม ๆ เนิบ ๆ เจือแหบนิด ๆ ของลุงแกนี่แหละ คือ ความบันเทิงใจที่ไม่ว่าจะฟังเมื่อไร ผมก็รู้สึกเพลินหูชูกำลังดีเหลือเกิน

“คุณสะดวกคุยหรือเปล่าครับ”

ผมหมุนเก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานไปมาขณะรอลุ้นคำตอบของอีกฝ่าย ถ้าหากลุงไซด์ไลน์เซย์โน ผมก็จะดำดิ่งเข้าไปตามส่องชีวิตคุณคิมหันต์ผ่านเฟซบุ๊ค (ที่ผมเพิ่งได้อานิสงส์จากการตามแกะแท็กบนรูปถ่ายงานเลี้ยงคาราโอเกะเมื่อหลายวันก่อน) ซึ่งนั่นก็ไม่ได้แย่ แต่มันคงดีมากหากก่อนนอนคืนนี้ผมจะได้ยินเสียงพี่หนาวนาน ๆ

“ผมคุยได้ คุณมีอะไรหรือเปล่า” ฟังแล้วผมก็ชูกำปั้นร้องเยสเบา ๆ กับตัวเองด้วยความชอบใจก่อนจะแอ๊บเสียงสองซื่อใสก่อนตอบอีกฝ่ายราวกับไม่ได้ตั้งใจโทรไปรบกวน

“เปล่าครับ จริง ๆ ผมไม่ได้มีธุระอะไรหรอกครับ แต่ที่โทรมาเพราะผมไม่เห็นว่าคุณอ่านไลน์ที่ผมส่งไปเมื่อตอนเย็น ผมเลยโทรมาบอกว่าผมกลับถึงบ้านแล้วครับ คุณจะได้ไม่เป็นห่วง”

เนื่องจากบรรยากาศในรถเมื่อตอนเย็นค่อนข้างตึงเครียด ผมจึงไม่กล้าแย็บถามถึงปลาวาฬ พอไม่ได้ชวนคุยเรื่องลูกสาว ผมก็ต้องผิดหวังกลับบ้านอย่างไม่มีทางเลือก ยังดีที่ก่อนลงรถ พี่หนาวไม่ลืมกำชับให้ผมไลน์ไปหาเพื่อรายงานตัว ผมเลยรอเวลาจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายส่งเจ้าวาฬน้อยเข้านอนเรียบร้อยแล้วกดโทรหาลุงแกด้วยข้ออ้างสุดคลาสสิค... กลัวเขาเป็นห่วง

“ขอโทษที่ไม่ได้อ่านข้อความของคุณ ผมเพิ่งส่งปลาวาฬเข้านอนเสร็จเมื่อกี้นี้เอง”

“ถ้างั้นผมวางดีกว่าครับ” ถึงใจอยากคุยกับพี่หนาวแค่ไหน แต่พอรู้ว่าลุงแกน่าจะเหนื่อย ผมก็ทำตัวเอาแต่ใจไม่ลงเหมือนกัน

“ทำไมล่ะคุณ”

“ผมไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของคุณน่ะครับ”

“เมื่อกี้ผมไม่ได้บอกคุณเหรอว่าผมสะดวกคุย”

“อ่า บอกครับ” ผมไม่แน่ใจหรอกว่าคนปลายสายพูดแบบนั้นจริงหรือไม่ แต่ลองว่าพี่หนาวพูดมาแบบนี้ คนที่น่าเป็นห่วงคงไม่ใช่ผมแล้วล่ะ จุด ๆ นี้ เขาควรเริ่มเป็นห่วงตัวเองก่อนใครเพื่อน เพราะถ้าแบ็ตมือถือไม่หมด ก็อย่าหวังเลยว่าผมจะวางสายง่าย ๆ วะฮ่า ๆๆ

ว่าแต่ ผมเอากระดาษที่จดหัวข้อชวนคุยไปไว้ไหนวะ?

“เมื่อเย็นผมว่าจะถามคุณเรื่องนึง แต่ดันคุยเรื่องงานจนลืมไปเสียก่อน” ผมเลิกคุ้ยถังขยะทันทีที่ได้ยินประโยคล่าสุดของพี่หนาว

“คุณจะถามอะไรผมเหรอครับ” ผมลุ้นจนต้องกลืนน้ำลายพลางคิดไปต่าง ๆ นา ๆ

“เมื่อวานหลังจากที่คุณเข้าบ้านแล้ว พี่ชายกับน้องชายคุณว่าอะไรคุณหรือเปล่า”

“หืม? ทำไมพี่เอิงกับสามต้องว่าผมด้วยล่ะครับ” ผมเอียงคอพลางนึกสีหน้าคู่สนทนาในตอนนี้ ลุงแกจะกำลังขมวดคิ้วอยู่หรือเปล่านะ

“ผมเห็นพี่น้องคุณทำหน้าเครียด ๆ เลยกลัวว่าคุณจะมีปัญหา”

“อ๋อ พวกผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกันหรอกครับ” ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพี่หนาวเป็นห่วง แต่ความน่ารักแบบพ่อ ๆ ของอีกฝ่ายทำให้ผมกลั้นขำจนตัวสั่น โธ่ลุง สงสาร เครียดเรื่องผมมากไหมครับ

“เมื่อคืนพี่เอิงกับสามแค่สงสัยเลยเดินออกมาดูเพราะเห็นรถไม่คุ้นมาจอดอยู่หน้าบ้านน่ะครับ”

“ดีแล้ว ผมนึกว่าเขาจะว่าคุณที่กลับบ้านดึก ผมจะได้ช่วยอธิบายให้”

“โหย ผมโตป่านนี้แล้วนะครับ ต่อให้ผมไปค้างที่ไหนก็ไม่มีใครว่าผมหรอกครับ” ผมรีบอธิบายเพื่อให้คนฟังสบายใจ แต่แทนที่จะได้ผล อีกฝ่ายดันเผยตัวตนของคุณพ่อสายปกป้องชัดเจนยิ่งกว่าเดิมไปอีก

“พ่อแม่คุณเขาไม่ห่วงคุณเลยเหรอ”

“ไม่ใช่ไม่ห่วงนะครับ แต่เพราะตอนเรียนมหาลัย พวกผมสามคนพี่น้องสลับกันกลับบ้านไม่เป็นเวลาเท่าไร พอผมกลับ อีกเดี๋ยวพี่เอิงกับสามก็ออก นาน ๆ ถึงจะอยู่บ้านพร้อมกันเสียที พ่อแม่ผมเลยตัดปัญหาด้วยการทำข้อตกลงว่าจะปล่อยพวกผมให้ดูแลตัวเองกันอย่างเต็มที่ แต่ลองมาดูเดี๋ยวนี้สิครับ พวกผมนี่แหละที่ต้องคอยบ่นพ่อกับแม่เพราะพวกท่านชอบชวนกันหนีขึ้นห้องไปนอนก่อนทุกคืน” หลังจากพี่ชายผมเรียนมช. ได้ปีกว่า ๆ พ่อกับแม่ก็บอกผมกับไอ้สามว่าทันทีที่พวกผมจบมอปลาย พวกท่านจะให้อิสระกับพวกผมเหมือนที่คนโต ๆ เขาทำกัน แต่มีข้อแม้ว่าพวกผมสองคนจะต้องไม่สร้างปัญหาและต้องรับผิดชอบการเรียนเหมือนอย่างที่พี่เอิงเป็น

พอได้ยินคำตอบ พี่หนาวก็หัวเราะจนผมอดยิ้มตามไม่ได้ “แต่ถ้าคุณเป็นน้องผม ต่อให้คุณจะอายุเท่าไร ผมก็จะนั่งรอดุคุณเวลาคุณกลับบ้านดึกนะ”

“โอ้โห ขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ขณะพยายามจินตนาการถึงพี่หนาวเวอร์ชันพี่ชายจอมเฮี้ยบผมก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นแล้วเดินไปทิ้งตัวลงนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง

“ใช่ น้องสาวผมถึงได้ดีใจไงที่ผมย้ายมาอยู่กรุงเทพฯตั้งแต่เอนท์ติดแล้วก็ไม่เคยกลับไปอยู่ที่บ้านอีกเลย ไม่อย่างนั้นป่านนี้ยัยฝนคงยังไม่ได้แต่งงานหรอก”

ผมหลุดหัวเราะร่วนเพราะไม่คิดว่าลุงไซด์ไลน์จะเข้มงวดเบอร์นี้ “คุณพูดจริงเหรอครับ”

“จริงสิ ยัยฝนกลัวผมมากกว่าพ่อกับแม่อีกนะ”

“โห แล้วอย่างนี้ถ้าปลาวาฬมีแฟนล่ะครับ คุณจะว่ายังไง” ขนาดน้องสาวยังทำเข้มใส่ แล้วเจ้าวาฬน้อยของผมล่ะ โตไปแกจะไม่เครียดเพราะพ่อหวงแบบฮาร์ดคอร์เกินไปหรอกเหรอ

“ผมแล้วแต่ลูกเลย แต่ผมจะพยายามสอนปลาวาฬให้รักและเคารพตัวเองมาก ๆ ผมจะสอนแกให้รู้จักหน้าที่กับความรับผิดชอบที่คน ๆ หนึ่งพึงปฏิบัติ แล้วถ้าเมื่อไรที่แกพร้อมรับมือกับปัญหาเรื่องคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน เป็นแฟน หรือเป็นใคร ผมก็จะคอยดูแลแกอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น”

โอ้โห... หน้าหล่อไม่พอ ใจลุงยังหล่อมาก ปรบมือสิครับ รออะไร

“ผมว่าพวกเพื่อน ๆ ปลาวาฬต้องอิจฉาแกแน่ ๆ เลยครับที่แกมีพ่อดี ๆ แบบคุณ” ยิ่งนึกถึงปลาวาฬ ผมก็ยิ่งดีใจแทนแกที่พี่หนาวใจกว้างและทันสมัยมาก ต่อไปเจ้าตัวเล็กคงใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่กว่าเด็กหลายคนในรุ่นเดียวกัน แต่นึก ๆ แล้วก็อดสงสารน้องสาวแกไม่ได้ที่สมัยก่อนลุงไซด์ไลน์ไม่ได้เปิดกว้างอย่างทุกวันนี้

“ไม่หรอก จริง ๆ ตอนปลาวาฬคลอดใหม่ ๆ ป๊อบปี้เขาเคยถามผมเหมือนที่คุณถามนี่แหละ แต่ตอนนั้นผมไม่ได้ตอบแบบนี้หรอกนะ”

“แล้วตอนนั้นคุณตอบว่าไงครับ”

“ตอนนั้นผมบอกป๊อบปี้ไปว่าปลาวาฬยังเล็กอยู่ ไว้ให้ถึงเวลานั้นเมื่อไรแล้วค่อยมาคุยเรื่องนี้กัน”

“เหรอครับ”

“จริง ๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคิดเรื่องความรักของลูกหรอกนะ แต่ที่ผมตอบไปแบบนั้นเพราะผมรับไม่ได้มากกว่าถ้าปลาวาฬจะมีแฟน” ผมเพิ่งเข้าใจเอาตอนนี้เองว่าไม่ใช่แค่ปลาวาฬเท่านั้นที่เติบโตขึ้น พี่หนาวเองก็ได้เรียนรู้ อีกทั้งยังปรับเปลี่ยนตัวเองจนกลายเป็นคุณพ่อที่ดีกว่าเดิม แต่ว่าเพราะอะไรล่ะ

“ทำไมอยู่ ๆ คุณถึงยอมเปลี่ยนความคิดล่ะครับ”

“เพราะผมเคยถามแกเล่น ๆ ว่าแกคิดจะมีแฟนเมื่อไร แล้วคุณรู้ไหมว่าแกตอบผมว่าไง”

“ปลาวาฬตอบว่าไงเหรอครับ” ผมพลิกตัวนอนคว่ำ เอื้อมมือไปคว้าหมอนมารองใต้อกแล้วเท้าแขนใต้คางพลางกระดิกเท้ารอฟังคำตอบจากคนปลายสาย

พี่หนาวหัวเราะเบา ๆ อีกครั้งก่อนตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วขำ “แกบอกผมว่า แกจะมีแฟนตอนม.หนึ่ง เพราะหลังขึ้นม.หนึ่งแกจะได้เปลี่ยนชุดนักเรียนใหม่ ชุดนักเรียนพี่มัธยมสวย พอได้ใส่ชุดนักเรียนสวย ๆ แล้วแกก็จะมีแฟน”

ทีนี้เลยกลายเป็นว่าเราทั้งคู่ต่างพร้อมใจกันหัวเราะประสานเสียงอยู่พักใหญ่ ๆ ก่อนที่ผมจะเปรยขึ้นด้วยความอ่อนใจระคนเอ็นดู “โธ่เอ๋ยปลาวาฬ หนูเผลอทำคุณพ่อกลุ้มไม่รู้ตัวมาตั้งกี่ปีแล้วเนี่ย”

เมื่อเทียบกับปลาวาฬแล้ว ตอนเด็ก ๆ ผมไม่เคยคิดเรื่องแฟนเลย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพ่อกับแม่ไม่เคยถามผมแบบที่พี่หนาวถามลูก แต่เหตุผลหลัก ๆ เป็นเพราะพวกผมสามคนพี่น้องตัวติดกันเป็นตังเม วัน ๆ ถ้าไม่ตะลอน ๆ ออกไปเล่นข้างนอก ก็ขลุกสุมเป็นก้อนอยู่ในบ้านแล้วชวนกันอ่านการ์ตูนไม่ก็เล่นเกม พอขึ้นมหาลัย ได้ลองเริ่มใช้ชีวิตเด็กหอเต็มตัว ผมก็สนุกกับการเรียนวิชาที่รักไปพร้อม ๆ กับทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่วัยเดียวกัน ผมเลยไม่คิดอยากมีแฟน

“หึ ๆ ผมเข้าใจแกนะ... ที่แกตอบแบบนั้นเพราะเพราะแกยังเด็ก แต่พอฟังคำตอบของแกแล้วผมก็คิดได้ว่าผมไม่มีทางคอยเฝ้าประคบประหงมลูกได้ตลอดเวลา ยิ่งเราอยู่ในสังคมที่ทุกอย่างมันเร็วทันใจไปหมด ผมไม่มีทางรู้เลยว่าสื่อต้องห้ามกับสิ่งยั่วยุจะเข้าถึงตัวปลาวาฬเมื่อไร เพราะฉะนั้น แทนที่จะคอยห้ามลูกเหมือนที่เคยทำกับน้อง ผมควรจะเตรียมความพร้อมให้แก เพื่อที่แกได้ดูแลและปกป้องสิทธิของตัวเองได้ไม่ว่าจะมีผมหรือป๊อบปี้อยู่ข้าง ๆ แกหรือไม่”

“การเลี้ยงเด็กสักคนนี่ยากจริง ๆ นะครับ” ผมอดเห็นใจคนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ได้ เพราะถ้าไม่ได้รับอุปถัมภ์เลี้ยงดูเด็กสักคน เกย์แบบผมคงไม่มีวันได้สัมผัสประสบการณ์ทั้งหลายแบบที่พี่หนาวเผชิญอยู่ทุกวันแน่ ๆ

“ใช่ แต่ถึงจะยากมันก็มีความสุขมากนะคุณ ไม่อย่างนั้นพ่อแม่คุณจะมีลูกตั้งสามคนเหรอ”

คำถามของพี่หนาวทำผมหัวเราะลั่นก่อนจะเผาครอบครัวตัวเองให้อีกฝ่ายฟังอย่างไม่คิดปิดบัง “ไม่รู้สิครับ ตอนเด็ก ๆ เวลาที่ผมงอแงมาก ๆ พี่เอิงเคยขู่ผมว่าจริง ๆ แม่อยากได้ลูกผู้หญิง ท่านไม่ได้อยากมีผม พอผมกลายเป็นพี่ ผมเลยเอาไอ้ที่พี่ชายเคยขู่ผมมาข่มน้องต่ออีกที ขู่กันไปขู่กันมา ไอ้สามดันร้องไห้แล้ววิ่งไปฟ้องแม่ พอโดนแม่ดุ ผมก็ซัดทอดพี่ สุดท้ายพวกผมพี่น้องเลยโดนแม่จับตีเรียงตัวจนไม่มีใครกล้าถามแม่ดูสักทีว่าจริง ๆ แล้วแม่อยากมีพวกเราเป็นลูกไหม”

“คุณกับพี่น้องนี่สนิทกันน่าดูเลยนะ”

“ครับ ได้ไม้เรียวแม่ช่วยไว้เลยครับ ไม่งั้นพวกผมคงไม่สนิทกันเบอร์นี้”

“ฮะ ๆๆๆ ” ฟังเสียงหัวเราะของพี่หนาวแล้วผมก็มีความสุข คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ตัดสินใจโทรไปหาอีกฝ่าย เพราะถ้าต้องคุยแบบเห็นหน้ากัน ผมคงเขินลุงแกจนไม่กล้าเล่าเรื่องเปิ่น ๆ ของตัวเองเป็นวรรคเป็นเวรแบบนี้หรอก “พี่ชายกับน้องชายคุณห่างจากคุณกี่ปีเหรอ”

“พวกเราห่างกันคนละสองปีครับ”

“แม่กับพ่อผมขยัน ผมกับน้องสาวเกิดห่างกันไม่ถึงปีดี”

“โห ขยันจริงด้วยครับ” จังหวะที่ผมกำลังจะถามเรื่องน้องสาวของพี่หนาวคอมพิวเตอร์ก็ส่งเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นติด ๆ กัน

“คุณติดธุระอะไรหรือเปล่า”

ผมรีบกระโดดลงจากเตียงแล้วกระโจนกลับไปที่โต๊ะพลางตอบคู่สนทนา “เปล่าครับ แค่เสียงแมสเซ็นเจอร์กับเฟซบุ๊คดังเฉย ๆ ” รู้อย่างนี้ เมื่อกี้ปิดเสียงลำโพงก่อนเสียก็ดี

“ถ้าอย่างนั้นผมวางก่อนดีกว่า เผื่อคุณต้องคุยกับเพื่อน”

“ไม่เป็นไรครับ ผมคุยต่อได้” ในที่สุดผมก็ปิดปากคอมพิวเตอร์ของตัวเองได้สำเร็จ

ใครมันรัวกดไลค์นักหนาวะ ผมนึกพลางคลิกเมาส์เช็กกล่องข้อความแจ้งเตือนก่อนจะต้องถอนหายใจเมื่อเห็นชื่อเจ้ากรรมนายเวรในรูปแฟนเก่าของอดีตแฟนฟลัดไทม์ไลน์ผมเสียเละเทะ... พี่เมธแม่งจะต้องมีอะไรกับผมสักอย่างแล้วล่ะ

“อย่าเลยคุณ ผมว่าผมวางเลยดีกว่า สามทุ่มกว่าแล้ว คุณจะได้พักผ่อนด้วย”

ถึงจะเสียดาย แต่ผมก็อดเห็นด้วยกับอีกฝ่ายไม่ได้เพราะขนาดผมยังเริ่มง่วงนิด ๆ แล้วคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ต้องทั้งทำงาน ทั้งเลี้ยงลูกสาวห้าวันต่อสัปดาห์ล่ะจะเหนื่อยแค่ไหน “ก็ได้ครับ”

“ฝันดีนะคุณ”

“ฝันดีเหมือนกันครับ” แม้คืนนี้พี่หนาวจะบอกฝันดีกับผมก่อนนอนก็จริง แต่ข้อความเนื้อหาเดิม ๆ ของคนบางคนกำลังทำให้ผมหงุดหงิดเป็นที่สุด

วันนี้พี่โทรไปหาแต่ทูคงไม่สะดวกรับสาย
ขอโทษนะ แต่พี่คงต้องรบกวนทูจริง ๆ
วันนี้บูมก็ยังไม่โทรหาพี่เลย
ถ้ายังไงทูช่วยบอกบูมให้โทรหาพี่หน่อยนะครับ
พี่ไม่รู้จะทำยังไงจริง ๆ พี่เป็นห่วงบูมมาก ช่วยพี่หน่อยนะครับทู
เห็นใจพี่เถอะนะครับ ขอบคุณครับ

สองเดือนแล้วนะ ทำไมพี่เมธกับพี่บูมถึงไม่ปล่อยผมไปเสียที


••• TBC ••


ถึงตอนนี้จะเรื่อย ๆ แต่หนุ่ม ๆ ก็เต๊าะกันไม่เหนื่อยเลยเนอะ
ตอนนี้พี่เชนกับลูกพี่ไม่มานะคะ ทั้งคู่หลบไปเลียแผลใจหนี่งตอน
อย่างไรก็ดี ขอให้ทุกท่านปรบมือต้อนรับเจ้านายท่านใหม่... ลูกน้อง ค่ะ เย่!
(ใครแพ้แมวส้มยกชูรักแร้ไหว ๆ หน่อยเร้ว!)   
อ่านแล้วชอบ หรือไม่ชอบอย่างไร อย่าลืมติดแท็ก #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก #คันหิมบ้างนะคะ ^^