#15
อยากให้โทรหากันหน่อย
โทรหากันหน่อย เพียงสักครั้งนะเธอ
ฝากข้อความให้โทรกลับ
เธอก็ไม่เคย คิดแล้วใจวุ่นวาย
โทรหากันหน่อย - เจมส์ เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์
…………………………………………………………………………………………………………
ผมเห็นคุณแล้ว เดี๋ยวผมเดินไปหานะ
“อุ๊ย!” เสียงหวีดของพี่ฟี่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามทำให้ยีนส์สะดุ้งเบา ๆ จากนั้นน้องเล็กก็เขย่าแขนผมอย่างบ้าคลั่ง
ส่วนตัวผมที่แม้จะรู้ล่วงหน้าว่าอะไรเป็นอะไร แต่ที่สุดแล้วผมก็ยอมละสายตาจากข้อความที่พี่หนาวเพิ่งส่งเข้าเครื่องเพื่อให้สองสาวหยุดดีดดิ้น
“อะไร”
“พี่ทู ๆ ดูสิคะว่าใครมาหา” น้องนุชสุดท้องยิ้มกรุ้มกริ่มพลางเอนตัวกระแทกไหล่ผมคล้ายจะแหย่
แต่ผมกลับแสร้งตีมึนเก๊กแมนไม่ยี่หระทั้ง ๆ ที่ใจเต้นผับ ๆ ด้วยจังหวะอีดีเอ็ม
“กินข้าวเสร็จหรือยังทู”
“สักพักแล้วครับ” ผมพยักหน้าพลางยกมุมปากนิด
ๆ ให้ท่าน HR Director ก่อนจะหันไปบอกสมาชิกในทีมเร็ว ๆ “พี่ฟี่กับยีนส์ขึ้นข้างบนไปก่อนเลยนะครับ
ไม่ต้องรอผม”
“จ้า ไปนาน ๆ เลยก็ได้นะ พวกเราเข้าใจ”
“ค่า ขอให้สนุกนะคะพี่ทู”
ลำพังแค่รับมือพี่ฟี่คนเดียวก็เหนื่อยจะแย่
แต่นี่จูเนียร์ดันส่งสายตาล้อเลียนมองผมสลับกับท่าน HR Director อย่างโจ่งแจ้ง ผมเลยอาศัยจังหวะที่พี่หนาวหันหลัง
ผมแอบถลึงตาแล้วชี้นิ้วขู่ยีนส์ด้วยความหมั่นไส้และเจ็บใจตัวเองอยู่ในที “เดี๋ยวเถอะ!” ถ้าทั้งคู่จะรู้ทันเบอร์นี้ ผมเชื่อว่ากี่สิบกี่ร้อยคำอธิบายคงไม่จำเป็นกับสายเม้าท์อย่างสองคนนี้แล้วล่ะมั้ง
“นี่ครับ ร้านนี้แหละ” ผมหันไปบอกคนที่เดินตามหลังทันทีที่พาอีกฝ่ายมาส่งยังหน้าร้านขนมเป็นที่เรียบร้อย
พี่หนาวกวาดตามองไปทั่วแผงพลางเปรยลอย
ๆ อย่างพอใจ “ขนมเขาเยอะดีนะ”
“ครับ”
“คุณช่วยผมเลือกหน่อยสิ”
“อย่าดีกว่าครับ
ผมไม่รู้ว่าปลาวาฬชอบกินขนมแบบไหน” ถึงปากจะบอกไปแบบนั้น
แต่ผมก็พยายามเฟ้นหาตัวเลือกที่น่าจะเหมาะกับเจ้าวาฬน้อยอยู่ในใจ โชคดีที่คนขายกำลังติดพันกับลูกค้าคนอื่น
พวกเราจึงมีเวลาดูของโดยไม่ต้องเร่งรีบนัก
ระหว่างกำลังตั้งใจวิเคราะห์ส่วนผสมของขนมแต่ละถุง
ผมก็รู้สึกว่าสีข้างตัวเองชนเข้ากับแขนของคนที่มาด้วยกัน รู้ดังนั้น
ผมจึงสไลด์ตัวเขยิบหลบไปอีกข้างทว่ากลับโดนแผ่นหลังของสาว ๆ ลูกค้าร้านยำมะม่วงที่อยู่ติดกันดันออกมา
ผลสุดท้ายผมก็ต้องจำยอมให้ท่อนแขนแน่น ๆ ของลุงไซด์ไลน์ประกบติดชิดลำตัวอยู่เหมือนเดิม
อุณหภูมิที่เกิดจากความชิดใกล้ทำให้ประหม่าจนไม่กล้าหันกลับไปมองว่าเพราะอะไรลุงไซด์ไลน์ถึงยืนใกล้คล้ายตั้งใจจะสิงกัน
ยิ่งเมื่อกี้ที่อีกฝ่ายชะโงกหน้าเข้ามาแล้วพูดเสียงเบาตรงข้าง ๆ หูด้วยแล้ว
สติสตังของผมก็ยิ่งกระเจิดกระเจิง “คุณเลือกที่ไม่หวานมาก
หรือไม่ก็เลือกเหมือนที่ซื้อให้ผมเมื่อวันนั้นก็ได้”
“คะ... ครับ” ผมก้มหน้าก้มตาเลือกขนมให้ตามบัญชาท่าน
HR Director พลางปลอบใจตัวเองว่าร้านขนมนี่เล็กจะตาย
ต่อให้ต้องโดนพี่หนาวยืนเกยหลังกอดไหล่ ผมก็ไม่ควรโวยวายหรือเปล่าวะ
“วันนี้ประชุมเป็นยังไงบ้าง”
น้ำเสียงเป็นห่วงของคนข้าง ๆ ทำให้ผมนึกทบทวนถึงเรื่องที่ประชุมเมื่อเช้าก่อนจะลอบถอนหายใจ
ถึงแม้วันนี้คุณเซียงจะเลิกมองค้อนผมจนตาแทบหลุดเหมือนช่วงก่อน ๆ แล้วก็ตาม แต่ทีมยูสเซอร์ทั้งหมดกลับขอร้องแกมบังคับให้พวกผมทำงานในส่วนที่ไม่จำเป็นเพิ่มเติมไปอีก
“จริง ๆ
ก็ยังมีเรื่องที่ต้องตกลงกับพวกคุณมิ้มนิดหน่อยครับ
แต่คิดว่าถ้าอธิบายให้แกฟังอีกที ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
“ผมไม่เข้าใจ”
พี่หนาวขมวดคิ้วพลางมองหน้าผมอย่างจริงจัง แม้ลึก ๆ ผมจะอยากเล่ารายละเอียดให้อีกฝ่ายฟัง
แต่เมื่อเหลือบดูเวลาเทียบกับสาระที่ต้องพูดแล้ว
ผมคิดว่าอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องรับรู้เรื่องหยุมหยิมคราวนี้หรอก
“เรื่องมันเล็กมากเลยครับ
คุณไม่ต้องเข้าใจก็ได้” ว่าแล้วผมก็ยื่นถุงขนมที่ตรงตามข้อแม้ทั้งหลายใส่มือคู่สนทนา
“สามถุงพอไหมครับ”
“หึ!” เห็นพี่หนาวส่ายหัวป้อย ๆ ผมก็ตกใจเพราะเผลอคิดว่าลุงแกจะซื้อขนมไปถมที่
แต่การปฏิเสธเมื่อครู่นี้กลับไม่ใช่คำตอบสำหรับเรื่องจำนวนขนม “ถึงจะเรื่องเล็กแค่ไหนผมก็อยากฟัง
เดี๋ยวเย็นนี้คุณค่อยเล่าให้ผมฟังบนรถอีกที” ท่าน HR Director เอ่ยเสียงเรียบแบบที่ใครฟังก็รู้ว่า เจ้าตัวกำลังสั่งด้วยจิตวิญญาณของผู้บริหารซึ่งผู้ให้บริการอย่างผมไม่ควรปฏิเสธ
.
.
.
.
“สรุปว่าลูกน้องผมขอให้ทีมคุณออกแบบรายงานสำเร็จรูปซ้ำซ้อนเหรอ”
นอกเหนือไปจากจะตั้งใจฟังผมไล่เรียงเหตุการณ์เมื่อเช้าแล้ว ผมมั่นใจว่าพี่หนาวคงจะอ่านอีเมลบันทึกการประชุมมาด้วยเช่นกัน
ไม่อย่างนั้นลุงแกคงสรุปรวบตึงทุก ๆ ประเด็นจบในประโยคเดียวได้แน่ ๆ
“ครับ” เมื่อมั่นใจว่าคู่สนทนาตามทัน ผมจึงเริ่มอธิบายเจาะลึกเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจปัญหาได้ดียิ่งขึ้น
“ปกติแล้วถ้าเป็นรายงานมาตรฐานตัวที่ใช้บ่อย ๆ คอนซัลท์จะทำรองรับไว้ให้ทั้งหมดอยู่แล้วครับ
ที่สำคัญระบบยังมีฟีเจอร์ให้ยูสเซอร์เลือกดึงข้อมูลเพื่อออกรายงานเบ็ดเตล็ดได้อย่างอิสระ
เพียงแต่ต้องตั้งค่าก่อนออกรายงานทุกครั้งน่ะครับ”
“อืม” คนขับครางรับสั้น ๆ
ก่อนจะเคาะนิ้วกับพวงมาลัยคล้ายกำลังครุ่นคิด ผมเลยรีบอัดข้อมูลต่อก่อนที่ท่านผู้บริหารขี้สงสัยจะตั้งคำถาม
“แต่ถ้าต้องการรายงานในรูปแบบเฉพาะเจาะจงเพื่อวัตถุประสงค์ปลีกย่อยอื่น
ๆ แต่ไม่อยากใช้ฟีเจอร์นี้ ยูสเซอร์ก็สามารถดึงรายงานมาตรฐานแล้วเซฟเป็นไฟล์เอ็กเซลก่อนจะลบข้อมูลที่ไม่ต้องการออกเองน่ะครับ”
“ที่คุณบอกว่าซ้ำซ้อนเพราะคุณมิ้มอยากให้คุณทำรายงานสำเร็จรูปที่คล้าย
ๆ กับรายงานหลัก เวลาใช้งานเขาจะได้ไม่ต้องทำอะไรยุ่งยากเองใช่ไหม”
“ครับ” ผมพยักหน้าแรงเมื่อประโยคล่าสุดคือสิ่งที่ทีมคอนซัลท์โดนบี้มาจริง
แม้พี่หนาวจะเป็นถึงผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดในทุก
ๆ กรณี แต่เมื่อสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายพร้อมรับฟังอย่างเป็นกลาง
หนำซ้ำยังคอยกระตุ้นถามเป็นระยะ ๆ ที่สุดแล้วผมก็ยอมพ่ายแพ้ ผมสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ
พร้อม ๆ กับค่อย ๆ เรียบเรียงจัดระเบียบความคิดใหม่อีกครั้ง
“ถ้าถามผม ผมไม่แนะนำให้ครีเอทรายงานสำเร็จรูปเยอะเกินไป
เพราะนอกจากจะทำให้สับสนจนไม่ได้ใช้งานจริงทั้งหมดแล้ว ยิ่งจำนวนรายงานมากเท่าไร
ค่าใช้จ่ายก็จะยิ่งบานปลาย แถมต่อไปหากต้องการปรับเปลี่ยนสูตรคำณวนหรือเงื่อนไขสำคัญในการออกรายงาน
มันจะกระทบกับรายงานทั้งหมด ยิ่งมีจำนวนรายงานมากก็ยิ่งกระทบมากครับ”
“ที่คุณพูดมาทั้งหมดนี่พวกคุณมิ้มรู้แล้วใช่ไหม”
ผมหันไปสบตาพี่หนาวก่อนจะพยักหน้ายืนยันอย่างหนักแน่น
“ครับ”
“อืม ผมเข้าใจคุณนะแต่คุณจะแก้ปัญหานี้ยังไงล่ะ”
คนขับไม่ได้ละสายตาจากท้องถนนตรงหน้า แต่คิ้วเข้ม ๆ ที่ขมวดเป็นปมกับริมฝีปากน่าจูบที่เม้มเป็นเส้นตรงของเขากลับทำให้ผมแอบอมยิ้มกับตัวเองด้วยความปลื้มปริ่มในใจ
ผมไม่ได้โดนพวกคุณมิ้มกดดันจนเป็นบ้า
แต่สีหน้าเคร่งเครียดที่คนขับเผลอทำอยู่ในตอนนี้บอกกับผมว่า ในช่วงเวลาแย่ ๆ ลุงแกก็พร้อมจะเป็นเดือดเป็นร้อนไปกับผมด้วย
“เดี๋ยวพี่ฟี่แกจะลองคุยกับคุณมิ้มใหม่ตอนประชุมกันรอบหน้าครับ
ระหว่างนี้พวกผมจะคอยโน้มน้าวยูสเซอร์นอกรอบอีกที แต่ถ้าไม่ได้ผลก็คงต้องแจ้งเรื่องให้
management รับทราบปัญหาไว้ล่วงหน้าเพราะจำนวนรายงานที่เยอะเกินไปอาจทำให้ขั้นตอนอื่น
ๆ ล่าช้าน่ะครับ”
“ผมช่วยอะไรคุณได้ไหม”
“ไม่ต้องหรอกครับ พวกผมจัดการได้” ว่ากันตามจริง
เรื่องนี้ไม่ได้สำคัญถึงขั้นต้องรายงานท่านหัวหน้าขาใหญ่รับทราบ แต่พอได้เปิดอกระบายความอัดอั้นออกไปบ้าง
เงื่อนไขยิบย่อยที่ลูกน้องลุงแกเรียกร้องจึงยิ่งดูจิ๊บจ๊อยไปกันใหญ่
คนขับผงกหัวหงึกหงักก่อนจะนิ่วหน้าแล้วหันมามองผมสลับกับกระเป๋าสะพายบนหน้าตัก
“มีคนโทรหาคุณหรือเปล่า”
“อ๋อ เอ้อ ครับ” เมื่อครู่ผมคงจมกับเรื่องงานมากไปหน่อยเลยไม่ทันรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนบนหน้าตัก
พอโดนพี่หนาวทัก ผมเลยจำใจต้องล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าอย่างเสียไม่ได้
“เฮ่อ” ผมถอนหายใจเมื่อเห็นหมายเลขแปลก
ๆ สิบกว่าหลักบนหน้าจอ โทรมาอีกแล้ว... ตื๊อเก่งไปอีก
โดยมากแล้วผมมักจะกดตัดสายหมายเลขเจ้าปัญหานี้ได้ทันหลังจากเครื่องสั่นไม่นาน
แต่วันนี้ผมพลาดหนักมากหนำซ้ำยังเอ๋อขนาดที่เผลอกดตัดสายต่อหน้าต่อตาพี่หนาวเสียด้วย
พอเบอร์แปลก ๆ นั่นโทรกลับมาอีกครั้งคนข้าง ๆ เลยหันหน้ามาถามกันอย่างสนอกสนใจคล้ายกับเป็นคนปลายสายเสียเอง
“ไม่รับสายเหรอคุณ”
เท่าที่จับตาดูเรื่องผิดปกติในชีวิตช่วงนี้อยู่พักใหญ่
ผมสังหรณ์ใจว่าเจ้าของเบอร์ที่โทรมาเมื่อครู่เป็นคนที่ผมพยายามเลี่ยงอยู่ เพราะหากลองย้อนดูประวัติการโทรตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมาจะพบว่า
หมายเลขต่างประเทศเบอร์นี้มักจะโทรเข้าเครื่องผมหลายต่อหลาย ๆ ครั้งช่วงหลังเลิกงานของทุกวันก่อนจะยอมตัดสายไปเมื่อรู้ว่าผมไม่คิดอยากคุย
ผมแค่นยิ้มก่อนจะฝืนปั้นหน้าพลางมุสาด้วยน้ำเสียงปกติ
“ผมเคยรับแล้วครับ แต่ผมคิดว่าเขาน่าจะโทรผิด เพราะเขาพูดภาษาแปลก ๆ
เหมือนเป็นพวกแขกน่ะครับ”
“อืม” โชคดีที่พี่หนาวเพียงแค่พยักหน้าแต่ไม่ได้ซักไซ้อะไรผมมากมายหลังจากนั้น
••••••
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ เด็กชายกาลกมลก็หลบสายตาทุกคู่วิ่งขึ้นมานั่งตากลมตามลำพังอยู่บนดาดฟ้า
ผลพวงจากเหตุการณ์เมื่อวานนำพาความโศกเศร้าให้หวนคืนมาอีกครั้ง การสูญเสียฉับพลันทำให้เวลาเฝ้านึกถึงผู้คนที่คงไม่มีวันได้พบกันอีก
ทั้งมารดาที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปลายปีก่อน รวมถึงคุณลุงใจดีเจ้าของเพื่อนใหม่สี่เท้าสุดนุ่มนิ่มตัวนั้น
จริงอยู่ที่เขาอาจจะยังเด็ก แต่เวลาจดจำความเจ็บปวดของการถูกพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักได้เป็นอย่างดี
ครั้งก่อน อาม่าบอกว่าหม่าม้าไม่สบาย เทวดาเลยเหาะลงมาพาหม่าม้าขึ้นไปอยู่ด้วยกันบนสวรรค์
แต่คราวนี้ไม่เห็นมีใครเป็นอะไร ทำไมป๊าถึงต้องห้ามด้วย
“มาอยู่นี่เอง อาม่าเดินหาตั้งนาน”
หญิงชราพักสูดหายใจเข้าเต็มปอดอยู่ครู่ใหญ่เพื่อปรับลมหายใจให้เป็นปกติ “พรุ่งนี้อาม่าจะตื่นมานึ่งหนมจ้างให้กินนะ
หนมจ้างใส่เผือกกวนกับเกาลัดที่เวลาชอบกินไง กินแต่เช้าเลยดีไหม”
“...” ยิ่งเห็นใบหน้าเหงาหงอยของหลานชาย
หญิงชราก็ยิ่งรู้สึกอดสูเสียจนต้องคว้าตัวอีกฝ่ายเข้ามากอด “... ลูกพี่...”
แม้น้ำเสียงแผ่วเบาของหลานชายจะฟังแทบไม่เป็นคำ
แต่ความอาดูรที่แทรกซึมผ่านท่อนแขนเล็ก ๆ แสนเปราะบางบนแผ่นหลังของหล่อนก็ทำให้หญิงชราเข้าใจความหมายซึ่งอีกฝ่ายต้องการสื่อสารได้เป็นอย่างดี
“เวลารู้ใช่ไหมว่าบ้านเราเลี้ยงแมวไม่ได้”
“รู้ครับ”
อาม่าลูบเส้นผมนุ่มนิ่มของเด็กชายครั้งแล้วครั้งเล่าคล้ายกำลังปัดเป่าความโศกเศร้าทั้งหลายออกไปจากร่างกายเล็ก
ๆ ในอ้อมอก “เอาไว้วันไหนอาม่าจะบอกป๊าให้ปิดร้าน แล้วพวกเราไปสวนสัตว์ด้วยกันนะ”
เด็กชายห่อตัวเป็นก้อนเล็ก ๆ
ก่อนจะพิงซบอกอาม่าพลางรับคำอย่างเซื่อง ๆ “ครับ”
“ป๊าเขาเป็นห่วง
ไม่อยากให้เวลาไปเล่นไกลหูไกลตา เวลาเข้าใจป๊านะ” ภายหลังจากการสูญเสียครั้งใหญ่เมื่อปลายปีที่แล้ว
เพื่อประคับประคองให้ครอบครัวยังคงเป็นครอบครัวอยู่ได้
หญิงชราจำต้องรับบทกาวใจให้แก่เลือดเนื้อเชื้อไขทั้งสองรุ่นมาโดยตลอด
สำหรับครั้งนี้ แม้หล่อนจะไม่ยินดีกับการตัดสินใจของบุตรชาย แต่ครั้นจะเพิกเฉยปล่อยให้เวลาตั้งแง่ต่อต้านบิดาต่อไปเรื่อย
ๆ หล่อนก็ทำใจไม่ได้เหมือนกัน
“เวลา!” เสียงร้องเรียกของไอซ์ที่เพิ่งวิ่งพ้นประตูชั้นบนดาดฟ้าได้ไม่ถึงอึดใจฟังดูแตกตื่นกว่าทุกที
“เวลาดูอะไรนี่เร็ว!”
อาม่ารีบหันกลับไปด้วยตั้งใจจะดุเด็กในร้านที่ตะโกนโหวกเหวกผิดวิสัย
แต่เมื่อหล่อนเห็นบางอย่างในมือไอซ์ หญิงชราก็ยิ้มกริ่มพลางออกปากคะยั้นคะยอหลานชายตามไปอีกคน
“เวลา ดูซิว่าพี่ไอซ์อุ้มอะไรมา”
จนถึงตอนนี้ เวลาก็ยังคงซุกหน้ากับอกหล่อนนิ่ง
ๆ หญิงชราผลักหลานออกห่างพลางกระตุ้นซ้ำ “ดูเร็วเวลา
เชื่ออาม่าสิว่าถ้าเห็นแล้วเวลาต้องชอบ”
หลังจากโดนรบเร้า ที่สุดแล้วเด็กชายก็ยินยอมชะโงกหน้าขึ้นมองข้ามไหล่อาม่าไปตามคำบอกเล่า
ทันทีที่เห็นสิ่งผิดปกติ เวลาก็คลี่ยิ้มกว้างส่งให้ไอซ์ที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่แพ้กัน
“ชอบไหมเวลา”
ชั่วขณะที่เด็กชายกำลังจะอ้าปากตอบพูด ดวงตาโศกคู่นั้นกลับเหลือบไปเห็นบิดายืนพิงกรอบประตูทางออกดาดฟ้า
มองมาทางตน เจ้าตัวเล็กจึงเปลี่ยนใจ พยักหน้าถี่ ๆ ให้ไอซ์แทนเอ่ยคำ
“เนี่ย ป๊าเขาบอกให้พี่ไปเอามาให้เวลาเลี้ยงโดยเฉพาะเลยนะ”
ว่าแล้ว ลูกมือพ่อครัวร้านขนมก็ยื่นแมวส้มหน้าตาเป็นมิตรส่งให้เด็กชายไปอุ้ม
“ทีนี้เวลาก็ได้เลี้ยงแมวแล้วนะ” อาม่าอมยิ้มพลางลูบหัวเวลาอย่างรักใคร่ก่อนจะหันไปสบตากับบุตรชายด้วยความรู้สึกโล่งอก
“ถึงจะไม่ใช่ลูกแมว แต่หน้าตามันบ้องแบ๊วมากเลยเนอะ”
เวลาพยักหน้าเห็นด้วยกับไอซ์ก่อนจะหันไปยิ้มกับสัตว์เลี้ยงตัวแรกบนหน้าตัก ต่อให้เจ้าตัวนี้จะไม่ได้มีสีสันหรือลวดลายเหมือนกับลูกพี่
แต่ใบหน้ากลม ๆ กับเหนียงย้อย ๆ อีกทั้งพุงที่นุ่มนิ่มไม่แพ้กันก็ทำให้เด็กชายตกหลุมรักมันได้ไม่ได้ยาก
“ป๊าหาแมวมาให้แล้ว แต่ป๊า อาม่า
กับพี่ไอซ์ไม่มีหน้าที่ดูแลมันนะ เวลาต้องให้อาหาร คอยเปลี่ยนถาดทรายเองทั้งหมด
เข้าใจไหม” แม้จะยังขัดใจที่จนป่านนี้ ตนคือคนเดียวในบ้านที่ลูกชายไม่ยอมปริปากพูดด้วย
แต่การได้เห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับคำโดยไม่มีน้ำตา ธามก็ไม่ถือสาหาความ
“ป๊าห้ามเวลาเอามันไปนอนด้วยแล้วก็ห้ามมันเข้าไปเดินเพ่นพ่านในครัว
และถ้ามันทำสกปรก เวลาต้องจัดการทำความสะอาดทันทีนะ”
“มันไม่ทำเรี่ยราดหรอกเฮีย ศูนย์แมวจรฯ
บอกว่าไอ้ตัวเนี้ยเรียบร้อยจะตาย”
ธามเมินไอซ์ก่อนจะหันไปกำชับลูกชายเสียงเข้ม
“ถ้าป๊าเจอมันฉี่เรี่ยราดหรือทำข้าวของเสียหาย ป๊าจะเอามันไปปล่อยทันทีเลยนะ”
“อาธาม!” หญิงชรามองปรามบุตรชายเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายทำลายบรรยากาศที่เริ่มสดใสด้วยน้ำลายเพียงไม่กี่หยด
“เวลาทำตามที่ป๊าบอกได้ใช่ไหม”
เจ้าตัวเล็กพยักหน้าพลางยิ้มให้อาม่าด้วยความยินดีเป็นที่สุด
“ดี ๆ ” เจ้าหล่อนอมยิ้มพลางสอนหลานชายอย่างใจเย็น
“ถ้าอยากให้มันมีความสุขและอยากให้มันอยู่กับเราไปนาน ๆ เวลาต้องไม่ทิ้งขว้าง
ต้องไม่ปล่อยให้มันเหงานะ”
“มีแมวแล้วก็ต้องคอยดูแลมันให้ดี ๆ ล่ะ
แล้วก็ไม่ต้องออกไปเล่นแมวที่ไหนอีก เข้าใจไหมเวลา”
เหตุผลที่ธามใจอ่อนยอมให้เลือดเนื้อเชื้อไขเลี้ยงสัตว์ทั้ง
ๆ ที่ตนไม่เห็นด้วยเป็นเพราะชายหนุ่มต้องการไถ่ถอนความผิดที่เกิดขึ้นจากอารมณ์ชั่ววูบเมื่อเย็นวาน
ที่สำคัญ หากการเลี้ยงแมวเพียงตัวเดียวจะสามารถทำให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเลิกไปสุงสิงกับเจ้าของร้านดอกไม้ตุ้งติ้งนั่นได้ตลอดกาล
เขาก็ยินดีให้เวลาลองเลี้ยงสัตว์ดูสักตั้ง
ฟังแล้ว อาม่าก็ได้แต่ทอดถอนหายใจกับวิธีการพูดจาของลูกชายที่ไม่เคยพัฒนาเสียที
ทว่าก่อนที่สถานการณ์จะแย่ลง ไอซ์กลับช่วยเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาแล้วเบี่ยงเบนความสนใจของเด็กชายได้ทันการณ์
“เวลาตั้งชื่อให้มันเลยสิ”
“ไม่เห็นต้องรีบเลยอาไอซ์”
หญิงชราตีไม่อยากเร่งรัดจึงเอ่ยปรามเด็กหนุ่มเบา ๆ
“ไม่รีบได้ไงครับอาม่า
คืนนี้อั๊วจะกลับไปทำป้ายชื่อมาติดให้มัน เผื่อมันหลงไปแถวไหนคนอื่นจะได้พามันมาส่งคืนถูกบ้านไงครับอาม่า”
เจ้าของไอเดียปลอกคอหันไปหาเสียงกับเจ้าของแมวตัวจริง “ดีไหมเวลา
เดี๋ยวพี่ใส่กระดิ่งให้มันด้วย เวลาจะได้ตามหามันง่าย ๆ ไง เอาเปล่า”
“กระดิ่งน่ะไม่ต้องเอาใหญ่มากนะไอซ์ กรุ๊งกริ๊ง
ๆ ทั้งวันมันน่ารำคาญ” แค่คิดภาพตาม ธามก็เผลอขมวดคิ้วทำหน้าบอกบุญไม่รับ
ลำพังแค่ยอมให้ลูกชายเลี้ยงแมวก็ลำบากใจจะแย่ ต่อไปยังต้องทนฟังเสียงกระดิ่งห้อยคอแมวตลอดทั้งวันอีกหรือนี่
โชคดีที่เวลาไม่ได้สนใจฟังคำพูดไม่รื่นหูของบิดา
ซึ่งหากถามว่าเด็กชายกำลังทำอะไร เจ้าตัวคงตอบเดี๋ยวนั้นเลยว่า เขามัวแต่มองสำรวจแมวส้มบนตักอย่างสุขใจเพราะในที่สุดเขาก็มี
‘ลูกน้อง’ เป็นของตัวเองเสียที
••••••
“ฮัลโหล”
อย่าหมั่นไส้ผมเลยถ้าผมจะบอกว่าเสียงพี่หนาวตอนใกล้
ๆ สามทุ่มเซ็กซี่มาก เพราะสำหรับผมแล้ว ถ้าไม่นับตอนที่องค์ท่าน HR Director ลงประทับร่าง เสียงทุ้ม ๆ นุ่ม ๆ เนิบ
ๆ เจือแหบนิด ๆ ของลุงแกนี่แหละ คือ ความบันเทิงใจที่ไม่ว่าจะฟังเมื่อไร ผมก็รู้สึกเพลินหูชูกำลังดีเหลือเกิน
“คุณสะดวกคุยหรือเปล่าครับ”
ผมหมุนเก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานไปมาขณะรอลุ้นคำตอบของอีกฝ่าย
ถ้าหากลุงไซด์ไลน์เซย์โน ผมก็จะดำดิ่งเข้าไปตามส่องชีวิตคุณคิมหันต์ผ่านเฟซบุ๊ค
(ที่ผมเพิ่งได้อานิสงส์จากการตามแกะแท็กบนรูปถ่ายงานเลี้ยงคาราโอเกะเมื่อหลายวันก่อน)
ซึ่งนั่นก็ไม่ได้แย่ แต่มันคงดีมากหากก่อนนอนคืนนี้ผมจะได้ยินเสียงพี่หนาวนาน ๆ
“ผมคุยได้ คุณมีอะไรหรือเปล่า” ฟังแล้วผมก็ชูกำปั้นร้องเยสเบา
ๆ กับตัวเองด้วยความชอบใจก่อนจะแอ๊บเสียงสองซื่อใสก่อนตอบอีกฝ่ายราวกับไม่ได้ตั้งใจโทรไปรบกวน
“เปล่าครับ จริง ๆ ผมไม่ได้มีธุระอะไรหรอกครับ
แต่ที่โทรมาเพราะผมไม่เห็นว่าคุณอ่านไลน์ที่ผมส่งไปเมื่อตอนเย็น ผมเลยโทรมาบอกว่าผมกลับถึงบ้านแล้วครับ
คุณจะได้ไม่เป็นห่วง”
เนื่องจากบรรยากาศในรถเมื่อตอนเย็นค่อนข้างตึงเครียด
ผมจึงไม่กล้าแย็บถามถึงปลาวาฬ พอไม่ได้ชวนคุยเรื่องลูกสาว ผมก็ต้องผิดหวังกลับบ้านอย่างไม่มีทางเลือก
ยังดีที่ก่อนลงรถ พี่หนาวไม่ลืมกำชับให้ผมไลน์ไปหาเพื่อรายงานตัว
ผมเลยรอเวลาจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายส่งเจ้าวาฬน้อยเข้านอนเรียบร้อยแล้วกดโทรหาลุงแกด้วยข้ออ้างสุดคลาสสิค...
กลัวเขาเป็นห่วง
“ขอโทษที่ไม่ได้อ่านข้อความของคุณ
ผมเพิ่งส่งปลาวาฬเข้านอนเสร็จเมื่อกี้นี้เอง”
“ถ้างั้นผมวางดีกว่าครับ” ถึงใจอยากคุยกับพี่หนาวแค่ไหน
แต่พอรู้ว่าลุงแกน่าจะเหนื่อย ผมก็ทำตัวเอาแต่ใจไม่ลงเหมือนกัน
“ทำไมล่ะคุณ”
“ผมไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของคุณน่ะครับ”
“เมื่อกี้ผมไม่ได้บอกคุณเหรอว่าผมสะดวกคุย”
“อ่า บอกครับ” ผมไม่แน่ใจหรอกว่าคนปลายสายพูดแบบนั้นจริงหรือไม่
แต่ลองว่าพี่หนาวพูดมาแบบนี้ คนที่น่าเป็นห่วงคงไม่ใช่ผมแล้วล่ะ จุด ๆ นี้ เขาควรเริ่มเป็นห่วงตัวเองก่อนใครเพื่อน
เพราะถ้าแบ็ตมือถือไม่หมด ก็อย่าหวังเลยว่าผมจะวางสายง่าย ๆ วะฮ่า ๆๆ
ว่าแต่ ผมเอากระดาษที่จดหัวข้อชวนคุยไปไว้ไหนวะ?
“เมื่อเย็นผมว่าจะถามคุณเรื่องนึง
แต่ดันคุยเรื่องงานจนลืมไปเสียก่อน” ผมเลิกคุ้ยถังขยะทันทีที่ได้ยินประโยคล่าสุดของพี่หนาว
“คุณจะถามอะไรผมเหรอครับ” ผมลุ้นจนต้องกลืนน้ำลายพลางคิดไปต่าง
ๆ นา ๆ
“เมื่อวานหลังจากที่คุณเข้าบ้านแล้ว
พี่ชายกับน้องชายคุณว่าอะไรคุณหรือเปล่า”
“หืม?
ทำไมพี่เอิงกับสามต้องว่าผมด้วยล่ะครับ” ผมเอียงคอพลางนึกสีหน้าคู่สนทนาในตอนนี้ ลุงแกจะกำลังขมวดคิ้วอยู่หรือเปล่านะ
“ผมเห็นพี่น้องคุณทำหน้าเครียด ๆ
เลยกลัวว่าคุณจะมีปัญหา”
“อ๋อ
พวกผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกันหรอกครับ” ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพี่หนาวเป็นห่วง แต่ความน่ารักแบบพ่อ
ๆ ของอีกฝ่ายทำให้ผมกลั้นขำจนตัวสั่น โธ่ลุง สงสาร เครียดเรื่องผมมากไหมครับ
“เมื่อคืนพี่เอิงกับสามแค่สงสัยเลยเดินออกมาดูเพราะเห็นรถไม่คุ้นมาจอดอยู่หน้าบ้านน่ะครับ”
“ดีแล้ว ผมนึกว่าเขาจะว่าคุณที่กลับบ้านดึก
ผมจะได้ช่วยอธิบายให้”
“โหย ผมโตป่านนี้แล้วนะครับ
ต่อให้ผมไปค้างที่ไหนก็ไม่มีใครว่าผมหรอกครับ” ผมรีบอธิบายเพื่อให้คนฟังสบายใจ
แต่แทนที่จะได้ผล อีกฝ่ายดันเผยตัวตนของคุณพ่อสายปกป้องชัดเจนยิ่งกว่าเดิมไปอีก
“พ่อแม่คุณเขาไม่ห่วงคุณเลยเหรอ”
“ไม่ใช่ไม่ห่วงนะครับ แต่เพราะตอนเรียนมหาลัย
พวกผมสามคนพี่น้องสลับกันกลับบ้านไม่เป็นเวลาเท่าไร พอผมกลับ อีกเดี๋ยวพี่เอิงกับสามก็ออก
นาน ๆ ถึงจะอยู่บ้านพร้อมกันเสียที พ่อแม่ผมเลยตัดปัญหาด้วยการทำข้อตกลงว่าจะปล่อยพวกผมให้ดูแลตัวเองกันอย่างเต็มที่
แต่ลองมาดูเดี๋ยวนี้สิครับ พวกผมนี่แหละที่ต้องคอยบ่นพ่อกับแม่เพราะพวกท่านชอบชวนกันหนีขึ้นห้องไปนอนก่อนทุกคืน”
หลังจากพี่ชายผมเรียนมช. ได้ปีกว่า ๆ พ่อกับแม่ก็บอกผมกับไอ้สามว่าทันทีที่พวกผมจบมอปลาย
พวกท่านจะให้อิสระกับพวกผมเหมือนที่คนโต ๆ เขาทำกัน แต่มีข้อแม้ว่าพวกผมสองคนจะต้องไม่สร้างปัญหาและต้องรับผิดชอบการเรียนเหมือนอย่างที่พี่เอิงเป็น
พอได้ยินคำตอบ พี่หนาวก็หัวเราะจนผมอดยิ้มตามไม่ได้
“แต่ถ้าคุณเป็นน้องผม ต่อให้คุณจะอายุเท่าไร ผมก็จะนั่งรอดุคุณเวลาคุณกลับบ้านดึกนะ”
“โอ้โห ขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ขณะพยายามจินตนาการถึงพี่หนาวเวอร์ชันพี่ชายจอมเฮี้ยบผมก็ค่อย
ๆ ลุกขึ้นแล้วเดินไปทิ้งตัวลงนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง
“ใช่ น้องสาวผมถึงได้ดีใจไงที่ผมย้ายมาอยู่กรุงเทพฯตั้งแต่เอนท์ติดแล้วก็ไม่เคยกลับไปอยู่ที่บ้านอีกเลย
ไม่อย่างนั้นป่านนี้ยัยฝนคงยังไม่ได้แต่งงานหรอก”
ผมหลุดหัวเราะร่วนเพราะไม่คิดว่าลุงไซด์ไลน์จะเข้มงวดเบอร์นี้
“คุณพูดจริงเหรอครับ”
“จริงสิ ยัยฝนกลัวผมมากกว่าพ่อกับแม่อีกนะ”
“โห แล้วอย่างนี้ถ้าปลาวาฬมีแฟนล่ะครับ
คุณจะว่ายังไง” ขนาดน้องสาวยังทำเข้มใส่ แล้วเจ้าวาฬน้อยของผมล่ะ โตไปแกจะไม่เครียดเพราะพ่อหวงแบบฮาร์ดคอร์เกินไปหรอกเหรอ
“ผมแล้วแต่ลูกเลย
แต่ผมจะพยายามสอนปลาวาฬให้รักและเคารพตัวเองมาก ๆ ผมจะสอนแกให้รู้จักหน้าที่กับความรับผิดชอบที่คน
ๆ หนึ่งพึงปฏิบัติ แล้วถ้าเมื่อไรที่แกพร้อมรับมือกับปัญหาเรื่องคน
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน เป็นแฟน หรือเป็นใคร ผมก็จะคอยดูแลแกอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น”
โอ้โห... หน้าหล่อไม่พอ
ใจลุงยังหล่อมาก ปรบมือสิครับ รออะไร
“ผมว่าพวกเพื่อน ๆ ปลาวาฬต้องอิจฉาแกแน่
ๆ เลยครับที่แกมีพ่อดี ๆ แบบคุณ” ยิ่งนึกถึงปลาวาฬ ผมก็ยิ่งดีใจแทนแกที่พี่หนาวใจกว้างและทันสมัยมาก ต่อไปเจ้าตัวเล็กคงใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่กว่าเด็กหลายคนในรุ่นเดียวกัน
แต่นึก ๆ แล้วก็อดสงสารน้องสาวแกไม่ได้ที่สมัยก่อนลุงไซด์ไลน์ไม่ได้เปิดกว้างอย่างทุกวันนี้
“ไม่หรอก จริง ๆ ตอนปลาวาฬคลอดใหม่ ๆ
ป๊อบปี้เขาเคยถามผมเหมือนที่คุณถามนี่แหละ แต่ตอนนั้นผมไม่ได้ตอบแบบนี้หรอกนะ”
“แล้วตอนนั้นคุณตอบว่าไงครับ”
“ตอนนั้นผมบอกป๊อบปี้ไปว่าปลาวาฬยังเล็กอยู่
ไว้ให้ถึงเวลานั้นเมื่อไรแล้วค่อยมาคุยเรื่องนี้กัน”
“เหรอครับ”
“จริง ๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคิดเรื่องความรักของลูกหรอกนะ
แต่ที่ผมตอบไปแบบนั้นเพราะผมรับไม่ได้มากกว่าถ้าปลาวาฬจะมีแฟน” ผมเพิ่งเข้าใจเอาตอนนี้เองว่าไม่ใช่แค่ปลาวาฬเท่านั้นที่เติบโตขึ้น
พี่หนาวเองก็ได้เรียนรู้ อีกทั้งยังปรับเปลี่ยนตัวเองจนกลายเป็นคุณพ่อที่ดีกว่าเดิม
แต่ว่าเพราะอะไรล่ะ
“ทำไมอยู่ ๆ
คุณถึงยอมเปลี่ยนความคิดล่ะครับ”
“เพราะผมเคยถามแกเล่น ๆ ว่าแกคิดจะมีแฟนเมื่อไร
แล้วคุณรู้ไหมว่าแกตอบผมว่าไง”
“ปลาวาฬตอบว่าไงเหรอครับ”
ผมพลิกตัวนอนคว่ำ เอื้อมมือไปคว้าหมอนมารองใต้อกแล้วเท้าแขนใต้คางพลางกระดิกเท้ารอฟังคำตอบจากคนปลายสาย
พี่หนาวหัวเราะเบา ๆ
อีกครั้งก่อนตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วขำ “แกบอกผมว่า แกจะมีแฟนตอนม.หนึ่ง เพราะหลังขึ้นม.หนึ่งแกจะได้เปลี่ยนชุดนักเรียนใหม่
ชุดนักเรียนพี่มัธยมสวย พอได้ใส่ชุดนักเรียนสวย ๆ แล้วแกก็จะมีแฟน”
ทีนี้เลยกลายเป็นว่าเราทั้งคู่ต่างพร้อมใจกันหัวเราะประสานเสียงอยู่พักใหญ่
ๆ ก่อนที่ผมจะเปรยขึ้นด้วยความอ่อนใจระคนเอ็นดู “โธ่เอ๋ยปลาวาฬ หนูเผลอทำคุณพ่อกลุ้มไม่รู้ตัวมาตั้งกี่ปีแล้วเนี่ย”
เมื่อเทียบกับปลาวาฬแล้ว ตอนเด็ก ๆ ผมไม่เคยคิดเรื่องแฟนเลย
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพ่อกับแม่ไม่เคยถามผมแบบที่พี่หนาวถามลูก แต่เหตุผลหลัก ๆ
เป็นเพราะพวกผมสามคนพี่น้องตัวติดกันเป็นตังเม วัน ๆ ถ้าไม่ตะลอน ๆ
ออกไปเล่นข้างนอก ก็ขลุกสุมเป็นก้อนอยู่ในบ้านแล้วชวนกันอ่านการ์ตูนไม่ก็เล่นเกม
พอขึ้นมหาลัย ได้ลองเริ่มใช้ชีวิตเด็กหอเต็มตัว ผมก็สนุกกับการเรียนวิชาที่รักไปพร้อม
ๆ กับทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่วัยเดียวกัน ผมเลยไม่คิดอยากมีแฟน
“หึ ๆ ผมเข้าใจแกนะ... ที่แกตอบแบบนั้นเพราะเพราะแกยังเด็ก
แต่พอฟังคำตอบของแกแล้วผมก็คิดได้ว่าผมไม่มีทางคอยเฝ้าประคบประหงมลูกได้ตลอดเวลา ยิ่งเราอยู่ในสังคมที่ทุกอย่างมันเร็วทันใจไปหมด
ผมไม่มีทางรู้เลยว่าสื่อต้องห้ามกับสิ่งยั่วยุจะเข้าถึงตัวปลาวาฬเมื่อไร
เพราะฉะนั้น แทนที่จะคอยห้ามลูกเหมือนที่เคยทำกับน้อง ผมควรจะเตรียมความพร้อมให้แก
เพื่อที่แกได้ดูแลและปกป้องสิทธิของตัวเองได้ไม่ว่าจะมีผมหรือป๊อบปี้อยู่ข้าง ๆ
แกหรือไม่”
“การเลี้ยงเด็กสักคนนี่ยากจริง ๆ
นะครับ” ผมอดเห็นใจคนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ได้
เพราะถ้าไม่ได้รับอุปถัมภ์เลี้ยงดูเด็กสักคน
เกย์แบบผมคงไม่มีวันได้สัมผัสประสบการณ์ทั้งหลายแบบที่พี่หนาวเผชิญอยู่ทุกวันแน่ ๆ
“ใช่
แต่ถึงจะยากมันก็มีความสุขมากนะคุณ ไม่อย่างนั้นพ่อแม่คุณจะมีลูกตั้งสามคนเหรอ”
คำถามของพี่หนาวทำผมหัวเราะลั่นก่อนจะเผาครอบครัวตัวเองให้อีกฝ่ายฟังอย่างไม่คิดปิดบัง
“ไม่รู้สิครับ ตอนเด็ก ๆ เวลาที่ผมงอแงมาก ๆ พี่เอิงเคยขู่ผมว่าจริง ๆ
แม่อยากได้ลูกผู้หญิง ท่านไม่ได้อยากมีผม พอผมกลายเป็นพี่ ผมเลยเอาไอ้ที่พี่ชายเคยขู่ผมมาข่มน้องต่ออีกที
ขู่กันไปขู่กันมา ไอ้สามดันร้องไห้แล้ววิ่งไปฟ้องแม่ พอโดนแม่ดุ ผมก็ซัดทอดพี่ สุดท้ายพวกผมพี่น้องเลยโดนแม่จับตีเรียงตัวจนไม่มีใครกล้าถามแม่ดูสักทีว่าจริง
ๆ แล้วแม่อยากมีพวกเราเป็นลูกไหม”
“คุณกับพี่น้องนี่สนิทกันน่าดูเลยนะ”
“ครับ ได้ไม้เรียวแม่ช่วยไว้เลยครับ
ไม่งั้นพวกผมคงไม่สนิทกันเบอร์นี้”
“ฮะ ๆๆๆ ”
ฟังเสียงหัวเราะของพี่หนาวแล้วผมก็มีความสุข คิดไม่ผิดจริง ๆ
ที่ตัดสินใจโทรไปหาอีกฝ่าย เพราะถ้าต้องคุยแบบเห็นหน้ากัน ผมคงเขินลุงแกจนไม่กล้าเล่าเรื่องเปิ่น
ๆ ของตัวเองเป็นวรรคเป็นเวรแบบนี้หรอก “พี่ชายกับน้องชายคุณห่างจากคุณกี่ปีเหรอ”
“พวกเราห่างกันคนละสองปีครับ”
“แม่กับพ่อผมขยัน ผมกับน้องสาวเกิดห่างกันไม่ถึงปีดี”
“โห ขยันจริงด้วยครับ” จังหวะที่ผมกำลังจะถามเรื่องน้องสาวของพี่หนาวคอมพิวเตอร์ก็ส่งเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นติด
ๆ กัน
“คุณติดธุระอะไรหรือเปล่า”
ผมรีบกระโดดลงจากเตียงแล้วกระโจนกลับไปที่โต๊ะพลางตอบคู่สนทนา
“เปล่าครับ แค่เสียงแมสเซ็นเจอร์กับเฟซบุ๊คดังเฉย ๆ ” รู้อย่างนี้ เมื่อกี้ปิดเสียงลำโพงก่อนเสียก็ดี
“ถ้าอย่างนั้นผมวางก่อนดีกว่า เผื่อคุณต้องคุยกับเพื่อน”
“ไม่เป็นไรครับ ผมคุยต่อได้” ในที่สุดผมก็ปิดปากคอมพิวเตอร์ของตัวเองได้สำเร็จ
ใครมันรัวกดไลค์นักหนาวะ ผมนึกพลางคลิกเมาส์เช็กกล่องข้อความแจ้งเตือนก่อนจะต้องถอนหายใจเมื่อเห็นชื่อเจ้ากรรมนายเวรในรูปแฟนเก่าของอดีตแฟนฟลัดไทม์ไลน์ผมเสียเละเทะ...
พี่เมธแม่งจะต้องมีอะไรกับผมสักอย่างแล้วล่ะ
“อย่าเลยคุณ ผมว่าผมวางเลยดีกว่า สามทุ่มกว่าแล้ว
คุณจะได้พักผ่อนด้วย”
ถึงจะเสียดาย
แต่ผมก็อดเห็นด้วยกับอีกฝ่ายไม่ได้เพราะขนาดผมยังเริ่มง่วงนิด ๆ แล้วคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ต้องทั้งทำงาน
ทั้งเลี้ยงลูกสาวห้าวันต่อสัปดาห์ล่ะจะเหนื่อยแค่ไหน “ก็ได้ครับ”
“ฝันดีนะคุณ”
“ฝันดีเหมือนกันครับ” แม้คืนนี้พี่หนาวจะบอกฝันดีกับผมก่อนนอนก็จริง
แต่ข้อความเนื้อหาเดิม ๆ ของคนบางคนกำลังทำให้ผมหงุดหงิดเป็นที่สุด
วันนี้พี่โทรไปหาแต่ทูคงไม่สะดวกรับสาย
ขอโทษนะ แต่พี่คงต้องรบกวนทูจริง ๆ
วันนี้บูมก็ยังไม่โทรหาพี่เลย
ถ้ายังไงทูช่วยบอกบูมให้โทรหาพี่หน่อยนะครับ
พี่ไม่รู้จะทำยังไงจริง ๆ
พี่เป็นห่วงบูมมาก ช่วยพี่หน่อยนะครับทู
เห็นใจพี่เถอะนะครับ ขอบคุณครับ
สองเดือนแล้วนะ
ทำไมพี่เมธกับพี่บูมถึงไม่ปล่อยผมไปเสียที
••• TBC •••
ถึงตอนนี้จะเรื่อย ๆ
แต่หนุ่ม ๆ ก็เต๊าะกันไม่เหนื่อยเลยเนอะ
ตอนนี้พี่เชนกับลูกพี่ไม่มานะคะ
ทั้งคู่หลบไปเลียแผลใจหนี่งตอน
อย่างไรก็ดี ขอให้ทุกท่านปรบมือต้อนรับเจ้านายท่านใหม่...
‘ลูกน้อง’
ค่ะ เย่!
(ใครแพ้แมวส้มยกชูรักแร้ไหว
ๆ หน่อยเร้ว!)
อ่านแล้วชอบ หรือไม่ชอบอย่างไร
อย่าลืมติดแท็ก #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก #คันหิมบ้างนะคะ
^^