The 4th Glance
“...อือ...”
“เฮ่ยไอ้หนู!
อย่าเพิ่งลุก!”
“ฮื่อ” นอกจากจะไม่ฟังคำทัดทานแล้ว
ร่างที่นอนแผ่สองสลึงอยู่บนแผงเปล่าแผงหนึ่งในตลาดยังฝืนผงกหัวขึ้น เบือนหน้า ปรือตามองไปรอบ
ๆ อย่างละล้าละลัง ก่อนที่สายตาสอดส่องกับเสียงพึมพำของเหล่าไทยมุงจะทำให้เด็กหนุ่มรำคาญจนเผลอชักสีหน้าแล้วหยัดกายนั่งโดยไม่ห่วงสังขารที่ยังร่อแร่ของตนแต่อย่างใด
“ก็บอกว่าอย่าเพิ่งลุกไง
นอนไปก่อน” สัตยาส่ายหัวอย่างระอาใจเมื่อเห็นเด็กแปลกหน้ายังคงดึงดัน
“ผม... ผมเป็นอะไร?”
อังคารอ้อมแอ้มถามคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน การตกเป็นเป้านิ่งให้คนอื่นวิพากษ์วิจารณ์อยู่ฝ่ายเดียวได้แปรความรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจให้กลายเป็นชวนคลื่นไส้ไปเสียฉิบ
ดูเหมือนสัตยาจะจับสังเกตอาการไม่สู้ดีของเด็กหนุ่มนิรนามได้
นายตำรวจจึงหันไปขอความร่วมมือจากเหล่าผู้ร่วมเห็นเหตุการณ์ด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ตรงนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วครับ
ขอเชิญทุกคนแยกย้าย”
ทันทีที่บรรยากาศน่าอึดอัดคลี่คลาย
สัตยาก็ตวัดสายตากลับมามองติเด็กดื้อตัวปัญหาอยู่ครู่ใหญ่ แต่สีหน้ากึ่งเบลอกึ่งเหม่อลอยของอังคารก็ทำให้คนโตกว่านึกเสียใจที่เผลอนึกตำหนิอีกฝ่ายไปโดยไม่ทันซักประวัติ
“นี่ไอ้หนู เรามีโรคประจำตัวเป็นโรคลมชักหรือเปล่า?”
“...เปล่า...”
แม้อังคารจะหน้าซีดเผือดลงทันทีที่ได้ยินคำถามแทงใจ
แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงคนแปลกหน้า เด็กหนุ่มจึงพูดจาโป้ปดได้โดยไม่รู้สึกละอาย และก่อนที่ใครจะทันไหวตัว
อังคารก็กระโดดแผล็วลงจากแผงขายของตรงท้ายตลาดที่ถูกนายตำรวจใช้ต่างเตียงพยาบาลพร้อมกับตั้งท่าเตรียมออกวิ่ง
“เดี๋ยว!
แล้วนั่นจะไปไหน?!” สัตยาคว้าต้นแขนเด็กชายเอาไว้ได้อย่างฉิวเฉียด “ว่าไง
ผู้ใหญ่ถามทำไมไม่ตอบ?” คู่สนทนาออกอาการหลุกหลิกอีกทั้งยังพยายามสลัดแขนหนี แต่ด้วยขนาดลำตัว
อีกทั้งกำลังวังชาที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด อังคารในเวลานี้จึงไม่ต่างอะไรจากหนูที่ตกอยู่ในอุ้งมือของราชสีห์
“จะไปไหนไอ้หนู
หืม?”
โว้ย! จะอะไรนักหนา?! แล้วหน้ากูเนี่ยเหมือนเด็กตรงไหน เรียกไอ้หนู ๆ
อยู่ได้ เดี๋ยวพ่อเอาหนวดทิ่มตาบอดเลยนี่
“...” แม้สรรพนามที่คนแปลกหน้าใช้เรียกเขาจะกระตุ้นความหงุดหงิดจนหัวคิ้วกระตุก
แต่อังคารกลับหักห้ามใจไม่ต่อความยาวสาวความยืดเพราะตระหนักได้ว่า ตนควรหาช่องหลบหลีกจากสถานการณ์ตรงหน้ามากกว่าจะท้าตีท้าต่อยกับใคร
ยิ่งกับคนตัวใหญ่กว่ายิ่งไม่ควร
“จะรีบไปไหนฮึเรา?
ทำไมไม่นอนพักให้หายดีก่อน?”
“ผมหายแล้ว”
“หึ!” สัตยาเลื่อนกรอบสายตามองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน
ก่อนจะหลุดหัวเราะในลำคอ... ลำพังยืนเองยังเซ ลองเขาไม่จับสิ สงสัยป่านนี้ได้กลิ้งไปถึงไหน
ๆ “ชื่ออะไรฮึเรา แล้วพ่อแม่เราน่ะไปไหน... ลูกป่วยเป็นลมชักทำไมไม่ดูแล?”
“...”
“ว่ายังไงไอ้หนู
พ่อแม่เราน่ะอยู่ไหน ทำไมถึงปล่อยลูกให้ไปไหนมาไหนคนเดียว?” นายตำรวจทำเมินสายตาเกรี้ยวกราดของเด็กนิรนามขณะเดินหน้าซักฟอกอีกฝ่ายอย่างใจเย็น
อังคารถอนหายใจพรูก่อนจะตัดบทรวดเร็ว
“ผมขอบคุณที่เมื่อกี๊คุณช่วยผม แต่คุณปล่อยผมไปเถอะนะ ผมอยากกลับบ้านแล้ว” พูดจบ
เด็กหนุ่มก็พยายามสะบัดแขนอีกฝ่ายทิ้งอย่างจริงจังอีกครั้ง
แต่สัตยากลับกระชับฝ่ามือให้แน่นหนากว่าเดิมพลางส่ายหัวคัดค้านข้อเสนอล่าสุดอย่างโจ่งแจ้งจนขีดความอดทนของอังคารเริ่มต่ำลงทุกขณะ
“สภาพเราตอนนี้น่ะกลับบ้านเองไม่ไหวหรอก”
ตำรวจนอกเครื่องแบบสบตากับเด็กน้อยตรงหน้าอย่างเคร่งเครียดก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาด “เอางี้แล้วกัน
เดี๋ยวเราไปนั่งพักรอฉันบนสถานี พอเสร็จธุระแล้วฉันจะพาไปส่งที่บ้าน ตกลงนะไอ้หนู”
ว่าแล้วสัตยาก็พยักเพยิดไปยังสถานีตำรวจอีกฟากถนนพอเป็นพิธี จากนั้นก็ออกแรงลากอังคารให้เดินตามกันโดยไม่ไต่ถามความสมัครใจ
“ปล่อยผม!”
“ไม่ มากับฉัน!” อังคารเอนตัวเอื้อมสุดแขนไปคว้าเสาใกล้ ๆ
พลางจิกปลายเท้ากับพื้นปูนแล้วขืนตัวสู้แรงอย่างไม่ยอมกัน กระนั้นสัตยาซึ่งมีกำลังเหนือกว่ากลับยื้อยุดฉุดแขนคนเกิดทีหลังให้เซแท่ด
ๆ ตามมาอย่างง่าย ๆ โดยไม่สนใจเสียงร้องโหยหวนด้วยความขัดใจของเด็กดื้อเลยสักนิด
“ปล่อยซี่!”
“เอ๊ะ!
อย่าดื้อสิไอ้หนู!”
“ปล่อยยย!”
“ไม่!”
เมื่อฝ่ายต่อต้านที่โดนลากถูลู่ถูกังออกจากตลาดเริ่มมองเห็นหลังคาของสถานีตำรวจอยู่รำไร
ความพยายามที่จะทำตัวสงบเสงี่ยมให้ตลอดรอดฝั่งก็หมดความหมายลงทันที “โอ๊ย! ผมยี่สิบแล้วนะคุณ บรรลุนิติภาวะมาสองปีแล้ว คุณปล่อยผมไปเถอะนะ
ไหว้ล่ะ!”
สองขาของสัตยาไม่ได้ชะงักเพราะประโยคอ้อนวอนผ่านน้ำเสียงแดกดันของอังคาร
แต่เพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่ขัดแย้งกับอายุแบบลิบลับนั่นต่างหากที่ทำให้ตำรวจหนุ่มถึงกับหยุดเดินเพื่อหันกลับมาตั้งใจมองสำรวจคู่กรณีดี
ๆ อีกครั้ง นี่ถ้าอีกฝ่ายไม่เผยอายุ รับรองเลยว่า ส่วนสูงราว ๆ ร้อยหกสิบห้าบวกกับรูปร่างผอมแกร็นและใบหน้าอ่อนเยาว์คงทำให้สัตยาหลงเข้าใจว่าอังคารเป็นเพียงละอ่อนน้อยไม่ประสีประสาไปตลอดแน่
ๆ
ถึงว่าสิ...
เด็กมอปลายที่ไหนจะอยากไว้หนวดหรอมแหรมเลียนแบบอาแปะกัน?
หน้าหงิกขนาดนั้นสงสัยจะไม่ชอบที่ถูกมองว่าเป็นเด็กสินะ...
หึ! เด็กน้อยเอ๊ย!
“ถึงนายจะโตแล้ว
แต่ฉันก็ปล่อยนายไปไม่ได้หรอก เพราะถ้าอยู่ ๆ นายเกิดชักขึ้นมาจนเกิดอุบัติเหตุ
ฉันคงรู้สึกผิดไปจนวันตาย” ทันทีที่แสดงเจตนารมย์จบ
สัตยาก็ออกแรงฉุดแขนอังคารจนหน้าเริดอีกครั้ง แต่มีหรือที่เด็กหนุ่มจะยอมร่วมหัวจมท้ายแต่โดยดี
“ปล่อย!”
“ไม่ปล่อย!”
“ปล่อยยย!”
“นายต้องไปกับฉัน!”
“ไม่ไป
จะกลับบ้าน!”
“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับผู้กอง?”
เจ้าของประโยคคือชายวัยกลางคนในเครื่องแบบสีกากีที่กำลังเตะขาพร้อมกับยกสันมือขึ้นทำความเคารพสัตยาอย่างขึงขัง
“ไม่มีอะไรหรอกจ่า
น้องผมเขาร้องจะกินขนม แต่ผมไม่ยอมน่ะ” สีหน้าพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างจริงจังของคนมาใหม่ไม่ได้สร้างความประหลาดใจแก่อังคารได้มากเท่ากับคำพูดคำจายอมรับสถานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของมนุษย์ถ้ำล่ำเป็นหมีที่ยังกำข้อมือเขาไม่คลายเลยสักนิด
เชี่ย!
ตำรวจเหรอ?!!
แม่งเอ๊ย ยิ่งเกลียดยิ่งเจอจริง
ๆ เลยว่ะ!
อารามตกใจจนลุกลี้ลุกลน
บทสนทนาสั้น ๆ ว่าด้วยหัวข้อสัพเพเหระของสองตำรวจจึงลอยหายไม่ทันเข้าหู รู้ตัวอีกที
อังคารก็โดนสัตยาฉุดให้มาหยุดยืนทำหน้าเซื่องอยู่กลางดงตำรวจเป็นที่เรียบร้อย
“นั่งรอฉันอยู่ตรงนี้นะ”
สายตาดื้อดึงจนดูเกรี้ยวกราดของเด็กน้อยทำให้สัตยาไม่วางใจ ชายหนุ่มจึงหันไปสั่งความกับเจ้าพนักงานสอบสวนที่นั่งคีย์ข้อมูลลงคอมพิวเตอร์เยื้องไปไม่ไกล
“ดาบครับ เดี๋ยวตอนผมเข้าไปคุยกับผู้กองท็อป ผมฝากดูน้องหน่อยได้ไหมครับ”
“ได้ครับผู้กอง
”
“ถ้ามีอะไรดาบเรียกหาผมได้เลย
ผมอยู่ข้างในนะครับ” เมื่อดาบตำรวจพยักหน้ารับคำ สัตยาก็หันมากดไหล่เด็กน้อยที่ยังคงยืนจังก้าให้นั่งลงอย่างเสียไม่ได้
“อย่าดื้อ แล้วก็ห้ามหนีไปไหน ฉันจะรีบไปรีบกลับ” อังคารมองค้อนคนสั่งตาคว่ำ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่คุณตำรวจนอกเครื่องแบบแสร้งมองเมินอย่างจงใจ
***********
“ไอ้ท็อป” เป็นโชคของสัตยาเมื่อเพื่อนร่วมรุ่นที่ตั้งใจจะมาหาเพิ่งเดินออกจากห้องทำงานพอดิบพอดี
เห็นดังนั้น ชายหนุ่มจึงปราดเข้าไปหาด้วยสีหน้าว้าวุ่นใจ
“อ้าวไอ้เสือ มึงมาไง?”
ใบหน้าเคร่งเครียดอมทุกข์ของเพื่อนทำให้ธีทัตกลืนคำทักทายแล้ววกเข้าสู่หัวข้อสนทนาที่สัตยาน่าจะสนใจมากกว่าทันที
“โทษทีว่ะเสือ แต่ตอนนี้กูยังไม่มีข่าวดีมาบอกมึง”
“มึงคุยกับพวกเพื่อน
พวกรุ่นพี่ รุ่นน้องที่มหาลัยขลุ่ยครบทุกคนหรือยัง?”
“ยัง” หัวคิ้วคมเข้มที่ร่นเข้าหากันจนใกล้จะเป็นปมส่งสัญญาณให้ธีทัตชิงรายงานผลการสืบคดีแก่เพื่อนทันควัน
ไม่อย่างนั้นตัวเขาคงโดนสัตยาซักฟอกจนขาวสะอาดก่อนพยานปากไหน ๆ “เหลือรุ่นน้อง
เพื่อนแล้วก็พวกรุ่นพี่อีกอีกห้าคนที่กลับบ้านต่างจังหวัด พวกกูเลยยังไม่ได้สอบปากคำตัวต่อตัว
กูไม่อยากด่วนสรุปอะไรทั้งที่ได้ข้อมูลไม่ครบ มึงเข้าใจนะ?”
“...เฮ่อ!...”
“มึงอดทนหน่อยนะเสือ
อีกสองอาทิตย์พอเด็กพวกนั้นกลับมาเตรียมตัวรอเปิดเทอม กูจะโทรบอกมึงเดี๋ยวนั้นเลยว่าได้เรื่องอะไรไหม”
ธีทัตเอ่ยพลางตบไหล่ปลอบเพื่อนร่วมรุ่นเบา ๆ เพราะทนมองแววตาหมองเศร้าของสัตยาไม่ได้
“แล้วโรงพยาบาลกับพวกมูลนิธิล่ะ
มีที่ไหนแจ้งชื่อขลุ่ยมาบ้างหรือเปล่า?” คนถูกถามส่ายหัวพลางถอนหายใจอย่างหนักอกเพราะหากข้อมูลที่สัตยาถามถึงมีอยู่จริง
เจ้าของคดีอย่างเขาคงไม่รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างที่เป็นอยู่
“เสือ มึงก็รู้ใช่ไหมว่าคดีคนหายมันกินเวลา
ยิ่งขลุ่ยไม่เคยมีศัตรู ไม่เคยสร้างปัญหาให้ใคร อยู่ดี ๆ ก็หายตัวไปเฉย ๆ
พวกกูเลยต้องพยายามตัดตัวเลือกที่เป็นไปไม่ได้ออกพร้อม ๆ กับพยายามสืบหาเบาะแสของน้องมึงไปพร้อม
ๆ กัน แต่ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน กูสัญญาเลยนะว่า กูจะหาขลุ่ยให้เจอให้ได้
เพราะขลุ่ยมันก็น้องกูคนนึงเหมือนกัน”
“กูฝากขลุ่ยด้วยนะท็อป”
วาจาสำทับหนักแน่นจริงจังของธีทัตทำเอาคนฟังยอมจำนนทั้งที่ภายในใจยังมีคำถามมากมาย
ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่าเพื่อนคนนี้งานชุกแค่ไหน
ลำพังแค่ธีทัตสละเวลาส่วนตัวออกตามหาเพียงออให้มากกว่าใคร ๆ สัตยาก็เกรงใจอีกฝ่ายแทบแย่
แต่สิ่งที่ฉุดชายหนุ่มให้ยิ่งด่ำดิ่งจมลงในห้วงความรู้สึกหดหู่คงจะหนีไม่พ้น สัจธรรมอันเลวร้ายของคดีคนหาย
เพราะหากบุคคลสาปสูญไม่ใช่ลูกท่านหลานเธอ หรือทายาทผู้ทรงอิทธิพล ที่สุดแล้ว คดีประเภทนี้มักจะกลายเป็นคดีที่มีลำดับความสำคัญรั้งท้ายเสมอ
“เออน่า!
ไม่ต้องห่วง มือชั้นนี้แล้ว
กูต้องหาขลุ่ยเจอสิวะ!”
ธีทัตฝืนยิ้มทำร่าเริงเพื่อสร้างขวัญ เรียกกำลังใจให้กับทั้งตัวเองและสัตยา “แล้วที่มึงโผล่หัวมานี่
งานไม่เสียใช่ไหม?”
“เดี๋ยวกูก็ไปแล้ว
กูแค่อยากแวะมาถามมึงให้แน่ใจเฉย ๆ ”
“สู้ ๆ เว่ยมึง!
แต่ถึงยังไงกูก็มั่นใจว่ากูต้องหาขลุ่ยเจอเข้าสักวัน
แค่มันอาจจะไม่เร็วทันใจมึงเท่านั้นเอง”
“ขอบใจมึงมากนะท็อป
ถ้าไม่ใช่มึง กูก็ไม่รู้จะพึ่งใครเหมือนกัน” ธีทัตมองหน้าสัตยาอย่างเห็นอกเห็นใจ
แต่สีหน้าที่ถมึงทึงตึงเครียดไม่เสื่อมคลายของอีกฝ่ายทำให้เขาอดเตือนสติเพื่อนไม่ได้
“เลิกเครียดได้แล้ว
ขืนมึงเป็นอะไรไปอีกคน ลูกน้องมึงจะยิ่งลำบากนะเว่ย แล้วก็อย่าคิดอะไรมาก เลิกงานแล้วก็หัดพักผ่อนบ้าง
อย่ามาแย่งงานกูทำเลยนะ กูขอร้อง” คนพูดหวังใช้คำสัพยอกช่วยตะล่อมให้สัตยาคลายใจ
เพราะการอดตาหลับขับตานอนเที่ยวออกตะลอนตามหาน้องชายต่างสายเลือดนอกเวลาทำการย่อมเป็นผลเสียต่อตัวอีกฝ่ายในระยะยาว
ที่ไหนได้ นอกจากจะยิ้มไม่ออกแล้ว
คู่สนทนายังทำหน้าหนักใจยิ่งกว่าเก่าจนธีทัตพลอยอยู่ไม่สุขตามไปอีกคน “เสือ... เรื่องขลุ่ยน่ะ
เชื่อมือกูนะ”
“เออ ๆ ” สัตยารับคำแบบขอไปทีพลางพยายามฝืนยิ้มให้จบ
ๆ ไป เพราะเมื่อธีทัตพูดถึงชื่อเพียงออขึ้นมาทีไร สมองเขาก็รังแต่จะขุดภาพเหตุการณ์ประหลาดที่เพิ่งเกิดขึ้นในตลาดเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนขึ้นมาฉายวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
ขลุ่ยกับเด็กคนนั้นเกี่ยวข้องกันตรงไหน?
ทำไมต้องเป็นเด็กนั่น?
“ดาบครับ
แล้วน้องผมล่ะครับ?” สัตยาหน้าตื่นเมื่อเห็นว่า บัดนี้ เก้าอี้ตัวที่เคยมีเด็กดื้อนั่งอยู่กลับว่างเปล่า
“อ้าว
ก็เมื่อกี๊ผู้กองโทรเข้าเครื่องบอกให้น้องลงไปรอที่รถแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”
“เมื่อกี๊ผมโทรเข้าเครื่องน้องเหรอครับ?”
“ครับ
น้องผู้กองบอกผมอย่างนั้นน่ะครับ” คนถูกไหว้วานทำหน้าเหลอหลาพลางชะเง้อคอมองหาน้องชายนายตำรวจอย่างพะวักพะวนจนผู้กองหนุ่มเริ่มจะแน่ใจว่า
อีกฝ่ายคงโดนเด็กเมื่อวานซืนหลอกเอาเสียแล้ว
“ขอบคุณนะครับดาบ
ผมไปก่อนนะครับ” ถึงจะรู้อย่างนั้น สัตยาก็ยังไม่วายวิ่งหน้าตั้งลงไปดูวี่แววของจอมฉ้อฉลเพื่อตอกย้ำให้ตัวเองยิ่งแน่ใจว่า
ไม่มีทางที่คนแปลกหน้าจะรู้จักรถส่วนตัวของเขาได้
ไม่สิ... เด็กคนนั้นเป็นคนแปลกหน้าที่ไหนกัน
ก็เมื่อวานเขาเพิ่งเจอเด็กนั่นไปเองแท้
ๆ
เหตุผลที่สัตยาพยายามเหนี่ยวรั้งเด็กเลี้ยงแกะเอาไว้ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นห่วงเป็นใยในสวัสดิภาพ
แต่ยังเป็นเพราะอีกฝ่ายมีบางอย่างเชื่อมโยงกับเพียงออ... อะไรบางอย่างที่ทำให้ทั้งวันนี้และเมื่อวาน
เขากลายเป็นคนแรก และคนเดียวที่เข้าประชิดตัวเด็กนั่นได้ก่อนที่เงื้อมมือมัจจุราชจะเอื้อมถึง
สัตยาปลดล็อกรถแล้วยกตัวขึ้นนั่งบนเบาะหนังหลังพวงมาลัยพลางลำดับภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสด
ๆ ร้อน ๆ ตอนเที่ยงวันอีกครั้ง
ความพลุกพล่านจอแจช่วงใกล้เที่ยงทำให้สัตยาต้องวนรถหาที่จอดอยู่พักใหญ่
จนแล้วจนรอด ผู้กองหนุ่มก็พบซองว่างตรงข้างรั้วสถานีเข้าจนได้
จังหวะที่กำลังดับเครื่องยนต์อยู่นั้นเอง ภาพสะท้อนที่เห็นเพียงเสี้ยวผ่านกระจกมองหลังก็ทำให้ชายหนุ่มถึงกับพุ่งตัวลงจากรถแล้วสับเท้าออกวิ่งแบบไม่คิดชีวิต
จริงอยู่ที่ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา
สัตยาจะคลุกคลีกับความเครียดจนคุ้นกันดี ทว่าไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะพะวงเรื่องขลุ่ยจนเห็นภาพหลอน
กลับกัน แม้สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จะเป็นการเหลือบมองด้วยหางตาเพียงชั่วอึดใจจากระยะหลายสิบเมตร
แต่แผ่นหลังบาง ๆ ที่ผลุบหายเข้าตลาดไปเมื่อกี๊ เป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกเสียจากเพียงออคนเดียวเท่านั้น
ยิ่งระยะห่างระหว่างเขากับเพียงออใกล้กันมากขึ้นเท่าไร
ท่าเดินกับรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ ก็ทำให้สัตยาก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองจำคนไม่ผิด รู้ดังนั้น
ชายหนุ่มจึงเร่งฝีเท้าช่วงโค้งสุดท้ายแล้วยืดสุดแขนไปคว้าไหล่คนคุ้นเคยเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะหายไปอีกครั้ง
แต่สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มไม่รู้ คือ ทันทีที่ฝ่ามือของเขาแตะโดนแผ่นหลังฝ่ายผู้ถูกติดตาม
กลับทำให้ร่างตรงหน้าสั่นเทิ้มก่อนจะร่วงหล่นเป็นใบใม้ถูกปลิดขั้ว
สัตยาเห็นท่าไม่ดีจึงโผเข้าไปช้อนร่างที่กำลังเสียการทรงตัวเอาไว้โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
แต่แทนที่อีกฝ่ายจะเป็นคนหายสาปสูญ เจ้าของร่างในอ้อมแขนกลับเป็นเด็กชายที่เขาเคยช่วยเอาไว้เมื่อบ่ายวันวานตรงหน้าโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
อาการชักเฉียบพลันของเด็กนั่น
กอปรกับความสนอกสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปทำให้สัตยาไม่มีเวลาตกใจหรือสงสัยอะไรมากนัก
เคราะห์ยังดีที่เมื่อคนป่วยหยุดชักตรงกับจังหวะที่เกิดสุริยุปราคา สัตยาจึงสามารถอุ้มร่างหมดสติของเด็กน้อยไปนอนพักตรงแผงเปล่าแผงหนึ่งได้ก่อนที่เหล่าไทยมุงจะทำเสียเรื่อง
ระหว่างที่เงาของดวงจันทร์ทอดลงบนผิวโลกแล้วกลืนกินแสงสว่างจนหมดสิ้น
สัตยาก็เลื่อนกรอบสายตามองคนหมดสติอย่างพินิจพิเคราะห์
หรือเขาจะเพ้อเจ้อไปเอง?
เป็นไปไม่ได้
สองครั้งแล้วนะที่เขาเจอเด็กนี่
หลังจากเห็นขลุ่ย...
เมื่อวานสังหรณ์บางอย่างสั่งให้เขาแอบแว่บจากงานไปตามหาเพียงออที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งซ้ำอีกครั้ง
ก่อนจะคว้าน้ำเหลวในท้ายที่สุด แต่จังหวะที่สัตยากำลังหัวเสียอยู่นั้นเอง
เพียงออที่ไม่รู้โผล่มาจากซอกไหนก็เดินลิ่ว ๆ ออกจากโรงพยาบาลไปจนชายหนุ่มต้องวิ่งขาขวิดลงจากบันไดเลื่อนเพื่อไล่ตาม
ครั้นจะโทษว่าตาฝาดแล้วเห็นเด็กแปลกหน้าเป็นเพียงออ
ใจเขาก็ดันคัดค้าน กระนั้นสัตยากลับไม่มีเหตุผลใด ๆ มารองรับความผิดปกติของสายตาที่จู่
ๆ เกิดเห็นแผ่นหลังของเพียงออลอยซ้อนทับร่างของใครก็ไม่รู้จนพลอยทำให้ชายหนุ่มเข้าใจผิดเสียยกใหญ่...
หรือการที่ขลุ่ยหายตัวไปจะอยู่เหนือหลักเหตุผล แถมยังไม่สามารถใช้ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ใด
ๆ มาอธิบายได้กันนะ?
เพ้อเจ้อใหญ่แล้วมึงไอ้เสือ!
หลังจากบรรยากาศโดยรอบถูกความมืดเข้ารุกรานจนเหลือเพียงแสงสว่างวอมแวมจากหลอดไฟตรงแผงเนื้อสดไม่ใกล้ไม่ไกล
เด็กหนุ่มปริศนาที่หมดสติก็ลืมตาขึ้นแล้วมองสบตากับสัตยาอยู่เนิ่นนาน
จากนั้นจึงเปล่งเสียงแหบห้าวเรียกหาผู้กองหนุ่มด้วยความอาลัยอาวรณ์
“พี่เสือ”
“?!?”
“พี่เสือ
ช่วยขลุ่ยด้วย”
“ขลุ่ย?!!”
“...” ค่าที่ยังคงงงไม่หาย
สัตยาจึงพลาดโอกาสไต่ถามหรือรอฟังความจนแน่ใจไปอย่างน่าเสียดาย เพราะอยู่ ๆ
คนป่วยที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาก็กลับลงไปนอนนิ่งไม่ไหวติงดังเดิม
“ขลุ่ย
ขลุ่ยจริง ๆ ใช่ไหม? ขลุ่ย! ขลุ่ย!”
หลังความพยายามในการเรียกสติเด็กน้อยล้มเหลวไม่เป็นท่า สัตยาก็พบว่า เด็กหนุ่มปริศนาผู้ตื่นขึ้นเมื่อแดดช่วงเที่ยงส่องสว่างตามปกติอีกครั้งผู้นั้น
ทั้งพยศและน่าหมั่นเขี้ยวกว่าที่คิดเอาไว้มากทีเดียว
***********
“ขลุ่ย...
ขลุ่ยกลับมาหาพี่เถอะนะ พี่ผิดไปแล้ว” สิ้นเสียงคร่ำครวญด้วยความชอกช้ำ
ปลายนิ้วปริศนาก็ชำแรกลงสู่ใจกลางความชื้นแฉะด้วยหมายกอบกำวัตถุเรียบลื่นทรงเกือบกลมอย่างแม่นมั่น
เมื่อปรับแต่งองศาและจัดวางท่าทางจนพอใจ มือปริศนาก็เด็ดสิ่งที่ปลายนิ้วทั้งสองประคองเอาไว้จนหลุดพ้นเบ้า
“พี่ขอโทษ
พี่ทำเกินไป ให้อภัยพี่เถอะนะขลุ่ย” เจ้าของเสียงร่ำรำพันกับลูกนัยน์ตาโชกเลือดที่ตนถืออยู่ในอุ้งมือ
ก่อนจะโยนมันทิ้งลงพื้นอย่างไม่เห็นค่า พร้อม ๆ กับก้าวข้ามร่างไร้ลมหายใจของเด็กอาชีวะ
เดินมุ่งหน้าเข้าห้องนอนตรงไปลูบคลำขวดแก้วใบใสที่ภายในบรรจุของเหลวและดวงตาสีน้ำตาลอมเขียวข้างหนึ่งไว้ด้วยความรักใคร่อย่างสุดซึ้ง
“พี่รักขลุ่ยคนเดียวนะครับ”
***********
แม่งเอ๊ย! ไอ้ห้องบ้านี่อีกแล้วเหรอ?
ห้องมืดซึ่งมีประตูเป็นช่องแสงเดียวที่ปรากฏซ้ำ
ๆ ในห้วงฝันกำลังทำอังคารหัวเสีย แต่ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะด่าทอต่อว่าโชคชะตาให้สาสมใจ
ภายในห้องว่าเปล่าแห่งนั้น กลับมีร่างเลือนลางของชายคนหนึ่งปรากฏขึ้น
เชี่ย!
ตามมาหลอกถึงนี่เลยเหรอวะ?
ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยไอ้เพียรด้วย!!!
ต่อให้อยากตะโกนโวยวายจนเส้นเสียงย่อยยับ
ทว่าอังคารกลับทำได้เพียงร้องโหวกเหวกในใจเท่านั้น
เพราะนอกจากเขาจะหลับตาหรือหันหน้าหนีไม่ได้แล้ว เด็กหนุ่มยังกลายเป็นใบ้ไปเสียอีก
ยังดีที่ในฝันร้ายคราวนี้ อีกฝ่ายดูจะไม่แยแส หรือออกท่าคุกคามเขาเหมือนเมื่อสองครั้งที่เจอกันตัวเป็น
ๆ
ร่างขาวสว่างแม้อยู่ท่ามกลางความมืดของวิญญาณตนนั้นค่อย
ๆ ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ล่องหนกลางห้อง ไหล่ทั้งสองที่ลู่ตกลงจนดูสิ้นสง่าราศีกับการนั่งนิ่งไม่ไหวติงเป็นตุ๊กตาหมดลานทำให้อังคารอดคิดไม่ได้ว่า
ถ้าผีมีความรู้สึกนึกคิดคล้ายคน ผีตรงหน้าเขาจะต้องเป็นผีที่กำลังอ่อนล้าและใกล้หมดอาลัยตายอยากอยู่แน่
ๆ
ผีนั่นเป็นอะไร?
แล้วอยู่ ๆ จะโผล่มาทำไมอีก?
การตกเป็นเป้านิ่งให้วิญญาญเร่ร่อนโผล่มาหลอกหลอนอย่างต่อเนื่องทั้งยามหลับและยามตื่นตลอดระยะเวลากว่าสองเดือนทำให้อังคารเลือดขึ้นหน้าในท้ายที่สุด
จะเอายังไงก็ว่ามา!
จะหลอกก็หลอกให้มันจบ
ๆ ไป
คนอื่นเขาจะได้กลับไปใช้ชีวิตเป็นปกติได้เสียที!
อังคารไม่ได้คิดไปเอง
หากแต่ดูเหมือนว่า
วิญญาณที่นั่งห่อเหี่ยวอยู่กลางห้องจะพยายามสื่อสารอะไรบางอย่างกับตัวเขาเช่นกัน
จึงไม่แปลกหากทุก ๆ คำถามที่พัวพันอีรุงตุงนังอยู่ในหัวสมองของเด็กหนุ่ม
จะได้รับการชี้แจงอย่างจะแจ้งระคนสยดสยองอย่างคาดไม่ถึง เพราะทันทีที่เด็กหนุ่มระเบิดอารมณ์จนพอใจ
วิญญาณชายแปลกหน้าก็ควักลูกตาข้างซ้ายของตัวเองออกมาแขวนเข้ากับมวลอากาศตรงหน้าก่อนจะกลับไปนั่งนิ่งในท่าห่อเหี่ยวอีกครั้ง
ค่าที่ตกอยู่ในฐานะเหยื่อผู้ถูกคุกคามและรังควานมาพักใหญ่
ๆ ภาพของอวัยวะทรงกลมที่ลอยเท้งเต้งเคว้งคว้างอยู่ไกล ๆ จึงไม่ทำให้อังคารเวอร์ชันโกรธจนเลือดขึ้นหน้าสะดุ้งสะเทือน
เอาสิ เอาเล้ย!
หนักกว่านี้ไอ้เพียรก็เจอมาแล้ว!
ความคิดท้าทายของเด็กหนุ่มหาได้ปลุกปั่นวิญญาณเรืองแสงหรือดวงตาให้โต้ตอบไม่
กระนั้นจู่ ๆ ผนังห้องด้านที่ร่างนั้นนั่งประจัญหน้า กลับปรากฏภาพเคลื่อนไหวของสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งดูอย่างไรก็ไม่คุ้นตาอังคารเลยสักนิด
เมื่อองค์ประกอบทั้งหมดมาอยู่ร่วมเฟรมกัน อังคารก็อดคิดไม่ได้ว่า
สภาพตรงหน้าช่างคล้ายคลึงกับการฉายหนังเงียบในห้องมืดโดยมีผีตนและลูกตาข้างนั้นเป็นผู้ชมกิตติมศักดิ์อย่างไรอย่างนั้น
หนอย ยังจะมีหน้ามาทำตัวสุนทรีย์อีกนะไอ้ผีบ้า!
แม้ใจจะต่อต้าน
แต่หัวสมองของอังคารกลับพยายามจดจำภาพเคลื่อนไหวบนฝาผนังอย่างขะมักเขม้น
“เจ้าเพียรเอ๊ย
ตื่นเถอะลูก เย็นแล้ว เดี๋ยวตะวันจะทับตาเอา”
“ยาย?!” ภาพเคลื่อนไหวไร้เสียงภายในห้องลับในฝัน กับวิญญาณและดวงตาที่อันตรธานไปในชั่วพริบตาทำให้อังคารที่เพิ่งถูกปลุกให้ตื่นจากฝันร้ายรู้สึกเสียดายจนเผลอตัดพ้อโดยไม่รู้ตัว
“โธ่ยาย! ยายปลุกเพียรทำไมครับ?”
“ผีจะออกมาตากผ้าอ้อมแล้วลูก
ไป ๆ ลุกไปล้างหน้าล้างตา แล้วค่อยกลับมารอดูหนังกับยาย”
แทนที่จะทำตามคำนางสินว่า
อังคารกลับเบิกตากว้างพลางจับจ้องภาพในจอโทรทัศน์ที่หญิงชราเปิดทิ้งไว้ด้วยความตื่นเต้น
“นั่นที่ไหนอ่ะยาย?”
“อะไรของเอ็งอีกล่ะเจ้าเพียร”
นางสินยอมละสายตาจากกองผ้าตรงหน้าด้วยไม่เข้าใจคำถามของเพื่อนบ้านรุ่นหลานดีนัก
จนเมื่อเห็นใบหน้าอังคารแทบจะแนบติดหน้าจอทีวี หล่อนจึงพลอยสนใจเนื้อหาที่รายการข่าวกำลังนำเสนอตามไปอีกคน
“ในทีวีอ่ะยาย
ที่ไหน?”
“อ๋อ นั่นมันเขาวัง”
“เขาวังเหรอยาย?”
สีหน้างุนงงของเด็กหนุ่มทำให้คนอาบน้ำร้อนมาก่อนรีบเสริมความตามประสบการณ์อย่างรวดเร็ว
“ก็ใช่น่ะสิ ข่าวเขาเล่าเรื่องสุริยุปราคาที่เขาวัง
เอ็งอ่านตัวหนังสือตรงนั้นไม่ออกเรอะไงเจ้าเพียร?”
“เขาวัง...
เพชรบุรี เขาวัง เพชรบุรี เพชรบุรี เพชรบุรี” เป็นเพราะอังคารมัวแต่พึมพำท่องจำชื่อจังหวัดที่เพิ่งได้ยินซ้ำไปซ้ำมาให้ขึ้นใจ
คำโฆษณายืดยาวของนางสินว่าด้วยความสวยงามและเอกลักษณ์ของสถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดเพชรบุรีจึงกลายเป็นลมปากเป่าผ่านหูเท่านั้น
แต่ถึงนางสินจะนึกครึ้มอยากเล่านิยายปรัมปรา
หรือเท้าความถึงพงศาวดารใด ๆ ให้อังคารฟังขึ้นมาจริง ๆ เชื่อเถอะว่า ในยามนี้ คงไม่มีสิ่งไหนจะดึงดูดความสนใจของเขาได้มากไปกว่าภาพเหตุการณ์ธรรมชาติอันมีเป็นภูเขาและสิ่งปลูกสร้างในจอตรงหน้าที่เหมือนกับฉากจากหนังเงียบในความฝันราวกับลอกกันมาทั้งกระบิ
วิญญาณแปลกหน้า
ดวงตาข้างซ้ายที่ถูกจัดวางให้มองวิวเขาวังอย่างตั้งใจ ภาพผู้ชายนอนคุดคู้อยู่ท้ายรถเก๋งที่เห็นเมื่อตอนกลางวัน
ทั้งหมดนั่นต้องไม่ใช่ความซวยที่บังเอิญเกิดขึ้นพร้อมกันในวันเดียวแน่ ๆ
“...เพชรบุรีงั้นเหรอ...”
แม้เด็กหนุ่มจะยังไม่เข้าใจความต้องการของวิญญาณตนนั้นอย่างถ่องแท้ แต่อย่างน้อย ๆ
อังคารก็พอรู้แล้วล่ะว่า วันพรุ่งนี้ เขาควรทำอะไร
*****|| TBC ||*****
ตอนนี้ลดดีกรีความหลอนลง
หวังว่าการปรากฏตัวของสัตยาจะช่วยบรรเทาความน่ากลัวลงได้บ้างเนอะ
^^