Wednesday, July 26, 2017

ODD EYE ตาย ตา ตื่น : 4th Glance ||26.07.17

The 4th Glance


“...อือ...”

“เฮ่ยไอ้หนู! อย่าเพิ่งลุก!

“ฮื่อ” นอกจากจะไม่ฟังคำทัดทานแล้ว ร่างที่นอนแผ่สองสลึงอยู่บนแผงเปล่าแผงหนึ่งในตลาดยังฝืนผงกหัวขึ้น เบือนหน้า ปรือตามองไปรอบ ๆ อย่างละล้าละลัง ก่อนที่สายตาสอดส่องกับเสียงพึมพำของเหล่าไทยมุงจะทำให้เด็กหนุ่มรำคาญจนเผลอชักสีหน้าแล้วหยัดกายนั่งโดยไม่ห่วงสังขารที่ยังร่อแร่ของตนแต่อย่างใด

“ก็บอกว่าอย่าเพิ่งลุกไง นอนไปก่อน” สัตยาส่ายหัวอย่างระอาใจเมื่อเห็นเด็กแปลกหน้ายังคงดึงดัน

“ผม... ผมเป็นอะไร?” อังคารอ้อมแอ้มถามคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน การตกเป็นเป้านิ่งให้คนอื่นวิพากษ์วิจารณ์อยู่ฝ่ายเดียวได้แปรความรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจให้กลายเป็นชวนคลื่นไส้ไปเสียฉิบ

ดูเหมือนสัตยาจะจับสังเกตอาการไม่สู้ดีของเด็กหนุ่มนิรนามได้ นายตำรวจจึงหันไปขอความร่วมมือจากเหล่าผู้ร่วมเห็นเหตุการณ์ด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ตรงนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วครับ ขอเชิญทุกคนแยกย้าย”

ทันทีที่บรรยากาศน่าอึดอัดคลี่คลาย สัตยาก็ตวัดสายตากลับมามองติเด็กดื้อตัวปัญหาอยู่ครู่ใหญ่ แต่สีหน้ากึ่งเบลอกึ่งเหม่อลอยของอังคารก็ทำให้คนโตกว่านึกเสียใจที่เผลอนึกตำหนิอีกฝ่ายไปโดยไม่ทันซักประวัติ “นี่ไอ้หนู เรามีโรคประจำตัวเป็นโรคลมชักหรือเปล่า?”   

“...เปล่า...” แม้อังคารจะหน้าซีดเผือดลงทันทีที่ได้ยินคำถามแทงใจ แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงคนแปลกหน้า เด็กหนุ่มจึงพูดจาโป้ปดได้โดยไม่รู้สึกละอาย และก่อนที่ใครจะทันไหวตัว อังคารก็กระโดดแผล็วลงจากแผงขายของตรงท้ายตลาดที่ถูกนายตำรวจใช้ต่างเตียงพยาบาลพร้อมกับตั้งท่าเตรียมออกวิ่ง

“เดี๋ยว! แล้วนั่นจะไปไหน?!” สัตยาคว้าต้นแขนเด็กชายเอาไว้ได้อย่างฉิวเฉียด “ว่าไง ผู้ใหญ่ถามทำไมไม่ตอบ?” คู่สนทนาออกอาการหลุกหลิกอีกทั้งยังพยายามสลัดแขนหนี แต่ด้วยขนาดลำตัว อีกทั้งกำลังวังชาที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด อังคารในเวลานี้จึงไม่ต่างอะไรจากหนูที่ตกอยู่ในอุ้งมือของราชสีห์

“จะไปไหนไอ้หนู หืม?”  

โว้ย! จะอะไรนักหนา?! แล้วหน้ากูเนี่ยเหมือนเด็กตรงไหน เรียกไอ้หนู ๆ อยู่ได้ เดี๋ยวพ่อเอาหนวดทิ่มตาบอดเลยนี่


“...” แม้สรรพนามที่คนแปลกหน้าใช้เรียกเขาจะกระตุ้นความหงุดหงิดจนหัวคิ้วกระตุก แต่อังคารกลับหักห้ามใจไม่ต่อความยาวสาวความยืดเพราะตระหนักได้ว่า ตนควรหาช่องหลบหลีกจากสถานการณ์ตรงหน้ามากกว่าจะท้าตีท้าต่อยกับใคร ยิ่งกับคนตัวใหญ่กว่ายิ่งไม่ควร

“จะรีบไปไหนฮึเรา? ทำไมไม่นอนพักให้หายดีก่อน?”

“ผมหายแล้ว”

“หึ!” สัตยาเลื่อนกรอบสายตามองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะหลุดหัวเราะในลำคอ... ลำพังยืนเองยังเซ ลองเขาไม่จับสิ สงสัยป่านนี้ได้กลิ้งไปถึงไหน ๆ “ชื่ออะไรฮึเรา แล้วพ่อแม่เราน่ะไปไหน... ลูกป่วยเป็นลมชักทำไมไม่ดูแล?”

“...”

“ว่ายังไงไอ้หนู พ่อแม่เราน่ะอยู่ไหน ทำไมถึงปล่อยลูกให้ไปไหนมาไหนคนเดียว?”  นายตำรวจทำเมินสายตาเกรี้ยวกราดของเด็กนิรนามขณะเดินหน้าซักฟอกอีกฝ่ายอย่างใจเย็น

อังคารถอนหายใจพรูก่อนจะตัดบทรวดเร็ว “ผมขอบคุณที่เมื่อกี๊คุณช่วยผม แต่คุณปล่อยผมไปเถอะนะ ผมอยากกลับบ้านแล้ว” พูดจบ เด็กหนุ่มก็พยายามสะบัดแขนอีกฝ่ายทิ้งอย่างจริงจังอีกครั้ง แต่สัตยากลับกระชับฝ่ามือให้แน่นหนากว่าเดิมพลางส่ายหัวคัดค้านข้อเสนอล่าสุดอย่างโจ่งแจ้งจนขีดความอดทนของอังคารเริ่มต่ำลงทุกขณะ

“สภาพเราตอนนี้น่ะกลับบ้านเองไม่ไหวหรอก” ตำรวจนอกเครื่องแบบสบตากับเด็กน้อยตรงหน้าอย่างเคร่งเครียดก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาด “เอางี้แล้วกัน เดี๋ยวเราไปนั่งพักรอฉันบนสถานี พอเสร็จธุระแล้วฉันจะพาไปส่งที่บ้าน ตกลงนะไอ้หนู” ว่าแล้วสัตยาก็พยักเพยิดไปยังสถานีตำรวจอีกฟากถนนพอเป็นพิธี จากนั้นก็ออกแรงลากอังคารให้เดินตามกันโดยไม่ไต่ถามความสมัครใจ

“ปล่อยผม!

“ไม่ มากับฉัน!” อังคารเอนตัวเอื้อมสุดแขนไปคว้าเสาใกล้ ๆ พลางจิกปลายเท้ากับพื้นปูนแล้วขืนตัวสู้แรงอย่างไม่ยอมกัน กระนั้นสัตยาซึ่งมีกำลังเหนือกว่ากลับยื้อยุดฉุดแขนคนเกิดทีหลังให้เซแท่ด ๆ ตามมาอย่างง่าย ๆ โดยไม่สนใจเสียงร้องโหยหวนด้วยความขัดใจของเด็กดื้อเลยสักนิด

“ปล่อยซี่!
“เอ๊ะ! อย่าดื้อสิไอ้หนู!
“ปล่อยยย!
“ไม่!

เมื่อฝ่ายต่อต้านที่โดนลากถูลู่ถูกังออกจากตลาดเริ่มมองเห็นหลังคาของสถานีตำรวจอยู่รำไร ความพยายามที่จะทำตัวสงบเสงี่ยมให้ตลอดรอดฝั่งก็หมดความหมายลงทันที “โอ๊ย! ผมยี่สิบแล้วนะคุณ บรรลุนิติภาวะมาสองปีแล้ว คุณปล่อยผมไปเถอะนะ ไหว้ล่ะ!

สองขาของสัตยาไม่ได้ชะงักเพราะประโยคอ้อนวอนผ่านน้ำเสียงแดกดันของอังคาร แต่เพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่ขัดแย้งกับอายุแบบลิบลับนั่นต่างหากที่ทำให้ตำรวจหนุ่มถึงกับหยุดเดินเพื่อหันกลับมาตั้งใจมองสำรวจคู่กรณีดี ๆ อีกครั้ง นี่ถ้าอีกฝ่ายไม่เผยอายุ รับรองเลยว่า ส่วนสูงราว ๆ ร้อยหกสิบห้าบวกกับรูปร่างผอมแกร็นและใบหน้าอ่อนเยาว์คงทำให้สัตยาหลงเข้าใจว่าอังคารเป็นเพียงละอ่อนน้อยไม่ประสีประสาไปตลอดแน่ ๆ  

ถึงว่าสิ... เด็กมอปลายที่ไหนจะอยากไว้หนวดหรอมแหรมเลียนแบบอาแปะกัน?
หน้าหงิกขนาดนั้นสงสัยจะไม่ชอบที่ถูกมองว่าเป็นเด็กสินะ... หึ! เด็กน้อยเอ๊ย!  

“ถึงนายจะโตแล้ว แต่ฉันก็ปล่อยนายไปไม่ได้หรอก เพราะถ้าอยู่ ๆ นายเกิดชักขึ้นมาจนเกิดอุบัติเหตุ ฉันคงรู้สึกผิดไปจนวันตาย” ทันทีที่แสดงเจตนารมย์จบ สัตยาก็ออกแรงฉุดแขนอังคารจนหน้าเริดอีกครั้ง แต่มีหรือที่เด็กหนุ่มจะยอมร่วมหัวจมท้ายแต่โดยดี 
“ปล่อย!
“ไม่ปล่อย!
“ปล่อยยย!
“นายต้องไปกับฉัน!
“ไม่ไป จะกลับบ้าน!
“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับผู้กอง?” เจ้าของประโยคคือชายวัยกลางคนในเครื่องแบบสีกากีที่กำลังเตะขาพร้อมกับยกสันมือขึ้นทำความเคารพสัตยาอย่างขึงขัง

“ไม่มีอะไรหรอกจ่า น้องผมเขาร้องจะกินขนม แต่ผมไม่ยอมน่ะ” สีหน้าพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างจริงจังของคนมาใหม่ไม่ได้สร้างความประหลาดใจแก่อังคารได้มากเท่ากับคำพูดคำจายอมรับสถานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของมนุษย์ถ้ำล่ำเป็นหมีที่ยังกำข้อมือเขาไม่คลายเลยสักนิด

เชี่ย! ตำรวจเหรอ?!!
แม่งเอ๊ย ยิ่งเกลียดยิ่งเจอจริง ๆ เลยว่ะ!  

อารามตกใจจนลุกลี้ลุกลน บทสนทนาสั้น ๆ ว่าด้วยหัวข้อสัพเพเหระของสองตำรวจจึงลอยหายไม่ทันเข้าหู รู้ตัวอีกที อังคารก็โดนสัตยาฉุดให้มาหยุดยืนทำหน้าเซื่องอยู่กลางดงตำรวจเป็นที่เรียบร้อย

“นั่งรอฉันอยู่ตรงนี้นะ” สายตาดื้อดึงจนดูเกรี้ยวกราดของเด็กน้อยทำให้สัตยาไม่วางใจ ชายหนุ่มจึงหันไปสั่งความกับเจ้าพนักงานสอบสวนที่นั่งคีย์ข้อมูลลงคอมพิวเตอร์เยื้องไปไม่ไกล “ดาบครับ เดี๋ยวตอนผมเข้าไปคุยกับผู้กองท็อป ผมฝากดูน้องหน่อยได้ไหมครับ”

“ได้ครับผู้กอง ”

“ถ้ามีอะไรดาบเรียกหาผมได้เลย ผมอยู่ข้างในนะครับ” เมื่อดาบตำรวจพยักหน้ารับคำ สัตยาก็หันมากดไหล่เด็กน้อยที่ยังคงยืนจังก้าให้นั่งลงอย่างเสียไม่ได้ “อย่าดื้อ แล้วก็ห้ามหนีไปไหน ฉันจะรีบไปรีบกลับ” อังคารมองค้อนคนสั่งตาคว่ำ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่คุณตำรวจนอกเครื่องแบบแสร้งมองเมินอย่างจงใจ

***********

“ไอ้ท็อป” เป็นโชคของสัตยาเมื่อเพื่อนร่วมรุ่นที่ตั้งใจจะมาหาเพิ่งเดินออกจากห้องทำงานพอดิบพอดี เห็นดังนั้น ชายหนุ่มจึงปราดเข้าไปหาด้วยสีหน้าว้าวุ่นใจ

“อ้าวไอ้เสือ มึงมาไง?” ใบหน้าเคร่งเครียดอมทุกข์ของเพื่อนทำให้ธีทัตกลืนคำทักทายแล้ววกเข้าสู่หัวข้อสนทนาที่สัตยาน่าจะสนใจมากกว่าทันที “โทษทีว่ะเสือ แต่ตอนนี้กูยังไม่มีข่าวดีมาบอกมึง”

“มึงคุยกับพวกเพื่อน พวกรุ่นพี่ รุ่นน้องที่มหาลัยขลุ่ยครบทุกคนหรือยัง?”

“ยัง” หัวคิ้วคมเข้มที่ร่นเข้าหากันจนใกล้จะเป็นปมส่งสัญญาณให้ธีทัตชิงรายงานผลการสืบคดีแก่เพื่อนทันควัน ไม่อย่างนั้นตัวเขาคงโดนสัตยาซักฟอกจนขาวสะอาดก่อนพยานปากไหน ๆ “เหลือรุ่นน้อง เพื่อนแล้วก็พวกรุ่นพี่อีกอีกห้าคนที่กลับบ้านต่างจังหวัด พวกกูเลยยังไม่ได้สอบปากคำตัวต่อตัว กูไม่อยากด่วนสรุปอะไรทั้งที่ได้ข้อมูลไม่ครบ มึงเข้าใจนะ?”

“...เฮ่อ!...”

“มึงอดทนหน่อยนะเสือ อีกสองอาทิตย์พอเด็กพวกนั้นกลับมาเตรียมตัวรอเปิดเทอม กูจะโทรบอกมึงเดี๋ยวนั้นเลยว่าได้เรื่องอะไรไหม” ธีทัตเอ่ยพลางตบไหล่ปลอบเพื่อนร่วมรุ่นเบา ๆ เพราะทนมองแววตาหมองเศร้าของสัตยาไม่ได้

“แล้วโรงพยาบาลกับพวกมูลนิธิล่ะ มีที่ไหนแจ้งชื่อขลุ่ยมาบ้างหรือเปล่า?” คนถูกถามส่ายหัวพลางถอนหายใจอย่างหนักอกเพราะหากข้อมูลที่สัตยาถามถึงมีอยู่จริง เจ้าของคดีอย่างเขาคงไม่รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างที่เป็นอยู่

“เสือ มึงก็รู้ใช่ไหมว่าคดีคนหายมันกินเวลา ยิ่งขลุ่ยไม่เคยมีศัตรู ไม่เคยสร้างปัญหาให้ใคร อยู่ดี ๆ ก็หายตัวไปเฉย ๆ พวกกูเลยต้องพยายามตัดตัวเลือกที่เป็นไปไม่ได้ออกพร้อม ๆ กับพยายามสืบหาเบาะแสของน้องมึงไปพร้อม ๆ กัน แต่ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน กูสัญญาเลยนะว่า กูจะหาขลุ่ยให้เจอให้ได้ เพราะขลุ่ยมันก็น้องกูคนนึงเหมือนกัน”

“กูฝากขลุ่ยด้วยนะท็อป” วาจาสำทับหนักแน่นจริงจังของธีทัตทำเอาคนฟังยอมจำนนทั้งที่ภายในใจยังมีคำถามมากมาย

ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่าเพื่อนคนนี้งานชุกแค่ไหน ลำพังแค่ธีทัตสละเวลาส่วนตัวออกตามหาเพียงออให้มากกว่าใคร ๆ สัตยาก็เกรงใจอีกฝ่ายแทบแย่ แต่สิ่งที่ฉุดชายหนุ่มให้ยิ่งด่ำดิ่งจมลงในห้วงความรู้สึกหดหู่คงจะหนีไม่พ้น สัจธรรมอันเลวร้ายของคดีคนหาย เพราะหากบุคคลสาปสูญไม่ใช่ลูกท่านหลานเธอ หรือทายาทผู้ทรงอิทธิพล ที่สุดแล้ว คดีประเภทนี้มักจะกลายเป็นคดีที่มีลำดับความสำคัญรั้งท้ายเสมอ

“เออน่า! ไม่ต้องห่วง มือชั้นนี้แล้ว กูต้องหาขลุ่ยเจอสิวะ!” ธีทัตฝืนยิ้มทำร่าเริงเพื่อสร้างขวัญ เรียกกำลังใจให้กับทั้งตัวเองและสัตยา “แล้วที่มึงโผล่หัวมานี่ งานไม่เสียใช่ไหม?”

“เดี๋ยวกูก็ไปแล้ว กูแค่อยากแวะมาถามมึงให้แน่ใจเฉย ๆ ”

“สู้ ๆ เว่ยมึง! แต่ถึงยังไงกูก็มั่นใจว่ากูต้องหาขลุ่ยเจอเข้าสักวัน แค่มันอาจจะไม่เร็วทันใจมึงเท่านั้นเอง”

“ขอบใจมึงมากนะท็อป ถ้าไม่ใช่มึง กูก็ไม่รู้จะพึ่งใครเหมือนกัน” ธีทัตมองหน้าสัตยาอย่างเห็นอกเห็นใจ แต่สีหน้าที่ถมึงทึงตึงเครียดไม่เสื่อมคลายของอีกฝ่ายทำให้เขาอดเตือนสติเพื่อนไม่ได้

“เลิกเครียดได้แล้ว ขืนมึงเป็นอะไรไปอีกคน ลูกน้องมึงจะยิ่งลำบากนะเว่ย แล้วก็อย่าคิดอะไรมาก เลิกงานแล้วก็หัดพักผ่อนบ้าง อย่ามาแย่งงานกูทำเลยนะ กูขอร้อง” คนพูดหวังใช้คำสัพยอกช่วยตะล่อมให้สัตยาคลายใจ เพราะการอดตาหลับขับตานอนเที่ยวออกตะลอนตามหาน้องชายต่างสายเลือดนอกเวลาทำการย่อมเป็นผลเสียต่อตัวอีกฝ่ายในระยะยาว

ที่ไหนได้ นอกจากจะยิ้มไม่ออกแล้ว คู่สนทนายังทำหน้าหนักใจยิ่งกว่าเก่าจนธีทัตพลอยอยู่ไม่สุขตามไปอีกคน “เสือ... เรื่องขลุ่ยน่ะ เชื่อมือกูนะ”

“เออ ๆ ” สัตยารับคำแบบขอไปทีพลางพยายามฝืนยิ้มให้จบ ๆ ไป เพราะเมื่อธีทัตพูดถึงชื่อเพียงออขึ้นมาทีไร สมองเขาก็รังแต่จะขุดภาพเหตุการณ์ประหลาดที่เพิ่งเกิดขึ้นในตลาดเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนขึ้นมาฉายวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า...

ขลุ่ยกับเด็กคนนั้นเกี่ยวข้องกันตรงไหน?
ทำไมต้องเป็นเด็กนั่น?




“ดาบครับ แล้วน้องผมล่ะครับ?” สัตยาหน้าตื่นเมื่อเห็นว่า บัดนี้ เก้าอี้ตัวที่เคยมีเด็กดื้อนั่งอยู่กลับว่างเปล่า  

“อ้าว ก็เมื่อกี๊ผู้กองโทรเข้าเครื่องบอกให้น้องลงไปรอที่รถแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”

“เมื่อกี๊ผมโทรเข้าเครื่องน้องเหรอครับ?”

“ครับ น้องผู้กองบอกผมอย่างนั้นน่ะครับ” คนถูกไหว้วานทำหน้าเหลอหลาพลางชะเง้อคอมองหาน้องชายนายตำรวจอย่างพะวักพะวนจนผู้กองหนุ่มเริ่มจะแน่ใจว่า อีกฝ่ายคงโดนเด็กเมื่อวานซืนหลอกเอาเสียแล้ว

“ขอบคุณนะครับดาบ ผมไปก่อนนะครับ” ถึงจะรู้อย่างนั้น สัตยาก็ยังไม่วายวิ่งหน้าตั้งลงไปดูวี่แววของจอมฉ้อฉลเพื่อตอกย้ำให้ตัวเองยิ่งแน่ใจว่า ไม่มีทางที่คนแปลกหน้าจะรู้จักรถส่วนตัวของเขาได้  

ไม่สิ... เด็กคนนั้นเป็นคนแปลกหน้าที่ไหนกัน
ก็เมื่อวานเขาเพิ่งเจอเด็กนั่นไปเองแท้ ๆ

เหตุผลที่สัตยาพยายามเหนี่ยวรั้งเด็กเลี้ยงแกะเอาไว้ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นห่วงเป็นใยในสวัสดิภาพ แต่ยังเป็นเพราะอีกฝ่ายมีบางอย่างเชื่อมโยงกับเพียงออ... อะไรบางอย่างที่ทำให้ทั้งวันนี้และเมื่อวาน เขากลายเป็นคนแรก และคนเดียวที่เข้าประชิดตัวเด็กนั่นได้ก่อนที่เงื้อมมือมัจจุราชจะเอื้อมถึง

สัตยาปลดล็อกรถแล้วยกตัวขึ้นนั่งบนเบาะหนังหลังพวงมาลัยพลางลำดับภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ ตอนเที่ยงวันอีกครั้ง    

ความพลุกพล่านจอแจช่วงใกล้เที่ยงทำให้สัตยาต้องวนรถหาที่จอดอยู่พักใหญ่ จนแล้วจนรอด ผู้กองหนุ่มก็พบซองว่างตรงข้างรั้วสถานีเข้าจนได้ จังหวะที่กำลังดับเครื่องยนต์อยู่นั้นเอง ภาพสะท้อนที่เห็นเพียงเสี้ยวผ่านกระจกมองหลังก็ทำให้ชายหนุ่มถึงกับพุ่งตัวลงจากรถแล้วสับเท้าออกวิ่งแบบไม่คิดชีวิต

จริงอยู่ที่ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา สัตยาจะคลุกคลีกับความเครียดจนคุ้นกันดี ทว่าไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะพะวงเรื่องขลุ่ยจนเห็นภาพหลอน กลับกัน แม้สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จะเป็นการเหลือบมองด้วยหางตาเพียงชั่วอึดใจจากระยะหลายสิบเมตร แต่แผ่นหลังบาง ๆ ที่ผลุบหายเข้าตลาดไปเมื่อกี๊ เป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกเสียจากเพียงออคนเดียวเท่านั้น

ยิ่งระยะห่างระหว่างเขากับเพียงออใกล้กันมากขึ้นเท่าไร ท่าเดินกับรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ ก็ทำให้สัตยาก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองจำคนไม่ผิด รู้ดังนั้น ชายหนุ่มจึงเร่งฝีเท้าช่วงโค้งสุดท้ายแล้วยืดสุดแขนไปคว้าไหล่คนคุ้นเคยเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะหายไปอีกครั้ง แต่สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มไม่รู้ คือ ทันทีที่ฝ่ามือของเขาแตะโดนแผ่นหลังฝ่ายผู้ถูกติดตาม กลับทำให้ร่างตรงหน้าสั่นเทิ้มก่อนจะร่วงหล่นเป็นใบใม้ถูกปลิดขั้ว

สัตยาเห็นท่าไม่ดีจึงโผเข้าไปช้อนร่างที่กำลังเสียการทรงตัวเอาไว้โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่แทนที่อีกฝ่ายจะเป็นคนหายสาปสูญ เจ้าของร่างในอ้อมแขนกลับเป็นเด็กชายที่เขาเคยช่วยเอาไว้เมื่อบ่ายวันวานตรงหน้าโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง

อาการชักเฉียบพลันของเด็กนั่น กอปรกับความสนอกสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปทำให้สัตยาไม่มีเวลาตกใจหรือสงสัยอะไรมากนัก เคราะห์ยังดีที่เมื่อคนป่วยหยุดชักตรงกับจังหวะที่เกิดสุริยุปราคา สัตยาจึงสามารถอุ้มร่างหมดสติของเด็กน้อยไปนอนพักตรงแผงเปล่าแผงหนึ่งได้ก่อนที่เหล่าไทยมุงจะทำเสียเรื่อง

ระหว่างที่เงาของดวงจันทร์ทอดลงบนผิวโลกแล้วกลืนกินแสงสว่างจนหมดสิ้น สัตยาก็เลื่อนกรอบสายตามองคนหมดสติอย่างพินิจพิเคราะห์

หรือเขาจะเพ้อเจ้อไปเอง?

เป็นไปไม่ได้
สองครั้งแล้วนะที่เขาเจอเด็กนี่ หลังจากเห็นขลุ่ย...

เมื่อวานสังหรณ์บางอย่างสั่งให้เขาแอบแว่บจากงานไปตามหาเพียงออที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะคว้าน้ำเหลวในท้ายที่สุด แต่จังหวะที่สัตยากำลังหัวเสียอยู่นั้นเอง เพียงออที่ไม่รู้โผล่มาจากซอกไหนก็เดินลิ่ว ๆ ออกจากโรงพยาบาลไปจนชายหนุ่มต้องวิ่งขาขวิดลงจากบันไดเลื่อนเพื่อไล่ตาม

ครั้นจะโทษว่าตาฝาดแล้วเห็นเด็กแปลกหน้าเป็นเพียงออ ใจเขาก็ดันคัดค้าน กระนั้นสัตยากลับไม่มีเหตุผลใด ๆ มารองรับความผิดปกติของสายตาที่จู่ ๆ เกิดเห็นแผ่นหลังของเพียงออลอยซ้อนทับร่างของใครก็ไม่รู้จนพลอยทำให้ชายหนุ่มเข้าใจผิดเสียยกใหญ่... หรือการที่ขลุ่ยหายตัวไปจะอยู่เหนือหลักเหตุผล แถมยังไม่สามารถใช้ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ มาอธิบายได้กันนะ?    

เพ้อเจ้อใหญ่แล้วมึงไอ้เสือ!
   
หลังจากบรรยากาศโดยรอบถูกความมืดเข้ารุกรานจนเหลือเพียงแสงสว่างวอมแวมจากหลอดไฟตรงแผงเนื้อสดไม่ใกล้ไม่ไกล เด็กหนุ่มปริศนาที่หมดสติก็ลืมตาขึ้นแล้วมองสบตากับสัตยาอยู่เนิ่นนาน จากนั้นจึงเปล่งเสียงแหบห้าวเรียกหาผู้กองหนุ่มด้วยความอาลัยอาวรณ์

“พี่เสือ”

“?!?”

“พี่เสือ ช่วยขลุ่ยด้วย”

“ขลุ่ย?!!

“...” ค่าที่ยังคงงงไม่หาย สัตยาจึงพลาดโอกาสไต่ถามหรือรอฟังความจนแน่ใจไปอย่างน่าเสียดาย เพราะอยู่ ๆ คนป่วยที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาก็กลับลงไปนอนนิ่งไม่ไหวติงดังเดิม

“ขลุ่ย ขลุ่ยจริง ๆ ใช่ไหม? ขลุ่ย! ขลุ่ย!” หลังความพยายามในการเรียกสติเด็กน้อยล้มเหลวไม่เป็นท่า สัตยาก็พบว่า เด็กหนุ่มปริศนาผู้ตื่นขึ้นเมื่อแดดช่วงเที่ยงส่องสว่างตามปกติอีกครั้งผู้นั้น ทั้งพยศและน่าหมั่นเขี้ยวกว่าที่คิดเอาไว้มากทีเดียว

***********

“ขลุ่ย... ขลุ่ยกลับมาหาพี่เถอะนะ พี่ผิดไปแล้ว” สิ้นเสียงคร่ำครวญด้วยความชอกช้ำ ปลายนิ้วปริศนาก็ชำแรกลงสู่ใจกลางความชื้นแฉะด้วยหมายกอบกำวัตถุเรียบลื่นทรงเกือบกลมอย่างแม่นมั่น เมื่อปรับแต่งองศาและจัดวางท่าทางจนพอใจ มือปริศนาก็เด็ดสิ่งที่ปลายนิ้วทั้งสองประคองเอาไว้จนหลุดพ้นเบ้า

“พี่ขอโทษ พี่ทำเกินไป ให้อภัยพี่เถอะนะขลุ่ย” เจ้าของเสียงร่ำรำพันกับลูกนัยน์ตาโชกเลือดที่ตนถืออยู่ในอุ้งมือ ก่อนจะโยนมันทิ้งลงพื้นอย่างไม่เห็นค่า พร้อม ๆ กับก้าวข้ามร่างไร้ลมหายใจของเด็กอาชีวะ เดินมุ่งหน้าเข้าห้องนอนตรงไปลูบคลำขวดแก้วใบใสที่ภายในบรรจุของเหลวและดวงตาสีน้ำตาลอมเขียวข้างหนึ่งไว้ด้วยความรักใคร่อย่างสุดซึ้ง “พี่รักขลุ่ยคนเดียวนะครับ”

***********

แม่งเอ๊ย! ไอ้ห้องบ้านี่อีกแล้วเหรอ?

ห้องมืดซึ่งมีประตูเป็นช่องแสงเดียวที่ปรากฏซ้ำ ๆ ในห้วงฝันกำลังทำอังคารหัวเสีย แต่ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะด่าทอต่อว่าโชคชะตาให้สาสมใจ ภายในห้องว่าเปล่าแห่งนั้น กลับมีร่างเลือนลางของชายคนหนึ่งปรากฏขึ้น 

เชี่ย! ตามมาหลอกถึงนี่เลยเหรอวะ?
ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยไอ้เพียรด้วย!!!

ต่อให้อยากตะโกนโวยวายจนเส้นเสียงย่อยยับ ทว่าอังคารกลับทำได้เพียงร้องโหวกเหวกในใจเท่านั้น เพราะนอกจากเขาจะหลับตาหรือหันหน้าหนีไม่ได้แล้ว เด็กหนุ่มยังกลายเป็นใบ้ไปเสียอีก ยังดีที่ในฝันร้ายคราวนี้ อีกฝ่ายดูจะไม่แยแส หรือออกท่าคุกคามเขาเหมือนเมื่อสองครั้งที่เจอกันตัวเป็น ๆ  

ร่างขาวสว่างแม้อยู่ท่ามกลางความมืดของวิญญาณตนนั้นค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ล่องหนกลางห้อง ไหล่ทั้งสองที่ลู่ตกลงจนดูสิ้นสง่าราศีกับการนั่งนิ่งไม่ไหวติงเป็นตุ๊กตาหมดลานทำให้อังคารอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าผีมีความรู้สึกนึกคิดคล้ายคน ผีตรงหน้าเขาจะต้องเป็นผีที่กำลังอ่อนล้าและใกล้หมดอาลัยตายอยากอยู่แน่ ๆ   

ผีนั่นเป็นอะไร? แล้วอยู่ ๆ จะโผล่มาทำไมอีก?  

การตกเป็นเป้านิ่งให้วิญญาญเร่ร่อนโผล่มาหลอกหลอนอย่างต่อเนื่องทั้งยามหลับและยามตื่นตลอดระยะเวลากว่าสองเดือนทำให้อังคารเลือดขึ้นหน้าในท้ายที่สุด

จะเอายังไงก็ว่ามา! จะหลอกก็หลอกให้มันจบ ๆ ไป
คนอื่นเขาจะได้กลับไปใช้ชีวิตเป็นปกติได้เสียที!

อังคารไม่ได้คิดไปเอง หากแต่ดูเหมือนว่า วิญญาณที่นั่งห่อเหี่ยวอยู่กลางห้องจะพยายามสื่อสารอะไรบางอย่างกับตัวเขาเช่นกัน จึงไม่แปลกหากทุก ๆ คำถามที่พัวพันอีรุงตุงนังอยู่ในหัวสมองของเด็กหนุ่ม จะได้รับการชี้แจงอย่างจะแจ้งระคนสยดสยองอย่างคาดไม่ถึง เพราะทันทีที่เด็กหนุ่มระเบิดอารมณ์จนพอใจ วิญญาณชายแปลกหน้าก็ควักลูกตาข้างซ้ายของตัวเองออกมาแขวนเข้ากับมวลอากาศตรงหน้าก่อนจะกลับไปนั่งนิ่งในท่าห่อเหี่ยวอีกครั้ง  

ค่าที่ตกอยู่ในฐานะเหยื่อผู้ถูกคุกคามและรังควานมาพักใหญ่ ๆ ภาพของอวัยวะทรงกลมที่ลอยเท้งเต้งเคว้งคว้างอยู่ไกล ๆ จึงไม่ทำให้อังคารเวอร์ชันโกรธจนเลือดขึ้นหน้าสะดุ้งสะเทือน

เอาสิ เอาเล้ย! หนักกว่านี้ไอ้เพียรก็เจอมาแล้ว!  

ความคิดท้าทายของเด็กหนุ่มหาได้ปลุกปั่นวิญญาณเรืองแสงหรือดวงตาให้โต้ตอบไม่ กระนั้นจู่ ๆ ผนังห้องด้านที่ร่างนั้นนั่งประจัญหน้า กลับปรากฏภาพเคลื่อนไหวของสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งดูอย่างไรก็ไม่คุ้นตาอังคารเลยสักนิด เมื่อองค์ประกอบทั้งหมดมาอยู่ร่วมเฟรมกัน อังคารก็อดคิดไม่ได้ว่า สภาพตรงหน้าช่างคล้ายคลึงกับการฉายหนังเงียบในห้องมืดโดยมีผีตนและลูกตาข้างนั้นเป็นผู้ชมกิตติมศักดิ์อย่างไรอย่างนั้น  

หนอย ยังจะมีหน้ามาทำตัวสุนทรีย์อีกนะไอ้ผีบ้า! แม้ใจจะต่อต้าน แต่หัวสมองของอังคารกลับพยายามจดจำภาพเคลื่อนไหวบนฝาผนังอย่างขะมักเขม้น


“เจ้าเพียรเอ๊ย ตื่นเถอะลูก เย็นแล้ว เดี๋ยวตะวันจะทับตาเอา”

“ยาย?! ภาพเคลื่อนไหวไร้เสียงภายในห้องลับในฝัน กับวิญญาณและดวงตาที่อันตรธานไปในชั่วพริบตาทำให้อังคารที่เพิ่งถูกปลุกให้ตื่นจากฝันร้ายรู้สึกเสียดายจนเผลอตัดพ้อโดยไม่รู้ตัว “โธ่ยาย! ยายปลุกเพียรทำไมครับ?”

“ผีจะออกมาตากผ้าอ้อมแล้วลูก ไป ๆ ลุกไปล้างหน้าล้างตา แล้วค่อยกลับมารอดูหนังกับยาย”  

แทนที่จะทำตามคำนางสินว่า อังคารกลับเบิกตากว้างพลางจับจ้องภาพในจอโทรทัศน์ที่หญิงชราเปิดทิ้งไว้ด้วยความตื่นเต้น “นั่นที่ไหนอ่ะยาย?”

“อะไรของเอ็งอีกล่ะเจ้าเพียร” นางสินยอมละสายตาจากกองผ้าตรงหน้าด้วยไม่เข้าใจคำถามของเพื่อนบ้านรุ่นหลานดีนัก จนเมื่อเห็นใบหน้าอังคารแทบจะแนบติดหน้าจอทีวี หล่อนจึงพลอยสนใจเนื้อหาที่รายการข่าวกำลังนำเสนอตามไปอีกคน  

“ในทีวีอ่ะยาย ที่ไหน?”

“อ๋อ นั่นมันเขาวัง”

“เขาวังเหรอยาย?” สีหน้างุนงงของเด็กหนุ่มทำให้คนอาบน้ำร้อนมาก่อนรีบเสริมความตามประสบการณ์อย่างรวดเร็ว

“ก็ใช่น่ะสิ ข่าวเขาเล่าเรื่องสุริยุปราคาที่เขาวัง เอ็งอ่านตัวหนังสือตรงนั้นไม่ออกเรอะไงเจ้าเพียร?”

“เขาวัง... เพชรบุรี เขาวัง เพชรบุรี เพชรบุรี เพชรบุรี” เป็นเพราะอังคารมัวแต่พึมพำท่องจำชื่อจังหวัดที่เพิ่งได้ยินซ้ำไปซ้ำมาให้ขึ้นใจ คำโฆษณายืดยาวของนางสินว่าด้วยความสวยงามและเอกลักษณ์ของสถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดเพชรบุรีจึงกลายเป็นลมปากเป่าผ่านหูเท่านั้น

แต่ถึงนางสินจะนึกครึ้มอยากเล่านิยายปรัมปรา หรือเท้าความถึงพงศาวดารใด ๆ ให้อังคารฟังขึ้นมาจริง ๆ เชื่อเถอะว่า ในยามนี้ คงไม่มีสิ่งไหนจะดึงดูดความสนใจของเขาได้มากไปกว่าภาพเหตุการณ์ธรรมชาติอันมีเป็นภูเขาและสิ่งปลูกสร้างในจอตรงหน้าที่เหมือนกับฉากจากหนังเงียบในความฝันราวกับลอกกันมาทั้งกระบิ

วิญญาณแปลกหน้า ดวงตาข้างซ้ายที่ถูกจัดวางให้มองวิวเขาวังอย่างตั้งใจ ภาพผู้ชายนอนคุดคู้อยู่ท้ายรถเก๋งที่เห็นเมื่อตอนกลางวัน ทั้งหมดนั่นต้องไม่ใช่ความซวยที่บังเอิญเกิดขึ้นพร้อมกันในวันเดียวแน่ ๆ

“...เพชรบุรีงั้นเหรอ...” แม้เด็กหนุ่มจะยังไม่เข้าใจความต้องการของวิญญาณตนนั้นอย่างถ่องแท้ แต่อย่างน้อย ๆ อังคารก็พอรู้แล้วล่ะว่า วันพรุ่งนี้ เขาควรทำอะไร


*****|| TBC ||*****



ตอนนี้ลดดีกรีความหลอนลง
หวังว่าการปรากฏตัวของสัตยาจะช่วยบรรเทาความน่ากลัวลงได้บ้างเนอะ ^^