Monday, February 26, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#07|| 26.02.2018 + แจ้งลา




#07

มันบังเอิญได้มาเจอสาวน้อย เธอมาคอย เธอมามองหาใคร
ดู ๆ ไปยิ่งถูกตา ดู ๆ มายิ่งถูกใจ ทั้งน่ารักและน่าชัง
ลูกสาวใครทำไมถูกใจจริง ๆ ส่งสายตาให้กัน ปิ๊ง ๆๆ
ดูแก้มแดงตาโตถูกใจจริง ๆ มองแล้วน่าเข้าไปกอด
ขออุ้มหน่อย - เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์

…………………………………………………………………………………………………………

“วันนี้กลับบ้านได้แล้ว”

ผมเหลือบมองนาฬิกาพลางนึกแปลกใจหลังได้ยินประโยคล่าสุดของพี่ใหญ่ประจำทีม ถึงจะเลยเวลาเลิกงานมาแล้วเกือบชั่วโมง แต่มันเพิ่งบ่ายสองเองนะ ทำไมพี่ฟี่ถึงเปลี่ยนใจยอมให้พวกเรากลับบ้านทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ข้อสรุปจากพี่จี๊ดวะ

“อ้าว แล้วไม่ต้องอยู่รอพี่จี๊ดแล้วเหรอคะพี่ฟี่” น้องเล็กคงจะสงสัยเหมือนกัน ถึงได้ละสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊คพลางเอียงคอรอฟังคำตอบของพี่ฟี่อย่างจดจ่อ

“หึ” ซีเนียร์ส่ายหัวพลางส่งเสียงหนัก ๆ ในลำคอ “พี่จี๊ดแกเพิ่งไลน์มาบอกว่าแกต้องรอสรุปกับคุณพันเลิศอีกทีเย็นนี้ว่ะ”

“เย็นนี้?” ถามเสร็จ น้องเล็กกับผมก็มองหน้ารุ่นพี่เพราะยังไม่ปักใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน “พี่จี๊ดไม่ได้กำลังประชุมกับคุณพันเลิศอยู่เหรอพี่ ทำไมต้องรอเย็นนี้ด้วยอ่ะคะ”

ทันทีที่เข้าโปรเจค ปฏิทินการทำงานของบริษัทลูกค้าจะกลายเป็นช่วงเวลาปฏิบัติงานภาคบังคับของพวกเราไปโดยปริยาย ดังนั้นในช่วงหกเดือนที่พวกผมทำระบบให้คุณพันเลิศจึงมีบางเสาร์ที่พวกเราต้องเข้ามาทำงานครึ่งวันเพื่อชดเชยเวลาทำงานที่ขาดหายไปเพราะวันหยุดยาวตามประกาศของรัฐบาล

เอาเข้าจริง การทำงานวันเสาร์กลับไม่แย่นัก เพราะนอกจากจะทำงานถึงแค่บ่ายโมงแล้ว เวทย์มนตร์ของวันหยุดสุดสัปดาห์ยังทำให้บรรยากาศในออฟฟิศลูกค้าวันนี้ค่อนข้างผ่อนคลายกว่าปกติหลายเท่า

สงสารก็แต่พี่จี๊ดคนเดียวนี่แหละ
แกหายเข้าไปประชุมกับตาลุงคาสโนว่าตั้งแต่เช้า ไม่รู้ว่าจนป่านนี้ข้าวสักเม็ดจะตกถึงท้องบ้างหรือยัง

“แล้วพวกแกจะนั่งให้เปลืองแอร์ลูกค้าหรือไง” พวกผมแข่งกันส่ายหัวปฏิเสธคำถามของพี่ฟี่โดยพร้อมเพรียง “งั้นก็ไป กลับบ้านโว้ย”

“แล้วเรื่องแก้เดโมอ่ะพี่” ถึงจะอยากดีดตัวออกจากออฟฟิศลูกค้าเต็มแก่ แต่ผมก็ยังไม่หายคาใจเสียทีเดียว คนโดนถามจึงกลอกตาใส่ผมอย่างจังก่อนจะบุ้ยใบ้ให้ยีนส์เริ่มเก็บกระเป๋า

“ถ้าพี่จี๊ดแกคุยกับคุณพันเลิศรู้เรื่องเมื่อไรแกก็ส่งเมลบอกพวกเราเองนั่นแหละ”

ไม่ต้องรีบนะทู เดี๋ยวพี่ชอปปิ้งรอ

จากที่ตั้งใจว่าจะตามงานให้ได้ข้อสรุป ผมกลับหุบปากทันทีที่สายตาลากผ่านข้อความล่าสุดที่เพิ่งเด้งเข้าเครื่อง...
ถึงจะไม่รู้ว่าพี่ป๊อบปี้ได้เบอร์ผมไปยังไง แต่การที่ต้องผวาตื่นขึ้นมารับสายของอีกฝ่ายตั้งแต่ตีห้าครึ่งจนโดนเฟม (ที่นอนค้างด้วยกัน) ด่ารับอรุณก็ทำให้ผมซาบซึ้งถึงความเอาแต่ใจของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี

“ไปตำสนีกเกอร์ที่เซ็นลาดฯ กับหนูป่ะพี่ทู วันนี้เซลล์วันสุดท้าย ลดเจ็ดสิบเปอร์เซนต์เลยนะพี่” น้องนุชสุดท้องกระแซะเข้ามาทันทีที่เก็บของเสร็จ อ๋อ ที่วันนี้เจ้าเด็กนี่ไม่เซ้าซี้เหมือนทุกทีเพราะจะไปละลายทรัพย์ต่อนี่เอง

“ไม่อ่ะ วันนี้พี่มีธุระ” ต่อให้ข้อเสนอของน้องเล็กจะยั่วยวนสักเพียงไหน ผมก็ไม่ควรเสี่ยงเล่นกับไฟอย่างพี่ป๊อบปี้เป็นอันขาด “พี่ฟี่หวัดดีครับ เจอกันวันจันทร์นะน้อง” พูดจบ ผมก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากออฟฟิศลูกค้าที่รกร้างผู้คนอย่างว่องไว พอลงจากตึกได้ก็รีบโบกมอเตอร์ไซค์ไปจับรถไฟฟ้ามุ่งหน้าเข้าเมืองทันที

โชคดีที่พี่ป๊อบปี้โทรมาบอกจุดนัดพบตั้งแต่ยังอยู่บนบีทีเอส ผมจึงไม่ต้องลำบากวิ่งวนหาอีกฝ่ายไปทั่ว อันที่จริง ถ้าไม่นับว่าตกใจตอนรับสาย การที่อีกฝ่ายโทรมานัดแนะผมเที่ยวโดยห้ามไม่ให้ขับรถมาตั้งแต่ไก่โห่ถือเป็นข้อดี เพราะหากผมต้องขับรถจากออฟฟิศลูกค้าฝ่าการจราจรเส้นสุขุมวิทช่วงบ่ายวันเสาร์เพื่อมุ่งหน้าเข้าเมือง พี่ป๊อบปี้คงได้เหมาของหมดห้างไปก่อนแน่ ๆ  

ขณะยืนทอดหุ่ยรอให้บันไดเลื่อนค่อย ๆ พาร่างลงสู่ชั้นใต้ดินซึ่งถูกทำเป็นอควาเรียม ผมก็เห็นพี่ป๊อบปี้กำลังยืนคุยหนุงหนิงอยู่กับฝรั่งผมทองคนหนึ่ง ทั้งสองหัวเราะพลางจับจ้องกันอย่างลึกซึ้งจนน่าอิจฉา... สาธุ ขออย่าให้พี่ป๊อบปี้นัดผมมาวันนี้เพราะแค่อยากอวดผู้เฉย ๆ เลยเฮอะ

คงเป็นเพราะผมหยุดมองพวกเขาสองคนอี๋อ๋อกันไม่ได้ ทั้งคู่จึงรู้ตัวแล้วพากันหันมามองมนุษย์ขี้เสือกอย่างผมเป็นตาเดียว “ทู ทางนี้” พี่ป๊อบปี้ยิ้มหวานส่งให้ก่อนจะกวัดมือเรียกผมหยอย ๆ

“พี่ป๊อบปี้หวัดดีครับ” ถึงจะพอมองออกว่าชาวต่างชาติที่ยืนประกบพี่ป๊อบปี้น่าจะเป็นบุคคลสำคัญ แต่ภาพการพูดคุยอย่างคนคุ้นเคยของคู่อดีตสามีภรรยาเมื่อเย็นวาน ก็ทำให้ผมไม่กล้าฟันธงสถานะของทั้งคู่แบบมั่นหน้านัก

“นี่แจสเปอร์ สามีพี่เอง” แล้วพี่ป๊อบปี้ก็หันไปแนะนำผมกับฝรั่งคนนั้นเป็นภาษาอังกฤษรัวเร็ว ก่อนที่อีกฝ่ายจะทักทายผมด้วยภาษาไทยสำเนียงเขยฝรั่งที่แท้ทรู

“ส่า-หวัด-ดี-ขรับ พ่ม-Jasper-ขรับ ยินดี-ที-ดาย-รู-จาก-ขรับ”

ให้ตายเถอะ ลำพังแค่พี่หนาวก็ทำผมใจบางได้ไม่เว้นวัน นับประสาอะไรกับพ่อผมทองตาสีฟ้าที่หุ่นเฟิร์ม หนำซ้ำทรงหน้ายังดียิ่งกว่านายแบบชุดชั้นในคาลวิน ไคลน์ตรงหน้านี่ล่ะ ชาติที่แล้วพี่ป๊อบปี้ทำบุญด้วยอะไรวะ ทำไมสามีแต่ละคนถึงได้แซ่บกินกันไม่ลงแบบนี้

สวัสดีครับ ผมทูครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ” เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ผมจึงคุยกับแจสเปอร์ด้วยภาษากลางที่ทุกคนในที่นี้น่าจะเข้าใจดี ทว่าก่อนที่ใครจะได้เปิดบทสนทนา เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาคนหนึ่งก็วิ่งถลาเข้ามากอดขาแจสเปอร์เอาไว้แน่น

พ่อขา

“นี่ดาฟเน่ ลูกสาวคนเล็กของพี่จ้ะ” ยิ่งเจอลูกสาวของพี่ป๊อบปี้ตัวเป็น ๆ ผมก็ยิ่งงงไปกันใหญ่ พี่ป๊อบปี้กับพี่หนาวทำกันอีท่าไหนลูกถึงได้หน้าคล้ายแจสเปอร์อย่างกับแกะ

ดี นี่คุณน้าทูนะลูก” พ่อผมทองทำเสียงอ่อนเสียงหวานพูดภาษาดอกไม้กับเด็กหญิงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ดาฟเน่จะค่อย ๆ ยื่นแขนป้อม ๆ ขึ้นมาโบกทักทายผมแบบอาย ๆ

ถ้าไม่ใช่พ่อลูกกันจริง ๆ ก็ไม่น่ามุ้งมิ้งเบอร์นี้หรอกมั้ง
แต่จะลูกใครก็ช่างเถอะ ลองว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อย ผมก็พ่ายแพ้เท่านั้น

สวัสดีครับดาฟเน่ น้าชื่อทูครับ” แม้ดาฟเน่จะซุกตัวหลบหลังขาคุณพ่อทันทีที่ได้ยินเสียงทักทายไม่คุ้นหู แต่เด็กหญิงกลับยื่นหน้าออกมาเยี่ยม ๆ มอง ๆ ผมอย่างสงสัย และนั่นยิ่งทำให้ใบหน้าเล็ก ๆ กับแก้มกลม ๆ สีแดงแป๊ดทั้งสองยิ่งน่าเอ็นดูไปกันใหญ่ แต่ก่อนที่ผมจะได้จับเด็กลูกครึ่งวัยประถมกลืนลงท้องให้สมกับความน่ารักของเจ้าตัว พี่ป๊อบปี้ก็โพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงโล่งอก

ตั๋วมาแล้วเด็ก ๆ ... เธอซื้อมาครบคนใช่ไหม”

เฮ่ย มากับเขาด้วยเหรอ?!

“อืม” กระทั่งเห็นพี่หนาวเดินจูงเด็กผู้หญิงอีกคนเข้ามาร่วมวง ผมยังแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่าท่าน HR Director ผู้เย็นชาจะมีอารมณ์มาเดินดูปลาวันเสาร์อาทิตย์กับแฟนใหม่ของอดีตภรรยาตัวเอง...

เดี๋ยวนะ พี่หนาวยอมมาเที่ยวกับแฟนเก่าที่ควงผัวใหม่ซึ่งกระเตงลูกน้อยวัยไม่กี่ขวบเข้าเอวมาด้วยอย่างนั้นเหรอ?

จะมีสักกี่คนที่ทำให้ผัวเก่ากับผัวใหม่ยืนร่วมซีนกันอย่างชื่นมื่นได้
แม่เจ้า พี่ป๊อบปี้คือสุดยอดไอดอลที่มนุษย์เมียทั่วโลกควรเอาเยี่ยงอย่าง
ชาติที่แล้วแกจะต้องทำบุญด้วยการสร้างโบสถ์สร้างวิหารอ่ะ ไม่ใช่หลังเดียวด้วยนะ... น่าจะสองหลังเป็นอย่างต่ำ

 “ปลาวาฬ นี่อาทู รุ่นน้องคุณพ่อ ไหว้คุณอาสิลูก” เด็กหญิงหน้าคมผู้มีชื่อใหญ่เกินตัวปล่อยมือจากพี่หนาวแล้วก้าวเท้ามายืนข้าง ๆ พี่ป๊อบปี้ก่อนจะพุ่มมือย่อไหว้ผมด้วยจังหวะติ๊ดชึ่งซึ่งยิ่งทำให้เจ้าตัวดูน่ารักไปกันใหญ่

พอได้ฟังคำผู้ให้กำเนิด เด็กหญิงก็ทำตาโต คลี่ยิ้มหวานพลางยกมือขึ้นทาบอกแล้วตบเบา ๆ ด้วยความชอบใจ “ชื่อปลาทูเหรอคะ ชื่อเหมือนปลาวาฬเลยค่ะ”

โอยตาย ๆๆ เห็นสีหน้าหนูตอนนี้แล้วพี่ใจไม่ดีเลยลูก อยากจับยัดใส่กระเป๋าแล้วเอากลับไปเลี้ยงที่บ้านมาก

“อาทูลูก ไม่ใช่ปลาทู” พี่ป๊อบปี้ยิ้มค้างพลางลูบหัวลูกสาวเบา ๆ “โทษทีนะทู”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมปลอบพี่ป๊อบปี้ก่อนจะย่อตัวลงนั่งคุยกับสาวน้อยผู้มั่นใจที่ตอนนี้เดินมาหยุดยืนประจันหน้ากับผมเป็นที่เรียบร้อย “สวัสดีครับคนสวย วันนี้ปลาวาฬมาหาเพื่อนเหรอครับ”

“ค่ะ” เด็กหญิงอมยิ้มแล้วพยักหน้า “ปลาทูก็มาหาเพื่อนเหมือนกันใช่ไหมคะ”

เป็นเพราะหางตาเหลือบไปทันเห็นพี่ป๊อบปี้ทำหน้าเหนื่อยใจ ผมจึงส่ายหัวพลางคลี่ยิ้มให้แกก่อนจะหันกลับมาอ้อยเด็กน้อยต่ออย่างเชี่ยวชาญ “ถ้างั้นปลาวาฬพาอาทูไปหาเพื่อนหน่อยได้ไหมครับ อาทูกลัวหลง”

“ได้สิคะ” ได้ยินแบบนั้นผมเลยยื่นมือให้เด็กหญิงจับ แต่อยู่ดี ๆ พี่หนาวกลับเดินเข้ามาแทรกกลางวง

“เดี๋ยว” มนตร์สะกดของเด็กหญิงทำให้ผมเกือบจะลืมความประหม่าเวลาอยู่ต่อหน้าพี่หนาวไปเสียสนิท แต่พอเจ้าตัวในชุดไปรเวทมายืนเก๊กขรึมอยู่ใกล้ ๆ หัวใจผมก็ดันเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาดื้อ ๆ

“ครับ?” ผมแสร้งตีหน้าซื่อพลางแอบกวาดตามองหน้าอีกฝ่ายแบบเร็ว ๆ ... โอย ยิ่งรู้ใจตัวเอง พี่หนาวในสายตาผมก็ยิ่งหล่อทำลายล้างอย่างไม่น่าให้อภัยไปกันใหญ่

เดี๋ยวผมดูลูกเอง คุณเดินกับแจสเปอร์เถอะ” พี่หนาวไม่แม้แต่จะต่อบทสนทนา เขาหันไปคุยกับพี่ป๊อบปี้หน้าตาเฉย

ถ้างั้นไปเจอกันตรงทางออกเลยแล้วกันนะ” ผมยืนมองพี่หนาวยื่นตั๋วสามใบส่งให้พี่ป๊อบปี้แทนคำตอบรับ ซึ่งเมื่ออดีตภรรยาของเขาเดินเฉิดฉายนำสามีและลูกใหม่ลับสายตาไป ท่าน HR Director ก็หันมาคุยกับลูกสาวด้วยเสียงนุ่มนวลชวนฝัน

“ไปครับลูก ไปดูปลากัน”

คุณพระ นี่มันพี่หนาวในโหมดลุงไซด์ไลน์ชัด ๆ !
ว่าแล้วเขาก็เดินจูงลูกสาวผ่านหน้าผมไป ปล่อยให้ผมยืนจิกตามองตามแผ่นหลังกว้างใต้เสื้อยืดคอกลมพอดีตัวนั่นอย่างหมั่นไส้ สรุปว่าเป็นคนหรือแผ่นน้ำแข็ง จะเย็นชาไปไหนนักหนา
 
นินทาได้ไม่ทันไร อยู่ ๆ พี่หนาวก็หันกลับมา พอโดนสายตาดุ ๆ คู่นั้นจับจ้องจัง ๆ ผมก็รีบกลบเกลื่อนอาการตกใจด้วยการแสร้งมองเด็กหญิงปลาวาฬที่กำลังกวักมือเรียกผมอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินตามท่าน HR Director และลูกสาวเข้าไปโดยไม่ลืมรักษาระยะห่างที่ดีต่อใจตัวเอง
.
.
.
.
“นีโม่!” ปลาวาฬร้องเสียงดังอย่างชอบใจเมื่อเห็นเจ้าปลาสีส้มลายขาวขลิบดำหน้าตาคุ้นเคย “ปลาทูมาดูนีโม่สิคะ”

“ปลาวาฬรู้ไหมครับว่านีโม่เป็นปลาอะไร” ที่ถามนี่ไม่ได้อยากจะโชว์เหนือกับเด็กหรอกนะ แต่ผมทนไม่ได้จริง ๆ ที่พ่อแม่หลายคนปล่อยให้เด็กเข้าใจว่านีโม่คือชื่อพันธุ์ปลาทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่

“นีโม่เป็นปลาการ์ตูนค่ะ”

“เก่งจังเลย รู้ได้ไงเนี่ย”

“พ่อเล่าให้ปลาวาฬฟังค่ะ” ถ้าผมตาไม่ฝาด ดูเหมือนคนถูกพาดพิงจะอมยิ้มนิด ๆ หลังได้เครดิตจากลูกสาวไปแบบเต็ม ๆ  พอเห็นพี่หนาวเวอร์ชันบ้ายอเข้าไป ผมก็อดใจเต้นไม่ได้... เป็นแค่ตาลุงแท้ ๆ แต่ทำไมชอบทำตัวน่ารักนักก็ไม่รู้

ผมสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไปแล้วหันไปสนใจเด็กหญิงตรงหน้าอย่างจริงจัง “นอกจากนีโม่ ปลาวาฬยังรู้จักปลาอะไรอีกบ้างครับ”

“ปลาวาฬรู้จักดอรี่ พ่อนีโม่ มิสเตอร์เรย์ แฮงค์ แล้วก็เดสตินี่ที่เป็นปลาวาฬเหมือนปลาวาฬค่ะ”

“เหรอครับ เก่งจังเลยครับ” ผมแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหวเมื่อรู้ว่าตัวเองตั้งคำถามได้ไม่ตรงคำตอบของเด็กหญิงเอาเสียเลย ผมจึงถามใหม่ “แล้วถ้าเป็นปลาในตู้รอบ ๆ พวกเรานี่ล่ะครับ ปลาวาฬรู้จักตัวไหนมั่ง”

“ปลาวาฬรู้จักหมดเลยค่ะ”

“จริงอ่ะ” ผมแกล้งเล่นใหญ่ด้วยการหรี่ตามองท้าทายอีกฝ่ายไปเสียอีก

“จริงสิคะ” เด็กหญิงปั้นหน้าจริงจังก่อนจะผงกหัวรับคำจนหางเปียเต้นระบำ “ปลาวาฬชอบดู Animal Planet กับ National Geographic ค่ะ ปลาวาฬเลยรู้จักปลาหมดนี่เลย” พูดจบ เจ้าตัวก็กางแขนอวดความกว้างใหญ่ของฐานข้อมูลที่ไม่อาจวัดได้ด้วยมาตราอื่นใดนอกจากจินตนาการในหัว ฮือ... ทำไมเด็กหญิงปลาวาฬจะต้องน่ารักขนาดนี้ด้วยนะ

“แต่อาทูว่าอาทูก็รู้จักปลาเยอะน้า”

“ปลาวาฬรู้เยอะกว่า” เด็กหญิงโต้ตอบไม่ลดละ ท่าทางมั่นอกมั่นใจแบบนั้นทำให้ผมอดหมั่นเขี้ยวไม่ได้

“ถ้าอย่างนั้นเรามาแข่งกันดีกว่าใครจะรู้จักปลามากกว่ากัน ดีไหมครับ”

“ดีค่ะ” ปลาวาฬตอบเสียงดังฟังชัดพลางปรายตามองผมด้วยสีหน้าหมายมั่นปั้นมือ “ถ้าใครแพ้อดกินไอติมสตรอเบอร์รี่นะคะ”

ประโยคล่าสุดของเด็กหญิงทำผมงงจนต้องมองหน้าคนเป็นพ่อเพื่อขอตัวช่วย แต่ในเมื่อทางนั้นแค่อมยิ้มแล้วยักไหล่ ผมจึงปล่อยเบลอไปตามระเบียบ “ก็ได้ครับ ถ้าใครแพ้จะไม่ได้กินไอติมสตรอเบอร์รี่”

ทันทีที่ผู้แข่งขันทั้งสองตกลงกันได้ ทุกครั้งที่พวกเราเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าตู้กระจกแปลกใหม่ ภาพเด็กหญิงปลาวาฬขณะชูมือสุดแขนแล้วแย่งตอบชื่อปลาที่แกรู้จักด้วยสีหน้ากระตือรือล้น ก่อนจะอวดอ้างสรรพคุณของปลาชนิดนั้น ๆ ทิ้งท้ายอย่างฉะฉาน ทำให้ผมต้องเบือนหน้าหลบไปอีกทางเพื่อแอบหัวเราะคนเดียวบ่อย ๆ
.
.
.
.
“พ่อขา อั้ม อั้ม”

แม้ว่าบทบาท HR Director จอมเฮี้ยบที่เจอมาตลอดอาทิตย์จะทำให้ภาพจำแรกที่ผมมีต่ออีกฝ่ายเลือนลางไป แต่เมื่อได้เห็นพี่หนาวอ้าปากงับไอติมสตรอเบอร์รี่คำเล็ก ๆ ที่ปลาวาฬป้อนให้โดยไม่เขินสายตาใคร ผมก็รู้เดี๋ยวนั้นว่า ที่แท้ลุงไซด์ไลน์ที่ผมคลั่งไคล้ไม่ได้หายไปไหน เขาแค่เลือกปรากฏตัวเฉพาะเวลาอยู่กับลูกสาวเท่านั้น

“ปลาทูกินไอติมสตรอเบอร์รี่ไหมคะ”

เสียงหวาน ๆ ของเด็กหญิงที่นั่งฝั่งตรงข้ามฉุดผมออกจากห้วงความคิด “ขอบคุณครับ แต่อาทูแพ้ อาทูกินไม่ได้หรอกครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ปลาวาฬแบ่งให้” อีกเรื่องที่ผมชอบเกี่ยวกับปลาวาฬ คือ เด็กหญิงมีน้ำใจกับทุกคนโดยเท่าเทียม เพราะก่อนหน้าจะเซอร์วิสคุณพ่อไปเมื่อครู่ เจ้าตัวก็เที่ยวแบ่งปันความอร่อยในถ้วยใบน้อยให้คนอื่น ๆ ทั่วทั้งโต๊ะจนผมกลัวใจว่าแกจะไม่ได้กินของชอบอย่างเต็มอิ่ม

“ขอบคุณครับ แต่อาทูอยากให้ปลาวาฬกินเยอะ ๆ เพราะอาทูรู้ว่าปลาวาฬชอบกินไอติมสตรอเบอร์รี่มาก ๆ ใช่ไหมครับ”

“ใช่ค่ะ ปลาวาฬชอบกินไอติมสตรอเบอร์รี่ที่สุดเลย” เด็กหญิงยิ้มยิงฟันจนตายิบหยี

“ถ้าชอบ ปลาวาฬก็กินเลยครับ อาทูชอบตอนหนูยิ้มเวลาได้กินไอติมสตรอเบอร์รี่ที่สุดเลยครับ”

“เออทู เดี๋ยวพี่แวะส่งทูตรงบีทีเอสได้ไหมจ๊ะ” พี่ป๊อบปี้เอ่ยแทรกขึ้นด้วยสีหน้าลำบากใจ “ขอโทษทีนะ พอดีพี่ต้องรีบพาเด็ก ๆ ไปเรียนดนตรีต่อ”

“ไม่เป็นไรครับพี่ เดี๋ยวผมกลับเองดีกว่า” ผมปฏิเสธด้วยความเข้าใจ ถ้าไม่ใช่เพราะผมชวนปลาวาฬเล่นสนุกอยู่เกือบสองชั่วโมง พี่ป๊อบปี้คงไม่ต้องเปลี่ยนแผนเอานาทีสุดท้าย

“ไม่ได้ อย่างน้อยติดรถพี่ไปขึ้นรถไฟฟ้าก็ยังดี นะจ๊ะ” จนถึงตอนนี้ พี่ป๊อบปี้ก็ยังไม่ยอมแพ้ แต่ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร ผมก็เห็นอีกฝ่ายปรายตามองหน้าพี่หนาวก่อนจะยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นพลางทำหน้ามีเลศนัย “หนาว เดี๋ยวเลิกแล้วเธอติดธุระอะไรหรือเปล่า”

การที่พี่หนาวส่ายหัวแทนคำตอบไม่ได้ทำให้ผมกังวลมากเท่ากับใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบที่เดาเจตนาไม่ได้ของพี่ป๊อบปี้ ผมว่างานนี้ผมต้องโดนลากไปเอี่ยวด้วยแหง ๆ

“ถ้างั้นเธอช่วยไปส่งทูหน่อยได้ไหม” เฮ่ย ไม่ดีมั้งครับพี่!

“ไม่เป็นไรครับ จากนี่ผมขึ้นบีทีเอสไปนิดเดียวเดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้วครับ” ผมปฏิเสธทันควันเพราะไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของพี่หนาวมากไปกว่านี้ ที่สำคัญ ผมยังจำครั้งสุดท้ายที่นั่งรถท่าน HR Director ได้ไม่ลืม

“ทูกลับกับหนาวเถอะนะจ๊ะ พี่ขอร้อง”

“อย่าเลยครับ ผมกลับเองจะสะดวกกว่าครับ” ผมส่งสายตาอ้อนวอนให้พี่ป๊อบปี้ แต่มีหรือจะเอาชนะผู้มีอำนาจต่อรองสูงสุดอย่างแกได้

“เรื่องสะดวกพี่ไม่เถียงนะ แต่ทูอยากให้พี่รู้สึกไม่ดีที่ผิดคำพูดเหรอจ๊ะ” ลองว่าโดนสวนมาไม้นี้ ใครล่ะจะกล้าแย้งพี่ป๊อบปี้ได้ลงคอ
••••••

“เดี๋ยวจอดให้ผมลงข้างหน้าก็ได้ครับ” หลังจากบวกลบคูณหารเลขป้ายทะเบียนรถคันอื่น ๆ จนเริ่มจะปวดหัว ผมก็หมดความอดทน นี่ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ป๊อบปี้ควงแจ๊สเปอร์แถมหนีบลูกสาวทั้งสองคนยกขบวนกันมาส่งผมขึ้นรถล่ะก็ ไม่มีทางที่ผมจะตามมาสร้างความลำบากใจให้พี่หนาวต่อถึงนี่หรอก เล่นขับรถเงียบ ๆ ไม่พูดไม่จามาร่วม ๆ ครึ่งชั่วโมง เป็นใครก็ต้องเกรงใจไหมล่ะ

แต่แทนที่จะจอดรถตามที่ผมขอ คนขับกลับเลื่อนมือมากดเปิดเพลงก่อนจะตั้งอกตั้งใจบังคับพวงมาลัยต่อไปเหมือนกับแกล้งไม่ได้ยิน

“รบกวนช่วยจอดให้ผมลงข้างหน้าได้ไหมครับ” ผมย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง เป็นครั้งแรกของวันนี้เลยมั้งที่ผมทำใจกล้าจ้องหน้าอีกฝ่ายไม่วางตา... ซึ่งสุดท้ายมันกลับทำให้ผมนึกโกรธตัวเองที่ดันเผลอใจเต้นกับเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาไม่ต่างจากทุกที

รักแท้ที่เกิดขึ้นมา มีดวงใจของเธอ รับรู้ก็แค่ตัวเอง ไม่อาจบอกกลัวเก้อเสียใจ

“ผมขับรถไม่ดีเหรอ” อยู่ ๆ เขาก็ถามขึ้น

“ครับ?”

“คุณขอให้ผมจอด ผมเลยถามว่าผมขับรถไม่ดีเหรอ” พี่หนาวยังคงไม่ละสายตาจากท้องถนน แสงแดดสีอมส้มช่วงใกล้ค่ำย้อมใบหน้าครึ่งล่างของเขาให้ดูอบอุ่นชวนฝัน แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ผมตาพร่าจนพลอยอ่านความหมายของดวงตาคมใต้เงามืดไม่ออก

ตัวเธอจะตอบได้ไหม ว่าใจของเธอรักใคร ไม่ยากไม่มากใช่ไหม ถ้าใจฉันมันเรียกร้องมาจาก

“เปล่าครับ” ผมตอบไปตามจริงเพราะขี้เกียจเดาใจคู่สนทนา

“ถ้าอย่างนั้นก็นั่งให้สบายเถอะ” มุมปากคนพูดกดลึกจนผมมองเห็นลักยิ้มเล็ก ๆ ที่เล่นซ่อนแอบหลบสายตาผมมาได้ตั้งนาน ถ้าไม่เพราะกำลังเอ๋อเข้าเส้น ผมคงเขินจนเป็นบ้าเพราะรอยยิ้มสุดพิเศษเมื่อครู่ไปแล้ว

“ผมดูนั่งไม่สบายเหรอครับ” ผมชี้ตัวเองพลางเอียงคอมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ ซึ่งพี่หนาวก็ไม่ปล่อยให้ผมสงสัยนาน

“เมื่อกี้คุณดูเกร็ง ๆ ”

ก็เพราะใครล่ะ... ผมเบ้ปากพลางนึกบ่นอีกคนในใจก่อนจะเบือนหน้า บังคับสายตาออกไปมองสองข้างทางพลางเงี่ยหูฟังเพลงไปเงียบ ๆ แต่แล้วเนื้อร้องที่คุ้นเคยก็ทำให้ผมเผลอฮัมเพลงตามอย่างลืมตัว

ความรักที่แห้งโรย เก็บเธอไว้ในหัวใจ จนกว่า ที่เธอซึ้ง และเข้าใจ อยากให้เธอรู้...

“รู้จักเพลงนี้ด้วยเหรอ” อาจเพราะรถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเรื่อย ๆ หรือเพราะพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินจนแสงแดดเปลี่ยนทิศล่ะมั้งที่ทำให้เงาบนใบหน้าหล่อเหลาหายไป ภาพพี่หนาวเลิกคิ้วพลางอมยิ้มชอบใจเลยกระแทกตาเข้าอย่างจังจนผมทำอะไรไม่ถูก

แย่ นี่มันแย่มาก ๆ ... ใครใช้ให้พี่ยิ้มบ่อยแบบนี้กัน

“ห๊ะ?” ยังดีที่ผมงับปากไว้ได้ทัน ลำพังแค่ตกใจผสมประหม่าจนหลุดร้องเสียงหลงก็น่าอายพอแล้ว

“เมื่อกี้คุณฮัมเพลง” คนขับอาศัยจังหวะที่รถติดไฟแดงหันมามองสบตาพลางคลี่ยิ้มละไม “ผมได้ยินคุณฮัมเพลงนี้” ผมแสร้งขยับตัวแล้วถือโอกาสเบี่ยงหน้าหลบสายตาอีกฝ่ายเพราะกลัวโดนจับได้ว่าหัวใจผมกำลังหวั่นไหววุ่นวายกับท่าทีเป็นมิตรเกินไปของเขา

“คุณชอบเพลงนี้เหรอ”

“ก็ ชอบ... ครับ” ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าเพลงนี้คือซาวด์แทร็กประกอบหนังชีวิตของคนแอบรักที่แท้ทรู แต่ผมไม่ได้บอกเขาไปหรอกนะว่าผมไม่เคยฟังเวอร์ชันช้า ๆ เนิบ ๆ แบบนี้มาก่อน... ใครเอามาคัฟเวอร์วะ?

“ผมก็ชอบ” พี่หนาวพูดแล้วก็ยิ้ม ยิ้มเสร็จก็ทำหน้ากรุ้มกริ่มแบบที่ผมต้องแอบหยิกต้นขาตัวเองเอาไว้เพื่อกันไม่ให้ตัวเองเผลอทำเรื่องงามหน้า

เฟมเพื่อนรัก... ลุงไซด์ไลน์คัมแบ็คทูมีแล้วมึง!

พวกเราเคลื่อนที่ตามรถคันหน้าอีกครั้งหลังสัญญาณไฟเขียว แม้จะเขินจนอยากกระเถิบไปนั่งสิงประตูรถให้รู้แล้วรู้รอด แต่เพราะกลัวว่าคนขับจะรำคาญ ผมเลยแสร้งทำหน้าตาย นั่งนิ่ง ๆ สองตามองตรงไปข้างหน้าประหนึ่งกำลังถ่ายรูปติดบัตร ทว่าแทนที่จะขับรถเงียบ ๆ เหมือนตอนแรก ๆ ลุงไซด์ไลน์กลับเดินหน้าก่อกวนหัวใจผมไม่หยุด

“คุณชอบเด็กเหรอ”

เพื่อรักษาภาพลักษณ์อันดี (ที่ยังพอมีเหลือ) ผมจึงเลี่ยงไม่มองหน้าหากแต่ลากสายตาไปวางบนแขนข้างซ้ายของคู่สนทนาแทน “ครับ ผมชอบเล่นกับเด็ก แต่ต้องเป็นเด็กโตหน่อยนะครับ ถ้าเป็นเด็กแบบเด็กน้อยมาก ๆ จะไม่กล้าเล่นด้วย กลัวทำตกแล้วหามาใช้คืนพ่อแม่เขาไม่ได้”

เสียงหัวเราะเบา ๆ ของเขาทำให้เส้นเลือดนูน ๆ ตรงหลังมือที่กุมรอบพวงมาลัยดูน่าลูบไล้ขึ้นอีกหลายเท่า พี่หนาวหมุนบังคับรถให้เลี้ยวเข้าถนนใหญ่ในละแวกใกล้บ้านผม “ถ้าคุณเล่นกับปลาวาฬได้ คุณก็เล่นกับเด็กได้ทุกคนนั่นแหละ”

ดูพูดเข้า ใจคอจะไม่อวยลูกตัวเองหน่อยหรือไง เป็นพ่อปลาวาฬประสาอะไรกัน “ปลาวาฬน่ารักออกครับ จริง ๆ ถ้ามีเวลามากกว่านี้ ผมจะขอพี่ป๊อบปี้พาแกไปดูภาพถ่ายทะเลที่หอศิลป์ด้วยกัน”

“ไว้วันไหนคุณว่างก็บอกผมแล้วกัน ปลาวาฬคงอยากเจอคุณอีก” ผมหันขวับไปมองหน้าคนพูดโดยไม่ทันคิดก่อนจะโดนประกายวิบวับในดวงตาคมที่จ้องรอท่าทำให้หน้าร้อนวูบขึ้นมาแบบฉับพลัน และแล้วก็เป็นผมเสียเองที่นั่งอมลิ้นพลางหลับหูหลับตานับจำนวนเส้นด้ายรุ่ยตรงรอยขาดเหนือหัวเข่ากางเกงยีนส์ไปจนถึงบ้าน

••••••

จังหวะที่คเชนทร์เดินออกมาส่งลูกค้าที่เพิ่งมาสั่งดอกไม้ที่ร้าน พอดีกันกับที่เด็กชายเวลาเดินดุ่ม ๆ ตรงดิ่งเข้ามายังสวนหย่อมซึ่งเป็นทำเลทองของแมวหน้ากาก ชายหนุ่มนึกแปลกใจเมื่อเห็นว่า คนข้างกายเด็กชายคืออาม่า หาใช่เด็กหญิงชื่อปลาวาฬคนที่เจอเมื่อวานนี้

แต่จะอย่างไรก็ช่างเถอะ แค่ได้เจอหน้าเวลาเกือบทุกเย็น เขาก็มีความสุขมากแล้ว

“สวัสดีครับเวลา มาหาลูกพี่เหรอครับ” แม้จะต้องประคับประคองบทสนทนาอยู่ฝ่ายเดียว แต่คเชนทร์กลับไม่ถือสาอะไร เพราะนอกจากเด็กชายแล้ว ตอนที่เขาชวนลูกพี่คุยแก้เบื่อระหว่างวัน ก้อนขนสีดำเองก็ไม่ได้ใส่ใจโต้ตอบ (หรือถ้าบังเอิญมันมีใจร้องเหมียวรับขึ้นมาจริง ๆ ชายหนุ่มก็ไม่เก็บเอาเสียงแมวมาเป็นสาระแต่อย่างใด)

“วันนี้ปลาวาฬไปไหนล่ะครับ ทำไมไม่มาด้วยกัน” คเชนทร์หาเรื่องชวนเด็กชายคุย แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ โดยที่สองตาจับจ้องลูกพี่ตาเป็นมันโดยไม่สนใจใคร เขาจึงเบนความสนใจไปยังหญิงชราที่เพิ่งเดินตามมาสมทบ “สวัสดีครับ” ชายหนุ่มเอ่ยพลางยกมือไหว้ย่าของเวลาอย่างนอบน้อม

หญิงชรารับไหว้พลางคลี่ยิ้มให้พอเป็นพิธีก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะค่อย ๆ ฉีกกว้างขึ้นเมื่อหล่อนเหลือบไปเห็นอากัปกิริยาน่าชังของหลานชาย “เห็นเป็นไม่ได้เลยนะแมวเนี่ย” หล่อนเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ

“เวลาชอบลูกพี่มากใช่ไหม” ยิ่งมองเวลาสลับกับแมวหน้ากาก คเชนทร์ก็ยิ่งนึกเอ็นดูเด็กชายมากขึ้นไปกันใหญ่ “ถ้าชอบก็มาเล่นกับลูกพี่ได้ตลอดนะครับ”

“ขอโทษด้วยนะ พอดีเวลาเขาไม่ชอบพูดน่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ” แม้จะสงสัยกับคำอธิบายสั้น ๆ ของหญิงชรา แต่สายตาหมองเศร้ากับรอยยิ้มเจื่อน ๆ บนใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลาของอีกฝ่ายก็ทำให้เจ้าของร้านดอกไม้ไม่ซักไซ้ซอกแซก

“เพิ่งย้ายมาเหรอ ทำหน้าบ้านเสียสวยเชียว” อาม่าของเวลามองไปรอบ ๆ อย่างชื่นชม

“ครับ ถ้ายังไงเรียนเชิญมาอุดหนุนนะครับ” คเชนทร์คลี่ยิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจกับอาชีพล่าสุดของตัวเอง

“หนูขายอะไรล่ะ”

“ผมขายดอกไม้กับไม้กระถางต้นเล็ก ๆ ครับ”

หญิงชราอมยิ้มเมื่อสังเกตเห็นกระถางต้นไม้จริงเล็ก ๆ ถูกจัดวางแทรกไว้ท่ามกลางหย่อมเทียมอย่างพิถีพิถัน ดูท่าว่าชายหนุ่มจะใส่ใจกับทุก ๆ รายละเอียดเอามาก ๆ “แถวนี้ไม่มีร้านดอกไม้ ป้าว่าร้านหนูต้องขายดีแน่ ๆ เลยจ้ะ”

แม้ว่าเกือบสองวันที่เปิดร้านมา เขาจะต้อนรับลูกค้าจนแทบไม่ได้หยุดพักดังคำของหญิงชรา แต่ชายหนุ่มกลับคลี่ยิ้มบาง ๆ พลางค้อมหัวรับคำอวยพรอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน “ผมก็หวังให้เป็นอย่างนั้นครับ”  

“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวป้ามาช่วยอุดหนุน”

“ขอบคุณมากครับ” คเชนทร์ยกมือไหว้ผู้อาวุโสอีกครั้งพลางเหลือบมองหลานชายของหล่อนที่ค่อย ๆ คืบปลายเท้าเข้าหาแมวหน้ากากที่นอนคุดคู้หลับตาพริ้มอยู่บนม้านั่งตัวโปรดอย่างใจเย็น

“บ้านป้าหลังโน้น” อาม่าของเวลาว่าพลางชี้นิ้วนำสายตาของคเชนทร์ไปยังตึกแถวหลังสุดท้ายสุดปลายถนน “ลูกชายป้าเขาขายขนมปัง ถ้าหนูไปซื้อ เดี๋ยวป้าจะลดให้นะ”

“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มยิ้มรับอย่างเต็มใจ “คุณป้าก็เหมือนกันนะครับ ถ้าอยากได้ดอกไม้หรือต้นไม้อะไร บอกผมได้เลย ผมจะคิดราคาพิเศษให้แถมไปส่งถึงที่ร้านเลยครับ”

“ขอบใจนะหนู” ว่าแล้วหล่อนก็หันไปเรียกหลานที่ยังมุ่งมั่นกับการเข้าประชิดตัวแมวหน้ากากให้จงได้ “ไปเวลา กลับบ้านได้แล้ว” คเชนทร์นึกชื่นชมเวลาในใจที่เมื่อได้ยินคำอาม่า เด็กชายก็พร้อมจะปฏิบัติตามโดยไม่ชักสีหน้าหรือออกอาการงอแง  

“สวัสดีครับ” เจ้าของร้านดอกไม้กระพุ่มมือไหว้หญิงชราส่งท้ายก่อนจะค้อมตัว ลดใบหน้าลงให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกันกับกาลกมลแล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเหมือนทุกที “บ๊ายบายเวลา วันหลังมาเล่นกับลูกพี่ใหม่นะครับ”

••• TBC ••


เราขอแจ้งว่าเราจะพักการลงนิยายเรื่องนี้ไปก่อนซักระยะนะคะ
ช่วงเดือนหน้าเรามีธุระและมีงานด่วนต้องจัดการ ถ้าเสร็จจากธุระแล้วเราจะรีบกลับมาหาทุกคนนะคะ

รักชอบประการใด ทิ้งข้อความไว้ให้เราอ่านบ้างนะคะ
อย่าลืมติดแท็ก #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก #คันหิม เน้อ!