#07
มันบังเอิญได้มาเจอสาวน้อย เธอมาคอย
เธอมามองหาใคร
ดู ๆ ไปยิ่งถูกตา ดู ๆ มายิ่งถูกใจ
ทั้งน่ารักและน่าชัง
ลูกสาวใครทำไมถูกใจจริง ๆ ส่งสายตาให้กัน ปิ๊ง
ๆๆ
ดูแก้มแดงตาโตถูกใจจริง ๆ มองแล้วน่าเข้าไปกอด
ขออุ้มหน่อย - เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์
…………………………………………………………………………………………………………
“วันนี้กลับบ้านได้แล้ว”
ผมเหลือบมองนาฬิกาพลางนึกแปลกใจหลังได้ยินประโยคล่าสุดของพี่ใหญ่ประจำทีม
ถึงจะเลยเวลาเลิกงานมาแล้วเกือบชั่วโมง แต่มันเพิ่งบ่ายสองเองนะ
ทำไมพี่ฟี่ถึงเปลี่ยนใจยอมให้พวกเรากลับบ้านทั้ง ๆ
ที่ยังไม่ได้ข้อสรุปจากพี่จี๊ดวะ
“อ้าว แล้วไม่ต้องอยู่รอพี่จี๊ดแล้วเหรอคะพี่ฟี่”
น้องเล็กคงจะสงสัยเหมือนกัน ถึงได้ละสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊คพลางเอียงคอรอฟังคำตอบของพี่ฟี่อย่างจดจ่อ
“หึ” ซีเนียร์ส่ายหัวพลางส่งเสียงหนัก
ๆ ในลำคอ “พี่จี๊ดแกเพิ่งไลน์มาบอกว่าแกต้องรอสรุปกับคุณพันเลิศอีกทีเย็นนี้ว่ะ”
“เย็นนี้?” ถามเสร็จ
น้องเล็กกับผมก็มองหน้ารุ่นพี่เพราะยังไม่ปักใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน “พี่จี๊ดไม่ได้กำลังประชุมกับคุณพันเลิศอยู่เหรอพี่
ทำไมต้องรอเย็นนี้ด้วยอ่ะคะ”
ทันทีที่เข้าโปรเจค
ปฏิทินการทำงานของบริษัทลูกค้าจะกลายเป็นช่วงเวลาปฏิบัติงานภาคบังคับของพวกเราไปโดยปริยาย
ดังนั้นในช่วงหกเดือนที่พวกผมทำระบบให้คุณพันเลิศจึงมีบางเสาร์ที่พวกเราต้องเข้ามาทำงานครึ่งวันเพื่อชดเชยเวลาทำงานที่ขาดหายไปเพราะวันหยุดยาวตามประกาศของรัฐบาล
เอาเข้าจริง
การทำงานวันเสาร์กลับไม่แย่นัก เพราะนอกจากจะทำงานถึงแค่บ่ายโมงแล้ว เวทย์มนตร์ของวันหยุดสุดสัปดาห์ยังทำให้บรรยากาศในออฟฟิศลูกค้าวันนี้ค่อนข้างผ่อนคลายกว่าปกติหลายเท่า
สงสารก็แต่พี่จี๊ดคนเดียวนี่แหละ
แกหายเข้าไปประชุมกับตาลุงคาสโนว่าตั้งแต่เช้า
ไม่รู้ว่าจนป่านนี้ข้าวสักเม็ดจะตกถึงท้องบ้างหรือยัง
“แล้วพวกแกจะนั่งให้เปลืองแอร์ลูกค้าหรือไง”
พวกผมแข่งกันส่ายหัวปฏิเสธคำถามของพี่ฟี่โดยพร้อมเพรียง “งั้นก็ไป กลับบ้านโว้ย”
“แล้วเรื่องแก้เดโมอ่ะพี่”
ถึงจะอยากดีดตัวออกจากออฟฟิศลูกค้าเต็มแก่ แต่ผมก็ยังไม่หายคาใจเสียทีเดียว คนโดนถามจึงกลอกตาใส่ผมอย่างจังก่อนจะบุ้ยใบ้ให้ยีนส์เริ่มเก็บกระเป๋า
“ถ้าพี่จี๊ดแกคุยกับคุณพันเลิศรู้เรื่องเมื่อไรแกก็ส่งเมลบอกพวกเราเองนั่นแหละ”
‘ไม่ต้องรีบนะทู เดี๋ยวพี่ชอปปิ้งรอ’
จากที่ตั้งใจว่าจะตามงานให้ได้ข้อสรุป
ผมกลับหุบปากทันทีที่สายตาลากผ่านข้อความล่าสุดที่เพิ่งเด้งเข้าเครื่อง...
ถึงจะไม่รู้ว่าพี่ป๊อบปี้ได้เบอร์ผมไปยังไง
แต่การที่ต้องผวาตื่นขึ้นมารับสายของอีกฝ่ายตั้งแต่ตีห้าครึ่งจนโดนเฟม (ที่นอนค้างด้วยกัน)
ด่ารับอรุณก็ทำให้ผมซาบซึ้งถึงความเอาแต่ใจของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
“ไปตำสนีกเกอร์ที่เซ็นลาดฯ
กับหนูป่ะพี่ทู วันนี้เซลล์วันสุดท้าย ลดเจ็ดสิบเปอร์เซนต์เลยนะพี่” น้องนุชสุดท้องกระแซะเข้ามาทันทีที่เก็บของเสร็จ
อ๋อ ที่วันนี้เจ้าเด็กนี่ไม่เซ้าซี้เหมือนทุกทีเพราะจะไปละลายทรัพย์ต่อนี่เอง
“ไม่อ่ะ วันนี้พี่มีธุระ”
ต่อให้ข้อเสนอของน้องเล็กจะยั่วยวนสักเพียงไหน ผมก็ไม่ควรเสี่ยงเล่นกับไฟอย่างพี่ป๊อบปี้เป็นอันขาด
“พี่ฟี่หวัดดีครับ เจอกันวันจันทร์นะน้อง” พูดจบ ผมก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากออฟฟิศลูกค้าที่รกร้างผู้คนอย่างว่องไว
พอลงจากตึกได้ก็รีบโบกมอเตอร์ไซค์ไปจับรถไฟฟ้ามุ่งหน้าเข้าเมืองทันที
โชคดีที่พี่ป๊อบปี้โทรมาบอกจุดนัดพบตั้งแต่ยังอยู่บนบีทีเอส
ผมจึงไม่ต้องลำบากวิ่งวนหาอีกฝ่ายไปทั่ว อันที่จริง ถ้าไม่นับว่าตกใจตอนรับสาย การที่อีกฝ่ายโทรมานัดแนะผมเที่ยวโดยห้ามไม่ให้ขับรถมาตั้งแต่ไก่โห่ถือเป็นข้อดี
เพราะหากผมต้องขับรถจากออฟฟิศลูกค้าฝ่าการจราจรเส้นสุขุมวิทช่วงบ่ายวันเสาร์เพื่อมุ่งหน้าเข้าเมือง
พี่ป๊อบปี้คงได้เหมาของหมดห้างไปก่อนแน่ ๆ
ขณะยืนทอดหุ่ยรอให้บันไดเลื่อนค่อย
ๆ พาร่างลงสู่ชั้นใต้ดินซึ่งถูกทำเป็นอควาเรียม ผมก็เห็นพี่ป๊อบปี้กำลังยืนคุยหนุงหนิงอยู่กับฝรั่งผมทองคนหนึ่ง
ทั้งสองหัวเราะพลางจับจ้องกันอย่างลึกซึ้งจนน่าอิจฉา... สาธุ ขออย่าให้พี่ป๊อบปี้นัดผมมาวันนี้เพราะแค่อยากอวดผู้เฉย
ๆ เลยเฮอะ
คงเป็นเพราะผมหยุดมองพวกเขาสองคนอี๋อ๋อกันไม่ได้
ทั้งคู่จึงรู้ตัวแล้วพากันหันมามองมนุษย์ขี้เสือกอย่างผมเป็นตาเดียว “ทู ทางนี้”
พี่ป๊อบปี้ยิ้มหวานส่งให้ก่อนจะกวัดมือเรียกผมหยอย ๆ
“พี่ป๊อบปี้หวัดดีครับ”
ถึงจะพอมองออกว่าชาวต่างชาติที่ยืนประกบพี่ป๊อบปี้น่าจะเป็นบุคคลสำคัญ แต่ภาพการพูดคุยอย่างคนคุ้นเคยของคู่อดีตสามีภรรยาเมื่อเย็นวาน
ก็ทำให้ผมไม่กล้าฟันธงสถานะของทั้งคู่แบบมั่นหน้านัก
“นี่แจสเปอร์
สามีพี่เอง” แล้วพี่ป๊อบปี้ก็หันไปแนะนำผมกับฝรั่งคนนั้นเป็นภาษาอังกฤษรัวเร็ว
ก่อนที่อีกฝ่ายจะทักทายผมด้วยภาษาไทยสำเนียงเขยฝรั่งที่แท้ทรู
“ส่า-หวัด-ดี-ขรับ พ่ม-Jasper-ขรับ ยินดี-ที-ดาย-รู-จาก-ขรับ”
ให้ตายเถอะ
ลำพังแค่พี่หนาวก็ทำผมใจบางได้ไม่เว้นวัน นับประสาอะไรกับพ่อผมทองตาสีฟ้าที่หุ่นเฟิร์ม
หนำซ้ำทรงหน้ายังดียิ่งกว่านายแบบชุดชั้นในคาลวิน ไคลน์ตรงหน้านี่ล่ะ ชาติที่แล้วพี่ป๊อบปี้ทำบุญด้วยอะไรวะ
ทำไมสามีแต่ละคนถึงได้แซ่บกินกันไม่ลงแบบนี้
“สวัสดีครับ
ผมทูครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ” เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ผมจึงคุยกับแจสเปอร์ด้วยภาษากลางที่ทุกคนในที่นี้น่าจะเข้าใจดี
ทว่าก่อนที่ใครจะได้เปิดบทสนทนา เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาคนหนึ่งก็วิ่งถลาเข้ามากอดขาแจสเปอร์เอาไว้แน่น
“พ่อขา”
“นี่ดาฟเน่
ลูกสาวคนเล็กของพี่จ้ะ” ยิ่งเจอลูกสาวของพี่ป๊อบปี้ตัวเป็น ๆ ผมก็ยิ่งงงไปกันใหญ่ พี่ป๊อบปี้กับพี่หนาวทำกันอีท่าไหนลูกถึงได้หน้าคล้ายแจสเปอร์อย่างกับแกะ
“ดี
นี่คุณน้าทูนะลูก” พ่อผมทองทำเสียงอ่อนเสียงหวานพูดภาษาดอกไม้กับเด็กหญิงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ดาฟเน่จะค่อย
ๆ ยื่นแขนป้อม ๆ ขึ้นมาโบกทักทายผมแบบอาย ๆ
ถ้าไม่ใช่พ่อลูกกันจริง
ๆ ก็ไม่น่ามุ้งมิ้งเบอร์นี้หรอกมั้ง
แต่จะลูกใครก็ช่างเถอะ
ลองว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อย ผมก็พ่ายแพ้เท่านั้น
“สวัสดีครับดาฟเน่
น้าชื่อทูครับ” แม้ดาฟเน่จะซุกตัวหลบหลังขาคุณพ่อทันทีที่ได้ยินเสียงทักทายไม่คุ้นหู
แต่เด็กหญิงกลับยื่นหน้าออกมาเยี่ยม ๆ มอง ๆ ผมอย่างสงสัย
และนั่นยิ่งทำให้ใบหน้าเล็ก ๆ กับแก้มกลม ๆ สีแดงแป๊ดทั้งสองยิ่งน่าเอ็นดูไปกันใหญ่
แต่ก่อนที่ผมจะได้จับเด็กลูกครึ่งวัยประถมกลืนลงท้องให้สมกับความน่ารักของเจ้าตัว
พี่ป๊อบปี้ก็โพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงโล่งอก
“ตั๋วมาแล้วเด็ก
ๆ ... เธอซื้อมาครบคนใช่ไหม”
เฮ่ย มากับเขาด้วยเหรอ?!
“อืม”
กระทั่งเห็นพี่หนาวเดินจูงเด็กผู้หญิงอีกคนเข้ามาร่วมวง
ผมยังแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่าท่าน HR Director ผู้เย็นชาจะมีอารมณ์มาเดินดูปลาวันเสาร์อาทิตย์กับแฟนใหม่ของอดีตภรรยาตัวเอง...
เดี๋ยวนะ พี่หนาวยอมมาเที่ยวกับแฟนเก่าที่ควงผัวใหม่ซึ่งกระเตงลูกน้อยวัยไม่กี่ขวบเข้าเอวมาด้วยอย่างนั้นเหรอ?
จะมีสักกี่คนที่ทำให้ผัวเก่ากับผัวใหม่ยืนร่วมซีนกันอย่างชื่นมื่นได้
แม่เจ้า พี่ป๊อบปี้คือสุดยอดไอดอลที่มนุษย์เมียทั่วโลกควรเอาเยี่ยงอย่าง
ชาติที่แล้วแกจะต้องทำบุญด้วยการสร้างโบสถ์สร้างวิหารอ่ะ
ไม่ใช่หลังเดียวด้วยนะ... น่าจะสองหลังเป็นอย่างต่ำ
“ปลาวาฬ นี่อาทู รุ่นน้องคุณพ่อ ไหว้คุณอาสิลูก”
เด็กหญิงหน้าคมผู้มีชื่อใหญ่เกินตัวปล่อยมือจากพี่หนาวแล้วก้าวเท้ามายืนข้าง ๆ
พี่ป๊อบปี้ก่อนจะพุ่มมือย่อไหว้ผมด้วยจังหวะติ๊ดชึ่งซึ่งยิ่งทำให้เจ้าตัวดูน่ารักไปกันใหญ่
พอได้ฟังคำผู้ให้กำเนิด
เด็กหญิงก็ทำตาโต คลี่ยิ้มหวานพลางยกมือขึ้นทาบอกแล้วตบเบา ๆ ด้วยความชอบใจ “ชื่อปลาทูเหรอคะ
ชื่อเหมือนปลาวาฬเลยค่ะ”
โอยตาย ๆๆ เห็นสีหน้าหนูตอนนี้แล้วพี่ใจไม่ดีเลยลูก
อยากจับยัดใส่กระเป๋าแล้วเอากลับไปเลี้ยงที่บ้านมาก
“อาทูลูก
ไม่ใช่ปลาทู” พี่ป๊อบปี้ยิ้มค้างพลางลูบหัวลูกสาวเบา ๆ “โทษทีนะทู”
“ไม่เป็นไรครับ”
ผมปลอบพี่ป๊อบปี้ก่อนจะย่อตัวลงนั่งคุยกับสาวน้อยผู้มั่นใจที่ตอนนี้เดินมาหยุดยืนประจันหน้ากับผมเป็นที่เรียบร้อย
“สวัสดีครับคนสวย วันนี้ปลาวาฬมาหาเพื่อนเหรอครับ”
“ค่ะ” เด็กหญิงอมยิ้มแล้วพยักหน้า
“ปลาทูก็มาหาเพื่อนเหมือนกันใช่ไหมคะ”
เป็นเพราะหางตาเหลือบไปทันเห็นพี่ป๊อบปี้ทำหน้าเหนื่อยใจ
ผมจึงส่ายหัวพลางคลี่ยิ้มให้แกก่อนจะหันกลับมาอ้อยเด็กน้อยต่ออย่างเชี่ยวชาญ
“ถ้างั้นปลาวาฬพาอาทูไปหาเพื่อนหน่อยได้ไหมครับ อาทูกลัวหลง”
“ได้สิคะ” ได้ยินแบบนั้นผมเลยยื่นมือให้เด็กหญิงจับ
แต่อยู่ดี ๆ พี่หนาวกลับเดินเข้ามาแทรกกลางวง
“เดี๋ยว” มนตร์สะกดของเด็กหญิงทำให้ผมเกือบจะลืมความประหม่าเวลาอยู่ต่อหน้าพี่หนาวไปเสียสนิท
แต่พอเจ้าตัวในชุดไปรเวทมายืนเก๊กขรึมอยู่ใกล้ ๆ หัวใจผมก็ดันเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาดื้อ
ๆ
“ครับ?”
ผมแสร้งตีหน้าซื่อพลางแอบกวาดตามองหน้าอีกฝ่ายแบบเร็ว ๆ ... โอย ยิ่งรู้ใจตัวเอง
พี่หนาวในสายตาผมก็ยิ่งหล่อทำลายล้างอย่างไม่น่าให้อภัยไปกันใหญ่
“เดี๋ยวผมดูลูกเอง
คุณเดินกับแจสเปอร์เถอะ” พี่หนาวไม่แม้แต่จะต่อบทสนทนา
เขาหันไปคุยกับพี่ป๊อบปี้หน้าตาเฉย
“ถ้างั้นไปเจอกันตรงทางออกเลยแล้วกันนะ”
ผมยืนมองพี่หนาวยื่นตั๋วสามใบส่งให้พี่ป๊อบปี้แทนคำตอบรับ
ซึ่งเมื่ออดีตภรรยาของเขาเดินเฉิดฉายนำสามีและลูกใหม่ลับสายตาไป ท่าน HR
Director ก็หันมาคุยกับลูกสาวด้วยเสียงนุ่มนวลชวนฝัน
“ไปครับลูก
ไปดูปลากัน”
คุณพระ
นี่มันพี่หนาวในโหมดลุงไซด์ไลน์ชัด ๆ !
ว่าแล้วเขาก็เดินจูงลูกสาวผ่านหน้าผมไป
ปล่อยให้ผมยืนจิกตามองตามแผ่นหลังกว้างใต้เสื้อยืดคอกลมพอดีตัวนั่นอย่างหมั่นไส้ สรุปว่าเป็นคนหรือแผ่นน้ำแข็ง
จะเย็นชาไปไหนนักหนา
นินทาได้ไม่ทันไร
อยู่ ๆ พี่หนาวก็หันกลับมา พอโดนสายตาดุ ๆ คู่นั้นจับจ้องจัง ๆ ผมก็รีบกลบเกลื่อนอาการตกใจด้วยการแสร้งมองเด็กหญิงปลาวาฬที่กำลังกวักมือเรียกผมอย่างบ้าคลั่ง
ก่อนจะทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินตามท่าน HR Director และลูกสาวเข้าไปโดยไม่ลืมรักษาระยะห่างที่ดีต่อใจตัวเอง
.
.
.
.
“นีโม่!” ปลาวาฬร้องเสียงดังอย่างชอบใจเมื่อเห็นเจ้าปลาสีส้มลายขาวขลิบดำหน้าตาคุ้นเคย
“ปลาทูมาดูนีโม่สิคะ”
“ปลาวาฬรู้ไหมครับว่านีโม่เป็นปลาอะไร”
ที่ถามนี่ไม่ได้อยากจะโชว์เหนือกับเด็กหรอกนะ แต่ผมทนไม่ได้จริง ๆ ที่พ่อแม่หลายคนปล่อยให้เด็กเข้าใจว่านีโม่คือชื่อพันธุ์ปลาทั้ง
ๆ ที่มันไม่ใช่
“นีโม่เป็นปลาการ์ตูนค่ะ”
“เก่งจังเลย
รู้ได้ไงเนี่ย”
“พ่อเล่าให้ปลาวาฬฟังค่ะ”
ถ้าผมตาไม่ฝาด ดูเหมือนคนถูกพาดพิงจะอมยิ้มนิด ๆ หลังได้เครดิตจากลูกสาวไปแบบเต็ม
ๆ พอเห็นพี่หนาวเวอร์ชันบ้ายอเข้าไป
ผมก็อดใจเต้นไม่ได้... เป็นแค่ตาลุงแท้ ๆ แต่ทำไมชอบทำตัวน่ารักนักก็ไม่รู้
ผมสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไปแล้วหันไปสนใจเด็กหญิงตรงหน้าอย่างจริงจัง
“นอกจากนีโม่ ปลาวาฬยังรู้จักปลาอะไรอีกบ้างครับ”
“ปลาวาฬรู้จักดอรี่
พ่อนีโม่ มิสเตอร์เรย์ แฮงค์ แล้วก็เดสตินี่ที่เป็นปลาวาฬเหมือนปลาวาฬค่ะ”
“เหรอครับ
เก่งจังเลยครับ” ผมแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหวเมื่อรู้ว่าตัวเองตั้งคำถามได้ไม่ตรงคำตอบของเด็กหญิงเอาเสียเลย
ผมจึงถามใหม่ “แล้วถ้าเป็นปลาในตู้รอบ ๆ พวกเรานี่ล่ะครับ ปลาวาฬรู้จักตัวไหนมั่ง”
“ปลาวาฬรู้จักหมดเลยค่ะ”
“จริงอ่ะ”
ผมแกล้งเล่นใหญ่ด้วยการหรี่ตามองท้าทายอีกฝ่ายไปเสียอีก
“จริงสิคะ” เด็กหญิงปั้นหน้าจริงจังก่อนจะผงกหัวรับคำจนหางเปียเต้นระบำ
“ปลาวาฬชอบดู Animal Planet กับ National Geographic ค่ะ ปลาวาฬเลยรู้จักปลาหมดนี่เลย” พูดจบ
เจ้าตัวก็กางแขนอวดความกว้างใหญ่ของฐานข้อมูลที่ไม่อาจวัดได้ด้วยมาตราอื่นใดนอกจากจินตนาการในหัว
ฮือ... ทำไมเด็กหญิงปลาวาฬจะต้องน่ารักขนาดนี้ด้วยนะ
“แต่อาทูว่าอาทูก็รู้จักปลาเยอะน้า”
“ปลาวาฬรู้เยอะกว่า”
เด็กหญิงโต้ตอบไม่ลดละ ท่าทางมั่นอกมั่นใจแบบนั้นทำให้ผมอดหมั่นเขี้ยวไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นเรามาแข่งกันดีกว่าใครจะรู้จักปลามากกว่ากัน
ดีไหมครับ”
“ดีค่ะ” ปลาวาฬตอบเสียงดังฟังชัดพลางปรายตามองผมด้วยสีหน้าหมายมั่นปั้นมือ
“ถ้าใครแพ้อดกินไอติมสตรอเบอร์รี่นะคะ”
ประโยคล่าสุดของเด็กหญิงทำผมงงจนต้องมองหน้าคนเป็นพ่อเพื่อขอตัวช่วย
แต่ในเมื่อทางนั้นแค่อมยิ้มแล้วยักไหล่ ผมจึงปล่อยเบลอไปตามระเบียบ “ก็ได้ครับ
ถ้าใครแพ้จะไม่ได้กินไอติมสตรอเบอร์รี่”
ทันทีที่ผู้แข่งขันทั้งสองตกลงกันได้
ทุกครั้งที่พวกเราเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าตู้กระจกแปลกใหม่ ภาพเด็กหญิงปลาวาฬขณะชูมือสุดแขนแล้วแย่งตอบชื่อปลาที่แกรู้จักด้วยสีหน้ากระตือรือล้น
ก่อนจะอวดอ้างสรรพคุณของปลาชนิดนั้น ๆ ทิ้งท้ายอย่างฉะฉาน ทำให้ผมต้องเบือนหน้าหลบไปอีกทางเพื่อแอบหัวเราะคนเดียวบ่อย
ๆ
.
.
.
.
“พ่อขา อั้ม
อั้ม”
แม้ว่าบทบาท HR
Director จอมเฮี้ยบที่เจอมาตลอดอาทิตย์จะทำให้ภาพจำแรกที่ผมมีต่ออีกฝ่ายเลือนลางไป
แต่เมื่อได้เห็นพี่หนาวอ้าปากงับไอติมสตรอเบอร์รี่คำเล็ก ๆ ที่ปลาวาฬป้อนให้โดยไม่เขินสายตาใคร
ผมก็รู้เดี๋ยวนั้นว่า ที่แท้ลุงไซด์ไลน์ที่ผมคลั่งไคล้ไม่ได้หายไปไหน เขาแค่เลือกปรากฏตัวเฉพาะเวลาอยู่กับลูกสาวเท่านั้น
“ปลาทูกินไอติมสตรอเบอร์รี่ไหมคะ”
เสียงหวาน ๆ
ของเด็กหญิงที่นั่งฝั่งตรงข้ามฉุดผมออกจากห้วงความคิด “ขอบคุณครับ แต่อาทูแพ้
อาทูกินไม่ได้หรอกครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ
ปลาวาฬแบ่งให้” อีกเรื่องที่ผมชอบเกี่ยวกับปลาวาฬ คือ เด็กหญิงมีน้ำใจกับทุกคนโดยเท่าเทียม
เพราะก่อนหน้าจะเซอร์วิสคุณพ่อไปเมื่อครู่ เจ้าตัวก็เที่ยวแบ่งปันความอร่อยในถ้วยใบน้อยให้คนอื่น
ๆ ทั่วทั้งโต๊ะจนผมกลัวใจว่าแกจะไม่ได้กินของชอบอย่างเต็มอิ่ม
“ขอบคุณครับ
แต่อาทูอยากให้ปลาวาฬกินเยอะ ๆ เพราะอาทูรู้ว่าปลาวาฬชอบกินไอติมสตรอเบอร์รี่มาก ๆ
ใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ
ปลาวาฬชอบกินไอติมสตรอเบอร์รี่ที่สุดเลย” เด็กหญิงยิ้มยิงฟันจนตายิบหยี
“ถ้าชอบ
ปลาวาฬก็กินเลยครับ อาทูชอบตอนหนูยิ้มเวลาได้กินไอติมสตรอเบอร์รี่ที่สุดเลยครับ”
“เออทู เดี๋ยวพี่แวะส่งทูตรงบีทีเอสได้ไหมจ๊ะ”
พี่ป๊อบปี้เอ่ยแทรกขึ้นด้วยสีหน้าลำบากใจ “ขอโทษทีนะ พอดีพี่ต้องรีบพาเด็ก ๆ ไปเรียนดนตรีต่อ”
“ไม่เป็นไรครับพี่
เดี๋ยวผมกลับเองดีกว่า” ผมปฏิเสธด้วยความเข้าใจ
ถ้าไม่ใช่เพราะผมชวนปลาวาฬเล่นสนุกอยู่เกือบสองชั่วโมง
พี่ป๊อบปี้คงไม่ต้องเปลี่ยนแผนเอานาทีสุดท้าย
“ไม่ได้
อย่างน้อยติดรถพี่ไปขึ้นรถไฟฟ้าก็ยังดี นะจ๊ะ” จนถึงตอนนี้
พี่ป๊อบปี้ก็ยังไม่ยอมแพ้ แต่ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร
ผมก็เห็นอีกฝ่ายปรายตามองหน้าพี่หนาวก่อนจะยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นพลางทำหน้ามีเลศนัย
“หนาว เดี๋ยวเลิกแล้วเธอติดธุระอะไรหรือเปล่า”
การที่พี่หนาวส่ายหัวแทนคำตอบไม่ได้ทำให้ผมกังวลมากเท่ากับใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบที่เดาเจตนาไม่ได้ของพี่ป๊อบปี้
ผมว่างานนี้ผมต้องโดนลากไปเอี่ยวด้วยแหง ๆ
“ถ้างั้นเธอช่วยไปส่งทูหน่อยได้ไหม”
เฮ่ย ไม่ดีมั้งครับพี่!
“ไม่เป็นไรครับ
จากนี่ผมขึ้นบีทีเอสไปนิดเดียวเดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้วครับ” ผมปฏิเสธทันควันเพราะไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของพี่หนาวมากไปกว่านี้
ที่สำคัญ ผมยังจำครั้งสุดท้ายที่นั่งรถท่าน HR Director ได้ไม่ลืม
“ทูกลับกับหนาวเถอะนะจ๊ะ
พี่ขอร้อง”
“อย่าเลยครับ
ผมกลับเองจะสะดวกกว่าครับ” ผมส่งสายตาอ้อนวอนให้พี่ป๊อบปี้ แต่มีหรือจะเอาชนะผู้มีอำนาจต่อรองสูงสุดอย่างแกได้
“เรื่องสะดวกพี่ไม่เถียงนะ
แต่ทูอยากให้พี่รู้สึกไม่ดีที่ผิดคำพูดเหรอจ๊ะ” ลองว่าโดนสวนมาไม้นี้
ใครล่ะจะกล้าแย้งพี่ป๊อบปี้ได้ลงคอ
••••••
“เดี๋ยวจอดให้ผมลงข้างหน้าก็ได้ครับ”
หลังจากบวกลบคูณหารเลขป้ายทะเบียนรถคันอื่น ๆ จนเริ่มจะปวดหัว ผมก็หมดความอดทน นี่ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ป๊อบปี้ควงแจ๊สเปอร์แถมหนีบลูกสาวทั้งสองคนยกขบวนกันมาส่งผมขึ้นรถล่ะก็
ไม่มีทางที่ผมจะตามมาสร้างความลำบากใจให้พี่หนาวต่อถึงนี่หรอก เล่นขับรถเงียบ ๆ
ไม่พูดไม่จามาร่วม ๆ ครึ่งชั่วโมง เป็นใครก็ต้องเกรงใจไหมล่ะ
แต่แทนที่จะจอดรถตามที่ผมขอ
คนขับกลับเลื่อนมือมากดเปิดเพลงก่อนจะตั้งอกตั้งใจบังคับพวงมาลัยต่อไปเหมือนกับแกล้งไม่ได้ยิน
“รบกวนช่วยจอดให้ผมลงข้างหน้าได้ไหมครับ”
ผมย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง เป็นครั้งแรกของวันนี้เลยมั้งที่ผมทำใจกล้าจ้องหน้าอีกฝ่ายไม่วางตา...
ซึ่งสุดท้ายมันกลับทำให้ผมนึกโกรธตัวเองที่ดันเผลอใจเต้นกับเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาไม่ต่างจากทุกที
รักแท้ที่เกิดขึ้นมา มีดวงใจของเธอ
รับรู้ก็แค่ตัวเอง ไม่อาจบอกกลัวเก้อเสียใจ
“ผมขับรถไม่ดีเหรอ”
อยู่ ๆ เขาก็ถามขึ้น
“ครับ?”
“คุณขอให้ผมจอด
ผมเลยถามว่าผมขับรถไม่ดีเหรอ” พี่หนาวยังคงไม่ละสายตาจากท้องถนน
แสงแดดสีอมส้มช่วงใกล้ค่ำย้อมใบหน้าครึ่งล่างของเขาให้ดูอบอุ่นชวนฝัน
แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ผมตาพร่าจนพลอยอ่านความหมายของดวงตาคมใต้เงามืดไม่ออก
ตัวเธอจะตอบได้ไหม ว่าใจของเธอรักใคร ไม่ยากไม่มากใช่ไหม
ถ้าใจฉันมันเรียกร้องมาจาก
“เปล่าครับ”
ผมตอบไปตามจริงเพราะขี้เกียจเดาใจคู่สนทนา
“ถ้าอย่างนั้นก็นั่งให้สบายเถอะ”
มุมปากคนพูดกดลึกจนผมมองเห็นลักยิ้มเล็ก ๆ ที่เล่นซ่อนแอบหลบสายตาผมมาได้ตั้งนาน
ถ้าไม่เพราะกำลังเอ๋อเข้าเส้น ผมคงเขินจนเป็นบ้าเพราะรอยยิ้มสุดพิเศษเมื่อครู่ไปแล้ว
“ผมดูนั่งไม่สบายเหรอครับ”
ผมชี้ตัวเองพลางเอียงคอมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ ซึ่งพี่หนาวก็ไม่ปล่อยให้ผมสงสัยนาน
“เมื่อกี้คุณดูเกร็ง
ๆ ”
ก็เพราะใครล่ะ...
ผมเบ้ปากพลางนึกบ่นอีกคนในใจก่อนจะเบือนหน้า บังคับสายตาออกไปมองสองข้างทางพลางเงี่ยหูฟังเพลงไปเงียบ
ๆ แต่แล้วเนื้อร้องที่คุ้นเคยก็ทำให้ผมเผลอฮัมเพลงตามอย่างลืมตัว
ความรักที่แห้งโรย เก็บเธอไว้ในหัวใจ จนกว่า
ที่เธอซึ้ง และเข้าใจ อยากให้เธอรู้...
“รู้จักเพลงนี้ด้วยเหรอ”
อาจเพราะรถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเรื่อย ๆ หรือเพราะพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินจนแสงแดดเปลี่ยนทิศล่ะมั้งที่ทำให้เงาบนใบหน้าหล่อเหลาหายไป
ภาพพี่หนาวเลิกคิ้วพลางอมยิ้มชอบใจเลยกระแทกตาเข้าอย่างจังจนผมทำอะไรไม่ถูก
แย่
นี่มันแย่มาก ๆ ... ใครใช้ให้พี่ยิ้มบ่อยแบบนี้กัน
“ห๊ะ?”
ยังดีที่ผมงับปากไว้ได้ทัน ลำพังแค่ตกใจผสมประหม่าจนหลุดร้องเสียงหลงก็น่าอายพอแล้ว
“เมื่อกี้คุณฮัมเพลง”
คนขับอาศัยจังหวะที่รถติดไฟแดงหันมามองสบตาพลางคลี่ยิ้มละไม “ผมได้ยินคุณฮัมเพลงนี้”
ผมแสร้งขยับตัวแล้วถือโอกาสเบี่ยงหน้าหลบสายตาอีกฝ่ายเพราะกลัวโดนจับได้ว่าหัวใจผมกำลังหวั่นไหววุ่นวายกับท่าทีเป็นมิตรเกินไปของเขา
“คุณชอบเพลงนี้เหรอ”
“ก็ ชอบ...
ครับ” ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าเพลงนี้คือซาวด์แทร็กประกอบหนังชีวิตของคนแอบรักที่แท้ทรู แต่ผมไม่ได้บอกเขาไปหรอกนะว่าผมไม่เคยฟังเวอร์ชันช้า
ๆ เนิบ ๆ แบบนี้มาก่อน... ใครเอามาคัฟเวอร์วะ?
“ผมก็ชอบ”
พี่หนาวพูดแล้วก็ยิ้ม
ยิ้มเสร็จก็ทำหน้ากรุ้มกริ่มแบบที่ผมต้องแอบหยิกต้นขาตัวเองเอาไว้เพื่อกันไม่ให้ตัวเองเผลอทำเรื่องงามหน้า
เฟมเพื่อนรัก...
ลุงไซด์ไลน์คัมแบ็คทูมีแล้วมึง!
พวกเราเคลื่อนที่ตามรถคันหน้าอีกครั้งหลังสัญญาณไฟเขียว
แม้จะเขินจนอยากกระเถิบไปนั่งสิงประตูรถให้รู้แล้วรู้รอด แต่เพราะกลัวว่าคนขับจะรำคาญ
ผมเลยแสร้งทำหน้าตาย นั่งนิ่ง ๆ สองตามองตรงไปข้างหน้าประหนึ่งกำลังถ่ายรูปติดบัตร
ทว่าแทนที่จะขับรถเงียบ ๆ เหมือนตอนแรก ๆ ลุงไซด์ไลน์กลับเดินหน้าก่อกวนหัวใจผมไม่หยุด
“คุณชอบเด็กเหรอ”
เพื่อรักษาภาพลักษณ์อันดี
(ที่ยังพอมีเหลือ) ผมจึงเลี่ยงไม่มองหน้าหากแต่ลากสายตาไปวางบนแขนข้างซ้ายของคู่สนทนาแทน
“ครับ ผมชอบเล่นกับเด็ก แต่ต้องเป็นเด็กโตหน่อยนะครับ ถ้าเป็นเด็กแบบเด็กน้อยมาก ๆ
จะไม่กล้าเล่นด้วย กลัวทำตกแล้วหามาใช้คืนพ่อแม่เขาไม่ได้”
เสียงหัวเราะเบา
ๆ ของเขาทำให้เส้นเลือดนูน ๆ ตรงหลังมือที่กุมรอบพวงมาลัยดูน่าลูบไล้ขึ้นอีกหลายเท่า
พี่หนาวหมุนบังคับรถให้เลี้ยวเข้าถนนใหญ่ในละแวกใกล้บ้านผม “ถ้าคุณเล่นกับปลาวาฬได้
คุณก็เล่นกับเด็กได้ทุกคนนั่นแหละ”
ดูพูดเข้า
ใจคอจะไม่อวยลูกตัวเองหน่อยหรือไง เป็นพ่อปลาวาฬประสาอะไรกัน “ปลาวาฬน่ารักออกครับ
จริง ๆ ถ้ามีเวลามากกว่านี้ ผมจะขอพี่ป๊อบปี้พาแกไปดูภาพถ่ายทะเลที่หอศิลป์ด้วยกัน”
“ไว้วันไหนคุณว่างก็บอกผมแล้วกัน
ปลาวาฬคงอยากเจอคุณอีก” ผมหันขวับไปมองหน้าคนพูดโดยไม่ทันคิดก่อนจะโดนประกายวิบวับในดวงตาคมที่จ้องรอท่าทำให้หน้าร้อนวูบขึ้นมาแบบฉับพลัน
และแล้วก็เป็นผมเสียเองที่นั่งอมลิ้นพลางหลับหูหลับตานับจำนวนเส้นด้ายรุ่ยตรงรอยขาดเหนือหัวเข่ากางเกงยีนส์ไปจนถึงบ้าน
••••••
จังหวะที่คเชนทร์เดินออกมาส่งลูกค้าที่เพิ่งมาสั่งดอกไม้ที่ร้าน
พอดีกันกับที่เด็กชายเวลาเดินดุ่ม ๆ ตรงดิ่งเข้ามายังสวนหย่อมซึ่งเป็นทำเลทองของแมวหน้ากาก
ชายหนุ่มนึกแปลกใจเมื่อเห็นว่า คนข้างกายเด็กชายคืออาม่า หาใช่เด็กหญิงชื่อปลาวาฬคนที่เจอเมื่อวานนี้
แต่จะอย่างไรก็ช่างเถอะ
แค่ได้เจอหน้าเวลาเกือบทุกเย็น เขาก็มีความสุขมากแล้ว
“สวัสดีครับเวลา
มาหาลูกพี่เหรอครับ” แม้จะต้องประคับประคองบทสนทนาอยู่ฝ่ายเดียว
แต่คเชนทร์กลับไม่ถือสาอะไร เพราะนอกจากเด็กชายแล้ว ตอนที่เขาชวนลูกพี่คุยแก้เบื่อระหว่างวัน
ก้อนขนสีดำเองก็ไม่ได้ใส่ใจโต้ตอบ (หรือถ้าบังเอิญมันมีใจร้องเหมียวรับขึ้นมาจริง
ๆ ชายหนุ่มก็ไม่เก็บเอาเสียงแมวมาเป็นสาระแต่อย่างใด)
“วันนี้ปลาวาฬไปไหนล่ะครับ
ทำไมไม่มาด้วยกัน” คเชนทร์หาเรื่องชวนเด็กชายคุย แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทรุดตัวลงนั่งยอง
ๆ โดยที่สองตาจับจ้องลูกพี่ตาเป็นมันโดยไม่สนใจใคร เขาจึงเบนความสนใจไปยังหญิงชราที่เพิ่งเดินตามมาสมทบ
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มเอ่ยพลางยกมือไหว้ย่าของเวลาอย่างนอบน้อม
หญิงชรารับไหว้พลางคลี่ยิ้มให้พอเป็นพิธีก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะค่อย
ๆ ฉีกกว้างขึ้นเมื่อหล่อนเหลือบไปเห็นอากัปกิริยาน่าชังของหลานชาย “เห็นเป็นไม่ได้เลยนะแมวเนี่ย”
หล่อนเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ
“เวลาชอบลูกพี่มากใช่ไหม”
ยิ่งมองเวลาสลับกับแมวหน้ากาก คเชนทร์ก็ยิ่งนึกเอ็นดูเด็กชายมากขึ้นไปกันใหญ่ “ถ้าชอบก็มาเล่นกับลูกพี่ได้ตลอดนะครับ”
“ขอโทษด้วยนะ
พอดีเวลาเขาไม่ชอบพูดน่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
แม้จะสงสัยกับคำอธิบายสั้น ๆ ของหญิงชรา แต่สายตาหมองเศร้ากับรอยยิ้มเจื่อน ๆ
บนใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลาของอีกฝ่ายก็ทำให้เจ้าของร้านดอกไม้ไม่ซักไซ้ซอกแซก
“เพิ่งย้ายมาเหรอ
ทำหน้าบ้านเสียสวยเชียว” อาม่าของเวลามองไปรอบ ๆ อย่างชื่นชม
“ครับ ถ้ายังไงเรียนเชิญมาอุดหนุนนะครับ”
คเชนทร์คลี่ยิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจกับอาชีพล่าสุดของตัวเอง
“หนูขายอะไรล่ะ”
“ผมขายดอกไม้กับไม้กระถางต้นเล็ก
ๆ ครับ”
หญิงชราอมยิ้มเมื่อสังเกตเห็นกระถางต้นไม้จริงเล็ก
ๆ ถูกจัดวางแทรกไว้ท่ามกลางหย่อมเทียมอย่างพิถีพิถัน ดูท่าว่าชายหนุ่มจะใส่ใจกับทุก
ๆ รายละเอียดเอามาก ๆ “แถวนี้ไม่มีร้านดอกไม้ ป้าว่าร้านหนูต้องขายดีแน่ ๆ เลยจ้ะ”
แม้ว่าเกือบสองวันที่เปิดร้านมา
เขาจะต้อนรับลูกค้าจนแทบไม่ได้หยุดพักดังคำของหญิงชรา แต่ชายหนุ่มกลับคลี่ยิ้มบาง
ๆ พลางค้อมหัวรับคำอวยพรอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน “ผมก็หวังให้เป็นอย่างนั้นครับ”
“ไม่ต้องห่วง
เดี๋ยวป้ามาช่วยอุดหนุน”
“ขอบคุณมากครับ”
คเชนทร์ยกมือไหว้ผู้อาวุโสอีกครั้งพลางเหลือบมองหลานชายของหล่อนที่ค่อย ๆ คืบปลายเท้าเข้าหาแมวหน้ากากที่นอนคุดคู้หลับตาพริ้มอยู่บนม้านั่งตัวโปรดอย่างใจเย็น
“บ้านป้าหลังโน้น”
อาม่าของเวลาว่าพลางชี้นิ้วนำสายตาของคเชนทร์ไปยังตึกแถวหลังสุดท้ายสุดปลายถนน
“ลูกชายป้าเขาขายขนมปัง ถ้าหนูไปซื้อ เดี๋ยวป้าจะลดให้นะ”
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มยิ้มรับอย่างเต็มใจ
“คุณป้าก็เหมือนกันนะครับ ถ้าอยากได้ดอกไม้หรือต้นไม้อะไร บอกผมได้เลย
ผมจะคิดราคาพิเศษให้แถมไปส่งถึงที่ร้านเลยครับ”
“ขอบใจนะหนู” ว่าแล้วหล่อนก็หันไปเรียกหลานที่ยังมุ่งมั่นกับการเข้าประชิดตัวแมวหน้ากากให้จงได้
“ไปเวลา กลับบ้านได้แล้ว” คเชนทร์นึกชื่นชมเวลาในใจที่เมื่อได้ยินคำอาม่า
เด็กชายก็พร้อมจะปฏิบัติตามโดยไม่ชักสีหน้าหรือออกอาการงอแง
“สวัสดีครับ” เจ้าของร้านดอกไม้กระพุ่มมือไหว้หญิงชราส่งท้ายก่อนจะค้อมตัว
ลดใบหน้าลงให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกันกับกาลกมลแล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเหมือนทุกที
“บ๊ายบายเวลา วันหลังมาเล่นกับลูกพี่ใหม่นะครับ”
••• TBC •••
เราขอแจ้งว่าเราจะพักการลงนิยายเรื่องนี้ไปก่อนซักระยะนะคะ
ช่วงเดือนหน้าเรามีธุระและมีงานด่วนต้องจัดการ
ถ้าเสร็จจากธุระแล้วเราจะรีบกลับมาหาทุกคนนะคะ
รักชอบประการใด
ทิ้งข้อความไว้ให้เราอ่านบ้างนะคะ
อย่าลืมติดแท็ก
#ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก #คันหิม เน้อ!