<|No.10|>
เลิกแล้วค่ะ
ชายเลิกกับนกแล้วค่ะ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
“ผึ้งว่าพักนี้ร้านเราแปลก
ๆ ไหม?” เจ้าของร้านโพล่งขึ้นหลังมื้ออาหารเย็นอันเป็นสวัสดิการของร้านเริ่มต้นไปได้พักใหญ่
ๆ
“เฮียก็รู้สึกเหมือนกันเหรอ?”
แววตาขุ่นมัวดูเหม่อลอยผิดปกติของคนรักทำให้ปาณัธเข้าใจความนัยซ่อนเร้นของอีกฝ่ายอย่างถ่องแท้แม้ไร้คำอธิบาย
แน่ล่ะ กระทั่งเจ้าของร้านที่นั่งหมกตัวทำบัญชีอยู่ในคอกเล็ก ๆ
ทุกค่ำคืนยังสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นภายในร้าน
มีหรือที่คนดูแลลูกค้ามายาวนานอย่างหล่อนจะไม่รู้
“อืม ก็รู้สึกมาได้สักพักแล้วล่ะ” คองปรับทุกข์ด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
เพราะเหตุการณ์ดังกล่าว เกี่ยวข้องกับจำนวนเงินที่จะไหลเข้ากระเป๋าของพวกเขาโดยตรง
มันเกิดอะไรขึ้น?
ทำไมก๊วนขี้เมาขาประจำถึงพร้อมใจกันหายหน้าไปกันหมด?!
“เฮียเริ่มรู้สึกตั้งแต่เมื่อไร?”
แม้บทสนทนาจะไม่ขาดตอน หากการจับจ้องชายชาตรีที่หมุนไปหมุนมาอยู่ตรงอีกฟากของห้องอย่างไม่วางตาของตัวอ่อนมนุษย์ป้าก็ทำให้คองเผลอมองตามเจ้าหล่อนไปอีกคน
“ก็ตั้งแต่ที่ไอ้ชายมันเข้ามาทำงานที่ร้านเราใช่ไหมล่ะ?”
อยู่ ๆ
พ่อครัวใหญ่ที่เพิ่งคว้าจานข้าวของตัวเองมานั่งร่วมวงก็แทรกขึ้นอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมจนตัวแม่ประจำร้านหลุดปากอุทานด้วยความตกใจ
“เฮ่ยไอ้นี่! โผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียง!” โจคลี่ยิ้มกว้างขวางอย่างสุขสมใจที่ทำให้คนรักของเจ้านายตกใจจนเสียอาการ
“มึงก็รู้สึกเหรอวะไอ้โจ?”
เมื่อตระหนักว่าตนเองไม่ได้คิดมากอยู่เพียงลำพัง
เจ้าของร้านข้าวต้มจึงไม่อาจยับยั้งอาการประหลาดใจเอาไว้ได้
“นี่ใครครับใคร?
’ดับไหนแล้วให้มันรู้เสียบ้าง อ่ะโด่!”
“หึ! ถ้ามึงขยันทำงานได้เท่ากับที่คอยเสือกเรื่องชาวบ้าน
แผ่นดินคงสูงกว่านี้เยอะเลยแหละกูว่า” ปาณัธสกัดดาวรุ่งอย่างเลือดเย็น
แต่พ่อครัวหน้าเป็นกลับหาได้สะท้านสะเทือนไม่
“โธ่เจ๊! ถึงผมจะเสือก แต่เหยือกก็ใส่น้ำนะครับ”
“มึงนี่ชักจะพูดจาไม่รู้เรื่องเข้าไปทุกวันแล้วนะไอ้โจ
อยู่บ้านไม่ค่อยมีคนคุยด้วยหรือไง?”
“อย่าไปสนใจคนบ้าอย่างมันเลยเฮีย
เราไปคุยกันต่อที่อื่นเหอะ” ตัวอ่อนมนุษย์ป้าว่าพลางฉุดข้อมือคนรักให้ตั้งท่าจะลุกขึ้นตามกัน
กระนั้นโจก็ชิงกลับตัวยอมให้ความร่วมมือได้อย่างทันท่วงที
“อ่ะ
ๆๆ ผมจะยอมพูดดี ๆ ด้วยก็ได้ เห็นเป็นคนกันเองหรอกนะ ไม่งั้นอย่าหวัง” อาการกลอกตาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ
กับเสียงถอนหายใจพรืดที่ตัวอ่อนมนุษย์ป้าแสดงออกกระตุ้นให้โจรีบฉวยโอกาสคายความลับระดับชาติของตนเอาไว้มั่น
“รู้แล้วอย่าบอกใครนะ ที่เฮียบอกว่าพักนี้ร้านเราแปลก ๆ น่ะเป็นเพราะไอ้ยิมมันแอบชอบไอ้ชายยังไงล่ะครับ”
“โม้แล้วมึง! อย่างไอ้ยิมเนี่ยนะจะชอบใครก่อน
แถมยิ่งอีกฝ่ายเป็นไอ้ชาย กูว่าไม่ใช่แล้วว่ะ”
นี่ถ้าไม่กลัวว่าจะทำร้ายจิตใจคนฟังจนเกินไป
เจ้าของร้านคงได้ถ่มถุยใส่เจ้ากรมข่าวลือไปนานแล้ว
พูดมาได้ว่าไอ้ยิมชอบไอ้ชาย...
ไอ้เด็กหน้าตายที่วัน
ๆ ไม่คิดอะไรนอกจากการหาเงินงก ๆ อย่างไอ้ยิมเนี่ยนะจะริอ่านมีความรัก?
เป็นไปไม่ได้!
“มันบอกมึงเหรอ?”
แทนที่จะตื่นตูมไปกับข่าวล่ามาเร็ว ปาณัธกลับซักไซ้พ่อครัวใหญ่ด้วยสีหน้าขึงขังประหนึ่งเถ้าแก่ฝ่ายว่าที่เจ้าสาวขณะเจรจาต่อรองขอค่าเลี้ยงดู
“เปล่า”
โจจุดยิ้มมุมปากพลางทำหน้ายียวนชวนให้ตัวอ่อนมนุษย์ป้าสำแดงเดชได้ไม่ยากนัก
“เอ๊าไอ้นี่! หลังแหวนสักทีไหม?!”
“แหมเจ๊! คนมีตาที่ไหนก็ดูออกป่ะ! นั่น ๆๆๆ เดินตามตูดกันต้อย ๆ ” พ่อครัวประจำร้านร่ายพร้อมกับชี้นิ้วให้คองกับผึ้งดูสิ่งที่น่าสนใจตรงหน้า
ก่อนจะทำนายทายทักอนาคตของสองหนุ่มตบท้าย “อีหรอบนี้นะ อีกหน่อยต้องได้กันชัวร์ ๆ ”
“แต่เท่าที่ดู
กูว่าน่าจะเป็นไอ้ชายแอบชอบไอ้ยิมมันมากกว่านะ
ไม่งั้นไอ้ยิมมันก็ต้องเป็นฝ่ายเดินตามไอ้ชายแทนแล้วดิวะ” ภาพแปลก ๆ
ของผู้ช่วยพ่อครัวตัวยักษ์ที่ตักข้าวตักกับจนพูนจานแล้วเดินดุ่ม ๆ
ออกไปหาที่นั่งกินอาหารเย็นตรงลานจอดรถ
โดยมีชายชาตรีคอยเดินตามไปบริการน้ำท่าถึงที่ดังเช่นหลาย ๆ วันที่ผ่านมา
ดึงความสนใจจากเจ้าของร้านได้จนหมดสิ้นจนปริศนายอดขายหายหดถูกลดอันดับความสำคัญลงในพริบตาเดียว
จริงอยู่ที่แม้ตัวอ่อนมนุษย์ป้าจะมีสีหน้าเรียบเฉยเนื่องจากหล่อนเคยเห็นท่าทางผิดสังเกตของเด็กวิศวะมาบ้าง
แต่ครั้นจะปล่อยให้สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกระหว่างรุ่นน้องทั้งสองคาราคาซังไปเรื่อย
ๆ สักวันปัญหาส่วนตัวคงกระทบต่อความผาสุกส่วนรวมเป็นแน่ “ชาย! ไอ้ชาย มึงมานี่ดิ๊!”
สายเปย์วิ่งตุ้บตั้บเข้ามาหาปาณัธอย่างกระวีกระวาดเหมือนทุกที
“มีอะไรเหรอครับพี่ผึ้ง?”
“มึงขอโทษไอ้ยิมมันหรือยัง?”
“ชายขอโทษยิมไปหลายครั้งแล้วครับพี่ผึ้ง”
“แล้วทำไมมันถึงยังทำหน้าเป็นส้นตีนแบบนั้นอยู่อีกวะ?”
ปาณัธชักเริ่มยั้วที่ผลลัพธ์ไม่เป็นดั่งใจ
“ชายก็ไม่รู้เหมือนกันครับพี่ผึ้ง
ยิมยอมไม่พูดกับชายสักคำ ชายเลยไม่รู้ว่ายิมเป็นอะไรกันแน่” ชายชาตรียู่หน้าพลางทอดสายตามองพื้นอย่างท้อใจ
แม้ที่ผ่านมา ชายหนุ่มจะเผชิญหน้ากับการไม่มีตัวตนในสายตาผู้ชายคนอื่นมานักต่อนัก
หากแต่ความรู้สึกขณะคอยเฝ้าตอแยเหล่าอดีตเหนือชายซึ่งไม่เคยแยแสตัวเองเลยสักครั้งกลับเจ็บปวดไม่ถึงเศษเสี้ยวของการตามง้อยิมตลอดหลายวันที่ผ่านมาเลยสักนิด
“เดี๋ยว
ๆ นี่มึงกับไอ้ยิมทะเลาะกันเรอะ?” เจ้าของร้านโพล่งขึ้นด้วยสีหน้าสงสัยติดหมัด
“ชายก็ไม่รู้เหมือนกันครับคยองโอปป้าว่าเราไปทะเลาะกันตอนไหน”
เด็กบริหารหน้าเข่าสารภาพอย่างหมดรูป
“อ้าว! สรุปแล้วมันยังไงวะเนี่ย
กูงงไปหมดแล้วนะเฮ่ย!”
“ใจเย็นก่อนเฮีย
เดี๋ยวผึ้งค่อยเล่าให้เฮียฟังอีกที” ตัวอ่อนมนุษย์ป้าหันไปหาเจรจากับเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“กูว่ามึงต้องรีบทำอะไรสักอย่างเพื่อง้อไอ้ยิมมันแล้วล่ะ ขืนปล่อยไว้นานกว่านี้ ไม่มึงก็มันนี่แหละที่จะเครียดตายไปเสียก่อน”
เหตุที่ปาณัธสรุปเช่นนี้ เพราะเท่าที่ประเมินสภาพดูไม่ได้ของคู่กรณีด้วยสายตาคร่าว
ๆ หล่อนก็ฟันธงได้โดยพลันว่า อาการของเฟรชชี่หน้าหนวดเองก็น่าจะหนักหนาไม่แพ้กัน
“ใช่! คืนนี้กลับไปมึงต้องรีบง้อไอ้ยิมด้วยการนอนแก้ผ้าแล้วหันดากไปหามันเลยนะ”
พ่อครัวใหญ่ออกความเห็นอย่างเป็นตัวของตัวเองเสียจนคนฟังยังแอบยี้ “ถ้ามึงยอมทำถึงขนาดนั้นแล้วมันยังไม่หายโกรธมึงล่ะก็
กูยอมให้มึงอมขี้หมามาบ้วนใส่หน้ากูเลยเอ้า!”
“ถึงกับต้องแก้ผ้าเลยเหรอครับพี่โจตู๋?
แล้วดากคืออะไรอ่ะครับ?”
“โอ๊ยไอ้ชาย! มึงนี่จะโง่ไปไหน?!” หญิงสาวเพียงคนเดียวของวงแจกมะเหงกส่งให้สหายรักด้วยความเอ็นดูอย่างสุดซึ้ง
จากนั้นจึงหันไปถลึงตาใส่พ่อครัวใหญ่ปากเสียตบท้าย “มึงก็เหมือนกันไอ้โจ! แนะนำแต่ละอย่าง!”
“แต่วิธีนี้มันได้ผลจริง
ๆ นะเจ๊ ไม่เชื่อคืนนี้เจ๊ลองกับเฮียดิ รับรองพรุ่งนี้ได้ปิดร้านอ่ะ”
โจลอยหน้าลอยตาตอบอย่างไม่มีสลดจนเดือดร้อนถึงหูของขาใหญ่ประจำร้าน
“เฮ่ย
ๆ ไอ้โจ ให้มันน้อย ๆ หน่อยมึง!”
“ถ้าไม่ต้องแก้ผ้า
งั้นชายควรง้อยิมยังไงดีอ่ะครับพี่ผึ้ง?” อารามกลัดกลุ้มใจเหลือกำลัง
ชายชาตรีจึงไม่ทันเห็นการห้ำหั่นทางสายตาระหว่างโอปป้าเจ้าของร้านข้าวต้มกุ๊ยกับพ่อครัวเต่าถุยหุ่นตุ้ยนุ้ยน่ากอด
ถึงอย่างนั้น คองกลับไหวตัวละเลิกการละเล่นเป็นเด็ก ๆ ได้ทันการณ์
นั่นจึงทำให้สายเปย์ได้รับฟังความเห็นฟังเข้าท่าจากผู้ประสงค์ดีจนได้
“ทำอะไรพิเศษ
ๆ ตอบแทนมันบ้างสิ มันดีกับมึงมากไม่ใช่หรือไง ไอ้ยิมน่ะ?”
“ครับคยองโอปป้า”
“มึงต้องหัดเอาใจใส่มันให้มาก
ๆ นะไอ้ชาย ไม่ใช่ว่าเห็นมันดีด้วยหน่อย ก็ปล่อยมันทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ยั้งหมาข้างถนน”
“ครับพี่โจตู๋”
ถึงใจความในประโยคล่าสุดที่หลุดออกจากปากโจจะเป็นประโยชน์จนเขาอดซาบซึ้งใจไม่ได้
แต่ลึก ๆ แล้ว ชายชาตรีกลับอดสงสัยไม่ได้ว่า ไฉนเลยพ่อครัวหัวป่าก์จึงปักใจกับอะไรหมา
ๆ ได้มากขนาดนี้
กระนั้นก่อนที่ห้วงคำนึงของสายเปย์จะฟุ้งซ่านด้วยร้อยพันข้อหวั่นวิตก
ปาณัธก็วกเข้าสู่ลู่ทางที่จะช่วยทำให้มิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ลกลายเป็นเรื่องง่าย ๆ
ยิ่งกว่าสอนควายให้หัดพูด “ถ้ามึงจะง้อไอ้ยิมมันจริง ๆ กูว่ามึงจะทำอะไรให้มันก็ได้แหละ
แต่ขอแค่ให้มึงตั้งใจทำ ที่สำคัญคือห้ามใช้เงินซื้อของมาง้อมันเด็ดขาด มึงเข้าใจใช่ไหมไอ้ชาย?”
“ครับพี่ผึ้ง
ชายจะพยายามครับ”
$$$$$$$$
“?!?” คนที่เพิ่งกลับจากส่งหนังสือพิมพ์ช่วงเช้ามืดต้องแปลกใจเมื่อเห็นรูมเมทนั่งตาใสง่วนอยู่กับผ้ากองใหญ่ในช่วงสาย
ๆ ของวันเสาร์แบบนี้
“กลับมาแล้วเหรอ?”
ทันทีที่เห็นรูมเมทเดินเข้ามาในห้อง ชายชาตรีก็ละมือจากกองผ้าบนพื้นแล้วพุ่งเข้าไปฉวยถุงโจ๊กในมืออีกฝ่ายนำไปวางลงบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเก่ง
พร้อม ๆ กับยื่นผ้าขาวม้าให้รุ่นน้องอย่างรู้ใจกันไปเสียทั้งหมด “ยิมอาบน้ำก่อนนะ
จะได้สบายตัว เดี๋ยวพี่ชายจะแกะโจ๊กรอ แล้วก็นั่น
พี่ชายเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ไว้ให้แล้ว”
“...”
แม้เด็กวิศวะจะชำเลืองมองหน้าตนนิ่ง
ๆ โดยไม่ยอมพูดจา ทว่าสายเปย์กลับยังวางท่าร่าเริงเป็นปกติได้ดังเดิม “รีบไปอาบน้ำเถอะ
จะได้กินข้าวพร้อมกัน”
“นั่นพี่จะทำอะไร?”
จังหวะที่เจ้าของห้องกำลังจะก้าวเข้าไปชำระร่างกาย หางตาชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นเตารีดวางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากผ้ากองโตตรงเบื้องหน้าชายชาตรี
สังหรณ์ด้านลบจึงสั่งให้เฟรชชี่ยอมคายดอกพิกุลเป็นครั้งแรกในรอบสองวันนับจากครั้งสุดท้ายที่ชายหนุ่มจำใจตอบโต้กับอีกฝ่ายด้วยไม่อยากให้เฮียคองผิดสังเกต...
อย่าบอกนะว่าจะรีดผ้า
“อ๋อ! ก็พี่ชายเห็นว่าแดดแรง ๆ แบบนี้
ยิมคงจะซักผ้า พี่ชายเลยจะรีดผ้าไปพลาง ๆ ระหว่างรอยิมยังไงล่ะ”
“พี่วางไว้เถอะ
เดี๋ยวผมรีดเอง” ยิมพยายามหยุดยั้งหายนะครั้งใหม่อย่างเต็มความสามารถ
ทว่าชายหนุ่มกลับไม่อาจเร้าหรือรุ่นพี่ได้ดั่งที่เคยเป็น
เพราะนับตั้งแต่เมื่อเขาเผลอตัวระเบิดอารมณ์ใส่รุ่นพี่ไปเมื่อราว ๆ ต้นอาทิตย์
เด็กวิศวะก็ขีดเส้นกั้นความสัมพันธ์กับชายชาตรีเอาไว้แค่ ‘รูมเมท’ ไปเสียแล้ว
ไม่...
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมปล่อยตัวเองให้ถลำลึกลงในความรักที่ไม่สมหวังทั้ง ๆ
ที่ยังไม่เริ่มต้นอย่างแน่นอน
“ไม่เป็นไร
ๆ พี่ชายอยากทบทวนที่ยิมเคยสอน ต่อไปพี่ชายจะได้รีดผ้าให้ยิมได้ไง” ชายชาตรีอมยิ้มน้อย
ๆ ก่อนจะหันไปตั้งอกตั้งใจทำงานบ้านตรงหน้าตามคำแนะนำของปาณัธอย่างเคร่งครัด
.
.
.
.
.
.
.
“ยิมเหนื่อยไหม?”
“...”
เจ้าของชื่อเลิกคิ้วมองหน้ารุ่นพี่ที่นั่งกินโจ๊กอยู่อีกด้านของโต๊ะญี่ปุ่นตัวน้อยด้วยความแปลกใจ
เพราะหากไม่นับตอนที่บทสนทนาเกี่ยวกับไอ้เดียวพาไป นี่คือครั้งแรกที่อีกฝ่ายตั้งคำถามเกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิดของตัวเขาโดยเฉพาะ
“พี่ชายเห็นยิมทำงานไม่เคยหยุดเลยสักวัน
แถมบางทีกลับมายิมยังนั่งทำการบ้านต่ออีก พี่เลยอดห่วงยิมไม่ได้” ชายชาตรีพรั่งพรูความประทับใจที่มีต่อรุ่นน้องต่างคณะออกมาอย่างไหลลื่น
ก่อนจะตบท้ายด้วยการเผยปณิธานล่าสุดให้รูมเมทได้ร่วมรับรู้ด้วยสีหน้ามุ่งมั่น “ต่อไปพี่ชายจะหัดทำงานบ้านให้เก่ง
ๆ นะ พี่ชายจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของยิมลงบ้าง เราอยู่ด้วยกันก็ต้องคอยดูแลกัน
จริงไหม?”
ทั้ง
ๆ ที่ตลอดเกือบทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา เด็กวิศวะจะพยายามเว้นระยะห่างจากอีกฝ่ายเพื่อตัดใจสักแค่ไหน
แต่การที่ชายชาตรีเป็นเสียแบบนี้ เฟรชชี่หน้าหนวดจึงไปไหนไม่รอดเสียที
“พี่ไม่ต้องรีดผ้าหรอก เดี๋ยวผมทำให้”
ทันทีที่ได้ยินประโยคน่ารัก
ๆ ของอดีตสายเปย์ ฝ่ายที่ตั้งแง่แต่ทีแรกก็เริ่มไขว้เขวจนคิดจะชวนอีกฝ่ายมาช่วยกันซักผ้าพร้อมคุยกันกระหนุงกระหนิงเหมือนเมื่ออาทิตย์ก่อน
แต่การวางมาดหยิ่งทำนิ่งเฉยใส่ชายชาตรีมาหลายวัน ทำให้เด็กวิศวะไม่อาจเปลี่ยนท่าทีต่อรุ่นพี่ได้ภายในชั่วอึดใจ
นั่นจึงเป็นผลให้รุ่นพี่รีบกินโจ๊กแล้วเอาชามไปแช่พลางปฏิเสธเป็นพัลวัน ด้วยเจ้าตัวคิดเองเออเองว่า
หากเริ่มลงมือรีดผ้าเสียแต่ตอนนี้ อีกคนก็จะไม่เข้ามาวุ่นวาย
หรือขอร้องให้เลิกล้มความตั้งใจกลางคัน
“ไม่เป็นไร
ยิมซักผ้าเถอะ ไม่ต้องห่วง พี่ชายทำได้”
“...”
เด็กวิศวะมองตามแผ่นหลังของรุ่นพี่ด้วยสายตาละห้อย แต่เพราะยังไม่มีหน้าเริ่มบทสนทนาก่อน
ชายหนุ่มจึงจำใจก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าอย่างซึมเซา จากนั้นจึงทำหน้าที่ของตนไปตามเรื่องตามราว
กระนั้นระหว่างที่กำลังซักผ้าอยู่นั้นเอง กลิ่นไหม้ที่โชยมากจากด้านในห้องก็ทำให้มือขยันตรงระเบียงต้องรีบยื่นหน้าเข้าไปสอดส่องความเคลื่อนไหวของชายชาตรีโดยพลัน
“เฮ่ย! ไฟไหม้!”
“เฮ่ย!!!” สิ้นเสียงตะโกนด้วยความตกใจ
ต้นเสียงก็กระโดดแผล็วไปสับคัทเอาท์ตรงเหนือขื่อใกล้ ๆ หัวนอน ก่อนจะคว้าผ้าห่มไปชุบน้ำพอหมาดแล้วเอามาดับไฟ
ในขณะที่อีกคนได้แต่นั่งตะลึงพรึงเพริดเพราะทำอะไรไม่ถูก
“ทีหลังจะใช้ไฟ
หรือจะเสียบอะไรก็ระวัง ๆ หน่อยล่ะ ดีเท่าไรแล้วที่มึงดับไฟทัน” คนดูแลห้องเช่ากำชับสองหนุ่มอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยโดยที่ระหว่างนั้นก็ไม่ละสายตาจากช่างที่กำลังเก็บเครื่องมือใส่กล่องอย่างคล่องแคล่ว
“ครับ
พวกผมจะระวังให้มากกว่านี้ครับ” ยิมยืนตัวลีบพลางรับคำอีกฝ่ายอย่างลุแก่โทษ
“เออ
แล้วต่อไปน่ะถ้าจะติดตั้งอะไรในห้อง มึงต้องมาบอกกูก่อนนะ
ไม่ใช่ขนเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้า
กูจะได้มาช่วยดูว่าต้องเปลี่ยนมิเตอร์ไฟหรือสายไฟก่อนไหม อุปกรณ์เยอะขนาดนี้
ขืนเปิดพร้อมกันทีเดียว ไฟคงได้ดับแม่งทั้งตึก”
“ผมขอโทษครับพี่
พอดีผมไม่ทันคิด”
“เออ
ๆ ไอ้ที่แล้วก็แล้วไปเหอะ เพราะยังไงวันนี้ช่างก็ทำให้มึงใหม่หมดแล้วนิ” คนดูแลตึกรวบรัดตัดความอย่างเห็นอกเห็นใจอีกฝ่ายเป็นกำลัง
เพราะเขารู้ดีว่า ผู้เช่าส่วนใหญ่ต่างไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวกันทั้งนั้น
ยิ่งปัญหาจำพวกที่มีผลต่อสัญญาเช่า หรือเงินค่าปรับอย่างที่ยิมกำลังประสบด้วยแล้ว
แน่ล่ะ
จะมีคนหาเช้ากินค่ำที่ไหนอยากจ่ายค่าเปลี่ยนปลั๊ก เดินสายไฟ
ติดมิเตอร์เพิ่มกำลังไฟฟ้าภายในห้อง รวมถึงค่าแรงช่างแทนเจ้าของตึกบ้างล่ะ?
“ยังไงผมก็ขอบคุณพี่มากนะครับที่ไม่เอาเรื่องพวกผม”
เด็กวิศวะรับหน้าเจรจากับอีกฝ่ายเพราะรู้ว่าคนที่นั่งจ๋อยอยู่ตรงมุมห้องคงยังจมจ่อมอยู่กับความรู้สึกผิดของตัวเองจนไม่มีหน้าจะสนทนากับใคร
“โชคดีที่วันนี้กูเข้ามานี่
ขืนเป็นพี่ตุ๊กมาเฝ้า พวกมึงโดนด่าจนหูชาไปแล้ว” คนดูแลตึกหันไปหาช่างที่ยืนรอค่าจ้างอยู่ข้าง
ๆ กรอบประตู “ทั้งหมดสามพันห้าใช่ไหมพี่? ลดให้น้องมันอีกนิดไม่ได้เหรอ?”
ทันทีที่เห็นช่างไฟฟ้าส่ายหัว
ยิมก็รีบเดินไปหยิบกระเป๋าแล้วควักเงินให้ตามจำนวนที่ตกลงกันอย่างรู้หน้าที่ “นี่ครับ
ขอบคุณนะครับ”
“กูไปก่อนนะ
แล้วก็อย่าลืมจ่ายเงินตรงตามเวลาล่ะ เดือนนี้พี่ตุ๊กแกจะเข้ามาเก็บเงินค่าห้องเอง”
“ครับ
ๆ ”
“ยิม
พี่ชายขอโทษ พี่ชายไม่ได้ตั้งใจ” เมื่อประตูหน้าห้องงับปิดลง เสียงแผ่ว ๆ
ของตัวการไฟไหม้ก็ดังขึ้นเดี๋ยวนั้น
“เฮ่อ!” ยิมเหลือบมองดูธนบัตรจำนวนไม่กี่ใบในกระเป๋าสลับกับใบหน้าของรุ่นพี่ที่หดเล็กยิ่งกว่าหัวเข่าเด็กทารกก่อนจะประกาศด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“ผมขอสั่งห้ามไม่ให้พี่ชายเข้าใกล้เตารีดอีกต่อไป” แค่ยอมให้รีดผ้าเองครั้งแรกยังเกิดอาเพศรุนแรงถึงเพียงนี้
หากปล่อยให้มีโอกาสหน้าซ้ำสองอีกล่ะก็
เห็นทีพวกเขาทั้งสองจะไม่มีที่ซุกหัวนอนอีกต่อไป
แม้เหตุการณ์ระทึกขวัญที่เพิ่งเกิดขึ้นสด
ๆ ร้อน ๆ จะทำให้เด็กบริหารเสียศูนย์ไปพักใหญ่ กระนั้นชายหนุ่มกลับไม่ยอมล้มเลิกโครงการ
‘เสียเหงื่อเพื่อง้อยิม’ แต่อย่างใด นั่นจึงทำให้สายเปย์หน้าเข่าเฝ้าเร้าหรือกับอีกฝ่ายไม่ลดละ“แต่พี่ชายอยากทำอะไรตอบแทนยิมบ้างนี่นา
ตั้งแต่เราอยู่ด้วยกันมา พี่เห็นยิมเหนื่อยทุกวันเลย”
“งั้นเอาเป็นว่า
พี่ชายรับหน้าที่คอยอยู่เป็นลูกมือผมทำงานบ้านทั้งหมเก็แล้วกันครับ
แต่ถ้าอันไหนที่ผมขอร้องไม่ให้ทำ พี่ชายก็ห้ามทำเด็ดขาด ตกลงไหมครับ?”
“ถ้าพี่ชายตกลง
ยิมจะยอมหายโกรธพี่ชายไหมครับ?” คำขาดของเจ้าบ้านทำให้ชายชาตรีหลังชนฝาถึงขั้นยอมแย้มพรายถึงแรงจูงใจเบื้องหลังการแงะตัวออกจากที่นอนเพื่อลุกมาทำงานบ้านตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง
“แล้วไอ้ที่ผมห้ามพี่ทำงานบ้านมันเกี่ยวกับเรื่องโกรธไม่โกรธตรงไหนวะพี่?
ฮึ ผมถามจริง ๆ ?”
“ก็ถ้ายิมไม่ให้พี่ทำงานบ้าน
แล้วพี่จะเอาอะไรมาขอคืนดีกับยิมล่ะ?”
“อย่าบอกนะว่าที่ลุกขึ้นมารีดผ้าเพราะพี่ชายจะง้อผม?”
คนโตกว่าพยักหน้าป้อย
ๆ พลางเอ่ยเสียงเครือเมื่อหวนนึกถึงบรรยากาศห่างเหินระหว่างพวกเขาทั้งคู่
“พี่ชายขอโทษ พี่ชายรู้ตัวแล้วว่าพี่ชายผิด เพราะงั้นยิมเลิกโกรธพี่ชายเถอะนะ
พี่ชายสัญญาว่าพี่ชายจะไม่ไปยุ่งกับน้องเดียวอีก”
คำพูดล่าสุดของรุ่นพี่มีผลต่อจังหวะหัวใจคู่สนทนาเป็นอย่างมาก
อีกฝ่ายจะรู้ไหมนะว่า คำสัญญาเมื่อกี๊น่ะทำให้โลกของใครอีกคนสว่างไสวขึ้นทันตา “พี่ชายจะเลิกยุ่งกับไอ้เดียวมันได้จริง
ๆ น่ะเหรอ? ชอบมันมากไม่ใช่ไง?”
“เมื่อก่อนก็ใช่แหละ
แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ” หลังจากโดนปาณัธด่ากราดเข้าให้
ชายชาตรีก็สามารถตัดใจจากเดียวได้อย่างไม่เหลือเยื่อใยใด ๆ ทั้งสิ้น
กระนั้นดูเหมือนว่ายาจกเคราครึ้มจะไม่ปลื้มสักเท่าไร
“พี่แม่งก็พูดไปเรื่อย”
อาการสองจิตสองใจ อยากจะยินดีทั้งที่ก็กลัวทำให้ยิมหลุดปากพึมพำกับตัวเองอย่างลืมตัว
และนั่นทำให้ฝ่ายรุ่นพี่ที่ตั้งใจฟังทุก ๆ
ถ้อยคำของคนตรงหน้าเองก็พลั้งเผลอต่อบทสนาอย่างร้อนอกร้อนใจไม่แพ้กัน
“คราวนี้พี่ชายไม่ได้พูดไปเรื่อยนะยิม
พี่ชายพูดจริง ๆ พี่ชายจะเลิกยุ่งกับน้องเดียวแล้วจริง ๆ นะ”
ที่สุดแล้ว
ความจริงใจของชายชาตรีก็ส่งไปถึงใจของเด็กวิศวะอีกครั้ง “ครับ ๆ ผมรู้แล้วครับ” หลังจากลอบอมยิ้มเป็นพัก
ๆ จนแก้มเริ่มปวด ความสนใจของเด็กปีหนึ่งหน้าหนวดก็เบนไปสู่เรื่องปากท้องโดยพลัน “ตอนนี้พี่ชายเหลือเงินเท่าไรครับ?”
“นี่ไง
สามร้อยแปดสิบ” ต่อให้สายเปย์จะตามอารมณ์ของอีกฝ่ายไม่ทัน แต่นั่นก็ไม่ทำให้ชายหนุ่มอยากขัดขวางความสงสัยใคร่รู้ของรูมเมทผู้อารี
“เฮ่อ! เจ็ดร้อยหกสิบห้า” เด็กวิศวะจ้องมองเงินสองกองตรงหน้าพลางทอดถอนใจ
“เหลืออีกห้าวันกว่าเงินเดือนจะออก... มื้อเย็นไปกินที่ร้าน
เหลือมื้อเช้ากับมื้อกลางวันอีกเก้ามื้อ... เก้ามื้อสองคน ไหนจะค่าน้ำมัน ค่านั่นค่านี่อีก
สงสัยต้องหาอะไรไปจำนำขัดตาทัพไว้ก่อนเสียแล้วล่ะมั้ง”
“ไม่เอานะยิม
ไม่จำนำ พี่ชายสัญญาว่าภายในห้าวันนี้พี่ชายกินอยู่อย่างประหยัด”
ชายชาตรีแหวทันทีที่ได้ยินศัพท์เทคนิคสุดแสลงหู...
ถ้ายิมเอาข้าวของไปจำนำเอาไว้
ก็หมายความว่าพวกเราจน ๆ ไม่มีอะไรจะเสียแล้วอย่างนั้นน่ะเหรอ?
ไม่เอา! ชายยังไม่อยากพ่ายแพ้ให้กับความยากจน!
ชายจะสู้
ชายจะไม่ยอมเอาของที่ตั้งใจซื้อให้ยิมไปจำนำเด็ดขาด!
“แต่แค่เราเอาของบางอย่างไปจำนำเราก็จะได้เงินทันทีเลยนะพี่ชาย
เดี๋ยวพอเงินเดือนออกเมื่อไร เราค่อยไปไถ่ของคืนมาก็ได้ ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลยพี่”
ยิ่งฟังยิมบอกเล่าสัจธรรมคนยากด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ มากเท่าไร สายเปย์ก็ยิ่งมีทิฐิมานะมากขึ้นเท่านั้น
“อย่าเลยนะยิม
พี่ชายว่าพวกเรามาลองพยายามประหยัดกันก่อนดีไหม? นะ นะ พี่ชายขอร้อง”
เฟรชชี่ถอนหายใจหนัก
ๆ เมื่อเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของรุ่นพี่ต่างคณะ ชายหนุ่มอดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า
ชายชาตรีน่าจะยังทำใจไม่ได้หากต้องทนเห็นเขายกเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ นา ๆ
ไปฝากไว้ที่โรงตึ๊งชั่วคราว “ก็ได้ครับ...
แต่ภายในห้าวันนี้พวกเราต้องประหยัดกันสุด ๆ เลยนะพี่ ห้ามพี่ชายใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายเด็ดขาดเลยนะครับ”
“พี่ชายจะพยายาม!” จังหวะที่รับปากรุ่นน้องอย่างหนักแน่นอยู่นั้นเอง
เด็กบริหารปีสามก็เกิดพุทธิปัญญาว่า ในที่สุด รูมเมทก็ยอมพูดคุยกับเขาตามปกติเป็นที่เรียบร้อย
แต่เพื่อความมั่นใจ ชายหนุ่มจึงอยากได้ยินคำยืนยันจากปากอีกฝ่ายสักครั้ง “ยิม”
“ครับ?”
“สรุปว่ายิมหายโกรธพี่ชายแล้วใช่ไหม?”
(จ้อกกก!) ยังไม่ทันที่ใครจะได้เอ่ยอะไร
เสียงครวญครางหวนไห้จากด้านในกระเพาะของสายเปย์ก็เรียกรอยยิ้มของคนฟังได้อย่างฉับพลันทันตาจนชายชาตรีทำหน้าไม่ถูก
“อุ้ย!”
“หิวแล้วเหรอพี่?”
“อือ
ก็นิดหน่อยน่ะ”
รอยยิ้มแหย
ๆ บนใบหน้าเจื่อน ๆ ของสายเปย์ทำเอายิมอดเอ็นดูไม่ได้ กระนั้นแล้ว
ชายหนุ่มกลับไม่ยอมเผยไต๋ง่าย ๆ ดังเช่นที่ผ่าน ๆ มา “งั้นเดี๋ยวถ้าพี่ชายยอมไปที่
ๆ นึงกับผม ผมจะหายโกรธพี่ทันทีเลยครับ”
“ไปไหนเหรอยิม?”
“ตามมาเถอะครับ
เดี๋ยวพี่ชายก็รู้”
ยิมอมยิ้มก่อนจะเดินนำหน้ารุ่นพี่ลงไปข้างล่างด้วยสภาพอารมณ์ดีถึงขีดสุดของรอบอาทิตย์ที่ผ่านมา
“ยิมพาพี่มาที่วัดทำไมเหรอ?”
ชายชาตรีอดสงสัยไม่ได้เมื่อปลายทางของการนั่งมอเตอร์ไซค์รอบนี้คือวัดเล็ก ๆ
แห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ระหว่างทางไปมหาวิทยาลัยของพวกเขาทั้งคู่
“ก็พาพี่มาอาศัยข้าวก้นบาตรกินน่ะสิครับ”
“หืม
เราทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?” คำตอบของรุ่นน้องทำเอาชายชาตรีประหลาดใจยกใหญ่... ตลอดมา
เขารู้จักแต่การนำกับข้าวกับปลาหรือข้าวของตามแต่ศรัทธามาถวายพระ แต่การเดินดุ่ม ๆ
เข้าวัดเพื่อมาขอข้าวกินนี่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับชายหนุ่มผู้กำลังเรียนรู้ที่จะอยู่กับความยากลำบากอย่างเป็นมิตร
กระนั้นคำอธิบายของคนที่เดินข้าง ๆ กลับช่วยไขข้อข้องใจให้สายเปย์ได้มากทีเดียว
“ก็ได้นะครับ
ตอนผมมาอยู่นี่ใหม่ ๆ แล้วยังไม่ได้งาน ผมก็มาล้างห้องน้ำ กวาดลานวัด
หรือทำงานถวายเจ้าอาวาสแลกกับข้าววัดอยู่บ่อย ๆ ตอนผมอยู่กับหลวงพ่อที่ลพบุรีก็มีคนผ่านไปผ่านมาแวะมาขอข้าววัดกินเป็นประจำ”
“อ้าวนึกว่าใคร
ที่แท้ก็เจ้ายิมนี่เอง!”
“ลุงเที่ยงหวัดดีครับ”
เมื่อเห็นรูมเมทยกมือไหว้ชายวัยกลางคนตรงหน้า
เด็กบริหารก็แสดงมารยาทอันดีให้ผู้หลักผู้ใหญ่ได้ประจักษ์อีกครั้ง
“ไหว้พระเถอะหนุ่ม”
มัคนายกคลี่ยิ้มเมื่อเห็นท่วงท่าน่ามองของเด็กหนุ่มทั้งสองก่อนจะหันไปพูดกับคนคุ้นหน้าเป็นกรณีพิเศษ
“ไม่เห็นหน้านานเลยนะเอ็ง ได้งานทำแล้วสิ?”
“ครับ
ผมได้งานทำแล้วครับ”
การเห็นหน้าค่าตาเด็กวิศวะในเวลาหลังเพลเพียงไม่นานทำให้คนเก่าคนแก่ประจำวัดเดาได้ทันทีว่าจุดประสงค์ในการเยี่ยมเยือนเขตุสงฆ์ในครั้งนี้ของยิมคืออะไร
มัคนายกจึงคลี่ยิ้มบาง ๆ พลางเอ่ยอย่างโอภาปราศรัยโดยไม่รอช้า “ไป ๆ
เดี๋ยวข้าพาไปโรงครัว”
.
.
.
.
.
“กับข้าวหมดว่ะพวกเอ็ง
สงสัยแม่ชีจะแจกจ่ายชาวบ้านไปหมดแล้ว”
“หมดแล้วก็ไม่เป็นไรครับลุง”
เด็กวิศวะลอบถอนใจพลางคำนวณแผนการเอาตัวรอดอย่างเคร่งเครียด...
ลำพังแค่ตัวเขาคงไม่น่าหนักใจขนาดนี้ แต่นี่มีพี่ชายเพิ่มมาอีกคน
เขาควรทำอย่างไรกับเงินแค่เจ็ดร้อยดี?
“พวกเอ็งแบ่งข้าวสารกับของแห้งพวกนี้กลับไปทำกินสิ”
สีหน้ายุ่งยากระคนวิตกกังวลของเด็กหนุ่มทั้งสองทำให้มัคนายกอดเสนอแนะไม่ได้
“จะดีเหรือครับลุงเที่ยง?”
“ดีสิ
ปีนี้ญาติโยมเอาของแห้งมาถวายที่วัดเยอะเสียจนหลวงพ่อท่านก็กลัวว่าของมันจะหมดอายุไปก่อนเหมือนกัน
พวกเอ็งมาช่วยแบ่งไปกินไปใช้มันก็ต้องดีกว่าเก็บเอาไว้จนเหลือทิ้งอยู่แล้วล่ะ
อย่างน้อย ๆ ของแห้งพวกนี้ก็น่าจะช่วยต่อชีวิตคนกำลังเดือดร้อนลำบากได้อีกหลายวัน
ใช่ไหมวะ?”
“ครับ! พวกผมขอบคุณลุงมากนะครับลุงเที่ยง” สิ้นคำ
ชายหนุ่มทั้งสองก็พากันประนมมือไหว้ฝ่ายผู้มากอาวุโสกว่าโดยพร้อมเพรียง
“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก
ที่วัดนี้กลายเป็นที่พึ่งของชุมชนได้อย่างทุกวันนี้ก็เพราะบารมีและความเมตตาของหลวงปู่ท่านล้วน
ๆ หากมีอะไรที่วัดพอช่วยเหลือใครได้ ท่านก็พร้อมให้การสนับสนุนอยู่แล้วล่ะ” มัคนายกเอ่ยด้วยน้ำเสียงเลื่อมใสในความเมตตาของท่านเจ้าอาวาส
ก่อนจะชี้ทางสว่างให้สองหนุ่มเป็นการทิ้งท้าย “เออนี่ ถ้าพวกเอ็งอยากได้ผักสด ๆ ไปต้มไปผัดกินก็แวะไปตัดเอาตรงแปลงท้ายโรงเรียนได้นะ
หลวงปู่ท่านเห็นที่มันว่าง ๆ เลยให้พวกไอ้บอลปลูกเอาไว้เผื่อให้พวกมันเก็บกินกัน
ข้าไปก่อนนะ ว่าจะไปคุยกับเจ๊หนิงเรื่องทำบุญตลาดเสียหน่อย”
.
.
.
.
“พี่ชายชอบกินตำลึงไหมครับ?” เด็กวิศวะหน้าหนวดถามขึ้นหลังจากทั้งสองเริ่มลงมือเก็บผักบุ้งมาได้สักพัก เขาเห็นตำลึงเถาใหญ่เกาะอยู่เต็มรั้วด้านหลัง หากอีกฝ่ายสนใจ ชายหนุ่มก็จะถือโอกาสพาน้องใหม่ในวงการข้าวต้มโต้รุ่งไปชิมลางเก็บผักข้างกำแพงวัดเสียหน่อย
.
.
“พี่ชายชอบกินตำลึงไหมครับ?” เด็กวิศวะหน้าหนวดถามขึ้นหลังจากทั้งสองเริ่มลงมือเก็บผักบุ้งมาได้สักพัก เขาเห็นตำลึงเถาใหญ่เกาะอยู่เต็มรั้วด้านหลัง หากอีกฝ่ายสนใจ ชายหนุ่มก็จะถือโอกาสพาน้องใหม่ในวงการข้าวต้มโต้รุ่งไปชิมลางเก็บผักข้างกำแพงวัดเสียหน่อย
“ชอบ
พี่ชายชอบกินต้มจืดตำลึงใส่เต้าหู้ไข่ที่สุดเลย”
“งั้นเดี๋ยวไปช่วยผมเก็บตำลึงหน่อยนะครับ”
“ไปกันเลยไหมล่ะ
พี่พร้อมแล้ว” ไม่ทันไร ชายชาตรีก็ผุดลุกขึ้นก่อนคนชักชวน จากนั้นเจ้าตัวก็เช็ดมือกับขากางเกงอย่างกระฉับกระเฉงพร้อมยิ้มกว้างรอท่า
ยิมเห็นดังนั้นจึงรีบเดินนำหน้ารุ่นพี่ไปยังจุดหมายเพื่อป้องกันไม่ให้สายเปย์เดินเตลิดไปถึงไหน
ๆ ด้วยความที่ไม่รู้ว่าเถาตำลึงหน้าตาเป็นเช่นไร
“พี่ชายโอเคไหมครับที่เรามาขอข้าววัดกินแบบนี้?”
“โอเคสิยิม
ทำไมพี่ชายถึงจะไม่โอเคล่ะ” รุ่นพี่บริหารตอบคำพลางเด็ดตำลึงอย่างขมีขมัน “จริง ๆ
พี่ชายว่ามันสนุกดีออกนะที่ได้มาเก็บผักบุ้ง เก็บแตงกวาด้วยตัวเองแบบเมื่อกี๊”
“ผมนึกว่าพี่ชายจะรับไม่ได้เสียอีกที่ผมพาพี่มาขอแบ่งข้าววัดกิน”
ยิมปฏิเสธไม่ได้ว่าการตัดสินใจพาอีกฝ่ายมาฝากท้องที่วัดเป็นความคิดชั่ววูบที่ทำให้เจ้าตัวหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย
แต่เมื่อเผลอคิดไปว่าคนที่เขาแอบชอบจะต้องอดมื้อกินมื้อ ยาจกหน้าเคราก็เลือกที่จะชักนำชายชาตรีผู้กินดีอยู่ดีเป็นนิสัยให้เข้าสู่แวดวงเด็กวัดอย่างไม่มีทางเลือก
“ไม่หรอก
พี่ชายเชื่อว่ายิมต้องตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เราสองคนอยู่แล้ว
อีกอย่างถ้าไม่เกิดเมื่อเช้าขึ้น
ยิมก็ไม่ต้องเสียเงินสามพันห้าเพราะความดื้อดึงไม่เข้าท่าของพี่หรอก” สายเปย์หน้าย่นเพราะทนคิดถึงวีรกรรมของตัวเองแทบไม่ได้
“เราอย่าไปพูดถึงเรื่องเมื่อเช้าอีกเลยครับ
แค่พี่ชายรับปากผมว่าจะไม่แตะต้องเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรโดยไม่จำเป็นอีกก็พอ”
ยิมรวบรัดตัดความเพราะไม่ให้ความสิ้นหวังทำลายกำลังใจของรุ่นพี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
ทว่าเขากลับช้าเกินไป
“พี่ชายนี่ไม่ได้เรื่องจริง
ๆ ทำอะไรก็ไม่ดีสักอย่าง” สายเปย์หน้าเข่างึมงำด้วยสีหน้าผิดหวังในตัวเองอย่างหาใดเปรียบ...
เหตุไม่คาดฝันเมื่อช่วงเช้าเป็นเหมือนน้ำเย็นที่สาดหน้าให้เขาตื่นขึ้นมาพบโลกแห่งความจริงเป็นครั้งแรก
นอกจากจะทำอะไรไม่เป็นสักอย่างแล้ว หากยิมไม่อยู่ตรงนั้น ป่านนี้เขาคงไม่ได้ยืนเก็บตำลึงอยู่ที่นี่
เวลานี้อีกต่อไปแล้ว
“อย่าคิดแบบนั้นดิพี่
ผมบอกพี่แล้วไงว่าตอนนี้พี่อาจจะยังทำอะไรไม่ได้หลายอย่าง
แต่ถ้าพี่ตั้งใจและพยายามฝึกฝน เดี๋ยววันไหนพี่ก็จะทำได้เองนั่นแหละครับ” ฝ่ามือกว้างข้างที่ยังว่างอยู่ของเด็กวิศวะเลื่อนไปบีบหัวไหล่ของสายเปย์เบา
ๆ
“โธ่ยิม! พี่ชายน่ะไม่ได้เรื่องจริง ๆ นะ ขนาดแตงกวาพี่ชายยังไม่รู้เลยว่าต้นมันหน้าตาเป็นยังไง”
ชายชาตรีโต้คารมไม่ลดละ “ถ้าไม่ได้มาด้วยกันวันนี้ พี่ชายคงจะเข้าใจผิดไปตลอดว่าต้นแตงกวาใหญ่
แล้วก็มีลูกห้อยต่องแต่งลงมาเหมือนมะม่วงน่ะ”
“ในโลกนี้ มีคนอีกตั้งมากมายที่ไม่รู้ว่าต้นแตงกวาเป็นยังไง
พี่ชายอย่าเสียกำลังใจเพราะเรื่องเล็ก ๆ แค่นี้เลยครับ
เชื่อผมสิว่าถ้าพี่มุ่งมั่นตั้งใจ เดี๋ยวพี่ก็จะเก่งขึ้นเอง”
สีหน้าที่ยังไม่ดีขึ้นของคนข้าง ๆ ทำให้เด็กปีหนึ่งไม่อาจนิ่งนอนใจ “ดูอย่างตอนพี่รีดผ้านั่นก็ได้
ขนาดผมสอนพี่แค่ครั้งเดียว พี่ยังรีดกางเกงให้ผมเสียเรียบกริบ
แถมยังจับจีบได้ทั้งสวยทั้งคมอีกต่างหาก”
“จริงเหรอ?”
ดวงตายิบหยีของรุ่นพี่บริหารเป็นประกายแวววาวเจิดจ้าจนคนยืนข้าง ๆ เริ่มเบาใจ
“จริงสิครับ
ผมไม่โกหกพี่ชายหรอก”
“ขอบใจนะยิม”
“ผมต่างหากล่ะครับที่ต้องขอบคุณพี่ชายที่รีดเสื้อผ้าให้ผมตั้งหลายตัว
ขอบคุณมากนะครับที่หลายวันมานี่ พี่ช่วยดูแล ช่วยทำโน่นทำนี่ให้ผมตลอดเลย”
“พี่ชายเต็มใจ
ยิมไม่ต้องขอบคุณพี่ชายหรอก” ชายชาตรีไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า คำขอบคุณแบบซึ่ง ๆ หน้าของเด็กหนวดจะนำมาซึ่งอาการเคอะเขินจนชายหนุ่มต้องเปลี่ยนเรื่องแทบไม่ทัน
“ไว้พวกเราหาเวลาว่างมากวาดใบไม้ หรือทำอะไรตอบแทนท่านเจ้าอาวาสกันดีไหมยิม?”
ข้อเสนอแนะของรุ่นพี่ทำให้ยิมปลื้มใจจนไม่อาจหุบยิ้ม
พี่ชายจะรู้ตัวไหมนะว่าบางอย่างในตัวพี่ชายกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น?
ทำตัวติดดินแถมยังรู้จักตอบแทน
และแบ่งปันคนอื่นอย่างนี้สิ ถึงจะเป็นพี่ชายที่น่ารักของเขาคนเดียว
“งั้นเดี๋ยวกลับไปผมจะสอนพี่ชายขัดห้องน้ำนะครับ
เผื่อคราวหน้ากลับมานี่ เราจะได้ช่วยทำความสะอาดห้องน้ำวัดด้วย”
ถึงจะพยักหน้ารับหงึกหงักจนคอแทบหักไปทั้งแถมก็ตามที
แต่ชายชาตรีกลับต้องตวัดสายตาหนีไปอีกทางเพราะอดกังวลไม่ได้ว่า หากเขาเกิดขัดห้องน้ำเป็นขึ้นมาจริง
ๆ ยิมจะเลิกขัดห้องน้ำที่ห้องไปเลยหรือเปล่า? แล้วอย่างนี้เขาจะได้แอบดูกล้ามแน่น
ๆ ของอีกฝ่ายแบบเต็ม ๆ ตาอีกเมื่อไรกัน? แค่แอบส่องหน้าท้องยิมตอนก่อนและหลังอาบน้ำน่ะไม่พอหรอกรู้ไหม!!
“พี่ชายอย่าเด็ดเถาที่มันแก่
ๆ สิครับ เด็ดอ่อน ๆ แบบนี้ดีกว่า กินอร่อยกว่ากันเยอะเลย” ความพยายามในการสาธิตเถาตำลึงของยิมถึงคราวเป็นหมันเมื่อเด็กบริหารมัวแต่จับจ้องบางอย่างไม่วางตา
“ยิม”
“ครับ?”
“พี่ชายอยากกินไข่”
“หืม?
ไข่ไหนพี่?”
ยิ่งได้ใช้เวลากับสายเปย์มากเท่าไร
ยิมก็เริ่มสังเกตเห็นอาการขาดสติของตัวเองชัดเจนขึ้นทุกขณะจิต เพราะเมื่อได้ยินประโยคแปร่งหูของอีกฝ่าย
แทนที่ชายหนุ่มจะหันไปมองหน้าคู่สนทนา เด็กปีหนึ่งคณะวิศวะกลับกดตามองต่ำยังพื้นที่ต้องห้ามของตัวเองและคนข้าง
ๆ อย่างเสียมารยาท โชคยังดีที่เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นเสียก่อน
ไม่อย่างนั้นยิมก็ไม่มั่นใจว่าเขาจะมัวแต่ทอดสายตามองหา ‘ไข่’ ใต้ร่มผ้าของอีกฝ่ายอยู่อีกนานเท่าไร
“โน่นไง”
ชายชาตรีว่าพลางชี้นิ้วไปยังสหกรณ์ไข่ไก่ข้างในเขตโรงเรียนประถมที่ใช้รั้วร่วมกับวัด
“เฮ่ยไม่เอาพี่! ลักขโมยมันผิดศีลห้านะครับ” ยิมค้านลั่น
แต่อดีตสายเปย์เวอร์ชันเติมน้ำปลาก็ขยันหาวิธีมาหว่านล้อมเฟรชชี่ไม่มีขาด
“แต่นั่นไข่ฟรีนะยิม
ยิมไม่สนเหรอ?”
“เดี๋ยวขากลับผมซื้อที่ตลาดให้พี่ก็ได้”
“ไข่ดาวฟองละสิบ
ไข่เจียวสองฟองใส่เครื่องก็สามสิบ... แต่ไข่สดตรงนั้นเราไม่ต้องควักตังค์ซื้อสักบาทเลยนะยิม”
เด็กบริหารพร่ำพรรณนาอย่างเลื่อนลอยด้วยเพราะหลงลืมปล่อยให้น้ำย่อยทำงานนานเกินไปเสียแล้ว
จริงสินะ...
ไข่ดาวฟองละสิบ ไข่เจียวสองฟองสามสิบ
ไข่ดาวห้าฟองสองคนก็ร้อยนึง
ไข่เจียวสองฟองกินสองคนก็ไม่น่าจะอิ่ม
แต่ไข่ตรงนั้นฟรี
แถมจะหยิบไปกี่สิบฟองก็ได้
“งั้นก็อย่าเสียเวลาเลยครับ!” ทันทีที่คิดตก ยิมก็จูงรูมเมทให้จ้ำตามข้ามเขตพัทธสีมาเข้าไปในโรงเรือนตรงอีกฝั่งรั้วทันที
“หูย
ไข่เต็มไปหมดเลยยิม ดูสิ” ชายชาตรีกรีดร้องด้วยความปีติที่เห็นไข่ฟรีมากมายอยู่ตามรางด้านล่างของคอกไก่
“รีบเก็บรีบไปเถอะครับพี่ชาย
เดี๋ยวจะมีใครมาเห็นเข้า” สิ้นเสียงเตือนสติของเด็กวิศวะ สายเปย์ก็พยักหน้ารับอย่างขึงขัง
แต่ก่อนที่ทั้งสองจะได้ลงมือคว้าไข่กลับไปเชยชม เสียงดุขรมของบุคคลที่สามก็ดังแว่วมาจากทิศทางด้านหลัง
“เฮ่ย! พวกมึงเป็นใครน่ะ?!”
ไม่ต้องรอให้เจ้าของเสียงปรากฏกายขึ้นตรงหน้า
เฟรชชี่หนวดเฟิ้มก็คว้าถุงชอปปิ้งพร้อมกับฉุดกระชากลากแขนคนโตกว่าให้วิ่งหน้าตื่นออกจากโรงเลี้ยงไก่แล้วพากันเข้าไปหลบในห้องน้ำนักเรียนใกล้
ๆ นั้นเอง
เมื่อความหวาดกลัวมาเยี่ยมเยือน
สติสตังที่เลือนลางจางหายเพราะความหิวโหยไม่ลืมหูลืมตาก็กลับมาประทับร่างโจรหน้าเข่าในท้ายที่สุด
“ยิม ทำไงดี? ทำไงดี? ถ้าเขาตามเรามาถึงนี่ พวกเราจะทำยังไงกันดียิม?”
“ชู่ว์! พี่ชาย เบา ๆ สิครับ” ยาจกยิมทั้งขู่ทั้งปลอบด้วยหวังให้คู่หูขโมยไข่สงบปากสงบคำโดยเร็ว
แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล
“แต่พี่ชายกลัวนี่
พี่ชายไม่เคยทำแบบนี้ พี่ชายไม่อยากโดนจับ เราจะรอดไหมยิม? เราจะรอดไหม?”
เป็นเพราะชายชาตรีเอาแต่เดินวนไปวนมาเป็นหนูติดจั่นพลางเพ้อรำพันความรู้สึกออกมาไม่ขาดสาย
ยิมจึงตัดสินใจสอดแขนเข้ารั้งเอวอีกฝ่ายเอาไว้มั่น
ก่อนจะรั้งร่างสั่นสะท้านเข้ามากอดเอาไว้พลางกระซิบปลุกปลอบเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลหากแต่หนักแน่น
“ไม่ต้องกลัวนะพี่ ผมอยู่นี่แล้ว”
ทันทีที่ระลึกรู้ถึงความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
โลกใบเล็กเบื้องหลังประตูห้องน้ำก็พลันเงียบสงบ พวกเขาต่างยืนฟังเสียงหัวใจสองดวงเต้นดังประสานกันอยู่เนิ่นนานโดยลืมไปแล้วว่าสถานการณ์ด้านนอกน่าพรั่นพรึงเพียงใด
อย่างไรก็ดี
ก่อนที่ฝ่ายรุ่นพี่ซึ่งตกประหม่าอย่างแสนสาหัสจะขาดใจตายเพราะลืมหายใจไปหลายจังหวะนั้นเอง
เจ้าตัวก็เริ่มขยับยุกยิกพลางตั้งท่าจะผละไปส่องดูลาดเลาของต้นเสียงปริศนา
แต่ฝ่ามือที่ประสานแน่นอยู่ตรงหน้าท้องกลับรั้งตัวเขาเอาไว้อีกครั้ง แถมยังมีประโยคอธิบายสั้น
ๆ ดังประชิดติดใบหูตามหลังมาให้ขนลุกเกรียวกราวระลอกแล้วระลอกเล่าเสียอีก
“เขาอาจจะยังดักรอเราอยู่ข้างนอกก็ได้นะครับ”
“...”
“พวกเราอยู่แบบนี้กันอีกสักพักเถอะครับ”
เจ้าของเสียงเลิกพูดไปแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ชายชาตรียิ่งเขินหนักไปกันใหญ่
เห็นจะหนีไม่พ้นใบหน้าครึ้มหนวดที่ค่อย ๆ วางพักลงบนลาดไหล่ของเขาเองนี่แหละ...
“...อะ
อื้ม...” ทำกันถึงขนาดนี้แล้วยังจะหวังให้เขาปฏิเสธอีกฝ่ายลงคอได้อย่างไรกัน
.
.
.
.
.
(จ้อกกกกกก)
“หึ
ๆ ! เรากลับกันเถอะครับ
พี่ชายคงหิวแย่แล้ว” ต่อให้ชายชาตรีจะยินยอมพร้อมใจสักแค่ไหน แต่สุดท้ายยิมก็พิสูจน์แล้วว่า
เขาไม่อาจปล่อยให้คนที่ตัวเองแอบชอบอดมื้อกินมื้อได้อยู่ดี
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
ความในใจทิ้งท้ายตามสไตล์ชายชิค ๆ :
วันนี้ยิมกอดชาย วันนี้ยิมกอดชาย!!
บันทึกไว้ ณ วันที่ว่าที่เหนือชายคนแรกได้ถือกำเนิดอย่างเป็นทางการขึ้นบนโลกใบนี้
ยะฮู้ว!!
$$$$<| TBC |>$$$$