ประกาศก่อนให้ทราบโดยทั่วกันนะคะว่า
อาทิตย์หน้าเราไม่เจอกันเนาะ
(ขอลาไปหรรษาปีใหม่นิสสสนึง
ฮ่า ๆๆๆ )
เจอกันอีกทีวันที่สิบเอ็ดปีหน้าเลยนะคะ
(โห! เขียนแบบนี้รู้สึกเหมือนนานเลยแฮะ)
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
<|No.07|>
สงครามเพิ่งจะเริ่ม
อย่าเพิ่งเติมเชื้ออวย
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
แม้จะเพิ่งย่างก้าวเข้ามาในสถานที่นัดพบได้เพียงชั่วอึดใจ
แต่ทันทีที่หางตาเหลือบไปเห็นคู่อรินั่งชูคอเชิดหน้าอย่างไม่รู้สำนึก โทสะก็เข้าบดบังมารยาทอันดีในการใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกับผู้อื่นจนหมดสิ้น
“หนอยไอ้สัด! มึงแอบอัดคลิปเอาไว้เหรอ?” เด็กบริหารชี้หน้ารุ่นน้องต่างคณะขณะซัดประโยคคำถามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดใส่อีกฝ่ายด้วยความไวแสง
“เอ่อ
ผมว่าเราไปคุยกันที่อื่นดีไหมครับ?”
หลังจากซีนเปิดตัวสุดระห่ำของพิชญ์จบลง
ลูกเด็กเล็กแดงรวมถึงเหล่าผู้ปกครองที่นั่งอยู่ตามโต๊ะข้างเคียงก็ออกอาการตื่นตระหนกเป็นกระจงตื่นไฟ
เดียวจึงจำเป็นต้องเสนอแนะโต๊ะเจรจาทางเลือกแก่คนมาใหม่อย่างเสียไม่ได้ แต่เนื่องจากพิชญ์ไม่อยากเพลี่ยงพล้ำซวยซ้ำซวยซ้อนเหมือนเมื่อคืนนั้น
บรรยากาศร้านอาหารที่พลุกพล่านจึงเหมาะแก่การสะสางหนี้แค้นและความหลังอย่างที่สุด
“กูไม่ไปไหนทั้งนั้น!”
“งั้นนั่งก่อนไหมพี่?”
“ใครจะไปนั่งร่วมโต๊ะกับเหี้ยอย่างมึง!” พิชญ์ตวาดอย่างฉุนเฉียวขณะสาวเท้ารุดเข้าไปหยุดยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าเด็กวิศวะเพื่อประกาศสงครามได้อย่างถนัดถนี่
“ใจเย็นก่อนสิครับพี่
มีอะไรก็ค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ จากัน”
“มึงลบคลิปห่านั่นเดี๋ยวนี้เลยนะ
ไม่งั้นอย่าหาว่ากูใจร้าย!”
“เบา
ๆ สิครับพี่ อย่างน้อย ๆ ก็เกรงใจคนอื่นเขาบ้าง” จนกระทั่งบัดเดี๋ยวนี้
เดียวก็ยังควบคุมอารมณ์ได้ดีจนน่าชื่นชม ผิดกับอีกฝ่ายที่โกรธจนจวนจะถล่มร้านให้ราบเป็นผุยผงได้รอมร่อ
“มึงก็ลบคลิปเสียทีดิวะ
จะโยกโย้หาพ่อง?!” ในเมื่อความรู้สึกขยะแขยงต่อสัมผัสจากเพศเดียวกันทำให้การลงมือลงไม้กับอีกฝ่ายเป็นเรื่องยุ่งยาก
สมองพิชญ์จึงจำลองภาพความฉิบหายของอีกฝ่ายในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อช่วยทำให้ชายหนุ่มยังคงประคองสติอยู่ได้
“โธ่พี่พิชญ์ครับ! พี่อย่าเสียงดังสิครับ! พี่ไม่อาย แต่ผมอายนะครับ”
ทำไมพิชญ์จะดูไม่ออกว่าไอ้เด็กเมื่อวานซืนจงใจถ่วงเวลา
แต่เป็นเพราะเขารู้ดีว่า รุ่นน้องที่เพื่อนรักหมายตากำลังดึงเช็งแบบหน้าด้าน ๆ
นี่แหละ ระดับความโกรธของชายหนุ่มจึงพุ่งทะยานสูงลิบลิ่ว “ทำไมกูต้องอาย หน้าตัวเมียอย่างมึงต่างหากล่ะที่ต้องอาย! ไหนโทรศัพท์มึง? เอามา!”
ไม่ทันขาดคำ
รุ่นพี่ปีสามก็พุ่งตัวไถลข้ามโต๊ะด้วยหมายตาโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ตรงหน้ารุ่นน้องเป็นสำคัญ
ทว่าเดียวดันตะครุบอุปกรณ์สื่อสารประจำตัวเอาไว้พร้อม ๆ กับล็อกตัวศิษย์พี่ร่วมสถาบันที่ถลาเข้าใส่จนชะงักค้างกลางอากาศ
กระนั้น สองแรงที่ปะทะเข้ากระทบกระทั่ง กลับยังผลให้เก้าอี้ที่รับน้ำหนักของเด็กวิศวะอยู่นั้นล้มหกคะเมนจนทั้งคู่ลงไปนอนกองทับกันอยู่บนพื้นประหนึ่งฉากลื่นของพระนางในละครหลังข่าว
“เอามือถือมา!” พิชญ์ยังคงมุ่งมั่นกับการกำจัดหลักฐานแห่งความอัปยศ
แต่เพราะมัวเพ่งสมาธิไปกับการไขว่คว้ามือถือตรงสุดปลายแขนของรุ่นน้อง ชายหนุ่มจึงไม่ทันระลึกรู้ว่า
นอกจากตัวเองจะโดนอีกฝ่ายสัมผัสตัวแบบเต็ม ๆ แล้ว การกระดุกกระดิกตัวยุกยิกไปมายังทำให้ท่วงท่าของพวกเขายิ่งดูล่อแหลมไปกันใหญ่
“พี่เจ็บไหมครับ
เป็นอะไรหรือเปล่า?” เดียวแสร้งทำทีเป็นห่วงเป็นใยทว่ากลับยืดแขนหนีไปไกลยิ่งกว่าเดิม
“เอามา!”
“ไม่! จ้างก็ไม่ให้!” เฟรชชี่กระซิบยั่วยุข้างหูรุ่นพี่พลางกระชับท่อนแขนกระหวัดรอบเอวอีกฝ่ายอย่างแนบแน่นจนน่าอึดอัด
“เอามือถือมาให้กูเดี๋ยวนี้นะไอ้สัด!” ต่อให้การขยับเขยื้อนร่างกายจะติดขัดสักเพียงไหน
แต่ความมุ่งมั่นและกำลังใจของเด็กปีสามยังท่วมท้น ยิ่งภายหลังจากที่รู้เช่นเห็นชาติของอีกคนด้วยแล้วล่ะก็
“พี่พิชญ์อย่าโมโหสิครับ
ลุกขึ้นนั่งก่อนเถอะครับ” เดียวคือต้นแบบของสุภาษิตที่ว่า ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคออย่างแท้จริง
เพราะนอกจากจะไม่ช่วยเหลือรุ่นพี่ดังปากว่า เด็กวิศวะยังขยันหาเรื่องเสียอีก “หึ! แขนสั้นขนาดนั้น ชาตินี้จะหยิบถึงไหม” เดียวกระซิบอีกครั้งพลางยิ้มยั่ว
ฝ่ายรุ่นพี่ผู้มีปมข้อสั้นมาตั้งแต่ตัวเท่าเมี่ยงจึงยิ่งเหวี่ยงเต็มพิกัด
“หนอยไอ้ตอแหล!” สิ้นเสียงก่นด่า พิชญ์ก็แยกเขี้ยวแล้วฝังคมฟันลงตรงสะบักหนาเข้าอย่างจัง
ทว่านั่นกลับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของปฏิบัติการณ์ล้างแค้นไอ้เด็กใจหมาเท่านั้น
ยัง...
ของดียังมีอีกเยอะ หลังจากนี้ มึงจะได้สัมผัสฝันร้ายทั้งที่ยังตื่นเต็มตาแน่ ๆ ไอ้เหี้ยเดียว!
“โอ๊ยพี่กัดผมทำไมเนี่ย?!” เป็นเพราะเตรียมใจรับมือกับความเจ็บปวดมาบ้าง
เดียวจึงยังไม่ลืมตัวปล่อยมือจากอีกฝ่าย กระนั้นความพยายามที่จะผลักพิชญ์ให้ผละห่างเป็นเหตุให้ชายหนุ่มเผลอเปิดช่องโหว่จนรุ่นพี่ต่างคณะสามารถเข้าถึงพื้นที่อ่อนไหวได้อย่างไม่น่าให้อภัย
เพราะเมื่อรู้ตัวอีกที กล่องดวงใจก็ถูกคนใจร้ายบิดทวนเข็มนาฬิกาเข้าให้แล้ว “อู๊ยยย!”
“เอามา!” พิชญ์แสยะยิ้มอย่างเลือดเย็น... เขาปล่อยให้เด็กเปรตนี่ปั่นหัวมานานเกินไปแล้ว
“โอ๊ะ
โอ๊ะ อู๊ยยย!!” จากที่เคยเข้าใจว่าความเจ็บปวดครั้งก่อน
ๆ คือที่สุดของแจ้ ทว่าเมื่อของดีที่พ่อให้มาโดนปู้ยี่ปู้ยำทำประทุษร้าย เดียวจึงจำใจมอบของกลางให้รุ่นพี่ไปอย่างไม่มีทางสู้
“รหัสเข้าเครื่อง!!” ฝ่ายพิชญ์ก็จัดเป็นคนจริงเสียเหลือเกิน
เพราะไม่ใช่แค่ใช้วาจาเข้าข่มขู่เท่านั้น หากแต่ชายหนุ่มยังคัดสรรอภินันทนาการด้านสัมผัสมาปรนเปรออีกฝ่ายอย่างเจ็บแสบมิได้ขาด
“ไม่มี”
เฟรชชี่โพล่งคำสารภาพเสียงอ่อย ทว่าคนโตกว่ากลับเข้าใจผิดไปคนละทาง
“รหัสเข้าเครื่อง
เร็ว ๆ อย่าให้กูมีน้ำโห!” เด็กปีสามถามย้ำก่อนจะทำร้ายลูกไก่ในกำมืออย่างทารุณ
“โอ๊ยยย! พอเถอะพี่ ผมจะขาดใจอยู่แล้ว” เดียวครางหงิงอย่างหมดรูป
“ผมไม่มีคลิป อู๊ยยย! โอ๊ยยย! จะขาดแล้วพี่ จะขาดแล้ว!” นาทีนี้ ไม่ใช่แค่ใจเขาเท่านั้นที่ใกล้จะขาดรอน
ๆ ตัวประกันที่โดนเค้นจนตัวอ่อนก็แทบจะปลิดตัวเองออกจากขั้วเช่นกัน
“ห๊ะ?! มึงว่าไงนะ?!” ความรู้สึกด้านลบอันหลากหลายที่ผสมผเสเปปนกันทำให้พิชญ์เลื่อนฝ่ามือบิดกลับด้านทันควันจนเดียวกรีดร้องเสียงดังลั่นร้าน
“โอ๊ยยย! ผมโกหกพี่ ผมไม่มีคลิป พี่ปล่อยผมเท๊อะ!!”
“กูเพื่อนเล่นมึงหรือไง?”
“โอ๊ยยย!!!” จุด ๆ นี้ เด็กปีหนึ่งไม่อาจแยกแยะได้อีกต่อไปแล้วว่า
ความเจ็บปวดทั่วสรรพางค์นั้น ที่แท้มีต้นกำเนิดมาจากจุดใด เพราะทันทีที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
พิชญ์ก็รังแกเดียวน้อยส่งท้ายก่อนจะใช้โขกหัวกับรุ่นน้องจนหน้าหงาย จากนั้นจึงเตะท้องทิ้งท้ายหลังลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง
“ถ้ามึงไม่อยากโดนจองเวรไปตลอดสี่ปี
ก็อย่ามาแหยมกับกูอีก!!” คนโตกว่าหย่อนมือถือชะตาขาดลงในแก้วปริ่มน้ำแล้วย่ำเท้าจากไปอย่างไม่อินังขังขอบสายตาใครต่อใครที่จับจ้องพวกเขาไม่วางเว้น
$$$$$$$$
“กูให้เวลามึงพักสิบนาทีนะไอ้ชาย
อย่าให้กูต้องเดินไปตาม!”
ใครเลยจะคิดว่าสถานะที่แปรเปลี่ยนกะทันหันจะทำให้ผึ้งร่นขั้นความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับเพื่อนหน้าเข่าให้เข้าใกล้ระบบเจ้าขุนมูลนายกับข้าทาสเข้าไปทุกขณะจิต
ทว่านั่นกลับไม่ทำให้ชายชาตรีอารมณ์เสียเลยสักนิด กลับกัน ชายหนุ่มยังคงก้มหน้าก้มตาแบกลังขนาดใหญ่เข้าไปเก็บด้านหลังร้านตามคำสั่งของปาณัธอย่างว่าง่าย
ก่อนจะวกกลับเข้ามานั่งพักเหนื่อยในครัวอันเป็นทางผ่านในท้ายที่สุด
“เหนื่อยไหมพี่?”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ผู้ช่วยพ่อครัวย้ายของสดทั้งหลายมาเตรียมใกล้ ๆ ประตู แม้เจ้าตัวจะรู้อยู่เต็มอกว่าการทำแบบนี้
เพิ่มขั้นตอนแถมยังสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุแท้ ๆ ก็ตาม
สายเปย์ควักผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงยีนส์ขึ้นซับเหงื่ออย่างเบามือพลางตอบ
“ไม่ค่อยเหนื่อยหรอกยิม มันร้อนมากกว่า”
ทันทีที่เห็นรุ่นพี่ต่างคณะเริ่มกระพือคอเสื้อยืด
คนฟังก็รีบเช็ดมือจนสะอาดแล้วจึงหมุนตัวเดินไปหยิบสิ่งของบางอย่างมาส่งให้อีกฝ่าย “อ่ะนี่พี่ชาย
พี่นั่งจำเมนูไปพลาง ๆ นะครับ”
“ขอบใจนะ”
ชายชาตรียิ้มรับไมตรีของอีกฝ่ายที่มาในรูปของเมนูอาหาร กับน้ำเย็นเจี๊ยบหนึ่งขวด
“พี่ชายต้องจำเมนูทั้งหมดให้ได้จริง
ๆ เหรอยิม?” หลังจากเติมความสดชื่นให้ตัวเองเป็นที่เรียบร้อย
เด็กบริหารก็โพล่งขึ้นด้วยความสงสัย อันที่จริง
ชายหนุ่มไม่ได้มีปัญหากับการท่องจำสักเท่าไร แต่การจดจำรายการอาหารยาวเหยียดเต็มหน้าภายในระยะเวลาอันสั้น
มันน่าท้อใจน้อยเสียที่ไหนล่ะ
“ครับ
ถ้าไม่จำเป็น เฮียจะไม่ให้รับออเดอร์ตามสั่งนอกเมนู เพราะมันจะคิดเงินยาก”
“เมื่อกี๊พี่ผึ้งก็พูดแบบนี้เหมือนกัน
แต่พี่ชายว่ามันไม่น่าจะยากเลยนะ ก็แค่คิดราคาไปตามต้นทุนจริง ๆ เท่านั้นเอง” สายเปย์แย้งตามความเข้าใจเดิม
ๆ
“อีตอนคิดเงินน่ะมันไม่ยากร้อก
แต่คนทำนี่สิ มีสี่มือสี่ตีนแค่นี้จะหวังให้พวกกูไปเสาะหาของสดนอกเมนูที่ไหนมาทำให้กินกัน”
เจ้าของร่างเท่ากระปุกตั้งฉ่ายที่เพิ่งเดินส่ายอาด ๆ เข้ามาทางประตูด้านหลังครัวตอบข้อสงสัยของชายชาตรีได้อย่างจะแจ้ง
แถมพี่แกยังยกตัวอย่างทิ้งท้ายเสริมเข้าให้แม้จะไม่มีใครร้องขออีกต่างหาก “เกิดลูกค้าสั่งแกงป่าจู๋หมาย่าง
แล้วอีเจ๊มันบ้าจี้รับออเดอร์มาง่าย ๆ กูกับไอ้ยิมไม่ต้องไปวิ่งไล่จับหมาข้าง ๆ
ร้านมาเจื๋อนแล้วแกงแต่จู๋ให้ลูกค้าแดกหรือไง?”
“...เอ่อ...”
คำถามเหนือความคาดฝันดังกล่าวทำเอาชายหนุ่มหน้าเข่าใบ้แดกไปหลายวิ
ฝ่ายบุคคลที่สามก็ปรายหางตาขีดเดียวไปมองหน้ายิมอย่างประหลาดใจ
“อ้าวไอ้ยิม! แล้วนั่นไปนั่งทำอะไรตรงนั้น?
ผักน่ะหั่นเสร็จหรือยังมึง?”
“เสร็จแล้วครับ”
เฟรชชี่หน้าหนวดตอบเรียบ ๆ โดยที่สองมือยังไม่หยุดปอกกระเทียมเลยสักวินาที
ฝ่ายชายชาตรีที่ยังตื่นตะลึงกับข้อมูลล่าสุดก็ค่อย ๆ
ชะโงกหน้าเข้าใกล้รุ่นน้องแล้วป้องปากเอ่ยข้อข้องใจของตนเบา ๆ
“เคยมีคนสั่งแกงป่าไอ้นั่นหมาย่างด้วยเหรอยิม?”
สีหน้าประดักประเดิดของรุ่นพี่ทำเอายิมคลี่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะส่ายหัวป้อย ๆ แทนการปฏิเสธ
“ไอ้นี่ใคร?
เพื่อนมึงเหรอยิม?” ชายผู้มาใหม่กระซิบเสียงแผ่วขณะยื่นหน้าเข้าร่วมสุมหัวด้วยอีกหน่อจนสองหนุ่มถึงกับผงะ
“รุ่นพี่ผมชื่อพี่ชายครับ
เขาจะมาช่วยพี่ผึ้งเสิร์ฟ”
“อ๋อเหรอ
ตอนแรกกูนึกว่าพวกรับซื้อของเก่าเข้ามาขนขวดน้ำปลา ที่แท้ก็เด็กใหม่ที่อีเจ๊บอกนี่เอง”
กระปุกตั้งฉ่ายนิรนามยิ้มร้ายก่อนจะทำการข่มน้องใหม่ด้วยวัยวุฒิทันที “เฮ่ย! มึงอ่ะ หน้าตาเชื่องกว่าที่กูคิดไว้เยอะเลยนะ”
“พี่ชาย
นี่พี่โจครับ พี่โจเป็นพ่อครัวของร้านนี้” ยิมถอนหายใจหน่าย ๆ พลางมองเมินคนมาใหม่ผู้มีนิสัยไม่รู้จักโตด้วยไม่อยากรู้สึกรำคาญสายตาไปมากกว่านี้
“กูชื่อโจตู๋
งานอดิเรกกูคือชอบดูนมเด็ก จำไว้” โจมองข่มมือใหม่แกะกล่องของร้านจนชายชาตรีเริ่มหงอ
“สวัสดีครับพี่โจตู๋
ผมชื่อชาย ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
“ในฐานะที่มึงเป็นรุ่นพี่ไอ้ยิม
กูจะบอกเคล็ดลับในการเอาตัวรอดในร้านนี้ให้ สนใจมะ?”
“สนใจครับ
เคล็ดลับอะไรเหรอครับพี่โจตู๋?”
“อะไรที่อีเจ๊มันสอนน่ะ
มึงต้องหัดจำให้ขึ้นใจ เพราะอีเจ๊มันความอดทนต่ำแต่ความระยำสูง ขืนมึงซื่อบื้อเบ๊อะบ๊ะจนมันต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไช
มึงต้องได้โดนมันตัดหัวเสียบประจานหน้าร้านเหมือนเด็กเสิร์ฟคนก่อน ๆ แน่ ๆ ”
“เหรอครับ?!” เด็กบริหารหน้าเข่าเริ่มลุกลี้ลุกลนเพราะนึกขึ้นได้ว่า
เมื่อกี๊ตอนที่ปาณัธสอนงานให้นั้น ตนได้ยินเจ้าหล่อนเผลอสบถว่า ‘สมองหมาปัญญาควาย’ อยู่หลายรอบด้วยกัน
“อ้อ! แล้วก็อย่าสะเออะใช้ตีนเขี่ยออเดอร์เชียวนะ
ถ้ากูอ่านลายมือมึงไม่ออก กูจะตัดกระเจี๊ยวหมามาต้มให้มึงแดกทั้งยวงเลยคอยดู!”
“ผมจะตั้งใจเขียนออเดอร์ให้สวย
ๆ เลยครับ” ชายชาตรีรับคำแข็งขันทว่าแววตากลับหวาดหวั่นเกินควบคุม...
พี่ผึ้งจะเอาเขาไว้ไหม? เขายิ่งชอบสงสัยในเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ด้วย
“ดีมากไอ้เด็กใหม่
พี่มึงนี่ว่าง่ายฉิบหายเลยว่ะยิม คึ ๆๆ ” เมื่อแกล้งแหย่เด็กใหม่จนพอใจ โจก็ตบบ่าผู้ช่วยแปะ
ๆ พลางสำรอกเสียงหัวเราะอย่างครึกครื้นรื่นเริง
“เฮ่อ”
ยิมถอนหายใจพลางปัดมือพ่อครัวใหญ่แล้วเดินอ้อมออกไปฉุดข้อมือรุ่นพี่ให้ตามหลังกันออกไป
“พี่ชายไม่ต้องกลัวนะครับ พี่ชายทำได้ เชื่อผมสิ” หลังจากเดินพ้นเสียงหัวร่อของพ่อครัวที่ดังไล่หลังมาแล้ว
เฟรชชี่ก็รีบเติมขวัญและกำลังใจคืนให้สายเปย์หน้าเข่าโดยไม่รอช้า
“จริงเหรอยิม?
พี่ชายจะทำได้จริง ๆ น่ะเหรอ?” คนพูดเอ่ยพลางชำเลืองมองเมนูในมือสลับกับหน้ารุ่นน้องด้วยความลังเลใจ
“ต้องทำได้สิ
ผมว่าพี่ชายต้องทำได้แน่ ๆ ครับ”
“...”
เด็กปีสามถอนหายใจยาวเหยียดอย่างหนักอก
“หัวใจของงานบริการคือการเอาใจใส่ทุก
ๆ รายละเอียดของลูกค้า” ยิมเสนอความคิดเห็นทันทีเมื่อเห็นว่ารุ่นพี่นิ่งฟัง “ลองแบบนี้ก็ได้ครับ
พี่ชายนึกเสียว่าลูกค้าเป็นคนในครอบครัวหรือเป็นเพื่อนพี่ก็ได้ พอพี่เห็นพวกเขาเป็นคนที่พี่รัก
พี่ชายก็จะอยากดูแลเขาให้ดี ๆ ใช่ไหมล่ะครับ?”
“อืม
แต่พี่ชายขอเปลี่ยนเป็นน้องเดียวแทนได้ไหมยิม?”
“หืม?! ทำไมล่ะพี่?” น่าแปลกที่รอบนี้
ชื่อของเพื่อนซี้ทำเอารุ่นน้องหน้าหนวดเผลอเลิกคิ้วจ้องหน้าอีกฝ่ายตาเขม็ง ทว่าชายชาตรีกลับเข้าใจว่าคู่สนทนากำลังรอฟังเหตุผลสนับสนุนไปเสียได้
“ขืนให้พี่ชายคิดว่าต้องเทคแคร์พี่ผึ้ง
พี่ชายคงจะลนจนทำผิดทำถูกแน่ ๆ ”
“แล้วคุณหญิงแม่กับคุณชายพ่อพี่ล่ะครับ
ทำไมไม่นึกถึงพวกท่าน? แบบนั้นไม่เวิร์คเหรอ?”
“หึ!” รุ่นพี่หน้าเข่าส่ายหัวน้อย ๆ พลางอมยิ้มกับตัวเอง
“เป็นน้องเดียวนี่แหละดีแล้ว พี่ชายจะได้มีกำลังใจในการทำงานมาก ๆ ไง”
“เอา
ๆ พี่จะนึกถึงใครก็แล้วแต่พี่เถอะครับ” ยิมตัดบทเสียงห้วนเพราะจนใจกับเหตุผลของคนโตกว่า...
ช่างเถอะ ถ้าพี่ชายคิดถึงไอ้เดียวแล้วทำงานได้
ก็ดีกว่าปล่อยให้พี่ผึ้งด่าพี่ชายจนร้องไห้ล่ะวะ!
“ขอบคุณมากนะยิม
พี่ชายจะเอาใจลูกค้าทุก ๆ คนอย่างดีที่สุดเหมือนกับที่พี่ชายอยากทำให้น้องเดียวเลยล่ะ”
เสียงตะโกนร้องเรียกของปาณัธที่ดังอยู่ไม่ไกลทำเอาชายชาตรีสะดุ้งโหยง “พี่ชายไปก่อนนะ
เดี๋ยวพี่ผึ้งจะโมโห”
เด็กปีหนึ่งมองตามแผ่นหลังที่ค่อย
ๆ เดินห่างออกไปด้วยสายตาสับสน
เป็นห่วงน่ะใช่แน่
ๆ แต่ความรู้สึกอื่น ๆ ที่เหลือ เขายังไม่รู้แน่ชัด แถมอีตอนเดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง
ใบหน้าหนวด ๆ นั่นก็ยิ่งยุ่งเหยิงไปกันใหญ่ภายหลังจากโดนพ่อครัวปากไวแซะเข้าให้อีกดอก
“ฮั่นน่อว
นั่นแฟนมึงเรอะ?”
“เฮ่อออ!” ยิมถอนหายใจอย่างหงุดหงิดพลางปรายตามองโจนิ่ง
ๆ โดยไม่โต้ตอบอะไร กระนั้นพ่อครัวใหญ่กลับหัวเราะลั่นก่อนจะหันกลับไปก้มหน้าก้มตาลับมีดด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
แล้วเริ่มร้องเพลงยั่วเย้าลูกมือเป็นพัก ๆ
“...พกเมียมาด้วยเหรอ
ฮะ ♫♪ พกเมีย มาด้วยเหรอเนี่ย ♪ พกเมียมาด้วยเหรอ ชะ พกเมีย
มาด้วยเหรอเนี่ย ♩ ทำงานแค่เนี้ย ต้องพกเมียมาด้วย ♫...”
$$$$$$$$
“รบกวนขออีกทีได้ไหมครับ?”
“ผัดกระเฉดไฟแดง
ยำปลาสลิด หมูแดดเดียว ต้มซุปเปอร์ตีนล้วน แล้วก็ข้าวต้มสี่ถ้วย... ต้มซุปเปอร์นี่ขอรสพี่ก้อยนะ”
“ผัดกระเฉดไฟแดง
ยำปลาสลิดแล้วก็อะไรนะครับ?” เป็นเพราะเห็นเด็กเสิร์ฟร่างยักษ์ถามด้วยน้ำเสียงสุภาพขณะจดรายการอาหารอย่างตั้งอกตั้งใจ
คุณลูกค้าจึงให้ความร่วมมืออีกครั้งแบบจำยอม
“หมูแดดเดียว
ต้มซุปเปอร์ตีนล้วนรสพี่ก้อย กับข้าวต้มสี่ถ้วย”
“...ซุป...เปอร์...ตีน...ล้...
รสอะไรนะครับ?”
“รสแบบที่พี่ก้อยกินน่ะน้อง
อะไรกัน นี่น้องไม่รู้จักเหรอ?” เจ้าหล่อนเริ่มโวยวายหลังจากต้องปากเปียกปากแฉะกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“พี่ก้อยสวัสดีค่ะ! มีอะไรให้เจ๊ช่วยดูแลไหมคะ?” ปาณัธรีบโฉบเข้ามากู้สถานการณ์อย่างทันท่วงที
“ก็น้องคนนี้สิเจ๊
ขอให้พี่ทวนออเดอร์หลายรอบมากทั้ง ๆ ที่พี่สั่งแต่อาหารประจำทั้งนั้น”
“เจ๊ต้องขอโทษด้วยค่ะพี่ก้อย
ขอเจ๊ทวนออเดอร์ของพี่ก้อยให้เองแล้วกันนะคะ” ผึ้งมองจิกเพื่อนสนิทแทนการส่งซิกให้อีกฝ่ายคอยตั้งใจฟัง
“ผัดผักกระเฉดไฟแดง ยำปลาสลิด หมูแดดเดียว ต้มซุปเปอร์ตีนล้วน ข้าวต้มสี่ถ้วย
แล้วก็น้ำเปล่าน้ำแข็งสองแก้ว ยำกับต้มซุปเปอร์นี่ต้องเปรี้ยว ๆ แซ่บ ๆ ถูกต้องไหมคะ?”
ลูกค้าประจำยิ้มรับด้วยความพึงพอใจ
“รอบนี้พี่ขอเปลี่ยนจากน้ำเปล่าเป็นโค้กสองขวดแล้วกันค่ะ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ
เดี๋ยวเจ๊ให้เด็กจัดการให้เลยนะคะ” ปาณัธโบกมือให้สายเปย์ไปทำงานต่อ
ส่วนเจ้าหล่อนก็ถือโอกาสนั้นพูดคุยปรับความเข้าใจกับลูกค้าประจำทันที “พอดีน้องมันเพิ่งมาทำงานวันแรกเลยยังเก้
ๆ กัง ๆ อยู่บ้างน่ะค่ะ ไว้คราวหน้าที่พี่ก้อยแวะมา เจ๊รับรองว่าน้องมันจะต้องบริการเจ๊ได้ถูกใจกว่าใครแน่
ๆ เลยนะคะ เดี๋ยวเจ๊ขอไปดูโต๊ะอื่นก่อนนะคะ ถ้าพี่ก้อยอยากได้อะไรเพิ่มเติม เรียกหาเจ๊ได้ตลอดนะคะ”
“พี่ชาย
เป็นไงมั่ง ไหวป่ะ?” ยิมชะโงกหน้าออกมาจากช่องส่งอาหารเพื่อถามไถ่อาการของเด็กเสิร์ฟคนใหม่หลังจากอีกฝ่ายเพิ่งวางกระดาษจดรายการอาหารล่าสุดลงในตะกร้ารับออเดอร์
“ไหวสิ
เดินไปเดินมาแค่นี้เอง สบายมาก... ยิมล่ะ เหนื่อยไหม?” ชายชาตรีคลี่ยิ้มบาง ๆ
พลางตอบสั้น ๆ ตามที่คิด... จะว่าไปงานเด็กเสิร์ฟก็ไม่เหนื่อยอะไร
แค่จุกจิกแล้วก็ต้องเดินและยืนนานกว่าปกติเท่านั้น อันที่จริง ตลอดสองปีที่ผ่านมา
การเดินจ้ำไปสอดส่องบรรดาน้อง ๆ ที่เขาแอบหมายตาระหว่างช่วงเวลาพักก็ช่วยทำให้กล้ามขาของเขารับมือกับงานนี้ได้อย่างสบาย
ๆ เลยทีเดียว
“ไม่เหนื่อยหรอกพี่
ผมชินแล้ว” เด็กวิศวะยักไหล่ก่อนจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องสำคัญ “ถ้าหิวน้ำ
พี่ก็แวะเข้ามากินในครัวกินได้นะ” ยิมทิ้งท้ายด้วยการพลางพยักเพยิดไปยังตู้แช่ใกล้
ๆ เพื่อชักชวนอีกฝ่ายกลาย ๆ ชายชาตรียิ้มตาหยีพลางแบ่งรับแบ่งสู้เพราะไม่อยากละทิ้งงานจนโดนปาณัธตัดหัวเสียบประจานเหมือนพนักงานเสิร์ฟคนก่อน
ๆ
“ไว้ไม่มีลูกค้าเมื่อไรพี่ชายจะเข้าไปนะ”
“ไอ้ชาย!” สิ้นเสียงตวาดแหวของตัวอ่อนมนุษย์ป้า วงสนทนาก็แตกกระเจิง
กระนั้น จังหวะที่ยิมกำลังจะหมุนตัวกลับไปทำงาน ผึ้งก็ส่งสายตาพิฆาตไปกำราบผู้ช่วยพ่อครัวที่แอบอู้ได้ทันการณ์พอดิบพอดี
ฝ่ายชายชาตรีผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ใด ๆ ก็ได้แต่ยืนฉีกยิ้มแห้ง ๆ ส่งให้เจ้านายอย่างไร้ทางสู้
“กูบอกให้มึงรีบรับออเดอร์ไม่ได้ขอให้คัดลายมือประกวด!”
“แต่พี่โจตู๋บอกว่าถ้าพี่โจตู๋อ่านลายมือชายไม่ออก
พี่โจตู๋จะต้มไอ้นั่นหมาให้ชายกินนี่ครับพี่ผึ้ง”
“หนอยไอ้โจ!”
“♪ เราชาวนาอยู่กับควาย พอหมดงานไถ
เราจูงฝูงควายคืนบ้าน ฮึ่ย ๆๆๆ ♫ พออาบน้ำควายสำราญ แล้วเสร็จการงาน
เบิกบานร้องเพลงรำวง ช่ะ ๆๆ ช่า ♫♪...” เสียงก่นด่าพ่อครัวของปาณัธหาได้ทำให้เจ้าของชื่อเจ็บปวดทรมานไม่
ซ้ำร้ายพ่อครัวใหญ่ยังมีหน้าโก่งคอร้องเพลงเสียงดังอย่างสบายใจเฉิบไปเสียอีก
ในเมื่อไม่อาจตำหนิคนเก่าคนแก่ของร้านได้
ปาณัธจึงหันไปกำชับพนักงานคนใหม่แทน “มึงเขียนแค่ให้อ่านออกก็พอชาย
รับออเดอร์ต้องเร็วและแม่นแต่ไม่ต้องบรรจง แล้วก็ต้องหัดจำลูกค้าให้ได้
ยิ่งโต๊ะไหนเป็นลูกค้าประจำ มึงยิ่งต้องจำออเดอร์ จำหน้า จำชื่อ จำอะไรที่ลูกค้าชอบให้ดี
ๆ เข้าใจไหม?”
“ครับ” แม้จะเพิ่งรับปากไปหยก
ๆ แต่สายเปย์ก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก “แล้วชายจะรู้ได้ยังไงว่าไหนลูกค้าประจำ ไหนลูกค้าใหม่อ่ะครับพี่ผึ้ง?”
“เดี๋ยวกูจะคอยบอกให้ว่าโต๊ะไหนลูกค้าประจำ
แต่ตอนนี้มึงเอานี่ไปเสิรฟ์โต๊ะสิบก่อน” ผึ้งบุ้ยใบ้ไปยังชามต้มยำควันฉุยที่ยิมเพิ่งนำมาวางตรงช่องส่งอาหาร
“ครับ”
“เดี๋ยว!” ปาณัธรั้งข้อมือเพื่อนหน้าเข่าเอาไว้พลางมองกดดันอีกฝ่าย
“โต๊ะสิบอยู่ตรงไหนไอ้ชาย?”
“อยู่หน้าห้องเก็บเงินฝั่งขวาครับ”
“มึงนับจากทางไหน?
จากออฟฟิศเฮียหรือหันหน้าเข้าร้าน?” ยิ่งเห็นชายชาตรีอึกอัก ตัวอ่อนมนุษย์ป้าก็ยิ่งจับจ้องมองเหยื่อด้วยสายตาดุดันไปกันใหญ่
“หันหน้าเข้าร้านครับ”
“ผิด!” เจ๊ใหญ่ของร้านเฉลยคำตอบพร้อมแจกรางวัลเป็นมะเหงกหนึ่งหน่วย
“โอ๊ย!” แม้ก่อนหน้านี้วีรกรรมข่มเหงพิชญ์จนเป็นนิสัยจะทำให้เด็กบริหารหน้าเข่าสำเหนียกได้ว่า
ปาณัธถนัดใช้กำลังพอ ๆ กับการพูดจาเชือดเฉือน ทว่านี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขาได้รับความรักจากหญิงสาวแบบถึงลูกถึงคน
นั่นจึงทำให้ผึ้งกลายเป็นบุคคลอันตรายหมายเลขหนึ่งในโลกสีรุ้งสุดฟรุ้งฟริ้งของชายชาตรีไปโดยไร้คู่แข่ง
“ฝั่งขวาจากหน้าออฟฟิศไอ้เฮียมันต่างหากล่ะ! กูบอกกี่รอบแล้วว่าโต๊ะมันนับไล่ตามเข็มนาฬิกา จนป่านนี้มึงยังจำไม่ได้อีกเหรอ?!”
“โธ่พี่ผึ้ง!
ก็เมื่อกี๊พี่ผึ้งทำชายตื่นเต้นนี่ครับ!” ชายชาตรีอธิบายตัวเองอย่างว่องไวเพราะไม่อยากให้เจ้านายแอบตัดคะแนนในการทำงานลงอย่างไร้เหตุผล
“ถึงตื่นเต้นมึงก็ห้ามตอบผิด!”
“แต...”
“ชาย มึงไปเสิร์ฟเถอะ!
เดี๋ยวกับข้าวเย็นหมด”
เฮียคองที่ถูกเสียงโวยวายของหญิงสาวเพียงคนเดียวของร้านสะกดให้เดินออกมาจากออฟฟิศรับหน้าที่ห้ามมวยด้วยความสมัครใจ...
ขืนปล่อยให้ผึ้งตะเบ็งนานกว่านี้ เห็นทีว่าทั้งกิจการ ทั้งเส้นเสียงของคนรักคงจะพังพินาศไปก่อนแน่
ๆ
“ครับคยองโอปป้า”
ท่าทางเก้ ๆ
กัง ๆ ของลูกน้องเบอร์ล่าสุดทำให้คยองโอปป้าไม่ลืมเตือนสติชายชาตรีอีกครั้ง “ดี ๆ
ค่อย ๆ เดิน”
“ครับ”
แม้ทุก ๆ
ครั้ง ชายชาตรีจะบรรจงประคองถาดอาหารไปเสิร์ฟด้วยความมุ่งมั่นขนาดไหน แต่จนถึงเดี๋ยวนี้
ปาณัธก็ยังหายใจได้ไม่ทั่วท้องอยู่ดี สายตาที่ส่อเค้าความอาทรระคนหวั่นใจของคนรักที่เฝ้ามองลูกน้องตัวใหญ่ทำให้เฮียคองเปรยขึ้นเบา
ๆ
“เป็นห่วงน้องมันล่ะสิ”
“ถ้าใครได้เห็นมันเอาแต่ไล่ตามจีบผู้ชายกับผลาญเงินพ่อแม่ไปวัน
ๆ มาตลอดแบบผึ้ง เป็นใครก็ต้องห่วง”
“งั้นผึ้งก็พูดดี
ๆ กับน้องสิ ดุแบบนี้เดี๋ยวไอ้ชายมันจะยิ่งฝ่อนะ”
“ไม่ได้หรอก
เดี๋ยวหมาแถวนี้จะยิ่งลามปาม ใช่ไหมไอ้โจ?” ปาณัธชิ่งลูกกระทบพ่อครัวตัวแสบที่ก่อกวนเพื่อนสนิทหล่อนจนได้เรื่อง
ฝ่ายจำเลยผู้ถูกพาดพิงกลับแลบลิ้นปลิ้นตายั่วเย้าอย่างไม่มีสลด
“แต่เฮียว่าชายมันก็ใช้ได้นะ
แถมยังช่างเอาอกเอาใจลูกค้าดีกว่าเด็กคนก่อน ๆ เสียอีก ตั้งแต่เปิดร้านมาวันนี้ เฮียยังไม่เห็นมันนั่งพักเลยสักครั้ง”
คยองโอปป้าแสร้งทำมองไม่เห็นอาการลิงหลอกเจ้าของพ่อครัวใหญ่เพราะต้องการปิดประเด็นเรื่องชายชาตรีกับคนรักโดยเร็วที่สุด
ถึงอย่างนั้น ความปรารถนาดีของเจ้าของร้านกลับไม่ได้ทำให้คนปากร้ายใจดีเปลี่ยนท่าทีได้ว่องไวดั่งใจนึก
“แหม! ไม่ต้องรีบอวยมันนักก็ได้เฮีย นี่เพิ่งวันแรกเอง”
ปาณัธสบสายตากับคู่สนทนาอย่างจริงจัง “ไว้มันเอาตัวรอดจากวงเหล้าได้เมื่อไร ถึงตอนนั้นแล้วถ้าเฮียจะยกมันขึ้นหิ้ง
ผึ้งจะไม่ด่าเฮียสักคำ”
สิ่งที่คนรักกล่าวถึงทำให้คองอดเห็นด้วยไม่ได้...
ใช่ นับว่าไอ้ชายมันโชคดีที่เริ่มงานวันนี้ วันที่ไม่มีตัวปัญหามาปักหลักคอยสร้างความวุ่นวาย
สงสัยว่าพวกเขาคงต้องอาศัยเวลาในการประเมินพนักงานคนใหม่อย่างรอบคอบเสียละมั้ง
“ถ้าเฮียยกชายมันขึ้นหิ้งแล้วกราบไหว้จริง
ๆ ผึ้งจะไม่ด่าเฮียสักคำ แต่ผึ้งจะชำเราเฮียให้ชำรุดใช่ไหมล่ะ?”
“เสื่อมว่ะเฮีย!” หญิงสาวทิ้งท้ายเสียงแข็งก่อนจะเดินหนีไป ทว่าอีกฝ่ายกลับมองตามด้วยรอยยิ้มกว้าง
เพราะหูแดง ๆ นั่น ต่อให้อยู่ห่างกันแค่ไหน มันก็ยังโดดเด่นเสมอ
$$$$$$$$
“ทำงานวันแรกเป็นไงมั่งพี่?”
ยิมถามเพื่อนร่วมห้องที่หายเข้าไปในห้องน้ำอยู่นานสองนาน
“หูย สนุกมาก”
ชายชาตรีเช็ดผมพลางยิ้มเจื่อนขณะสารภาพความผิดหลายต่อหลายกระทงของตัวเอง
“ถ้าไม่นับตอนโดนพี่ผึ้งดุตอนทำจานหล่น ตอนรับออเดอร์ช้า แล้วก็ตอนทำความสะอาดไม่ได้เรื่องอ่ะนะ”
“สนุกแน่เหรอพี่?
ประชดเปล่าเนี่ย?” ยิมมั่นใจว่าต้องไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวแน่ ๆ ที่คิดแบบนี้
ยิ่งเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายมีไลฟ์สไตล์ดั้งเดิมแตกต่างจากประสบการณ์ในค่ำคืนนี้อย่างลิบลับด้วยแล้ว
“ไม่นะ มันสนุกจริง
ๆ เกิดมาพี่ชายก็เพิ่งเคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นประโยชน์กับเพื่อนมนุษย์สุด ๆ เอาวันนี้นี่แหละ”
“ยังไงวะพี่?”
ในฐานะของผู้ที่ชักนำชายชาตรีเข้าสู่วงการร้านข้าวต้ม
ชายหนุ่มจึงต้องการฟังเหตุผลแบบเจาะลึกกว่าคนอื่นเป็นธรรมดา
“ก็ตอนพี่ชายเอากับข้างไปเสิร์ฟให้พวกเขาถึงโต๊ะ
ทุกคนก็ยิ้มให้พี่ชายแล้วก็กินอย่างเอร็ดอร่อย เห็นแบบนั้นแล้ว พี่ชายเลยมีความสุขตามไปด้วยทุกทีเลยล่ะ”
สายเปย์พรั่งพรูด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แววตาระยิบระยับ “แล้วยิมล่ะ ยิมไม่แฮปปี้เลยเหรอเวลาที่เห็นคนอื่นกินอาหารที่ยิมเตรียมอย่างตั้งอกตั้งใจน่ะ?”
ชายชาตรียิงคำถามพลางเอื้อมมือหยิบรีโมทแอร์ไปพร้อม ๆ กัน
“แฮปปี้สิครับ”
เด็กวิศวะเองตอบสวนทันควันหากแต่รีบฉวยอีกด้านของรีโมทเอาไว้ “เปิดพัดลมก็ได้พี่
คืนนี้ไม่ร้อนเท่าไร”
“คืนนี้เปิดแอร์นอนไม่ได้เหรอยิม
นะ... ถือว่าให้รางวัลกับน้องใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานวันแรกไง”
“แต่แอร์มันกินไฟมากนะพี่
ถ้าพี่เปิดแอร์นอนทุกคืน ๆ สิ้นเดือนเงินผมไม่เหลือแน่” แม้สายตาวิ้ง ๆ เป็นประกายกับใบหน้าแอ๊บแบ๊วที่ชวนตลกจะไม่ได้ทำให้รุ่นน้องผู้ขัดสนใจอ่อน
ทว่าสิ่งที่ชายชาตรีหยิบยื่นให้กับเฟรชชี่ผู้มัธยัสถ์กลับทำให้ยิมเผอเรอไปได้พักหนึ่ง
“งั้นเราหารกันทุกอย่างเลยดีไหม
ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าห้อง ยิมจะได้ไม่ต้องกังวลไง” ไม่ทันขาดคำ คนโตกว่าก็อาศัยช่วงชุลมุนกดเปิดแอร์โดยไม่รอมติเห็นชอบ
“เฮ่ยพี่!”
“เปิด ๆ ปิด ๆ
แอร์ติด ๆ กันมันเปลืองไฟกว่าเปิดไว้เฉย ๆ นะยิม เชื่อพี่สิ” เด็กบริหารแสร้งตีหน้าจริงจังทั้ง
ๆ ที่กำลังพูดจาส่งเดชอยู่แท้ ๆ และเมื่อเห็นว่าเจ้าของห้องไม่ได้ประท้วงอะไร ชายชาตรีก็ทิ้งตัวใส่ฟูกฝั่งตัวเองทันที
ยิมส่ายหัวพลางมองอีกฝ่ายอย่างปลง
ๆ ก่อนจะเดินไปปิดไฟโดยไม่ลืมแสดงเจตนารมย์ล่วงหน้า “ผมยอมพี่คืนนี้คืนเดียวนะพี่ชาย”
“อือ... คืนเดียว
คืนเดียว”
“ถ้าพี่งอแง
พรุ่งนี้ผมจะเอารีโมทแอร์ไปซ่อนนะครับ”
“อือ ๆ ซ่อน ๆ
” หลังถูกอำนาจของที่นอนครอบงำจนเปลือกตาปรือแทบไม่ขึ้น ชายชาตรีก็ครางรับส่ง ๆ
เป็นนกเอี้ยงโดนยาสลบ
“พี่ชาย”
“...”
“ถ้าทำอะไรเองไม่ไหว
เรียกผมได้นะพี่ ไม่ต้องเกรงใจ”
“...”
“ผมขอให้พี่สนุกแบบนี้ไปทุก
ๆ วันนะครับ”
“...” เสียงกรนเบา
ๆ ทำให้ยิมเดินกลับไปเปิดไฟเพื่อตั้งเวลาปิดแอร์ แถมยังปรับอุณหภูมิให้สูงยิ่งกว่าระดับประหยัดไฟไปอีกหลายองศา
จากนั้นจึงเปิดพัดลมจ่อให้คนนอนเพื่อความสบายใจของตัวเอง และเพื่อระบายความรู้สึกคันยุกยิกในอกให้เบาบางลง...
มีอย่างที่ไหน เรารึอุตส่าห์หวังดี ดันมาหลับใส่กันเสียได้ พี่ชายนะพี่ชาย อย่าหวังว่าผมจะยอมให้พี่เปิดแอร์นอนอีกเลย!
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
ความในใจทิ้งท้ายตามสไตล์ชายชิค
ๆ :
ชายมีคุณพ่อเป็นฮีโร่
มีคุณแม่เป็นไอดอล
ชายรักพวกท่านที่สุด และชายจะเป็นแบบพวกท่านให้ได้
เริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการมีเรือนร่างบึกบึนสมชาย
แต่มีอุปนิสัยใจคอนุ่มนิ่มบอบบางน่าทะนุถนอมดั่งหญิงสาว/ ชม้ายชายตา
$$$$<|
TBC |>$$$$