The 13th Glance
ข้อดีของการเลือกขับรถติดตามเบาะแสที่เพียงออหยิบยื่นให้
คือ ความมั่นใจว่าตนกำลังแกะรอยอังคารได้ถูกต้องและแม่นยำ กระนั้นสัตยากลับไม่อาจผลีผลามทำอุกอาจตามใจ
เพราะแม้รถตู้แช่คันดังกล่าวจะเลี้ยวหายเข้าไปจอดด้านหลังของอาคารพาณิชย์หลังหนึ่งได้พักใหญ่
ๆ แต่นายตำรวจยังคงต้องเฝ้ารอให้กลุ่มพนักงานขนส่งประจำโรงน้ำแข็งสลายตัวกันเสียก่อน
เพราะการเดินดุ่ม ๆ ฝ่าเข้าไปในพื้นที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นจะทำให้เรื่องทั้งหมดยิ่งยุ่งเหยิงเกินควบคุม
จริงอยู่ที่แม้การรอคอยจะชวนให้รู้สึกว้าวุ่นขุ่นใจ
ทว่าในทางกลับกัน
สัตยาเองก็มีเวลาประเมินสถานการณ์ควบคู่ไปกับวางแผนช่วยเหลืออังคารเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
ซึ่งถ้าเขาจำไม่ผิด ด้านหลังของตึกแถวทั้งหมดนี้น่าจะเป็นแม่น้ำ ซึ่งการที่โรงน้ำแข็งถูกซุกซ่อนอยู่ด้านใน
ทำให้เส้นทางเดินรถหลักถูกจำกัดให้เหลือเพียงช่องทางเดียว แน่นอนว่า หากธีทัตเลือกสถานที่แห่งนี้เป็นฐานที่มั่น
แต้มต่อในการหลบหนีของอีกฝ่ายย่อมมีไม่มาก
อย่างไรก็ตาม
หากธีทัตพาอังคารไปซุกซ่อนอยู่ด้านในโรงน้ำแข็งจริงตามคำบอกใบ้ของเพียงออ
ลำพังตัวเขาเพียงคนเดียวคงไม่สามารถฝ่าวงล้อมของบรรดาพนักงานโรงน้ำแข็งแล้วดอดไปพาไอ้ตัวแสบหนีได้แน่
ๆ เพราะเท่าที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่จนถึงบัดนี้ ปรากฏว่ามีชายฉกรรจ์อย่างน้อยสามคนที่สัตยาจำเป็นต้องล้มให้คว่ำระหว่างกรุยทางเข้าไปด้านใน...
เฮ่อ! ขนาดยังไม่นับธีทัตและคนงานกลุ่มอื่น ๆ ที่มองไม่เห็นอีกเท่าไรก็ไม่รู้
เขายังรู้สีกหนักใจกับภาพรวมของสถานการณ์เอามาก ๆ ขืนบุ่มบ่ามฉายเดี่ยวจนเรื่องราวบานปลาย คนที่จะตกที่นั่งลำบากที่สุดคงไม่ใช่ใคร
นอกไปจากอังคารและตัวเขานั่นเอง
คิดได้ดังนั้น
ชายหนุ่มจึงต่อสายหาที่พึ่งหนึ่งเดียวซึ่งพอจะให้ความช่วยเหลือแบบปัจจุบันทันด่วนได้ดียิ่งกว่าใคร
“พี่เดียร์ครับ ผมมีเรื่องด่วนต้องรบกวนพี่อีกแล้วครับ”
***********
“ขลุ่ยกลับมาหาพี่วินแล้วนะครับ”
น่าแปลกที่เมื่อได้รับฟังประโยคที่ตนโหยหา รอยยิ้มที่ดูผิดแผกของเพียงออในร่างของเด็กหนุ่มแปลกหน้ากลับดูคุ้นตา
สมจริง และสดใหม่ราวกับมโนภาพที่ชยินเห็นในวันแรกที่ทั้งสองพบกัน
“ขลุ่ย?”
“ครับ
ขลุ่ยเองครับพี่วิน”
“...” ต่อให้ภายในจะรู้สึกยินดีกับปาฏิหารย์ตรงหน้าสักเพียงไหน
แต่สัญชาตญาณกลับสั่งให้ชยินยืนนิ่งคล้ายหยั่งเชิง
อีกฝ่ายที่เห็นดังนั้นจึงรีบอธิบายตนเองโดยไม่รอให้เขาต้องลำบากซักถาม
“เป็นเพราะตาข้างนึงของขลุ่ยอยู่ในร่างนี้
ขลุ่ยเลยกลับมาหาพี่วินได้ยังไงล่ะครับ” ค่าที่ไม่อาจขยับแขนขาไปมาได้
คนพูดจึงเอ่ยพลางขยิบตาซ้ายน้อย ๆ แทนการชี้ชัดถึงหลักฐานที่ตนกล่าวอ้าง
เป็นเพราะสิ่งที่คู่สนทนาเอ่ยออกมาพ้องกับข้อมูลผู้ป่วยภายในแฟ้มที่ธีทัตทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าเมื่อเย็นวาน
การหวาดระแวงระวังภัยจึงหมดความหมาย วินาทีนี้ ชยินเชื่อหมดใจว่าเด็กหนุ่มตรงหน้า
คือ คนรักที่พลัดพลากจากกันกว่าสองเดือนจริง ๆ “ขลุ่ยยอมกลับมาหาพี่แล้วเหรอ
ขลุ่ยไม่โกหกพี่ใช่ไหมครับ”
“ขลุ่ยจะโกหกพี่วินทำไมล่ะครับ”
.
.
.
.
“...ก็...”
ชยินอึกอักอย่างเห็นได้ชัด
การรื้อฟื้นเรื่องบาดหมางระหว่างพวกเขาทั้งที่เพิ่งกลับมาพบกันอีกครั้งไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์
ดีไม่ดี เกิดเพียงออได้ฟังเรื่องของบุคคลที่สามขึ้นมา น้องอาจจะคลุ้มคลั่งจนเขาควบคุมไม่ไหวเหมือนครั้งที่แล้วก็ได้
“ถ้าพี่วินไม่อยากเล่า
ก็ช่างมันเถอะครับ แค่เราได้กลับมาเจอกัน ขลุ่ยก็ดีใจจะแย่แล้ว”
คนพูดทิ้งสายตาพลางคลี่ยิ้มหวานเอาใจจนชยินพลอยกระหยิ่มตามไปอีกคน แต่ก่อนที่พวกเขาจะทบทวนความทรงจำร่วมกัน
ฝ่ายที่ยังนั่งงอก่องอขิงอยู่บนพื้นก็โอดครวญเสียงแผ่ว
“พี่วินแกะเชือกให้ขลุ่ยหน่อยสิครับ ขลุ่ยเจ็บ”
“พี่ว่าขลุ่ยอยู่แบบนี้ไปก่อนดีไหมครับ”
จริงอยู่ที่เพียงออคนนี้ช่างผิดแปลกจากเพียงออที่ชยินเคยรู้จักราวกับพลิกฝ่ามือจนชายหนุ่มแอบพึงพอใจ
กระนั้นบทเรียนจากเหตุการณ์น่าสลดเมื่อสองเดือนก่อนได้สอนให้เขาตระหนักว่า การควบคุมคนรักได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดย่อมดีกว่าผ่อนปรนจนอีกฝ่ายต่อต้าน
ขัดขืนได้ตามอิสระ
“แต่ขลุ่ยเจ็บมือเจ็บขาไปหมดแล้วน่ะครับพี่วิน...
แถมพื้นยังแข็งอีก ถ้าพี่วินไม่ยอมแกะเชือกให้ ขลุ่ยต้องโดนเชือดบาดเนื้อจนเลือดออกหมดตัวแน่
ๆ ”
“หึ ๆๆๆ เด็กโง่
โดนเชือกบาดแค่นี้เลือดไม่ออกหมดตัวหรอกครับ เชื่อพี่สิ พี่เรียนหมอมานะ”
ต่อให้ไม่โอนอ่อน แต่ชายหนุ่มก็ไม่ใจร้ายกับคนรักเสียทีเดียว
ชยินช้อนร่างผอมบนพื้นขึ้นอุ้มแล้วพาเพียงออมานอนลงบนเตียงอย่างเบามือ
“ไม่ต้องนอนพื้นแล้วนะ
สบายตัวขึ้นไหมครับ” ชยินพูดเอาใจพลางเสยปอยผมที่ปรกรกหน้าตาคนรักให้กลับเข้าที่เข้าทาง
การที่เพียงออยอมอยู่นิ่ง ๆ ให้เขาลูบไล้เนื้อตัวได้ตามต้องการทำให้ชายหนุ่มไม่อาจหุบยิ้มได้สักวินาที
ชยินมีความสุขเหลือเกิน...
การได้มีเพียงอออยู่เคียงข้างอย่างที่เฝ้าฝัน
คือ ความสุขอย่างที่สุด
ไม่เสียแรงที่สู้อุตส่าห์ภาวนาขอให้อีกฝ่ายหวนคืนกลับมาตลอดระยะเวลากว่าสองเดือน
“แต่ถ้าพี่วินไม่แกะเชือกให้
แล้วขลุ่ยจะกอดพี่วินได้ยังไงล่ะครับ”
“หืม?
ขลุ่ยอยากกอดพี่เหรอ?”
“...” เพียงออไม่ตอบคำ
หากแต่ใบหน้าขาวที่ขึ้นสีแดงเรื่อ
กอปรกับรอยยิ้มมุมปากและอาการหรุบตาเสมองไปทางอื่นนั่นก็ทำให้ชยินรู้สึกลิงโลดจนลืมความตั้งใจเดิมไปเสียสิ้น
“งั้นขลุ่ยรอพี่เดี๋ยวนะครับ”
ไม่ทันขาดคำ ชยินก็ลุกพรวดพราดไปควานหากรรไกรภายในห้อง แต่แล้วความกระตือรือล้นจนทนรอไม่ไหวก็สั่งให้ชายหนุ่มฉวยมีดผ่าตัดที่วางเรียงรายอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลติดมือมาแทน
อดทนรอไม่ถึงอึดใจ มีดเล่มเล็กก็สำแดงเดชให้คนถูกมัดได้ประจักษ์ถึงคมของมันอย่างแท้จริง
เพราะแค่ชยินตวัดปลายมีดเพียงสองสามหน พันธนาการปลิดปลิวลงจากข้อมือและข้อเท้าอย่างง่ายดายราวกับร่ายเวทย์มนต์
เพียงออคลี่ยิ้มหวานต่างรางวัลแก่รุ่นพี่ที่ยืนรายงานตัวรอรับความดีความชอบอยู่ตรงหน้า
เด็กหนุ่มช้อนสายตาตวัดมองอีกฝ่ายอย่างจงใจก่อนจะค่อย ๆ หยัดตัวขึ้นนั่งคุกเข่าบนฟูกด้วยความนุ่มนวล
“พี่วินเอามีดไปเก็บก่อนสิครับ เดี๋ยวผีผลัก” สิ้นเสียงออดอ้อน
เพียงออก็พยักเพยิดสำทับอีกคำรบพร้อมกับระบายยิ้มบางเบาดูเย้ายวนพลางกางแขนกว้างเตรียมพร้อมรอท่า
ชยินในยามนี้ไม่ต่างอะไรจากหมาที่ถูกฝึกจนเชื่อง
ขอเพียงให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนา
ต่อให้เพียงออจะสั่งให้เขาบุกป่าฝ่าดง ชายหนุ่มก็ไม่ปฏิเสธ ฉะนั้น กับการแค่กำจัดมีดทื่อ
ๆ ด้ามหนึ่งให้พ้นหูพ้นตาแลกกับอ้อมกอดอย่างเต็มใจของอีกฝ่าย เขาก็ยิ่งกว่าพร้อมจะทำให้โดยไม่คิดต่อรอง
แต่ขณะที่ชายหนุ่มบรรจงวางมีดลงบนโต๊ะอ่านหนังสือตรงมุมห้องด้วยความระมัดระวังอยู่นั้นเอง
ความรู้สึกเจ็บร้าวฉับพลันตรงท้ายทอยที่มาพร้อมเสียงกระทบหนัก ๆ ดังลั่นก็ทำให้ชยินมึนงงจนพานรู้สึกแข้งขาอ่อนขึ้นมาดื้อ
ๆ จากนั้นแสงสว่างวาบเจิดจ้าที่พร่างพรายอยู่เบื้องหลังเปลือกตาจะขับกล่อมให้เขาพักสายตาทั้งที่ไม่เต็มใจ
***********
ทันทีที่ทางสะดวก
สัตยาก็ค่อย ๆ เร้นกายแฝงตัวเข้าไปสำรวจรอบ ๆ พื้นที่ด้านหลังตึกแถวเจ้าปัญหา
เพียงไม่นาน
นายตำรวจหนุ่มก็พบรถกระบะคุ้นตาซึ่งน่าจะเป็นพาหนะคันเดียวกันที่เคยจอดตรงหน้าคลินิกเมื่อวานเข้าจนได้
แม้หลักฐานตรงหน้าจะช่วยยืนยันว่าธีทัตเกี่ยวข้องกับโรงน้ำแข็งแห่งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าสัตยากลับยิ่งกังวลใจ เพราะหากว่ากันตามจริง ระยะทางระหว่างโรงแรมกับโรงน้ำแข็งน่าจะอยู่ราว
ๆ ไม่เกินสิบกิโลเมตร ซึ่งเมื่อคำนวณเวลาคร่าว ๆ
ตามคำบอกเล่าของพนักงานต้อนรับจวบจนถึงตอนนี้หมายความได้อย่างเดียวว่า เขาเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้รวมถึงการใช้อาวุธทุกรูปแบบอย่างธีทัตใช้เวลาตามลำพังกับไอ้ตัวแสบนานเกินไปเสียแล้ว
อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะเพียร
ขอร้องล่ะ
ก่อนที่โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับน้องชายบุญธรรมจะซ้ำรอย สัตยาจะต้องรีบตามหาเด็กเมื่อวานซืนให้เจอโดยเร็วที่สุด
“อุ๊บ!” จังหวะที่สัตยากำลังเอนตัวเข้าไปชะโงกมองภายในโกดังเก็บของด้านข้างโรงน้ำแข็งนั้นเอง
หมัดลุ่น ๆ ของคนที่แอบเฝ้าสังเกตการณ์มาโดยตลอดก็พุ่งฝ่าความมืดมาปะทะโหนกแก้มของผู้บุกรุกเข้าอย่างจัง
ทว่าแทนที่จะแตกตื่นจนเพลี่ยงพล้ำ ผู้กองเคราเฟิ้มกลับคว้าแขนอีกข้างของคู่ต่อสู้
แล้วดึงเข้าประชิดเข้าหาตัวก่อนจะถองหน้าท้องอีกฝ่ายด้วยปลายศอกพร้อม ๆ
กับตอกส้นลงบนหน้าแข้งเสียเต็มรัก จากนั้นจึงจงใจดีดตัวทิ้งน้ำหนักใส่ร่างคุดคู้ที่ซ้อนอยู่ด้านหลังจนได้ยินเสียงแผ่นเนื้อกระแทกกับผนังปูนอย่างรุนแรง
สัตยาอาศัยช่วงที่คู่ต่อสู้ยังคงจุกเสียดจนไม่ทันตั้งตัวปราดเข้าไปประเคนอัพเปอร์คัทเจาะปลายคางสลับกับปล่อยหมัดตรงลงบนลิ้นปี่ซ้ำ
ๆ จนร่างบนพื้นนอนงอก่องอขิง สภาพสิ้นฤทธิ์ชั่วคราวของคนตรงหน้าทำให้เขาเริ่มหายใจหายคอได้มากขึ้น
เพราะหากธีทัตเป็นฝ่ายตั้งป้อมดักรอทำร้ายเขาก่อน แสดงว่าโอกาสที่อังคารจะยังมีชีวิตอยู่ย่อมเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว
รู้ดังนั้น
สัตยาจึงจับรวบแขนเพื่อนร่วมสายอาชีพไพล่หลังแล้วสับกุญแจข้อมือของตนลงบนข้อมือของอีกฝ่ายก่อนจะใช้เชือกไนลอนที่พอหาได้ในโกดังมัดตรึงธีทัตเอาไว้กับโคนเสาเพื่อตัดโอกาสหลบหนีหรือก่อปัญหาระหว่างรอให้กำลังหนุนของรุ่นพี่ตามมาสมทบโดยไม่ลืมคาดคั้นเบาะแสของอังคารไปพร้อมกัน
“มึงเอาเพียรไปไว้ไหน”
“...” ธีทัตแสยะยิ้มยียวนหากแต่ไม่เอ่ยคำ
อาการจงใจอมพะนำของเพื่อนร่วมสถาบันทำให้สัตยาอยู่ไม่สุข
“ท็อป
มึงบอกกูมาเถอะว่าเพียรอยู่ไหน กูสัญญาว่าถ้ามึงให้ความร่วมมือ กูจะช่วยมึงเอง”
“หึ ๆๆๆ !” สีหน้าสาแก่ใจของฝ่ายที่เอาแต่แค่นหัวเราะโดยไม่พูดไม่จาทำให้สัตยาได้สติ...
ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ทุกนาทีมีค่าเกินกว่าจะมานั่งสอบปากคำผู้ต้องสงสัยที่ไม่ให้ความร่วมมือเป็นไหน
ๆ คิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มก็ผลุนผลันจากไปตามหาอังคารต่อทันที
***********
อังคารไม่เคยสนใจว่าประสบการณ์ช่วงยี่สิบปีแรกของชีวิตคนอื่นเป็นเช่นไร
เขารู้แต่เพียงว่า คลื่นความบัดซบที่ดาหน้ากันมาต้อนรับตั้งแต่ก่อนเขาจะรู้ความได้หล่อหลอมให้เด็กหนุ่มรู้รักษาตัวรอดได้เป็นเลิศยิ่งกว่าใคร
ๆ จึงไม่แปลกหากในห้วงเวลาที่ยมทูตหายใจรดต้นคอ อังคารจะตัดสินใจสวมรอยเป็นเพียงออเพื่อหลอกล่อให้ฆาตกรตายใจ
ที่สุดแล้ว ภาพเหตุการณ์ในฝันร้ายที่ต้องเผชิญมาตลอดสองเดือน
บวกกับความพยายามและความอดทนผิดปกติวิสัยของเด็กหนุ่มก็นำพาความสำเร็จมาสู่มือจนได้
เขาฟาดหัวไอ้โรคจิตนั่นเสียเต็มแรงด้วยด้ามโคมไฟตรงหัวเตียงจนมันล้มลงไปนอนกองไม่เป็นท่า
ซึ่งก่อนที่จะวิ่งหนีออกจากห้องนั้นมา อังคารก็ไม่ลืมรวบคว้าชุดมีดผ่าตัดที่วางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบอยู่บนผ้าผืนหนึ่งติดมือมาด้วย
เหตุที่อังคารพกมีดติดตัว
ไม่ใช่แค่หวังจะใช้มันเป็นอาวุธป้องกันตนเพียงถ่ายเดียว หากแต่ขืนเขาชะล่าใจ ทิ้งพวกมันไว้แล้วไอ้เวรนั่นเกิดฟื้นขึ้นมาก่อนเด็กหนุ่มคลำหาทางออกเจอล่ะก็
ไม่อยากจะนึกเลยว่า สภาพศพเขาจะเละเทะจนจำเค้าเดิมไม่ได้สักแค่ไหน
ถัดจากห้องนอนของผู้ปลิดชีวิตเพียงออ
คือ ทางเดินแคบ ๆ ที่ด้านข้างกรุกระจกใสกั้นพื้นที่เป็นสัดส่วน
หางตาของอังคารไม่วายสังเกตเห็นว่าภายในห้องมืดล้อมรอบด้วยกระจกนั้น มีชั้นซึ่งวางสิ่งของรวมถึงเครื่องมือแปลกตาไว้แน่นขนัด
กลิ่นสะอาดจนชวนคลื่นไส้ไม่ต่างจากโรงพยาบาลที่อบอวลไปทั่วทุกอณูทำให้เด็กหนุ่มอดนึกถึงภาพกระดูกซี่โครงใต้แผ่นอกที่ค่อย
ๆ โดนถ่างออกจากกันอย่างช้า ๆ ไม่ได้
เร็วเข้าไอ้เพียร...
เร็ว! ถ้ายังไม่อยากตาย
มึงต้องเร็วกว่านี้! อังคารเตือนตัวเองให้เลิกคิดฟุ้งซ่านขณะพยายามผลักประตูที่ตนไม่รู้จักกลไก
หลังจากงมกับการผลัก ดึง และดันอยู่นานสองนาน สุดท้ายการกดสลักแล้วเลื่อนก็ช่วยให้เด็กหนุ่มหลุดทะลุมายังห้องสุดท้าย
อันเป็นห้องที่ทำให้มโนภาพอันโหดร้ายเมื่อสักครู่กลับมาโลดแล่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอีกครั้ง...
เตียงสีเงินสูงประมาณบั้นเอวนั่นคงจะเป็นโต๊ะกินข้าวไปไม่ได้
ส่วนอุปกรณ์รอบ
ๆ พร้อมสายระโยงระยางพวกนั้น ดูอย่างไรก็ไม่ใช่แค่เฟอร์นิเจอร์ไก่กาสำหรับประดับประดาตกแต่ง
ที่แห่งนี้นี่เองคือลานประหารที่อังคารถูกวิญญาณซึ่งผูกติดกับกระจกตาข้างซ้ายบังคับให้รับชมการถ่ายทอดสดอันโหดร้ายอย่างไม่มีทางเลือก
ภาพห้องผ่าตัดที่ทับซ้อนกับสิ่งที่เคยเห็นผ่านตา
กับฝาผนังทุกด้านซึ่งกรุด้วยแผ่นเหล็กไร้สนิมจนเต็มพื้นที่จนดูคล้ายกับห้องปิดตายก็ทำให้อังคารเริ่มสติแตก
ไม่ได้ มึงจะตายที่นี่ไม่ได้! ว่าแต่ ประตูแม่งอยู่ที่ไหนวะ?!! เด็กหนุ่มวิ่งวนพลางออกแรงทั้งผลักทั้งดันสแตนเลสแต่ละแผ่นเพื่อหาทางออกราวกับหนูติดจั่น
หรือว่าประตูจะไม่ได้อยู่ในห้องนี้?!!
ทว่าแม้อังคารจะเกิดพุทธิปัญญาในท้ายที่สุด
ทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว
เพราะในระหว่างที่เด็กหนุ่มหัวหมุนอยู่กับการไล่กระแทกผนังห้องเชือดอย่างเอาเป็นเอาตาย
ฆาตกรที่ถูกทำให้หลับไหลก็ฟื้นคืนสติพร้อมกับระเบิดโทสะลูกใหญ่ที่รอการปลดปล่อย ชยินใช้มือข้างหนึ่งกดเลือดตรงท้ายทอย
ส่วนอีกข้างถือเศษเชือกที่เหลือความยาวร่วม ๆ วาเดินตามกลิ่นความกลัวมาจนเจอเหยื่อวิ่งพล่านอยู่ในห้องทำงานของตัวเอง
“อย่าเข้ามานะ!” เสียงลมหายใจดังฟืดฟาดกับเสียงฝีเท้าที่ดังก้องของชยินทำให้อังคารวิ่งอ้อมไปตั้งหลักต่อสู้ตรงอีกฟากของเตียงผ่าตัด
เด็กหนุ่มชี้หน้าฆาตกรพร้อมข่มขู่เต็มความสามารถไม่ขาดปาก
“ถ้าไม่อยากเจ็บตัว
อย่าเข้ามานะเว่ย!”
เอาวะ! ต่อให้อีกฝ่ายจะได้เปรียบด้านกายภาพ
แต่คนตัวเล็กกว่าก็ใช่ว่าจะล้มช้างไม่ได้เสียหน่อย
“...อ่อก!!...” แทนที่ชยินจะตอบโต้ด้วยวาจาเผ็ดร้อนไม่ต่างกัน
เจ้าถิ่นกลับผลักเตียงชันสูตรติดล้อเข้าใส่อีกฝ่ายจนขอบเตียงโลหะกระแทกเข้ากับหน้าท้องของอังคารจนเจ้าตัวครางอู้
และก่อนที่เด็กหนุ่มจะทันต่อสู้ปัดป้อง ชยินก็โผเข้าใส่พร้อมกับใช้เชือกรัดลำคอผอมกะหร่องอย่างไม่ปรานี
“...อ่อย... อ่อยย!”
“โอ๊ย!!” แม้จะไม่เจนจัดด้านการออกอาวุธ หนำซ้ำยังโดนชยินรัดคอตัดกำลัง
แต่อังคารกลับสู้ไม่ถอย เด็กหนุ่มปักปลายมีดผ่าตัดลงบนต้นขาของคู่ต่อสู้ก่อนจะจ้วงกรีดเป็นแนวยาว
ความเจ็บปวดแบบไม่ทันตั้งตัวเปิดโอกาสให้คนเกิดทีหลังหลุดรอดจากเงื้อมมือเพชรฆาตไปได้อีกครั้ง
ทว่าชั่วอึดใจที่อังคารกำลังจะตบเท้าวิ่งย้อนกลับไปหาทางออกในห้องอื่น ๆ เจ้ากรรมนายเวรก็โขยกเขยกคืบคลานตามมากระชากเอวเขาจนหกล้มระเนระนาดไปตาม
ๆ กัน “ไอ้เหี้ย! ปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะ
โอ๊ย!! ไอ้สัด
อย่าให้กูหลุดไปได้เชียวนะมึง กูจะฆ่ามึง กูจะฆ่ามึง!”
สิ้นเสียงบริภาษไม่เป็นภาษาของอังคาร
เด็กหนุ่มก็ทั้งเตะ ทั้งถีบ ทั้งกัดเจ้าของร่างที่ทาบทับอยู่เหนือลำตัว
ฝ่ายชยินที่เริ่มจะบันดาลโทสะจนไม่รับรู้เหตุผลก็รวบลำคอผอมเกร็งนั่นเอาไว้ด้วยฝ่ามือทั้งสองข้างด้วยหวังกำราบให้เหยื่อยอมศิโรราบโดยเร็ว
“...อ่อย... อ่อย!! อ่อก...
อ่อ...”
พลั่ก!
“หลบไปตรงโน้นเพียร!” อยู่ดี ๆ สัตยาที่เป็นยิ่งกว่าอัศวินม้าขาวของอังคารก็โผล่มาเงื้อปลายเท้าเตะเข้าที่ปลายคางของชยินอย่างเหมาะเหม็ง
นายตำรวจประคองเด็กเมื่อวานซืนที่ยังคงสำลักน้ำลายจนไม่เป็นอันทำอะไรให้ลุกขึ้นนั่งก่อนจะออกคำสั่งซ้ำด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ไปนั่งรอฉันตรงนั้นก่อนนะเพียร”
สัตยาอดโมโหตัวเองไม่ได้ที่มัวเสียเวลาไปกับการค้นหาอังคารผิดที่ผิดทาง
หากเมื่อกี๊เขาชักช้าไปเพียงชั่วพริบตา
คงไม่แคล้วว่าต้องจมอยู่กับความเสียใจไปตลอดชีวิตเป็นแน่
“เฮ่ยคุณ!
ระวัง!” อังคารร้องเสียงหลงเมื่อเห็นร่างที่เพิ่งล้มพังพาบไปเมื่อหมาด
ๆ สามารถยันตัวตั้งฉากขึ้นจากพื้นได้อีกครั้ง สถานการณ์คาบลูกคาบดอกตรงหน้าสั่งให้สัตยาตัดสินใจจัดการกับต้นตอของปัญหาอย่างเด็ดขาด
ชายหนุ่มผลักเด็กเลี้ยงแกะให้หลุดจากพื้นที่สุ่มเสี่ยงก่อนจะหันไปแลกหมัดกับอสรพิษบาดเจ็บที่พร้อมสู้ตายถวายชีวิต
แม้สมัยเรียนสัตยาจะเก่งทั้งบู๊และบุ๋นจนติดอันดับนักเรียนนายร้อยดีเด่น
แต่เมื่อคู่ต่อสู้ตกอยู่ในสภาวะเลือดเข้าตา ความสามารถด้านการวางมวยในระยะประชิดของทั้งสองฝ่ายจึงแทบจะก้ำกึ่งสูสี
ถึงอย่างนั้น นายตำรวจผู้เก๋าสังเวียนกว่าก็หาจังหวะเตะสกัดขาจนอีกฝ่ายเสียหลัก ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลังแล้วสอดวงแขนล็อกใต้ลำคอเพื่อปิดฉากได้อย่างสวยงาม
ฝ่ายชยินที่เริ่มจะตาลายจนเห็นแสงวูบวาบในกระบอกตาอีกครั้งก็พยายามสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมเป็นพัลวัน
กระนั้นแรงกดของวงแขนบริเวณใต้กรามทั้งสองข้างกลับทำให้เขาเริ่มเฉื่อยชาขึ้นทุกวินาที
ทว่าก่อนที่เด็กหนุ่มจะพ่ายแพ้แก่ท่าเชือดของสัตยาจนหมดรูปนั้นเอง เสียงหวีดร้องอย่างเจ็บปวดของไอ้ตัวแสบก็ทำลายสมาธิของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เสียย่อยยับ
“โอ๊ยยยย!”
“ไอ้ท็อป?!” สัตยาหน้าถอดสีทันทีที่หันไปเห็นภาพของธีทัตขณะฟาดด้ามปืนลงบนศรีษะของอังคาร
จากนั้นเพื่อนร่วมงานของเขาก็รวบร่างโผเผนั่นเอาไว้แล้วจ่อปลายกระบอกปืนลงแนบขมับบางที่เปื้อนเลือดเป็นทางอย่างตั้งอกตั้งใจ
“มึงกับกู... เรามายื่นหมูยื่นแมวกันดีกว่าว่ะ”
สัตยาอดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า เรื่องทั้งหมดคงจะง่ายกว่านี้หากอีกฝ่ายคือธีทัต...
เพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยนิสัยดีที่เขาเคยรู้จักมาตลอดชีวิต หาใช่ร่างอวตารของเทพแห่งการทำลายล้างผู้ยืนแสยะยิ้มร้ายกาจอยู่ตรงหน้า
*****|| TBC ||*****
เราเชื่อมั่นเหลือเกินว่า
เมื่ออ่านตอนนี้จบ
ทุกคนก็จะยิ่งเยี่ยวเหนียวไปกันใหญ่
แต่ทางเราต้องขออภัยจริง
ๆ เพราะเราวางพล็อตเดิมของตอนนี้เท่านี้จริง ๆ ค่ะ
และโปรดทราบโดยทั่วกันว่า
หากไม่มีอะไรผิดพลาด
ตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายที่เราจะได้อ่านเรื่องราวของพี่เสือและน้องเพียรกันแล้ว
ฉะนั้น
หากใครรู้สึกคับข้องประการใดก็อย่าลืมทิ้งคอมเมนท์ไว้ให้เราอ่านมั่งนะคะ
รักทุก ๆ
คนเหมือนเดิมเลยค่ะ ^^