Wednesday, September 27, 2017

ODD EYE ตาย ตา ตื่น : 13th Glance || 27.09.17

The 13th Glance

ข้อดีของการเลือกขับรถติดตามเบาะแสที่เพียงออหยิบยื่นให้ คือ ความมั่นใจว่าตนกำลังแกะรอยอังคารได้ถูกต้องและแม่นยำ กระนั้นสัตยากลับไม่อาจผลีผลามทำอุกอาจตามใจ เพราะแม้รถตู้แช่คันดังกล่าวจะเลี้ยวหายเข้าไปจอดด้านหลังของอาคารพาณิชย์หลังหนึ่งได้พักใหญ่ ๆ แต่นายตำรวจยังคงต้องเฝ้ารอให้กลุ่มพนักงานขนส่งประจำโรงน้ำแข็งสลายตัวกันเสียก่อน เพราะการเดินดุ่ม ๆ ฝ่าเข้าไปในพื้นที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นจะทำให้เรื่องทั้งหมดยิ่งยุ่งเหยิงเกินควบคุม

จริงอยู่ที่แม้การรอคอยจะชวนให้รู้สึกว้าวุ่นขุ่นใจ ทว่าในทางกลับกัน สัตยาเองก็มีเวลาประเมินสถานการณ์ควบคู่ไปกับวางแผนช่วยเหลืออังคารเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งถ้าเขาจำไม่ผิด ด้านหลังของตึกแถวทั้งหมดนี้น่าจะเป็นแม่น้ำ ซึ่งการที่โรงน้ำแข็งถูกซุกซ่อนอยู่ด้านใน ทำให้เส้นทางเดินรถหลักถูกจำกัดให้เหลือเพียงช่องทางเดียว แน่นอนว่า หากธีทัตเลือกสถานที่แห่งนี้เป็นฐานที่มั่น แต้มต่อในการหลบหนีของอีกฝ่ายย่อมมีไม่มาก

อย่างไรก็ตาม หากธีทัตพาอังคารไปซุกซ่อนอยู่ด้านในโรงน้ำแข็งจริงตามคำบอกใบ้ของเพียงออ ลำพังตัวเขาเพียงคนเดียวคงไม่สามารถฝ่าวงล้อมของบรรดาพนักงานโรงน้ำแข็งแล้วดอดไปพาไอ้ตัวแสบหนีได้แน่ ๆ เพราะเท่าที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่จนถึงบัดนี้ ปรากฏว่ามีชายฉกรรจ์อย่างน้อยสามคนที่สัตยาจำเป็นต้องล้มให้คว่ำระหว่างกรุยทางเข้าไปด้านใน...

เฮ่อ! ขนาดยังไม่นับธีทัตและคนงานกลุ่มอื่น ๆ ที่มองไม่เห็นอีกเท่าไรก็ไม่รู้ เขายังรู้สีกหนักใจกับภาพรวมของสถานการณ์เอามาก ๆ ขืนบุ่มบ่ามฉายเดี่ยวจนเรื่องราวบานปลาย คนที่จะตกที่นั่งลำบากที่สุดคงไม่ใช่ใคร นอกไปจากอังคารและตัวเขานั่นเอง

คิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มจึงต่อสายหาที่พึ่งหนึ่งเดียวซึ่งพอจะให้ความช่วยเหลือแบบปัจจุบันทันด่วนได้ดียิ่งกว่าใคร “พี่เดียร์ครับ ผมมีเรื่องด่วนต้องรบกวนพี่อีกแล้วครับ” 

***********

“ขลุ่ยกลับมาหาพี่วินแล้วนะครับ” น่าแปลกที่เมื่อได้รับฟังประโยคที่ตนโหยหา รอยยิ้มที่ดูผิดแผกของเพียงออในร่างของเด็กหนุ่มแปลกหน้ากลับดูคุ้นตา สมจริง และสดใหม่ราวกับมโนภาพที่ชยินเห็นในวันแรกที่ทั้งสองพบกัน

“ขลุ่ย?”

“ครับ ขลุ่ยเองครับพี่วิน”

“...” ต่อให้ภายในจะรู้สึกยินดีกับปาฏิหารย์ตรงหน้าสักเพียงไหน แต่สัญชาตญาณกลับสั่งให้ชยินยืนนิ่งคล้ายหยั่งเชิง อีกฝ่ายที่เห็นดังนั้นจึงรีบอธิบายตนเองโดยไม่รอให้เขาต้องลำบากซักถาม

“เป็นเพราะตาข้างนึงของขลุ่ยอยู่ในร่างนี้ ขลุ่ยเลยกลับมาหาพี่วินได้ยังไงล่ะครับ” ค่าที่ไม่อาจขยับแขนขาไปมาได้ คนพูดจึงเอ่ยพลางขยิบตาซ้ายน้อย ๆ แทนการชี้ชัดถึงหลักฐานที่ตนกล่าวอ้าง

เป็นเพราะสิ่งที่คู่สนทนาเอ่ยออกมาพ้องกับข้อมูลผู้ป่วยภายในแฟ้มที่ธีทัตทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าเมื่อเย็นวาน การหวาดระแวงระวังภัยจึงหมดความหมาย วินาทีนี้ ชยินเชื่อหมดใจว่าเด็กหนุ่มตรงหน้า คือ คนรักที่พลัดพลากจากกันกว่าสองเดือนจริง ๆ “ขลุ่ยยอมกลับมาหาพี่แล้วเหรอ ขลุ่ยไม่โกหกพี่ใช่ไหมครับ”

“ขลุ่ยจะโกหกพี่วินทำไมล่ะครับ”
.
.
.
.
“...ก็...”

ชยินอึกอักอย่างเห็นได้ชัด การรื้อฟื้นเรื่องบาดหมางระหว่างพวกเขาทั้งที่เพิ่งกลับมาพบกันอีกครั้งไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์ ดีไม่ดี เกิดเพียงออได้ฟังเรื่องของบุคคลที่สามขึ้นมา น้องอาจจะคลุ้มคลั่งจนเขาควบคุมไม่ไหวเหมือนครั้งที่แล้วก็ได้

“ถ้าพี่วินไม่อยากเล่า ก็ช่างมันเถอะครับ แค่เราได้กลับมาเจอกัน ขลุ่ยก็ดีใจจะแย่แล้ว” คนพูดทิ้งสายตาพลางคลี่ยิ้มหวานเอาใจจนชยินพลอยกระหยิ่มตามไปอีกคน แต่ก่อนที่พวกเขาจะทบทวนความทรงจำร่วมกัน ฝ่ายที่ยังนั่งงอก่องอขิงอยู่บนพื้นก็โอดครวญเสียงแผ่ว “พี่วินแกะเชือกให้ขลุ่ยหน่อยสิครับ ขลุ่ยเจ็บ”

“พี่ว่าขลุ่ยอยู่แบบนี้ไปก่อนดีไหมครับ” จริงอยู่ที่เพียงออคนนี้ช่างผิดแปลกจากเพียงออที่ชยินเคยรู้จักราวกับพลิกฝ่ามือจนชายหนุ่มแอบพึงพอใจ กระนั้นบทเรียนจากเหตุการณ์น่าสลดเมื่อสองเดือนก่อนได้สอนให้เขาตระหนักว่า การควบคุมคนรักได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดย่อมดีกว่าผ่อนปรนจนอีกฝ่ายต่อต้าน ขัดขืนได้ตามอิสระ

“แต่ขลุ่ยเจ็บมือเจ็บขาไปหมดแล้วน่ะครับพี่วิน... แถมพื้นยังแข็งอีก ถ้าพี่วินไม่ยอมแกะเชือกให้ ขลุ่ยต้องโดนเชือดบาดเนื้อจนเลือดออกหมดตัวแน่ ๆ ”

“หึ ๆๆๆ เด็กโง่ โดนเชือกบาดแค่นี้เลือดไม่ออกหมดตัวหรอกครับ เชื่อพี่สิ พี่เรียนหมอมานะ” ต่อให้ไม่โอนอ่อน แต่ชายหนุ่มก็ไม่ใจร้ายกับคนรักเสียทีเดียว ชยินช้อนร่างผอมบนพื้นขึ้นอุ้มแล้วพาเพียงออมานอนลงบนเตียงอย่างเบามือ

“ไม่ต้องนอนพื้นแล้วนะ สบายตัวขึ้นไหมครับ” ชยินพูดเอาใจพลางเสยปอยผมที่ปรกรกหน้าตาคนรักให้กลับเข้าที่เข้าทาง การที่เพียงออยอมอยู่นิ่ง ๆ ให้เขาลูบไล้เนื้อตัวได้ตามต้องการทำให้ชายหนุ่มไม่อาจหุบยิ้มได้สักวินาที

ชยินมีความสุขเหลือเกิน...
การได้มีเพียงอออยู่เคียงข้างอย่างที่เฝ้าฝัน คือ ความสุขอย่างที่สุด
ไม่เสียแรงที่สู้อุตส่าห์ภาวนาขอให้อีกฝ่ายหวนคืนกลับมาตลอดระยะเวลากว่าสองเดือน

“แต่ถ้าพี่วินไม่แกะเชือกให้ แล้วขลุ่ยจะกอดพี่วินได้ยังไงล่ะครับ”

“หืม? ขลุ่ยอยากกอดพี่เหรอ?”  

“...” เพียงออไม่ตอบคำ หากแต่ใบหน้าขาวที่ขึ้นสีแดงเรื่อ กอปรกับรอยยิ้มมุมปากและอาการหรุบตาเสมองไปทางอื่นนั่นก็ทำให้ชยินรู้สึกลิงโลดจนลืมความตั้งใจเดิมไปเสียสิ้น

“งั้นขลุ่ยรอพี่เดี๋ยวนะครับ” ไม่ทันขาดคำ ชยินก็ลุกพรวดพราดไปควานหากรรไกรภายในห้อง แต่แล้วความกระตือรือล้นจนทนรอไม่ไหวก็สั่งให้ชายหนุ่มฉวยมีดผ่าตัดที่วางเรียงรายอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลติดมือมาแทน อดทนรอไม่ถึงอึดใจ มีดเล่มเล็กก็สำแดงเดชให้คนถูกมัดได้ประจักษ์ถึงคมของมันอย่างแท้จริง เพราะแค่ชยินตวัดปลายมีดเพียงสองสามหน พันธนาการปลิดปลิวลงจากข้อมือและข้อเท้าอย่างง่ายดายราวกับร่ายเวทย์มนต์

เพียงออคลี่ยิ้มหวานต่างรางวัลแก่รุ่นพี่ที่ยืนรายงานตัวรอรับความดีความชอบอยู่ตรงหน้า เด็กหนุ่มช้อนสายตาตวัดมองอีกฝ่ายอย่างจงใจก่อนจะค่อย ๆ หยัดตัวขึ้นนั่งคุกเข่าบนฟูกด้วยความนุ่มนวล “พี่วินเอามีดไปเก็บก่อนสิครับ เดี๋ยวผีผลัก” สิ้นเสียงออดอ้อน เพียงออก็พยักเพยิดสำทับอีกคำรบพร้อมกับระบายยิ้มบางเบาดูเย้ายวนพลางกางแขนกว้างเตรียมพร้อมรอท่า

ชยินในยามนี้ไม่ต่างอะไรจากหมาที่ถูกฝึกจนเชื่อง
ขอเพียงให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนา ต่อให้เพียงออจะสั่งให้เขาบุกป่าฝ่าดง ชายหนุ่มก็ไม่ปฏิเสธ ฉะนั้น กับการแค่กำจัดมีดทื่อ ๆ ด้ามหนึ่งให้พ้นหูพ้นตาแลกกับอ้อมกอดอย่างเต็มใจของอีกฝ่าย เขาก็ยิ่งกว่าพร้อมจะทำให้โดยไม่คิดต่อรอง

แต่ขณะที่ชายหนุ่มบรรจงวางมีดลงบนโต๊ะอ่านหนังสือตรงมุมห้องด้วยความระมัดระวังอยู่นั้นเอง ความรู้สึกเจ็บร้าวฉับพลันตรงท้ายทอยที่มาพร้อมเสียงกระทบหนัก ๆ ดังลั่นก็ทำให้ชยินมึนงงจนพานรู้สึกแข้งขาอ่อนขึ้นมาดื้อ ๆ จากนั้นแสงสว่างวาบเจิดจ้าที่พร่างพรายอยู่เบื้องหลังเปลือกตาจะขับกล่อมให้เขาพักสายตาทั้งที่ไม่เต็มใจ

***********

ทันทีที่ทางสะดวก สัตยาก็ค่อย ๆ เร้นกายแฝงตัวเข้าไปสำรวจรอบ ๆ พื้นที่ด้านหลังตึกแถวเจ้าปัญหา เพียงไม่นาน นายตำรวจหนุ่มก็พบรถกระบะคุ้นตาซึ่งน่าจะเป็นพาหนะคันเดียวกันที่เคยจอดตรงหน้าคลินิกเมื่อวานเข้าจนได้

แม้หลักฐานตรงหน้าจะช่วยยืนยันว่าธีทัตเกี่ยวข้องกับโรงน้ำแข็งแห่งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าสัตยากลับยิ่งกังวลใจ เพราะหากว่ากันตามจริง ระยะทางระหว่างโรงแรมกับโรงน้ำแข็งน่าจะอยู่ราว ๆ ไม่เกินสิบกิโลเมตร ซึ่งเมื่อคำนวณเวลาคร่าว ๆ ตามคำบอกเล่าของพนักงานต้อนรับจวบจนถึงตอนนี้หมายความได้อย่างเดียวว่า เขาเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้รวมถึงการใช้อาวุธทุกรูปแบบอย่างธีทัตใช้เวลาตามลำพังกับไอ้ตัวแสบนานเกินไปเสียแล้ว

อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะเพียร ขอร้องล่ะ ก่อนที่โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับน้องชายบุญธรรมจะซ้ำรอย สัตยาจะต้องรีบตามหาเด็กเมื่อวานซืนให้เจอโดยเร็วที่สุด

“อุ๊บ!” จังหวะที่สัตยากำลังเอนตัวเข้าไปชะโงกมองภายในโกดังเก็บของด้านข้างโรงน้ำแข็งนั้นเอง หมัดลุ่น ๆ ของคนที่แอบเฝ้าสังเกตการณ์มาโดยตลอดก็พุ่งฝ่าความมืดมาปะทะโหนกแก้มของผู้บุกรุกเข้าอย่างจัง ทว่าแทนที่จะแตกตื่นจนเพลี่ยงพล้ำ ผู้กองเคราเฟิ้มกลับคว้าแขนอีกข้างของคู่ต่อสู้ แล้วดึงเข้าประชิดเข้าหาตัวก่อนจะถองหน้าท้องอีกฝ่ายด้วยปลายศอกพร้อม ๆ กับตอกส้นลงบนหน้าแข้งเสียเต็มรัก จากนั้นจึงจงใจดีดตัวทิ้งน้ำหนักใส่ร่างคุดคู้ที่ซ้อนอยู่ด้านหลังจนได้ยินเสียงแผ่นเนื้อกระแทกกับผนังปูนอย่างรุนแรง

สัตยาอาศัยช่วงที่คู่ต่อสู้ยังคงจุกเสียดจนไม่ทันตั้งตัวปราดเข้าไปประเคนอัพเปอร์คัทเจาะปลายคางสลับกับปล่อยหมัดตรงลงบนลิ้นปี่ซ้ำ ๆ จนร่างบนพื้นนอนงอก่องอขิง สภาพสิ้นฤทธิ์ชั่วคราวของคนตรงหน้าทำให้เขาเริ่มหายใจหายคอได้มากขึ้น เพราะหากธีทัตเป็นฝ่ายตั้งป้อมดักรอทำร้ายเขาก่อน แสดงว่าโอกาสที่อังคารจะยังมีชีวิตอยู่ย่อมเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว

รู้ดังนั้น สัตยาจึงจับรวบแขนเพื่อนร่วมสายอาชีพไพล่หลังแล้วสับกุญแจข้อมือของตนลงบนข้อมือของอีกฝ่ายก่อนจะใช้เชือกไนลอนที่พอหาได้ในโกดังมัดตรึงธีทัตเอาไว้กับโคนเสาเพื่อตัดโอกาสหลบหนีหรือก่อปัญหาระหว่างรอให้กำลังหนุนของรุ่นพี่ตามมาสมทบโดยไม่ลืมคาดคั้นเบาะแสของอังคารไปพร้อมกัน  

“มึงเอาเพียรไปไว้ไหน”

“...” ธีทัตแสยะยิ้มยียวนหากแต่ไม่เอ่ยคำ อาการจงใจอมพะนำของเพื่อนร่วมสถาบันทำให้สัตยาอยู่ไม่สุข

“ท็อป มึงบอกกูมาเถอะว่าเพียรอยู่ไหน กูสัญญาว่าถ้ามึงให้ความร่วมมือ กูจะช่วยมึงเอง”

“หึ ๆๆๆ !” สีหน้าสาแก่ใจของฝ่ายที่เอาแต่แค่นหัวเราะโดยไม่พูดไม่จาทำให้สัตยาได้สติ... ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ทุกนาทีมีค่าเกินกว่าจะมานั่งสอบปากคำผู้ต้องสงสัยที่ไม่ให้ความร่วมมือเป็นไหน ๆ คิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มก็ผลุนผลันจากไปตามหาอังคารต่อทันที

***********

อังคารไม่เคยสนใจว่าประสบการณ์ช่วงยี่สิบปีแรกของชีวิตคนอื่นเป็นเช่นไร เขารู้แต่เพียงว่า คลื่นความบัดซบที่ดาหน้ากันมาต้อนรับตั้งแต่ก่อนเขาจะรู้ความได้หล่อหลอมให้เด็กหนุ่มรู้รักษาตัวรอดได้เป็นเลิศยิ่งกว่าใคร ๆ จึงไม่แปลกหากในห้วงเวลาที่ยมทูตหายใจรดต้นคอ อังคารจะตัดสินใจสวมรอยเป็นเพียงออเพื่อหลอกล่อให้ฆาตกรตายใจ

ที่สุดแล้ว ภาพเหตุการณ์ในฝันร้ายที่ต้องเผชิญมาตลอดสองเดือน บวกกับความพยายามและความอดทนผิดปกติวิสัยของเด็กหนุ่มก็นำพาความสำเร็จมาสู่มือจนได้

เขาฟาดหัวไอ้โรคจิตนั่นเสียเต็มแรงด้วยด้ามโคมไฟตรงหัวเตียงจนมันล้มลงไปนอนกองไม่เป็นท่า ซึ่งก่อนที่จะวิ่งหนีออกจากห้องนั้นมา อังคารก็ไม่ลืมรวบคว้าชุดมีดผ่าตัดที่วางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบอยู่บนผ้าผืนหนึ่งติดมือมาด้วย

เหตุที่อังคารพกมีดติดตัว ไม่ใช่แค่หวังจะใช้มันเป็นอาวุธป้องกันตนเพียงถ่ายเดียว หากแต่ขืนเขาชะล่าใจ ทิ้งพวกมันไว้แล้วไอ้เวรนั่นเกิดฟื้นขึ้นมาก่อนเด็กหนุ่มคลำหาทางออกเจอล่ะก็ ไม่อยากจะนึกเลยว่า สภาพศพเขาจะเละเทะจนจำเค้าเดิมไม่ได้สักแค่ไหน

ถัดจากห้องนอนของผู้ปลิดชีวิตเพียงออ คือ ทางเดินแคบ ๆ ที่ด้านข้างกรุกระจกใสกั้นพื้นที่เป็นสัดส่วน หางตาของอังคารไม่วายสังเกตเห็นว่าภายในห้องมืดล้อมรอบด้วยกระจกนั้น มีชั้นซึ่งวางสิ่งของรวมถึงเครื่องมือแปลกตาไว้แน่นขนัด กลิ่นสะอาดจนชวนคลื่นไส้ไม่ต่างจากโรงพยาบาลที่อบอวลไปทั่วทุกอณูทำให้เด็กหนุ่มอดนึกถึงภาพกระดูกซี่โครงใต้แผ่นอกที่ค่อย ๆ โดนถ่างออกจากกันอย่างช้า ๆ ไม่ได้

เร็วเข้าไอ้เพียร... เร็ว! ถ้ายังไม่อยากตาย มึงต้องเร็วกว่านี้! อังคารเตือนตัวเองให้เลิกคิดฟุ้งซ่านขณะพยายามผลักประตูที่ตนไม่รู้จักกลไก หลังจากงมกับการผลัก ดึง และดันอยู่นานสองนาน สุดท้ายการกดสลักแล้วเลื่อนก็ช่วยให้เด็กหนุ่มหลุดทะลุมายังห้องสุดท้าย อันเป็นห้องที่ทำให้มโนภาพอันโหดร้ายเมื่อสักครู่กลับมาโลดแล่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอีกครั้ง...

เตียงสีเงินสูงประมาณบั้นเอวนั่นคงจะเป็นโต๊ะกินข้าวไปไม่ได้
ส่วนอุปกรณ์รอบ ๆ พร้อมสายระโยงระยางพวกนั้น ดูอย่างไรก็ไม่ใช่แค่เฟอร์นิเจอร์ไก่กาสำหรับประดับประดาตกแต่ง
ที่แห่งนี้นี่เองคือลานประหารที่อังคารถูกวิญญาณซึ่งผูกติดกับกระจกตาข้างซ้ายบังคับให้รับชมการถ่ายทอดสดอันโหดร้ายอย่างไม่มีทางเลือก

ภาพห้องผ่าตัดที่ทับซ้อนกับสิ่งที่เคยเห็นผ่านตา กับฝาผนังทุกด้านซึ่งกรุด้วยแผ่นเหล็กไร้สนิมจนเต็มพื้นที่จนดูคล้ายกับห้องปิดตายก็ทำให้อังคารเริ่มสติแตก

ไม่ได้ มึงจะตายที่นี่ไม่ได้! ว่าแต่ ประตูแม่งอยู่ที่ไหนวะ?!! เด็กหนุ่มวิ่งวนพลางออกแรงทั้งผลักทั้งดันสแตนเลสแต่ละแผ่นเพื่อหาทางออกราวกับหนูติดจั่น หรือว่าประตูจะไม่ได้อยู่ในห้องนี้?!!

ทว่าแม้อังคารจะเกิดพุทธิปัญญาในท้ายที่สุด ทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว

เพราะในระหว่างที่เด็กหนุ่มหัวหมุนอยู่กับการไล่กระแทกผนังห้องเชือดอย่างเอาเป็นเอาตาย ฆาตกรที่ถูกทำให้หลับไหลก็ฟื้นคืนสติพร้อมกับระเบิดโทสะลูกใหญ่ที่รอการปลดปล่อย ชยินใช้มือข้างหนึ่งกดเลือดตรงท้ายทอย ส่วนอีกข้างถือเศษเชือกที่เหลือความยาวร่วม ๆ วาเดินตามกลิ่นความกลัวมาจนเจอเหยื่อวิ่งพล่านอยู่ในห้องทำงานของตัวเอง

“อย่าเข้ามานะ!” เสียงลมหายใจดังฟืดฟาดกับเสียงฝีเท้าที่ดังก้องของชยินทำให้อังคารวิ่งอ้อมไปตั้งหลักต่อสู้ตรงอีกฟากของเตียงผ่าตัด เด็กหนุ่มชี้หน้าฆาตกรพร้อมข่มขู่เต็มความสามารถไม่ขาดปาก

“ถ้าไม่อยากเจ็บตัว อย่าเข้ามานะเว่ย!” เอาวะ! ต่อให้อีกฝ่ายจะได้เปรียบด้านกายภาพ แต่คนตัวเล็กกว่าก็ใช่ว่าจะล้มช้างไม่ได้เสียหน่อย

“...อ่อก!!...” แทนที่ชยินจะตอบโต้ด้วยวาจาเผ็ดร้อนไม่ต่างกัน เจ้าถิ่นกลับผลักเตียงชันสูตรติดล้อเข้าใส่อีกฝ่ายจนขอบเตียงโลหะกระแทกเข้ากับหน้าท้องของอังคารจนเจ้าตัวครางอู้ และก่อนที่เด็กหนุ่มจะทันต่อสู้ปัดป้อง ชยินก็โผเข้าใส่พร้อมกับใช้เชือกรัดลำคอผอมกะหร่องอย่างไม่ปรานี “...อ่อย... อ่อยย!

“โอ๊ย!!” แม้จะไม่เจนจัดด้านการออกอาวุธ หนำซ้ำยังโดนชยินรัดคอตัดกำลัง แต่อังคารกลับสู้ไม่ถอย เด็กหนุ่มปักปลายมีดผ่าตัดลงบนต้นขาของคู่ต่อสู้ก่อนจะจ้วงกรีดเป็นแนวยาว ความเจ็บปวดแบบไม่ทันตั้งตัวเปิดโอกาสให้คนเกิดทีหลังหลุดรอดจากเงื้อมมือเพชรฆาตไปได้อีกครั้ง ทว่าชั่วอึดใจที่อังคารกำลังจะตบเท้าวิ่งย้อนกลับไปหาทางออกในห้องอื่น ๆ เจ้ากรรมนายเวรก็โขยกเขยกคืบคลานตามมากระชากเอวเขาจนหกล้มระเนระนาดไปตาม ๆ กัน “ไอ้เหี้ย! ปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะ โอ๊ย!! ไอ้สัด อย่าให้กูหลุดไปได้เชียวนะมึง กูจะฆ่ามึง กูจะฆ่ามึง!

สิ้นเสียงบริภาษไม่เป็นภาษาของอังคาร เด็กหนุ่มก็ทั้งเตะ ทั้งถีบ ทั้งกัดเจ้าของร่างที่ทาบทับอยู่เหนือลำตัว ฝ่ายชยินที่เริ่มจะบันดาลโทสะจนไม่รับรู้เหตุผลก็รวบลำคอผอมเกร็งนั่นเอาไว้ด้วยฝ่ามือทั้งสองข้างด้วยหวังกำราบให้เหยื่อยอมศิโรราบโดยเร็ว “...อ่อย... อ่อย!! อ่อก... อ่อ...”

พลั่ก!

“หลบไปตรงโน้นเพียร!” อยู่ดี ๆ สัตยาที่เป็นยิ่งกว่าอัศวินม้าขาวของอังคารก็โผล่มาเงื้อปลายเท้าเตะเข้าที่ปลายคางของชยินอย่างเหมาะเหม็ง นายตำรวจประคองเด็กเมื่อวานซืนที่ยังคงสำลักน้ำลายจนไม่เป็นอันทำอะไรให้ลุกขึ้นนั่งก่อนจะออกคำสั่งซ้ำด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “ไปนั่งรอฉันตรงนั้นก่อนนะเพียร”

สัตยาอดโมโหตัวเองไม่ได้ที่มัวเสียเวลาไปกับการค้นหาอังคารผิดที่ผิดทาง
หากเมื่อกี๊เขาชักช้าไปเพียงชั่วพริบตา คงไม่แคล้วว่าต้องจมอยู่กับความเสียใจไปตลอดชีวิตเป็นแน่

“เฮ่ยคุณ! ระวัง!” อังคารร้องเสียงหลงเมื่อเห็นร่างที่เพิ่งล้มพังพาบไปเมื่อหมาด ๆ สามารถยันตัวตั้งฉากขึ้นจากพื้นได้อีกครั้ง สถานการณ์คาบลูกคาบดอกตรงหน้าสั่งให้สัตยาตัดสินใจจัดการกับต้นตอของปัญหาอย่างเด็ดขาด ชายหนุ่มผลักเด็กเลี้ยงแกะให้หลุดจากพื้นที่สุ่มเสี่ยงก่อนจะหันไปแลกหมัดกับอสรพิษบาดเจ็บที่พร้อมสู้ตายถวายชีวิต

แม้สมัยเรียนสัตยาจะเก่งทั้งบู๊และบุ๋นจนติดอันดับนักเรียนนายร้อยดีเด่น แต่เมื่อคู่ต่อสู้ตกอยู่ในสภาวะเลือดเข้าตา ความสามารถด้านการวางมวยในระยะประชิดของทั้งสองฝ่ายจึงแทบจะก้ำกึ่งสูสี ถึงอย่างนั้น นายตำรวจผู้เก๋าสังเวียนกว่าก็หาจังหวะเตะสกัดขาจนอีกฝ่ายเสียหลัก ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลังแล้วสอดวงแขนล็อกใต้ลำคอเพื่อปิดฉากได้อย่างสวยงาม

ฝ่ายชยินที่เริ่มจะตาลายจนเห็นแสงวูบวาบในกระบอกตาอีกครั้งก็พยายามสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมเป็นพัลวัน กระนั้นแรงกดของวงแขนบริเวณใต้กรามทั้งสองข้างกลับทำให้เขาเริ่มเฉื่อยชาขึ้นทุกวินาที ทว่าก่อนที่เด็กหนุ่มจะพ่ายแพ้แก่ท่าเชือดของสัตยาจนหมดรูปนั้นเอง เสียงหวีดร้องอย่างเจ็บปวดของไอ้ตัวแสบก็ทำลายสมาธิของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เสียย่อยยับ

“โอ๊ยยยย!

“ไอ้ท็อป?!” สัตยาหน้าถอดสีทันทีที่หันไปเห็นภาพของธีทัตขณะฟาดด้ามปืนลงบนศรีษะของอังคาร จากนั้นเพื่อนร่วมงานของเขาก็รวบร่างโผเผนั่นเอาไว้แล้วจ่อปลายกระบอกปืนลงแนบขมับบางที่เปื้อนเลือดเป็นทางอย่างตั้งอกตั้งใจ

“มึงกับกู... เรามายื่นหมูยื่นแมวกันดีกว่าว่ะ” สัตยาอดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า เรื่องทั้งหมดคงจะง่ายกว่านี้หากอีกฝ่ายคือธีทัต... เพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยนิสัยดีที่เขาเคยรู้จักมาตลอดชีวิต หาใช่ร่างอวตารของเทพแห่งการทำลายล้างผู้ยืนแสยะยิ้มร้ายกาจอยู่ตรงหน้า


*****|| TBC ||*****



เราเชื่อมั่นเหลือเกินว่า
เมื่ออ่านตอนนี้จบ ทุกคนก็จะยิ่งเยี่ยวเหนียวไปกันใหญ่
แต่ทางเราต้องขออภัยจริง ๆ เพราะเราวางพล็อตเดิมของตอนนี้เท่านี้จริง ๆ ค่ะ
และโปรดทราบโดยทั่วกันว่า หากไม่มีอะไรผิดพลาด
ตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายที่เราจะได้อ่านเรื่องราวของพี่เสือและน้องเพียรกันแล้ว
ฉะนั้น หากใครรู้สึกคับข้องประการใดก็อย่าลืมทิ้งคอมเมนท์ไว้ให้เราอ่านมั่งนะคะ
รักทุก ๆ คนเหมือนเดิมเลยค่ะ  ^^


Wednesday, September 20, 2017

ODD EYE ตาย ตา ตื่น : 12th Glance || 20.09.17

The 12th Glance


“คุณครับ” ผู้กองหนุ่มละล่ำละลักขณะพยายามสูดลมหายใจสะกดอาการเหนื่อยหอบพลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ โถงรับรองของโรงแรมอย่างเอาเป็นเอาตาย

“คะ?”

“น้องผมได้ฝากข้อความอะไรไว้บ้างไหมครับ” หลังจากแน่ใจว่าอังคารไม่ได้แอบหลบอยู่ตรงซอกมุมไหนของห้องพัก สัตยาที่ร้อนใจจนไม่อาจทนรอลิฟท์ได้ก็วิ่งหน้าตื่นลงบันไดจากชั้นสี่เพื่อมาสอบถามกลุ่มคนที่น่าจะรู้เห็นความเป็นไปของแขกทั้งหมดดียิ่งกว่าใคร ๆ ...

ขอให้พนักงานต้อนรับของโรงแรมรู้เห็นอะไรที่เป็นประโยชน์กับเขาบ้างเถอะ เพราะสิ่งสุดท้ายที่สัตยาต้องการ คือ การวิ่งเต้นเร่งเอกสารกว่าครึ่งค่อนวันเพื่อแลกกับการขอตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรมเพียงไม่กี่วินาที

“น้องคุณ?” สีหน้าเคร่งเครียดเหมือนคนแบกโลกของชายหนุ่มตรงหน้าทำให้พนักงานต้อนรับวางมือจากแป้นพิมพ์ด้านหลังเคาน์เตอร์เพื่อทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าของวันอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะคลี่ยิ้มการค้าพลางตอบคำถามของสัตยาอย่างสุภาพ “นอกจากกุญแจ น้องคุณก็ไม่ได้ฝากอะไรไว้ค่ะ”

หรือว่าจะแค่ออกไปซื้อของกินแถว ๆ นี้

“แล้วน้องผมออกไปตอนกี่โมงครับ?”

“เอ่อ น้องคุณลงมาฝากกุญแจตอนประมาณสิบโมงครึ่งค่ะ”

ครึ่งชั่วโมง... น่าจะยังไปไหนได้ไม่ไกล
.
.
... เว้นเสียแต่ว่า...

“แล้วพอจำได้ไหมครับว่า ตอนที่น้องผมเอากุญแจห้องมาฝาก มีใครลงมากับเขาหรือเปล่าครับ” แม้จะแอบหวังให้คำตอบ คือ อังคารหนีออกไปเที่ยวเล่นตามลำพัง แต่ลึก ๆ แล้ว สัตยากลับสังหรณ์ใจว่า ทุกอย่างจะไม่เป็นเช่นนั้น

“พอดีดิฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ แต่ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนว่าหลังจากฝากกุญแจแล้ว น้องคุณจะออกไปข้างนอกพร้อมกับผู้ชายคนนึงนะคะ”

นอกจากเขา เพียรยังจะออกไปไหนกับใครได้อีก... หรือว่า?!!...

“คุณพอจะบอกได้ไหมครับว่าคนที่ออกไปกับน้องผมรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง?”

ทั้งที่พยายามหักห้ามใจไม่ให้ทึกทักไปเองล่วงหน้า แต่เมื่อได้ยินคำตอบเมื่อครู่ของพนักงานโรงแรม อยู่ดี ๆ ชื่อของคน ๆ หนึ่งที่เขาและอังคารเพิ่งพาดพิงถึงในบทสนทนาเมื่อคืนไปหมาด ๆ กลับผุดขึ้นในห้วงสำนึกของสัตยาอย่างไม่อาจหักห้าม

เพื่อนคุณที่ชื่อท็อปเขาเป็นคนยังไงเหรอ
ไอ้ท็อปมันนิสัยดี ไว้ใจได้ แถมยังเป็นตำรวจที่เก่งมาก ไม่งั้นฉันคงไม่ฝากให้มันช่วยตามหาขลุ่ยอีกแรงหรอก
...เหรอ... แต่เขาดูแปลก ๆ...

“อืม ดิฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะเพราะเห็นแค่แว้บเดียว รู้แต่ว่าน้องคุณออกไปกับผู้ชายใส่หมวกแก๊ป ผิวขาว แล้วก็ตัวสูงใหญ่ประมาณคุณนี่แหละค่ะ” สิ้นคำ เจ้าหล่อนก็หันไปขอความเห็นเพิ่มเติมจากเพื่อนร่วมกะ ฝ่ายสัตยาเองก็ไม่ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ ชายหนุ่มรีบค้นรูปถ่ายของผู้ต้องสงสัยหนึ่งเดียวในมือถือแล้วยื่นให้พนักงานโรงแรมเพื่อประกอบการตัดสินใจทันที

“ใช่ผู้ชายคนนี้หรือเปล่าครับ?” แน่นอนว่าเมื่อมีหลักฐานให้เปรียบเทียบกับภาพในความทรงจำ มีหรือที่พนักงานโรงแรมทั้งสองจะหลงลืมคนที่เพิ่งเห็นผ่านตาไปเมื่อราว ๆ หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้า

“ผู้ชายคนนี้แหละค่ะที่ออกไปกับน้องคุณ” ไม่ใช่แค่พนักงานหญิงตรงหน้าเท่านั้นที่ช่วยยืนยันความเข้าใจของนายตำรวจ หากแต่เจ้าหน้าที่ต้อนรับชายอีกคนก็พยักหน้าหงึกหงักพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย รู้ดังนั้น สัตยาจึงต่อสายหาลูกน้องของธีทัตเพื่อตรวจเช็กข้อมูลวงในเพื่อความแน่ใจอีกคำรบ

จวบจนเมื่อคนปลายสายยืนยันแน่ชัดแล้วว่า ตั้งแต่เวลาเริ่มงานเป็นต้นมา ยังไม่มีผู้ใดเจอธีทัตเลยสักคน ยิ่งไปกว่านั้น กำหนดการของเจ้านายในวันนี้ยังผิดไปจากที่เพื่อนร่วมรุ่นของเขาเอ่ยอ้างแบบลิบลับ สัตยาก็วิ่งพรวดพราดออกไปกระโดดขึ้นรถที่จอดขวางประตูทางเข้าด้านหน้าโรงแรมทันที

แต่แม้ชายหนุ่มจะรู้แล้วว่าอังคารหายไปกับใคร คำถามเร่งด่วนที่นายตำรวจยังต้องหาคำตอบให้ได้ก็คือ เขาจะไปตามหาไอ้ตัวแสบกับธีทัตได้ที่ไหนกัน?

***********

“หึ!” ภาพสะท้อนจากกระจกมองหลังทำให้คนขับรถหลุดหัวเราะอย่างพึงพอใจ

อยู่ดีไม่ว่าดี เสือกสะเออะโผล่มาให้คู่กรณีอย่างเขาเจอตัวถึงที่ แถมยังมีหน้ารวมหัวกับตัวปัญหาอย่างสัตยาด้วยเสียอีก... โธ่ คงจะหลงเข้าใจผิดว่ามีตำรวจคอยคุ้มกะลาหัวอยู่ใกล้ ๆ สินะ ถึงได้คิดว่าตัวเองเก่งกล้าสามารถ ริจะหนีเอาตัวรอด แต่ขอโทษเถอะไอ้หนู เขาน่ะทำเรื่องแบบนี้มาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว มีหรือจะพลาดปล่อยให้เหยื่อที่หมายตาหลุดมือไปง่าย ๆ

เมื่อบังคับรถเลี้ยวเข้าจอดได้ดั่งใจ ธีทัตก็ละสายตาจากร่างผอมแกร็นที่นอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนเบาะหลังเพื่อนั่งอ้อยอิ่งหวนระลึกถึงเหตุการณ์ที่เป็นต้นตอของสารพันเรื่องวุ่นวายที่กำลังจะปิดฉากลงในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้โดยเฉพาะ


เย็นวันหนึ่ง จู่ ๆ หมายเลขโทรศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วยเลขศูนย์สามสองก็ทำให้ธีทัตซึ่งจวนจะกลับถึงบ้าน เบนเข็มเปลี่ยนทิศทางบังคับพวงมาลัยมุ่งหน้าลงใต้โดยแทบไม่เสียเวลาใคร่ครวญ และก็นับว่าตัวเองคิดถูกจริง ๆ ที่ยอมขับรถฝ่าความมืดถ่อมาไกลถึงเพชรบุรีภายในคืนนั้น เพราะหากไม่ได้เขาเข้ามาสะสางปัญหาให้ ชยินคงถูกนายลงโทษขั้นเด็ดขาดจนเสียผู้เสียคนยิ่งไปกว่านี้

”ไอ้วิน! มึงทำเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย?! น่าแปลกที่จนถึงตอนนี้ ธีทัตยังคงจดจำความรู้สึกโกรธเกรี้ยวเมื่อแรกเห็นชยินกอดศพร้องไห้ราวกับคนเสียสติได้ไม่ลืม เด็กเวรนั่นประคองซากไร้ชีวิตเอาไว้ด้วยสัมผัสทะนุถนอมราวกับถูกหล่อหลอมขึ้นมาจากแก้วเนื้อดี แต่ครั้นเมื่อมันตระหนักได้ว่า สิ่งที่อยู่ในอ้อมกอดไม่ตอบสนอง มันก็เขย่าร่างนั้นอย่างไม่ปรานีปราศรัยประหนึ่งเครื่องระบายอารมณ์ก็ไม่ปาน

“...ขลุ่ย พี่ขอโทษ ขลุ่ยฟื้นขึ้นมาคุยกับพี่ก่อนสิครับ... ขลุ่ย ขลุ่ย!

“มึงฆ่าคนทั้งที่ไม่มีใบสั่งได้ยังไง? มึงฝ่าฝืนคำสั่งของนายได้ยังไง? มึงทำแบบนี้ได้ยังไง มึงทำได้ยังไง... ฮะไอ้วิน?!

“...ขลุ่ย พี่รักขลุ่ยนะครับ... ขลุ่ย ตื่นเถอะนะ พี่ขอร้อง...”

“กูบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าถ้าฆ่าแล้วไม่ได้อะไร ห้ามฆ่าคนตามใจเด็ดขาด!... ปล่อยศพนั่นเดี๋ยวนี้เลยนะมึง! เดี๋ยวกูจะเอาไปทิ้งให้เอง”

“ขลุ่ย! อยู่กับพี่นะขลุ่ย!” นอกจากจะไม่ยินดียินร้ายกับคำสั่งของธีทัตแล้ว ชยินยังขัดขวางไม่ให้นายตำรวจแตะต้องศพด้วยการออกแรงรัดร่างไร้วิญญาญเสียแน่นแถมยังนั่งเอาตัวบังไว้เสียอีก 

“ปล่อยสิวะไอ้วิน... มึงอยากให้คนอื่นเอาเรื่องนี้ไปฟ้องนายหรือไง?! ปล่อย! กูจะเอาศพไปทิ้ง!

“ขลุ่ย! ขลุ่ย! ขลุ่ย! ถ้าไม่เสียใจจนเป็นบ้า ชยินคงไม่กล้างัดข้อยื้อยุดศพกับธีทัตทั้งที่โดนขึ้นเสียงใส่ไม่ขาดปากแน่ ๆ แต่ขืนนายตำรวจยอมโอนอ่อน ปล่อยให้เด็กเวรกอดก่ายร่ำอาลัยศพตามอำเภอใจ สุดท้าย เขาเองนี่แหละที่ต้องก้มหน้ารับโทษทัณฑ์ทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้น การกำจัดซากนั่นไปให้พ้น ๆ เสียตั้งแต่เรื่องยังไม่แดงถึงหูนาย จึงเป็นทางออกที่ธีทัตเลือกโดยไม่ลังเล 

“กูบอกให้ปล่อยไงวะไอ้เหี้ย! สิ้นคำ ธีทัตที่โกรธจนเลือดขึ้นหน้าก็ประเคนฝ่าเท้ายันเข้ากลางอกของชยินจนอีกฝ่ายเสียหลักยอมปล่อยมือจากร่างไร้วิญญาณทั้งที่ไม่ตั้งใจ และนั่นก็ทำให้ผู้กองหนุ่มได้เห็นสภาพศพเต็ม ๆ ตาเป็นครั้งแรก “เฮ่ย!  แม่งเอ๊ย! มึงนี่ขยันหาเรื่องให้กูจังเลยนะไอ้วิน นี่มึงไม่รู้ใช่ไหมว่าไอ้เด็กนี่มันเป็นใคร?!

“...ขลุ่ย ขลุ่ย... ขลุ่ย...”

“โธ่โว้ยไอ้วิน! กูล่ะอยากจะฆ่ามึงให้ตาย ๆ ไปเสียจริง ๆ !

“ขลุ่ย! เอาขลุ่ยคืนมานะ! ขลุ่ย! ขลุ่... โอ๊ย! ยิ่งเมื่อตระหนักถึงความสำคัญของคนตาย ธีทัตก็ยิ่งควบคุมอารมณ์ได้ยากขึ้นทุกขณะจิต ชายหนุ่มเตะชยินที่พยายามยื้อแย่งร่างของเพียงอออีกครั้งจนอีกฝ่ายล้มกลิ้งไม่เป็นท่าก่อนจะกระทืบซ้ำเสียเต็มรัก  

“ถ้ามึงไม่อยากช้ำในตาย ก็นั่งเฉย ๆ อย่าออกไปเดินเพ่นพ่านที่ไหน เข้าใจไหมไอ้วิน”

“...”

“กูถามว่าเข้าใจไหม?”

“...ครับเฮีย...”

หลังจากได้ยินคนเป็นรับปากเป็นมั่นเหมาะ ธีทัตก็หันมาสนใจคนตายที่ถูกตนอุ้มขึ้นพาดบ่าต่อทันที “เฮ่อ! ไม่รู้เก็บกระจกตาตอนนี้จะยังทันอยู่ไหม... เอาวะ เดี๋ยวไปขอให้อาหมอช่วยดูให้อีกทีแล้วกัน”


จริงอยู่ว่าแม้การตัดสินใจในครั้งนั้นจะทำให้ธีทัตรู้สึกโล่งอกที่ช่วยปกปิดความผิดของชยินได้ทันการ หนำซ้ำพวกเขายังทำเงินจากตาข้างหนึ่งของศพได้อีกต่างหาก ทว่าทุกครั้งที่ผู้กองหนุ่มเผลอนึกถึงเหยื่อซึ่งถูกชยินพลั้งมือฆ่า เขาก็อดหนักใจไม่ได้...

หากรู้สักนิดว่าคนที่ทำให้ชยินพร่ำเพ้อละเมอหาอยู่เป็นแรมเดือน จนต้องพากันมาพลอดรักถึงที่บ้านเพชรบุรี คือ น้องบุญธรรมของเพื่อนร่วมรุ่นที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ธีทัตคงห้ามปราม หรือไม่ก็ออกหน้ากีดกันความรักครั้งนี้ของชยินจนถึงที่สุด  

“...อือ...” เสียงครางที่ดังมาจากตอนหลังของรถเรียกสติของชายหนุ่มให้กลับคืนสู่ปัจจุบันขณะอีกครั้ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าญาติรับสมอ้างของสัตยายังไม่ฟื้น ร่างสูงใหญ่หลังพวงมาลัยก็ค่อย ๆ ก้าวขาลงจากรถเพื่อเริ่มลงมือกำจัดขวากหนามสุดท้ายตามแผนการที่ตั้งใจไว้โดยไม่รอช้า

***********

ขณะรอฟังผลการตรวจเช็กภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดตามเสาไฟฟ้าในละแวกโรงแรมจากตำรวจจราจรในพื้นที่ตามคำแนะนำของรุ่นพี่ที่ตนเบี้ยวนัดเอาดื้อ ๆ สัตยาก็ขับรถวนไปรอบ ๆ ตัวเมืองเพื่อมองหาพาหนะซึ่งดูคลับคล้ายคลับคลากับรถคันที่ธีทัตขับมาจอดตรงหน้าคลินิกเมื่อวาน ทว่าภายหลังจากปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไปกว่าค่อนชั่วโมง เขาก็เริ่มรู้สึกเป็นกังวลกับสวัสดิภาพของอังคารจนสมาธิในการขับขี่หดหาย รู้ดังนั้น ผู้กองหนุ่มจึงเบี่ยงรถแล้วจอดเทียบข้างทางเพื่อนั่งหลับตาตั้งสติทันที

“พี่เสือ”

หืม?

 เสียงที่ได้ยินแผ่ว ๆ ทำให้สัตยาเบิกตากว้างพลางหันมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างเลิ่กลั่ก ทว่าเมื่อพบเพียงความว่างเปล่าภายในห้องโดยสาร ชายหนุ่มก็โขกหัวลงกับพวงมาลัยซ้ำ ๆ ด้วยหวังว่าความรวดร้าวทางกายจะช่วยลดทอนความคิดฟุ้งซ่านในหัวสมองลงได้บ้าง

“พี่เสือ” โชคดีที่อาการเจ็บบริเวณหน้าผากทำให้สัตยาแน่ใจล้านเปอร์เซนต์ว่า เสียงเพรียกที่เพิ่งผ่านเข้าโสตประสาท หาใช่ผลพวงจากความว้าวุ่นใจอย่างที่เผลอทึกทัก ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์จึงตั้งใจกวาดตามองหาที่มาของเสียงปริศนาอย่างเอาจริงเอาจังอีกครั้ง

“ขลุ่ย!” แม้จะตกใจกับภาพแผ่นหลังของน้องชายต่างสายเลือดที่เพิ่งลอยหายเข้าไปในส่วนท้ายของรถตู้แช่คันที่เพิ่งวิ่งผ่านหน้า แต่จิตใต้สำนึกที่พะวงถึงความปลอดภัยของอังคารยิ่งกว่าอะไรก็สั่งให้ร่างกายของสัตยาตอบสนองต่อคำใบ้ของเพียงอออย่างทันท่วงที... เอาเถอะ ถึงแม้จะหวังพึ่งพาเพื่อนร่วมอาชีพในท้องที่ไม่ได้ แต่สุดท้ายผีสางก็ยังไม่ทอดทิ้งเขาให้กลัดกลุ้มอยู่คนเดียวอีกแล้ว  


***********

“เพียร ตื่นเถอะ”

นี่คงเป็นความฝัน เพราะตั้งแต่จำความได้ น้อยครั้งนัก ที่จะมีใครสักคนปลุกเขาให้ตื่นจากนิทราด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟังขนาดนี้ ทว่าครั้นจะลืมตาเพื่อกลับมาเผชิญโลกอีกครั้ง เด็กหนุ่มก็ยังอดเสียดายช่วงเวลาที่จะได้พักผ่อนยาว ๆ โดยไม่ถูกฝันร้ายรบกวนไม่ได้ ดังนั้นในเมื่ออีกฝ่ายไม่ส่งเสียงทักท้วงใด ๆ อังคารก็ถือวิสาสะขดตัวพลางเปลี่ยนท่านอนให้สบายยิ่งขึ้น

กระนั้นแค่เด็กหนุ่มขยับปรับเปลี่ยนองศาของร่างกายเพียงองคุลี ความรู้สึกเจ็บแปลบอันเป็นผลจากการที่ทั้งแขนและขาถูกรวบมัดไพล่ไปด้านหลังเป็นระยะเวลานานก็ทำให้อังคารสะดุ้งตื่นทั้งที่ไม่เต็มใจ 

“เฮ่ย!” แทนที่สารรูปน่าสมเพชของตัวเองในเวลานี้จะทำให้เด็กหนุ่มตระหนกถึงขีดสุด ทว่ากลับกลายเป็นบรรยากาศรอบ ๆ ตัวเขาต่างหากที่สร้างความประหลาดใจแก่อังคารจนยากจะพรรณนา

ถ้าเสียงเรียกหวานหูเมื่อกี๊คือส่วนหนึ่งของความฝัน...
หมายความว่าความมืดมนอนธการที่ห้อมล้อมตัวเขาจนมองอะไรไม่เห็น คือ โลกแห่งความเป็นจริงอย่างนั้นน่ะเหรอ?  
แล้วไอ้ตำรวจชั่วคนนั้นมันหายหัวไปไหน? มันไม่ได้จับเขามาเพื่อฆ่าทิ้งหรืออย่างไร?

อังคารพลิกตัวนอนตะแคงเพื่อถ่ายเทน้ำหนักจากแขนและขาที่ถูกกดทับอย่างผิดท่าก่อนจะเพ่งตามองไปรอบ ๆ ตัวช้า ๆ เพื่อเก็บรายละเอียดและหาทางหนีทีไล่ไปพร้อม ๆ กัน

ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด สถานที่ ๆ ไอ้ตำรวจเก๊มันจับเขามาขัง น่าจะเป็นพื้นที่โล่ง ๆ ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างหรือประตูเลยสักบาน ไม่อย่างนั้นมันคงจะไม่มืดสนิทเหมือนโดนตัดไฟแบบนี้แน่ ๆ ...

เดี๋ยวนะ! ถ้าไอ้ห้องเส็งเคร็งนี่ไม่มีหน้าต่างหรือประตู แล้วเขาเข้ามาอยู่ในนี้ได้ยังไง?
หรือว่าไอ้ตำรวจนั่นมันจงใจจับเขามาทรมานอย่างช้า ๆ จนกว่าจะขาดใจตาย?
เอาไงล่ะทีนี้ มึงจะหนีไปจากที่นี่ได้ยังไงวะไอ้เพียร?  

“....กลับ... หาพี่...ครับ  รอ...” เสียงทุ้มต่ำฟังไม่ได้ศัพท์ที่ดังแผ่ว ๆ มาจากที่ไหนสักแห่งทำให้ความคิดฟุ้งซ่านที่ตีกันในหัวมีอันชะงักค้าง อังคารนอนตัวแข็งพลางกลั้นหายใจคล้ายกับกลัวว่าถ้าเผลอสูดลมหายใจรุนแรงเกินไปแล้วจะโดนคนร้ายจับตัวได้อย่างไรอย่างนั้น

ใครวะ? ใช่เสียงไอ้ตำรวจเก๊นั่นไหม?

“...มา...พี่...ไหม...” รอบนี้ เสียงพึมพำนั้นมาพร้อมกับแสงสว่าง เหตุที่อังคารรู้ว่าคนข้างนอกเปิดไฟ นั่นก็เพราะปลายทางของลำแสงนั้นลอดผ่านช่องเล็ก ๆ สาดเข้ามาถึงด้านในห้องจนเด็กหนุ่มเริ่มมองเห็นกรอบประตูเข้า ออกได้อย่างชัดเจน

ฉิบหายแล้วไอ้เพียร! มึงนี่มันซวยไม่เลิกจริง ๆ !!!

และก็เป็นภาพกรอบประตูซึ่งมีแสงสาดส่องลอดตามช่องเพียงวอมแวมนี่เองที่ช่วยย้ำเตือนความจำจนอังคารนึกเรื่องสำคัญบางประการได้ทันที... ไม่ผิดแล้ว ที่นี่ คือ สถานที่แห่งเดียวที่เขามักจะหวนกลับมาเสมอทุกครั้งที่ตกอยู่ในห้วงฝันร้าย และที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือมันยังเป็นลานประหารของเพียงอออีกด้วย 

“เฮ่ย!” ทันทีที่อังคารกระหวัดนึกถึงบุคคลผู้ล่วงลับ ดวงวิญญาณที่เฝ้ารังควานเขามาตลอดสองเดือนก็ปรากฏกายขึ้นตรงหน้า และก่อนที่คนเป็นจะถูกความหวาดกลัวจู่โจมจนเสียสติ เพียงออก็สั่งให้เศษเสี้ยวของเลือดเนื้อที่ยังคงมีชีวิตอยู่ภายในร่างกายของอังคารฉายภาพที่เจ้าตัวสมควรได้เห็นเป็นที่สุดในวินาทีนั้นเอง

หลังจากสบสายตากับเพียงออเพียงอึดใจ จู่ ๆ กรอบสายตาของอังคารที่เคยเห็นห้องมืด ๆ เมื่ออึดใจก่อนหน้า ก็เปลี่ยนมาจดจ้องมองดูใบมีดและเครื่องมือผ่าตัดครบชุดอย่างช้า ๆ ราวกับเจ้าของคลองจักษุมีเวลาชั่วกาลปวสานให้ผลาญเล่น ทว่าระหว่างที่รับชมการถ่ายทอดสดภาคบังคับอยู่นั้นเอง เด็กหนุ่มกลับพบว่า แทนที่รอบนี้เขาจะต้องทนดูหนังเงียบที่มีเนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองเหมือนทุกที คราวนี้อังคารกลับได้ยินเสียงพูดพึมพำดังแผ่ว ๆ ประกอบาภาพเคลื่อนไหวเป็นระยะ ๆ 

“...ขลุ่ย... หา... แล้ว... ครับ... คิดถึง...นะ...” แม้คุณภาพเสียงจะไม่คมชัด แต่เชื่อเถอะว่า หากต้องทนฟังเสียงดังกล่าวในความฝันเป็นประจำทุก ๆ ค่ำคืน  แถมถ้ายิ่งเพิ่งได้ยินเสียงนั่นไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนด้วยแล้ว ต่อให้อยากลืมแค่ไหน จิตใต้สำนึกของเขาก็ยังจำมันได้ฝังใจอยู่ดี

นี่มันเสียงของไอ้ฆาตกรที่ฆ่าขลุ่ยนี่หว่า!!

จังหวะที่อังคารมัวแต่ครุ่นคิดจนจิตใจวุ่นวายอยู่นั้น กรอบสายตาของเขาก็เบนไปจับจ้องหลอดแก้วขนาดเหมาะมือซึ่งมีลูกนัยน์ตาข้างหนึ่งลอยคว้างอยู่ท่ามกลางของเหลวสีคล้ายน้ำชาชงอ่อน ๆ “พี่คิด... ขลุ่ย... นะครับ”

เฮ่ย!!

สิ่งที่ทำให้อังคารตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ไม่ใช่ชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์ในขวดโหลที่จ่ออยู่ตรงหน้า ไม่ใช่แม้กระทั่งประโยคขาด ๆ หาย ๆ ที่เด็กหนุ่มพอจะเดาใจความได้ หากแต่เป็นเงาสะท้อนใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่ง และผู้ชายคนนั้น คือ คนสุดท้ายบนโลกที่เพียงออมองเห็น

***********

“อีกเดี๋ยวเดียวขลุ่ยก็จะได้ตาอีกข้างคืนมาแล้วนะ” ชยินทิ้งท้ายกับชิ้นส่วนร่างกายของเพียงออที่เขารักมากที่สุด ชายหนุ่มวางโหลแก้วกลับลงบนชั้นอย่างเบามือ จากนั้นจึงบ่ายหน้ามุ่งไปยังประตูบานหนึ่งที่คล้องกุญแจแน่นหนาจากภายนอกด้วยย่างก้าวที่กระฉับกระเฉง และร่าเริงผิดจากปกติวิสัยโดยสิ้นเชิง

ทว่าเมื่อปลดล็อกแม่กุญแจ ไขประตู และหมุนลูกบิดเปิดบานไม้ออกกว้าง เขากลับพบว่า แทนที่เจ้าของร่างซึ่งฟูมฟักดวงตาอีกข้างของอดีตคนรักจะสลบไสลไม่รู้เรื่อง กลับกำลังนั่งคุกเข่ารอท่าราวกับตั้งตารอพบหน้ากันมาเนิ่นนาน

ทว่าเรื่องน่าประหลาดใจยิ่งไปกว่านั้น เห็นจะหนีไม่พ้นการที่เหยื่อซึ่งถูกจับมัดให้นอนรอความตายอยู่ในห้องมืดผู้นี้ กลับทอดสายตาห่วงหาอาวรณ์จ้องมองดูเขาอย่างจงใจ ก่อนจะคลี่ยิ้มละมุนละไมพลางเอื้อนเอ่ยประโยคที่ชยินอยากได้ยินมาตลอดสองเดือนออกมาในท้ายที่สุด

“ขลุ่ยกลับมาหาพี่วินแล้วนะครับ”
    


*****|| TBC ||*****



เมื่อตอนที่แล้วมีคนอ่านกรุณาแจ้งว่า
อ่านเรื่องนี้โดยเข้าด้วย Internet Explorer แล้วมีปัญหา
ดังนั้น เราแนะนำ ให้ทุกคนใช้ Chrome เป็น Web Browser นะคะ
เพราะเนื้อหาจะครบถถ้วน สมบูรณ์ ไม่ตกหล่นอย่างแน่นอน
หากผู้อ่านท่านไหนประสบปัญหาอื่น ๆ ในการอ่านนิยายเรื่องนี้
ได้โปรดชี้แนะเราด้วยนะคะ เพราะหากอะไรที่เราพอปรับปรุงได้ เราก็ยินดีทำค่ะ
ขอให้อ่านอย่างมึความสุขค่ะ ^^