Monday, August 27, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#22|| 27.08.2018


#22
(อดีตของคเชนทร์)

โปรด อย่าถาม ว่าฉันเป็นใคร เมื่อในอดีต
และโปรดอย่าถาม ว่าอดีต ฉันเคยรักใคร
จงรัก - ทิพวัลย์ ปิ่นภิบาล

…………………………………………………………………………………………………………

“แม่หวัดดีจ้ะ” เด็กชายคเชนทร์วัยสิบขวบจอดจักรยานพิงข้างเสา วางกระเป๋าสะพายบนอีกฝั่งของแคร่ที่มารดานั่งอยู่ จากนั้นจึงทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ หล่อน “มาแม่ หนูช่วย”

นางชั้นละสายตาจากถาดใส่ผักกระเฉดตรงหน้า หล่อนเช็ดมือกับผ้าถุงลวก ๆ แล้วลูบผมลูกชายหัวแก้วหัวแหวนพลางคลี่ยิ้มละไม “ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าก่อนไปแล้วค่อยลงมาช่วยแม่”

“จ้ะแม่” เด็กชายพยักหน้าแล้ววิ่งขึ้นเรือนโดยไม่รอช้า

เพียงไม่นาน คเชนทร์ก็อาบน้ำเสร็จ ทว่าจากที่เดิมตั้งใจจะรีบลงไปช่วยมารดาเตรียมอาหารเย็น เด็กชายในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวกระโจมอกก็เดินเลี้ยวไปฉวยผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ของพ่อไปหยุดยืนหน้ากระจก สองมือเล็ก ๆ รวบชายผ้าพันรอบ ๆ ศีรษะคล้ายตั้งใจปิดบังผมทรงรองหวีของตัวเองให้มิดชิด เมื่อโพกผืนผ้าแน่นหนาดีแล้ว เด็กชายก็แสร้งทำทีปัดชายผ้าขนหนูที่ทิ้งตัวกรุยกรายอยู่ด้านหลังไปซ้ายทีขวาทีเหมือนที่เคยเห็นพวกพี่ ๆ ผู้หญิงที่โรงเรียนทำตอนสะบัดผม

แม้ผ้าขนหนูสีน้ำเงินผืนเก่งของพ่อจะซีดหมองเป็นด่างดวง หากแต่ไม่ได้ลดทอนความงามของเส้นผมตรงสลวย เงางาม ที่ยาวระบั้นเอวในจินตนาการ ตรงข้าม มันกลับช่วยส่งเสริมให้ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขายิ่งดูหวานล้ำชวนมองเสียจนอดคลี่ยิ้มอย่างขวยเขินให้กับเงาในกระจกไม่ได้

นับวัน คเชนทร์ก็ยิ่งหักห้ามใจจากการละเล่นหน้ากระจกเงาตรงโต๊ะเครื่องแป้งของแม่ได้ยากเย็นขึ้นทุกที ยิ่งถ้าวันไหนมารดาต้องติดตามพ่อไปงานบุญ ร่วมประชุม หรือต้องออกเดินสายเยี่ยมเยียนลูกบ้านในเขตห่างไกล เด็กชายก็มักจะหาข้ออ้างขออยู่โยงเฝ้าบ้านตามลำพังเพื่อจะได้แอบเอารูจแท่งสีแดง ๆ ของแม่มาแต่งหน้าทาปาก โก่งคอร้องลิเก ออกท่าทางชะม้ายชายตาเลียนแบบนางวันทองสองผัวอย่างเพลิดเพลิน

เด็กชายเทแป้งหอมของแม่ใส่อุ้งมือก่อนจะเกลี่ยปลายนิ้วแตะฝุ่นสีขาวอย่างเนิบนาบ เสียงไม้กระดานลั่นเอี๊ยดอ๊าดดังไม่ใกล้ไม่ไกลทำให้มือที่กำลังจะไล้ผงแป้งลงตรงเหนือหว่างคิ้วชะงักค้าง คเชนทร์ละเลงแป้งในมือลงทั่วหน้าอย่างลนลาน จากนั้นจึงกระชากวิกผมอุปโลกน์แล้วโยนส่ง ๆ ไปทางราว เคราะห์ดีที่ผ้าเช็ดตัวของพ่อพาดลงตำแหน่งเดิมอย่างเหมาะเจาะ นางชั้นที่เพิ่งหอบเสื้อผ้าแห้งกองใหญ่เดินขึ้นมาบนเรือนจึงไม่ทันเห็นความลับของบุตรชาย

“ทำไมไม่แต่งตัวซักทีล่ะเชน มัวแต่เล่นอะไรอยู่” หล่อนแขวนเสื้อกับราวพลางเอ่ยติงอย่างไม่จริงจังนัก

“หนูเพิ่งอาบน้ำเสร็จน่ะแม่”

พอหันมาเห็นใบหน้าขาววอกของบุตรชาย นางชั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ “ไป ๆ แต่งตัวได้แล้ว จะได้ลงไปช่วยแม่โขลกน้ำพริก เย็นนี้แม่จะทำแกงส้มปลาช่อนกับกระเฉด ดีไหม”

“ดีจ้ะแม่

••••••

“เดี๋ยวกลับเลยเหรอเชน” เด็กสาวผมยาวหน้าตาจิ้มลิ้มในชุดเสื้อนักเรียนกับโจงกระเบนสีแดงสำหรับซ้อมรำรวบกระเป๋านักเรียนกับย่ามสะพายวิ่งตามหลังของคเชนทร์มาติด ๆ วันนี้เป็นเวรเก็บกวาดห้องซ้อมของเจ้าหล่อนกับคเชนทร์ คู่รำคู่หน้าสุดอย่างพวกเขาจึงต้องอยู่รั้งท้ายเพื่อช่วยครูเก็บห้องซ้อมตามลำพัง

“อือ วันนี้เราขอพ่อกลับบ้านได้แค่ก่อนหกโมงน่ะ” ด้วยตำแหน่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านของบิดา บุตรชายโทนอย่างคเชนทร์จึงคุ้นเคยกับการปฏิบัติตามคำสั่งรวมถึงกฏบ้านต่าง ๆ เป็นอย่างดี

“งั้นก็ต้องรีบกันหน่อยแล้วสิ”

“ไม่ต้องห่วงหรอก เราปั่นจักรยานเดี๋ยวเดียว ทันถมเถ” เด็กหนุ่มร่างเล็กยิ้มขำเมื่อเห็นเพื่อนต่างห้องวิ่งหน้าตั้งตามมาทั้งที่ยังใส่ชุดซ้อมรำเต็มยศ แม้จะไม่มีกฏห้าม แต่โดยมากแล้วพวกคุณครูนาฏศิลป์มักจะกำชับให้เหล่านางรำประจำโรงเรียนทั้งหญิงและชายแต่งกายอย่างถูกต้องตามระเบียบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำ คเชนทร์จึงอดทักขึ้นไม่ได้ “จะไม่เปลี่ยนกระโปรงจริง ๆ น่ะเหรอ”

“ไม่ล่ะ บ้านเราเดินสิบก้าวก็ถึง ไม่มีใครเห็นหรอก” คู่สนทนาแค่นยิ้มพลางเร่งความเร็วฝีเท้าก้าวจนทันเพื่อน... โรงเรียนเปลี่ยวขนาดนี้ ขืนเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำแล้วเห็นอะไรแปลก ๆ เหมือนพวกรุ่นน้องที่เจอเมื่อวันก่อน หล่อนต้องแย่แน่ ๆ

“ถ้างั้นก็เดินกลับบ้านดี ๆ นะ”

เมื่อทั้งคู่เดินพ้นรั้วโรงเรียน เด็กสาวก็เอ่ยคำอำลาพลางโบกมือให้คู่รำที่กำลังปีนขึ้นคร่อมอานจักรยานอย่างคล่องแคล่ว “เชนก็ขี่จักรยานกลับบ้านระวัง ๆ ล่ะ”

“ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้เจอกัน”

“พรุ่งนี้เจอกัน” ว่าแล้ว เจ้าหล่อนก็เหม่อมองแผ่นหลังที่ค่อย ๆ หดเล็กลงของเพื่อนก่อนจะหมุนตัวแล้วบ่ายหน้ามุ่งกลับบ้านบ้างเช่นกัน
.
.
.
.
“แม่หวัดดีจ้ะ”

“เชน กลับมาแล้วเหรอลูก”

แทนที่จะยิ้มรับลูกชายเหมือนทุกวัน นางชั้นกลับมีสีหน้าลำบากใจจนเด็กหนุ่มที่เพิ่งเปลี่ยนคำนำหน้าเป็นนายได้เพียงสองเดือนอดสงสัยไม่ได้ “แม่... แม่เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”

คเชนทร์ยังไม่ทันทรุดตัวลงนั่งบนแคร่ตัวเก่า สิ่งของคุ้นตาหลายต่อหลายชิ้นก็ถูกเขวี้ยงลงมาจากนอกชานด้านบนอย่างรุนแรง ฉับพลันที่สายตากวาดมองเศษซากของสิ่งละอันพันละน้อยบนพื้นจนถ้วนทั่ว เขาก็ถูกความรู้สึกหนาวเหน็บหวาดกลัวจู่โจมจนทั้งร่างชาดิก... นั่นมันของที่เขาซ่อนไว้หลังตู้นี่นา

“มึงกลับมาก็ดี ไหนมึงบอกกูซิไอ้เชนว่าของพวกนี้มันคืออะไร”

เงาร่างสูงใหญ่ของบิดาที่ค่อย ๆ ทอดตัวต่ำลงมาตามขั้นบันไดดูน่าเกรงขามยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ... ตั้งแต่จำความได้ เขาไม่เคยเห็นพ่อโกรธมากขนาดนี้มาก่อน “ทำไมในห้องมึงถึงมีของพวกนี้”

สิ้นเสียงตวาด ตลับเครื่องสำอางสีชมพูแสนสวยที่เขาเฝ้าอดออมเงินค่าขนมกับเงินรางวัลที่ได้จากการประกวดรำก็ถูกเขวี้ยงลงพื้นจนแตกกระจายพร้อม ๆ กับความอดทนของบิดา “กูถามว่าของพวกนี้คืออะไร”

“...เอ่อ...” เด็กหนุ่มสูดน้ำมูกพลางเสมองพื้นด้วยความละอายใจ

ก่อนจะเริ่มสะสม ของรักของหวง เหล่านี้ คเชนทร์เคยนึกกังวลด้วยกริ่งเกรงบิดาผู้เข้มงวดอยู่ใช่เบา แต่เพราะที่ผ่านมา ความชอบของเขาไม่เคยก่อปัญหา เด็กหนุ่มจึงเชื่อมั่นว่า อย่างไรเสีย ตนน่าจะเก็บความลับได้แนบเนียนมากพอ คิดได้ดังนั้น คเชนทร์ก็เริ่มให้รางวัลตัวเองด้วยเครื่องสำอาง รวมถึงเครื่องประดับและเสื้อผ้าสตรีชิ้นแล้วชิ้นเล่าเท่าที่ตนจะเก็บหอมรอมริบได้

“มึงบอกกูมา มึงไปขโมยของ ๆ ใครมา” คำถามล่าสุดทำให้เด็กชายยอมเงยหน้าขึ้นมองบิดาซึ่งกำลังยืนจับจ้องเขาอย่างดุดันอยู่ตรงหน้าบันได ดวงตาที่เคยทรงอำนาจ บัดนี้แดงก่ำอีกทั้งยังถูกเคลือบด้วยม่านน้ำตาบาง ๆ

แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าบุพการีกำลังอ้อนวอนให้เขาอ้างชื่อใครก็ได้ขึ้นมาสักคน...
จะเป็นใครก็ได้ ขอเพียงแต่จะต้องไม่ใช่ตัวเขา
แค่เท่านั้น อีกฝ่ายก็พร้อมจะเชื่อหมดใจโดยไม่ตั้งคำถามเกี่ยวกับเครื่องสำอางทั้งหมดนี่อีกเลย
ทว่ายิ่งมองสีหน้าสิ้นหวังระคนเกลียดชังของผู้ให้กำเนิดนานขึ้นเท่าไร คเชนทร์กลับยิ่งเบื้อใบ้พูดอะไรไม่ออก

“กูถามว่าของใคร!

“พี่... ไว้ค่อยคุยกันวันหลังเถอะนะจ๊ะ” นางชั้นรีบเข้ามาไกล่เกลี่ยเพราะไม่อยากให้เรื่องนี้ร้อนไปถึงหูบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ผู้เป็นสามีกลับไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ

“มึงจะไม่ตอบใช่ไหมไอ้เชน... ได้!

กว่าคเชนทร์จะรู้ตัวว่าในมือพ่อยังมีสมบัติสำคัญของตนอยู่อีกหนึ่งชิ้น ก็เป็นตอนที่บิดาดีดก้านไม้ขีดติดไฟลงบนวิกผมยาวที่ตนอุตส่าห์ปีนขึ้นไปซ่อนไว้เหนือขื่อ เส้นผมสังเคราะห์ที่เคยเงางามยามต้องแสงถูกความร้อนแผดเผาจนหงิกงอส่งกลิ่นเหม็นชวนวิงเวียน ก่อนจะกลายเป็นเถ้าถ่านภายในชั่วพริบตา การถูกพรากของรักไปจากอกทำให้เด็กหนุ่มเจ็บปวดจนหลั่งน้ำตาพลางกรีดร้องหวนไห้ราวกับเปลวไฟกำลังลุกไหม้หนังศีรษะของตนเองอยู่ก็ไม่ปาน

“พ่อ... ฮือออ!

“แม่ชั้น คืนนี้ไม่ต้องให้มันกินข้าวนะ” เมื่อเอ่ยประโยคนั้นจบ บิดาก็ไม่พูดกับเขาตรง ๆ อีกเลย ส่วนมารดาก็คุยกับเขาแทบนับคำได้

ทว่านั่นกลับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ทำให้คเชนทร์ในวัยสิบห้าปีตระหนักถึงความจริงที่ว่า สิ่งที่เขาเป็นยามอยู่ในที่ลับตาผู้คนมีความสำคัญกับบุพการีมากกว่าการเป็นลูกที่ดี นักเรียนที่เรียบร้อย ขยันและตั้งใจเรียน และเด็กหนุ่มผู้อยู่อ่อนน้อมถ่อมตนและอยู่ในโอวาทของผู้ใหญ่ หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็ถูกพ่อพาตระเวนไปสำนักคนทรงหมอผีต่างอำเภอครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเอาวิญญาณผู้หญิงที่สิงสู่อยู่ในร่างออกจากตัว

แม้จะเจ็บปวดกับท่าทีปฏิเสธของผู้ให้กำเนิด เด็กหนุ่มก็ไม่เคยปริปากบ่นเมื่อต้องกินยาต้มขม ๆ หลากขนาน อีกทั้งยังไม่เคยเสียน้ำตาหรือคร่ำครวญเมื่อโดนกระทำทารุณสารพัดรูปแบบระหว่างเข้าร่วมพิธีที่พ่อหลงเชื่อในฐานะเด็กชายที่ถูกผีตายโหงครอบงำจิตใจ แต่แล้วเหตุการณ์ที่ทำให้คเชนทร์ตัดสินใจหนีเข้ากรุงเทพฯ ทั้งที่ยังไม่จบมอ.ต้นก็มาถึงในที่สุด

ถ้าถามเขา เด็กหนุ่มจำคำพูดร้ายกาจของบิดาในวันนั้นแทบไม่ได้ ทว่าสิ่งเดียวที่ติดแน่นในความทรงจำนอกเหนือไปจากการถูกปฏิเสธเรื่องกลับไปเรียนต่อตามเดิมแล้ว คือแววตาเกลียดชังของพ่อตอนลั่นวาจาว่า กูยอมให้มึงโง่ ดีกว่าต้องอายขี้ปากชาวบ้านว่ามึงมันวิปริตผิดเพศ...

ถ้าพ่อกับแม่อับอายกับสิ่งที่เขาเป็นนัก คเชนทร์ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทนอยู่ในที่ที่ไม่มีใครต้องการต่อไปอีกทำไม

••••••

“เชน”

“ครับพี่”

“เดี๋ยวช่วยเอาพวงมาลัยพวกนี้ไปคืนให้พี่หน่อยสิ” เด็กเสิร์ฟรับแบงค์สิบจากมือหล่อนหย่อนใส่กระเป๋าเสื้อกั๊กพลางเหลือบมองกองพวงมาลัยดอกไม้สดตรงหน้านักร้องสาวอย่างพินิจพิเคราะห์ เขาจำได้ว่าตอนลงจากเวที พวงมาลัยพวกนี้ยังมีธนบัตรหลายสีติดอยู่เต็มไปหมด สงสัยเจ้าหล่อนคงจะเก็บเงินเรียบร้อยแล้ว

“ได้ครับ”

“เอ้อ เดี๋ยวเชน”

“ครับ”

“ขากลับพี่ขอเป๊บซี่กับน้ำแข็งแล้วก็ผ้าเย็นด้วยนะ”

“ขอเบียร์ให้พี่ด้วย... ขวดนึง ลงบัญชีพี่นะ เดี๋ยวกลับมาค่อยให้ติ๊ป” หญิงสาวในชุดวับ ๆ แวม ๆ ที่นั่งเติมปากอยู่ตรงอีกฝั่งของห้องส่งเสียงโดยไม่ละสายตาจากขอบปากที่หล่อนกำลังวาดใหม่

“ได้ครับพี่” คเชนทร์ในวัยสิบหกปีรับคำแข็งขันก่อนจะหอบพวงมาลัยดอกไม้สดกองใหญ่ติดมือเดินออกมาจากห้องแต่งตัวนักร้อง ทว่ายังเดินได้ไม่ไกล เขาก็โดนนักร้องอีกคนรั้งตัวไว้ ต่อเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่าย เด็กหนุ่มก็อดทักทายด้วยท่าทีคุ้นเคยไม่ได้ “อ้าวพี่นวย ร้องเสร็จแล้วเหรอ”

“เปล่า แต่พี่จะมาคุยกับเชนก่อน”

สีหน้าตื่นเต้นจนดูผิดสังเกตของอำนวยซึ่งเป็นพี่ชายคนหนึ่งของกลุ่มเพื่อนนางรำทำให้คเชนทร์นึกสงสัย “มีอะไรหรือเปล่าพี่ แล้วทำไมพี่ยิ้มแบบนั้น”

“เดี๋ยวคืนนี้เชนไปลาออกเลยนะ”

“อ้าว ทำไมล่ะพี่ หนูทำงานไม่ดีเหรอ”

“เด็กโง่ เพื่อนพี่หางานให้เชนได้แล้วต่างหาก” อำนวยลูบหัวเด็กหนุ่มพลางกระเซ้า “เชนเคยบอกว่าเชนอยากไปทำงานที่คาบาเร่ต์ไม่ใช่หรือไง”

นับตั้งแต่พ่อยื่นคำขาดเรื่องเรียน คเชนทร์ก็แอบติดต่อกลุ่มเพื่อนนางรำเพื่อขอความช่วยเหลือ และภายในระยะเวลาสองอาทิตย์ให้หลัง แผนการหนีเข้ากรุงเทพฯ ของเขาก็สำเร็จลงอย่างสมบูรณ์ ทันทีที่เด็กหนุ่มก้าวเท้าลงจากรถทัวร์ที่หมอชิต อำนวยก็กลายเป็นพี่ชายและผู้ปกครองคนใหม่ของเด็กไร้บ้านในเมืองหลวงอย่างเขาไปในที่สุด

หลังจากชิมลางกับงานล้างจานจนพอจำแนกแยกแยะผู้คนแปลกหน้าได้ระดับหนึ่ง อำนวยก็พาน้องชายคนใหม่ไปสมัครงานเป็นเด็กเสิร์ฟในคาเฟ่ที่ตนร้องเพลงอยู่ ค่าแรงที่น้อยกว่าคนอื่นไม่ได้ทำให้คเชนทร์นึกท้อ กลับกัน เสน่ห์ของแสงสปอตไลท์ที่สาดส่องลงบนเรือนร่างที่สวมใส่เสื้อผ้าหรูหราระยิบระยับของเหล่านักร้องกลางคืนดึงดูดให้เด็กบ้านนอกอย่างเขาหลงใหลในแสงสีจนถอนตัวไม่ขึ้น

นิสัยรักสวยรักงามกับความคลั่งไคล้ในการแสดงทำให้ทุกครั้งที่ว่างจากงานเสิร์ฟ คเชนทร์จะมักเดินโฉบไปแอบดูนักร้องที่ห้องแต่งตัวเสมอ นานวันเข้า เขาก็กลายเป็นคนคุ้นหน้าที่เหล่านักร้องมักจะคอยเรียกหาเพื่อให้ซื้อน้ำร้อนน้ำชาอยู่เสมอ เมื่อเรื่องนี้ไปถึงหูเถ้าแก่ นอกจากคเชนทร์จะไม่โดนตำหนิแล้ว นายใหญ่ยังมอบหมายให้เด็กหนุ่มรับหน้าที่บ๋อยประจำห้องแต่งตัวนักร้องเพิ่มไปเสียอีก

การได้คลุกคลีกับนักร้องทุกผู้ทุกคน การได้เห็นกระเป๋าแต่งหน้าซึ่งอัดแน่นไปด้วยเครื่องสำอางมากกว่าที่เคยเห็นมาทั้งชีวิต การได้แอบหยิบชุดปักเลื่อมสวย ๆ มาทาบลงบนตัวเองแล้วส่องมองเงาในกระจกเป็นประจำทุก ๆ ค่ำคืนทำให้คเชนทร์เริ่มวาดหวังถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จนเมื่อไม่อาจเก็บงำความฝันไว้กับตัวได้อีกต่อไป เด็กหนุ่มจึงมักจะเผลอบ่นระบายถึงอาชีพเต้นกินรำกินที่ตนอยากลองทำให้อำนวยฟังอยู่เนือง ๆ

และด้วยเหตุนี้เอง คเชนทร์ก็ได้รู้ว่าทำไมพี่นวยจึงใจดีกับเขาทั้งที่ไม่ใช่ญาติมิตร...

หลังผ่านชีวิตโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งพิง มีเพียงกันและกันเป็นเพื่อนร่วมแบ่งปันเรื่องทุกข์สุขมาถึงจุดนี้ อำนวยก็ยอมเปิดใจเล่าให้ฟังว่า เมื่อสิบปีก่อน เจ้าตัวต้องระเห็จออกจากหมู่บ้านเดิมของพวกเขาเพียงเพราะ ไม่เหมือนกับเด็กผู้ชายคนอื่น การจากบ้านเกิดเข้ามาหาเลี้ยงปากท้องตามลำพังในเมืองใหญ่ว่ายากแล้ว แต่การต้องเอาตัวรอดในสังคมด้วยเพศสภาพกึ่งกลางซึ่งยังไม่เป็นที่ยอมรับกลับลำบากลำบนจนแทบบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ แน่นอนว่าถ้าคเชนทร์ไม่ได้อำนวยช่วยชี้นำและคอยประคับประคอง นอกจากเขาจะเคว้งคว้างคลำทางไปต่อไม่เจอแล้ว แวดวงนางโชว์คงขาดดาวจรัสแสงอย่าง มาม่าช่า ไปอีกหนึ่งดวง

เมื่อแน่ใจว่าน้องชายอยากเป็นนางโชว์ อำนวยก็แนะนำให้คเชนทร์เริ่มกินยาคุมควบคู่ไปกับการไว้ผมยาวและหมั่นดูแลตัวเองด้วยสารพัดวิธีที่พวกสาวประเภทสองนิยมทำกัน ระหว่างนั้น ชายหนุ่มก็เริ่มติดต่อคนรู้จักที่พอมีเส้นสายในคาบาเร่ต์ดังแห่งหนึ่ง หลังจากสองพี่น้องโอบกอดความหวังรอคอยอยู่เกือบปี คำขอของคเชนทร์ก็ได้รับการตอบรับเมื่อช่วงหัวค่ำนี่เอง

“จริงเหรอพี่นวย พี่นวยไม่หลอกหนูนะ” คเชนทร์ยิ้มจนปากแทบฉีกถึงรูหู

“เรื่องปากท้องมันล้อเล่นได้ที่ไหนกัน”

ความจริงใจในแววตาของคู่สนทนาทำให้เด็กหนุ่มยิ่งซาบซึ้งในบุญคุณของอำนวยไปกันใหญ่ “ขอบคุณนะพี่ หนูขอบคุณพี่มาก ๆ ” ถ้าไม่ติดว่าถือพวงมาลัยอยู่เต็มสองมือ เด็กหนุ่มคงโผเข้าไปกอดอีกฝ่ายให้สมกับความยินดี...

ในที่สุด เขาก็จะได้ทำในสิ่งที่รักอีกครั้ง และถ้าวันหนึ่งเขาเกิดได้เป็นนางโชว์ขึ้นมาจริง ๆ เขาจะตั้งใจทำงานแล้วเก็บหอมรอมริบให้ได้เยอะ ๆ เพื่อที่จะได้รีบกลับบ้าน หอบเงินทองกองใหญ่กลับไปกองตรงหน้าพ่อกับแม่ เมื่อนั้น พวกท่านก็คงจะรู้ได้เองว่า ต่อให้เขาจะไม่ใช่ผู้ชาย แต่เขาก็ไม่ใช่ตัวน่าอับอายของครอบครัว

••••••

“อ้าวเชน ไปไงมาไง” อำนวยยิ้มกว้างเมื่อเห็นหน้าน้องชายที่ไม่ได้เจอหน้านานหลายเดือน “เข้ามา ๆ เข้ามาข้างในก่อน”

“วันนี้หนูหยุด หนูคิดถึงพี่ หนูเลยแวะมาเยี่ยม” เจ้าของห้องมองตามคเชนทร์ในวัยสิบเก้าที่ดูสวยงามหมดจดด้วยสายตาชื่นชม แขกผู้มาเยือนวางถุงของฝากลงบนโต๊ะญี่ปุ่นบนเสื่อน้ำมันก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วรินน้ำให้ตัวเอง “พี่ล่ะ เป็นไงบ้าง สบายดีไหม”

“ก็เหมือนเดิมแหละ เชนเถอะ เป็นยังไง” อำนวยฉุดแขนน้องให้นั่งลงใกล้ ๆ กัน “พี่ได้ยินคนเขาพูดกันว่าเชนได้เต้นเป็นตัวหลักแล้วเหรอ”

คเชนทร์จับลูกผมที่ปรกหน้าทัดไว้ตรงหลังหู เมื่อใบหน้าสวยหมดจดปราศจากการแต้มแต่งเครื่องสำอางไร้สิ่งกีดขวาง อำนวยก็เห็นริ้วสีแดงจาง ๆ ปรากฏบนพวงแก้มขาวในขณะที่เจ้าตัวกำลังอมยิ้มอย่างเก้อเขิน “ใช่พี่... หนูต้องขอบคุณพี่นวยนะ ถ้าตอนนั้นหนูไม่ได้พี่ช่วยไว้ หนูคงไม่มีวันนี้หรอก”

“พูดอะไรแบบนั้น เชนของพี่ทั้งสวยทั้งเก่ง ถ้าตาไม่บอด ใครก็ต้องอยากให้เชนเป็นตัวหลักทั้งนั้นแหละ” เขาไม่ได้ยกยอปอปั้นคเชนทร์จนเกินจริง ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกรวมถึงจริตจก้านและอากัปกิริยาของอีกฝ่ายก็ยิ่งดูละม้ายผู้หญิงเข้าไปทุกทีจนบางครั้งอำนวยยังนึกอิจฉาระคนทึ่ง

เมื่อเกือบห้าปีที่แล้ว อำนวยได้รับโทรเลขจากน้องสาวคนเล็ก เด็กสาวเขียนมาขอร้องว่าให้ช่วยดูแลเพื่อนคนหนึ่งสักพัก แม้จะลำบากใจด้วยเพราะตนเป็นเพียงชนชั้นแรงงานหาเช้ากินค่ำ แต่เมื่อนึกถึงภาพทารกตัวน้อยที่เขาเคยช่วยแม่ป้อนข้าวป้อนน้ำราวกับลูกของตัวเอง อำนวยก็ปฏิเสธไม่ลง

ความกังวลในช่วงแรกของชายหนุ่มหายไปทันทีที่ทั้งสองได้พูดคุยกัน อำนวยพบว่าคเชนทร์อ่อนโยน ขยันขันแข็ง อดทน และเชื่อฟังจนเขายังแปลกใจกับการตัดสินใจหนีออกจากบ้านของเด็กวัยเพียงสิบห้าผู้นี้ แต่หลังจากลอบสังเกตพฤติกรรมของอีกฝ่ายเพียงชั่วระยะหนึ่ง อากัปกิริยาและท่าทางนุ่มนิ่มเกินชายที่น้องแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติก็ทำให้ทุกอย่างกระจ่างแจ้ง

อำนวยมองเห็นอดีตอันขมขื่นของตัวเองอยู่ในรอยยิ้มเศร้า ๆ ของเด็กหนุ่ม...
พวกเขาทั้งคู่ต่างเป็นผลผลิตที่ผิดพลาดที่ครอบครัวไม่ยอมรับ

เมื่อประจักษ์ถึงตัวตนของคเชนทร์อย่างถ่องแท้ อำนวยก็ตั้งใจจะส่งเสริมอนาคตของน้องชายคนใหม่ให้ยิ่งเจิดจรัสก้าวไกลยิ่งกว่านักร้องกะเทยผู้ซึ่งโดนมาตรฐานความงามตามค่านิยมเหยียบย่ำความฝันจนแหลกสลาย คนเกเรอย่างเขา จะหัวหกก้นขวิดอย่างไรก็ไม่แปลก แต่เด็กกตัญญูรู้คุณอีกทั้งยังใฝ่ดีอย่างคเชนทร์ ไม่สมควรต้องสัมผัสด้านมืดของชีวิตแบบที่เขาเคยลิ้มลอง

คเชนทร์ประคองฝ่ามือหยาบกร้านของอำนวยพลางบีบนวดอย่างทะนุถนอม “พี่นวย หนูขอบคุณพี่นวยจริง ๆ นะที่ช่วยหนู” นางโชว์ผินหน้าไปมองของฝากกองโตข้าง ๆ ตัวพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พี่นวยดีกับหนูเหมือนพ่อเหมือนแม่ ถ้าชาตินี้หนูตอบแทนบุญคุณของพี่ไม่หมด ชาติหน้าขอหนูกลับมาชดใช้ให้พี่อีกนะ”

“พูดอะไรเนี่ยเชน” อำนวยยิ่งตกใจเมื่อจู่ ๆ อีกฝ่ายก็ประนมมือขึ้นแล้วก้มกราบลงบนพื้นตรงใกล้กับหัวเข่าตน “ไม่เอา อย่าทำแบบนี้!

“พี่นวย หนูขอบคุณพี่นวยมาก ๆ นะ... ถ้าวันไหนข้างหน้าหนูทำอะไรให้พี่นวยได้ พี่นวยต้องบอกหนูนะ”

เสียงสูดน้ำมูกคลอเสียงสะอื้นในลำคอน้องทำให้อำนวยน้ำตารื้น “ไม่เอา ๆ พอแล้ว ลุกขึ้นมา” เจ้าของห้องกะพริบตาไล่น้ำที่คลอหน่วย “เรามาคุยเรื่องอื่นกันดีกว่านะ ไหนเล่าให้พี่ฟังซิว่านางโชว์ตัวหลักเขาทำอะไรกันบ้าง”

ความคิดถึงทำให้ทั้งสองพูดคุยซักถามกันด้วยเรื่องสัพเพเหระเกี่ยวกับแวดวงการทำงานของแต่ละฝ่ายอยู่ร่วมชั่วโมง จวบจบเมื่อคเชนทร์ถ่ายทอดวีรกรรมสนุกสนาน กับความยากเย็นเข็นใจในช่วงที่ต้องไต่เต้าจากแดนเซอร์ตัวเล็ก ๆ ที่ต้องทำงานสากกะเบือยันเรือรบ สู่นางโชว์น้องใหม่ผู้โปรยยิ้มเฉิดฉายอยู่หน้าแสงไฟจนหมดไส้หมดพุง ผู้ฟังก็เปิดประเด็นใหม่ที่ตัวเขาจับสังเกตได้จากหลากเรื่องราวที่อีกฝ่ายเพิ่งเล่าจบไปเมื่อสักครู่

“เป็นตัวหลักแบบนี้ สงสัยจะมีผู้ชายมาจีบน้องพี่จนนับนิ้วไม่ไหวเสียล่ะมั้ง”

เด็กหนุ่มอมยิ้มพลางเสมองพื้นหากแต่ไม่ตอบอะไร

“เด็กโง่... กับพี่กับเชื้อน่ะจะเขินทำไม น้องพี่สวยขนาดนี้ ไม่มีคนมาจีบสิแปลก” พอเห็นคเชนทร์เขินจนม้วน คนถามเองก็พลอยยิ้มตามไปอีกคน “ยิ้มแบบนี้แสดงว่าต้องมีแฟนแล้วแน่ ๆ เลย... ไหนเล่าซิ เขาชื่ออะไร แล้วรู้จักกันได้ยังไง”

“เขาชื่อคุณอั๋น เขาเป็นเซลล์ขายรถเบนซ์ เมื่อสามอาทิตย์ก่อนเขาพาลูกค้าฝรั่งมาดูโชว์ ตอนที่หนูเดินไปทักทายแขกตามโต๊ะหลังแสดงเสร็จ เขาก็คอยช่วยหนูคุยกับพวกฝรั่ง หลังจากนั้นเขาก็ติดต่อมาเรื่อย ๆ ” เดิมทีใบหน้าของคเชนทร์ก็มองเพลินตามากแล้ว แต่ชั่ววินาทีที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงคนรัก อำนวยกลับอดคิดไม่ได้กว่า คู่สนทนาได้กลายเป็นหญิงสาวแปลกหน้าผู้ที่ความสวยสะพรั่งเกิดจากความงามทั้งภายในและภายนอก... น้องชายเขาเติบโตขึ้นแล้วจริง ๆ

“แล้วนี่เป็นแฟนกันหรือยัง”

คเชนทร์ตอบคำถามนั้นด้วยการพยักหน้าเร็ว ๆ จากนั้นจึงเม้มปากกลั้นยิ้มด้วยไม่กล้าอวดสีหน้าเปี่ยมสุขของตัวเองใส่เจ้าบ้าน ทว่าอำนวยกลับขมวดคิ้วนิ่วหน้าอย่างไม่ไว้ใจนัก “สามอาทิตย์ก็เป็นแฟนกันแล้วเหรอ... เร็วมาก”

“หนูก็ว่าเร็วเหมือนกันพี่นวย” คเชนทร์อ้อมแอ้ม “แต่เขาบอกว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเห็นหนู เขาก็ตกหลุมรักหนูจนอยากขอหนูเป็นแฟนเร็ว ๆ เพราะเขาคงทำใจไม่ได้ถ้าคนอื่นมาตัดหน้าขอหนูเป็นแฟนไปก่อน”

“เหรอ... แล้วคุณอั๋นเขาเคยคบกะเทยมาก่อนไหม”

คเชนทร์ส่ายหัวดิก “ไม่นะพี่... เขาบอกว่าเขาไม่เคยมีแฟน เขาเพิ่งคบหนูเป็นแฟนคนแรก”

แม้ใจนึกอยากจะแย้ง แต่คนโตกว่ากลับกลืนข้อสงสัยลงคอได้ทันการณ์ “แล้วเขารับได้ใช่ไหม...” อำนวยเอ่ยพลางจ้องหน้าคู่สนทนาด้วยสายตาสื่อความหมาย “เขารับได้ใช่ไหมที่เชนยังไม่แปลง”

แค่ฟังคำถามของผู้มีพระคุณ ใบหน้าของคเชนทร์ก็แดงก่ำยิ่งกว่าผลตำลึงสุก ภาพความใกล้ชิดสนิทเนื้อของทั้งสองที่เกิดขึ้นหลังจากการพบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้งทำให้เด็กหนุ่มในคราบหญิงสาวเอ่ยเสียงแผ่วอย่างอาย ๆ “เขารับได้นะพี่นวย แต่ไว้อีกสักปีสองปี ให้หนูทำงานเก็บเงินได้เยอะ ๆ ก่อน หนูว่าหนูจะทยอยทำให้เขาแล้วล่ะ เขาบอกว่าถ้าหนูกลายเป็นผู้หญิงเต็มตัวเมื่อไร เขาจะพาไปกราบพ่อกับแม่ที่โคราช”

“เหรอ” สิ่งที่เพิ่งได้ยินเป็นความฝันของกะเทยทุกผู้ทุกนาม แต่พอคำพูดนั้นถูกเอ่ยจากปากคเชนทร์ น้องรักวัยเพียงสิบเก้าปีของเขา อำนวยก็อดห่วงไม่ได้

จริงอยู่ที่แม้หน้าตาเขาจะไม่ได้ดูสวยโดดเด่น หรือดึงดูดสายตา หนำซ้ำยิ่งเมื่อผันตัวมาประกอบอาชีพนักร้องคาเฟ่ด้วยแล้ว เขาก็เลิกแต่งหญิงเป็นการถาวร แต่ใช่ว่าชายหนุ่มใจหญิงวัยสามสิบสามผู้นี้จะไม่เคยผ่านยุครุ่งเรืองมาก่อน จากประสบการณ์ของคนหัวอกเดียวกัน สัจธรรมข้อหนึ่งที่กะเทยรุ่นพี่ซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวมานักต่อนักมักจะเตือนใจสาวประเภทสองรุ่นหลัง ๆ อยู่เสมอ นั่นคือ ชายแท้กับกะเทยไม่มีวันลงเอยครองคู่

กระทั่งอำนวยก็เคยพิสูจน์ทฤษฎีข้อนี้ด้วยตนเองมาแล้ว แต่สายตาสว่างสดใสเป็นประกาย กับใบหน้าอิ่มเอิบแฝงความปีติอย่างเต็มเปี่ยมของน้องน้อยก็ทำให้เขาไม่อยากชักใบให้เรือเสีย... ไม่แน่ว่า สุดท้ายแล้ว คเชนทร์อาจจะเป็นกะเทยส่วนน้อยที่ประสบความสำเร็จในความรักและมีความสุขไปตลอดชีวิตก็เป็นได้

“เมื่อตอนบ่ายเขาก็ขับรถมาส่ง แต่เขาไม่กล้าขึ้นมาเพราะเขาอยากให้หนูคุยกับพี่ได้สะดวก ๆ เขาดูแลหนูดีมาก ๆ เลยนะพี่นวย แถมเขายังขยันเอาใจหนูอีกต่างหาก”

“อืม” กะเทยรุ่นพี่ครางรับในลำคอ แม้จะบอกตัวเองให้เลิกกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่หากเขายังไม่ได้เจอบุคคลที่สาม อำนวยก็ไม่อาจคลายใจ “ถ้าว่างอีกเมื่อไร อย่าลืมพาแฟนมาเจอพี่บ้างนะ พี่อยากรู้ว่าผู้ชายที่เอาชนะใจเชนได้เป็นคนแบบไหน”

“ได้สิพี่ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าหนูโทรไปบอกนะว่าพวกเราจะมาเจอพี่ได้อีกทีเมื่อไร”

“อย่าลืมล่ะ” เจ้าถิ่นกำชับพลางภาวนาให้น้องไม่ต้องเผชิญความเจ็บปวดอย่างที่ตนและเพื่อนร่วมหัวอกหลาย ๆ คนเคยประสบ

อนิจจา ต่อให้สวยเพียบพร้อมด้วยหน้าตาและทรัพย์สิน หรือต่อให้ได้ตำแหน่งนางโชว์ยอดนิยมที่ทำเงินให้คณะได้มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ แต่คเชนทร์ก็ยังเป็นคนโชคดีที่อำนวยหวังไว้ไม่ได้อยู่ดี

••••••


“โจ้ เป็นไง”

อำนวยยิ้มกว้างเมื่อเห็นคนคุ้นตา ทว่าเรือนร่างผอมสูงในชุดสูดสีชมพูช็อกกิ้งพิงค์ขนาดพอดีตัวทว่าเปิดเปลือยไร้เสื้อเชิ้ตตัวใน ผมทรงสกินเฮด กับใบหน้าใต้แว่นกันแดดที่แต่งแต้มสีสันอย่างจัดจ้านของอีกฝ่ายกลับทำให้เขาและคเชนทร์ตื่นตะลึงไปชั่วขณะ

แม้ช่วงหลังจากอีกฝ่ายกลับเมืองไทย ทั้งสองจะคุยโทรศัพท์ปรับทุกข์กันเนือง ๆ ทว่าช่วงเวลาหลายปีที่พวกเขาไม่ได้พบปะทำให้อำนวยลืมไปสนิทว่า โจโจ้คือเพื่อนมนุษย์ที่สวยงาม โดดเด่น อีกทั้งยังเป็นศูนย์รวมแห่งพลังงาน ความสร้างสรรค์ ความสนุกสนานรวมถึงแรงบันดาลใจอย่างแท้จริง... เขาคิดถูกแล้วที่พาคเชนทร์มาฝากฝังไว้กับเพื่อนคนนี้

“สบายดี นั่งก่อนสิ” ว่าแล้ว เจ้าถิ่นก็ผายมือเชื้อเชิญแขกทั้งสองที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องให้นั่งลงบนโซฟาตัวยาวข้าง ๆ เก้าอี้นวมที่ตนจับจอง เจ้าของคาบาเร่ต์จัดแต่งสาบสูทให้ปกปิดเนินหน้าอกอย่างมิดชิดพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี นวยเป็นไงบ้าง”

“ก็หมือนเดิม ไม่ดีไม่แย่ โจ้ล่ะ เป็นยังไง เป็นเถ้าแก่เนี้ย เหนื่อยไหม”

“หึ ๆ ถ้าบอกว่าไม่เหนื่อยคือโกหก” โจโจ้ไขว่ห้างพลางเท้าคางแล้วจ้องมองคู่สนทนาอย่างผ่อนคลาย “แต่เพราะสนุก เลยอยากตื่นมาทำทุกวัน”

“ดีใจด้วยนะที่เจอสิ่งที่อยากทำที่นี่เสียที” โจโจ้พยักหน้าพลางยิ้มรับ หากแต่สายตาใต้กรอบแว่นซึ่งจับจ้องชายหนุ่มผมยาวหน้าตาหมดจดที่นั่งสงบปากสงบคำอยู่ข้าง ๆ เขาก็ทำให้อำนวยก็รีบแนะนำน้องชายให้รู้จักกับเพื่อนเก่าทันที “เชน นี่โจโจ้ เพื่อนพี่เอง”

“สวัสดีครับ” หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดยกมือไหว้เพื่อนของผู้มีพระคุณอย่างนอบน้อม

โจโจ้ยกแว่นทรงแคทอายขึ้นคาดเหนือหน้าผาก เจ้าของคาบาเร่ต์กวาดตามองคเชนทร์อย่างถี่ถ้วนก่อนที่ดวงตาคมเรียวใต้แถบอายไลเนอร์สีฟ้าน้ำทะเลจะเหลือบมองอำนวยอย่างรู้กัน “สวัสดีจ้ะ พี่ได้ยินเรื่องของเชนจากนวยมาเยอะมาก”

คำว่า เรื่องของเขา ในประโยคเมื่อครู่ทำให้คเชนทร์ตัวแข็งทื่อ แม้จะเชื่อใจอำนวยโดยไม่กังขา ทว่าเด็กหนุ่มกลับอดวิตกไม่ได้ว่าโจโจ้อาจเคยได้ยินเรื่องที่เขาโดนไล่ออกจากคณะเก่าเพราะเรื่องผู้ชายมาก่อนก็เป็นได้

อำนวยสังเกตเห็นท่าทางผิดปกติของน้องชาย ชายหนุ่มจึงช่วยประคับประคองบทสนทนา “เชนเคยโชว์ที่ XXX อยู่สองปี แต่ก่อนหน้านั้นก็เคยเป็นแดนเซอร์กับนางรำโรงเรียนด้วยใช่ไหมเชน”

คเชนทร์พยักหน้าเนือย ๆ หากแต่ไม่พูดอะไร

เกือบครึ่งปีกับการวนเวียนยื่นใบสมัครและสัมภาษณ์งานตามสถานบันเทิงต่าง ๆ คเชนทร์คว้าน้ำเหลวมาโดยตลอด ชายหนุ่มเข้าใจว่า เหตุผลที่หางานยาก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจขาลง อีกส่วนคงเพราะไม่มีคณะคาบาเร่ต์แห่งไหนสนใจว่าจ้างรับนางโชว์ตกอับเข้าเป็นพนักงาน... ทั้ง ๆ ที่รับปากอำนวยไว้แล้วแท้ ๆ ว่าจะเลิกคิดเรื่องนั้น แต่เพื่อนพี่นวยจะจ้างคนไร้วินัยเพราะผิดหวังจากผู้ชายจริง ๆ น่ะเหรอ

"น้องมันเก่งมากนะโจ้ ร้องได้ เต้นได้ รำได้ ทำได้ทุกอย่าง” อำนวยกระตุ้นให้คเชนท์เอ่ยปากด้วยการบีบมืออีกฝ่ายเบา ๆ

“ครับ ผมทำได้ทุกอย่าง”

“เหรอ... ดีจัง พี่ชอบคนเก่ง” ริมฝีปากอวบอิ่มใต้ลิปสติกสีน้ำเงินอมม่วงคลี่ยิ้มพึงพอใจ

“พอดีเลย เห็นวันก่อนโจ้บอกว่าอยากได้นางโชว์สวย ๆ ที่รำได้ไม่ใช่เหรอ” แม้ท่าทีเซื่องซึมของคเชนท์จะน่ากังวล แต่เพราะก่อนหน้านี้ อำนวยได้เท้าความถึงประวัติและเรื่องราวต่าง ๆ ของน้องชายให้โจโจ้ฟังมาแล้วหมดเปลือก ชายหนุ่มจึงยังไม่ถอดใจ “อย่างเชนน่าจะพอทำได้นะ”

“ลองดูก็ได้ แต่พี่บอกก่อนว่านางโชว์ที่นี่ทดลองงานนานหน่อยนะ” ต่อให้รู้สึกถูกชะตา หรือแม้จะเล็งเห็นศักยภาพของเด็กหนุ่มตรงหน้าสักแค่ไหน แต่โจโจ้กลับไม่อาจเอาธุรกิจที่เพิ่งตั้งไข่ของตนไปเสี่ยง ข้อเสนอในการทำงานที่เขาหยิบยื่นให้จึงมีเงื่อนไขเฉพาะแตกต่างจากพนักงานทั่ว ๆ ไป

คเชนทร์ไม่ใช่คนช้ำรักคนแรกที่โจโจ้ตัดสินใจว่าจ้าง ทว่าการจะทำให้แววตาเลื่อนลอยแห้งแล้งนั่นทอแสงส่องประกายอีกครั้ง จะต้องอาศัยความตั้งใจมั่นของอีกฝ่ายเป็นสำคัญ ดังนั้น เวลาครึ่งปีที่ตนคาดการณ์ไว้จึงไม่น่าจะเร็วหรือช้าจนทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบ

“ขอบคุณครับ” คเชนทร์ยกมือไหว้ชายในชุดสีชมพูสว่างสดใสอย่างซาบซึ้ง “แต่ผมขอสมัครเป็นช่างแต่งหน้าแทนได้ไหมครับ ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจะกลับไปโชว์น่ะครับ” เขาเอ่ยพลางหนุ่มก้มหน้าอย่างอดสูเพราะคิดไปเองว่าโจโจ้จำใจรับตนเองด้วยไม่อยากผิดใจกับอำนวย

ซึ่งนั่นก็ไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูกทั้งหมด...

อำนวยกับโจโจ้แลกเปลี่ยนสายตากันอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนที่สุดท้ายจะเป็นโจโจ้ที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟังดังเช่นทุกที “โอเค ถ้าอย่างนั้นเชนจะมาเริ่มงานกับพี่ได้เมื่อไร”

เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องทำงานของโจโจ้ที่คเชนทร์เงยหน้าขึ้นสบตากับว่าที่เจ้านาย ดวงตาคู่งามชิงป่าวประกาศความรู้สึกยินดีก่อนที่ริมฝีปากจะเอ่ยคำขอบคุณเสียด้วยซ้ำ ซึ่งแววตาสุกใสที่เห็นเพียงชั่ววูบนั้นเองที่ทำให้เจ้าของคาบาเร่ต์เชื่อมั่นว่า การรับปากช่วยเหลือเพื่อนเก่าอย่างอำนวยจะต้องเป็นการตัดสินใจลงทุนที่ถูกต้องที่สุด

••••••


“พี่ช่าพักก่อนเถอะ”

“ใช่พี่ พักเถอะ เนี่ย... เจ๊เขาให้พวกหนูเดินมาบอกว่าให้พี่พักเดี๋ยวนี้เลยอ่ะ”

คเชนทร์ละสายตาจากชุดปักเลื่อมสีบานเย็นในมือเพื่อยิ้มให้เด็กสาวในร่างชายทั้งสองอย่างเอ็นดูก่อนจะก้มลงมองปลายเข็มที่แทงขึ้นมาจากช่องว่างระหว่างกลุ่มเลื่อมอีกครั้ง “ไม่เป็นไร พี่อยากทำ ให้พี่ทำเถอะนะ” อดีตนางโชว์ใช้ปลายเข็มสอยสะกิดเลื่อมทรงกลม ในตลับเหนือตักขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วจึงเดินด้ายต่อ

“พี่ไม่ต้องทำหรอก เดี๋ยวคืนนี้อีป้าเป้าก็นั่งหง่าวตบยุงกันเมื่อยมือพอดี”

“นั่นสิพี่ พี่พักเถอะนะ หนูไหว้ล่ะ”

“โอเค พี่ยอมแพ้” พอเห็นรุ่นน้องพนมมือไหว้ตนกันอย่างพร้อมเพรียง ชายหนุ่มก็ยอมวางมือจากชุดแดนเซอร์ครู่หนึ่ง หนุ่มผมยาวที่ยังมีเค้าของหญิงสาวรูปงามให้เห็นอยู่จาง ๆ หมุนคอยืดเส้นพลางมองหน้ากะเทยวัยขบเผาะทั้งสองอย่างอ่อนใจ

ทุกครั้งที่หาเวลาว่างได้ คเชนทร์มักจะหางานจิปาถะอื่น ๆ มาทำเพื่อให้ใจไม่ฟุ้งซ่าน แต่แทนที่การบำเพ็ญประโยชน์ของตนจะเป็นเรื่องดี คนอื่น ๆ ในคณะกลับกังวลว่าเขาจะฝืนตัวเองจนร่างกายทรุดโทรม โจโจ้จึงมักจะไหว้วานลูกน้องให้สลับสับเปลี่ยนเวรกันมาช่วยห้ามปรามอดีตนางโชว์ไม่ให้หักโหมจนเกินไป

“นี่พี่ช่า ตอนพี่ทำงานที่ XXX อ่ะ พี่ทันเจอนางโชว์ที่ชื่อแพงจี้ป่ะ”

ไม่รู้ว่าเพราะวงการโชว์มันแคบ หรือเพราะเรื่องที่เขาโดนเจ้าของ XXX ไล่ออกหลังจากสติแตกจนทำงานไม่ได้มันฉาวโฉ่มากกันแน่ คนในที่ทำงานใหม่จึงเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดได้โดยที่คเชนทร์แทบไม่ต้องอธิบาย

แเต่ที่น่ายินดียิ่งไปกว่านั้นเห็นจะเป็นการที่ทุกคนในคณะเกรงใจโจโจ้พอ ๆ กับเข้าใจหัวอกของเขาเป็นอย่างดี อดีตนางโชว์ผู้ช้ำรักจึงสามารถทำงานอยู่ที่คาบาเร่ต์แห่งนี้ด้วยความสบายใจ หนึ่งปีกับอีกห้าเดือนที่ผ่านมา ชายหนุ่มไม่เคยได้ยินเพื่อนร่วมงานคนไหนรื้อฟื้นเรื่องที่เขาโดนผู้ชายปอกลอกจนหมดตัวแล้วเขี่ยทิ้งเหมือนหมูเหมือนหมาเอาไปโพนทะนาต่อเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะต่อหน้า หรือผ่านปากนกปากกาลอยมาเข้าหูก็ตามที

“ไม่เคยหรอก” คเชนทร์ยิ้มแหย ๆ เชิงขอโทษขอโพย ในขณะที่เจ้าของคำถามเองก็ดูจะเสียดายอยู่มากทีเดียว ผิดกับรุ่นน้องอีกคน

“โอ๊ยหล่อน พี่ช่าจะไปเคยเจอคนที่ชื่อแพงจี้นั่นได้ไง ก็ชีเพิ่งโดนเสี่ยของ XXX แย่งตัวมาจากพัทยาเมื่อไม่กี่เดือนนี้เอง”

“เออจริงของหล่อน ฉันลืมไปได้ไงเนี่ย”

“แต่ถึงพี่ช่าจะไม่รู้จักคนที่ชื่อแพงจี้ก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงเรื่องนี้หนูก็จะเล่าอยู่ดี”

“ที่เล่านี่เพราะอิจฉาชีล้วน ๆ นะพี่ พวกหนูไม่ได้จะเอาชีมาว่าลับหลังให้เสียหาย” แดนเซอร์ทั้งสองจีบปากจีบคอหัวเราะกันอย่างเอร็ดอร่อยจนอดีตนางโชว์อดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้ “คืองี้พี่ช่า... ชีวิตชีดี๊ดีอ่ะ ครั้งแรกที่หนูฟังคนอื่นเล่าเรื่องชี หนูยังแทบไม่เชื่อแน่ะ”

“เหรอ”

“ใช่ค่ะพี่ช่า” หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นพลางทำหน้ามีลับลมคมใน “แพงจี้น่ะ นอกจากจะสวยและเฉาะเรียบร้อยแล้ว ล่าสุดชียังหยิบชิ้นปลามันได้แฟนเป็นนักธุรกิจรูปหล่อพ่อรวยอีกต่างหากนะพี่”

“ใช่พี่ช่า ชีวิตชีวิลิศมาหราอย่างกับน้อง ๆ ซินเดอเรลล่า น่าอิจฉามาก”

“ยังไงเหรอ” ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้สนใจใครรู้เรื่องคนอื่น แต่สีหน้ากระตือรือร้นระคนตื่นเต้นของรุ่นน้องทั้งสองก็ทำให้คเชนทร์เลือกต่อบทสนทนาเพื่อรักษามารยาท

“เรื่องก่อนหน้าจะมาเป็นนางโชว์หนูขอไม่เล่านะ เพราะชีก็เคยรันทดเหมือน ๆ พวกเรานี่แหละ แต่พอเฉาะปุ๊บ ชีก็ได้เป็นตัวหลักเต้นคืนละสองโชว์ที่ XXX ปั๊บ เริ่มงานได้ไม่ถึงสองวัน ชีก็เจอรักแท้หล่นใส่เข้าอย่างจัง”

“ใช่พี่ช่า คนเขาบอกว่าแฟนชีเป็นเซลล์ขายรถนำเข้าอะไรนี่แหละพี่ช่า เขาว่ากันว่าหล่อลากดิน หุ่นงี้อย่างกับดาราหนังแถมยังพูดภาษาปะกิดคล่องปร๋อเลยนะพี่”

“พวกที่เฉาะแล้วนี่ชีวิตดีจังน้อ นอกจากจะได้แฟนหล่อแล้ว แฟนยังรักยังหลงขนาดว่าจะพาไปไหว้พ่อแม่แล้วผูกข้อไม้ข้อมือทั้ง ๆ ที่คบกันได้ไม่ถึงสองเดือน... ฮือ พี่ช่า หน้าตาอย่างหนูชาตินี้จะได้เฉาะกับเขาบ้างไหมเนี่ย”

“นั่นสิ”

“เอ่อ พี่ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” คเชนทร์ปลีกตัวจากไปทันทีโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เพิ่งเอ่ยออกไปคือคำโกหก รู้เพียงอย่างเดียวว่า เขาอึดอัดและคั่งแค้นเสียจนต้องระบายเรื่องน้ำเน่าที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองให้ใครสักคนรับฟัง

“ฮัลโหล”

(ฮัลโหล)

“พี่นวย”

น้ำเสียงของคเชนทร์ฟังแผ่วจนคนปลายสายใจไม่ดี (เชน เชนเป็นอะไร?)

“พี่นวย เขา มีแฟนใหม่แล้ว”

คเชนทร์เดาไม่ได้ว่าเสียงถอนหายใจยาวเหยียดของผู้มีพระคุณมีความหมายเช่นไร จวบจนได้ยินประโยคของอำนวย เขาก็ได้คำตอบ (อืม พี่ได้ยินคนพูดกันตั้งแต่เมื่อเดือนก่อน)

เป็นเขาเองหรือกหรือที่กักขังตัวตนให้จมจ่อมลงในความโศกเศร้าไร้จุดสิ้นสุด?
เขาเสียเวลาสองปีไปกับอะไร? นี่เขามัวแต่ทำบ้าอะไรอยู่? แทนที่จะตั้งหน้าทำงาน เก็บเงินให้ได้เยอะ ๆ แล้วรีบกลับไปหาพ่อกับแม่...

“พี่นวย ผมไม่อยากเป็นแบบนี้อีกแล้ว... ผมไม่อยากเจ็บคนเดียวอีกแล้ว” คเชนทร์จะไม่ยอมละทิ้งความฝันและอนาคตเพื่อคน ๆ เดียวที่ไม่เหลียวแลเขาอีกเป็นอันขาด

(ดีมากน้องรัก เลิกคิดเรื่องอื่นแล้วทำตัวให้สดใสซาบซ่าดีกว่า ผู้ชายน่ะ จะหาเมื่อไรก็ได้ แต่โอกาสดี ๆ มันไม่รอเรานานหรอกนะ)

“ครับ ขอบคุณนะครับพี่นวย” พอกันทีความรัก ต่อจากนี้ไป เขาจะทุ่มเทแรงการแรงใจให้กับการทำงานเพียงอย่างเดียว

หลังวางสายจากอำนวย อดีตนางโชว์ก็คิดวนเวียนถึงแต่ราวเรื่องที่เพิ่งคุยกับอำนวยจบไปหมาด ๆ กว่าจะรู้ตัวว่าเดินลากขามาไกลจนถึงห้องโถงรับรองลูกค้าด้านหน้า ก็เป็นตอนที่เสียงตะโกนของเจ้านายคนใหม่ฉุดเขาออกจากภวังค์อย่างกะทันหันนั่นเอง “เชน! นั่นจะไปไหน หยุดก่อน! พี่มีเรื่องอยากคุยกับเชนพอดี”

เมื่อเห็นโจโจ้ เจ้าของชื่อก็ยืนสงบนิ่งราวกับสองเท้าโดนตรึงไว้กับที่

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ ๆ ถึงดูซังกะตายแบบนี้”

“เปล่าครับเจ๊ ผมไม่ได้เป็นอะไร”

ใบหน้ายิ้มแย้มอย่างว่างเปล่าของคเชนทร์ทำให้คู่สนทนานึกถึงช่วงแรก ๆ ที่ชายหนุ่มเริ่มทำงานกับตนเอง โจโจ้จึงอดถามขึ้นไม่ได้ “เชนรู้เรื่องแพงจี้กับไอ้อั๋นแล้วใช่ไหม” ขนาดเด็ก ๆ ในคณะยังรู้ประวัติของคเชนทร์เป็นอย่างดี แล้วนับประสาอะไรกับโจโจ้ที่เป็นทั้งหัวหน้า รวมถึงพี่ชายผู้รับไม้ต่อจากอำนวยที่คอยช่วยประคับประคองให้ชายหนุ่มผ่านเรื่องเจ็บปวดครั้งนั้นมาได้กันล่ะ

คเชนทร์ยังคงยืนก้มหน้านิ่ง โจโจ้จึงจูงมืออีกฝ่ายให้เดินตามกันเข้าห้องทำงานด้านบนไปอย่างรวดเร็ว “เชน... วันนี้ทำงานไหวใช่ไหม พี่ต้องหาใครมาแต่งหน้าเด็กแทนเชนหรือเปล่า”

“ไม่ต้องครับ ผมไหวครับเจ๊”

ฟังแล้ว โจโจ้ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่สีหน้าอมทุกข์ของอีกฝ่ายก็ยังรบกวนจิตใจเขามากอยู่ดี “ไหน เชนลองบอกเจ๊ซิว่าตอนนี้เชนคิดอะไรอยู่”

“...ผม...” รอยยิ้มว่างเปล่าเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยการแค่นยิ้มอย่างบิดเบี้ยวแฝงความเจ็บปวดชิงชังไว้เต็มเปี่ยม ในเมื่อคนอื่นยังเชิดหน้ามีชีวิตที่ดีต่อไปได้ เขาเองก็สมควรมีความสุขให้เต็มที่บ้างเช่นกัน “ผมอยากเริ่มต้นใหม่ครับเจ๊ ผมไม่อยากอยู่อย่างไม่มีความสุขอีกแล้ว”

“จริงเหรอเชน? เชนแน่ใจใช่ไหม?!

ช่วงที่โจโจ้ก่อตั้งคณะคาบาเร่ต์ของตัวเองใหม่ ๆ ไล่เลี่ยกับจังหวะที่คเชนทร์ถูกไล่ออกจากที่ทำงานเก่า เจ้าของคาบาเร่ต์ที่เพิ่งโดนบิดาแจกใบสั่งย้ายจากนิวยอร์คกลับเมืองไทยจึงส่งเทียบเชื้อเชิญนางโชว์ผู้มากพรสวรรค์จากหลาย ๆ สังกัดเข้าทำงาน แน่นอนว่า มาช่า นางโชว์ดาวรุ่งของ XXX ที่เพิ่งโดนสอยร่วงจนตกจากสวรรค์ย่อมเป็นหนึ่งในคนที่โจโจ้หมายตา นึกไม่ถึงว่าพอเอาเข้าจริง เพื่อนรักเก่าแก่อย่างอำนวยจะพาคเชนทร์มาหาเขาถึงออฟฟิศ แต่แทนที่จะกลับมาเฉิดฉายหน้าฉากเด็กคนนี้กลับของานเล็ก ๆ อย่างช่างแต่งหน้าประจำคณะ

เกือบสิบปีที่โจโจ้ใช้ชีวิตอยู่ในมหานครใหญ่อันเป็นศูนย์รวมของคนทุกประเภท เขาเรียนรู้ที่จะเปิดใจยอมรับผู้คนจากต่างที่ ต่างประสบการณ์โดยไม่แบ่งแยกหรือเลือกปฏิบัติ แน่นอนว่าเมื่ออำนวยฝากฝังเด็กในอาณัติให้เขาดูแล เจ้าของคาบาเร่ต์ก็จับตาดูพฤติกรรมของเด็กหนุ่มอย่างเงียบเชียบ อุปสรรคในการทำงาน กับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในระยะเวลาไม่กี่เดือนนับจากวันแรกที่พบกัน เนื้อแท้ที่บริสุทธิ์งดงามของคเชนทร์ก็ปรากฏสู่สายตาผู้สังเกตการณ์ อดีตนางโชว์วัยยี่สิบต้น ๆ ผู้นี้จึงกลายเป็นหนึ่งในคนโปรดของโจโจ้ไปโดยปริยาย

แน่นอน ลองว่าเมื่อหัวใจมีจิตปฏิพัทธ์ต่อใครสักคน เราย่อมหวังให้คนผู้นั้นมีความสุขและประสบความสำเร็จ... โจโจ้เองก็เช่นกัน หลายครั้งที่เขามักจะเรียกคเชนทร์มาถามไถ่เรื่องกลับขึ้นแสดง แต่เพราะอีกฝ่ายยังคงเสียศูนย์จากรักแรก อดีตนางโชว์จึงเกิดอาการขยาดเวทีอย่างไรทางแก้ แม้จะเสียดายศักยภาพของอีกฝ่าย แต่เจ้าของคาบาเรต์ก็เคารพการตัดสินใจของคเชนทร์โดยไม่กังขา

“เชนจะเริ่มให้พี่ได้เมื่อไร” ประโยคเมื่อครู่กับสีหน้ามุ่งมั่นจริงจังของคเชนทร์ทำให้โจโจ้ตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างยิ่ง

“เร็วที่สุดครับเจ๊”

“ดี!  เดี๋ยวศุกร์นี้พี่จะเรียกประชุมทีม เดือนหน้าเชนก็น่าจะได้กลับขึ้นเวทีแล้วล่ะ”

“ขอบคุณครับเจ๊”

เจ้าของคาบาเร่ต์จับสองมือของอีกฝ่ายที่กระพุ่มไหว้ตนเองเอาไว้พลางเอ่ยอย่างหนักแน่น “แต่คราวนี้พี่ขอเปลี่ยนอะไรนิดหน่อยนะ”

“อะไรเหรอครับ”

“ไหน ๆ เชนก็จะขึ้นแสดงให้พี่ เพราะฉะนั้นพี่จะถือว่า มาช่า สาวน้อยอ่อนต่อโลกคนนั้นได้ตายไปแล้ว จากนี้ไปจะมีแต่ มาม่าช่า นางโชว์สุดแซ่บที่ Jojo’s Tavern เท่านั้น ตกลงไหมเชน”

“ได้ครับเจ๊” ภาพความทรงจำขณะตนเองยืนอยู่ใต้แสงไฟโดยมีสายตาชื่นชมของผู้คนมากมายมองตรงมาจากด้านล่างเวทีทำให้คเชนทร์ไม่อยากจมปลักกับความเศร้าอีกต่อไป ยิ่งพอนึกถึงใบหน้าภาคภูมิใจของพ่อแม่ ยิ่งระลึกถึงปณิธานที่ตัวเขาตั้งใจจะทำให้สำเร็จก่อนจะหนีออกจากบ้าน คเชนทร์ก็อยากจะทำสิ่งเหล่านั้นให้บังเกิดขึ้นมากกว่าจะระทมทุกข์และเฝ้าเสียใจให้กับคนที่ไม่ได้รักกันเลยสักนิด

••••••

“คิดดีแล้วใช่ไหมเชน” ชายร่างผอมสูงในกิโมโนสีดำลายนกกระเรียนกับผ้าโพกหัวสีแดงชาดที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะทำงานปรายตามองซองสีขาวตรงหน้าพลางถอนหายใจอย่างหนักหน่วง แม้จะรู้มาก่อนแล้วว่า เหตุผลที่คเชนทร์ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน เก็บออมเงินทุกบาททุกสตางค์ตลอดเกือบสิบปีที่ผ่านมาก็เพราะเจ้าตัวต้องการกลับภูมิลำเนา กลับไปพิสูจน์ตัวเองให้พ่อกับแม่ยอมรับ

แต่เมี่อวันนี้มาถึง โจโจ้ดันทำใจไม่ได้เสียเอง

“ครับ ผมอยากกลับบ้าน” คเชนทร์วัยสามสิบยิ้มบางพลางทอดสายตามองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างห้องทำงานของโจโจ้ ไม่มีใครรู้ว่าขณะนี้ เขากำลังคิดสิ่งใด แต่ความหนักแน่นจริงจังในสายตาคู่นั้นก็ทำให้ผู้เป็นนายต้องงัดไม้ตายสุดท้ายออกมาเจรจา

“เอาอย่างนี้ดีไหม พี่จะให้เชนลาพักสองอาทิตย์ ถ้าระหว่างนั้นเชนเคลียร์กับที่บ้านได้ พี่ค่อยเซ็นใบลาออกให้” ปลายนิ้วเรียวได้รูปที่ตัดแต่งและเคลือบสีแดงสดดูคล้ายเลือดเคาะลงบนซองนั้นเบา ๆ

เสียงนั้นคล้ายท่วงทำนองหวานหูชวนให้คเชนทร์ไขว้เขว ทว่าภาพของอำนวยในชุดผู้ป่วยขณะฮุบลมหายใจสุดท้ายด้วยความทรมานที่ยังคงหลอกหลอนเขามาตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน ทำให้ชายหนุ่มจำต้องปฏิเสธข้อเสนออย่างสุภาพ “อย่าดีกว่าเจ๊ ผมไม่อยากเอาเปรียบเจ๊”

“เอาเปรียบที่ไหนกัน พี่ต่างหากที่เอาเปรียบเชน... เมื่อกี้เชนไม่ได้ยินหรือไงว่าพี่ไม่ยอมให้เชนออก” ว่าแล้ว โจโจ้ก็ทิ้งซองสีขาวที่คเชนทร์เพิ่งยื่นให้ลงในลิ้นชักโต๊ะทำงานแล้วแสร้งทำเป็นลืม ๆ มันไปเสีย “เอาล่ะ เลิกคิดมากได้แล้ว เสร็จงานคืนนี้แล้วก็อย่านอนดึกรู้ไหม เดี๋ยวกลับถึงบ้านแล้วพ่อแม่จะตกใจที่ลูกสาวหน้าโทรม”

คเชนทร์อมยิ้ม “ครับ”

“เดินทางปลอดภัย แล้วพี่จะรอฟังข่าวดีนะ” ถึงทุกวันนี้คเชนทร์จะไม่ใช่ดาวเด่นที่เรียกเม็ดเงินได้มากเท่าเดิมอีกแล้ว แต่การได้รู้ว่าน้องชายผู้นี้เป็นอยู่สุขสบายคือสิ่งที่โจโจ้สนใจ... และมันคงจะดีที่สุดหากภายหลังจากระยะเวลาสองอาทิตย์ที่กำหนด ลูกน้องดี ๆ ที่เปรียบเหมือนญาติมิตรอย่างคเชนทร์จะกลับมาทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กันไปเรื่อย ๆ

“ครับพี่” คเชนทร์ส่งผ่านความรู้สึกขอบคุณไปกับการยกสองมือขึ้นไหว้ผู้มีพระคุณอีกคนในชีวิต

แม้ข่าวดีของคนทั้งคู่จะมีความหมายและปลายทางแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ ณ วินาทีที่โจโจ้อวยพรทิ้งท้ายนั้น เขาแทบไม่ได้นึกด้วยซ้ำว่า สุดท้ายแล้วคนที่ได้ฟัง ข่าวดี จะไม่ใช่คเชนทร์

••••••

“เจ๊”

“หืม?”

“เจ๊พอรู้จักห้องแถวทำเลดี ๆ ราคาไม่แพงบ้างไหม” คเชนทร์ในวัยสามสิบเก้าวางขวดเบียร์ในมือลงบนโต๊ะ เขาเกษียณตนเองจากตำแหน่งนางโชว์เมื่อสี่ปีที่แล้ว จากนั้นจึงผันมาเป็นครูสอนเต้น สอนรำให้กับเด็กใหม่ในคณะจนถึงบัดนี้

โจโจ้เลื่อนสายตาจากพนักงานทำความสะอาดทั้งสามคนซึ่งกำลังกวาดขยะบนพื้นและเก็บซากไม่พึงประสงค์ที่แขกของค่ำคืนนี้ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า เจ้าของคาบาเร่ต์หันไปมองคเชนทร์ที่นั่งดื่มเป็นเพื่อนเขาระหว่างรอปิดร้าน “เชนจะทำอะไร”

“ผมยังไม่แน่ใจ แค่อยากลองหาลู่ทางเผื่อไว้ก่อน”

เก้าปีที่แล้ว คเชนทร์หอบความผิดหวังกลับมาตั้งหลักที่กรุงเทพฯ อีกครั้ง ข่าวการสูญเสียบุพพการีและทรัพย์สินมรดกไม่ได้ทำร้ายชายหนุ่มจนปางตายเหมือนเมื่อครั้งที่มะเร็งพรากอำนวยไป ถึงอย่างนั้น ผู้คนรอบ ๆ ตัวเขากลับพูดได้ไม่เต็มปากว่า คนที่กลับมา คือ คเชนทร์ที่พวกเขาเคยรู้จัก เพราะเมื่อหมดสิ้นซึ่งเป้าหมายให้ไขว่คว้า ตัวเขาในช่วงเวลาดังกล่าวก็กลายเป็นเพียงเศษซากที่ดำรงชีพต่อไปวัน ๆ อย่างซังกะตายเท่านั้น

“อืม เดี๋ยวพี่จะลองถามอาร์ตดูให้” เจ้าของคาบาเร่ต์อมยิ้มมุมปากเมื่อไพล่นึกถึงใบหน้าของคนรักที่คบหากันมาได้เกือบปี

เวลาเก้าปี จะว่าเร็วก็เร็ว จะว่าช้าก็ช้า ภายหลังจากวันที่คเชนทร์กลับมานั้น มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้น บางส่วนถูกลืม แต่บางส่วนกลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของใครหลายคน

โจโจ้ที่เคยประกาศต่อหน้าลูกน้องทุกคนว่าจะครองโสดไปจนตาย จู่ ๆ กลับยอมตกลงปลงใจกับนักธุรกิจหนุ่มที่เด็กกว่าเกือบรอบ ส่วนคเชนทร์ที่เกือบจะหมดไฟในการดำรงชีวิตไปแล้ว ก็ลุกขึ้นมาร่ำเรียนหนังสือและฝึกฝนวิชาชีพเสริมอย่างจริงจังพร้อม ๆ กับตั้งหน้าตั้งตาทำงานเก็บเงินอีกครั้ง หากแต่คราวนี้ ชายหนุ่มตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อบั้นปลายชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่เพื่อใช้สมบัติที่หามาได้เป็นเครื่องมือแลกเปลี่ยนการยอมรับและคำว่า อภัย อย่างที่แล้วมา

“เออ เดี๋ยวพรุ่งนี้เชนช่วยพี่ต้อนรับเพื่อนเก่าที่เพิ่งกลับมาจากนิวยอร์คหน่อยนะ ตอนอยู่โน่น เพื่อนพี่คนนี้เป็น florist ดังมาก ปี ๆ นึงจัดดอกไม้ตามงานให้พวกเซเลบจนแทบไม่มีเวลาพัก เห็นบอกว่าจะกลับมาเปิดธุรกิจอีเวนท์แบบครบวงจรที่เมืองไทย สงสัยคราวนี้จะอยู่ยาว”

“ได้ครับ”

“ถ้าเชนจะถามเคล็ดลับในการจัดดอกไม้จากเพื่อนพี่ก็ได้นะ รายนี้น่ะฝอยเรื่องงานได้เป็นวัน ๆ เลย” โจโจ้หัวเราะกับความบ้างานของเพื่อนนักจัดดอกไม้

การที่คเชนทร์เป็นคนโปรดไม่ใช่เหตุเพียงข้อเดียวที่เขาเจาะจงให้คอยอยู่ช่วยต้อนรับคนสนิท หากแต่เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้อดีตนางโชว์ได้ไปลงเรียนหลักสูตรจัดดอกไม้สดที่กทมฯ เปิดให้ผู้สนใจเรียนฟรี ซึ่งดูจากสีหน้าเปี่ยมสุขของเจ้าตัวทุกครั้งที่กลับจากศูนย์ฝึกวิชาชีพ ก็พอบอกได้ว่า ชายหนุ่มหลงใหลการจัดดอกไม้เอามาก ๆ

“ขอบคุณครับ” คเชนทร์ยกมือไหว้คู่สนทนาอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะค้างมือเอาไว้พลางย้ำเตือนถึงเรื่องร้อนใจของตน “แล้วก็เรื่องตึก... ผมก็ขอบคุณล่วงหน้านะครับเจ๊”

“ไม่เป็นไร” โจโจ้กระดกเบียร์ขึ้นจิบก่อนจะเปรยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่ถ้าเชนคิดจะไปจากพี่เมื่อไร พี่ขอ 3 years’ notice นะเชน”

ได้ยินแบบนั้นเจ้าของชื่อก็อมยิ้มด้วยรู้แก่ใจว่า แม้ครั้งนี้โจโจ้จะยอมโอนอ่อนผ่อนตามกว่าการขอลาออกเมื่อเก้าปีก่อน หากแต่ลึก ๆ แล้วเจ้านายก็ยังไม่อยากปล่อยให้เขาจากไปอยู่ดี ชายหนุ่มผมยาวจึงรับปากผู้มีพระคุณด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแม้จะไม่รู้สักนิดว่า บทสนทนาเรื่อยเปื่อยช่วงหลังเลิกงานคราวนี้จะเป็นการยื่นใบลาออกสามปีล่วงหน้าจริง ๆ


••• TBC ••


ออกตัวก่อนว่าเนื้อหาตอนนี้กับตอนหน้าจะเกี่ยวเนื่องกัน
โดยที่ตอนนี้จะยาวนิดนึง ในขณะที่ตอนหน้าก็จะสั้นนิดนึง...
(ขอให้คิดว่าถัวเฉลี่ยความยาวของสองตอนไปแล้วกันนะคะ แฮ่)
เหตุที่เราไม่อยากตัดบางส่วนไปโปะตอนหน้า
เพราะเราคิดว่าถ้าอ่านรวดเดียวจบ อารมณ์จะต่อเนื่องมากกว่า
ซึ่งความที่มันจะดิ่ง ๆ หน่อย เราเลยอยากให้มันจบรวดเดียวไปเลย
ดังนั้น หากเนื้อหาตอนหน้าจะสั้นไปบ้าง ก็อย่าถือสาเราเนอะ (กอดขาคว้าเข่า)
ถ้าอ่านแล้วชอบ หรือไม่ชอบอย่างไร อย่าลืมเม้นท์ทิ้งไว้ให้เราชื่นใจบ้างเน่อ ^^

ป.ล. หากอ่านเจอคำผิดตรงไหน เราต้องกราบขออภัย
และรบกวนช่วยฝากชี้แนะเราด้วยนะคะ พอดีรอบนี้ปั่นแล้วลงเลยไม่ทันได้ตรวจทาน