Monday, September 28, 2015

Ħ บน บาน ศาล รัก Ħ The 29th Blessing || 29.09.2015



คำเตือน... ตอนนี้ยาวสุดๆค่ะ และน่าจะเริ่มดราม่านิดๆแล้วนะคะ

(ขออธิบายนิดนึงเนอะ...
เนื่องจากเนื้อเรื่องกำลังดำเนินมาถึงช่วงท้ายๆ
เพราะฉะนั้น... ช่วยไม่ได้จริงๆที่เราต้องติดเตาต้มน้ำรอลวกเส้นเข้าให้แล้ว
ทั้งนี้ทั้งนั้น...เราสัญญาว่าจะคงคอนเซปต์เรื่องชวนหัวที่ไม่ดราม่าสุดตัวเอาไว้ให้เหนียวแน่นนะคะ
หวังว่าทุกๆท่านจะยังติดตามเรื่องรักๆสุดวายป่วงเรื่องนี้ของทั้งเก้าหนุ่มกันต่อไปเนอะ
ฮืออออ! ขอโทษค่ะ ไม่อยากดราม่า...แต่เนื้อเรื่องชาตินี้อาจจะไม่มีบทสรุปก็เป็นได้
เพราะฉะนั้น จะพยายามให้มาม่ามาสั้นที่สุดนะคะบอกเลย)


ใจเราอยากส่งอัพเดทนิยายให้ทุกๆท่านเลย แต่ไม่สามารถจริงๆ
ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป...แนะนำให้ติดตามเพจ FB เป็นอีกทางเลือกนึงนะคะ...
เพราะเราจะเอาลิงค์นิยายตอนใหม่ไปแปะให้อ่านโดยไม่ต้องกังวลว่าจะพลาดตอนใหม่

รักคนอ่านทุกท่านค่ะ ^^
หากเจอคำผิด...วานบอกด้วยนะคะ
วันนี้ปั่นอย่างเดียวยังไม่ได้ตรวจทาน แล้วจะเข้ามาแก้ไขให้ค่ะ



Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ





The 29th Blessing       
สังสรรค์จอมปลอม  สัญญาจำเป็น




“...ด้วง...”  

เป็นเพราะน้ำเสียงลังเลนั่นล่ะมั้งที่เรียกให้วิญญูเงยหน้าขึ้นมองร่างเล็กทันที
ทั้งที่สองมือยังคงวุ่นอยู่กับการรื้อของใช้ส่วนตัวออกจากกระเป๋าแล้วจัดเก็บเข้าตู้ให้เรียบร้อย


“อะไรเหรอฟู?”

เมื่อได้รับความสนใจจากเพื่อนรักตามที่ต้องการ
กังฟูซึ่งดูไม่เป็นตัวของตัวเองจนผิดสังเกตก็รีบฉวยโอกาสเกริ่นนำด้วงเข้าสู่หัวข้อสำคัญโดยไม่รอรี


“มึงว่างป่ะ?”

“ก็ไม่ได้ยุ่งอะไรหรอก เสร็จจากนี่...ก็เหลือแค่อาบน้ำแต่งตัว แล้วก็ไปได้แล้วแหละ ฟูมีอะไรหรือเปล่า?” ดวงตารีคมกล้าคล้ายพญาเหยี่ยวหรี่ลงคล้ายจับผิด...

ทุกทีก็ไม่เห็นเคยมีอารัมภบทยืดยาว ออกจะพูดจาชัดเจนฉะฉาน แถมยังถนัดงานออกคำสั่งกร้าวๆเป็นที่หนึ่งด้วยซ้ำไป
แล้วทำไมอยู่ดีๆอีกฝ่ายถึงได้ทำตัวมีพิรุธพูดจาอ้อมมาอ้อมไปแบบนี้กัน?!


คิดได้ดังนั้น หนุ่มผมยาวจึงละมือจากตู้เสื้อผ้า สาวเท้ามาหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงของตนด้วยความสนอกสนใจเต็มเปี่ยม  
ฝ่ายคนตัวเล็กกว่าที่ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมระหว่างยืนเหนียมอยู่กลางห้องเป็นนานสองนานก็เดินไปลากเก้าอี้อ่านหนังสือตัวใกล้ๆมาตั้งตรงข้ามกับตำแหน่งที่เพื่อนรักปักหลัก ก่อนจะพักขาตามหลังด้วงไปอีกคน  


“พอดีกูมีเรื่องจะถามมึงหน่อยน่ะ” กรกฏอ้อมแอ้ม

“เรื่องอะไรเหรอ?” วิญญูชะโงกหน้าเข้าใกล้ร่างเล็กที่ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งแผ่วลงเรื่อยๆ... อยากรู้นักว่าหัวข้อที่ทำให้กังฟูละล้าละลังได้คืออะไร

“...คือ...”
.
.
.
.
.
.
.
ดวงตากลมสุกใสกลอกไปมาไม่อยู่นิ่งขณะที่เจ้าตัวกัดเล็บประวิงเวลาอยู่ครู่ใหญ่
จนเมื่อเรียวคิ้วงามบนหน้าเพื่อนตวัดเป็นปม... กังฟูก็กลั้นใจข่มความรู้สึกเอ่ยประโยคเริ่มต้นออกมาให้เพื่อนรักผมยาวได้รับฟัง


“มึงรู้สึกยังไงวะด้วง?”

เพราะหัวข้อที่กรกฏต้องการคำตอบจากเพื่อนรักเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่เจ้าตัวเก็บซ่อนเอาไว้โดยไม่คิดเผยให้ใครร่วมรับรู้
พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยจึงโพล่งคำถามออกไปห้วนๆ นัยว่าข้อความที่ส่งไปพร้อมสายตาเมื่อครู่จะช่วยทำให้เพื่อนรักตรัสรู้ถึงเบื้องหลังเบื้องลึกของคำถามได้ด้วยตนเอง


“รู้สึกยังไง?” หนุ่มผมยาวทวนคำถามพลางเลิกคิ้วมองหน้ารูมเมทนิ่ง “รู้สึกยังไงกับอะไรกันล่ะฟู ฟูเจาะจงหน่อยได้ไหม?... เราไม่เข้าใจคำถามน่ะ” วิญญูรู้สึกสังหรณ์ใจตงิดๆ...

ท่าทางกระอักกระอ่วนแปลกๆของร่างเล็กบอกใบ้ว่า
สิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะเอ่ยในไม่ช้า ไม่น่าจะฟังเข้าหูสักเท่าไร...
และถ้าด้วงเดาอาการกระมิดกระเมี้ยนของเพื่อนรักไม่ผิด พนันได้เลยว่า จะต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเต๋อแน่ๆ


“ก็... เอ่อ ก็...แบบ เวลาที่มึงรัก คนๆนั้น ของมึงน่ะ มึงรู้สึกยังไงบ้าง?” ใบหน้าขาวเนียนของกังฟูขึ้นสีแดงจัดแบบฉับพลันทันตา คนพูดกลืนน้ำลายช้าๆเพื่อถ่วงเวลาพลางใคร่ครวญถึงคำถามถัดไป
.
.
“มึงแน่ใจได้ยังไงว่าความรู้สึกที่มึงมีให้ คนๆนั้น  คือ ความรักจริงๆ ไม่ใช่อย่างอื่น?”

ใช่ว่าพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยอยากจะทำตัวไม่มีมารยาท หรืออยากปาดหน้าเค้ก
แต่เพราะความกล้าที่รวบรวมมาก่อนจะเปิดอกถกเรื่องทำนองนี้กับเพื่อนรักนั้น มันค่อนข้างจำกัดเสียจริงๆ
ดังนั้น  แค่เห็นว่าด้วงตั้งท่าจะซักไซ้ไล่เรียง กังฟูก็รีบพูดดักคอเพื่อนรักเอาไว้ทันที


“มึงอย่าเพิ่งถาม! ตอบกูมาก่อน...กูขอร้อง นะ!


ถ้าจะภาวนาให้เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน...จะยังทันไหม?

ที่ยิ่งตลกร้ายไปกันใหญ่...
เห็นจะเป็นการที่อีกฝ่ายไม่เคยระแคะระคายเกี่ยวกับความรู้สึกในใจของเขามาก่อน
ทำให้จังหวะที่ด้วงหลุดทำสีหน้าลำบากใจออกไปเมื่อครู่ กังฟูจึงแค่ทึกทักไปเองว่า... อาการชักสีหน้าที่หนุ่มผมยาวแสดงออกเป็นผลมาจากประโยคขอร้องแกมบังคับของเขา หาใช่ความเจ็บปวดรวดร้าวปานถูกเด็ดเอาหัวใจไปขยี้ทิ้งอย่างที่เป็นอยู่ในยามนี้ไม่


กระนั้น...เนื่องจากการเก็บซ่อนความรู้สึกคือกิจวัตรอันคุ้นเคยตลอดหลายปีให้หลัง
วิญญูจึงลอบถอนหายใจเพียงครั้งก่อนจะกล้ำกลืนความขมขื่น แล้วจึงปรับสีหน้าให้กลับเป็นปกติเพื่อตอบคำถามของกังฟูด้วยรอยยิ้มไม่ผิดไปจากทุกที เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายตระหนักถึงท่าทีบื้อใบ้ของตนได้นั่นเอง


“ตอนแรกๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกที่เรามีให้กับ คนๆนั้น ของเรา จริงๆแล้วมันคืออะไร...
...เรารู้แค่ว่า คนๆนั้นคือ สาเหตุที่ทำให้เราอยากไปโรงเรียนแต่เช้า...
...ความสุขที่ได้เห็นหน้าเขา ทำให้เราเกลียดคาบสุดท้าย เพราะไม่อยากกลับบ้าน...
...เราไม่ชอบเสาร์ อาทิตย์ เพราะเราต้องเรียนพิเศษจนไม่มีเวลาไปเล่นกับ คนๆนั้น


จากที่คิดว่าความเจ็บปวดเมื่อครู่จะทำให้พูดอะไรไม่ออก...
กลับกลายเป็นว่า เมื่อเริ่มพูดถึงตนเองกับกังฟูในวัยเด็ก  ด้วงก็สามารถคลี่ยิ้มอย่างจริงใจออกมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

ความรักช่างมีอานุภาพวิเศษเสียนี่กระไร...
กระทั่งเจ็บเจียนตาย ก็กลับบรรเทาให้ลดน้อยลงได้ในชั่วพริบตา


“นานวันเข้า พอเมื่อไรก็ตามที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เราก็เอาแต่คิดถึง คนๆนั้น จนไม่เป็นอันทำอะไร...
...แค่คนๆนั้น ทำดีด้วยนิดๆหน่อยๆ เราก็มีความสุข นั่งยิ้มคนเดียวได้ทั้งวี่ทั้งวัน...
...เวลาโกรธกัน  แค่คนๆนั้น ส่งยิ้มให้ หรือเอ่ยขอโทษทั้งที่ไม่เต็มใจ เราก็แทบจะหายโกรธทันที...
...สุดท้ายพอเราเห็นคนอื่นเข้าหา คนๆนั้นพยายามแย่งความสนใจของ คนๆนั้น ไปจากเรา...
...อารมณ์หงุดหงิดรำคาญใจ ก็ทำให้เรารู้ว่า...ความรู้สึกที่มีต่อ คนๆนั้นไม่ใช่ความชื่นชมในฐานะเพื่อนทั่วๆไปอีกแล้ว...
.
.
.
...เราไม่อยากให้ คนๆนั้น เห็นใครสำคัญกว่าเรา...
...เราอยากเป็นคนๆเดียวที่ได้รับความรักของ คนๆนั้น โดยไม่ต้องแบ่งปันกับใคร...
...อยากครอบครอง อยากอยู่ใกล้ อยากดูแล ให้ความรัก  อยากให้ทุกๆอารมณ์รวมไปถึงทุกสิ่งที่เป็นของ คนๆนั้น กลายเป็นสมบัติให้เราชื่นชมอยู่คนเดียว”

“มันเป็นอย่างนั้นเองเหรอ?”

คนฟังทำท่าคิดหนักกับความในใจของเพื่อนสนิทที่เพิ่งสดับ
พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเปรยรับคำพูดยาวเหยียดของเพื่อนด้วยคำถามลอยๆด้วยกำลังจดจ่อกับก้อนความคิดข้างในหัว


“เราก็ไม่รู้เหมือนกันหรอกฟู ว่าคนอื่นจะรู้สึกเหมือนที่เรารู้สึกหรือเปล่า...
.
...ของแบบนี้ก็ต่างคนต่างใจ...
...ต่างวิธีแสดงออกน่ะ” ด้วงเสริมพลางลอบสังเกตใบหน้านวลของชายหนุ่มที่ตนปรารถนาด้วยสายตาบอกอารมณ์ไม่ถูก...

เศร้าโศกเสียใจน่ะแน่นอน
แต่ครั้นจะให้ถอนใจจากอีกฝ่ายทั้งที่กังฟูยังไม่มีใคร วิญญูก็ไม่อาจทำได้อยู่ดี


“อืมๆ เหรอๆ” กรกฏตอบรับส่งเดชด้วยกำลังทบทวนความรู้สึกของตัวเองเปรียบเทียบกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินไปหยกหยกอย่างละเอียดละออ

“ทีนี้เราถามได้หรือยังว่าทำไมฟูถึงถามเราเรื่องนี้? ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นสนใจเรื่องรักๆใคร่ๆมาก่อนเลยนี่นา”

แม้ไม่อยากจะยอมรับ แต่ด้วงกลับปฏิเสธไม่ได้ว่า...
ข้อดีข้อหนึ่งของการแอบรักอีกฝ่ายก็คือ เขาสามารถซอกแซกเรื่องของกังฟูได้อย่างถึงลูกถึงคน

ต่อให้ต้องเฉือนหัวใจออกเป็นริ้วๆด้วยน้ำมือตัวเองสักกี่หน
แต่คนแอบรักก็ปักใจแน่วแน่แล้วว่า จะอย่างไร...ก็ต้องรู้ให้ได้ว่าร่างเล็กเทใจให้ศัตรูไปกี่มากน้อย


“เปล่า... กูแค่อยากลองถามมึงดูเฉยๆ”

คำปฏิเสธซึ่งมาพร้อมสายตาหลุบต่ำกับสีหน้ากล้ำกลืนของกังฟู
ทำเอาคนที่เฝ้าจับจ้องทุกๆอิริยาบทอยู่ใจแป้ว

หากร่างเล็กตั้งใจปกปิดความจริงจากผู้ใดจริงๆ
สิ่งแรกที่ไม่ควรทำ คือ เสหลบตาหรือทำหน้าเหมือนเด็กแอบทำความผิดเป็นอันขาด...
เพราะนั่นจะทำให้น้ำหนักของคำพูด เบาหวิวจนปลิวลับไปกับอากาศคล้ายไม่เคยมีอยู่จริงทันที


“ไม่จริงหรอก บอกเรามาเถอะ...
...เก็บเอาไว้กับตัวเองจนคิดมากอยู่คนเดียว เดี๋ยวจะเครียดเอาได้นะ...
.
...ฟูแอบชอบใครอยู่เหรอ?” ด้วงตะล่อมถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่เร่งเร้า เพราะรู้ดีว่าตัวเองกำลังจี้จุดตายของอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง

ทันทีที่ได้ยินคำถามของเพื่อนรัก พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็ผงะหน้าหงายจนเกือบตกเก้าอี้...
ดีว่าด้วงเอื้อมมือคว้าร่างเล็กเอาไว้ได้ทัน กระนั้น...กังฟูก็ไม่ลืมแก้ตัวเป็นพัลวันจนยิ่งดูไม่น่าเชื่อถือไปกันใหญ่


“เฮ่ย! บ้าแล้วด้วง!! มึงเอาอะไรที่ไหนมาพูด?!!” หนุ่มร่างเล็กหน้าแดงเห่อ

“เต๋อเหรอ?”...ถ้าริจะตีเหล็ก ก็ต้องตีตอนร้อนๆอย่างนี้นี่แหละถึงจะได้เรื่องมากที่สุด ด้วงเลยถือโอกาสแซะไม่เลิก

“มึงอย่าเพิ่งไปบอกใครนะ!... กูขอล่ะ” เป็นเพราะระหว่างยอมรับความจริงอยู่นั้น ร่างเล็กเอาแต่หลับหูหลับตาพลางยกมือไหว้เพื่อนรักผมยาวปลกๆ ทำให้กังฟูไม่ทันเห็นสีหน้ามืดหม่นของคนฟังเลยสักนิด


นั่นปะไร... คิดแล้วเชียว!
.
.
.
.
.
.
สุดท้าย กังฟูก็รักผู้ชายจนได้
คำถามก็คือ ทำไมคนที่อีกฝ่ายสนใจ...ถึงกลายเป็นคนอื่นไปเสียฉิบ?


“นี่ชอบเต๋อจริงๆใช่ไหมเนี่ย?” หนุ่มผมยาวไม่ได้เสพติดความเจ็บปวดแต่อย่างใด ทว่าที่หลุดปากถามเพื่อนรักออกมาอีกครั้ง ก็เพราะต้องการให้อีกฝ่ายช่วยตอกย้ำคำตอบเพื่อความแน่ใจต่างหาก

“อืม...ก็คงจะอย่างนั้นแหละ” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยพูดไปยิ้มไป

หากด้วงมองไม่ผิด... ประกายในคลองจักษุของอีกฝ่ายดูจะสุกสกาวสว่างสไวยิ่งกว่าครั้งไหนๆที่เขาเคยเห็นมาก่อน 
กระนั้น... เมื่อร่างเล็กผินหน้ากลับมาสบตากับเขา ดวงดาวที่ประดับในดวงตาสีอ่อนกลับดับแสงลงโดยพลัน


“มึง... มึงไม่โกรธกูใช่ไหม?” กรกฏอึกอักเพราะรู้แก่ใจว่า น้ำลายที่เคยถ่มขึ้นฟ้า ร่วงลงเปรอะหน้าตัวเองเข้าเสียแล้ว

โชคดีที่วิญญูตั้งรับกับสถานการณ์ตรงหน้าได้แต่เนิ่นๆ
ไม่อย่างนั้น...เขาคงไม่อาจควบคุมอารมณ์และสีหน้าได้ดีเยี่ยม ขนาดที่ว่าตัวเขายังตกใจในความนิ่งของตัวเองอยู่ไม่หาย
หนุ่มผมยาวยิ้มมุมปากพลางส่งสายตาเอ็นดูทอดไปพินิจดวงหน้าของร่างเล็ก แล้วจึงเอื้อนเอ่ยความในใจที่ตรงข้ามกับความรู้สึกที่แท้จริงอย่างไหลลื่น


“เราจะโกรธฟูได้ยังไงล่ะ ฟูมีความรัก... เราก็ต้องยินดีกับฟูสิ”

“เฮ่ออออออ! ค่อยยังชั่วหน่อย  บอกตรงๆ กูนะ... กลัวมึงรับไม่ได้ที่สุดเลย” กังฟูถอนหายใจพรูด้วยความโล่งอก...

วาจาที่เคยลั่นเอาไว้เมื่อก่อนเจ็บแสบขนาดไหน... ทำไมหนุ่มวิศวะร่างเล็กจะจำไม่ได้
และทุกๆครั้งที่ตนว่าร้ายรุ่นพี่หรือรุ่นน้องที่เข้าหา ล้วนแล้วแต่ได้คำพูดเตือนสติของอีกฝ่ายช่วยเหนี่ยวรั้งเอาไว้เสมอ

ไม่เท่านั้น...ด้วงยังคอยยกเหตุผลดีๆนับร้อยแปดมาอธิบายให้พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยได้รับฟังอยู่เนืองๆ
เพราะอีกฝ่ายอยากทำให้เขาเข้าใจ และอยู่ร่วมกับผู้คนที่มีความรักในอีกรูปแบบหนึ่งได้อย่างสันติ 
แต่คนถือดีอย่างกังฟูกลับตอบแทนเพื่อนรักด้วยการขุดโคตรเหง้าของเพื่อนรักผู้แสนดีมาด่าเช้าด่าเย็นแทบไม่เว้นวัน


“แล้วฟูไม่คิดอะไรเรื่องที่ต้องคบกับผู้ชายแล้วเหรอ?” คำถามข้อนี้ของด้วงทำให้ร่างเล็กย้ายมานั่งข้างๆร่างสูงกว่าเพราะอดอับอายสายตานิ่งๆของเพื่อนสนิทไม่ได้

“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะด้วง แต่กูว่า...กูไม่ปกติแล้วว่ะ...
.
.
...เวลาเจอหน้ามันทีไร หัวใจกูแม่งก็เต้นแรงทุกที อยู่ใกล้ๆมันแล้วกูก็ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง...
...ถ้าเป็นคนอื่นมาทำตัวเลี่ยนๆ หรือพูดจาหวานๆใส่กู  กูคงด่าพ่อไปแล้ว...  
...แต่พอเป็นมัน... กูแม่งเสือกทำอะไรไม่ถูก ยืนให้มันแทะโลมเหมือนคนเป็นใบ้...
...พอมันทำท่าเหนื่อยใส่ กูก็ไม่สบายใจจนนั่งไม่ติด เก็บเรื่องของแม่งไปคิดจนนอนไม่หลับ” พอเห็นว่าเพื่อนรักยอมรับความรู้สึกนึกคิดของตนได้ ร่างเล็กก็พรั่งพรูความรู้สึกที่ปั่นป่วนอยู่ข้างในออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ  

“โห อาการหนักเหมือนกันนะเนี่ย” หนุ่มผมยาวยังคงรักษาอาการปกติเอาไว้ได้เป็นอย่างดีแม้ไม่รู้ว่าบาดแผลในครั้งนี้จะสมานตัวได้เมื่อไรก็ตาม

“ก็เออดิ! ไม่งั้นกูคงไม่กล้าคุยกับมึงอย่างนี้หรอก” พูดจบ...พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็ซบลงตรงหัวไหล่ของเพื่อนรักพลางคิดใคร่ครวญถึงบุคคลที่สาม...

ท่าทางพร่ำเพ้อเหม่อลอยที่กังฟูเผยให้เห็นเป็นครั้งแรกยิ่งตอกย้ำความรู้สึกหน่วงในใจหนุ่มผมยาวได้เป็นอย่างดี
แต่ในเมื่อยังไม่พร้อมจะปล่อยร่างเล็กไปให้กับคนอื่น วิญญูต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อสร้างโอกาสให้ตัวเองพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นต่อได้อีกครั้ง


“แล้วฟูจะเอายังไงต่อไปล่ะ? จะบอกเต๋อเลยไหม?” หนุ่มผมยาวหยั่งเชิง

“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ  ไว้ให้กูเลี่ยงคำถามของมันไม่ได้เมื่อไร...
...กูก็คงต้องสารภาพความรู้สึกกับมันล่ะมั้ง...
.
.
...ฮึ่ย! ถ้ามันรู้ว่ากูชอบมัน มึงว่ามันจะเหลิงจนทำอะไรๆใส่กูไหมวะ?” ความรู้สึกจักจี้หัวใจเมื่อนึกภาพตามทำให้ร่างเล็กอดขนลุกวูบวาบไม่ได้...

ขนาดแค่คุยด้วยดีๆ แถมโปรโมชันกอดฟรีไปเมื่อคราวก่อน... ไอ้หมีควายยังบังอาจหอมแก้มเขาซ้ำๆอยู่ตั้งนานสองนาน
เกิดเต๋อรู้ความในใจของเขาเข้าจริงๆ...  อีกฝ่ายจะไม่เข้าสิงร่างของเขาเลยหรือไร?!


“อย่าเพิ่งคิดอะไรมากไปเลยฟู ของแบบนั้น... ถ้าคนสองคนรักกันจริงๆ ฟูคงไม่รู้สึกแปลกๆหรอก เชื่อเราสิ”  ด้วงปลอบแกนๆ ขณะจมอยู่ในห้วงความคิด

“อืม... ก็คงจะอย่างนั้นล่ะมั้ง” พอคิดตามคำของรูมเมทผมยาว... ความรู้สึกร้อนผ่าวก็พาดผ่านใบหน้าของกรกฏอีกครั้ง  
ท่าทางสิ่งที่ด้วงเพิ่งจะพูดออกมาน่าจะเป็นเรื่องจริงอีกแล้ว เพราะแค่คิดถึงกอดอุ่นๆ กับรอยยิ้มกว้างๆของอีกฝ่าย กังฟูก็ออกอาการเขินจนต้องหยิบหมอนหนุนนอนของเพื่อนรักมาบังหน้าเอาไว้อยู่ครู่ใหญ่


ขณะเดียวกัน ที่หนุ่มผมยาวกำลังระดมความรู้และประสบการณ์ที่เพียรสั่งสม เพื่อเร่งไตร่ตรองถึงความเสี่ยงต่างๆ คิดสะระตะเกี่ยวกับความเสียหายทั้งหมด  หากยังจดๆจ้องๆเอาแต่มองกังฟูอยู่ในหลืบ
เห็นที เขาคงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อสกัดกั้นโอกาสของคู่แจ่งหัวใจเสียแล้ว...
ด้วงจะถือเสียว่า เขากำลังเก็บค่าที่ปรึกษาปัญหาหัวใจของร่างเล็กย้อนหลังก็แล้วกัน


“เออฟู”

“หืม? มึงมีไรเหรอด้วง?”

“เราขออะไรอย่างได้หรือเปล่า?” วิญญูโยนหินถามทางพลางแสร้งแสดงสีหน้าลำบากใจ

“อะไรล่ะ? ถ้าไม่ใช่เงิน ไม่ใช่เดือน ไม่ใช่ดาว... บอกมาเถอะ ถ้ากูให้มึงได้ กูก็จะให้” หลังจากใช้บริการของศิราณีกิตติมศักดิ์จนปลอดโปร่งโล่งใจ กังฟูก็กลายเป็นฝ่ายเดือดเป็นร้อนกับสีหน้าบอกบุญไม่รับของด้วงเข้าเสียเอง

“คือ... ฟูอย่าเพิ่งคบกับเต๋อหรือรับรักเต๋อได้ไหม?” แค่เห็นพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยตอบสนองต่อคำขอของตนด้วยการขมวดคิ้วกับนิ่วหน้าด้วยความไม่ชอบใจ ด้วงก็รีบอธิบายตัวเองทันที “เดี๋ยว เดี๋ยว... ฟังเหตุผลเราก่อน...
.
...คืออย่างนี้...
...ฟูก็รู้ใช่ไหมว่าเราแอบรัก คนๆนั้น มาตั้งหลายปีโดยที่ยังไม่ได้มีโอกาสสารภาพความในใจ...
...แล้วถ้าอยู่ๆ ฟูหนีเราไปมีแฟนก่อน เราไม่ต้องเหงาอยู่คนเดียวหรอกเหรอ?”

“แล้วมึงจะให้กูทำยังไง? กูห้ามไอ้เต๋อแม่งได้ที่ไหนกันเล่า!” ร่างเล็กขึ้นเสียงด้วยไม่เข้าใจในสิ่งที่เพื่อนรักต้องการจะสื่อ...

การที่เขาชอบพอกับหนุ่มสถาปัตย์ เกี่ยวข้องอะไรกับการแอบรักผู้ชายคนอื่นของด้วงกัน?
ทำไมเขาถึงคบกับเต๋อไม่ได้ถ้าเมทไม่ได้สมรักกับผู้ชายคนนั้น?!!  


“แต่ฟูห้ามใจตัวเองได้นิ” หนุ่มผมยาวย้อนนิ่มๆ แล้วจึงอาศัยจังหวะที่กรกฏยังนั่งอึ้ง เอ่ยตะล่อมอีกฝ่ายก่อนที่กรกฏจะแปลงร่างเข้าสู่โหมดทำลายล้างอาละวาดบ้านพังไปเสียก่อน  

“เราขอโทษนะที่เราเห็นแก่ตัวแบบนี้...
.
.
...แต่ฟูรออีกแป๊บเดียวได้ไหม รอให้เราบอกรักคนที่เราแอบชอบก่อน แล้วฟูค่อยคบกับเต๋อหลังจากนั้นได้ไหม?” ด้วงพยายามให้เหตุผล “นะฟู... ฟูลองคิดดูสิ ถ้าฟูคบกับเต๋อ เราสองคนก็จะไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม...
.
...ถ้าเราไม่มีใคร เราก็ต้องเหงามากๆแน่ๆเลย...
...แต่ถ้าเราลองสารภาพรักคนๆนั้น เราอาจจะมีแฟนก่อนฟู...
...สุดท้าย... ทั้งเราและฟู ก็จะมีความสุขกับความรักของเราทั้งคู่ยังไงล่ะ นะ...เถอะนะฟู”

“แล้วมึงจะบอก คนๆนั้น ของมึงเมื่อไรวะ?” กังฟูยังไม่วางใจ เกิดเพื่อนรักของเขายังไม่หายป๊อด... ไอ้หมีควายจะไม่ต้องตั้งตารอคบกับเขาจนแก่หงำตายไปเสียก่อนหรอกหรือ?!

“ก็อีกไม่นานหรอก ดีไม่ดี...น่าจะไม่กี่วันหลังจากวันเปิดเทอมเลยล่ะมั้ง” วิญญูเอ่ยกำหนดการที่ตั้งเป้าเอาไว้ในใจด้วยน้ำเสียงมั่นคงคล้ายจะเรียกขวัญของตัวเองไปพร้อมๆกัน

ได้ยินดังนั้น...กังฟูก็เบาใจ
เพราะร่างเล็กไม่อยากให้เต๋อต้องเสียกำลังใจกับการรอคอยคนร้ายกาจอย่างเขาไปเสียก่อน


“เออๆ ถ้างั้นกูให้สัญญากับมึงเลยก็ได้  แค่ต้องรอวันสองวันไอ้ห่าเต๋อมันคงไม่ลงแดงตายหรอกมั้ง” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยทำทีเป็นรับคำส่งๆเพื่อปกปิดความรู้สึกยินดีปรีดาที่อัดแน่นอยู่ภายในใจ

“ขอบใจนะฟู”

“ถ้าอย่างนั้นมึงก็บอกกูได้แล้วสิว่า คนๆนั้น ของมึงเป็นใคร?” กรกฏเลียบๆเคียงๆด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เพื่อนรักกลับไม่เป็นใจ

“หึ! บอกไม่ได้!!... แต่เดี๋ยวฟูก็รู้”

“เยอะนะมึงน่ะ!” อารามหมั่นไส้เพื่อนรักผู้ฟอร์มจัดเสียเหลือเกิน ร่างเล็กจึงเอนตัวไปข้างๆก่อนจะเหวี่ยงร่างเข้ากระแทกสีข้างด้วงอย่างจังเพื่อสั่งสอนค่าที่อีกฝ่ายทำตัวมีลับลมคมในใส่เขา  ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำเอาด้วงอดขำด้วยความชอบอกชอบใจไม่ได้

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า... ก็นิดนึง”

ยิ่งกังฟูอยากรู้เรื่องของ คนๆนั้นมากเท่าไร
วิญญูก็แทบจะอดใจรอเวลาที่อีกฝ่ายจะได้รู้ว่า คนๆนั้นของตนเป็นใครไม่ได้เสียแล้ว
กระนั้น... สีหน้าตื่นเต้นยินดีระคนเหวอจนทำอะไรไม่ถูกของร่างเล็กในจินตนาการของตน กลับทำให้หนุ่มผมยาวข่มความอยากเอาไว้ได้อีกครั้ง


“ไปอาบน้ำเตรียมตัวกันเถอะ เดี๋ยวเต๋อจะรอเอานะ” เมทผมยาวชักชวนเพื่อนร่างเล็กเพื่อให้อีกฝ่ายเตรียมตัวก่อนไปงานเลี้ยงวันเกิดของรุ่นน้องต่างคณะที่ห้องเต๋อคืนนี้

“บ้า! ไอ้หมีนั่นมันจะรอทำไมล่ะ... คนรอมันต้องไอ้สัดแว่นเจ้าของวันเกิดนั่นตังหากล่ะ ทำมาเป็นแซวนะมึง...เดี๋ยวเหอะ!!” กังฟูดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงเพื่อชี้หน้าเพื่อนรักระหว่างแหกปากด่าอีกฝ่ายเนื่องจากยังวางตัวไม่ถูก

แม้อาการหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศสุกที่ลุกลามไปทั่วใบหน้าจรดลำคอจะเล่นงานด้วงจนแทบกระอักเลือด
ทว่า...วิญญูผู้มีความอดทนเป็นเลิศก็สามารถผ่านความระทมทุกข์มาได้ไม่ยาก


“ฟูเขินซะน่ารักเชียวน้า”

“กูไม่คุยกับมึงแล้ว ไปอาบน้ำดีกว่า!” กรกฏสะบัดบ็อบเดินหายเข้าห้องน้ำไปเมื่อไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะหยุดล้อตน ฝ่ายคนแซวกลับทำได้แค่นั่งจ้องแผ่นหลังเล็กๆหายลับเข้าห้องน้ำไปด้วยน้ำตาที่เอ่อไหลล้นทรวง


 Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ


“เอาล่ะทุกคน... อย่าลืมนะว่าวันนี้พวกเราต้องไม่พลาดเป็นอันขาด” แฝดพี่กำชับเหล่าสมุนเลวที่มาชุมนุมกันเป็นพิเศษก่อนจะเริ่มงานวันเกิดได้ไม่ถึงชั่วโมงดี

“ถูกต้องแล้วครับพี่ฌาน...
.
...ผมขอออกตัวเอาไว้ ณ ที่นี้เลยนะครับว่า หากใครเผลอหลุดปากเรื่องงานวันเกิดวันนี้ว่าไม่ใช่วันเกิดที่แท้จริงของผม...
...รับรองว่าผมจะไม่ปล่อยให้บุคคลผู้นั้นลอยหน้าชูคอในสังคมได้อีกต่อไป...
...เพราะผมนี่แหละที่จะหาโอกาสตอกย้ำซ้ำเติมความผิดพลาดในครั้งนี้ของอ้ายอีผู้นั้นให้มันสาแกใจไปตราบจนชั่วลูกชั่วหลานอีกประมาณสิบเอ็ดชั่วโคตร” สกลปรายตามองฌอนแล้วแสยะยิ้มเย้ยหยันอย่างมีเลศนัย

ด้วยความที่แฝดน้องไม่ค่อยต่อปากต่อคำกับใครเป็นทุน  
หนุ่มหน้าแว่นจึงรีบออกอาวุธใส่เพื่อนรักให้วุ่นวายคล้ายไม่คิดจะคบหากันอีกต่อไป


“โดยเฉพาะรายที่ชอบสมคบกับงูเห่าซึ่งผีเข้าผีออกเป็นประจำน่ะ อาจจะโดนงูแว้งกัดจนพลาดพลั้งได้ง่ายๆ” เมื่อจบกระบวนท่าที่สอง สกลก็กระแทกเสียงกระแนะกระแหนใส่คู่กรณีสดๆร้อนๆอย่างแฝดน้องด้วยสีหน้าชิงชังจนนางอิจฉายังต้องอายอีกครั้ง  “ถ้าจะทำอะไร... ก็หัดระวังตัวเอาไว้หน่อยแล้วกันครับ  ไม่อย่างนั้น...จะหาว่าหล่อไม่เตือน”

“หึ! อย่าพลาดเองก็แล้วกัน รู้ใช่ไหมว่าจะโดนอะไร” แฝดน้องประกาศจุดยืนด้วยน้ำเสียงทรงพลัง...

ทั้งที่ตั้งใจจะไม่เปลืองตัวเกลือกกลั้วกับอีกฝ่ายจนเกินเหตุ แต่หากเขายังเพิกเฉยกับการก่อกวนของสกลไปมากกว่านี้...
เห็นทีว่าเพื่อนรักหน้าแว่นจะต้องเสนอหน้าเข้ามาสอดรู้สอดเห็นเรื่องระหว่างเขากับอดีตเดือนบริหารเข้าจนได้  ซึ่งนั่นถือเป็นสิ่งสุดท้ายในโลกที่ฌอนปรารถนาในชีวิตรักของตน
  

“ครั้งนี้นายดูอินแปลกๆนะสกล” ฝ่ายบ๊วยที่แยกประสาทรับฟังบทสนทนาของเหล่าเพื่อนสนิทไปพร้อมๆกับคำเว้าวอนของแฟนหนุ่ม ก็ถึงขั้นรามือจากการเจรจาต่อรองกับอดีตเดือนมหาลัยเพื่อหันไปติงเพื่อนรักหน้าแว่นเข้าอีกคน

“นายไม่ใช่เรานายไม่รู้หรอกว่า กว่าจะถึงวันนี้ เราต้องผ่านอะไรมาบ้าง!” สกลแว้งกัดชายกลางผู้แสนดีโดยไม่ละสายตาจากแฝดน้องแต่อย่างใด... เขาจะไม่มีวันพ่ายแพ้และสละตำแหน่งไส้ศึกไปง่ายๆโดยเด็ดขาด  

“ฮื่อ! บูบู้อย่าเพิ่งสนใจคนอื่นสิครับ เรายังคุยกันไม่เสร็จเลยนะ...
.
...ไหนเมื่อวานสัญญากับเค้าว่า จะยอมให้เค้าไปนอนค้างที่ห้องเป็นเพื่อนยังไงล่ะ?...
...ดูซิเนี่ย... เมื่อคืนเค้ารอโทรศัพท์ของบูบู้จนเผลอหลับไปเลยนะครับ” ธันวาบ่นกระปอดกระแปดพลางประคองใบหน้าเล็กๆของแฟนตัวน้อยให้เบือนกลับมามองหน้าตนแต่เพียงผู้เดียว

“พี่หมีครับ... เดี๋ยวเราค่อยคุยเรื่องนั้นกันอีกทีดีไหมครับ? ตอนนี้เรามาประชุมกันก่อนดีกว่าเนอะ” ฝ่ายชายกลางผู้ไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ประเหลาะด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน...

นับวัน การแสดงออกทางความรักของอดีตเดือนมหาลัยก็ยิ่งจะหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
ยังดีที่ธันวาไม่ได้ทำตัวรุ่มร่ามต่อหน้าคนอื่นนอกเหนือไปจากบรรดาคนสนิทของพวกเขาเท่านั้น

ทว่าคุณสมบัติข้อนี้กลับกลายเป็นปัญหาชวนหนักใจของบ๊วยมากขึ้นทุกที ทุกที
เนื่องจากสมาชิกในครอบครัว เพื่อนรักทั้งสาม รวมถึงรุ่นพี่ที่คบหากันอยู่ ต่างยอมรับการกระทำของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
จึงไม่มีใครคอยช่วยห้ามปรามหนุ่มรูปงามผู้ปากว่ามือถึงอีกต่อไป

กว่าที่พรของเจ้าพ่อไทรทองจะถูกล้างไปได้ เขาจะไม่เฉามืออีกฝ่ายตายก่อนพอดีหรอกหรือ?!!


“ก็เค้าเห็นว่าสกลเอาแต่เพ้อเจ้ออะไรก็ไม่รู้อยู่ได้ เค้าเลยเข้าใจว่าการประชุมยังไม่เริ่มยังไงล่ะครับ”  อดีตเดือนมหาลัยแถซึ่งซึ่งหน้าโดยไม่แคร์หน้าเหม็นเบื่อของหนุ่มหน้าแว่นผู้โดนพาดพิงอย่างถึงพริกถึงขิงแต่อย่างใด

“เอาล่ะ เอาล่ะ... อย่าเพิ่งแอบหลอกด่าสกลไปมากกว่านี้เลยนะ...
.
...จริงๆที่พี่ฌานเรียกพวกเรามาเจอกันก่อนเวลานัดก็เพื่อทบทวนรายละเอียดของงานคืนวันนี้กับพวกเราทั้งหมดเท่านั้น...
...ไม่ได้ตั้งใจจะประชุมอะไรซีเรียสนักหรอก” แฝดพี่ห้ามทัพเมื่อเห็นว่าทั้งหมดได้ทักทายกันพอหอมปากหอมคอเป็นที่เรียบร้อย...

ดีหน่อยที่พักหลังๆมานี่...มีพันธมิตรร่วมขัดแข้งขัดขาสกลเยอะกว่าเมื่อก่อน
ไม่อย่างนั้น... เขานี่แหละที่ต้องเหนื่อยอ่อนกับการยั้งปากเพื่อนหน้าแว่นหนักกว่าใคร


“เอ้อ! พี่ฌานครับ... แล้วเจ้าพ่อทั้งสองไปไหนเสียล่ะครับ  ตั้งแต่ออกจากป่ามา... ผมยังไม่เจอท่านอีกเลยนะครับ” ข้อสังเกตของธันวาทำให้บรรดาสมุนเลวที่เหลือพยักหน้าคล้อยตามกันยกใหญ่ แฝดพี่จึงบอกเล่าสถานการณ์ขององค์เทวบุตรทั้งสองตามข้อมูลอัพเดทที่ตนได้รับแจ้งมาอีกที  

“หลังเจ้าพ่อไทรทองมอบคาถาจับฉลากให้พี่ฌานมาเมื่อเช้า ท่านก็กลับไปพักที่ตำหนักแล้วล่ะ...
...เจ้าพ่อท่านบอกพี่ว่า ท่านทั้งสองขอเวลาพักฟื้นกายละเอียดต่ออีกสักนิดหน่อยน่ะ...
.
...ถ้าจำไม่ผิด...
...น่าจะเป็นเพราะเหตุการณ์หลงป่าของพวกเรานี่แหละที่ทำท่านเสียพลังวัตรไปมากเหลือเกิน”

“แล้วนี่ผมควรต้องเตรียมของเซ่นไหว้ชุดพิเศษอะไรเพื่อกำนัลท่านทั้งสองอีกหรือเปล่าครับพี่ฌาน?” บ๊วยเป็นเดือดเป็นร้อนเมื่อได้รู้ว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาสร้างความลำบากให้กับเจ้าพ่อทั้งสองขนาดต้องพักผ่อนนานขนาดนี้  กระนั้นแฝดพี่กลับร้องห้ามเอาไว้ราวกับรู้ใจชายกลางเป็นอย่างดี

“ยังไม่ต้องนะ... เจ้าพ่อไทรทองท่านบอกว่า ท่านอยากใช้เวลาพักผ่อนสองต่อสองกับเจ้าพ่อห่อไหล่น่ะ...
.
...เดี๋ยวพอหลังเปิดเทอม  ท่านก็น่าจะกลับมาช่วยเหลือพวกเราเหมือนเดิมแล้วล่ะ” พอได้ยินคำอธิบายอย่างครอบคลุมของฌาน ทั้งหมดจึงค่อยๆคลายใจ  เมื่อนั้น... แฝดพี่จึงหันไปติดตามความเรียบร้อยของงานที่เพื่อนหน้าแว่นออกหน้ารับจัดการเป็นหัวข้อถัดไปทันที “สกล... แล้วนี่เตรียมข้าวของอะไรมาพร้อมหรือยังล่ะ? มีอะไรขาดเหลืออีกหรือเปล่า?”

“ครบแล้วครับ ผมให้เด็กที่ร้านเจ็กเอาไปเก็บไว้ที่ห้องพี่เต๋อตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้วครับ...
.
...รับรองว่าวันนี้ทุกคนจะต้องสนุกแน่ๆ” หนุ่มหน้าแว่นยืดอกรายงานด้วยความภาคภูมิเหมือนเด็กประถมทำงานกลุ่มแล้วได้รับคำชมหน้าชั้นเรียนอย่างไรอย่างนั้น

“ทำดีมากสกล!” แฝดพี่ชมสกลเปาะ ก่อนจะหันไปกำชับแฝดน้องของตนอย่างเข้มข้นจริงจัง “น้องชาย... วันนี้ห้ามอ่อยใครแล้วปล่อยให้ตัวเองโดนกรอกเหล้าได้อีก เพราะคืนนี้น้องชายมีหน้าที่ทำไพ่...เข้าใจนะ” ฌอนกดหน้าลงไวๆเพื่อรับปาก 

“ส่วนคนอื่นๆ ก็อย่าพลาดพลั้งก๊งหนักจนตั้งหลักไม่ได้ไปเสียก่อนล่ะ... จำไว้ว่า พวกเราต้องเมาเป็นกลุ่มสุดท้าย โอเคนะ?”

“ครับ / เฮ่!

“ถ้าพี่เต๋อกับเฮียฟูเริ่มกึ่มๆได้ที่ ต้องหาทางหลอกล่อทั้งสองให้เข้าไปอยู่ในห้องนอนใหญ่โดยไม่มีคุณพี่ด้วงพ่วงตามไปให้จงได้ เข้าใจไหม?” ฌานไม่ลืมทบทวนข้อตกลงกับเหล่าสมุนอีกรอบเพราะคืนนี้พวกเขาจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด

“ครับ! / เฮ่!!!

“เอาล่ะทุกคน  ทีนี้ก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเองกันเสียที”

“พี่ชาย... เดี๋ยวฌอนมานะครับ” ยังไม่ทันที่แฝดน้องจะตบเท้าออกจากล็อบบี้ด้านล่างของอพาร์ทเมนท์เต๋ออันเป็นที่ประชุมในครั้งนี้ เสียงถากถางของหนุ่มหน้าแว่นก็ลอยลมไปเข้าหูฌอนจนได้

“เชอะ! ปรี่ไปรับงูเห่าสินะชาวนา?!!

“เหงาปากมากเหรอสกล? อยากให้น้องพลายมาอยู่เป็นเพื่อนดูไหมล่ะ? ฌอนไม่ขัดศรัทธาหรอกนะ” แฝดน้องส่งสายตากดดันจนอีกฝ่ายเริ่มทนไม่ได้  ร่างผอมเป็นไม่ซีกสีเซียวๆของสกลจึงย้ายไปหลบหลังแฝดพี่ชั่วคราวเพื่อตั้งป้อมเห่าสู้เพื่อนรักหัวจุกอย่างปลอดภัย

“สักแต่ใช้วิญญาณที่สามเข้าขมขู่... แน่จริงก็อย่าใช้แรงงานเด็กเซ่!” หนุ่มสถาปัตย์หน้าแว่นลอยหน้าลอยตาพูดท้าทายได้เดี๋ยวเดียว เพราะเมื่อฌอนขยับเข้าหา สกลก็ใช้ร่างหนาของแฝดพี่เป็นที่กำบังจนบังเกอร์จำเป็นอย่างฌานต้องเป็นธุระออกปากขอร้องน้องชายเสียเอง

“รีบไปเถอะน้องชาย อย่าให้เลทนักก็แล้วกัน / ครับ”



หลังจากแฝดน้องเดินลับตาไป
ก็ถึงคราวของอดีตเดือนมหาลัยที่ต้องขับรถวนกลับเข้าไปรับพี่ชายกับพี่ห้องมางานเลี้ยงในคืนนี้...
ทว่าเป็นเพราะเอาแต่ละล้าละลัง ธันวาจึงต้องวัดกำลังกับแฟนตัวน้อยอยู่ยกใหญ่...

ฝ่ายบ๊วยก็กำลังดันหลังหนุ่มรูปงามให้เดินมุ่งหน้าไปยังประตูทางออกอย่างมุ่งมั่น
ฝั่งหนุ่มนักกีฬาตัวมหาลัยกลับใช้ปลายขายันพื้นเพื่อขืนเอาไว้ด้วยอยากอยู่กับชายกลางให้นานที่สุด
แต่แล้ว...สภาพเหงื่อไหลไคลย้อยของชายกลางก็ทำให้หนุ่มวิศวะยอมใจอ่อนได้ในที่สุด


“พี่ฌาน ผมฝากเป็นลูกมือให้บูบู้หน่อยนะครับ” ธันวาหันไปสั่งความกับแฝดพี่หลังจากปรับตัวเข้าสู่โหมดร่ำลาแฟนอย่างหวานฉ่ำในบัดดล “บูบู้...ขึ้นไปเตรียมของรอเค้าบนห้องพี่เต๋อกับพี่ฌานนะ เค้ากลับไปรับเฮียฟูกับพี่ด้วงแป๊บนึง  เดี๋ยวเค้ากลับมาช่วย...โอเคไหม?” พูดพลางส่งปลายนิ้วมือไปแตะซับเหงื่อตามกรอบหน้าพร้อมบริการปัดไรผมไปทัดหลังหูให้อีกฝ่ายแบบเสร็จสรรพ  

“ครับ พี่หมีก็ขับรถดีๆนะ ไม่ต้องรีบนะครับ... เดี๋ยวเค้าทยอยทำกับข้าวรอ”

แม้ทั้งคู่จะผลัดกันดูแลอีกฝ่ายไม่ได้ขาด  ถึงอย่างนั้น...เวลาที่อีกฝ่ายอ่อนโยนกับเขาแบบนี้ ชายกลางก็อดรู้สึกเขินขึ้นมาไม่ได้ หนุ่มสถาปัตย์ตัวน้อยจึงได้แต่พูดตอบรับอีกฝ่ายด้วยการก้มหน้างุด

“อย่าหักโหมล่ะ เดี๋ยวจะเหนื่อยเกินไปซะก่อน” อดีตเดือนมหาลัยเชยคางแฟนขึ้นสบตาจนชายกลางไม่อาจซ่อนใบหน้าแดงก่ำของตนเอาไว้ได้อีกต่อไป แต่ความเป็นห่วงเป็นใยที่ส่งผ่านแววตาของหนุ่มวิศวะกลับทำให้บ๊วยลืมความรู้สึกกระดากอาย  ร่างผอมคลี่ยิ้มกว้างเพื่อปลอบให้แฟนหนุ่มของตนสบายใจส่งคืนไปพร้อมๆกับคำพูดรับรอง

“ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”  เมื่อเห็นว่าเก็กกำลังจะอ้าปากพร่ำพรรณนาประโยคสั่งเสียอีกครั้ง  สกลจึงส่งเสียงดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ไปเถอะครับคุณธันวา วางใจเถอะ... โหงวเฮ้งบนหนังหน้าเพื่อนผมบอกเลยว่าเจ้าตัวไม่นิยมคบชู้แน่ๆครับ”

“ไอ้หนูแนน!” อดีตเดือนมหาลัยคำราม แต่กลับทำอะไรหนุ่มหน้าแว่นที่หลบอยู่หลังแฝดพี่ไม่ได้ ด้วยเกรงใจฌานไม่น้อย กระนั้น... สกลกลับยังไม่สำเหนียกถึงความตายที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ

“พอสู้ไม่ได้ก็ล้อชื่อเล่นเพื่อนตลอดอ่ะ!” หนุ่มสถาปัตย์หน้าแว่นตะโกนเย้ยหยันโดยไม่ละจากชัยภูมิหลักด้านหลังของแฝดพี่  ซึ่งความสมเพชระคนรำคาญที่ฌานมีต่อเพื่อนปากดีก็ทำให้ร่างทรงหนุ่มยอมทำหน้าที่กรรมการห้ามมวยเพื่อช่วยชีวิตสกลอีกครั้ง

“เก็กไปเถอะ เดี๋ยวทางนี้พี่ฌานดูให้เอง”

“ครับ ขอบคุณครับพี่ฌาน” อดีตเดือนมหาลัยรับคำอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นจึงเดินผละออกจากอพาร์ทเมนท์ไปอีกคน



เมื่อไม่มีธุระหรือการประชุมสั่งความใดๆอีกต่อไป
หนุ่มสถาปัตย์ปีสองทั้งสามจึงบ่ายหน้าไปยังทางขึ้นห้องชั้นบนสุดของอาคารทันที
และภายหลังจากที่ทั้งหมดจับจองพื้นที่ภายในลิฟท์ได้สักพัก แฝดพี่ก็เปิดปากถามไถ่ถึงความสัมพันธ์ของเพื่อนตัวน้อยกับอดีตเดือนมหาลัยด้วยความเป็นห่วงเป็นใยโดยไม่รอช้า  


“บ๊วยเป็นไงมั่ง? ดีแล้วใช่ไหมกับไอ้เก็กมันน่ะ?”

“...ก็...” ชายกลางอมยิ้มน้อยๆก่อนรับคำสั้นๆ “...ครับ...”

“แหม่ จะไม่ดีได้ยังไงล่ะครับพี่ฌาน... คุณธันวาเล่นเกาะติดเพื่อนบูบู้ของเราอย่างกับผีชัตเตอร์...
.
...ทำไปทำมา ผมว่าเผลอๆต่อไปเพื่อนบูบู้ของเรานี่แหละครับที่จะต้องรำคาญความรุงรังของพี่หมีเข้าให้เสียเอง” สกลอดแดกดันหนุ่มรูปงามลับหลังไม่ได้... ก็ใครใช้ให้ธันวาทำตัวกระด้างกระเดื่องใส่เขากันล่ะ  

“แนน! นายพูดอะไรของนาย?! รู้เอาไว้เลยนะว่าเราไม่มีวันรำคาญเก็กเด็ดขาด!! ” บ๊วยเถียงเพื่อนรักสุดกำลัง เพราะสิ่งที่เพื่อนสนิทหน้าแว่นเอ่ยออกมานั้นไม่มีวันเป็นจริงได้...

ถ้าจะมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่รู้สึกเบื่อหรือรำคาญก่อน
คงจะเป็นอดีตเดือนมหาลัยที่ทนความเรียบง่ายไร้จุดเด่นของตนไม่ได้เสียมากกว่า...
อีกอย่าง... บ๊วยแน่ใจว่า แม้ธันวาจะชอบโชว์เรี่ยราดในบางครั้ง แต่เขาไม่มีทางหงุดหงิดเพราะอีกฝ่ายได้แน่ๆ


“แต่พี่ฌานก็ไม่คิดเหมือนกันนะว่าไอ้เก็กมันจะเป็นพวกง้องแง้งกับแฟนขนาดนี้...
...ดูเผินๆนึกว่าจะแมนๆเตะบอลสุขุมนุ่มลึกเสียอีก...
.
...สงสัยพรที่บ๊วยไปขอกับเจ้าพ่อห่อไหล่จะออกฤทธิ์แล้วล่ะมั้ง ไม่อย่างนั้นเก็กมันจะหลงบ๊วยหัวปักหัวปำแบบนี้เหรอ? เนอะ!” แฝดพี่ตั้งข้อสังเกตพลางหาแนวร่วม ซึ่งลูกคู่ตัวดีก็ทำหน้าที่ได้อย่างไม่มีที่ติ

“ใช่ครับพี่ฌาน... พรของเจ้าพ่อห่อไหล่นี่แจ่มแมวจริงๆนะครับ” สกลสรรเสริญอำนาจของเจ้าพ่อประจำวิทยาเขตด้วยความเลื่อมใส ก่อนจะชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงโพล่งสิ่งที่คิดออกมาโดยไม่กลั่นกรอง

“เอ! แต่ว่า ถ้าเกิดวันหนึ่งข้างหน้ามีคนมาขอเจ้าพ่อให้ช่วยล้างพรของบ๊วยล่ะครับพี่ฌาน?...
.
...ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพื่อนบูบู้ของเราจะไม่อกหักเอาเหรอครับ?”

คำถามของสกลไม่ต่างอะไรกับเสียงนาฬิกาปลุกในยามเช้า
แม้อดีตเดือนมหาลัยจะสร้างความมั่นใจให้ตัวเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เด็กหนุ่มผู้โง่เขลาเบาความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างบ๊วยก็อดคิดตามประเด็นน่าสงสัยของเพื่อนรักไม่ได้...

ใช่! แล้วถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับธันวาเป็นเพราะความกรุณาของเจ้าพ่อห่อไหล่จริงๆ
วันหนึ่ง...อีกฝ่ายจะทิ้งเขาไปง่ายๆเมื่อพรไร้ความศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า?!  


“เฮ่ย! พูดอะไรอย่างนั้นล่ะสกล?!! เป็นไปไม่ได้หรอก!!!” แฝดพี่พยายามกอบกู้สถานการณ์เมื่อเห็นว่าสีหน้าของชายกลางไม่สู้ดีนัก ฌานตบบ่าของเพื่อนรักตัวน้อยเบาๆเพื่อปลอบและเรียกให้ขวัญและกำลังใจของบ๊วยกลับคืน

“บ๊วยไม่ต้องคิดมากไปหรอกนะ... สกลก็เพ้อเจ้อแบบนี้เป็นปกตินั่นแหละ” ร่างทรงหนุ่มแก้ลำพลางส่งซิกให้เพื่อนหน้าแว่นพูดเสริมเพื่อปัดให้ประเด็ดอ่อนไหวดังกล่าวตกไปจากความสนใจของเพื่อนตัวน้อย

“ใช่ๆ  เราก็เพ้อเจ้อแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้วล่ะ...
.
...นายไม่ต้องกังวลไปหรอก...
...เอาอย่างนี้ไหมล่ะ เดี๋ยวพอล้างพรของเจ้าพ่อไทรทองสำเร็จ เรากับพี่ฌานจะไปบนขอเจ้าพ่อทั้งสองให้อีกทีก็แล้วกัน...
...รับรองเลยว่าความรักครั้งนี้ของนายจะอยู่ยงคงกระพันตีรันฟันแทงไม่เข้ากันเลยทีเดียว... โอ๊ย! พ...    

ยังไม่ทันจบความดี แฝดพี่ก็ประเคนมะเหงกให้สกลที่ทำเสียเรื่องแทนที่จะตบลูกนี้ให้ออกนอกวงโคจรไปเสีย
จากนั้น ฌานก็ส่งสายตาห้ามเพื่อนหน้าแว่นไม่ให้พูดต่อ เพราะตอนนี้...เพื่อนตัวน้อยแสนดีหน้าหดเหลือสองนิ้วไปเสียแล้ว


“อะไรที่มันยังไม่เกิด ก็อย่าเพิ่งคิดให้วุ่นวายใจไปก่อนเลยนะบ๊วย เอาเรื่องที่กำลังจะเกิดให้รอดก่อนดีไหม?” ฌานให้สติด้วยการดึงเรื่องภารกิจตรงหน้าขึ้นมาก่อน  “ไป! ไปสนุกกัน”

“ครับพี่ฌาน” บ๊วยรับคำตามมารยาท  

จริงอยู่ที่แม้ว่าหลังจากนั้น ความคิดนี้จะหายเข้ากลีบเมฆไปเพราะความสนุกสนาน หรือเหตุการณ์วุ่นวายใดๆก็ตามแต่
กระนั้น... มันก็มักจะออกมาคอยหลอกหลอนชายกลางไปเสียทุกครั้ง ตราบใดที่เขายังไม่ศรัทธากับความรักครั้งนี้ของตัวเองอย่างหมดหัวใจ


  Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ


“อ้าวเอลซ่า มารับชุดให้ไวเลยครับ” สกลจิกเรียกพี่รหัสเพื่อนสนิทที่ยืนหน้าหักเป็นยักษ์วัดแจ้งอยู่ตรงข้างตู้เย็น

“มึงจะเอาอย่างนี้จริงๆเหรอวะไอ้สัดแว่น?” เต๋อเดินเข้าไปใกล้รุ่นน้องหน้าแว่นที่กำลังแจกจ่ายเสื้อผ้าสีสันสดใสไม่เข้ากับชายวัยฉกรรจ์อย่างพวกเขาเป็นที่สุด... ยิ่งไอ้ชุดสีฟ้าเลื่อมๆที่ไอ้เด็กเปรตมันถืออยู่ด้วยแล้ว ยิ่งห่างไกลจากความเป็นชายไปหลายล้านปีแสงจริงๆ

“เหอะน่าพี่เต๋อ เอาชุดไปเลยครับ อย่าอิดออด” สกลยัดชุดผ้าพลิ้วบางเบาสีเทอร์ควอยซ์ใส่ฝ่ามือเขาอย่างไม่ใยดี ก่อนจะล้วงหาอะไรอีกอย่างในถุงขยะอีกใบ... เพียงอึดใจ ไอ้เด็กแว่นก็ยิ้มเผล่ด้วยความชอบใจเมื่อมันหยิบเอาวิกผมยาวสีบลอนด์ซีดออกมายื่นให้เขาอีกหนึ่งชิ้น  

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย!! มึงใช่ไหมที่เป็นตัวต้นคิดเกมห่าเนี่ย?” หนุ่มร่างหมีแทบจะวัตถุแปลกปลอมทั้งสองชิ้นลงพื้นด้วยความโมโห ทว่าสกลกลับไม่ให้ความร่วมมือกับตนอย่างที่เข้าใจ

“ป่านนี้แล้วพี่เต๋อยังจะเอาอะไรกับผมอีกล่ะคร๊าบ...
...โน่นแน่ะ  ทุกคนเขาแปลงกายกันเสร็จเรียบร้อยไปนานแล้ว มีแต่พี่เต๋อนี่แหละที่มัวยึกยักเล่นท่าอยู่ได้...
...ขนาดคุณกรกฏที่เรื่องมากยังยอมแต่งเป็นแอเรียลเจ้าหญิงเงือกแต่โดยดีเลยนะครับ...
.
.
...หรือกะอีแค่แต่งตัวเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์ไม่กี่ชั่วโมง ทำเอาพี่เต๋อปอดแหกครับ?”

บอกเลยว่าคำพูดแดกดันทั้งหลายที่พ่นออกจากปากไอ้เด็กแว่นไม่ได้ระคายผิวของตรินแต่อย่างใด...
เขาไม่อายหากอีกฝ่ายจะด่าพ่อล่อแม่เขา หรือกล่าวหาว่าหนุ่มร่างหมีปอดแหกไปจนกว่าวันสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัย

แต่สิ่งที่สามารถทำให้เขาเปลี่ยนจุดยืนได้ในชั่วพริบตาคงหนีไม่พ้น...การได้เห็นกังฟูในชุดนางเงือกเป็นบุญตาสักครั้ง
ซึ่งหากเขาบ่ายเบี่ยง คนอื่นๆก็อาจจะส่งเสียงคัดค้านตามรอยของเขามาทีละคนสองคน
จนสุดท้าย...เขาเองนั่นแหละที่อาจจะไม่ได้เห็นร่างเล็กในเสื้อผ้าแปลกตาแบบนี้อีกแน่ๆ


“แล้วทำไมไอ้แฝดพี่แม่งได้แต่งเป็นมินเนียนล่ะ?...
.
...เจ้าหญิงดิสนีย์ตัวไหนแม่งเหลืองอ๋อยไปถึงดากแบบนี้บ้าง ห๊ะ?!...
...มึงแม่งเล่นพวกนี่หว่า โคตรไม่ยุติธรรมเลย!!” ถึงจะแอบทำใจกับชุดสีฟ้ากับวิกผมทองในมือไปล่วงหน้า แต่อย่านึกว่าเขาจะยอมให้ความร่วมมือง่ายๆ

“เฮ่อ! พี่เต๋อครับ พี่เต๋ออย่างอแงเป็นเด็กๆไปสิครับ...
.
...พี่เต๋อก็เห็นไม่ใช่เหรอครับว่า ก่อนจะเริ่มเล่นเนี่ย...ทุกคนเขาก็จับฉลากกันทั้งนั้น...
...แค่บังเอิญว่าพี่ฌานมือดีจับได้มินเนียนตัวเมียไปเท่านั้นเอง อย่าเที่ยวอิจฉาน้องนุ่งจนออกนอกหน้าสิครับ”

“แล้วมึงว่าใครดูสนุกสนานเบิกบานฤทัยไปกับเกมของมึงบ้างวะ?” ตรินยังไม่หยุดต่อปากต่อคำ ซึ่งการกระทำใดๆที่ส่อต่อการท้ายทายอำนาจหมู่ของเหล่าสมุนเลวแบบจะจะเช่นนี้  จะต้องได้รับการปรับทัศนคติอย่างเด็ดขาดและทันท่วงทีเท่านั้น

“พี่เต๋อครับ เร็วๆเถอะครับ ผมรอนานแล้วนะ” ฌานในชุดเมดมินเนียนเดินเข้ามาแตะไหล่ของรุ่นพี่เบาๆ เพียงเท่านั้น...ความรู้สึกรักตัวกลัวตายก็กลับมาประทับร่างของพี่รหัสหุ่นหมีของบ๊วยได้ในชั่วพริบตา

“เออ เออ! ก็ได้วะแม่ง!!” เต๋อเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปยืนหลบอยู่ตรงมุมห้องเพื่อเปลี่ยนชุดใหม่ตามกติกาเกมบ้าๆบอๆที่รุ่นน้องคิดขึ้น

“ทุกๆคนเล่นสลาฟเป็นใช่ไหมครับ?” สกลเปิดฉากถามทุกคนที่แต่งตัวไปพลางฟังไปพลาง โดยที่ทั้งหมดพยักหน้าให้ ไม่ก็ครางฮึ่มฮั่มรับพอเป็นพิธี หนุ่มสถาปัตย์หน้าแว่นจึงร่ายต่อเพราะไมอยากเสียเวลา  “แต่สลาฟของเรา... ถ้าใครเล่นแพ้ นอกจากจะต้องเสียไพ่ที่ดีที่สุดให้คิงสองใบแล้ว ยังต้องเลือกระหว่างถอดเสื้อผ้า กับกินเหล้าช็อตนึงด้วยนะครับ”

“เฮ่ย! นี่พวกมึงวางแผนกันมาก่อนหรือเปล่าวะ?...
.
...ทำไมกูถึงต้องใส่ชุดกระโปรงตัวเดียวแบบถอดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไม่ได้ด้วยล่ะวะ?...
...ดูไอ้เหี้ยบูบู้ดิ๊... อุปกรณ์เสริมแม่งเต็มตัวไปหมดอ่ะ”  กังฟูอุทธรณ์ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ...

ร่างเล็กสะบัดชายเสื้อยืดตัวยาวที่ประดับเป็นชุดนางเงือกเสร็จสรรพ ทว่านับจำนวนชิ้นผ้าได้แค่หนึ่งชิ้นถ้วนด้วยความโมโห
เพราะหากเทียบจำนวนชิ้นเครื่องนุ่งห่มบวกเครื่องประดับตามเนื้อตัวของตน  กับเครื่องแต่งกายของแฟนน้องชาย
เขาชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่า ความยุติธรรมอันเท่าเทียมของเกมนี้...อยู่ที่ตรงไหนกันแน่?!

กระนั้น... สกลกลับจับจุดของกรกฏได้อยู่หมัด


“แหม่ คุณกรกฏครับ... คุณกรกฏจะกลัวอะไรล่ะครับ...
...ก็ถ้าคุณกรกฏเป็นคิงทุกตา... คุณกรกฏก็ไม่ต้องกินทั้งเหล้า หรือไม่ต้องแก้ผ้าก็ยังไหวเลย...
.
...หรือคุณกรกฏไม่ใจกันครับ?” รุ่นน้องต่างคณะหน้าแว่นกล่าวท้าทายด้วยท่าทางไม่ใส่ใจอีกฝ่ายมากนักเพราะกำลังใส่วิกประกอบชุดตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่นั่นเอง ซึ่งท่าทางทองไม่รู้ร้อนของสกลทำให้พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยถึงกับสบถด้วยความเหลืออด

“ฮึ่ย! ไอ้สัดแนน...ฝากเอาไว้ก่อนเหอะมึง!!

“กรุณารับบัตรคิวด้วยนะครับ เพราะคุณกรกฏไม่ใช่คนแรกที่อยากจะฝากไฝว้ไว้กับผม” หนุ่มสถาปัตย์หน้าแว่นพูดพลางวาดขอบปากเป็นรูปกระจับเล็กๆคล้ายเกอิชาโดยไม่ปรายตามองรุ่นพี่ร่างเล็กเลยสักวินาที... บอกเลยว่าตอนนี้ รูปปากสำคัญกว่าอย่างอื่น

“จะเริ่มเล่นกันยังล่ะ?” ด้วงซึ่งเพิ่งกระดกเหล้าแก้วที่เท่าไรไม่รู้เสร็จถามด้วยน้ำเสียงรำคาญหากแต่ฟังอ้อแอ้นิดๆ  เมื่อได้ยินดังนั้น หนุ่มหน้าแว่นก็เริ่มเปิดเกมของคืนนี้ด้วยความรวดเร็วทันที  

“โอเคครับ เริ่มเล่นกันเลยแล้วกันนะครับ”




หลังจากที่วงไพ่สลาฟดิสนีย์เริ่มเล่นไปสักพัก
ก็เริ่มมีคนออกอาการเพลี่ยงพล้ำให้เห็นอย่างเด่นชัด


“คุณพี่ด้วงครับ...เบาๆหน่อยก็ได้ครับ ไม่ต้องดื่มเยอะขนาดนั้นก็ได้ครับ...
.
...คุณพี่ด้วงแค่ต้องเป็นสลาฟติดๆกันสองตาเองนะครับ ไม่ต้องลงทุนถึงขั้นสละตับให้กับเกมนี้ก็ได้... พวกผมเกรงใจ”  หนุ่มหน้าแว่นออกปากห้ามรุ่นพี่ต่างคณะในชุดเจ้าหญิงออโรร่าที่เกือบจะนิทราด้วยการเอาหัวโหม่งลงกลางวงไพ่อยู่รอมร่อ

“ฮื่อออออ!” วิญญูครางไม่เป็นภาษาเพราะไม่ได้ดั่งใจ และเริ่มพูดคุยกับใครไม่รู้เรื่องเต็มที สกลจึงหันไปหาตัวช่วยที่ไว้ใจได้...พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยผู้เสียทีดื่มไปหลายช็อตเหมือนกัน

“คุณกรกฏไม่คิดจะห้ามเพื่อนหน่อยเหรอครับ?”

“กูห้ามจนไม่รู้จะห้ามยังไงแล้วไอ้สัดแว่น...
.
...มึงเห็นไหมล่ะว่ามันฟังกูเสียที่ไหน สงสัยวันนี้แม่งจะอยากเมามั้ง กูเห็นแดกไม่หยุดตั้งแต่เข้าห้องมาแล้วเนี่ย” กังฟูตอบด้วยน้ำเสียงระอา เอาจริงๆ... เขาเองก็ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เพื่อนสนิทตนออกตัวกินเหล้าได้ไม่คิดชีวิตแบบนี้  ร้อยวันพันปี...เขาไม่เคยเห็นด้วงดื่มเหล้าแทนน้ำเปล่าแบบครั้งนี้มาก่อน

“แต่มันจะดีเหรอครับ?” บ๊วยที่ยังเครื่องประดับอยู่ครบแถมไม่ได้แตะน้ำเมาสักแก้วถามพี่ชายแฟนหนุ่มด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง จนแฝดพี่ต้องรวบรัดตัดความในที่สุด

“ปล่อยเถอะบ๊วย... จะกินมากกินน้อยเอาตอนนี้คงจะให้ผลลัพธ์ไม่ต่างกันหรอก...
.
...ยังไงคืนนี้คุณพี่ด้วงก็ต้องเมาเป็นหมาอยู่ดีนั่นแหละ”  

“เอ้า! แจกไพ่เสียทีสิครับชาวนา... ได้ข่าวว่าคิงทำไพ่ไม่ใช่เหรอ?” สกลหันไปจิกกัดเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดหัวจุกในชุดโฉมงามที่นั่งประคบประหงมอลิซน้อยหน้าหงิกให้ทำไพ่ด้วยการใช้อำนาจอย่างเต็มเปี่ยม

“ยังอีก! ยังไม่หุบปากอีก!” ฌอนกดหน้าต่ำพร้อมกับคำรามใส่เพื่อนหน้าแว่นไปหนึ่งดอกก่อนจะหันกลับไปเร่งอิ๊กยิกๆ “ทำไพ่เร็วๆสิคุณ คนอื่นรออยู่นะ”

“ฮึ่ย! ไอ้บ้าพลัง ไอ้เผด็จการฝังหัว!!” อิ๊กในโหมดไร้สติปะฉะดะกับแฝดน้องอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้ ตากลมโตละจากไพ่ขึ้นมาจ้องหน้าฌอนอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“หรือคุณอยากจะเป็นสลาฟ? ชุดก็มีผ้าอยู่ชิ้นสองชิ้น... อยากแก้ผ้าเหรอ? ชอบโชว์หรือไง?” แฝดน้องสวนกลับทันควัน

“ที่ขู่เนี่ยเพราะอยากจะเห็นขาอ่อนฉันให้ได้จริงๆใช่ไหม? ไอ้คนลามกจกเปรต! อิ๊กแว้ดใส่ด้วยอารมณ์ร้อนแรง กระนั้น...หนุ่มสถาปัตย์กลับยื่นหน้าเข้าไปกระซิบใกล้ๆใบหูอลิซน้อยเพื่อกระซิบความนัยให้ได้ยินกันแค่สองคน

“แล้วที่เถียงนี่อยากโดนอีกหรือยังไง?”

!!!!!!!”  

ฝ่ายคนฟังที่แม้จะขาดสติ แต่กลับจำบทลงโทษของแฝดน้องได้เป็นอย่างดี ก็ยอมให้ความร่วมมือด้วยการหุบปากโดยพลัน
แล้วขยันสับไพ่ให้แหลกคามือแทนการระบายความแค้นต่ออีกฝ่ายอีกทอดหนึ่ง  

ถึงอย่างนั้น...กายละเอียดที่ถูกขังอยู่ภายในกลับกรีดร้องด้วยความเสียดาย
เนื่องจากไม่มีโอกาสได้รับบทลงทัณฑ์อันแสนหวานจากอวตารของอสูรซึ่งปรากฏกายในร่างโฉมงามไปอย่างหวุดหวิด...
ก็จุมพิตยามฌอนโกรธน่ะทั้งโหด ทั้งหอมหวาน ทั้งชวนหื่น...และหืดหาดยิ่งกว่าอะไรเลยนี่นา... คึ คึ คึ!!!


“บูบู้ครับ... บูบู้อย่าลืมจูบเค้านะครับ เดี๋ยวเค้าไม่ฟื้นนะ” สโนว์เก็กอาศัยจังหวะที่ทั้งหมดกำลังวุ่นวายอยู่กับไพ่หันไปอ้อนแฟนตัวน้อยของตนทันที ฝ่ายคนฟังก็แสดงสีหน้าหนักใจออกมาให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งพอกัน

“พี่หมีครับ เค้าบอกแล้วไงว่าเกมนี้ไม่มีกินแอปเปิล” บ๊วยในชุดเจ้าหญิงจัสมินซึ่งแต่งตัวเต็มยศไม่แพ้สกลกับอดีตเดือนบริหารทัดทานความต้องการของแฟนรูปงามอย่างเต็มกำลัง

“ไม่รู้ล่ะ! ยังไงก็ต้องจุ๊บ ไม่งั้นเค้าไม่ยอมจริงๆด้วยนะ!! อดีตเดือนมหาลัยดึงดัน ตบท้ายด้วยการทำปากยู่แก้มป่องใส่อีกฝ่ายตามตำราท่าทางเกย์ไทยที่อ่านฝังหัวไปตั้งแต่ครั้งก่อน

“เฮ่อ! คู่นี้ก็เหลือเกิน!!!” สกลทำหน้าสุดเอือมใส่คู่รักบังหน้า ก่อนจะหันไปหาเรื่องเจ้าของห้องในชุดเอลซ่าสีฟ้ากรุยกรายระหว่างรออิ๊กทำไพ่ “พี่เต๋อครับ ถ้าพี่เต๋อเป็นสลาฟรอบนี้ พี่เต๋อร้อง Let It Go ให้ฟังสักรอบได้ไหมครับ? ผมจะได้ถ่ายวิดิโอเอาไปลงในบล็อคเอาใจแฟนๆที่ชื่นชอบของแปลกน่ะครับ”

“ไอ้สัด! กูเพื่อนเล่นมึงเหรอไง?”

“แหม่... นานๆพวกผมจะได้เห็นพี่เต๋อในลุคหวานแหววแบบนี้เสียที...
.
...ถือว่าทำบุญเพื่อน้องๆผู้ขาดแคลนเรื่องแปลกในชีวิตก็แล้วกันนะครับ” หนุ่มหน้าแว่นพูดพลางจับหางเปียของรุ่นพี่สะบัดไปมาคล้ายกับเล่นแกว่งหางอาปีเตอร์เพื่อแหย่ให้มันรำคาญ

“ไอ้เหี้ยแว่นมึงอย่ามา! เนื่องจากชุดที่ใส่อยู่เป็นชุดกระโปรงกรุยกราย ความโล่งโหวงใจทำให้หนุ่มร่างหมีรู้สึกเขินอายจนไม่อาจจะขยับร่างกายไปมาได้อย่างอิสระ ตรินจึงทำได้แค่ด่ารุ่นน้องหน้าแว่นไปเรื่อยๆเท่านั้น... แต่คนหน้าด้านหน้าทนอย่างสกลน่ะสะเทือนสะท้านเพราะคำก่นด่าเสียที่ไหนกัน?!

“นิดนึงนะ...นะครับพี่เต๋อ”

“วอนนักนะมึง...อยากตายเหรอไง?”

“ไม่ต้องรอให้แพ้เกมนี้ก็ได้ครับ... ร้องเลยก็ได้ กว่าไพ่จะเสร็จ พี่เต๋อก็ร้องจบเพลงพอดีแหละครับ” สกลหว่านล้อมโดยไม่ลืมเหน็บแนมอิ๊กจนคิ้วฌอนกระดิกริกๆด้วยความไม่พอใจ  เมื่อเห็นแฝดน้องเดือดร้อนอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ หนุ่มหน้าแว่นก็แกล้งทำไม่สนใจแล้วหันไปใช้มวลชนเข้าจัดการมัดมือชกพี่รหัสของบ๊วยทันที

“เอ้า! ทุกโคนนนน...ปรบมือให้กับการขับขานบทเพลงของพี่เต๋อด้วยคร๊าบ!!!!

“เราว่าอย่ากวนพี่เต๋ออีกเลยนะ” บ๊วยกระซิบกระซาบห้ามปรามเพื่อนรักที่ชักจะลำเส้นเกินไป พลางขอให้แฟนหนุ่มดูแลพี่ห้องผมยาวที่ตบมือเปาะแปะตามคำขอส่งเดชของสกลเมื่อครู่ไปพลางๆ

“เหอะน่า! นานๆจะได้แกล้งแกสักที”

“พอเถอะ เราขอร้อง...  
.
...แค่ต้องใส่ชุดนี้...แกก็น่าสงสารมากพอแล้วนะ ปล่อยแกให้นั่งสบายๆบ้างเถอะสกล” คำอ้อนวอนของชายกลางรังแต่จะสร้างความรู้สึกต่อต้านให้กับคนฟังผู้ดื้อดึง  สกลจึงลืมตัวใช้เสียงปรามเพื่อนรักให้ยอมทำตามความต้องการเล่นสนุกของตนแต่โดยดี

“นายอย่ามาห้ามเราเลย... ไหนๆวันเกิดจริงๆของเราก็ไม่ได้ฉลองกันพร้อมหน้าพร้อมตาทุกคนแบบนี้อยู่แล้ว...
.
...ขอเราเก็บบันทึกความทรงจำของวันเกิดปลอมๆเสียหน่อยไม่ได้หรือยังไงล่ะ?!!

“หึ! ได้สิ... แต่เมื่อกี๊มึงว่าไงนะ? ลองทวนประโยคของมึงให้กูฟังหน่อยซิ” เต๋อหักนิ้วพลางถามย้ำกับรุ่นน้องหน้าแว่นด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ “วัน เกิด ปลอมๆ งั้น เหรอ?”

เมื่อนั้น... ความวุ่นวายทางสายตาก็ถูกส่งผ่านกันไปมาระหว่างดวงตาของเหล่าสมุนเลวแต่ละคน  อาทิ...
สกล...ตัวต้นเหตุของการโป๊ะแตก ดูจะอับอายไม่น้อยเมื่อหันไปเห็นสายตาล้อเลียนของแฝดน้องที่ส่งมาให้บ่อยเกินจำเป็น
เก็ก...กำลังแลกเปลี่ยนทางออกของปัญหากับแฝดพี่เพื่อทางออกที่ดีที่สุด พลางส่งสายตาไปปลอบแฟนตัวน้อยไม่ให้ขวัญกระเจิงเป็นระยะ


“อย่าบอกนะว่ามึงโกหกพวกกู?...ห๊ะ!ไอ้สัดแว่น!!

“ขอโทษครับพี่เต๋อ คุณกรกฏ พวกผมไม่ได้ตั้งใจจะหลอกพี่พวกพี่ๆเลยนะครับ” สกลละล่ำละลักด้วยความกลัวสายตาเหมือนยักษ์เหมือนมารของรุ่นพี่ต่างไซส์ต่างคณะ

“พวกผม?!! อย่าบอกนะว่านี่พวกมึงทั้งหมดรวมหัวกันหลอกกู?” เต๋อทวน

“ไม่แช่แค่มึงหรอก... พวกแม่งก็หลอกกูด้วย” กรกฏผสมโรงแทบจะทันที  “พวกมึงทำแบบนี้ไปทำไม? ไอ้แนน!... มึงเป็นพวกขาดความอบอุ่นหรือไงถึงได้คิดอะไรปัญญาอ่อนแบบนี้ขึ้นมา? ห๊ะ?!
.
.
.
.
.
.
“ผมจะบอกความจริงให้พวกพี่ๆรู้ก็ได้ครับ” สกลหันไปสบตากับแฝดพี่คล้ายจะขออนุญาต อีกฝ่ายจึงแสดงท่าทางรับรู้และพยักหน้าให้ดำเนินแผนการสำรองลับเฉพาะได้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง หนุ่มหน้าแว่นจึงพูดต่อทันทีด้วยสีหน้ามีความหวัง “แต่ถ้าบอกแล้ว สัญญากับผมก่อนได้ไหมครับว่าจะไม่เขินไปเสียก่อน”

“ไอ้สัดแว่น! มึงเล่นตุกติกอะไรอีก? บอกมาสักทีสิวะ....อย่าเรื่องมาก อย่าลีลา! ความอดทนของเต๋อใกล้แตะขีดสุดภายในระยะเวลาอันสั้น...

ไอ้รุ่นน้องพวกนี้ต้องการอะไรจากพวกเขากัน?
หรือการที่พวกมันได้เข้ามาใช้พื้นที่ส่วนตัวของเขา ได้ใช้เวลาร่วมกับเขา ได้สร้างเสียงหัวเราะและเรื่องราวต่างๆร่วมกัน...
แค่นั้น ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของพวกมันหรืออย่างไร?!!


“ก็ได้ครับ... บอกก็ได้ครับ” หนุ่มหน้าแว่นรับคำง่ายๆคล้ายนักมวยยอมยกธงขาวสละชัยชนะ  ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า ท่าทางลุแก่โทษจนดูหงอยของสกลทำให้ข้อความที่ตามหลังมานั้น ฟังดูมีน้ำหนักจนน่าแปลกใจ “...คือ...พวกเราอยากจะหาโอกาสให้พี่เต๋อได้ใช้เวลากับคุณกรกฏก่อนเปิดเทอมน่ะครับ”

“ห๊ะ?!/ ว่าไงนะ? / หึ!” เต๋อ กังฟู และด้วงต่างส่งเสียงอุทานกันไปคนละอย่าง ตามอารมณ์ ความคิด และการประมวลผลเท่าที่สติสตังของแต่ละคนพอจะเอื้ออำนวยให้ได้

“ตามนั้นแหละครับพี่เต๋อ” ฌานช่วยยืนยันอีกเสียง...

ซึ่งเป็นที่รู้กันไปโดยปริยายว่า...เมื่อไรก็ตามที่แฝดพี่ออกโรงสนับสนุนสิ่งใด
สิ่งนั้นจะกลายเป็นความชอบธรรม หรือเรื่องจริงที่ไม่ควรเอาชีวิตไปแลกเพื่อโต้แย้ง  
ดังนั้น จึงไม่แปลกอะไรหากรุ่นพี่ที่ถูกอ้างชื่อถึงไปหมาดๆ... จะแอบลอบมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาเก้อเขินสุดประมาณแทนออกอาการโกรธเกรี้ยวอย่างชั่วครู่


“เอ่อ... อย่างนั้นเองหรอกเหรอ?” เต๋อเปรยขึ้นมาลอยๆ คล้ายแก้เก้อพลางเกาเกรียนตัวเองหนักๆ  

“ครับพี่เต๋อ” บ๊วยรับคำพี่รหัส ตามด้วยอดีตเดือนมหาลัยที่หันไปทำความเข้าใจกับพี่ชายตัวเองตามแนวทางที่ทั้งสกลและฌานปูเอาไว้  

“เก็กเห็นเฮียใจลอยตอนที่อยู่บ้าน...
...เก็กเลยแอบเดาว่าเฮียน่าจะอยากเจอพี่เต๋ออยู่เหมือนกัน...
...เก็กเลยเอาเรื่องนี้มาปรึกษากับเพื่อนๆเพราะไม่อยากให้เฮียกลุ้มใจอยู่คนเดียว...
.
.
...เฮีย... เฮียอย่าโกรธพวกเราเลยนะครับ ที่พวกเราทำไปเพราะปรารถนาดีกับเฮียและพี่เต๋อจริงๆ...
...หากสิ่งที่พวกเก็กทำ ทำให้เฮียไม่ชอบใจ...เก็กก็ขอโทษแทนทุกคนด้วยนะครับ พวกเราไม่มีเจตนาร้ายกับเฮียหรือพี่เต๋อเลยสักนิด” เก็กตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จอย่างเป็นธรรมชาติ  

“เออ เออ... กูจะไปโกรธอะไรมึงล่ะ กูแค่ไม่ชอบที่พวกมึงโกหกกูเฉยๆแค่นั้นแหละ”

ถ้าไม่ใช่เพราะความรู้สึกกระดากเข้าทำลายความสามารถในการด่ากราดรุ่นน้องให้ใช้การไม่ได้ชั่วคราว
กังฟูคงจะไม่ยอมความจนเรื่องราวดำเนินมาถึงตอนจบได้อย่างง่ายดายผิดคาดขนาดนี้   
ดีไม่ดี... ทั้งน้องตัวและรุ่นน้องต่างคณะ มีอันต้องได้โดนเขาด่าระนาวจนถึงเช้าก็เป็นได้   


“ถ้างั้นกูกลับเลยดีกว่า... ไม่ต้องเป่าเค้กแล้วใช่ไหมล่ะ?” รุ่นพี่ร่างเล็กอ้อมแอ้ม แก้มสีแดงระเรื่อทำให้คนฟังที่ยังมีสติครบถ้วนทั้งหลายอดชอบใจไม่ได้จริงๆ

“ถ้างั้นให้เต๋อไปส่งแล้วกันนะครับฟู” เจ้าของห้องขันอาสา ทว่าร่างเล็กยังไม่วายเป็นห่วงรูมเมทที่ติดรถมาด้วยกัน

“แล้วด้วงล่ะ?”

“ปล่อยพี่ด้วงไปก่อนก็ได้เฮีย เก็กว่า... อีกนานเลยแหละกว่าแกจะหยุดกินเหล้า” กังฟูอดคล้อยตามน้องชายไม่ได้ เพราะจังหวะที่อดีตเดือนมหาลัยอธิบายอยู่นั้นเอง หนุ่มผมยาวก็เร่งดื่มน้ำเมาจากปากขวดต่อหน้าต่อตากรกฏอยู่พอดี  หนุ่มร่างเล็กจึงหันไปฝากฝังเพื่อนรักกับน้องชายแทน

“เก็ก เดี๋ยวพองานเลิก... กูฝากพาด้วงกลับห้องด้วยนะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับฟู ถ้าคืนนี้กะเทยมันเมามากๆ ปล่อยให้มันนอนนี่ก็ได้...
.
...ด้วงมันเคยนอนที่นี่มาก่อน ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอกครับฟู” ตรินรับคำเป็นมั่นเหมาะเพื่อทำให้ร่างเล็กหายห่วง

“อืม... เอาอย่างนั้นก็ได้” กังฟูรับคำแต่โดยดี จากนั้นจึงเดินไปตบบ่ารูมเมทเบาๆสองสามทีพร้อมสั่ง “ด้วง... กูกลับห้องก่อนนะ มึงก็อย่าแดกเยอะล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ปวดหัวกันพอดี”

“ฮื่อออออ!” คนเมาตอบแบบขอไปที ทำให้เจ้าบ้านรีบพาร่างเล็กไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะพาอีกฝ่ายไปส่งที่ห้องตามที่ได้ออกปากเอาไว้








 “ฟูครับ” หนุ่มร่างหมีเอ่ยเรียกร่างเล็กที่เดินนำไปหยุดตรงหน้าประตูห้องสามศูนย์สามตรงทางสามแพ่งด้วยน้ำเสียงออดอ้อนจนคนฟังอดใจเต้นตึกตักไม่ได้  

“อะไร?” เจ้าของห้องที่ยืนหันหลังให้ถามเสียงแผ่ว

“ขอเต๋อเข้าไปในห้องด้วยได้หรือเปล่า?” พูดจบ... ร่างสูงกว่าก็เดินมาประกบซ้อนด้านหลังของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยทันที  จากที่แค่ใจเต้นพอควบคุมตัวเองได้เมื่อครู่ กลายเป็นอยู่ๆหัวใจก็ทำงานหนักจนกังฟูไม่รู้จะปรามเสียงโครมครามที่ดังสะท้อนไปทั้งอกอย่างไรดี

“แล้วใครห้ามมึงล่ะ”...ทั้งที่ใจอยากจะตะโกนข่มอีกฝ่ายแทบตาย  แต่ไหงยิ่งพูด...เสียงของกังฟูก็ยิ่งเบาหวิวคล้ายปุยนุ่นที่พร้อมจะปลิวไปตามสายลมได้ก็ไม่รู้

และเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มเกมกระซิบถ้อยคำ...
อีกฝ่ายก็พร้อมใจจะเล่นเกมตามกรกฏด้วยความยินดี... เพราะยิ่งพูดเสียงเบาแบบนี้  ต้นเสียงกับปลายทาง...ก็ไม่ควรอยู่ห่างจากกันมากนัก


“ไม่รู้สิครับ...
.
.
.
...ของแบบนี้ เต๋อถือว่า...
...ก่อนจะเข้าไปนั่งในห้องใคร เราควรต้องถามเจ้าของห้องให้แน่ใจก่อน”

เสียงต่ำๆยามกระซิบแผ่ว กลายเป็นแหบเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ
ซึ่งแน่นอนว่า ผลกระทบต่อความรู้สึกของคนพูดน่ะคงไม่เท่าไร... แต่กับอีกฝ่ายที่รับฟังด้วยความตั้งใจนี่สิ
พอได้รับฟังถ้อยคำเหล่านี้ใกล้ๆโดยไม่ได้เห็นใบหน้า สลับกับเสียงนาสิก เสียงลมหายใจ เสียงเงียบคล้ายหยุดคิด และเสียงกลืนน้ำลายลงคออย่างช้าๆ ก็พาให้หัวใจหนุ่มวิศวะร่างเล็กแทบจะวายเสียให้ได้ 

ดูเหมือนตรินเองก็พอจะจับอาการผิดปกติของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยได้...
เพราะหนุ่มร่างหมีตัดสินใจอาศัยจังหวะที่กังฟูนิ่งไป...วกเข้าเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าเรื่องไหนๆในทันที
.
.
.
.
.
“ห้องหัวใจยิ่งต้องถามเน้นๆเลยว่า เจ้าของพร้อมเปิดรอรับให้เต๋อเข้าไปอยู่ข้างในด้วยหรือเปล่า”

แม้กังฟูจะไม่ได้ตอบรับด้วยถ้อยคำใด
กระนั้น... การที่เจ้าของห้องไขประตูหน้าห้องอยู่นานสองนานแต่กลับเปิดไม่ได้
เปรียบดังเสียงเชียร์ที่ส่งเสริมให้หนุ่มสถาปัตย์กล้าสืบเท้าพาตัวเองเข้าใกล้กับอีกฝ่ายมากขึ้นทีละนิด ละนิด...
จนในที่สุด แผ่นหลังของกรกฏกับหน้าท้องแน่นๆของหนุ่มร่างหมี ก็ประกบกันจนแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียว


“มานี่ครับ ให้เต๋อช่วยเองนะ” เต๋อกระซิบพลางโอบร่างเล็กเอาไว้ข้างหนึ่ง ในขณะที่มืออีกข้างก็ยื่นไปรับลูกกุญแจเอาไว้ แล้วจัดการไขเปิดห้องให้เจ้าของตัวจริงอย่างใจเย็น  

ส่วนกังฟูผู้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของสุราเมรัย ไม่แพ้กับสภาวะมึนรัก
กลับทำได้แค่ยืนพิงอกของหนุ่มร่างหมีเอาไว้โดยไม่โวยวายให้อีกฝ่ายต้องเหนื่อย

ทั้งคู่ยืนอยู่ในท่านั้นเงียบๆเพียงไม่นาน
ประตูห้องสามศูนย์สามก็คลายความพยศ


“ไปครับฟู  เข้าห้องกันเถอะ” พูดจบ ร่างสูงใหญ่ก็ประคองหนุ่มวิศวะเข้าสูดภายในใจกลางห้องที่มืดมิดโดยที่กังฟูไม่พูดไม่จาใดๆสักคำราวกับทำปากหล่นไว้หน้าห้องก็ไม่ปาน เต๋อจึงตั้งคำถามทำลายความเงียบท่ามกลางความมืดที่โอบล้อมทั้งสองเอาไว้ด้วยกัน  
.
.
.
.
.
“สรุปว่า...
.
...ฟูพร้อมเปิดรับเต๋อให้เข้าไปอยู่ข้างในใจแล้วหรือยังครับ?” ตรินกระชับอ้อมกอดของตนเพื่อให้ร่างเล็กแนบใกล้  แล้วจึงเฝ้ารอคำตอบของอีกฝ่ายด้วยใจอดทน
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“นี่มึงชอบกูจริงๆใช่ไหม?” กระทั่งตอนนี้... กังฟูก็ทำได้ดีที่สุดแค่กระซิบถามออกมาเบาๆเท่านั้น  แต่ความดังของเนื้อเสียงกลับไม่จำเป็นต่อทั้งพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเท่ากับความจริงของถ้อยคำที่อีกฝ่ายกำลังจะพูด

“...ครับ...
...เต๋อรักฟู...
.
...เป็นแฟนกับเต๋อนะครับฟู”

ถึงกรกฏจะเคยจินตนาการถึงช่วงเวลาทำนองนี้เอาไว้ในใจบ้าง
ทว่าความเป็นจริง กับ มโนภาพ กลับทำให้รู้สึกยินดีต่างกันแบบลิบลับ

หากเอื้อมมือไปจับหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองในตอนนี้ กังฟูแน่ใจที่สุดว่ากล้ามเนื้อเรียบขนาดเท่ากำมือของเขา กำลังเต้นเร่าๆด้วยความร่าเริงราวกับหัวใจดวงใหม่ที่เพิ่งได้รับการเปลี่ยนถ่ายใส่ในร่างเก่า

หากเอื้อมมือขึ้นไปกุมใบหน้าของตัวเองในตอนนี้  ความยินดีที่ปรากฏในรูปของรอยยิ้ม คงทำให้แก้มของเขาบวมเป่งเป็นลูกกลมๆราวกับถูกสูบลมเข้าไปข้างในจนใกล้ระเบิด มุมปากคงจะเชิดขึ้นจนดูน่าตลก แถมเปลือกตาคงจะเลื่อนตกลงมาจนตาแทบจะกลายเป็นขีดแน่ๆ

กระนั้น... ร่างเล็กกลับไม่อาจแบ่งปันความยินดีเช่นเดียวกันให้อีกฝ่ายร่วมรับรู้ได้
เพราะคำสัญญาที่เขาให้ไว้กับเพื่อนรักที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าน้องชาย และพ่อแม่ผู้ล่วงลับ  
.
.
.
.
.
.
“ขอเวลากูหน่อยได้ไหม?... นะ” กังฟูอดกลั้นใจไม่ได้...

ความดีใจเมื่อครู่ ดูจะหมดความหมายไปในทันตาระหว่างที่รอลุ้นว่าอีกฝ่ายจะตอบรับคำขอของเขาอย่างไร
แต่ชายหนุ่มที่ดีกับเขาอย่างเสมอต้นเสมอปลายอย่างเต๋อก็ไม่เคยทำให้กรกฏผิดหวัง


“ได้สิครับ เต๋อรอฟูได้อยู่แล้ว” หางเสียงแหบๆที่แผ่วเพียงนิดทำเอาใจคนตั้งใจฟังแป้วจนต้องหมุนตัวกลับไปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง...

เสียงภายในใจของร่างเล็กเฝ้าร่ำร้องให้หนุ่มร่างหมีอดทนรอเวลาอีกเพียงไม่นาน
หลังจากเพื่อนรักตั้งหลักกับความรักอันยาวนานได้เมื่อไร กังฟูจะรีบรับรักเต๋อให้ไวจนใครคาดไม่ถึงเลยคอยดู  


“อย่างอนกูนะ” กรกฏกระซิบเสียงอ่อนด้วยความสงสารหนุ่มสถาปัตย์จับจิต  

การคุยกันในความมืดช่วยให้ประสาทการรับฟังของเต๋อจับความรู้สึกได้ไวยิ่งกว่าปกติหลายเท่า
น้ำเสียงซึมเศร้าของอีกฝ่ายจึงไม่อาจหลุดรอดไปจากความสนใจของตรินได้ หนุ่มร่างหมีจึงรีบปลอบโยนคนตัวเล็กกว่าให้เลิกคิดมากทันที


“ใครบอกว่าเต๋องอนฟูกันครับ...หืมม?” หนุ่มสถาปัตย์ก้มหน้าลงเพื่อประทับรอยสัมผัสจากริมฝีปากลงบนหน้าผากเนียนของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล

ส่วนกังฟูก็ใช้มือทั้งสองข้างประคองแก้มสากของเต๋อเอาไว้
ก่อนจะใช้แววตาสุกใสแม้ในความมืดสะกดให้อีกฝ่ายจ้องมองตัวเองไม่วางเพื่อออกคำสั่งอย่างเอาแต่ใจ


“รอกู! แล้วก็...ห้ามเปลี่ยนใจไปหาคนอื่นเด็ดขาด เข้าใจไหม?!

“ไม่เปลี่ยนใจไปไหนหรอกครับ... ชีวิตนี้ เต๋อมีฟูแค่คนเดียว เชื่อสิ”

ถึงบรรยากาศโดยรอบจะมืดจนเห็นแค่เพียงเค้าโครงไม่ลงลึกถึงรายละเอียด...
แต่กังฟูกลับมองเห็นรอยยิ้ม ใบหน้าคมสันและแววตาเป็นประกายของอีกฝ่ายได้อย่างแจ่มชัดในความรู้สึก
.
.
.
.
.
ร่างเล็กเขย่งปลายเท้าพลางโน้มคออีกฝ่ายให้ลงมาใกล้พอที่ทั้งสองจะสามารถพบกันได้คนละครึ่งทาง


“...รอกูนะเต๋อ...”

อยู่ๆเสียงสั่งห้วนๆเมื่อครู่
ก็กลายเป็นคำขอร้องแสนหวานที่มาพร้อมกับรสสัมผัสอ่อนนุ่มรสแอลกอฮอล์จางๆผ่านปากบาง


จากรอยจุมพิตแรกหลังคำอ้อนวอนอันอ่อนหวาน
นำไปสู่การจูบนับครั้งไม่ถ้วนสลับกับเสียงครางเครือรับคำในลำคอของหนุ่มร่างหมี...
ชายผู้พร้อมจะพลีทุกวินาทีในชีวิตเพื่อเก็บเกี่ยวช่วงเวลาแห่งความหวานปนขมไปกับเจ้าของหัวใจร่างเล็กไปจนวันสุดท้าย


“...รอกูนะ...”


 Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ



“ไอ้พวกนั้นแม่งไปไหนกันหมดแล้ววะเนี่ย?” เจ้าของห้องอดเปรยกับตัวเองไม่ได้ระหว่างเดินผ่านห้องรับแขกที่พวกเขาทั้งหมดเคยตั้งวงเล่นไพ่กันเมื่อราวๆชั่วโมงที่แล้ว จังหวะที่เต๋อกำลังจะเดินกลับเข้าห้องนอน... หางตาก็เหลือบไปเห็นร่างสูงใหญ่ในชุดราตรีสีชมพูนั่งเหม่อมองผ่านกระจกไปยังแสงสว่างของหลอดไฟที่ประดับอยู่ตามทางและตัวบ้านทั่วตัวเมืองเล็กๆข้างล่างอย่างดารดาษ

“อ้าวเฮ่ย! มึงยังอยู่อีกเหรอวะด้วง?”

“เออ!” หนุ่มผมยาวกระชากเสียง  

“แล้วนั่นมึงจะแดกให้เมาตายห่าไปเลยหรือไงวะ?...
.
...มึงเป็นอะรของมึงเนี่ยด้วง กูเห็นมึงเอาแต่แดกเหล้าไม่พูดไม่จากับใครสักคน” เต๋ออดห่วงอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะตั้งแต่ด้วงมาถึงห้องของเขา อีกฝ่ายก็เอาแต่ดื่มเหล้าคล้ายคนมีเรื่องกลุ้มใจใหญ่หลวง

“สมใจนายแล้วสิ!” ฝ่ายที่ฟื้นตัวจากฤทธิ์ของเครื่องดื่มมึนเมาได้อย่างรวดเร็วทำตาขวางระหว่างฟาดงวงฟาดงาใส่เจ้าบ้านอย่างไม่เกรงกลัว  

“มึงพูดอะไรของมึงวะด้วง?...
.
...เมาแล้วเลอะเทอะนะมึงน่ะ!” ตรินพูดพลางไหวไหล่ด้วยความอ่อนใจ

“เราไม่ได้เมา!! เราเสียใจ”

“เสียใจเรื่องอะไร?”

คำถามดังกล่าวทำให้ด้วงเงยหน้าขึ้นประสานสายตามองเจ้าของคำพูดนิ่งๆอยู่อึดใจ
จนสุดท้าย...ใบหน้าและแววตาของอีกฝ่ายก็ทำให้หนุ่มร่างหมีสามารถทายสาเหตุของอาการเมายับของด้วงได้ราวกับเทพพยากรณ์อย่างไรอย่างนั้น


“เรื่องฟู?!!

“เรารักฟูมาตั้งนาน... รักมาก่อนใครๆ  รักมาก่อนนายตั้งหลายปี แล้วทำไมฟูถึงไม่เคยสนใจเราเลย?” วิญญูระเบิดความรู้สึกอึดอัดที่สะสมอยู่ภายในผ่านประโยคสั้นๆที่สะท้อนความท้อใจของเขาได้เป็นอย่างดี กระนั้น...ท่าทางหมดอาลัยตายอยากของด้วงในยามนี้กลับทำให้เต๋อรับไม่ได้

“ก็แล้วมึงเคยบอกฟูไปตรงๆหรือเปล่าล่ะว่ามึงรู้สึกยังไงกับฟู?”

“...”

“ก็ไม่! ใช่ไหมล่ะ?”

“...”

“แล้วอย่างนี้มึงยังกล้าตีโพยตีพายอีกเหรอ?”

“...”

“ถ้ามึงไม่กล้าจะพูดอะไรกับกังฟู มึงก็อย่าเอาชีวิตไปทิ้งในขวดเหล้าเลยจะดีกว่าว่ะ...
.
...มึงไม่สงสารพ่อกับแม่มึงหน่อยเหรอ กว่าที่ท่านจะทำใจยอมรับเรื่องที่มึงชอบผู้ชายด้วยกันได้ก็ต้องใช้เวลาตั้งหลายปี...
...สุดท้าย พอท่านเปิดใจยอมรับความรักของมึงได้ มึงแม่งก็ดันหาเรื่องเมาเป็นหมาประชดชีวิตเข้าให้เสียอย่างนั้น...
...ขนาดกูไม่ใช่พ่อกับแม่มึง กูยังแทบทนดูหน้ามึงตอนนี้ไม่ได้เลย”

“นายจะพูดอะไรก็ได้  นายไม่ใช่เรานิ” ถึงคำพูดจี้ใจดำหนึ่งชุดใหญ่จะทำให้หนุ่มผมยาวได้ฉุกคิด แต่ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์กลับทำให้ด้วงไม่หยุดตีโพยตีพายง่ายๆ

“กูไม่ใช่มึง... แต่กูก็ไม่ต่างจากมึงสักเท่าไรหรอก  โดยเฉพาะความรู้สึกที่กูมีให้ฟูน่ะนะ” เต๋อเถียงอีกฝ่ายทันทีทันใดเพราะไม่เห็นด้วยกับมุมมองแคบๆของคู่อริหัวใจในยามสภาวะอารมณ์ตกต่ำที่สุดดังเช่นปัจจุบันขณะ... ตรินให้สัญญากับตัวเองว่า เขาจะต้องพูดจาหว่านล้อมเพื่อทำให้ด้วงคิดได้เสียที    

“นายรู้ไหม บางทีเราก็อิจฉานายเหมือนกันนะที่นายเป็นคนแบบนี้...
.
.
...เราอิจฉาที่นายกล้ายอมรับความรู้สึกของตัวเองตรงๆ...
...กล้าเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเอง รวมทั้ง...กล้าที่จะจีบฟูโดยไม่กลัวจะสูญเสียฟูไป” วิญญูฟูมฟายพร้อมกับยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองอย่างเต็มที่

“แล้วใครบอกกันล่ะว่าถ้ามึงจีบฟูแล้วมึงจะเสียฟูไป?...
.
...ถ้าสุดท้าย ฟูไม่ได้เลือกมึง ฟูก็ไม่มีทางตัดมึงออกจากสารบบชีวิตได้แน่ๆ เพราะมึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฟูไปแล้ว...
...แต่กับกู... ถ้าฟูไม่เลือกกู มึงลองคิดดูซิว่า กูจะไปหน้าด้านเกาะอยู่ตรงไหนของอนาคตฟูได้อีก?”
.
.
.
.
.
“นายต้องการจะบอกอะไรกันแน่?” หนุ่มผมยาวทำหน้างงเพราะสมองยังหน่วงจนประมวลผลไม่ทัน

“โธ่ด้วง! ทีเรื่องอื่นไม่เห็นกูต้องคอยบอกเลยว่ามึงต้องทำอะไร... พอเป็นเรื่องฟูเข้าหน่อย มึงก็เสือกจะทำตัวโง่เง่าเอาโล่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น!” หนุ่มร่างหมีอดแดกดันอีกฝ่ายไม่ได้... ใจคออีกฝ่ายหวังจะให้เขาบอกบทไปเสียทุกเรื่องหรืออย่างไร?!
.
.
.
.
“นายด่าเราพอหรือยัง?” คนพูดทำท่าผอืดผอมจนตรินเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายคงจะกำลังมึนงงเพราะต้องขบคิดให้วุ่นวายในขณะที่สมองตายไปชั่วคราวเพราะเหล้าเป็นเหตุ

“เออ เออ!... โทษว่ะ กูพลั้งปากไปหน่อย...
.
...เรื่องฟูน่ะ ทำไมมึงถึงไม่ลองจีบเขาให้เป็นเรื่องเป็นราวไปสักทีล่ะวะ?”

“จะดีเหรอ?” วิญญูถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจจนเต๋ออดรำคาญมาดอ้อแอ้ไร้พิษสงของอีกฝ่ายไม่ได้ กลายเป็นว่า แทนที่จะแนะนำกันดีๆ... หนุ่มร่างหมีกลับพูดจาประชดประชันเพื่อกระตุ้นระบบการทำงานตามปกติของอีกฝ่ายเสียอย่างนั้น

“แล้วมึงจะรอไปจนถึงเมื่อไร?...
.
...หรืออยากให้กูกับฟูได้กันเสียก่อนมึงถึงจะลงมือ?”

“ไม่มีทาง!” หนุ่มผมยาวแยกเขี้ยวใส่เพราะไม่อาจลุกขึ้นไปทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายได้ดังเช่นในเวลาปกติ

“เออ! ก็จริงจังให้มันได้อย่างนี้ทุกครั้งดิวะ!!...
.
...เพราะมึงเอาแต่ป้อแป้ แอบอยู่ตามหลืบตามซอก... มึงถึงไม่เคยอยู่ในสายตาฟูมาก่อนยังไงล่ะ” ตรินสั่งสอนอย่างเหลืออด
.
.
.
.
.
“แล้วที่นายมาช่วยเราอย่างนี้ นายจะไม่เป็นไรเหรอ?” หลังจากประมวลผลอยู่ครู่ใหญ่ หนุ่มวิศวะก็เลือกที่จะถามคู่แข่งหัวใจออกมาตรงๆไม่ได้... ถ้าบอกว่าไม่อยากรู้เจตนาแอบแฝงของอีกฝ่าย ด้วงคงต้องเชิญให้ใครต่อใครมาชี้หน้าด่าเขาได้เลยว่า คนโกหก

“ไม่รู้ดิวะ... ถึงกูจะแน่ใจว่าฟูจะเลือกกูแน่ๆแล้วก็เถอะ...
.
...แต่กูว่า กูคงรู้สึกแย่กว่านี้ถ้ากูกับมึงไม่ได้สู้กันแบบขาวสะอาดดูสักตั้ง...
...มึงไม่คิดอย่างนั้นหรอกเหรอ?” เต๋อสารภาพความรู้สึกหลังจากเข้าใจหัวอกของวิญญูมากขึ้นเรื่อยๆ  

ถ้าเขาเป็นด้วง... กว่าจะตาย เขาคงตั้งคำถามกับตัวเองเป็นล้านๆหน
ซึ่งคำถามของเขาก็คงจะเวียนวนอยู่กับเรื่องของกังฟูโดยไม่รู้ว่าจะหาคำตอบมาจากที่ไหน

การที่โดนคำถามที่ว่า ทำไมวันนั้น...เขาถึงไม่ยอมบอกกังฟูให้รู้ความในใจออกไปเสียทีหลอกหลอนไปตลอดชีวิต
ทำให้ตรินก็ไม่อาจทนดูคนที่ตนนับถือน้ำใจในฐานะเพื่อนและคู่แข่งที่สมศักดิ์ศรีให้ต้องเผชิญกับบั้นปลายอันน่าหดหู่ที่ว่าได้โดยไม่ลงมือเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง


ไม่น่าเชื่อว่าประโยคของเต๋อเมื่อครู่
จะจุดประกายไฟในดวงตาของวิญญูให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์


“หึ! ใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น...
.
...ไม่แน่...พอเราบอกความในใจกับฟู ฟูอาจจะอยากคบกับเราขึ้นมาก็ได้”

“มึงก็คอยดูแล้วกัน! กูนี่แหละที่จะเป็นแฟนฟู”...เพราะรสสัมผัสตรงริมฝีปาก และกลิ่นกายของร่างเล็กที่ยังไม่คลายคลาไปจากความรู้สึกนั่นต่างหากที่ทำให้หนุ่มร่างหมีเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจเป็นที่สุด แม้เขากับกังฟูจะยังไม่ระบุสถานะของกันและกัน แต่คำอ้อนวอนหวานหูกับจูบเหล่านั้น...ก็ยืนยันความรู้สึกของร่างเล็กที่มีต่อเขาได้เป็นอย่างดี  

“เดี๋ยวนายก็รู้ว่าฟูจะเลือกใคร”

“หึ หึ หึ... พอมีกำลังใจเข้าหน่อยก็พล่ามมากจนน่ารำคาญเกินหน้าไปแล้วนะมึงน่ะ”

“หึ! เออๆ ไม่พูดแล้วก็ได้”

“ดี! งั้นโชนนนนนนน!” สิ้นเสียง... ทั้งสองหนุ่มก็ร่ำสุรากันอย่างถูกคออีกครั้งไม่ต่างจากเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน  




 Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ



ที่มาของสลาฟดิสนีย์:


ก่อนหน้าวันงานหนึ่งวัน | ณ ที่ประชุมแผนงานของเหล่าสมุนเลว


“พี่ฌานครับ... พรุ่งนี้หลังจากกินข้าวเสร็จ พวกเราจะทำอะไรกันดีล่ะครับ?...
.
...ขืนไม่มีอะไรให้ทำ... พอเป่าเค้กเสร็จ เฮียกับพี่ด้วงต้องหนีกลับหอก่อนแน่ๆ”
“อืม... นั่นสินะ  พวกเรา... เอาไงกันดีล่ะ?”
“คาราโอเกะดีไหมครับพี่ฌาน? ประชันไมค์เสียงทองให้ก้องตึกกันไปเลย... ดิสอิสเดอะน้อยยยยยยยยยส์!!
“แบบนั้นเฮียคงหนีกลับตั้งแต่กินข้าวเสร็จแล้วล่ะ... เฮียไม่ชอบร้องเพลงน่ะ”
“ถ้างั้นเปลี่ยนเป็นเล่นเกมดีไหมครับ? เกมเศรษฐี อูโน่ บันไดงูอะไรเทือกนี้...
.
...ประเทืองปัญญา แถมยังใช้เวลาชาติกว่าๆโน่นแน่ะ ถึงจะเล่นเสร็จสักตานึง”
“พี่ฌานก็ว่าดีอยู่หรอกนะแว่น แต่ใครที่ไหนเขาเล่นหมากฮอสแกล้มเครื่องดื่มมึนเมากันล่ะแว่น?”
“ก็จริงของพี่ชายนะครับ”
“โว้ะ!! ไอ้โน่นก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็ไม่ได้!...
.
...เอางี้! สุรา นารี พาชี กีฬาบัตรกันไปเลยดีไหมครับ?...
...ไหนๆก็คิดจะมอมเหล้าพี่เต๋อกับคุณกรกฏให้กึ่มจนใจกล้ากันอยู่แล้วนิ”
“ฮื่อ! ไม่เอานารีดิแว่น งานนี้เน้นจอแบนแขนล่ำกล้ามท้องเป็นลูกๆอย่างเดียวเลย!... 
.
...ส่วนพาชี กับกีฬาบัตรคืออะไรวะ? พี่ฌานไม่สันทัดภาษาไทย”
“จิ๊! พาชีน่ะมันแทงม้าครับพี่ฌาน...
...ซึ่งสเกลงานวันเกิดปลอมๆของผมคงไม่สมกับการยกสนามแข่งม้าเข้ามาไว้ในคอนโดของพี่เต๋อแน่ๆ...
.
...ไอ้ที่ผมจะแนะนำก็คือไพ่ครับ พรุ่งนี้หลังกินข้าวเสร็จพวกเรามาเล่นไพ่กันดีกว่า”
“อย่าเลย... มันเป็นอบายมุข เดี๋ยวพี่ฌานจะผิดศีลเอานะสกล”
“หึ! เราไม่น่าหลวมตัวคบคนดีอย่างนายเลยบ๊วย... นายชอบดึงมีนความเป็นแบดบอยของเราให้ตกต่ำลงตลอดๆอ่ะ!
“ไอ้หนูแนน!
“แอร๊ยส์! พี่หมี!!
“ไม่ต้องห่วงหรอกบ๊วย ถ้าราเล่นกันเพื่อความสนุกโดยไม่ได้กินเงินคนอื่น พี่ฌานว่าก็น่าจะพอไหวอยู่นะ”
“แต่ถ้าเล่นแพ้แล้วต้องกินเหล้าเฉยๆมันก็ไม่น่าจะท้าทายเท่าไรนะครับพี่ฌาน”
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับคุณธันวา...
.
...หากเกมไพ่ที่ว่า ทำให้ผู้แพ้ต้องยอมแลกด้วยเสื้อผ้าที่ต้องถอดออกจากร่าง หรือกินเหล้าหนึ่งช็อต...
...ผมเอาหัวเป็นประกันเลยว่า เกมนี้จะต้องท้าทายความสามารถของทุกคนเป็นอย่างมากแน่ๆ หึ หึ หึ”
เฮ่ย?!! / จะดีเหรอสกล?”
“น่า... สนุกแน่ครับ เชื่อผมสิ”
“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้บูบู้ใส่เสื้อผ้าซ้อนกันมาห้าชั้นเลยนะครับ เดี๋ยวเค้าแอบไปเร่งแอร์ห้องพี่เต๋อให้เอง”
.
.
.
.
“เออว่ะแว่น... ถ้าใครใส่แค่เสื้อยืด กางเกงยีนส์กับเกงใน... คนๆนั้นจะไม่เพลี่ยงพล้ำให้คนอื่นเกินไปหรอกเหรอวะ?”
“หึ หึ หึ... แล้วใครบอกว่าเกมนี้ทุกคนจะได้ใส่เสื้อผ้าของตัวเองเล่นไพ่กันล่ะครับพี่ฌาน”
“นายหมายความว่ายังไงเหรอสกล?”
“พรุ่งนี้เรามาเล่นไพ่ในชุดแฟนซีกันดีไหมครับ?”
“อืม... พี่ฌานว่าก็น่าสนุกดีนะ แล้วเราจะเอาชุดแฟนซีมาจากที่ไหนกันล่ะ?”
“อาเจ็กผมเปิดร้านเช่าชุดคาบาเรต์อยู่ครับ... รับรอง ไม่มีปัญหา...
.
...เมื่อกี๊ผมไลน์ไปถามแก แกบอกว่ามีชุดว่างให้ยืมเยอะเลย ถ้าพวกเราตกลง เดี๋ยวพรุ่งนี้แกจะให้เด็กที่ร้านเอามาส่งให้”
“คาบาเรต์? งั้นก็แปลว่า...
“ครับ ชุดนางโชว์ครับ”
ห๊ะ?!!! ว่าไงนะ?
“แต่ไม่ต้องเป็นกังวลนะครับ ผมบอกเจ็กไปแล้วว่าขอเป็นชุดเจ้าหญิงดิสนีย์ก็แล้วกัน เพราะชุดนางโชว์ดูจะแต่งยากเกินไปหน่อย”
“นี่คิดแล้วใช่ไหมแนน?”
“เห็นผมเป็นคนสับปลับหรือยังไงครับฌอนศรี?”
“เปล่า... แค่ชินว่าแนนไม่ค่อยชอบใช้สมองเฉยๆ”
“ใจเย็นน้องชาย คุยงานกันให้จบก่อน เรื่องทำร้ายแว่นค่อยคิดกันอีกทีนะ พี่ชายขอล่ะ”
“ก็ได้ครับ”
“เอาล่ะ ในเมื่อแว่นบอกกับเจ็กไปเรียบร้อยแล้ว ต่อให้เป็นชุดแบบไหน ก็คงจะไม่ต่างกันนั่นแหละ...
.
.
...พวกเราก็ใส่ๆกันไปเถอะนะ จะได้สรุปเรื่องกิจกรรมคืนพรุ่งนี้กันได้เสียที”
“เฮ่อ! อยากเล่นก็ยอมรับมาเถอะครับพี่ชาย”
“หึ หึ หึ... ก็นานๆทีน่ะน้องชาย ขอพี่ชายเล่นสนุกเสียหน่อยแล้วกันเนอะ”
“แล้วพวกเราจะเลือกชุดกันยังไงล่ะครับ?”
“วิธีที่ง่ายและแฟร์ที่สุดก็คงเป็นจับฉลากล่ะมั้งบ๊วย”
“แล้วพี่ฌานจะทำยังไงให้พวกเราได้คอสตูมที่มีอุปกรณ์ตู้มๆล่ะครับ? จับฉลากเลือกเสื้อผ้าแบบนี้... ถ้ามือไม่ดีนี่เผลอๆจะจับได้ชุดกระโปรงตัวเดียวด้วนๆเลยนะครับ”
“แล้วแว่นคิดว่า พวกเราจะมีเจ้าพ่อทั้งสององค์ไว้เพื่ออะไรกันล่ะ?”
“โอ้ว! สามานย์ จัญไร ชั่วร้ายได้สมกับเป็นพี่ฌานผู้มากบริวารและบารมีจริงๆครับ”
“ถ้าแว่นไม่อยากอยู่คนเดียวไปจนตาย... เหลือพี่ฌานเอาไว้เป็นมิตรดีกว่าไหมครับ?”
“ง่อววว! ก็ได้ครับ...
...เห็นเป็นพี่ฌานนะเนี่ย...
...ถ้าเป็นคนอื่นมาพูดจาแบบนี้ใส่ ผมไม่ให้อภัยง่ายๆหรอก!...
.
...แต่อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะครับพี่ฌาน ชุดของพี่เต๋อน่ะ...ผมขอตลกๆเต็มเหนี่ยวเลยนะครับ...
...อยากเห็นแกเสียอาการมาตั้งนานแล้ว... ถ้าแกต้องแต่งชุดอะไรที่ไม่เข้ากับหน้า ผมว่าคงฮาน่าดู”
.
.
.
.
.
“ถ้าเป็นเรื่องนั้น ขอให้เชื่อมือพี่ฌานเถอะ หึ หึ หึ”
“แล้วถ้าพวกเราแพ้ไพ่ล่ะครับพี่ฌาน?”
“ไม่ต้องห่วงหรอกเก็ก เรื่องไพ่น่ะให้ไว้ใจน้องชายได้เลย...
.
.
...น้องชายพี่ฌานมีความสามารถพิเศษด้านนี้โดยเฉพาะ รับรองพวกเราไม่เสียเปรียบพวกพี่ๆแน่"
“แค่อย่าเล่นไพ่ง่อยเกินไปเท่านั้นเอง... ใช่ไหมครับพี่ฌาน?”
“หลอกด่าคนอื่นไปเรื่อยนะแนน”
“ก็ดีกว่าฌอนศรีก็แล้วกัน!
“แล้วถ้าไพ่ไม่ดี... แล้วเราเกิดแพ้ชึ้นมาล่ะครับพี่ฌาน?”
“ถ้าบ๊วย หรือใครพลาดจริงๆ ห้ามเลือกดื่มเหล้าเป็นอันขาดนะ ไม่งั้นแผนการของพวกเราต้องล่มแน่ๆ”
“ถ้าบูบู้ต้องเป็นสลาฟ บูบู้ก็ถอดสร้อยแหวนเงินทองออกไปก่อนก็ได้ครับ ส่วนเสื้อผ้านี่ถอดท้ายสุดเลยแล้วกันเนอะ”
“พวกเราก็ทำอย่างที่เก็กเพิ่งบอกไปนั่นแหละ...
.
...ขอให้ถอดเสื้อผ้าเป็นรายการสุดท้าย...
...จำเอาไว้ว่า พวกเราต้องทำให้พวกพี่ๆเมาพับก่อนพวกเราทั้งหมดจะโป๊ให้ได้ เข้าใจไหม?”
ครับ!
.
.
.
.
“พี่ฌาน... ผมขอเป็นมู่หลานได้ไหมครับ? แบบว่าหน้าตาอย่างผม... จะให้ไปเป็นเจ้าหญิงแถบตะวันตกก็ดูจะไม่เข้าเค้า”
“จริงจังกับการแต่งหญิเหลือเกินนะ... กลัวคนอื่นไม่รู้หรือไงว่าฝักใฝ่?”
“พี่ฌานคร๊าบ!...
.
...บอกเจ้าพ่อให้เลือกชุดรัดติ้วส่องทะลุตับไตให้ฌอนศรีได้ไหมครับ ฌอนศรีกระด้างกระเดื่องกับน้องมาก!!
“อะไรนะ? สกลอยากแต่งเป็นเงือกเหรอ? หน้าเงือกอย่างเดียวยังไม่หนำใจ ต้องแต่งเป็นเงือกให้รับกับหน้าด้วยเหรอ?”
“พี่ฌาน! พี่ฌานช่วยน้องด้วยครับ!! น้องโดนฌอนศรีทำตัวต่ำทรามหยาบช้าใส่ครับ!!