#25
(เรื่องที่ไม่เคยเล่า)
แอบรักเธอ อยู่ในใจ
เก็บหัวใจ ไว้ที่เธอ
วันทั้งวัน ฉันมองเหม่อ
คิดถึงเธอ ทุกคืนวัน
รักในซีเมเจอร์ - แกรนด์เอ็กซ์
…………………………………………………………………………………………………………
“คุณอยากรู้อะไรอีก ฮึ ป๊อบปี้” คิมหันต์ถอนหายใจพลางทรุดตัวลงนั่งอีกครั้งอย่างจำยอม
“ฉันคิดว่าเธอไม่จำเป็นต้องเล่นเป็นแฟนทูต่อก็ได้นะ
ถ้าเธออยากช่วยทูจริง ๆ ฉันว่ามันยังมีวิธีอื่นอีกเยอะแยะที่เธอและทูจะทำได้
หรือเธอว่าไง” กัลปังหาเลิกคิ้วพลางมองจับผิด
“ทำไมเธอถึงปล่อยให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าเธอกับทูคบกันมาจนป่านนี้ ฮึหนาว”
แทนที่จะตอบคำถาม พ่อหม้ายกลับเหลือบมองแฟนในนามอย่างจนใจ
“ทูกลับไปก่อนได้ไหม
“ครับ?”
“ทูกลับบ้านก่อนเถอะ
พี่อยากคุยกับป๊อบปี้ตามลำพัง” แม้จะไม่สบายใจเมื่อเห็นสายตากึ่งกังขากึ่งตัดพ้อของทิวัตถ์
แต่หนาวยังคงยืนยันกรานความตั้งใจเดิมจนอีกฝ่ายไม่อาจขัดความต้องการของเขาได้
“ครับ”
“ยังไงหนาว
เธอทำแบบนี้ทำไม” กัลปังหาเปิดฉากไล่บี้อดีตสามีทันทีที่หนุ่มแว่นเดินคล้อยหลังไป
แม้จะสบโอกาสได้พินิจพิจารณาแฟนใหม่ของคิมหันต์ใกล้
ๆ จนพอใจในระดับนึง แต่ความรู้สึกแปลกใจหลังรับโทรศัพท์ของพันเลิศเมื่อตอนกลางวันก็ยังไม่คลี่คลาย
ยิ่งพอฟังคำอธิบายของทั้งคู่ ป๊อบปี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าพ่อของลูกชักจะทำตัวมีลับลมคมในเข้าไปทุกที...
“ผมไม่รู้” ชายหนุ่มถอนหายใจพลางมองสบตาคนรักเก่าอย่างกลัดกลุ้ม
“แต่เธอยอมให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าเธอเป็นแฟนกับเขาเลยนะหนาว
เธอจะไม่รู้ได้ยังไง” ให้ตายหล่อนก็ไม่เชื่อหรอกว่า
คนอย่างคิมหันต์จะยอมคบกับใครเพียงเพราะตกกระไดพลอยโจน
กัลปังหาเดาว่าตนเองคงจี้ถูกจุดเพราะแทนที่จะเฉไฉไปเรื่อย
อีกฝ่ายกลับนั่งนิ่งยิ่งกว่าเป็นใบ้ “จริง ๆ ต่อให้เธอปฏิเสธว่าเธอกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน
ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย เขาไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ เขาควรจะแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเองหรือเปล่า”
“คุณไม่เข้าใจ”
ชายหนุ่มเสยผมอย่างหงุดหงิด
“เธอก็อธิบายซี่...”
เจ้าหล่อนกลั้วปากด้วยไวน์รสเลิศพลางหรี่ตามองคู่สนทนาราวกับแม่เสือดาวจ้องเหยื่อ
หลายสิบปีที่คบหากันมาทั้งในฐานะเพื่อนสนิท สามี และพ่อของลูก ป๊อบปี้รู้ดีว่าหล่อนควรจะจัดการง้างปากหนัก
ๆ ของคิมหันต์อย่างไร “พูดสิ...ฉันรอฟังอยู่”
“เฮ้อ”
หลังหยั่งเชิงกันผ่านสายตาอยู่ครู่ใหญ่ คิมหันต์ก็ถอนหายใจอย่างปลงตก
ลองว่าไม่เคยขัดใจกันได้ มีหรือที่เมียเก่าจะยอมปล่อยเขาไปโดยง่าย “คนเก่าของเขายังตอแยไม่เลิก
ขนาดรู้ว่ามีผมอยู่ทั้งคน วันก่อนยังแอบมาทำรุ่มร่ามใส่เขาอยู่เลย”
“แล้ววันนั้นเธอทำยังไง”
“ผมก็ช่วยเขาออกมาน่ะสิ”
หากไม่ใช่เพราะข้อความแจ้งงานจากเว็บไซท์ของกัลปังหาที่ได้รับเมื่อราว
ๆ เกือบสองอาทิตย์ก่อน สถานะระหว่างเขากับทูในทุกวันนี้ คงเป็นเพียงผู้มีอำนาจตัดสินใจกับที่ปรึกษาระบบงาน
HR เท่านั้น
แต่ในเมื่อเลือกรับงานด้วยเห็นแก่ชื่อเสียงของป๊อบปี้เป็นสำคัญ คิมหันต์ก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาในทุก
ๆ รูปแบบ กระทั่งการต้องถูกอดีตภรรยารีดเค้นข้อมูล ชายหนุ่มก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้
“คราวนี้ทูก็จ้างเธออีกงั้นเหรอ”
กับคำถามนี้ หนาวเลือกไม่ตอบ
หนำซ้ำยังชายหางตามองค้อนกัลปังหาเสียยกใหญ่
แน่นอนว่าเมื่อโดนอดีตสามีเงียบใส่เข้าอย่างจัง
สัญชาตญาณด้านเชื่อมโยงอันแรงกล้าของเพศแม่ที่กัลปังหามีอยู่เต็มเปี่ยมก็เริ่มทำงาน...
นอกจากลูก งาน และการทำความสะอาดบ้านเป็นบ้าเป็นหลังแล้ว
คิมหันต์มักจะเพิกเฉยและปล่อยวางทุกสิ่ง (รวมถึงทุกคนที่ไม่มีความสำคัญต่อชีวิต)
แต่แค่โดนหล่อนต้อนให้ตอบคำถามเรื่องทิวัตถ์เพียงไม่นาน เจ้าตัวกลับร้อนรนจนนั่งแทบไม่ติด
ยิ่งพิศดูสีหน้าโกรธกรุ่นของอีกฝ่ายในตอนนี้
หล่อนก็ยิ่งรู้สึกว่าคิมหันต์อาจยังไม่ได้เรียบเรียงความคิด หรืออาจสับสนกับเรื่องของทูจนลืมสอดส่องความรู้สึกและความต้องการของตัวเองให้แน่ชัด...
หรือว่าเจ้าตัวจะคิดไม่ซื่อกับแฟนในนามเข้าแล้วจริง ๆ
“ไหนเธอลองเล่าซิว่าเขาเป็นคนยังไง”
อันที่จริง ป็อบปี้ไม่ได้อยากรู้เรื่องเชิงลึกเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนั้น
แต่หากคิมหันต์รู้สึกพิเศษกับทิวัตถ์จริง ๆ หล่อนเชื่อว่าการพาดพิงถึงบุคคลที่สามบ่อย
ๆ อดีตสามีอาจเผยพิรุธออกมาบ้าง
ไม่ทันไร
พ่อหม้ายก็ผุดลุกขึ้นยืนพลางลั่นวาจาด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง “ผมกลับล่ะ เย็นมากแล้ว”
ทั้งที่ใจหวังให้อดีตภรรยาเห็นใจ
แต่กัลปังหาก็ยังคงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในชีวิตที่เอาชนะคิมหันต์ได้อย่างราบคาบ “เธอจะเล่นไม้นี้จริง
ๆ ใช่ไหมหนาว” คู่สนทนาลากหางเสียงพลางกวาดสายตามองกดดันจนชายหนุ่มจำต้องนั่งลงที่เดิมเป็นครั้งที่สาม
“อยู่คุยกับฉันให้รู้เรื่องก่อน”
เสียงถอนหายใจ
กับท่านั่งทิ้งไหล่ตกลู่อย่างยอมจำนนของคนรักเก่าเรียกรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนกว่าวัยของเจ้าหล่อน
“ทูเป็นคนยังไง ฉันอยากรู้... เล่าให้ฉันฟังหน่อย”
“ก็เป็นคนตั้งใจทำงาน
ช่างพูด มีมารยาท รู้จักสัมมาคารวะ”
“ฟังดูก็เป็นเด็กน่ารักดี”
คนพูดเปรยยิ้ม ๆ “ใช่ไหม”
คิมหันต์รู้ดีว่าตนกำลังถูกป๊อบปี้ทดสอบความอดทน
ชายหนุ่มจึงปล่อยให้คำถามสุ่มเสี่ยงของอีกฝ่ายลอยลมผ่านไป
“เฮ้อ
เธอนี่น่าเบื่อชะมัด” สาเหตุที่ป๊อบปี้ยอมแพ้อย่างง่ายดาย เพราะชั่วไม่กี่วินาทีที่คิมหันต์เอ่ยถึงทิวัตถ์
สายตาของเจ้าตัวกลับเปิดเปลือยความในใจจนหมดสิ้น...
หนาวนะหนาว
แก่ป่านนี้แล้วยังเผลอลืมตัวทำตาหวานเชื่อมเป็นเด็กหนุ่มริรักออกมาง่าย ๆ
อยากให้คนอื่นจับได้หรือไงว่าเธอน่ะปลื้ม
‘แฟนในนาม’ ของเธอเอามาก ๆ
เอาเถอะ... ไม่อยากบอกตอนนี้ก็ไม่เป็นไร
ไว้ให้เป็นหน้าที่หล่อนกับลูกสาวช่วยอุ้มสมตาลุงจอมทึ่มนี่เอง
เมื่อเห็นคู่สนทนาบึนปากพลางกระดกไวน์จนหมดแก้วอย่างหน่าย
ๆ คิมหันต์ก็เริ่มจะหายใจได้เต็มปอดอีกครั้ง ชายหนุ่มอาศัยจังหวะที่อดีตคนรักเรียกดูบิลค่าอาหารกับพนักงานเสิร์ฟ
นั่งคิดใคร่ครวญถึงบุคคลที่สาม คนที่ยอมกลับบ้านไปโดยดีทั้ง ๆ ที่เบะปากทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
สิ่งที่เล่าให้กัลปังหาฟังไปทั้งหมดนั้น
เป็นเพียงเศษเสี้ยวของความจริงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่ถึงสองอาทิตย์ แต่เพราะรู้ถึงเจตนาซ่อนเร้นของอดีตภรรยาเป็นอย่างดี
คิมหันต์จึงเลือกที่จะเก็บงำความคิดไว้กับตัว ที่ไม่เล่า
ไม่ใช่เพราะกลัวป๊อบปี้จะรู้ แต่เขายังไม่มั่นใจตัวเองมากนัก
แรกที่เจอกัน
ชายวัยสี่สิบสี่รู้สึกประหลาดใจเมื่อถูกผู้ว่าจ้างขอร้องให้ช่วยแสดงเป็นแฟนสมอ้างทั้งที่เขาไม่รู้ตื้นลึกหนาบางใด
ๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ในอดีตของอีกฝ่าย แต่หลังจากได้พบ ได้ลองสังเกตอากัปกิริยาของปุริมดี
ๆ เขาก็พอเข้าใจถึงเหตุผลจำเป็นที่ทูตัดสินใจตัดไมตรีกับคนรักเก่าด้วยวิธีนี้
แม้จะโล่งใจที่หน้าที่ของตนสิ้นสุดลงในเวลาสั้น
ๆ แต่เมื่อคำนึงถึงชื่อเสียงของเว็บไซท์ที่อดีตภรรยาปลุกปั้นมากับมือ เพื่อนเที่ยววัยดึกจึงแอบเดินตามไปส่งทูที่รถ
ด้วยคิดว่าอย่างน้อย ๆ หากอีกฝ่ายขับรถออกจากห้างอย่างปลอดภัย เขาคงรู้สึกติดค้างเจ้าของค่าจ้างน้อยลง
ซึ่งนั่นนับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะจังหวะที่เด็กหนุ่มกำลังเดินอยู่ในลานจอดรถ
แฟนเก่าที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนก็พุ่งเข้าใส่เจ้าตัวด้วยท่าทีมุ่งร้ายอย่างเห็นได้ชัด
ภาพปุริมขณะยื้อยุดฉุดกระชากทูอย่างไม่กลัวเกรงสายตาใครทำให้คิมหันต์ตัดสินใจยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
เหตุการณ์วันนั้นจบลงตรงที่เขาปฏิเสธคำทาบทามว่าจ้างงานของอีกฝ่ายก่อนที่ทั้งคู่จะแยกย้ายทางใครทางมัน
คิมหันต์เจอทูอีกครั้งที่ออฟฟิศ
แรกเลยเขาจำเด็กหนุ่มไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายใส่แว่นสายตากรอบใหญ่แถมยังนั่งก้มเกือบตลอดเวลา
จนแทบมองไม่เห็นหน้า แต่เมื่อปุริมพูดถึงพวกเขากลางโต๊ะอาหาร หนาวก็ตระหนักได้ว่าปัญหาของทูคงแก้ไขไม่ได้หากเขาไม่เล่นด้วย
นั่นจึงเป็นเหตุผลให้พ่อหม้ายวัยหลักสี่ยอมให้เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับพวกเขาทั้งคู่ดำเนินไปเรื่อย
ๆ
แม้อยู่
ๆ เขาจะมีแฟนใหม่ (ในนาม) ชั่วข้ามคืน ทว่าทูกลับไม่ได้สร้างปัญหาใด ๆ ให้กับคิมหันต์ทั้งสิ้น
กลับกัน ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเดือดเนื้อร้อนใจจนพยายามแก้ไขสถานการณ์อย่างเต็มที่
ไม่กี่วันก่อน
เขาได้รับข้อความจากทู จากที่ไม่คิดจะเปิดอ่าน แต่พอปรายตาเห็นประโยคที่ว่า อีกฝ่ายจะรอเจอเขาให้ได้
คนที่ตั้งใจจะวางเฉย ไม่ขอยุ่งเกี่ยวใด ๆ จึงจำใจไปพบหน้าเด็กหนุ่มอย่างไม่มีทางเลือก
แต่วินาทีที่ได้เห็นปุริมทำรุ่มร่ามใส่ทูทั้งที่อยู่ในออฟฟิศของเขา
คิมหันต์ก็ไม่รู้สึกเสียใจสักนิดที่เปลี่ยนใจไปพบเด็กหนุ่มเอานาทีสุดท้าย
จากเหตุการณ์เย็นวันนั้นเป็นต้นมา
หนาวก็เริ่มจับตาดูความเคลื่อนไหวของทูกับอดีตคนรักอยู่ห่าง ๆ ด้วยอดคิดไม่ได้ว่า หากทีมคอนซัลท์สร้างปัญหาใด
ๆ ขึ้นในโปรเจค ตนอาจใช้เรื่องดังกล่าวเป็นเหตุผลในการทัดทานพันเลิศให้ใคร่ครวญเรื่องสัญญาว่าจ้างมูลค่าหลายล้านนี่ดูอีกครั้ง
แต่แทนที่จะได้ยกเลิกโครงการแพงหูฉี่อย่างที่ตั้งใจ
การเฝ้าสังเกตอีกฝ่ายกลับทำให้คิมหันต์เริ่มรู้สึกแปลก ๆ ...
เมื่อไรไม่รู้ที่สีหน้าอาการหลากหลายของอีกฝ่ายกลายเป็นสีสันของวัน
ยิ่งพอได้ประจักษ์ถึงตัวตนอีกด้านของทู ขณะรับมือกับคำท้วงติงในที่ประชุมเมื่อเช้าอย่างมืออาชีพ
คนบ้างานเข้าเส้นอย่างเขาก็อดยอมรับนับถือเด็กหนุ่มอยู่ลึก ๆ ไม่ได้
ที่สำคัญ
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นแฟนกับผู้บริหารของบริษัทลูกค้า แต่ทูกลับวางตัวดี
ไม่เคยแสดงท่าทางอวดเบ่งใด ๆ ผิดกับเซ็นและพนักงานทีมโปรเจคหลายต่อหลายคนที่มักจะเล่นหูเล่นตากับคอนซัลท์จนเกินพอดี
นี่ล่ะมั้งที่ทำให้ คิมหันต์ไม่นึกเดือดเนื้อร้อนใจกับการต้องรับบทคนรักของคอนซัลท์ส่วนงาน
HR ผู้นี้เลยสักนิด
••••••
เมื่อเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาแล้วพบว่าเพื่อนสนิทกำลังนั่งไขว่ห้างเช็กหุ้นอยู่ตรงโซฟาประหนึ่งคนไม่มีงานทำ
เจ้าถิ่นจึงอดถามขึ้นไม่ได้ “อ้าว มึงมานานยังเนี่ย”
พันเลิศคลี่ยิ้มพลางเก็บมือถือลงในกระเป๋ากางเกง
“ก็เพิ่งมาเมื่อกี้”
“มีอะไรหรือเปล่า
ทำไมไม่โทรมาวะ” รอยยิ้มกรุ้มกริ่มกับสีหน้ามีเลศนัยของหุ้นส่วนใหญ่พานให้นึกถึงเรื่องข่าวลือที่พวกเขาคุยกันเมื่อไม่กี่วันก่อน
หรือที่เซ็นโผล่มานี่
เพราะมีเรื่องลับเฉพาะที่ต้องจับเข่าคุยกันเป็นการส่วนตัว?
“ก็ไม่มีอะไร
กูแค่คิดถึง”
จากที่กำลังจะอ้าปากถามพันเลิศเรื่องการสอบสวนข่าวลือ
คำตอบไม่คาดฝันเมื่อสักครู่ก็ทำให้คิมหันต์เปลี่ยนใจ “คิดถึง?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วพลางกวาดตาพินิจใบหน้าเพื่อนสนิทอย่างรู้เท่าทัน
พันเลิศกลอกตาอย่างระอาใจหลังโดนจับทางได้แต่เนิ่น
ๆ “ทำไม กูจะคิดถึงมึงบ้างไม่ได้ไง
หรือเดี๋ยวนี้มึงยอมให้คุณทูคิดถึงมึงแค่คนเดียว”
เจ้าของห้องไม่มีทีท่าว่าจะยอมนั่งลงสนทนาด้วยโดยดี
ชายหนุ่มถอนหายใจพรูพลางยกมือขึ้นกอดอกมองเพื่อนอย่างอ่อนใจ
“มึงมีอะไรจะพูดก็พูดมาเซ็น กูมีงานต้องทำ”
“พอดีเมื่อวันก่อนกูมัวแต่ยุ่งปิดข่าวให้มึง
กูเลยลืมถาม”
“มึงจะถามอะไร”
ในเมื่อคู่สนทนาไม่ได้บอกเล่าถึงเรื่องที่ตนสนใจ คิมหันต์ก็อดคิดไม่ได้ว่าพันเลิศน่าจะดอดมาสอดแนมเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน
ชายหนุ่มจึงแกล้งเดินไปที่ชั้นหนังสือแล้วทำทีคล้ายกำลังเลือกแฟ้มพลางเงี่ยหูฟังอย่างจดจ่อ
“สรุปวันนั้นที่คุยกัน
ป๊อบปี้ว่าไงบ้าง”
นั่นปะไร
คิดไว้แล้วเชียว... คิมหันต์ตีหน้าซื่อพลางเอ่ยสวนขึ้นทันทีที่คู่สนทนาเผยจุดประสงค์แท้จริง
“เออ แล้วเรื่องสอบสวนข่าวลือได้เรื่องว่าไง”
“มึงนี่น้า” พันเลิศส่ายหัวพลางแค่นยิ้มอย่างเอือมระอา
ถ้าเรื่องไหนไม่อยากพูด คิมหันต์เป็นต้องหาทางบ่ายเบี่ยงอยู่เรื่อย
“ว่าไง
เรื่องข่าวลือ”
“ต้นตอมันก็วนกลับมาที่ออฟฟิศแล้วล่ะ”
ก่อนหนาวจะโยกโย้จนหลงประเด็น พันเลิศก็ชูมือขึ้นห้ามปรามพลางพูดดักคออย่างว่องไว
“แต่มึงไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวถ้าได้เรื่องเมื่อไรกูจะบอกมึงคนแรก ส่วนตอนนี้ ตอบกูมาเสียดี
ๆ ว่าวันนั้นเมียเก่ามึงเขาว่าไง”
หลังจากปุริมแฉเรื่องระหว่างหนาวกับทูที่โต๊ะอาหารต่อหน้าธารกำนัล
พันเลิศก็นึกสงสัยใคร่รู้เรื่องแฟนคนใหม่ของเพื่อนเป็นที่สุด
แต่แม้จะเพียรพยายามซอกแซกซักไซ้ให้ตาย อีกฝ่ายก็บ่ายเบี่ยงเลี่ยงบาลีสำเร็จเสมอ ที่สุดแล้ว
ความอยากรู้อยากเห็นก็ทำให้พันเลิศยกหูต่อสายโทรหาตัวช่วยมือหนึ่งอย่างกัลปังหาทันที...
ลองว่าถึงมือป๊อบปี้
นอกจากคนตายแล้ว จะใครหน้าไหนก็อย่าหวังว่าจะกุมความลับไว้อีกได้
“ตอนนั้นมึงก็อยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ”
“หนาว
มึงอย่าเฉไฉ” พันเลิศกอดอกมองกดดันคู่สนทนาจนคนร้อนตัวต้องหันกลับมาแสร้งทำหน้าเหลอหลาใส่
“กูไม่ได้ถามมึงเรื่องที่เราคุยกันในห้องทำงานกู กูถามมึงเรื่องหลังจากนั้นที่มึงพาแฟนใหม่ลงไปกินข้าวกับเมียเก่าน่ะ”
“ไม่มีใครว่าอะไรทั้งนั้นแหละ”
คิมหันต์หยิบแฟ้มอันใกล้มือที่สุดแล้วเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ ชายหนุ่มแสร้งทำท่าอ่านเนื้อหาในแฟ้งอย่างจริงจังพลางเปรยเสียงเข้ม
“ถ้ามึงออกไป ก็อย่าลืมปิดประตูให้กูด้วยล่ะ”
“หึ!” คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหา’ลัย ทำไมพันเลิศจะมองไม่ออกว่าเพื่อนสนิทกำลังยอมรับความสัมพันธ์กับแฟนใหม่กลาย
ๆ ช่างเถอะ ถึงวันนี้เจ้าตัวจะไม่ยอมรับออกมาตรง ๆ แต่แค่ไม่ด่าพ่อล่อแม่เรื่องที่เขาอัญเชิญป๊อบปี้มาที่ออฟฟิศโดยพลการ
นั่นก็ดีเท่าไรแล้ว
“กูดีใจนะที่ในที่สุดมึงก็มีความสุขกับเขาเสียที
เห็นป็อบปี้มันแฮปปี้ดี๊ด๊านำหน้ามึงมาสองปีแล้ว กูหมั่นไส้ยังไงไม่รู้ว่ะ!”
หลังเผลอด่าพันเลิศในใจไปหนึ่งยก
คิมหันต์ก็หลุดหัวเราะกับความช่างคิดของอีกฝ่าย “หึ!”
ในเมื่อไม่มีเรื่องน่าสนใจให้ขุดคุ้ย
พันเลิศจึงลุกขึ้นยืน จัดสูทให้เข้าที่เข้าทางพลางแซวทิ้งท้าย
“สงสัยเดือนหน้ากูต้องหักเงินเดือนมึงมาจ่ายค่าเปลี่ยนพรมออฟฟิศใหม่”
“กูทำผิดอะไรไม่ทราบ”
คิมหันต์ขมวดคิ้วฉับเพราะจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ก็ตั้งแต่มึงคบเด็ก
มึงก็ขยันเดินเข้าเดินออกจนพื้นสึกหมดแล้ว มึงไม่รู้ตัวบ้างรึไง” ว่าแล้วพันเลิศก็ยิ้มเผล่คล้ายกำลังยืดอกรอรับคำด่าที่ตามมาอย่างผึ่งผาย
“ไอ้เซ็น!”
“อย่านึกว่ากูไม่รู้นะหนาว
วันก่อนมึงแอบไปจู๋จี๋กับใครตรงเครื่องซีร็อกซ์”
“พ่อมึงสิ!” เสียงหัวเราะยั่วโทสะของอีกฝ่ายทำให้หนาวแยกเขี้ยวพลางถลึงตาใส่คู่สนทนาอย่างลืมตัว
“แน้ คบเด็กแล้วก้าวร้าวนะมึง”
แทนที่จะสลด หุ้นส่วนใหญ่กลับฉีกยิ้ม ทำหน้าล้อเลียนกันอย่างไม่ยี่หระ หนาวส่ายหัวก่อนจะแสร้างก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ
จวบจนเมื่อพันเลิศเดินออกจากห้องทำงานไป พ่อหม้ายลูกหนึ่งจึงค่อย ๆ ระบายลมหายใจยืดยาวแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน
••••••
วันนี้นับเป็นวันโชคดีของทัชชาจริง
ๆ เพราะนอกจากจะได้ซองจอดรถโดยไม่ต้องขับวนหาหรือลงไปเข็นให้เหงื่อตกแล้ว
หล่อนยังได้ขึ้นลิฟท์พร้อม ๆ กันกับท่าน HR Director ผู้พ่วงตำแหน่งแฟนใหม่ของรุ่นน้องในทีมอีกด้วย
แม้ขณะนี้อีกฝ่ายจะยืนนิ่ง
ๆ อยู่อีกมุม แต่พอมองแผ่นหลังกว้างดูผึ่งผายของอีกฝ่ายนาน ๆ เข้า ฟี่ก็อดอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้
ก็ใครใช้ให้หล่อนเป็นมนุษย์สายเผือกเพียงคนเดียวที่ได้เห็นคิมหันต์แวะมารับทูถึงห้องทำงานเมื่อวานนี้ล่ะ
คึ ๆ ...
“เมื่อวานเลิกงานแล้วไปไหนกันต่อเหรอคะ”
กว่าจะรู้ตัวว่าตนเองหลุดปากเปรยเรื่องที่คิดในหัวออกไป ฟี่ก็สำนึกเสียใจไม่ทันเสียแล้ว
คิมหันต์ยืนนิ่งคล้ายกับไม่ได้สนใจฟัง
ทัชชาจึงรีบหุบปากแล้วแกล้งทำเซ่อซ่าก่อนจะเบือนหน้าหนีไปมองอีกฝั่งพลางภาวนาให้ท่าน
HR Director หูหนวกกะทันหัน
ที่ไหนได้...
อีกฝ่ายกลับเปรยตอบพร้อมรอยยิ้มน่ามองจนหล่อนระทดระทวย “เมื่อวานผมพาทูไปรับลูกด้วยกันน่ะครับ”
ถ้าตัดเรื่องลูกของคิมหันต์ออกไป
ทัชชาบอกได้เลยว่าประโยคเมื่อครู่ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะพูดด้วยน้ำเสียงอวด ๆ
อย่างไรบอกไม่ถูก... อื้อหือ ขิงแฟนเบอร์แรงค่ะคุณขา!
แม้ลึก
ๆ
แล้วที่ปรึกษาอาวุโสจะแอบปลื้มปริ่มแทนทิวัตถ์ที่ก้าวหน้าในความสัมพันธ์กับท่านผู้บริหารบริษัทเครื่องดื่มชูกำลัง
แต่หล่อนจะไม่มีวันปล่อยให้จิตวิญญาณแห่งการเผือกเรื่องชาวบ้านให้เหี่ยวแห้งแล้งเรื่องเม้าท์ป็นอันขาด
“โห
อย่างนี้น้องไม่ต้องรอที่โรงเรียนนานเลยเหรอคะ” ทัชชาไพล่ถามเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับคู่รักต่างวัยเพื่อหลอกล่อให้คู่สนทนาหลุดปากเล่าถึงเรื่องอื่น
ๆ ที่หล่อนยังไม่รู้ออกมาให้เยอะที่สุด
“เมื่อวานพวกผมไปรับลูกที่สระว่ายน้ำน่ะครับ
เขามีเรียนว่ายน้ำต่อทุกเย็นวันพุธ” คิมหันต์เอ่ยพลางอมยิ้มอย่างภูมิใจ
“ดีจังค่ะ
เชื่อไหมคะ อายุปูนนี้แล้ว ฟี่ยังว่ายน้ำไม่เป็นเลย ไปไหน ๆ
เลยต้องพกห่วงยางส่วนตัวไปด้วยตลอด ๆ " ว่าแล้ว ซีเนียร์คอนซัลท์ก็ก้มลงมองรอบเอวตัวเองแล้วหัวเราะนำร่องเสียหน่อยเพื่อสร้างบรรยากาศรื่นรมย์ให้กับบทสนทนา
ทว่าท่าน HR Director กลับไม่ได้ร่วมหัวเราะผสมโรงแต่อย่างใด
ชายหนุ่มเพียงแค่ฉีกยิ้มน้อย ๆ ตามมารยาทเท่านั้น
ในเมื่อแหล่งข่าวระวังตัวแจแถมยังเข้าถึงได้ยาก
เจ้ากรมขาเม้าท์อย่างหล่อนจึงเปลี่ยนกลวิธีในการล้วงข้อมูลเชิงลึกทันควัน ไหน ๆ
คิมหันต์ตัวเป็น ๆ ก็ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้ว เรื่องอะไรหล่อนจะปล่อยให้ความอยากรู้อยากเห็นกัดกินตัวเองจนไม่เป็นอันทำงานทำการกันล่ะ
“เมื่อวานตอนไปรับน้องทูคงยุ่งมากใช่ไหมคะ
ทูถึงไม่รับสายฟี่” ทัชชาเอียงคอพลางทำหน้าสงสัยเสียเต็มประดาขณะเอ่ยความเท็จด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
เป็นธรรมชาติ
ฟังแล้ว
คิมหันต์ก็แสดงสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยออกมาอย่างเห็นได้ชัด “คุณฟี่มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าครับ”
“โอ๊ย
ไม่เลยค่ะ” หญิงสาวยิ้มแหยพลางโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “พอดีฟี่จะถามน้องเรื่องเอกสารนิดหน่อย
แต่เห็นว่ามันสองทุ่มครึ่งแล้วฟี่เลยไม่กล้าโทรไปกวนอีก” ที่หล่อนเพิ่งพรั่งพรูออกมาทั้งหมดนั้นเป็นคำลวงล้วน
ๆ
“ตอนนั้นทูเขาอยู่บนแท็กซี่น่ะครับเลยอาจไม่สะดวกรับสาย”
คิมหันต์รีบอธิบายหลังตระหนักได้ว่าตนเองคือสาเหตุที่ทำให้ทิวัตถ์ไม่ได้รับโทรศัพท์สายอื่น
ๆ
“อ๋อ
ค่ะ” ทัชชายิ้มกว้างอย่างปลาบปลื้มใจกับข้อมูลใหม่ที่ได้ยิน
ที่ผ่านมา
ทูไม่เคยเล่าให้เพื่อนที่ทำงานคนไหนฟังว่ากำลังศึกษาดูใจใคร กระทั่งสมัยยังคบกับปุริม
แม้จะโดนหล่อนทั้งขู่ทั้งปลอบอยู่หลายรอบ น้องก็ไม่ยอมปริปาก แต่เหตุที่สุดท้าย ทัชชาได้ร่วมรู้เห็นเป็นพยานในความสัมพันธ์ของรุ่นน้องทั้งสอง
นั่นก็เพราะ มีอยู่วันหนึ่ง หล่อนดันบังเอิญเดินผ่านไปเห็นบูมทำตัวมือไวใส่น้องเต็มสองตา
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทูจึงพึ่งพาหล่อนในฐานะที่ปรึกษาหัวใจไปโดยปริยาย แต่พอเปลี่ยนแฟนใหม่
เจ้าเด็กน้อยนั่นก็กลับไปงุบงิบเงียบงำตามเคย
“พักนี้คุณฟี่ได้ยินข่าวลืออะไรแปลก
ๆ ไหมครับ”
“หืม?!” การที่จู่ ๆ ท่าน HR Director กลายเป็นฝ่ายตั้งคำถามทำให้ทัชชาเหลือบมองเพื่อนร่วมโดยสารลิฟท์ด้วยความประหลาดใจ
แต่พอหล่อนนึกถึงเรื่องเม้าท์ที่ยีนส์เพิ่งเล่าให้ฟังเมื่อวันก่อน ฟี่ก็อดตกใจไม่ได้
“คุณหนาวก็รู้แล้วเหรอคะ”
ฉิบหาย...
ลองว่าเจ้าตัวรู้เรื่องคนเขาเม้าท์กันว่าท่าน HR Director กับแฟนเล่นจ้ำจี้กันในออฟฟิศ แล้วไอ้ที่หล่อนยุน้องว่าให้ใช้เซ็กส์เป็นเครื่องต่อรองล่ะ
อีกฝ่ายจะรู้ไหม ซวยแล้วไงฟี่เอ๋ย!
“ครับ
ผมรู้แล้ว” คิมหันต์พยักหน้าอย่างหนักใจ ยิ่งเมื่อรู้จากพันเลิศว่าข่าวลือดังกล่าวน่าจะถูกปล่อยจากพนักงานแผนก
FI เขาก็ยิ่งอดเป็นห่วงความรู้สึกของแฟนในนามไม่ได้...
ขนาดคุณฟี่ยังรู้
แล้วทูจะไม่รู้เรื่องได้อย่างไร
ว่าแต่
ใครกันนะที่ปล่อยข่าวเสียหายเกี่ยวกับพวกเขาสองคน
“คุณฟี่พอจะรู้ที่มาของข่าวนี้ไหมครับ”
“ฟี่ไม่แน่ใจนะคะ
แต่คิดว่าพอรู้” ทัชชาลอบถอนหายใจเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้คาดคั้นเอาชื่อคนผิดอย่างที่เผลอกังวล
แต่เท่าที่จับสังเกตจากสีหน้าเคร่งเครียดของชายหนุ่ม หล่อนมั่นใจว่าท่าน HR Director น่าจะพอมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้าง...
เจ้าประคู้ณ ขออย่าให้หล่อนต้องเป็นพยานชี้ตัวคนร้ายเล้ย!
“คุณฟี่ครับ”
“คะ?!”
น้ำเสียงทุ้มต่ำฟังเข้มข้นจริงจังของคนข้าง
ๆ ทำเอาซีเนียร์คอนซัลท์สะดุ้งโหยง หล่อนมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างลอกแลก แปลก ดูเหมือนลิฟท์จะเป็นใจกับหล่อนและคุณคิมหันต์เสียเหลือเกิน
เพราะตั้งแต่ก้าวเข้ามายืนข้างในกล่องเหล็กทรงเหลี่ยมร่วม ๆ สิบนาที จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครกดเรียกลิฟท์เอากลางทาง
นี่ก็เหลืออีกตั้งหนึ่งชั้นกว่าจะถึงชั้นเก้าอันเป็นสถานที่ทำงานพวกเขาทั้งคู่
สงสัยหล่อนคงต้องถูกอีกฝ่ายซักฟอกจนซีดเสียก่อนแน่ ๆ
“ถ้าผมจะขอให้คุณฟี่คอยช่วยดูแลทูเวลาที่ผมไม่ได้อยู่ด้วย
คุณฟี่จะรังเกียจไหมครับ”
“โอ๊ยคุณหนาว! ฟี่ยินดีและเต็มใจช่วยอย่างยิ่งเลยค่ะ”
ประโยคที่เพิ่งได้ยินเปลี่ยนอารมณ์คนฟังแบบฉับพลันทันใด ทัชชายิ้มแก้มแทบแตกเมื่อได้รับการไว้วางใจจากแฟนใหม่ของทู
อย่างนี้ก็เท่ากับว่า
นอกจากหล่อนจะไม่โดนซักไซ้เรื่องคุณไวท์กับบูมแล้ว หล่อนยังได้รับบัตรเผือกเรื่องคิมหันต์กับน้องน้อยในทีมอย่างเป็นทางการอีกด้วย
“คุณหนาวไม่ต้องเกรงใจฟี่นะคะ
ฟี่จะคอยดูแลน้องให้คุณหนาวเอง” ซีเนียร์คอนซัลท์รับปากโดยไม่ต้องหยุดคิด
“ถ้าหากมีใครทำอะไรทู
คุณฟี่บอกผมได้ทุกเวลาเลยนะครับ”
“ได้เลยค่ะ”
ทัชชาโพล่งขึ้นก่อนที่คู่สนทนาจะทันไหวตัว “ฟี่มีไลน์คุณหนาวค่ะ ไม่ต้องห่วง”
ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็ยิ้มหวานพลางชูโทรศัพท์มือถือขึ้นคล้ายชี้แจงหลักฐานชวนเชื่อ
“ขอบคุณมากนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ...
กันเอง!”
หญิงสาวตื่นเต้นกับหน้าที่ใหม่จนเกือบเผลอตบบ่าอีกฝ่ายให้สมกับความปลื้มปริ่ม
โชคยังดีที่ยังพอประคองสติไว้ได้ หล่อนจึงชักแขนกลับลงมาวางข้างลำตัวได้อย่างแนบเนียน
“แต่อย่าลืมแอดฟี่นะคะ ฟี่จะได้อัพเดทเรื่องน้องได้แบบเรียลไทม์”
“โอเคครับ”
นับตั้งแต่วินาทีที่คิมหันต์รับคำของทัชชา
พันธมิตรที่คอยเฝ้าดูแลปกป้องทูอยู่เงียบ ๆ ก็เริ่มทำหน้าที่ของตนอย่างขยันขันแข็ง
สาเหตุที่ฟี่ยินดีให้ความช่วยเหลือหนาวโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดเป็นการตอบแทน คงเป็นเพราะ
เพียงแค่ได้รู้ว่าท่าน HR
Director เครซี่น้องน้อยของหล่อนเอามาก
ๆ ซีเนียร์คอนซัลท์สาวโสดผู้นี้ก็ฟินจนนั่งยิ้มคนเดียวได้เป็นวัน ๆ
••••••
“เซ็น”
พันเลิศละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์หลังได้ยินเสียงเรียกคุ้นหู
“อ้าวเฮ้ย มีไรมึง” ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย นาน ๆ ครั้งคิมหันต์จึงจะมาเยี่ยมเยือนเขาถึงห้องทำงาน
“มึงว่างปะ
ไปกินข้าวกัน”
สีหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่ายทำให้หุ้นส่วนใหญ่กวาดตามองอีเมลที่ต้องตอบ
ก่อนจะเหล่ดูเวลาบนจอคอมฯ ... สิบเอ็ดโมงครึ่ง “ไปตอนนี้เลยเหรอวะ”
“เออ
ไปเร็ว กูหิวแล้ว”
แม้เจ้าตัวจะว่าอย่างนั้น
แต่พันเลิศกลับตงิดใจกับท่าทีร้อนรนจนดูผิดวิสัยของเพื่อนสนิทจนอดคิดไม่ได้ว่า ก่อนมานี่
คิมหันต์น่าจะเช็กตารางงานของเขามาแล้วเรียบร้อย เพราะอีกฝ่ายเลือกวันชวนเขากินข้าวได้พอดีกับวันที่อาทิมาไม่เข้าโปรเจค
ลองว่าเตรียมความพร้อมมาแล้วอย่างนี้ เขาคงจะปฏิเสธได้ลงคอหรอก
“อะ
ๆ ไปก็ไป”
.
.
.
.
“มึงเบื่อกับข้าวที่เต็นท์แล้วหรือไงถึงได้ชวนกูมากินข้าวไกลถึงนี่”
พันเลิศแซวขึ้นทันทีที่ทั้งสองจับจองที่นั่งในร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งซึ่งมีบรรยากาศค่อนข้างเป็นส่วนตัว
สามสี่เดือนก่อนหน้านี้
เขาเคยไปหาคิมหันต์ที่ห้องทำงานด้วยตั้งใจว่าจะชักชวนกันลงไปร่วมมื้อกลางวัน แต่กลับต้องผิดหวัง
เดินคอตกลงไปกินข้าวคนเดียวแทบทุกครั้ง แรก ๆ พันเลิศไม่ติดใจอะไร แต่นานวันเข้า
เขาก็ทนความสงสัยไม่ไหว สุดท้ายจึงลองเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามเอากับแม่บ้านว่าเพื่อนสนิทแอบหนีไปกินข้าวที่ไหน
ก่อนจะได้รู้ว่าคิมหันต์เปลี่ยนนิสัยการกินข้าวกลางวันไปโดยสิ้นเชิงภายหลังจากเปิดตัวแฟนใหม่ได้ไม่ถึงอาทิตย์
เดิมที
หนาวมักจะฝากแม่บ้านให้ซื้อข้าวกล่องขึ้นมานั่งกินในห้องทำงาน หรือไม่ก็ไปกินข้าวกับเขาบ้างในช่วงที่เขายังไม่ได้คบหากับอาทิมา
แต่หลังจากทิวัตถ์เข้ามาทำงานที่นี่ เพื่อนยากกลับยอมถ่อลงลิฟท์ไปกินข้าวที่เต็นท์ร้อน
ๆ ข้างล่างเหมือนกับพนักงานส่วนใหญ่ในย่านธุรกิจแห่งนี้
คิมหันต์ส่ายหัวอย่างอ่อนใจ
“เปล่า พอดีกูมีเรื่องอยากให้มึงช่วย”
“มึงมีปัญหาอะไรวะ”
พันเลิศตาลุกวาวพลางชะโงกหน้าเข้าหาคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างกระตือรือร้น
“อาทิตย์หน้าทีมโลจิสติกทำ
training มึงช่วยบอกให้โต้งย้ายมาเทรนที่ออฟฟิศได้ไหมวะ”
คนพูดแสร้งมองเมนูพิเศษประจำร้านคล้ายกับต้องการกลบเกลื่อนความผิดบางอย่าง
ฝั่งหุ้นส่วนใหญ่ที่ได้ฟังคำขอเมื่อครู่ก็ดีดตัวขึ้นนั่งหลังตรงเหมือนเจ๊กตื่นไฟ
“เฮ่ย! แต่ถ้าย้ายมาเทรนที่นี่ ห้องประชุมมันจะไม่พอเอานะมึง”
“พอดิวะ
ถ้ามึงเอาห้องที่ HR จองไปใช้ยังไงก็พอ
กูคำนวณจำนวนคนกับไอ้ปิ๊กมาแล้ว”
พันเลิศมองหน้าคู่สนทนาอย่างงุนงง
“มึงคุยกับปิ๊กแล้วงั้นเหรอ”
นอกจากจะไม่ตอบคำถาม
คิมหันต์ยังเลี่ยงด้วยการตวัดปลายตะเกียบพุ้ยข้าวในชามเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ย ๆ ทั้ง
ๆ ที่ยังไม่ได้กินกับ ทว่าหลังจากโดนหุ้นส่วนส่งสายตากดดันอยู่พักใหญ่ ๆ
พ่อหม้ายก็ส่งเสียงรับคำในลำคอเบา ๆ “อือ”
“แล้วพวกลูกน้องมึงล่ะ
จะยังไง ไหนบอกจะทดสอบระบบกันวันจันทร์” เจ้าของคำถามกอดอกรอฟังคำอธิบายอย่างอดทน
“กูให้ปิ๊กช่วยจองห้องประชุมใหญ่ที่โรงงานให้แล้ว”
“อ๋อ”
จังหวะที่พันเลิศส่งเสียงเออออห่อหมกนั้นเอง จู่ ๆ เขาก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “เดี๋ยวนะ...
อาทิตย์หน้าเหรอ”
“อืม”
“ฮั่นแน่
อาทิตย์หน้ามึงก็จะไปทำงานที่โรงงานเหมือนกันนี่หว่า” ยิ่งพ่อหม้ายลูกหนึ่งก้มหน้ากินข้าวเปล่าไม่พูดอะไร
คู่สนทนาก็ยกมุมปากยิ้มร้ายพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งตำหนิ กึ่งชื่นชม “หน็อย เดี๋ยวนี้หัดใช้อำนาจในทางที่ผิดนะมึง”
“กูไม่ได้ใช้อำนาจในทางที่ผิด
กูแค่เลือกใช้อำนาจตามความเหมาะสมเฉย ๆ ”
“เหรอ”
พันเลิศเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ “แล้วที่มึงย้ายทีมโปรเจค HR ไปทำงานที่โรงงานเพราะมึงจะไม่อยู่ออฟฟิศนี่มันเหมาะสมตรงไหนไม่ทราบครับท่านผู้อำนวยการฝ่ายบุคคล”
แม้จะเป็นอีกครั้งที่เพื่อนรักนั่งนิ่ง
ไม่หือไม่อือ แต่พันเลิศกลับไม่ยอมถอดใจง่าย ๆ “ว่าไง จะบอกไม่บอก... ถ้าไม่บอก กูก็ไม่ช่วย”
พูดจบ ชายหนุ่มก็เชิดหน้ายิ้มเผล่ พลางเลิกคิ้วมองเพื่อนรักอย่างเจ้าเล่ห์
เห็นดังนั้น
จอมวางแผนก็ถอนหายใจยาวพลางยอมรับความพ่ายแพ้แบบหมดรูป “แฟนเก่าทูกลับมาง้อขอคืนดี”
ทั้ง
ๆ ที่ตั้งใจว่าจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับจากใคร ๆ แต่การต้องทนเห็นเด็กหนุ่มหอบดอกไม้ติดมือมาทุกเย็นก็ทำให้หนาวควบคุมอารมณ์ได้ยากขึ้นทุกที
สุดท้ายเขาจึงจำใจใช้เส้นสายและอำนาจในมือเพื่อกันปุริมออกจากชีวิตทูชั่วคราว
แต่แผนการดังกล่าวจะไม่มีทางสำเร็จได้ หากพันเลิศไม่ให้ความร่วมมือ
“มึงจะกลัวอะไรวะ
ถ้าคนของมึงหนักแน่นเดี๋ยวถ่านไฟเก่าก็ดับไปเองแหละน่า” คาสโนว่ายักไหล่ก่อนจะคีบข้าวปั้นที่พนักงานเพิ่งยกมาเสิร์ฟส่งเข้าปาก
“กูไม่ได้ห่วงว่าทูจะหวั่นไหว
กูแค่อยากกันทูให้อยู่ห่าง ๆ แฟนเก่าสักสองสามวัน” ทั้งที่พอรู้ว่าคนกลางมีใจให้
แต่นับวัน คิมหันต์ก็ยิ่งหวาดระแวงกับท่าทีของปุริมหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ
“แฟนเก่าเขานี่ใครวะ”
พันเลิศโพล่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว แม้ใจจะอยากถามเจาะลึกเรื่องความสัมพันธ์ของเพื่อนรักให้รู้แจ้ง
แต่ในเมื่อข้อมูลสำคัญยังตกหล่น คงยากหากจะปะติดปะต่อเรื่องราวที่อธิบายอาการสาหัสของเพื่อนสนิทได้อย่างแม่นยำ
“คอนซัลท์
FI” กระทั่งหนาวยังแปลกใจเมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองเผลอย่นหัวคิ้วเมื่อนึกถึงหน้าตายียวนของแฟนเก่าทู...
ก่อนหน้านี้ยังไม่เห็นเป็นไร แต่ไม่รู้ทำไม พักหลัง ๆ เขามักจะหงุดหงิดเวลาพูดถึงปุริมอย่างไรบอกไม่ถูก
“อ้าว
โจทก์เก่ามึงนี่” พันเลิศยังจำเหตุการณ์เมื่อครั้งปุริมแฉเพื่อนเขาที่โต๊ะอาหารวันแรกของโปรเจคได้เป็นอย่างดี
จริงอยู่ว่าแม้ตัวเขาจะไม่ได้ห้ามพนักงานกับคอนซัลท์ไม่ให้คบหากัน
แต่เจ้าของความสัมพันธ์ควรมีสิทธิที่จะพูด หรือไม่พูดถึงความรักของตัวเอง ไม่ว่าจะกับเพื่อนสนิทหรือจะกับใครก็ตาม
พอมารู้ทีหลังว่าแฟนเก่าของทิวัตถ์เป็นคนชอบแฉ
หุ้นส่วนจึงยิ่งรู้สึกขุ่นข้องหมองใจแทนคิมหันต์ไปกันใหญ่
“อืม”
เมื่อได้เพื่อนรักถอนหายใจ
พันเลิศก็โน้มตัวข้ามโต๊ะไปตบบ่าอีกฝ่ายเบา ๆ อยู่สองสามที “โอเคเพื่อน
เดี๋ยวกูจัดการให้เอง ส.บ.ม.ย.ห. สบายมากอย่าห่วง”
••• TBC •••
“คุณพ่อ!”
เด็กหญิงทรัพย์สมุทรที่ชะเง้อมองประตูเป็นระยะ ๆ มาตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน
ลุกพรวดขึ้นทันทีที่เห็นบิดาเดินเข้ามาในร้านดอกไม้
“ไปครับปลาวาฬ
กลับบ้านกันครับลูก” เย็นวันนี้คิมหันต์มีประชุม ชายหนุ่มจึงขอร้องให้ธามช่วยเป็นธุระดูแลบุตรสาวของตนอีกครั้ง
ซึ่งขณะกำลังจะขับรถออกจากออฟฟิศเมื่อราว ๆ สามสิบนาทีที่แล้ว เขาได้โทรคุยนัดแนะกับพ่อของเวลามาก่อน
ทันทีที่กลับถึงคอนโด เจ้าตัวจึงตรงดิ่งมาที่ร้านดอกไม้ทันที
“อาธาม
ลุงเชน สวัสดีค่ะ” เด็กหญิงย่อไหว้ผู้ใหญ่อีกสองคนในร้านแล้วโบกมือให้เพื่อนสนิทที่นั่งเล่นแมวอยู่บนพื้น
จากนั้นจึงเดินจับมือพ่อออกมาพร้อมกัน
“รอพ่อนานไหมครับ”
ทรัพย์สมุทรส่ายหัวดิก
“ไม่นานค่ะ วันนี้ปลาวาฬคุยกับลุงเชนสนุ๊กสนุก”
“คุยเรื่องอะไรกันครับ
สนุกมากเลยเหรอ”
“สนุกมากเลยค่ะ”
เด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้าหงึกหงักพลางอวดหัวข้อการสนทนาเสียยกใหญ่ “ลุงเชนถามใหญ่เลยว่าปลาวาฬหายไปไหนมาหลายวัน
ปลาวาฬเลยเล่าเรื่องที่ปลาทูมานอนที่บ้านเราให้ลุงเชนฟังค่ะ” พูดมาถึงตรงนี้
เจ้าตัวก็อมยิ้มก่อนจะถอนหายใจเหมือนมีเรื่องค้างคา
“ปลาวาฬคิดถึงปลาทูจังเลยค่ะคุณพ่อ ทำไมวันนี้ปลาทูถึงไม่มานอนที่บ้านเราล่ะคะ”
“วันนี้พ่อติดประชุม
พ่อเลยขอให้อาทูกลับบ้านไปก่อนน่ะครับ”
ประชุมเย็นวันนี้เป็นประชุมนัดวิสามัญที่จงรักษ์เป็นตัวตั้งตัวตี
กว่าจะรู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงของการประชุมกลุ่มผู้บริหารหลัก เกิดจากความหมั่นไส้ที่ผู้จัดการโรงงานมีต่อท่านหุ้นส่วนใหญ่
คิมหันต์ก็ต้องทนฟังจงรักษ์สวดพันเลิศเสียย่อยยับ สาสมกับการที่รายนั้นขยันหาเรื่องพาทีมโปรเจคไปเที่ยวเสียเกินหน้าเกินตาแผนกอื่น
ๆ
“ว้า
แย่จัง อย่างนี้ปลาวาฬก็ไม่ได้ฟังแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ก่อนนอนน่ะสิคะ”
คิมหันต์หัวเราะเบา
ๆ เมื่อเห็นลูกสาวยู่ปาก “เดี๋ยวคืนนี้พ่อจะอ่านแฮร์รี่ พ็อตเตอร์แทนอาทูเอง
ตกลงไหมครับลูก”
“ก็ได้ค่ะ”
ถึงจะตอบรับข้อเสนอ แต่ทรัพย์สมุทรกลับไม่วายทำหน้าเสียดายอวดพ่อ
“อืม”
สีหน้าเศร้าสร้อยของบุตรสาวทำให้ชายหนุ่มไพล่นึกถึงคนที่ได้เจอหน้ากันเพียงสิบนาทีเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว
แต่แล้วจู่ ๆ อาการวูบโหวงจนทรวงอกสั่นไหวก็ทำให้พ่อหม้ายนึกขึ้นได้ว่า เขาควรอาศัยจังหวะนี้เกริ่นเรื่องทิวัตถ์กับเลือดเนื้อเชื้อไขเสียแต่เนิ่น
ๆ
เขาชอบทู
และมันถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องทำให้ความสัมพันธ์นี้ชัดเจน
“ปลาวาฬอยากเจออาทูมากเหรอลูก”
ระหว่างที่เอ่ยถาม คิมหันต์ไม่ทันรู้ตัวเลยว่า ปลายนิ้วทั้งห้าที่กุมรอบข้อมือเล็ก
ๆ อยู่นั้นกระชับแนบชิดขึ้นจนเด็กหญิงยังรู้สึกได้
“ใช่ค่ะ
ปลาวาฬอยากเจออาทูทุกวันเลย”
คำตอบของบุตรสาวทำให้ชายหนุ่มเริ่มมีกำลังใจ
“ถ้าพ่อชวนอาทูมาอยู่ที่บ้านกับพวกเรา ปลาวาฬจะดีใจไหมครับ”
“จริงเหรอคะคุณพ่อ!?” แม้ช่วงเวลาทุ่มครึ่งจะมีเพียงแสงไฟจากร้านรวงสองข้างทาง
รถราที่วิ่งผ่านไปมา รวมถึงเสาไฟฟ้าเป็นต้นกำเนิดแสงสว่าง
แต่ดวงตาของทรัพย์สมุทรกลับเป็นประกายสุกใสจนคนมองพลอยรู้สึกหัวใจพองฟูตามไปด้วย
“อาทูจะมาอยู่กับเราจริง
ๆ เหรอคะคุณพ่อ?!” ปลาวาฬกุมฝ่ามือใหญ่ของพ่อพลางเขย่าเบา
ๆ ด้วยความตื่นเต้น
“ถ้าปลาวาฬอยากให้อาทูมาอยู่ด้วยจริง
ๆ คืนนี้เรามาลองชวนอาทูดูดีไหมครับลูก”
“ดีค่ะ!” เด็กหญิงยิ้มกว้างพลางพยักหน้าสนับสนุนเต็มแรง
แม้จะดีใจกับการตอบรับของทรัพย์สมุทร
แต่คิมหันต์กลับทำได้เพียงแค่นยิ้มอย่างแบ่งรับแบ่งสู้เท่านั้น...
ณ
เวลานี้ พ่อหม้ายเป็นห่วงอย่างเดียวเลยว่า หากทูยอมย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันจริง ๆ แล้วเขาควรจะอธิบายความสัมพันธ์ของตนเองกับคอนซัลท์หนุ่มให้ลูกสาวฟังอย่างไรดี
“ถ้าชวนแล้วอาทูยอมมาอยู่กับเรา
แปลว่าต่อจากนี้ไป บ้านเราจะมีกันสามคนแล้วนะครับ” คิมหันต์ฉุดข้อมือบุตรสาวให้หยุดเดิน
เขาย่อตัวลงนั่งกับพื้น ทอดสายตามองประสานกับดวงตากลมโตตรงหน้า
แล้วเอ่ยกับลูกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ต่อไปบ้านเราจะมีพ่อ มีปลาวาฬ แล้วก็อาทูอยูด้วยกันทุกวัน
ถ้ามันต้องเป็นแบบนั้น... ปลาวาฬจะโอเคไหมครับลูก”
“โอเคค่ะ!”
ทันทีที่ทรัพย์สมุทรตกปากรับคำด้วยสีหน้ายินดี
ก้อนน้ำหนักที่ถ่วงอยู่ข้างในก็ถูกยกออกไปบางส่วน
แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด
แต่คิมหันต์เชื่อว่าหากค่อย ๆ อธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงภายในบ้านหลังจากที่ทูก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ให้ลูกสาวฟังในช่วงเวลาที่เหมาะสม
เขามั่นใจว่า ที่สุดแล้ว พวกเขาย่อมจะมีความสุขร่วมกันตามประสาครอบครัวเล็ก ๆ
ครอบครัวหนึ่ง
••• TBC •••
ถึงตอนนี้จะไม่ได้เปิดโปงลุงมากนัก
แต่คาดว่าใครก็ตามที่รออ่านเรื่องราวฝั่งพี่หนาวอยู่
น่าจะชอบใจ
เพราะอย่างน้อย ๆ
ลุงแกก็ไม่ได้ใจแข็งเป็นหินผาแหละเนอะ
ถ้าอ่านแล้วชอบ
อย่าลืมติดแท็ก #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก กับ #คันหิม
นะคะ
เราอยากอ่านทุก ๆ
ความเห็นของพวกคุณ ๆ ค่ะ ^^