Monday, September 24, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#25|| 24.09.2018



#25
(เรื่องที่ไม่เคยเล่า)

แอบรักเธอ อยู่ในใจ
เก็บหัวใจ ไว้ที่เธอ
วันทั้งวัน ฉันมองเหม่อ
คิดถึงเธอ ทุกคืนวัน
รักในซีเมเจอร์ - แกรนด์เอ็กซ์

…………………………………………………………………………………………………………


“คุณอยากรู้อะไรอีก ฮึ ป๊อบปี้” คิมหันต์ถอนหายใจพลางทรุดตัวลงนั่งอีกครั้งอย่างจำยอม
“ฉันคิดว่าเธอไม่จำเป็นต้องเล่นเป็นแฟนทูต่อก็ได้นะ ถ้าเธออยากช่วยทูจริง ๆ ฉันว่ามันยังมีวิธีอื่นอีกเยอะแยะที่เธอและทูจะทำได้ หรือเธอว่าไง” กัลปังหาเลิกคิ้วพลางมองจับผิด “ทำไมเธอถึงปล่อยให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าเธอกับทูคบกันมาจนป่านนี้ ฮึหนาว”
แทนที่จะตอบคำถาม พ่อหม้ายกลับเหลือบมองแฟนในนามอย่างจนใจ “ทูกลับไปก่อนได้ไหม
“ครับ?”
“ทูกลับบ้านก่อนเถอะ พี่อยากคุยกับป๊อบปี้ตามลำพัง” แม้จะไม่สบายใจเมื่อเห็นสายตากึ่งกังขากึ่งตัดพ้อของทิวัตถ์ แต่หนาวยังคงยืนยันกรานความตั้งใจเดิมจนอีกฝ่ายไม่อาจขัดความต้องการของเขาได้
“ครับ”

“ยังไงหนาว เธอทำแบบนี้ทำไม” กัลปังหาเปิดฉากไล่บี้อดีตสามีทันทีที่หนุ่มแว่นเดินคล้อยหลังไป

แม้จะสบโอกาสได้พินิจพิจารณาแฟนใหม่ของคิมหันต์ใกล้ ๆ จนพอใจในระดับนึง แต่ความรู้สึกแปลกใจหลังรับโทรศัพท์ของพันเลิศเมื่อตอนกลางวันก็ยังไม่คลี่คลาย ยิ่งพอฟังคำอธิบายของทั้งคู่ ป๊อบปี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าพ่อของลูกชักจะทำตัวมีลับลมคมในเข้าไปทุกที...

“ผมไม่รู้” ชายหนุ่มถอนหายใจพลางมองสบตาคนรักเก่าอย่างกลัดกลุ้ม

“แต่เธอยอมให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าเธอเป็นแฟนกับเขาเลยนะหนาว เธอจะไม่รู้ได้ยังไง” ให้ตายหล่อนก็ไม่เชื่อหรอกว่า คนอย่างคิมหันต์จะยอมคบกับใครเพียงเพราะตกกระไดพลอยโจน

กัลปังหาเดาว่าตนเองคงจี้ถูกจุดเพราะแทนที่จะเฉไฉไปเรื่อย อีกฝ่ายกลับนั่งนิ่งยิ่งกว่าเป็นใบ้ “จริง ๆ ต่อให้เธอปฏิเสธว่าเธอกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย เขาไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ เขาควรจะแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเองหรือเปล่า”

“คุณไม่เข้าใจ” ชายหนุ่มเสยผมอย่างหงุดหงิด

“เธอก็อธิบายซี่...” เจ้าหล่อนกลั้วปากด้วยไวน์รสเลิศพลางหรี่ตามองคู่สนทนาราวกับแม่เสือดาวจ้องเหยื่อ หลายสิบปีที่คบหากันมาทั้งในฐานะเพื่อนสนิท สามี และพ่อของลูก ป๊อบปี้รู้ดีว่าหล่อนควรจะจัดการง้างปากหนัก ๆ ของคิมหันต์อย่างไร “พูดสิ...ฉันรอฟังอยู่”

“เฮ้อ” หลังหยั่งเชิงกันผ่านสายตาอยู่ครู่ใหญ่ คิมหันต์ก็ถอนหายใจอย่างปลงตก ลองว่าไม่เคยขัดใจกันได้ มีหรือที่เมียเก่าจะยอมปล่อยเขาไปโดยง่าย “คนเก่าของเขายังตอแยไม่เลิก ขนาดรู้ว่ามีผมอยู่ทั้งคน วันก่อนยังแอบมาทำรุ่มร่ามใส่เขาอยู่เลย”

“แล้ววันนั้นเธอทำยังไง”

“ผมก็ช่วยเขาออกมาน่ะสิ”

หากไม่ใช่เพราะข้อความแจ้งงานจากเว็บไซท์ของกัลปังหาที่ได้รับเมื่อราว ๆ เกือบสองอาทิตย์ก่อน สถานะระหว่างเขากับทูในทุกวันนี้ คงเป็นเพียงผู้มีอำนาจตัดสินใจกับที่ปรึกษาระบบงาน HR เท่านั้น แต่ในเมื่อเลือกรับงานด้วยเห็นแก่ชื่อเสียงของป๊อบปี้เป็นสำคัญ คิมหันต์ก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาในทุก ๆ รูปแบบ กระทั่งการต้องถูกอดีตภรรยารีดเค้นข้อมูล ชายหนุ่มก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้

“คราวนี้ทูก็จ้างเธออีกงั้นเหรอ”

กับคำถามนี้ หนาวเลือกไม่ตอบ หนำซ้ำยังชายหางตามองค้อนกัลปังหาเสียยกใหญ่

แน่นอนว่าเมื่อโดนอดีตสามีเงียบใส่เข้าอย่างจัง สัญชาตญาณด้านเชื่อมโยงอันแรงกล้าของเพศแม่ที่กัลปังหามีอยู่เต็มเปี่ยมก็เริ่มทำงาน... นอกจากลูก งาน และการทำความสะอาดบ้านเป็นบ้าเป็นหลังแล้ว คิมหันต์มักจะเพิกเฉยและปล่อยวางทุกสิ่ง (รวมถึงทุกคนที่ไม่มีความสำคัญต่อชีวิต) แต่แค่โดนหล่อนต้อนให้ตอบคำถามเรื่องทิวัตถ์เพียงไม่นาน เจ้าตัวกลับร้อนรนจนนั่งแทบไม่ติด

ยิ่งพิศดูสีหน้าโกรธกรุ่นของอีกฝ่ายในตอนนี้ หล่อนก็ยิ่งรู้สึกว่าคิมหันต์อาจยังไม่ได้เรียบเรียงความคิด หรืออาจสับสนกับเรื่องของทูจนลืมสอดส่องความรู้สึกและความต้องการของตัวเองให้แน่ชัด... หรือว่าเจ้าตัวจะคิดไม่ซื่อกับแฟนในนามเข้าแล้วจริง ๆ

“ไหนเธอลองเล่าซิว่าเขาเป็นคนยังไง” อันที่จริง ป็อบปี้ไม่ได้อยากรู้เรื่องเชิงลึกเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนั้น แต่หากคิมหันต์รู้สึกพิเศษกับทิวัตถ์จริง ๆ หล่อนเชื่อว่าการพาดพิงถึงบุคคลที่สามบ่อย ๆ อดีตสามีอาจเผยพิรุธออกมาบ้าง

ไม่ทันไร พ่อหม้ายก็ผุดลุกขึ้นยืนพลางลั่นวาจาด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง “ผมกลับล่ะ เย็นมากแล้ว”

ทั้งที่ใจหวังให้อดีตภรรยาเห็นใจ แต่กัลปังหาก็ยังคงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในชีวิตที่เอาชนะคิมหันต์ได้อย่างราบคาบ “เธอจะเล่นไม้นี้จริง ๆ ใช่ไหมหนาว” คู่สนทนาลากหางเสียงพลางกวาดสายตามองกดดันจนชายหนุ่มจำต้องนั่งลงที่เดิมเป็นครั้งที่สาม “อยู่คุยกับฉันให้รู้เรื่องก่อน”

เสียงถอนหายใจ กับท่านั่งทิ้งไหล่ตกลู่อย่างยอมจำนนของคนรักเก่าเรียกรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนกว่าวัยของเจ้าหล่อน “ทูเป็นคนยังไง ฉันอยากรู้... เล่าให้ฉันฟังหน่อย”

“ก็เป็นคนตั้งใจทำงาน ช่างพูด มีมารยาท รู้จักสัมมาคารวะ”

“ฟังดูก็เป็นเด็กน่ารักดี” คนพูดเปรยยิ้ม ๆ “ใช่ไหม”

คิมหันต์รู้ดีว่าตนกำลังถูกป๊อบปี้ทดสอบความอดทน ชายหนุ่มจึงปล่อยให้คำถามสุ่มเสี่ยงของอีกฝ่ายลอยลมผ่านไป

“เฮ้อ เธอนี่น่าเบื่อชะมัด” สาเหตุที่ป๊อบปี้ยอมแพ้อย่างง่ายดาย เพราะชั่วไม่กี่วินาทีที่คิมหันต์เอ่ยถึงทิวัตถ์ สายตาของเจ้าตัวกลับเปิดเปลือยความในใจจนหมดสิ้น...

หนาวนะหนาว แก่ป่านนี้แล้วยังเผลอลืมตัวทำตาหวานเชื่อมเป็นเด็กหนุ่มริรักออกมาง่าย ๆ
อยากให้คนอื่นจับได้หรือไงว่าเธอน่ะปลื้ม แฟนในนาม ของเธอเอามาก ๆ
เอาเถอะ... ไม่อยากบอกตอนนี้ก็ไม่เป็นไร ไว้ให้เป็นหน้าที่หล่อนกับลูกสาวช่วยอุ้มสมตาลุงจอมทึ่มนี่เอง

เมื่อเห็นคู่สนทนาบึนปากพลางกระดกไวน์จนหมดแก้วอย่างหน่าย ๆ คิมหันต์ก็เริ่มจะหายใจได้เต็มปอดอีกครั้ง ชายหนุ่มอาศัยจังหวะที่อดีตคนรักเรียกดูบิลค่าอาหารกับพนักงานเสิร์ฟ นั่งคิดใคร่ครวญถึงบุคคลที่สาม คนที่ยอมกลับบ้านไปโดยดีทั้ง ๆ ที่เบะปากทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

สิ่งที่เล่าให้กัลปังหาฟังไปทั้งหมดนั้น เป็นเพียงเศษเสี้ยวของความจริงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่ถึงสองอาทิตย์ แต่เพราะรู้ถึงเจตนาซ่อนเร้นของอดีตภรรยาเป็นอย่างดี คิมหันต์จึงเลือกที่จะเก็บงำความคิดไว้กับตัว ที่ไม่เล่า ไม่ใช่เพราะกลัวป๊อบปี้จะรู้ แต่เขายังไม่มั่นใจตัวเองมากนัก

แรกที่เจอกัน ชายวัยสี่สิบสี่รู้สึกประหลาดใจเมื่อถูกผู้ว่าจ้างขอร้องให้ช่วยแสดงเป็นแฟนสมอ้างทั้งที่เขาไม่รู้ตื้นลึกหนาบางใด ๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ในอดีตของอีกฝ่าย แต่หลังจากได้พบ ได้ลองสังเกตอากัปกิริยาของปุริมดี ๆ เขาก็พอเข้าใจถึงเหตุผลจำเป็นที่ทูตัดสินใจตัดไมตรีกับคนรักเก่าด้วยวิธีนี้

แม้จะโล่งใจที่หน้าที่ของตนสิ้นสุดลงในเวลาสั้น ๆ แต่เมื่อคำนึงถึงชื่อเสียงของเว็บไซท์ที่อดีตภรรยาปลุกปั้นมากับมือ เพื่อนเที่ยววัยดึกจึงแอบเดินตามไปส่งทูที่รถ ด้วยคิดว่าอย่างน้อย ๆ หากอีกฝ่ายขับรถออกจากห้างอย่างปลอดภัย เขาคงรู้สึกติดค้างเจ้าของค่าจ้างน้อยลง ซึ่งนั่นนับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะจังหวะที่เด็กหนุ่มกำลังเดินอยู่ในลานจอดรถ แฟนเก่าที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนก็พุ่งเข้าใส่เจ้าตัวด้วยท่าทีมุ่งร้ายอย่างเห็นได้ชัด

ภาพปุริมขณะยื้อยุดฉุดกระชากทูอย่างไม่กลัวเกรงสายตาใครทำให้คิมหันต์ตัดสินใจยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เหตุการณ์วันนั้นจบลงตรงที่เขาปฏิเสธคำทาบทามว่าจ้างงานของอีกฝ่ายก่อนที่ทั้งคู่จะแยกย้ายทางใครทางมัน

คิมหันต์เจอทูอีกครั้งที่ออฟฟิศ แรกเลยเขาจำเด็กหนุ่มไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายใส่แว่นสายตากรอบใหญ่แถมยังนั่งก้มเกือบตลอดเวลา จนแทบมองไม่เห็นหน้า แต่เมื่อปุริมพูดถึงพวกเขากลางโต๊ะอาหาร หนาวก็ตระหนักได้ว่าปัญหาของทูคงแก้ไขไม่ได้หากเขาไม่เล่นด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลให้พ่อหม้ายวัยหลักสี่ยอมให้เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับพวกเขาทั้งคู่ดำเนินไปเรื่อย ๆ

แม้อยู่ ๆ เขาจะมีแฟนใหม่ (ในนาม) ชั่วข้ามคืน ทว่าทูกลับไม่ได้สร้างปัญหาใด ๆ ให้กับคิมหันต์ทั้งสิ้น กลับกัน ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเดือดเนื้อร้อนใจจนพยายามแก้ไขสถานการณ์อย่างเต็มที่

ไม่กี่วันก่อน เขาได้รับข้อความจากทู จากที่ไม่คิดจะเปิดอ่าน แต่พอปรายตาเห็นประโยคที่ว่า อีกฝ่ายจะรอเจอเขาให้ได้ คนที่ตั้งใจจะวางเฉย ไม่ขอยุ่งเกี่ยวใด ๆ จึงจำใจไปพบหน้าเด็กหนุ่มอย่างไม่มีทางเลือก แต่วินาทีที่ได้เห็นปุริมทำรุ่มร่ามใส่ทูทั้งที่อยู่ในออฟฟิศของเขา คิมหันต์ก็ไม่รู้สึกเสียใจสักนิดที่เปลี่ยนใจไปพบเด็กหนุ่มเอานาทีสุดท้าย

จากเหตุการณ์เย็นวันนั้นเป็นต้นมา หนาวก็เริ่มจับตาดูความเคลื่อนไหวของทูกับอดีตคนรักอยู่ห่าง ๆ ด้วยอดคิดไม่ได้ว่า หากทีมคอนซัลท์สร้างปัญหาใด ๆ ขึ้นในโปรเจค ตนอาจใช้เรื่องดังกล่าวเป็นเหตุผลในการทัดทานพันเลิศให้ใคร่ครวญเรื่องสัญญาว่าจ้างมูลค่าหลายล้านนี่ดูอีกครั้ง

แต่แทนที่จะได้ยกเลิกโครงการแพงหูฉี่อย่างที่ตั้งใจ การเฝ้าสังเกตอีกฝ่ายกลับทำให้คิมหันต์เริ่มรู้สึกแปลก ๆ ...

เมื่อไรไม่รู้ที่สีหน้าอาการหลากหลายของอีกฝ่ายกลายเป็นสีสันของวัน ยิ่งพอได้ประจักษ์ถึงตัวตนอีกด้านของทู ขณะรับมือกับคำท้วงติงในที่ประชุมเมื่อเช้าอย่างมืออาชีพ คนบ้างานเข้าเส้นอย่างเขาก็อดยอมรับนับถือเด็กหนุ่มอยู่ลึก ๆ ไม่ได้

ที่สำคัญ แม้จะได้ชื่อว่าเป็นแฟนกับผู้บริหารของบริษัทลูกค้า แต่ทูกลับวางตัวดี ไม่เคยแสดงท่าทางอวดเบ่งใด ๆ ผิดกับเซ็นและพนักงานทีมโปรเจคหลายต่อหลายคนที่มักจะเล่นหูเล่นตากับคอนซัลท์จนเกินพอดี นี่ล่ะมั้งที่ทำให้ คิมหันต์ไม่นึกเดือดเนื้อร้อนใจกับการต้องรับบทคนรักของคอนซัลท์ส่วนงาน HR ผู้นี้เลยสักนิด

••••••

เมื่อเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาแล้วพบว่าเพื่อนสนิทกำลังนั่งไขว่ห้างเช็กหุ้นอยู่ตรงโซฟาประหนึ่งคนไม่มีงานทำ เจ้าถิ่นจึงอดถามขึ้นไม่ได้ “อ้าว มึงมานานยังเนี่ย”

พันเลิศคลี่ยิ้มพลางเก็บมือถือลงในกระเป๋ากางเกง “ก็เพิ่งมาเมื่อกี้”

“มีอะไรหรือเปล่า ทำไมไม่โทรมาวะ” รอยยิ้มกรุ้มกริ่มกับสีหน้ามีเลศนัยของหุ้นส่วนใหญ่พานให้นึกถึงเรื่องข่าวลือที่พวกเขาคุยกันเมื่อไม่กี่วันก่อน

หรือที่เซ็นโผล่มานี่ เพราะมีเรื่องลับเฉพาะที่ต้องจับเข่าคุยกันเป็นการส่วนตัว?

“ก็ไม่มีอะไร กูแค่คิดถึง”

จากที่กำลังจะอ้าปากถามพันเลิศเรื่องการสอบสวนข่าวลือ คำตอบไม่คาดฝันเมื่อสักครู่ก็ทำให้คิมหันต์เปลี่ยนใจ “คิดถึง?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วพลางกวาดตาพินิจใบหน้าเพื่อนสนิทอย่างรู้เท่าทัน

พันเลิศกลอกตาอย่างระอาใจหลังโดนจับทางได้แต่เนิ่น ๆ “ทำไม กูจะคิดถึงมึงบ้างไม่ได้ไง หรือเดี๋ยวนี้มึงยอมให้คุณทูคิดถึงมึงแค่คนเดียว”

เจ้าของห้องไม่มีทีท่าว่าจะยอมนั่งลงสนทนาด้วยโดยดี ชายหนุ่มถอนหายใจพรูพลางยกมือขึ้นกอดอกมองเพื่อนอย่างอ่อนใจ “มึงมีอะไรจะพูดก็พูดมาเซ็น กูมีงานต้องทำ”

“พอดีเมื่อวันก่อนกูมัวแต่ยุ่งปิดข่าวให้มึง กูเลยลืมถาม”

“มึงจะถามอะไร” ในเมื่อคู่สนทนาไม่ได้บอกเล่าถึงเรื่องที่ตนสนใจ คิมหันต์ก็อดคิดไม่ได้ว่าพันเลิศน่าจะดอดมาสอดแนมเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน ชายหนุ่มจึงแกล้งเดินไปที่ชั้นหนังสือแล้วทำทีคล้ายกำลังเลือกแฟ้มพลางเงี่ยหูฟังอย่างจดจ่อ

“สรุปวันนั้นที่คุยกัน ป๊อบปี้ว่าไงบ้าง”

นั่นปะไร คิดไว้แล้วเชียว... คิมหันต์ตีหน้าซื่อพลางเอ่ยสวนขึ้นทันทีที่คู่สนทนาเผยจุดประสงค์แท้จริง “เออ แล้วเรื่องสอบสวนข่าวลือได้เรื่องว่าไง”

“มึงนี่น้า” พันเลิศส่ายหัวพลางแค่นยิ้มอย่างเอือมระอา ถ้าเรื่องไหนไม่อยากพูด คิมหันต์เป็นต้องหาทางบ่ายเบี่ยงอยู่เรื่อย

“ว่าไง เรื่องข่าวลือ”

“ต้นตอมันก็วนกลับมาที่ออฟฟิศแล้วล่ะ” ก่อนหนาวจะโยกโย้จนหลงประเด็น พันเลิศก็ชูมือขึ้นห้ามปรามพลางพูดดักคออย่างว่องไว “แต่มึงไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวถ้าได้เรื่องเมื่อไรกูจะบอกมึงคนแรก ส่วนตอนนี้ ตอบกูมาเสียดี ๆ ว่าวันนั้นเมียเก่ามึงเขาว่าไง”

หลังจากปุริมแฉเรื่องระหว่างหนาวกับทูที่โต๊ะอาหารต่อหน้าธารกำนัล พันเลิศก็นึกสงสัยใคร่รู้เรื่องแฟนคนใหม่ของเพื่อนเป็นที่สุด แต่แม้จะเพียรพยายามซอกแซกซักไซ้ให้ตาย อีกฝ่ายก็บ่ายเบี่ยงเลี่ยงบาลีสำเร็จเสมอ ที่สุดแล้ว ความอยากรู้อยากเห็นก็ทำให้พันเลิศยกหูต่อสายโทรหาตัวช่วยมือหนึ่งอย่างกัลปังหาทันที...

ลองว่าถึงมือป๊อบปี้ นอกจากคนตายแล้ว จะใครหน้าไหนก็อย่าหวังว่าจะกุมความลับไว้อีกได้

“ตอนนั้นมึงก็อยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ”

“หนาว มึงอย่าเฉไฉ” พันเลิศกอดอกมองกดดันคู่สนทนาจนคนร้อนตัวต้องหันกลับมาแสร้งทำหน้าเหลอหลาใส่ “กูไม่ได้ถามมึงเรื่องที่เราคุยกันในห้องทำงานกู กูถามมึงเรื่องหลังจากนั้นที่มึงพาแฟนใหม่ลงไปกินข้าวกับเมียเก่าน่ะ”

“ไม่มีใครว่าอะไรทั้งนั้นแหละ” คิมหันต์หยิบแฟ้มอันใกล้มือที่สุดแล้วเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ ชายหนุ่มแสร้งทำท่าอ่านเนื้อหาในแฟ้งอย่างจริงจังพลางเปรยเสียงเข้ม “ถ้ามึงออกไป ก็อย่าลืมปิดประตูให้กูด้วยล่ะ”

“หึ!” คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัย ทำไมพันเลิศจะมองไม่ออกว่าเพื่อนสนิทกำลังยอมรับความสัมพันธ์กับแฟนใหม่กลาย ๆ ช่างเถอะ ถึงวันนี้เจ้าตัวจะไม่ยอมรับออกมาตรง ๆ แต่แค่ไม่ด่าพ่อล่อแม่เรื่องที่เขาอัญเชิญป๊อบปี้มาที่ออฟฟิศโดยพลการ นั่นก็ดีเท่าไรแล้ว

“กูดีใจนะที่ในที่สุดมึงก็มีความสุขกับเขาเสียที เห็นป็อบปี้มันแฮปปี้ดี๊ด๊านำหน้ามึงมาสองปีแล้ว กูหมั่นไส้ยังไงไม่รู้ว่ะ!

หลังเผลอด่าพันเลิศในใจไปหนึ่งยก คิมหันต์ก็หลุดหัวเราะกับความช่างคิดของอีกฝ่าย “หึ!

ในเมื่อไม่มีเรื่องน่าสนใจให้ขุดคุ้ย พันเลิศจึงลุกขึ้นยืน จัดสูทให้เข้าที่เข้าทางพลางแซวทิ้งท้าย “สงสัยเดือนหน้ากูต้องหักเงินเดือนมึงมาจ่ายค่าเปลี่ยนพรมออฟฟิศใหม่”

“กูทำผิดอะไรไม่ทราบ” คิมหันต์ขมวดคิ้วฉับเพราะจับต้นชนปลายไม่ถูก

“ก็ตั้งแต่มึงคบเด็ก มึงก็ขยันเดินเข้าเดินออกจนพื้นสึกหมดแล้ว มึงไม่รู้ตัวบ้างรึไง” ว่าแล้วพันเลิศก็ยิ้มเผล่คล้ายกำลังยืดอกรอรับคำด่าที่ตามมาอย่างผึ่งผาย

“ไอ้เซ็น!
“อย่านึกว่ากูไม่รู้นะหนาว วันก่อนมึงแอบไปจู๋จี๋กับใครตรงเครื่องซีร็อกซ์”
“พ่อมึงสิ!” เสียงหัวเราะยั่วโทสะของอีกฝ่ายทำให้หนาวแยกเขี้ยวพลางถลึงตาใส่คู่สนทนาอย่างลืมตัว

“แน้ คบเด็กแล้วก้าวร้าวนะมึง” แทนที่จะสลด หุ้นส่วนใหญ่กลับฉีกยิ้ม ทำหน้าล้อเลียนกันอย่างไม่ยี่หระ หนาวส่ายหัวก่อนจะแสร้างก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ จวบจนเมื่อพันเลิศเดินออกจากห้องทำงานไป พ่อหม้ายลูกหนึ่งจึงค่อย ๆ ระบายลมหายใจยืดยาวแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน

••••••

วันนี้นับเป็นวันโชคดีของทัชชาจริง ๆ เพราะนอกจากจะได้ซองจอดรถโดยไม่ต้องขับวนหาหรือลงไปเข็นให้เหงื่อตกแล้ว หล่อนยังได้ขึ้นลิฟท์พร้อม ๆ กันกับท่าน HR Director ผู้พ่วงตำแหน่งแฟนใหม่ของรุ่นน้องในทีมอีกด้วย

แม้ขณะนี้อีกฝ่ายจะยืนนิ่ง ๆ อยู่อีกมุม แต่พอมองแผ่นหลังกว้างดูผึ่งผายของอีกฝ่ายนาน ๆ เข้า ฟี่ก็อดอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้ ก็ใครใช้ให้หล่อนเป็นมนุษย์สายเผือกเพียงคนเดียวที่ได้เห็นคิมหันต์แวะมารับทูถึงห้องทำงานเมื่อวานนี้ล่ะ คึ ๆ ...

“เมื่อวานเลิกงานแล้วไปไหนกันต่อเหรอคะ” กว่าจะรู้ตัวว่าตนเองหลุดปากเปรยเรื่องที่คิดในหัวออกไป ฟี่ก็สำนึกเสียใจไม่ทันเสียแล้ว

คิมหันต์ยืนนิ่งคล้ายกับไม่ได้สนใจฟัง ทัชชาจึงรีบหุบปากแล้วแกล้งทำเซ่อซ่าก่อนจะเบือนหน้าหนีไปมองอีกฝั่งพลางภาวนาให้ท่าน HR Director หูหนวกกะทันหัน

ที่ไหนได้... อีกฝ่ายกลับเปรยตอบพร้อมรอยยิ้มน่ามองจนหล่อนระทดระทวย “เมื่อวานผมพาทูไปรับลูกด้วยกันน่ะครับ”

ถ้าตัดเรื่องลูกของคิมหันต์ออกไป ทัชชาบอกได้เลยว่าประโยคเมื่อครู่ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะพูดด้วยน้ำเสียงอวด ๆ อย่างไรบอกไม่ถูก... อื้อหือ ขิงแฟนเบอร์แรงค่ะคุณขา!

แม้ลึก ๆ แล้วที่ปรึกษาอาวุโสจะแอบปลื้มปริ่มแทนทิวัตถ์ที่ก้าวหน้าในความสัมพันธ์กับท่านผู้บริหารบริษัทเครื่องดื่มชูกำลัง แต่หล่อนจะไม่มีวันปล่อยให้จิตวิญญาณแห่งการเผือกเรื่องชาวบ้านให้เหี่ยวแห้งแล้งเรื่องเม้าท์ป็นอันขาด

“โห อย่างนี้น้องไม่ต้องรอที่โรงเรียนนานเลยเหรอคะ” ทัชชาไพล่ถามเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับคู่รักต่างวัยเพื่อหลอกล่อให้คู่สนทนาหลุดปากเล่าถึงเรื่องอื่น ๆ ที่หล่อนยังไม่รู้ออกมาให้เยอะที่สุด

“เมื่อวานพวกผมไปรับลูกที่สระว่ายน้ำน่ะครับ เขามีเรียนว่ายน้ำต่อทุกเย็นวันพุธ” คิมหันต์เอ่ยพลางอมยิ้มอย่างภูมิใจ

“ดีจังค่ะ เชื่อไหมคะ อายุปูนนี้แล้ว ฟี่ยังว่ายน้ำไม่เป็นเลย ไปไหน ๆ เลยต้องพกห่วงยางส่วนตัวไปด้วยตลอด ๆ " ว่าแล้ว ซีเนียร์คอนซัลท์ก็ก้มลงมองรอบเอวตัวเองแล้วหัวเราะนำร่องเสียหน่อยเพื่อสร้างบรรยากาศรื่นรมย์ให้กับบทสนทนา ทว่าท่าน HR Director กลับไม่ได้ร่วมหัวเราะผสมโรงแต่อย่างใด ชายหนุ่มเพียงแค่ฉีกยิ้มน้อย ๆ ตามมารยาทเท่านั้น

ในเมื่อแหล่งข่าวระวังตัวแจแถมยังเข้าถึงได้ยาก เจ้ากรมขาเม้าท์อย่างหล่อนจึงเปลี่ยนกลวิธีในการล้วงข้อมูลเชิงลึกทันควัน ไหน ๆ คิมหันต์ตัวเป็น ๆ ก็ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้ว เรื่องอะไรหล่อนจะปล่อยให้ความอยากรู้อยากเห็นกัดกินตัวเองจนไม่เป็นอันทำงานทำการกันล่ะ

“เมื่อวานตอนไปรับน้องทูคงยุ่งมากใช่ไหมคะ ทูถึงไม่รับสายฟี่” ทัชชาเอียงคอพลางทำหน้าสงสัยเสียเต็มประดาขณะเอ่ยความเท็จด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย เป็นธรรมชาติ

ฟังแล้ว คิมหันต์ก็แสดงสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยออกมาอย่างเห็นได้ชัด “คุณฟี่มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าครับ”

“โอ๊ย ไม่เลยค่ะ” หญิงสาวยิ้มแหยพลางโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “พอดีฟี่จะถามน้องเรื่องเอกสารนิดหน่อย แต่เห็นว่ามันสองทุ่มครึ่งแล้วฟี่เลยไม่กล้าโทรไปกวนอีก” ที่หล่อนเพิ่งพรั่งพรูออกมาทั้งหมดนั้นเป็นคำลวงล้วน ๆ

“ตอนนั้นทูเขาอยู่บนแท็กซี่น่ะครับเลยอาจไม่สะดวกรับสาย” คิมหันต์รีบอธิบายหลังตระหนักได้ว่าตนเองคือสาเหตุที่ทำให้ทิวัตถ์ไม่ได้รับโทรศัพท์สายอื่น ๆ

“อ๋อ ค่ะ” ทัชชายิ้มกว้างอย่างปลาบปลื้มใจกับข้อมูลใหม่ที่ได้ยิน

ที่ผ่านมา ทูไม่เคยเล่าให้เพื่อนที่ทำงานคนไหนฟังว่ากำลังศึกษาดูใจใคร กระทั่งสมัยยังคบกับปุริม แม้จะโดนหล่อนทั้งขู่ทั้งปลอบอยู่หลายรอบ น้องก็ไม่ยอมปริปาก แต่เหตุที่สุดท้าย ทัชชาได้ร่วมรู้เห็นเป็นพยานในความสัมพันธ์ของรุ่นน้องทั้งสอง นั่นก็เพราะ มีอยู่วันหนึ่ง หล่อนดันบังเอิญเดินผ่านไปเห็นบูมทำตัวมือไวใส่น้องเต็มสองตา นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทูจึงพึ่งพาหล่อนในฐานะที่ปรึกษาหัวใจไปโดยปริยาย แต่พอเปลี่ยนแฟนใหม่ เจ้าเด็กน้อยนั่นก็กลับไปงุบงิบเงียบงำตามเคย

“พักนี้คุณฟี่ได้ยินข่าวลืออะไรแปลก ๆ ไหมครับ”

“หืม?!” การที่จู่ ๆ ท่าน HR Director กลายเป็นฝ่ายตั้งคำถามทำให้ทัชชาเหลือบมองเพื่อนร่วมโดยสารลิฟท์ด้วยความประหลาดใจ แต่พอหล่อนนึกถึงเรื่องเม้าท์ที่ยีนส์เพิ่งเล่าให้ฟังเมื่อวันก่อน ฟี่ก็อดตกใจไม่ได้ “คุณหนาวก็รู้แล้วเหรอคะ”

ฉิบหาย... ลองว่าเจ้าตัวรู้เรื่องคนเขาเม้าท์กันว่าท่าน HR Director กับแฟนเล่นจ้ำจี้กันในออฟฟิศ แล้วไอ้ที่หล่อนยุน้องว่าให้ใช้เซ็กส์เป็นเครื่องต่อรองล่ะ อีกฝ่ายจะรู้ไหม ซวยแล้วไงฟี่เอ๋ย!

“ครับ ผมรู้แล้ว” คิมหันต์พยักหน้าอย่างหนักใจ ยิ่งเมื่อรู้จากพันเลิศว่าข่าวลือดังกล่าวน่าจะถูกปล่อยจากพนักงานแผนก FI  เขาก็ยิ่งอดเป็นห่วงความรู้สึกของแฟนในนามไม่ได้...

ขนาดคุณฟี่ยังรู้ แล้วทูจะไม่รู้เรื่องได้อย่างไร
ว่าแต่ ใครกันนะที่ปล่อยข่าวเสียหายเกี่ยวกับพวกเขาสองคน

“คุณฟี่พอจะรู้ที่มาของข่าวนี้ไหมครับ”

“ฟี่ไม่แน่ใจนะคะ แต่คิดว่าพอรู้” ทัชชาลอบถอนหายใจเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้คาดคั้นเอาชื่อคนผิดอย่างที่เผลอกังวล แต่เท่าที่จับสังเกตจากสีหน้าเคร่งเครียดของชายหนุ่ม หล่อนมั่นใจว่าท่าน HR Director น่าจะพอมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้าง... เจ้าประคู้ณ ขออย่าให้หล่อนต้องเป็นพยานชี้ตัวคนร้ายเล้ย!

“คุณฟี่ครับ”

“คะ?!

น้ำเสียงทุ้มต่ำฟังเข้มข้นจริงจังของคนข้าง ๆ ทำเอาซีเนียร์คอนซัลท์สะดุ้งโหยง หล่อนมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างลอกแลก แปลก ดูเหมือนลิฟท์จะเป็นใจกับหล่อนและคุณคิมหันต์เสียเหลือเกิน เพราะตั้งแต่ก้าวเข้ามายืนข้างในกล่องเหล็กทรงเหลี่ยมร่วม ๆ สิบนาที จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครกดเรียกลิฟท์เอากลางทาง นี่ก็เหลืออีกตั้งหนึ่งชั้นกว่าจะถึงชั้นเก้าอันเป็นสถานที่ทำงานพวกเขาทั้งคู่ สงสัยหล่อนคงต้องถูกอีกฝ่ายซักฟอกจนซีดเสียก่อนแน่ ๆ

“ถ้าผมจะขอให้คุณฟี่คอยช่วยดูแลทูเวลาที่ผมไม่ได้อยู่ด้วย คุณฟี่จะรังเกียจไหมครับ”

“โอ๊ยคุณหนาว! ฟี่ยินดีและเต็มใจช่วยอย่างยิ่งเลยค่ะ” ประโยคที่เพิ่งได้ยินเปลี่ยนอารมณ์คนฟังแบบฉับพลันทันใด ทัชชายิ้มแก้มแทบแตกเมื่อได้รับการไว้วางใจจากแฟนใหม่ของทู  

อย่างนี้ก็เท่ากับว่า นอกจากหล่อนจะไม่โดนซักไซ้เรื่องคุณไวท์กับบูมแล้ว หล่อนยังได้รับบัตรเผือกเรื่องคิมหันต์กับน้องน้อยในทีมอย่างเป็นทางการอีกด้วย

“คุณหนาวไม่ต้องเกรงใจฟี่นะคะ ฟี่จะคอยดูแลน้องให้คุณหนาวเอง” ซีเนียร์คอนซัลท์รับปากโดยไม่ต้องหยุดคิด

“ถ้าหากมีใครทำอะไรทู คุณฟี่บอกผมได้ทุกเวลาเลยนะครับ”

“ได้เลยค่ะ” ทัชชาโพล่งขึ้นก่อนที่คู่สนทนาจะทันไหวตัว “ฟี่มีไลน์คุณหนาวค่ะ ไม่ต้องห่วง” ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็ยิ้มหวานพลางชูโทรศัพท์มือถือขึ้นคล้ายชี้แจงหลักฐานชวนเชื่อ

“ขอบคุณมากนะครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ... กันเอง!” หญิงสาวตื่นเต้นกับหน้าที่ใหม่จนเกือบเผลอตบบ่าอีกฝ่ายให้สมกับความปลื้มปริ่ม โชคยังดีที่ยังพอประคองสติไว้ได้ หล่อนจึงชักแขนกลับลงมาวางข้างลำตัวได้อย่างแนบเนียน “แต่อย่าลืมแอดฟี่นะคะ ฟี่จะได้อัพเดทเรื่องน้องได้แบบเรียลไทม์”

“โอเคครับ”

นับตั้งแต่วินาทีที่คิมหันต์รับคำของทัชชา พันธมิตรที่คอยเฝ้าดูแลปกป้องทูอยู่เงียบ ๆ ก็เริ่มทำหน้าที่ของตนอย่างขยันขันแข็ง สาเหตุที่ฟี่ยินดีให้ความช่วยเหลือหนาวโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดเป็นการตอบแทน คงเป็นเพราะ เพียงแค่ได้รู้ว่าท่าน HR Director เครซี่น้องน้อยของหล่อนเอามาก ๆ ซีเนียร์คอนซัลท์สาวโสดผู้นี้ก็ฟินจนนั่งยิ้มคนเดียวได้เป็นวัน ๆ

••••••

“เซ็น”

พันเลิศละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์หลังได้ยินเสียงเรียกคุ้นหู “อ้าวเฮ้ย มีไรมึง” ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย นาน ๆ ครั้งคิมหันต์จึงจะมาเยี่ยมเยือนเขาถึงห้องทำงาน

“มึงว่างปะ ไปกินข้าวกัน”

สีหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่ายทำให้หุ้นส่วนใหญ่กวาดตามองอีเมลที่ต้องตอบ ก่อนจะเหล่ดูเวลาบนจอคอมฯ ... สิบเอ็ดโมงครึ่ง “ไปตอนนี้เลยเหรอวะ”

“เออ ไปเร็ว กูหิวแล้ว”

แม้เจ้าตัวจะว่าอย่างนั้น แต่พันเลิศกลับตงิดใจกับท่าทีร้อนรนจนดูผิดวิสัยของเพื่อนสนิทจนอดคิดไม่ได้ว่า ก่อนมานี่ คิมหันต์น่าจะเช็กตารางงานของเขามาแล้วเรียบร้อย เพราะอีกฝ่ายเลือกวันชวนเขากินข้าวได้พอดีกับวันที่อาทิมาไม่เข้าโปรเจค ลองว่าเตรียมความพร้อมมาแล้วอย่างนี้ เขาคงจะปฏิเสธได้ลงคอหรอก

“อะ ๆ ไปก็ไป”
.
.
.
.
“มึงเบื่อกับข้าวที่เต็นท์แล้วหรือไงถึงได้ชวนกูมากินข้าวไกลถึงนี่” พันเลิศแซวขึ้นทันทีที่ทั้งสองจับจองที่นั่งในร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งซึ่งมีบรรยากาศค่อนข้างเป็นส่วนตัว

สามสี่เดือนก่อนหน้านี้ เขาเคยไปหาคิมหันต์ที่ห้องทำงานด้วยตั้งใจว่าจะชักชวนกันลงไปร่วมมื้อกลางวัน แต่กลับต้องผิดหวัง เดินคอตกลงไปกินข้าวคนเดียวแทบทุกครั้ง แรก ๆ พันเลิศไม่ติดใจอะไร แต่นานวันเข้า เขาก็ทนความสงสัยไม่ไหว สุดท้ายจึงลองเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามเอากับแม่บ้านว่าเพื่อนสนิทแอบหนีไปกินข้าวที่ไหน ก่อนจะได้รู้ว่าคิมหันต์เปลี่ยนนิสัยการกินข้าวกลางวันไปโดยสิ้นเชิงภายหลังจากเปิดตัวแฟนใหม่ได้ไม่ถึงอาทิตย์

เดิมที หนาวมักจะฝากแม่บ้านให้ซื้อข้าวกล่องขึ้นมานั่งกินในห้องทำงาน หรือไม่ก็ไปกินข้าวกับเขาบ้างในช่วงที่เขายังไม่ได้คบหากับอาทิมา แต่หลังจากทิวัตถ์เข้ามาทำงานที่นี่ เพื่อนยากกลับยอมถ่อลงลิฟท์ไปกินข้าวที่เต็นท์ร้อน ๆ ข้างล่างเหมือนกับพนักงานส่วนใหญ่ในย่านธุรกิจแห่งนี้

คิมหันต์ส่ายหัวอย่างอ่อนใจ “เปล่า พอดีกูมีเรื่องอยากให้มึงช่วย”

“มึงมีปัญหาอะไรวะ” พันเลิศตาลุกวาวพลางชะโงกหน้าเข้าหาคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างกระตือรือร้น

“อาทิตย์หน้าทีมโลจิสติกทำ training มึงช่วยบอกให้โต้งย้ายมาเทรนที่ออฟฟิศได้ไหมวะ” คนพูดแสร้งมองเมนูพิเศษประจำร้านคล้ายกับต้องการกลบเกลื่อนความผิดบางอย่าง ฝั่งหุ้นส่วนใหญ่ที่ได้ฟังคำขอเมื่อครู่ก็ดีดตัวขึ้นนั่งหลังตรงเหมือนเจ๊กตื่นไฟ

“เฮ่ย! แต่ถ้าย้ายมาเทรนที่นี่ ห้องประชุมมันจะไม่พอเอานะมึง”

“พอดิวะ ถ้ามึงเอาห้องที่ HR จองไปใช้ยังไงก็พอ กูคำนวณจำนวนคนกับไอ้ปิ๊กมาแล้ว”

พันเลิศมองหน้าคู่สนทนาอย่างงุนงง “มึงคุยกับปิ๊กแล้วงั้นเหรอ”

นอกจากจะไม่ตอบคำถาม คิมหันต์ยังเลี่ยงด้วยการตวัดปลายตะเกียบพุ้ยข้าวในชามเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ย ๆ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้กินกับ ทว่าหลังจากโดนหุ้นส่วนส่งสายตากดดันอยู่พักใหญ่ ๆ พ่อหม้ายก็ส่งเสียงรับคำในลำคอเบา ๆ “อือ”

“แล้วพวกลูกน้องมึงล่ะ จะยังไง ไหนบอกจะทดสอบระบบกันวันจันทร์” เจ้าของคำถามกอดอกรอฟังคำอธิบายอย่างอดทน

“กูให้ปิ๊กช่วยจองห้องประชุมใหญ่ที่โรงงานให้แล้ว”

“อ๋อ” จังหวะที่พันเลิศส่งเสียงเออออห่อหมกนั้นเอง จู่ ๆ เขาก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “เดี๋ยวนะ... อาทิตย์หน้าเหรอ”

“อืม”

“ฮั่นแน่ อาทิตย์หน้ามึงก็จะไปทำงานที่โรงงานเหมือนกันนี่หว่า” ยิ่งพ่อหม้ายลูกหนึ่งก้มหน้ากินข้าวเปล่าไม่พูดอะไร คู่สนทนาก็ยกมุมปากยิ้มร้ายพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งตำหนิ กึ่งชื่นชม “หน็อย เดี๋ยวนี้หัดใช้อำนาจในทางที่ผิดนะมึง”

“กูไม่ได้ใช้อำนาจในทางที่ผิด กูแค่เลือกใช้อำนาจตามความเหมาะสมเฉย ๆ ”

“เหรอ” พันเลิศเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ “แล้วที่มึงย้ายทีมโปรเจค HR ไปทำงานที่โรงงานเพราะมึงจะไม่อยู่ออฟฟิศนี่มันเหมาะสมตรงไหนไม่ทราบครับท่านผู้อำนวยการฝ่ายบุคคล”

แม้จะเป็นอีกครั้งที่เพื่อนรักนั่งนิ่ง ไม่หือไม่อือ แต่พันเลิศกลับไม่ยอมถอดใจง่าย ๆ “ว่าไง จะบอกไม่บอก... ถ้าไม่บอก กูก็ไม่ช่วย” พูดจบ ชายหนุ่มก็เชิดหน้ายิ้มเผล่ พลางเลิกคิ้วมองเพื่อนรักอย่างเจ้าเล่ห์

เห็นดังนั้น จอมวางแผนก็ถอนหายใจยาวพลางยอมรับความพ่ายแพ้แบบหมดรูป “แฟนเก่าทูกลับมาง้อขอคืนดี”

ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจว่าจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับจากใคร ๆ แต่การต้องทนเห็นเด็กหนุ่มหอบดอกไม้ติดมือมาทุกเย็นก็ทำให้หนาวควบคุมอารมณ์ได้ยากขึ้นทุกที สุดท้ายเขาจึงจำใจใช้เส้นสายและอำนาจในมือเพื่อกันปุริมออกจากชีวิตทูชั่วคราว แต่แผนการดังกล่าวจะไม่มีทางสำเร็จได้ หากพันเลิศไม่ให้ความร่วมมือ

“มึงจะกลัวอะไรวะ ถ้าคนของมึงหนักแน่นเดี๋ยวถ่านไฟเก่าก็ดับไปเองแหละน่า” คาสโนว่ายักไหล่ก่อนจะคีบข้าวปั้นที่พนักงานเพิ่งยกมาเสิร์ฟส่งเข้าปาก

“กูไม่ได้ห่วงว่าทูจะหวั่นไหว กูแค่อยากกันทูให้อยู่ห่าง ๆ แฟนเก่าสักสองสามวัน” ทั้งที่พอรู้ว่าคนกลางมีใจให้ แต่นับวัน คิมหันต์ก็ยิ่งหวาดระแวงกับท่าทีของปุริมหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ

“แฟนเก่าเขานี่ใครวะ” พันเลิศโพล่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว แม้ใจจะอยากถามเจาะลึกเรื่องความสัมพันธ์ของเพื่อนรักให้รู้แจ้ง แต่ในเมื่อข้อมูลสำคัญยังตกหล่น คงยากหากจะปะติดปะต่อเรื่องราวที่อธิบายอาการสาหัสของเพื่อนสนิทได้อย่างแม่นยำ

“คอนซัลท์ FI” กระทั่งหนาวยังแปลกใจเมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองเผลอย่นหัวคิ้วเมื่อนึกถึงหน้าตายียวนของแฟนเก่าทู... ก่อนหน้านี้ยังไม่เห็นเป็นไร แต่ไม่รู้ทำไม พักหลัง ๆ เขามักจะหงุดหงิดเวลาพูดถึงปุริมอย่างไรบอกไม่ถูก

“อ้าว โจทก์เก่ามึงนี่” พันเลิศยังจำเหตุการณ์เมื่อครั้งปุริมแฉเพื่อนเขาที่โต๊ะอาหารวันแรกของโปรเจคได้เป็นอย่างดี จริงอยู่ว่าแม้ตัวเขาจะไม่ได้ห้ามพนักงานกับคอนซัลท์ไม่ให้คบหากัน แต่เจ้าของความสัมพันธ์ควรมีสิทธิที่จะพูด หรือไม่พูดถึงความรักของตัวเอง ไม่ว่าจะกับเพื่อนสนิทหรือจะกับใครก็ตาม

พอมารู้ทีหลังว่าแฟนเก่าของทิวัตถ์เป็นคนชอบแฉ หุ้นส่วนจึงยิ่งรู้สึกขุ่นข้องหมองใจแทนคิมหันต์ไปกันใหญ่

“อืม”

เมื่อได้เพื่อนรักถอนหายใจ พันเลิศก็โน้มตัวข้ามโต๊ะไปตบบ่าอีกฝ่ายเบา ๆ อยู่สองสามที “โอเคเพื่อน เดี๋ยวกูจัดการให้เอง ส.บ.ม.ย.ห. สบายมากอย่าห่วง”

••• TBC ••

“คุณพ่อ!” เด็กหญิงทรัพย์สมุทรที่ชะเง้อมองประตูเป็นระยะ ๆ มาตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ลุกพรวดขึ้นทันทีที่เห็นบิดาเดินเข้ามาในร้านดอกไม้

“ไปครับปลาวาฬ กลับบ้านกันครับลูก” เย็นวันนี้คิมหันต์มีประชุม ชายหนุ่มจึงขอร้องให้ธามช่วยเป็นธุระดูแลบุตรสาวของตนอีกครั้ง ซึ่งขณะกำลังจะขับรถออกจากออฟฟิศเมื่อราว ๆ สามสิบนาทีที่แล้ว เขาได้โทรคุยนัดแนะกับพ่อของเวลามาก่อน ทันทีที่กลับถึงคอนโด เจ้าตัวจึงตรงดิ่งมาที่ร้านดอกไม้ทันที

“อาธาม ลุงเชน สวัสดีค่ะ” เด็กหญิงย่อไหว้ผู้ใหญ่อีกสองคนในร้านแล้วโบกมือให้เพื่อนสนิทที่นั่งเล่นแมวอยู่บนพื้น จากนั้นจึงเดินจับมือพ่อออกมาพร้อมกัน

“รอพ่อนานไหมครับ”

ทรัพย์สมุทรส่ายหัวดิก “ไม่นานค่ะ วันนี้ปลาวาฬคุยกับลุงเชนสนุ๊กสนุก”

“คุยเรื่องอะไรกันครับ สนุกมากเลยเหรอ”

“สนุกมากเลยค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้าหงึกหงักพลางอวดหัวข้อการสนทนาเสียยกใหญ่ “ลุงเชนถามใหญ่เลยว่าปลาวาฬหายไปไหนมาหลายวัน ปลาวาฬเลยเล่าเรื่องที่ปลาทูมานอนที่บ้านเราให้ลุงเชนฟังค่ะ” พูดมาถึงตรงนี้ เจ้าตัวก็อมยิ้มก่อนจะถอนหายใจเหมือนมีเรื่องค้างคา “ปลาวาฬคิดถึงปลาทูจังเลยค่ะคุณพ่อ ทำไมวันนี้ปลาทูถึงไม่มานอนที่บ้านเราล่ะคะ”

“วันนี้พ่อติดประชุม พ่อเลยขอให้อาทูกลับบ้านไปก่อนน่ะครับ”

ประชุมเย็นวันนี้เป็นประชุมนัดวิสามัญที่จงรักษ์เป็นตัวตั้งตัวตี กว่าจะรู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงของการประชุมกลุ่มผู้บริหารหลัก เกิดจากความหมั่นไส้ที่ผู้จัดการโรงงานมีต่อท่านหุ้นส่วนใหญ่ คิมหันต์ก็ต้องทนฟังจงรักษ์สวดพันเลิศเสียย่อยยับ สาสมกับการที่รายนั้นขยันหาเรื่องพาทีมโปรเจคไปเที่ยวเสียเกินหน้าเกินตาแผนกอื่น ๆ

“ว้า แย่จัง อย่างนี้ปลาวาฬก็ไม่ได้ฟังแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ก่อนนอนน่ะสิคะ”

คิมหันต์หัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นลูกสาวยู่ปาก “เดี๋ยวคืนนี้พ่อจะอ่านแฮร์รี่ พ็อตเตอร์แทนอาทูเอง ตกลงไหมครับลูก”

“ก็ได้ค่ะ” ถึงจะตอบรับข้อเสนอ แต่ทรัพย์สมุทรกลับไม่วายทำหน้าเสียดายอวดพ่อ

“อืม” สีหน้าเศร้าสร้อยของบุตรสาวทำให้ชายหนุ่มไพล่นึกถึงคนที่ได้เจอหน้ากันเพียงสิบนาทีเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว แต่แล้วจู่ ๆ อาการวูบโหวงจนทรวงอกสั่นไหวก็ทำให้พ่อหม้ายนึกขึ้นได้ว่า เขาควรอาศัยจังหวะนี้เกริ่นเรื่องทิวัตถ์กับเลือดเนื้อเชื้อไขเสียแต่เนิ่น ๆ

เขาชอบทู และมันถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องทำให้ความสัมพันธ์นี้ชัดเจน

“ปลาวาฬอยากเจออาทูมากเหรอลูก” ระหว่างที่เอ่ยถาม คิมหันต์ไม่ทันรู้ตัวเลยว่า ปลายนิ้วทั้งห้าที่กุมรอบข้อมือเล็ก ๆ อยู่นั้นกระชับแนบชิดขึ้นจนเด็กหญิงยังรู้สึกได้

“ใช่ค่ะ ปลาวาฬอยากเจออาทูทุกวันเลย”

คำตอบของบุตรสาวทำให้ชายหนุ่มเริ่มมีกำลังใจ “ถ้าพ่อชวนอาทูมาอยู่ที่บ้านกับพวกเรา ปลาวาฬจะดีใจไหมครับ”

“จริงเหรอคะคุณพ่อ!?” แม้ช่วงเวลาทุ่มครึ่งจะมีเพียงแสงไฟจากร้านรวงสองข้างทาง รถราที่วิ่งผ่านไปมา รวมถึงเสาไฟฟ้าเป็นต้นกำเนิดแสงสว่าง แต่ดวงตาของทรัพย์สมุทรกลับเป็นประกายสุกใสจนคนมองพลอยรู้สึกหัวใจพองฟูตามไปด้วย

“อาทูจะมาอยู่กับเราจริง ๆ เหรอคะคุณพ่อ?!” ปลาวาฬกุมฝ่ามือใหญ่ของพ่อพลางเขย่าเบา ๆ ด้วยความตื่นเต้น

“ถ้าปลาวาฬอยากให้อาทูมาอยู่ด้วยจริง ๆ คืนนี้เรามาลองชวนอาทูดูดีไหมครับลูก”

“ดีค่ะ!” เด็กหญิงยิ้มกว้างพลางพยักหน้าสนับสนุนเต็มแรง

แม้จะดีใจกับการตอบรับของทรัพย์สมุทร แต่คิมหันต์กลับทำได้เพียงแค่นยิ้มอย่างแบ่งรับแบ่งสู้เท่านั้น...

ณ เวลานี้ พ่อหม้ายเป็นห่วงอย่างเดียวเลยว่า หากทูยอมย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันจริง ๆ แล้วเขาควรจะอธิบายความสัมพันธ์ของตนเองกับคอนซัลท์หนุ่มให้ลูกสาวฟังอย่างไรดี

“ถ้าชวนแล้วอาทูยอมมาอยู่กับเรา แปลว่าต่อจากนี้ไป บ้านเราจะมีกันสามคนแล้วนะครับ” คิมหันต์ฉุดข้อมือบุตรสาวให้หยุดเดิน เขาย่อตัวลงนั่งกับพื้น ทอดสายตามองประสานกับดวงตากลมโตตรงหน้า แล้วเอ่ยกับลูกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ต่อไปบ้านเราจะมีพ่อ มีปลาวาฬ แล้วก็อาทูอยูด้วยกันทุกวัน ถ้ามันต้องเป็นแบบนั้น... ปลาวาฬจะโอเคไหมครับลูก”

“โอเคค่ะ!

ทันทีที่ทรัพย์สมุทรตกปากรับคำด้วยสีหน้ายินดี ก้อนน้ำหนักที่ถ่วงอยู่ข้างในก็ถูกยกออกไปบางส่วน
แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่คิมหันต์เชื่อว่าหากค่อย ๆ อธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงภายในบ้านหลังจากที่ทูก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ให้ลูกสาวฟังในช่วงเวลาที่เหมาะสม เขามั่นใจว่า ที่สุดแล้ว พวกเขาย่อมจะมีความสุขร่วมกันตามประสาครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวหนึ่ง


 ••• TBC ••


ถึงตอนนี้จะไม่ได้เปิดโปงลุงมากนัก
แต่คาดว่าใครก็ตามที่รออ่านเรื่องราวฝั่งพี่หนาวอยู่ น่าจะชอบใจ
เพราะอย่างน้อย ๆ ลุงแกก็ไม่ได้ใจแข็งเป็นหินผาแหละเนอะ
ถ้าอ่านแล้วชอบ อย่าลืมติดแท็ก #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก กับ #คันหิม นะคะ
เราอยากอ่านทุก ๆ ความเห็นของพวกคุณ ๆ ค่ะ ^^