Saturday, August 29, 2015

Ħ บน บาน ศาล รัก Ħ The 24th Blessing || 29.08.2015



อั้ยย่ะ! ตอนนี้ก็ยาวอีกแล้ว
ขอให้อ่านด้วยความสนุกสนานนะคะ ^^

หากใครเจอคำผิดหรือประโยคแปร่งๆ ฝากชี้แจงได้เลยค่ะ
เราจะตามมาแก้ไขอีกทีนึงเนอะ ^^
รักคนอ่านทุกท่านเสมอค่ะ



Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ



The 24th Blessing
ผีไหนใดเล่าจะร้ายเท่าเสือ?




“นอนรวมกันไปก่อนนะลูก พอดีบ้านเราไม่ได้ทำพื้นที่รับรองแขกเอาไว้เยอะแยะเสียด้วย...
.
...แม่ขอโทษแทนพ่อเขียวด้วยนะที่ไม่ยั้งคิดเรื่องนี้ให้แตกตั้งแต่ตอนสร้างบ้าน...
...ไม่งั้นป่านนี้แม่คงหาลำไพ่พิเศษด้วยการเปิดบ้านเป็นโรงแรมได้อีกทาง...
...พ่อนี่นะ! ใช้ไม่ได้จริงเชียว!” แม่บัวเอ่ยขอโทษขอโพยชายหนุ่มทั้งเก้าด้วยเหตุผลที่เจ้าบ้านจัดให้ทั้งหมดนอนร่วมกันในห้องของลูกชายเพียงคนเดียว หล่อนแกล้งทำเสียงเขียวเอ็ดประมุขของบ้านที่ยืนอยู่ข้างๆกันอย่างไม่จริงจังนักเพื่อเรียกรอยยิ้มของหนุ่มๆอีกระลอก...

อันที่จริง... การที่หล่อนออกตัว ก็เพื่อขอโทษชายหนุ่มทั้งเก้ากับความไม่สะดวกซึ่งเป็นผลมาจากจำนวนห้องน้ำอันจำกัด...
ถ้าไม่นับห้องน้ำตรงโถงชั้นสอง ก็จะเหลือห้องน้ำภายในห้องนอนของบุตรคนเล็กอีกเพียงห้องเดียวเท่านั้น
ทว่าพื้นที่สำหรับการปูฟูก... กลับไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เนื่องจากห้องนอนทุกห้องกว้างขนาดสามารถรับรองแขกจำนวนมากกว่านี้ได้อย่างสบายๆ


“ไม่เป็นไรครับแม่... แค่นี่ก็ดีมากแล้วครับ”  ด้วงที่ยืนอยู่หน้าสุดเอ่ยรับด้วยน้ำเสียงเข้าอกเข้าใจ แม้จะผิดหวังไม่น้อยที่ ตนเองไม่ได้นอนร่วมห้องกับกังฟูสองต่อสองก็ตาม

“งั้นพ่อกับแม่ไปนอนก่อนนะ ถ้าตอนดึกๆได้ยินเสียงอะไรก็ไม่ต้องตกใจล่ะ... พ่อว่าจะชวนแม่ต่อแขนน้องชายให้ไอ้หนูมันเสียหน่อย / พ่อนี่ล่ะก็... บ้า! พูดมาได้ไม่อายเด็ก” ทันทีที่พ่อเขียวรวบรัดตัดความและแม่บัวออกปากห้ามปรามแค่พอเป็นพิธี เจ้าบ้านทั้งสองก็พากันผละจากไปยังห้องนอนของใหญ่ที่สุดโดยไม่อยู่ฟังคำตอบใด  


เมื่อเห็นสภาพงงงวยของชาวคณะส่วนใหญ่ที่ยังไม่เก็ทกับการตัดจบอย่างว่องไวแบบไร้อารัมภบทของพ่อเขียวและแม่บัว
หนุ่มหน้าแว่นจึงเสนอตัวชี้แนะกิจกรรมลำดับถัดไปให้เหล่าสมาชิกได้ลงมือปฏิบัติโดยไม่รั้งรอ

“เอาล่ะครับ ขอให้ชาวคณะแต่ละท่านแยกย้ายไปอาบน้ำอาบท่ากันเสียเดี๋ยวนี้เลยครับ...
.
...พวกเราทั้งหมดจะได้เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำเพื่อสะสมเรี่ยวแรงให้เต็มเปี่ยม...
...พรุ่งนี้จะได้เดินป่าและเล่นน้ำตกกันอย่างกระฉับกระเฉงยังไงล่ะครับ” สกลยกเอากิจกรรมที่พ่อเขียวแนะนำระหว่างมื้ออาหารมาหว่านล้อมให้ทุกคนเริ่มเคลื่อนไหวอย่างมีเป้าหมายได้อีกครั้ง

“บูบู้... อาบน้ำพร้อมกันดีไหมครับ คนอื่นๆจะได้ไม่ต้องรอใช้ห้องน้ำนานๆเหมือนเมื่อตอนเย็น” เก็กตามประกบร่างผอมที่กำลังจัดเตรียมเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนหลังอาบน้ำพลางส่งสายตาลูกหมาถูกทอดทิ้งเพื่อเพิ่มน้ำหนักของถ้อยคำเชิญชวนเมื่อครู่...

แม้เก็กจะรู้อยู่เต็มอกว่าการอาบน้ำร่วมกับอีกฝ่าย จะกลายเป็นบ่อเกิดแห่งเรื่องน่าอับอายสุดประมาณ
แต่เพราะความต้องการอยากเข้าใกล้... อยากแนบชิดโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่ห่างสายตา ทำให้อดีตเดือนมหาลัยกระตือรือล้นกับไอเดียสุ่มเสี่ยงนี้เป็นพิเศษ


“อย่าดีกว่าครับพี่หมี... เดี๋ยวเค้าไปอาบที่ห้องนอนของพวกพี่ๆเอาก็ได้” ชายกลางซ่อนหน้าแดงเป็นริ้วเอาไว้ด้วยการกดคางจนชิดอกระหว่างปฏิเสธธันวาอย่างสุภาพ ถึงเก็กจะไม่ได้ทำตัวรุ่มร่ามยามอยู่ต่อหน้าคนอื่น...แต่ใช่ว่าบ๊วยจะมองข้ามคารมอันลื่นไหล และอาการปากว่ามือถึงของหนุ่มรูปงามไปได้ง่ายๆเสียหน่อย

สุดท้ายแล้ว...
คำสั่งอาญาสิทธิ์จากปากพี่ชายก็ดับฝันของธันวาให้สูญสลายลงในชั่วพริบตา


“ไอ้เก็ก มึงมาอาบน้ำพร้อมกูนี่...เร็ว! จะได้ขัดหลังให้กูด้วย” กังฟูขยุ้มเสื้อยืดเนื้อดีของน้องชายจากด้านหลัง แล้วจึงออกแรงลากร่างสูงใหญ่ของอดีตเดือนมหาลัยให้เดินถอยหลังตามตนหายเข้าไปในห้องน้ำ โดยไม่เปิดโอกาสให้หนุ่มรูปงามได้เอ่ยปากต่อรองกับชายกลางเรื่องการอาบน้ำร่วมกันให้เป็นเรื่องเป็นราวอีกสักครั้ง

แม้ฝั่งเก็กจะช้ำชอกกับความเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจของพี่ชาย แต่ธันวากลับไม่ทันได้สำเหนียกแม้แต่นิดเดียวว่า...
รุ่นพี่ร่างใหญ่ทั้งสอง ต่างแอบกัดริมฝีปากจนจมเขี้ยวด้วยความริษยาในโชคชะตาดังกล่าวของว่าที่น้องชายภรรยาเป็นที่สุด

ยิ่งเมื่อได้ลองสมมติว่าตัวเองได้ติดอยู่เบื้องหลังประตูห้องน้ำที่ปิดตาย...
พร้อมกับร่างกายขาวผ่องเป็นยองใยที่เจ้าของเปิดเผยให้ชื่นชมได้ทั่วทั้งตัว...
ตบท้ายด้วยการสัมผัสขัดถูแผ่นหลังแบบบางอย่างไร้โทษประหารติดตัวให้มัวหมอง แค่นี้ก็ทำให้น้ำตาของทั้งสองหนุ่มปีสามพาลจะไหลนองออกมาได้ราวกับเปิดวาล์ว


“ไปครับพี่ฌาน เราสองคนไปอาบน้ำพร้อมกัน” เสียงเรียกของหนุ่มหน้าแว่นทำให้เต๋อออกจากภวังค์แห่งความอิจฉาตาร้อนได้สำเร็จ

“รอกูกับไอ้เหี้ยด้วงด้วย... อาบแม่งพร้อมกันทีเดียวสี่คนนี่แหละ จะได้เสร็จเร็วๆ” ร่างหมีพูดพลางคว้าข้าวของจำเป็นและเสื้อผ้าถือติดมือเอาไว้พร้อมสรรพ แต่เมื่อรับทราบความต้องการอย่างถ่องแท้...คนฟังก็เกิดจะแหยขึ้นมาแบบกะทันหัน

“เอ่อ... จะดีเหรอครับ?” สกลถามเสียงอ่อน

“มึงจะกลัวอะไรวะไอ้ห่า? ห้องข้างนอกมีฝักบัวตั้งสองอัน...
.
...มึงสองคนก็อาบในอ่างไปดิวะ เดี๋ยวกูกับไอ้ด้วงไปอาบตรงฝักบัวเอง” เต๋อจัดแจงแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านอุปกรณ์ให้สกลแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจนรุ่นน้องไม่สามารถหาเหตุผลใดๆมาหักล้างได้

ร่างหนาใหญ่เกือบจะเดินพรวดพราดออกนำชายหนุ่มอีกสามคนไปอยู่แล้วเชียว
หากไม่ได้ยินเสียงทักท้วงนิ่มๆของหนุ่มวิศวะเจ้าของนัยน์ตาคมเรียวดังขัดขึ้นเสียก่อน  


“พวกนายไปอาบกันก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะรออาบทีหลัง” หนุ่มผมยาวยืนพิงผนังห้องนอนของบ๊วยด้วยท่วงท่าสบายๆพลางปรายตามองคู่อริอย่างไม่ใคร่จะใยดี  รังสีความเป็นศัตรูอันรุนแรงของด้วงทำให้เต๋อคันปากยิบๆ

“แหน่ะ! หรือมึงป๊อดกะเทย? พ่อให้มาน้อยหรือไง?” หนุ่มสถาปัตย์ปีสามแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พลางตวัดสายตาปรามาสเหล่ลงต่ำกว่าลำคอของด้วงเร็วๆเพื่อยั่วยุ...  

อีกฝ่ายถอนหายใจลวกๆด้วยความเบื่อหน่ายกับความภูมิใจผิดๆว่าด้วยไซส์ของอาวุธคู่กาย...
ใช่ว่าตัวใหญ่เป็นหมี แล้วจะมีบาซูก้าพาดกลางหว่างขาติดมาด้วยเสียหน่อย...
ถ้าได้แก้ผ้าเทียบกันแล้วเกิดหดจนเล็กเท่านิ้วก้อย เขาจะหัวเราะใส่หน้าให้อร่อยไปเลย คอยดู!


“เออๆ นำไปเลย! เดี๋ยวนายก็รู้ว่าใครกันแน่ที่พ่อไม่รัก” ด้วงตัดรำคาญ

“หึ หึ หึ... ไม่ใช่กูแน่ๆ” ร่างหมีที่ยังไม่หยุดกร่างเดินนำหน้าชาวคณะรวมทั้งน้องรหัสออกนอกห้องไปจับจองห้องน้ำใหญ่ด้านนอก ปล่อยให้อดีตเดือนบริหารกับแฝดน้องนั่งจ๋องอยู่กับพื้นระหว่างรอห้องน้ำว่าง

“นายขอรับ! วันนี้นายทำตัวแย่มากๆเลยนะ” ระหว่างที่มือเรียวขาวเนียนล้วงหยิบชุดนอนและของใช้จำเป็นเพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำแต่เนิ่นๆ ริมฝีปากอิ่มสีแดงสดก็ขมุบขมิบบ่นคนนั่งข้างๆไม่มีหยุด

“...ฌอน...” แฝดน้องเบรคนิ่มๆ... ใช่ว่าไม่ชอบให้อีกฝ่ายเรียกเขาว่า นายขอรับแต่พอได้สดับเสียงทุ้มติดหวานเรียกชื่อตัวเองให้ได้ยินกับหู เขากลับรู้สึกชอบใจมากกว่า...แบบที่หาคำอธิบายอารมณ์ในเวลานั้นไม่ได้จริงๆ  

“เออ! นั่นแหละ!! นายแกล้งฉันทั้งวันเลยนะ โรคจิตหรือไง? ตอนเด็กๆไม่มีใครเล่นด้วยเรอะ?” อิ๊กกระแทกเสียงแถมเหวี่ยงหน้าใส่แฝดน้องอย่างจะแจ้ง

“โรคจิตตรงไหนกันคุณ? ผมแค่ใช้งานคุณตามสมควรเท่านั้นเอง” คำแก้ต่างของฌอนแทบจะไม่มีความหมาย เมื่อเจ้าของประโยคปิดท้ายด้วยการยักคิ้วให้อีกฝ่ายทั้งที่ใบหน้าหล่อเหลาตรึงนิ่งคล้ายกล้ามเนื้อตายไปทั้งแถบ

แม้จะรู้ซึ้งว่ากำลังโดนหนุ่มสถาปัตย์ตั้งท่ากวนตีนใส่
แต่อคิรากลับไม่อาจสำรวมกายใจไม่ต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย


“ตามสมควรตรงไหน? นายโทรจิกจนฉันต้องแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ เพราะอยากกินกาแฟร้อนหลังอาบน้ำ...
...พอได้กาแฟแทนที่ฉันจะได้กลับไปนอนต่อ นายก็บังคับให้ฉันนั่งคอยนายกับพี่แต่งตัวอยู่ที่ห้องจนใกล้เวลานัด...
...ฉันได้กลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องแค่เดี๋ยวเดียว เพราะนายเอาแต่โวยวายจะให้ฉันขนของขึ้นรถให้ได้เร็วๆ...
.
...ตั้งแต่ก่อนขึ้นรถ ฉันต้องทำโน่นทำนี่ให้นายจนแทบไม่ได้พัก...
...ทั้งขนกระเป๋าให้นาย แถมยังต้องจัดที่หลับที่นอนให้ทุกๆคนทั้งที่แม่บัวก็หาคนมาช่วยแล้วแท้ๆ...
.
.
...เมื่อบ่ายนั่นก็อีกเรื่องที่ฉันโคตรไม่เข้าใจนายเลย...
...ฉันบอกนายเป็นล้านรอบแล้วไม่ใช่เหรอว่า ฉันไม่อยากเล่นน้ำ แต่จนแล้วจนรอด...นายก็ยังจะผลักฉันลงไปอยู่ดี...
...แล้วอย่างนี้นายยังจะเถียงอีกหรือไงว่านายไม่ได้เป็นพวกโรคจิตคิดแต่จะใช้อำนาจรังแกคนอื่น?!!” ร่างบางพรั่งพรูความอัดอั้นตันใจออกมาราวกับทำนบกั้นความรู้สึกถูกทำลาย กระนั้น...แฝดน้องกลับไม่ได้ปรับเปลี่ยนท่าทีให้อ่อนลง

“ก็แล้วคุณสนุกไหมล่ะ?” ฌอนยิงคำถามเข้าแสกหน้าจนอดีตเดือนบริหารถึงกับจนคำพูด “ผมสนุกนะ... สนุกมาก ทุกๆคน..กระทั่งเฮียฟูก็ยังสนุก  ผมเลยอยากให้คุณสนุกไปด้วยกัน” แฝดน้องอมยิ้มน้อยๆระหว่างพูด สายตาคมของหนุ่มสถาปัตย์สบประสานเข้ากับดวงตากลมหวานฉ่ำของอิ๊กโดยไม่เลิกร้างห่างหายไปสักวินาที

“คุณคงไม่รู้ตัวหรอก...
.
...ตลอดเวลาที่พวกเราเล่นน้ำกัน  สายตาคุณเป็นประกายสดใสมากเลยนะ”
.
.
.
.
“เออ! ไม่ต้องพูดแล้ว ซึ้งแล้ว!!” ความรู้สึกร้อนวูบวาบฉาบไปทั่วใบหน้าแบบฉับพลันทำให้อิ๊กรับคำส่งเดช...

เพราะไม่ทันเตรียมใจรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอารมณ์แบบกะทันหันของคนที่ดีแต่ทำหน้านิ่งๆอยู่เป็นกิจวัตร
อดีตเดือนบริหารเลยไม่ทันได้จัดทรงใบหน้าเพื่อรอรับรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม สายตากระลิ้มกระเหลี่ย และใจความของประโยคที่อีกฝ่ายเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ได้อย่างเหมาะสม... หนุ่มหล่อหน้าคมผมจุกน้ำพุจึงกลายเป็นต้นเหตุของความรู้สึกหวิวไหวใจสั่นของร่างบางได้อย่างง่ายดาย


“แต่ผมอยากพูด... ขอผมพูดอีกได้ไหม?” ฌอนอ้อนถามพลางโน้มตัวเข้าหาเจ้าของใบหน้าแดงแจ๋ด้วยหัวใจพองฟู...ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายเกิดความรู้สึกเขินอายเพราะตัวเขา

“นายจะพูดอะไรของนาย?” อิ๊กเลิ่กลั่กเมื่อระลึกได้ว่า ร่างสูงของแฝดน้องกระเถิบเข้ามาใกล้กับตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ...และมีแนวโน้มว่า อีกฝ่ายคงจะไม่ยอมหยุดง่ายๆอีกต่างหาก

“แล้วคุณอยากได้ยินอะไรล่ะ?” แฝดน้องยังไม่คิดปล่อยให้ใบหน้าแดงระเรื่อสะกดสายตาลอยห่างออกไปไกลนัก ฌอนเท้าแขนทั้งสองข้างคร่อมท่อนขาของอิ๊กเอาไว้ ยืดลำตัวแล้วยื่นหน้าเข้าใกล้อีกฝ่ายให้ใกล้กว่าเดิม

“ก็...ก็..นายอยากบอกอะไรกับฉันกันเล่า?” หนุ่มบริหารผู้ถูกคุกคามกำลังสติกระเจิดกระเจิง ร่างบางเบิ่งตากว้างพลางแปลงร่างเป็นหอเอนเมืองปิซาในทันใด

อย่าอยู่ห่างจากผม” ประโยคคำสั่งแกมบังคับที่ฟังหนักแน่นประโยคนั้นถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง...

คำสั่งที่ถูกส่งออกมาพร้อมสายตาเป็นห่วงเป็นใย... ทำให้คนฟังอดใจเต้นโครมครามไม่ได้
ก่อนที่หัวใจจะทำงานหนักยิ่งไปกว่าที่เป็นอยู่  อคิราก็แสดงอาการไม่รู้ไม่ชี้ ตีความไม่ถูกออกมาแทน


“ตอนนี้ก็ไม่ได้ไกลเลยนะ...ใกล้มากเกินไปเสียด้วยซ้ำ” ...ไม่ผิดหรอกหากอิ๊กจะเฉไฉด้วยเหตุผลข้อที่ว่า ก็ใครใช้ให้อีกฝ่ายยื่นปลายจมูกมาใกล้หน้าของเขาขนาดนี้ล่ะ?!  

“คุณรู้ว่าผมหมายความว่ายังไง” แฝดน้องส่งสายตาสื่อความนัยซ่อนเร้น...

ตลอดวันกับการเฝ้าสังเกตความผิดปกติของร่างบาง ฌอนก็ได้ข้อสรุปในใจว่า...
สิ่งที่ตนเพิ่งขอร้องอีกฝ่ายออกไปนั้น สามารถป้องกันความร้าวฉานของคู่รักบังหน้า รวมทั้งลดความอคติของคนอื่นที่มีต่ออคิราได้อย่างแน่นอน... เพียงแค่อีกฝ่ายควรต้องรับรู้แนวทางแก้ปัญหานี้เอาไว้เสียก่อนแต่เนิ่นๆเป็นพอ


“รับปากผมสิอิ๊ก......รับปากผมได้ไหม?”
.
.
.
.
.
.
.
“...อืม...”

สาบานเลยว่า อดีตเดือนบริหารไม่ได้ตั้งใจแสดงอาการเขินอายออกมาให้อีกฝ่ายได้ชื่นชมแม้แต่น้อย
แต่หัวใจดวงกระจ้อยร่อยของเขากลับไล่คว้าเอาสายตาออดอ้อน กับเสียงทุ้มนุ่มหูที่ฌอนขานเรียกชื่อของตัวเขาเป็นครั้งแรกมาเก็บเอาไว้ในห้วงความทรงจำเข้าจนได้


“รับแล้วก็ถอยออกไปสิ” อดีตเดือนบริหารละล่ำละลักพลางใช้ฝ่ามือยันบ่าหนาของอีกฝ่าย เพื่อกันไม่ให้แฝดน้องเข้าถึงตัวยิ่งไปกว่านี้... แบบที่จะไม่มีช่องว่างใดๆระหว่างชายหนุ่มทั้งสองคน

ดีที่ประตูห้องน้ำเพียงห้องเดียวประจำห้องนอนของพวกเขาทั้งเก้าเปิดผางออกมาเสียก่อน
ไม่อย่างนั้น ฌอนคงได้ฉวยโอกาสฝากรอยประทับลงบนกลีบปากแดงก่ำที่ลอยยั่วตาอยู่ไม่ห่างไปแล้วแน่ๆ


“ไอ้สัดเก็ก! ไอ้น้องชั่ว!! กูบอกให้ถูหลัง ไม่ใช่ให้ฟาดหลังกู” รุ่นพี่ร่างเล็กส่งเสียงล้งเล้งดังออกมาจากห้องน้ำตามหลังร่างสูงของอดีตเดือนมหาลัยในชุดนอนเต็มยศที่เดินหนีพี่ชายออกมาก่อน

“อะไรเฮีย เมื่อกี๊เก็กถูหลังให้เฮียจริงๆนะ แต่เก็กตัวใหญ่ไง เก็กเลยแรงเยอะไปหน่อย” เก็กเบือนหน้ากลับไปขึ้นเสียงเถียงแถแหลสู้กับกังฟูอย่างดุเดือด...

สิ่งที่คนเป็นพี่กล่าวนั้นไม่หนีไปจากความจริงสักเท่าไร
ถ้าทำได้... ธันวาอยากจะฟาดหลังพี่ชายให้แรงกว่านี้ เพื่อตอบแทนความดีที่ทำลายโอกาสอาบน้ำกับบ๊วยลงอย่างราบคาบ


“ไอ้สัด!! แดกปลาไหลใส่จาระบีเป็นอาหารหรือไงมึง?! ร่างเล็กของคนเป็นพื่ที่รีบรุดออกจากห้องน้ำเพื่อตามมาด่าน้องชายให้เจ็บปวด เซถลาไปอีกทาง หลังจากโดนร่างบางของอิ๊กที่ก้มหน้าก้มตาเดินสวนเข้าห้องน้ำไปอย่างรีบร้อนกระแทกหัวไหล่เข้าให้อย่างจัง  

“เอ้า! ไอ้สัดอิ๊ก...กล้าดียังไงถึงได้ชนกูแล้วหนี? มึงออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!!” 

หนุ่มหน้าแว่นเดินหน้าผ่องเข้าห้องมาทันจังหวะที่พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยกำลังเต้นแรงเต้นกาก่นด่าประตูห้องน้ำอยู่พอดี
ธันวาเลยเบนความสนใจจากพี่ชายด้วยหมายจะแอบถามถึงบ๊วยดูสักหน่อย


“แล้วคนอื่นๆล่ะสกล?” เก็กเปิดประเด็นอย่างแนบเนียน เขาหวังว่าบุคคลที่ผีเจาะปากมาพูดอย่างสกลจะฝอยรายงานสถานะของคนอื่นๆที่ไม่อยู่ในห้องให้เขาฟังแบบครอบคลุมโดยไม่ต้องเปลืองน้ำลาย... แต่ชายหนุ่มหน้าแว่นกลับไม่ทำเช่นนั้น

“อาบน้ำอยู่มั้งครับคุณธันวา” สกลตอบเรียบๆ ก่อนจะหันไปแนะนำเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยที่ต้องนั่งรั้งท้ายรอใช้ห้องน้ำเป็นลำดับหลังสุด “ฌอน นายไปอาบน้ำห้องข้างล่างห้องที่ผมเพิ่งอาบมานี่ก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องรอเงก”

“เรานึกว่าสกลไปอาบน้ำพร้อมพี่ชายกับพี่เต๋อพี่ด้วงเสียอีก”

“เปล่า พอดีเพื่อนบูบู้ชี้ทางสว่างให้ ผมเลยไม่ต้องไปเบียดกับสามคนนั่นน่ะ”  

คำตอบของสกลชี้ทางสว่างให้ทั้งฌอนและเก็กได้ในเวลาเดียวกัน  
ฝั่งแฝดน้อง...ก็ได้สถานที่ชำระร่างกายแบบทันท่วงทีก็กล่าวคำขอบคุณเพื่อนหน้าแว่นทิ้งท้ายก่อนจะลุกไปอาบน้ำ

ในขณะที่อดีตเดือนมหาลัยก็พอจะกะได้ว่า อีกนานแค่ไหน... แฟนตัวน้อยผู้แสนดีของเขาจะกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง
ร่างสูงสมส่วนจึงเดินตามหลังฌอนออกไปยืนรอบ๊วยอยู่ตรงห้องโถงชั้นสองแถวๆหน้าห้องด้วยเบื่อหน้าพี่ชายเป็นกำลัง


“ไอ้แว่น” กังฟูร้องเรียกรุ่นน้องต่างคณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาพับเสื้อผ้าใช้แล้วเก็บลงกระเป๋าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

“ไอ้สัดแว่น!” หนุ่มรุ่นพี่ปรับโวลุ่มเพิ่มเสียงพร้อมกับเติมคำนำหน้าประดับประดาสรรพนามแทนตัว ตามอารมณ์ที่ขุ่นมัวมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อโดนอีกฝ่ายทำหน้าเมื่อยใส่

ไอ้เหี้ยหนูแนน!!!

“ครับท่านกรกฏ!!” หนุ่มหน้าแว่นเงยหน้าขึ้นขานรับกังฟูอย่างกระฉับกระเฉงผิดกับท่าทีก่อนหน้าราวหน้ามือ หลังตีน... ถึงจะตั้งใจทำหูทวนลมกวนโมโหรุ่นพี่ปากเสียมาตั้งแต่ต้น แต่สกลกลับทนไม่ได้กับการที่กังฟูใช้ปมด้อยของเขาเข้าโจมตีแบบเมื่อครู่... หนูแนนรับไม่ได้จริงๆ!!  

“ครอบครัวไอ้บูบู้รู้เรื่องลูกชายเป็นพวกวิปริตมานานหรือยัง?” กรกฏเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงานโดยไม่มีท่าทีจิกกัดอย่างที่เคย

“ก็ตั้งแต่เริ่มรู้ตัวว่าชอบคุณธันวาเมื่อตอนขึ้นมอปลายล่ะมั้งครับ คุณกรกฏถามทำไมเหรอครับ?”

“เปล๊า กูก็แค่ไม่อยากจะเชื่อว่าจะยังมีครอบครัวที่ไม่เดือดร้อนกับความผิดปกติของลูกชายสืบสกุลเพียงคนเดียวอยู่ด้วย” กังฟูแก้ตัวน้ำขุ่นๆ...

ถ้าให้ยอมรับกันตามจริง...กังฟูแค่ต้องการรับรู้ถึงวิธีรับมือ และแนวทางในการทำความเข้าใจของคนเป็นพ่อและแม่
หลังจากที่ได้รู้ว่าลูกชายเพียงคนเดียวกลายเป็นพวกรักร่วมเพศ เนื่องจากนับวัน...กรกฏก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงที่ว่า
ธันวา...ไม่อาจจะกลับมารักชอบผู้หญิงได้เหมือนกับผู้ชายคนอื่นๆได้อีกต่อไป...
.
.
...แล้วไหนจะตัวเขาอีกล่ะ
หากรู้สักนิดว่าพ่อกับแม่ของบ๊วยใช้เหตุผลข้อไหนเพื่อให้อภัย และมองข้ามความผิดปกติข้อนี้ไปได้...
คงจะช่วยให้เขาไม่รู้สึกผิดกับป๊าม้าได้มากเท่ากับที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แน่ๆ


“นั่นแน่! อย่าบอกนะครับว่า คุณกรกฏสนใจอัตชีวประวัติของเพื่อนบูบู้ขึ้นมาตงิดๆเสียแล้ว...
.
...ดีครับดี!  เดี๋ยวพอได้ดองเป็นพี่เป็นน้องกันเมื่อไร จะได้คบหากันอย่างสนิทใจไปอีกนานแสนนานเลยเนอะ” สกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริงจนน่าหมั่นไส้... ในเมื่อแหล่งข้อมูลไม่ยอมเปิดเผยความลับ แถมยังถามกลับให้เสี่ยงต่อการเพลี่ยงพล้ำ รุ่นพี่ร่างเล็กจึงต้องกลับลำเปลี่ยนท่าทีเสียแต่เนิ่นๆ

“ใครบอกว่ากูเตรียมพร้อมเป็นครอบครัวเดียวกับไอ้บูบู้มัน?!...
.
...กูถือคติ...รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง...ชนะร้อยครั้งตังหากล่ะโว้ย!!

“คุณกรกฏนี่โชคดีนะครับที่ไม่เคยเจออาม่าผมแบบตัวต่อตัว...
.
.
...ไม่งั้นเวลาคุณกรกฏโกหกรัวๆแบบเมื่อครู่...
...คุณกรกฏคงได้โดนม่าผมตบปากจนเบินไปก่อนแน่ๆ” สกลลอยหน้าลอยตายอกย้อนแบบกระทบชิ่ง ซึ่งผู้ท้าชิงรุ่นพี่กลับไม่นึกประหวั่น

“งั้นพวกโกหกเป็นไฟอย่างมึงคงจะโดนอาม่าตบจนสมองเหลวไปแล้วล่ะสินะ...
...ถึงว่าสิ... ความคิดความอ่านของมึงเลยไม่ค่อยจะปกติอย่างใครๆเขา”

“เปล่าครับ” สกลปฏิเสธหน้าตาย...เห็นได้ชัดว่าตนเองกับอีกฝ่ายน่ะกระดูกคนละเบอร์กัน “ม่าตายตั้งแต่ก่อนผมเกิด...
.
...ผมฟังที่ป๊าเล่ามาประกอบการสนทนาเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้มากขึ้นเท่านั้นเอง” หนุ่มหน้าแว่นแลบลิ้นแล้วออกวิ่งหนีไปนอกห้องทันทีก่อนที่อีกฝ่ายจะเงื้อหมัดวิ่งไล่ตามไปติดๆ

“ไอ้สัดแว่น!!!/ คุณธันวาครับช่วยผมด้วยยยยย!!” เก็กอุทิศเรือนร่างสูงสมส่วนของตนเป็นอนุสาวรีย์ใจกลางวงเวียนเพื่อ ให้สองหนุ่มต่างรุ่นต่างไซส์วิ่งไล่กันไปมาวนเป็นวงกลมรอบแล้วรอบเล่า จนเหล่าชาวคณะที่เหลือทยอยกลับเข้าห้องมาโดยพร้อมหน้าแล้วนั่นแหละถึงได้ยอมรามือจากกัน


Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ


“ขณะนี้เป็นเวลาประมาณสามทุ่มกว่าๆ ซึ่งตามประสาหนุ่มหออย่างพวกเราทั้งหลาย คงจะหัวค่ำเกินไปที่จะเข้านอน...
.
...ในเมื่อหนุ่มโสดวัยฉกรรจ์อย่างพวกเราได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน  แถมยังมีเวลาว่างก่อนนอนอีกเหลือเฟือ...
...พวกเราควรจะหากิจกรรมทำร่วมกันทำแก้เบื่อ เพื่อช่วยสร้างเสริมความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเสียหน่อยดีไหมครับ?” สกลกล่าวกับชาวคณะที่นั่งล้อมวงกันเป็นวงกลมโดยไม่ได้นัดหมายด้วยน้ำเสียงกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น  


“ใครบอกว่ากูอยากเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับมึงกันห๊ะไอ้แว่น?”

น้ำเสียงกวนประสาทที่พูดขัดกลางอากาศไปเมื่อครู่ ดูจะไม่มีใครทำได้...นอกไปเสียจากร่างเล็กผู้ตั้งตนเป็นศัตรูกับใครเขาไปทั่วอย่างกังฟู  แต่มีหรือที่สกลจะเกรงกลัวต่อการข่มขู่ของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัย


“ถ้างั้นเปลี่ยนเป็น...พวกเราทั้งแปดต่างร่วมสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน...
.
...ส่วนคุณกังฟูก็เก็บเผือกเก็บมันหากินไปตามลำพัง ก่อนจะแก่ตายไปในไม่ช้า...
...แบบนั้นคงจะสะใจกว่าใช่ไหมล่ะครับ?”

“ไอ้สัด!! ที่โดนวิ่งไล่ไปเมื่อกี๊นี่ยังไม่เข็ดใช่ไหม?” กังฟูผุดตัวเตรียมลุก แต่ร่างเล็กกลับถูกฝ่ามือหนาของเต๋อกระชากเอาไว้ ก่อนจะลูบแผ่นหลังเล็กเบาๆคล้ายจะกล่อมให้สงบ  

“เอาล่ะ เอาล่ะ มึงอยากจะพูดอะไรก็พูดมา อย่าลีลามากนักเลยไอ้เหี้ยแว่น... ใจเย็นๆนะครับฟู เดี๋ยวก็เหงื่อออกจนต้องไปอาบน้ำอีกรอบหรอก” หนุ่มร่างหมีออกหน้าตอบโต้สกล และปลอบประโลมกังฟูแทนสมาชิกทั้งหมดไปพร้อมๆกัน...  

แม้เต๋อจะพัวพันกับทั้งสกลและกังฟูอยู่ก็ตาม
แต่หนุ่มสถาปัตย์ปีสามกลับไม่ลืมที่จะแอบส่งสายตาไปเยาะเย้ยอริหัวใจที่ไหวตช้ากว่าตนไปแค่ช่วงตัวเดียว


“แหม...พี่เต๋อล่ะก็ ใจร้อนจริงเชียว!” หลังจากโดนเต๋อตวัดสายตาคร่าวิญญาณใส่อย่างจัง สกลที่ออกทะเลอยู่นานก็ซมซานกลับเข้าฝั่งทันที  “จะมีอะไรที่เร้าใจยิ่งกว่าการแบ่งปันประสบการณ์หลอนสั่นคลอนประสาทได้อีกล่ะครับ” พูดมาถึงตรงนี้... แววตาของหนุ่มแว่นก็เปล่งประกายสุกใสคล้ายกับดอกไม้ไฟในท้องฟ้าช่วงฤดูร้อนเสียจริงๆ

“บอกเอาไว้ก่อนนะครับว่า ใครแอบหนีไปนอนก่อนเป็นหมา!” สกลสำทับปิดท้ายพลางส่งสายตาท้าทายมองไปรอบๆวง

ลงว่าพูดดักคอเอาไว้แบบนี้...
ถ้าเป็นพวกที่ไม่นับถือและให้เกียรติตัวเองเป็นที่ตั้ง คงไม่กล้าบอกศาลารายการคนอวดผีสัญจรให้คนอื่นฟังง่ายๆแน่...
ในที่สุดก็ถึงคราวที่เขาจะได้แก้แค้นพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยให้สาสมใจแล้วสินะ...กรั่ก กรั่ก กรั่ก!!


“ฟู... เราไปนอนกันเถอะนะ ไม่ต้องถ่างตาฟังเรื่องไร้สาระหรอก” หนุ่มผมยาวพยายามเปิดช่องให้ร่างเล็กได้มีโอกาสหลบเลี่ยงพลางส่งมือไปให้เพื่อนรักจับเพื่อฉุดร่างเล็กให้ลุกตามกันไป...  ขอแค่ให้กังฟูไม่ต้องประสบกับช่วงเวลาที่ไม่น่าอภิรมย์ ด้วงก็ไม่นึกเกี่ยงหากคนจะมองว่าเขาแหยก็ตามที

“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง....แฮ่....เอ๋ง เอ๋ง เอ๋ง เอ๋ง....
.
...อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ!... อย่ามองผมแบบนั้นสิครับคุณพี่ด้วง คุณกรกฏ...
...ผมแค่วอร์มเส้นเสียงก่อนเริ่มต้นเล่าเรื่องผีที่ผมประสบพบเจอมากับตัวให้ทุกคนฟังเท่านั้นเอง ไม่ได้จะบอกว่ารุ่นพี่ปีสามจากคณะวิศวะคนไหนกำลังจะกลายร่างเป็นหมาเสียหน่อยเนอะ”...เมื่อโดนสกลกระแนะกระแหนเข้าเต็มเปา กังฟูจึงต้องกักเก็บความหวาดกลัวเอาไว้ภายใน แล้วตอบกลับด้วยท่าทางหยิ่งผยองและท้าทายไม่ผิดกัน

“หึ! มึงคิดว่ากูป๊อดหรือไง...
.
...เล่ามาเลยไอ้สัด กูก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเรื่องผีของมึงน่ะจะน่ากลัวได้ครึ่งเรื่องผีที่กูจะเล่าหรือเปล่า”

เก็กกับด้วงถึงกับแปลกใจที่ได้ยินกังฟูเอ่ยท้าสกลด้วยเรื่องที่ตนไม่สันทัด...
แต่ลูกผู้ชาย ฆ่าได้...หยามไม่ได้ ต่อให้ต้องตายเพราะความกลัวจับใจ ก็ดีกว่าอับอายที่ต้องถูกไอ้เด็กแว่นลบหลู่ดูแคลน


“ผมว่าเฮียฟูไปนอนดีกว่าครับ...  เดี๋ยวผมไปนอนเป็นเพื่อนดีไหม?” บ๊วยพยายามหว่านล้อมเพื่อเปลี่ยนใจรุ่นพี่ร่างเล็ก...

เขาอดเป็นห่วงกังฟูไม่ได้ ด้วยรู้ดีแก่ใจว่า...สกลรบรากับผีมาหนักหนายิ่งกว่าใครๆที่เขาเคยรู้จัก
และเมื่อไรที่เพื่อนรักได้เปิดปากบอกเล่าประสบการณ์ด้านนี้ให้คนอื่นฟัง... ร้อยทั้งร้อยต้องได้ขนหัวตั้งกันไปเสียทุกคน

แต่ที่น่ากังวลยิ่งกว่าสิ่งไหน คือ การที่พี่ชายของธันวากลัวผีหาตัวจับยากอยู่เป็นทุน
อีกทั้งความลับที่ว่า...สกลเห็นวิญญาณได้ตั้งแต่ยังเป็นวุ้น มีเพียงเพื่อนสนิททั้งสามคนเท่านั้นที่ล่วงรู้


“ถ้ามึงปอดแหก ก็ช่วยไปแหกปากหอนรับเป็นลูกคู่ไอ้สัดแว่นให้ไกลๆตีนกูหน่อย...
...อย่ามาเที่ยวลากให้กูดูอ่อนด๋อยตามไปหน่อยเลยวะไอ้บูบู้!...
.
...เอ้า! ไอ้แนน เล่ามาซักทีสิ โยกโย้ว่ะ!!

“หึ! คุณกรกฏวอนท์แบบนี้ก็ดีครับ ผมจะได้ไม่ต้องเกรงใจ” สกลส่งยิ้มโรคจิตไปสะกิดใจผู้ฟัง...ดั่งทายาทสายตรงที่รับตะขาบต่อมาจากพี่ป๋อง กพลแห่งเดอะช็อคก็ไม่ปาน

“ช่วยไม่ได้ที่ผมได้ห้องในหออยู่ตรงทางสามแพ่งพอดี...
...ผมเลยมักจะพบเจอกับเรื่องแปลกประหลาดหาคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้อยู่เสมอๆ...
...แบบที่มาแค่เสียงเคาะนั่น ลากนี่... แบบที่มีแค่กลิ่นที่หาต้นตอไม่ได้ หรือแบบที่แว่บผ่านหางตา และโผล่มาเป็นเงา...
...ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่เคยเก็บเอามาใส่ใจ เพราะผมเป็นคนไม่กลัวอะไรง่ายๆอยู่แล้ว...
...แต่มีครั้งนึงที่ทำให้ผมลำบากใจมากเป็นพิเศษ...
.
.
...คืนนั้นผมรู้สึกเหนื่อยมาก เลยเข้านอนก่อนที่พี่ห้องทั้งสองจะกลับ...  
...หลับไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะประตูหน้าห้องอยู่นาน นานจนผมแน่ใจว่าไม่น่าจะใช่เสียงเคาะประตูห้องตรงข้าม...
...ที่สำคัญ คงไม่ใช่พี่ห้อง เพราะทั้งสองคนมีกุญแจ...
.
...ผมเลยลากสังขารลงจากเตียงเพื่อลอดสายตาส่องบานเกล็ดข้างๆประตูดูอยู่สักพัก แต่กลับไม่เห็นใครสักคน...
...สุดท้ายผมก็กลับไปนอน... แต่หลับตาไปได้แป๊บเดียว เสียงเคาะประตูก็ดังเกรียวกราวขึ้นอีกครั้ง...
...รอบนี้ผมเปิดประตูออกไปดูจนทั่ว แต่กลับไม่มีใครโผล่หัวอยู่แถวหน้าห้องสักคน ผมเลยตัดใจเดินกลับเข้าไปนอน...
...และแล้ว ผมก็ได้ล้มตัวลงนอนเป็นรอบที่สามด้วยความสงบสุข เพราะไม่มีเสียงเคาะประตูก่อกวนการนอนอีกต่อไป...
.
.
...ถ้าผมจำไม่ผิด ตอนนั้นผมนอนตะแคงหันหลังให้ข้างฝา แล้วไอ้ตอนที่กำลังเคลิ้มๆใกล้จะหลับนั่นแหละ...
...ผมดันรู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างทิ้งน้ำหนักลงบนฟูกด้านหลังจนเบาะยวบเหมือนกับมีคนล้มตัวลงนอนเสียด้วยกัน...
...ความรู้สึกนั้นมาพร้อมกับกลิ่นสาบสางเหมือนซากสัตว์ตายที่เหม็นอย่างร้ายกาจ...
...แต่นั่นยังไม่น่าตกใจเท่ากับ เพียงไม่กี่วินาทีให้หลัง...ผมก็รู้สึกเหมือนโดนกอดรัดจนหายใจไม่ออก...
...ผมพยายามลืมตา พยายามขยับตัวดิ้นรน แต่กลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง...
.
...ผมเลยท่องบทแผ่เมตตาช้าๆในใจ พลางตั้งจิตภาวนาให้อะไรก็ตามที่เกาะผมอยู่นั้น... 
...ปล่อยให้ผมเป็นอิสระเสียที เพราะผมง่วงนอนเต็มแก่...
.
.
...แต่จนแล้วจนรอด นอกจากความรู้สึกอึดอัดเหมือนกำลังจมน้ำจะไม่จางหาย...
...เสียงแหบๆเยียบเย็นชวนขนหัวลุกกลับดังขึ้นอย่างชัดเจนในโสตประสาท...
...เสียงนั้นพูดพร่ำถ้อยคำในภาษาที่ผมไม่รู้จักที่คลับคล้ายคลับคลากับบทสวดเสียมากกว่าถ้อยคำที่ใช้พูดคุยตามปกติ...
...เท่านั้นแหละครับ”

“เท่านั้นอะไรล่ะสกล?! เล่ามาให้จบๆดิวะ” เก็กถึงกับทนไม่ได้ที่อีกฝ่ายนิ่งไปนาน

“เรื่องทั้งหมดก็จบที่ตรงนั้นแหละครับ พอดีผมง่วงมาก... ฟังบทสวดหึ่งๆข้างๆหูได้ไม่นาน ผมก็ผล็อยหลับไปเสียอย่างนั้น” สกลอธิบายหน้าตาเฉยจนคนฟังเกือบทั้งวงแทบหงายหลัง

“เฮียฟู เฮียฟูไหวหรือเปล่าครับ?” บ๊วยอดถามไถ่รุ่นพี่ร่างเล็กที่หน้าซีดผิดปกติด้วยความเป็นห่วงไม่ได้...

ขนาดเคยฟังเรื่องผีเรื่องอื่นๆของสกลที่น่ากลัวยิ่งกว่านี้มาหลายครั้ง เขายังขนลุกขนชัน...
แล้วพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยที่กลัวผีจับจิตจับใจ จะไม่รู้สึกรู้สาได้อย่างไรกัน?!


“เฮอะ! เรื่องหลอกเด็กแค่นี้จะทำอะไรกูได้” กรกฏแสร้งเล่นใหญ่โอ่เสียงดังตอกหน้าชายกลางอย่างจัง  

ทว่าด้วงที่นั่งประกบข้างๆร่างเล็กกลับสังเกตเห็นว่ากังฟูหักข้อนิ้วโดยไม่รู้ตัว...
ซึ่งถือเป็นนิสัยที่อีกฝ่ายมักจะทำทุกครั้งที่เครียดจนทนไม่ไหว หากแต่ยังหาโอกาสระบายออกไม่ได้ในขณะนั้น


“ฟูไปนอนกันเถอะ” พูดจบ ด้วงก็ผุดลุกขึ้นแล้วฉุดร่างเล็กของเพื่อนสนิทให้ยืนเต็มความสูงโดยไม่ปล่อยมือ

“อ้าว! จะรีบไปนอนทำไมล่ะครับคุณพี่ด้วง? ผมยังไม่ได้ฟังเรื่องผีของคุณกรกฏเลยนะครับ” สกลร้องท้วงแค่พอเป็นพิธี...

อันที่จริง การกระทำทั้งหมดเมื่อกี๊นี้...
เป็นแผนที่แฝดพี่คิดขึ้นเพื่อตัดกำลังไม่ให้พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยโยเยก่อนนอนจนเดือดร้อนกันไปทั่วเท่านั้นเอง


“พอ พอ พอ... กูง่วงแล้ว พวกมึงไปดับไฟแล้วเข้านอนกันเดี๋ยวนี้!...
.
...ไป! อย่าให้กูมีน้ำโห!!” เต๋อใช้เสียงและความเป็นรุ่นพี่เข้าข่มเหล่าสมุนเลวทั้งหลายก่อนจะเดินตามหนุ่มวิศวะทั้งสองไปติดๆ

“ฟู ฟูนอนติดผนังนะ เดี๋ยวเรานอนอีกด้านให้เอง” ด้วงจัดแจงชัยภูมิที่เหมาะสมที่สุดให้กับกังฟู แต่ดูเหมือนร่างเล็กจะลังเลกับความต้องการของหนุ่มผมยาวอยู่มากโข

“มึงนอนติดข้างฝาได้ไหมวะด้วง?” กรกฏอ้อมแอ้ม... ก็เรื่องที่เพิ่งฟังจบไปหมาดๆ ผีดันโผล่ออกมาจากข้างฝา และถ้าเขายังฝืนนอนริมผนัง เขาจะไม่กลายเป็นเหยื่อให้ผีเชือดนิ่มๆจนช็อกตาตั้งไปก่อนหรือ?!

“จะดีเหรอฟู? เราไม่อยากให้ใครมานอนใกล้ฟูเลยนะ” ด้วงพยายามหว่านล้อม...

แน่ละ... เรื่องอะไรเขาจะยอมให้คนอื่นได้ครอบครองพื้นที่อีกฟากฝั่งของกังฟูตอนหลับสนิทไปง่ายๆ
ยิ่งพอมีไอ้หมีที่รอเสียบกังฟูอยู่ตลอดเวลาคอยหาเรื่องป้วนเปี้ยนอยู่ไม่ห่าง...ด้วงก็ต้องยิ่งระวังมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว


“เดี๋ยวกูให้ไอ้เก็กมันมานอนอีกข้างก็ได้” หนุ่มร่างเล็กตอบซื่อๆ แต่มีหรือที่หนุ่มร่างหมีซึ่งยืนฟังบทสนทนาของเพื่อนรักทั้งสองมาตั้งแต่แรกจะยอมให้น้องชายกังฟูเข้ามาแทรกกลางระหว่างเขากับร่างเล็กได้ง่ายๆ

“ไม่ต้อง! เดี๋ยวกูนอนอีกข้างนึงให้เอง มึงก็เข้าไปนอนชิดข้างฝานั่นไปกะเทย” พอออกคำสั่งเสร็จ เต๋อก็จัดท่าตรงเบาะที่ตนหมายตาโดยไม่หาข้อสรุป  

“ไม่เอา!! เดี๋ยวเราให้เก็กมานอนประกบฟูอีกข้างเอง นายไปนอนที่อื่นเถอะ” ด้วงยืนกอดอกค้ำหัวหนุ่มร่างหมีที่ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้

“แล้วมึงคิดหรือว่ากูจะไม่สลับที่กับไอ้เก็กตอนกลางคืนอย่างนั้นเหรอ?”

“ด้วง... นอนเถอะ กูง่วงแล้ว” มือเล็กกระตุกชายเสื้อนอนของด้วงเป็นจังหวะถี่ๆ... หนุ่มผมยาวจึงเปลี่ยนท่าทีตามความต้องการของอีกฝ่าย

“ได้ ได้...นอนเลยนะ”

การที่ด้วงยอมทำตามใจเต๋อง่ายๆ เป็นเพราะเขารู้ดีว่า กังฟูกำลังถูกเรื่องผีเมื่อครู่หลอนจนกลัวผีแบบสุดขั้ว...
และนั่นคือสิ่งที่ตัวเขาปรารถนาเป็นที่สุด เพราะเมื่อแสงสว่างภายในห้องดับลง... ร่างเล็กๆที่แสนนุ่มนิ่มของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยจะซุกเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขาโดยไม่ต้องร้องขอ

ส่วนเต๋อที่ฮึกเหิมกับข้อสรุปของกังฟูเรื่องฟูกนอน
ก็รีบร่นระยะเวลาแห่งนิทรารมณ์ให้ยิ่งกระชั้นเข้ามาโดยเร็ว


“พวกมึงก็นอนกันได้แล้ว! ไอ้สัดแว่น...เสร็จแล้วมึงก็เดินไปปิดไฟด้วย!!

คร๊าบบบบบบ! / บูบู้ครับ เราไปนอนกันเถอะ” เก็กอาศัยจังหวะที่เหล่าสมุนเลวคนอื่นๆยังยืนหมุนไปหมุนมาเพราะหาที่ลงเหมาะๆไม่ได้ ลากร่างผอมของชายกลางให้ปักหลักยังจุดหมายที่เขาต้องการทันที

“แต่พี่หมี...  

สายตา นอนแบบนี้จะดีเหรอ?ของบ๊วยที่ฉายชัดอยู่ในแววตา 
ทำให้อดีตเดือนมหาลัยอาศัยความไวของปากที่มากกว่า พูดสกัดดาวรุ่งอีกฝ่ายเอาไว้ได้ทันการ


“ไม่ต่งไม่แต่แล้วนะบูบู้ ขืนชักช้า...มีหวังพี่เต๋อลุกขึ้นมาด่าเอานะครับ...
.
...บูบู้นอนติดข้างฝานะครับ เดี๋ยวเค้านอนกันด้านนอกให้เอง” สิ้นคำ หนุ่มรูปงามก็ตบหมอนจนฟูน่าหนุน ปัดฝุ่นบนฟูกนอนจนสะอาดสะอ้าน พร้อมจัดผ้าผวยเพื่อเชิญชวนให้คนข้างๆเอนกายลงนอนอย่างเสียไม่ได้

“เอ่อ... ก็ได้ครับ”

สาเหตุที่ทำให้บ๊วยลังเลกับท่าทีเชิญชวนจนออกนอกหน้าของเก็กเป็นเพราะ  
ทีแรก...ฟูกนอนทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นสองแถว แถวละห้าเบาะ โดยถูกจัดซ้อนให้หันนอนหันมาชนกัน  

ทว่าตรงหัวนอนของฟูกที่เก็กพาเขามานอนนั้น...ดูเหมือนจะโดนอีกฝ่ายเอากระเป๋าใบใหญ่มากั้นเอาไว้เพื่อช่วยบังตา
เนื่องจากฟูกทั้งสองของเขากับเก็กนั้น ดันอยู่ติดข้างฝาซึ่งเป็นเบาะฝั่งตรงข้ามกับหัวนอนของกังฟูแบบพอดิบพอดี...
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเตรียมการล่วงหน้าอย่างนี้ แล้วเขาจะวางใจกับเจตนาของอีกฝ่ายได้อย่างไร?!  

ขณะที่บ๊วยกำลังนอนลำบากใจอยู่ตรงข้างผนังห้อง
สองหนุ่มต่างคณะก็กำลังยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่อย่างไม่มีใครยอมใคร


“นั่นคุณกำลังจะไปไหน?” แฝดน้องถามอิ๊กที่รั้งข้อมือของร่างบางไม่ให้เดินเบลอไปประกบหลังเก็กเอาไว้ได้แบบเฉียดฉิวถามเสียงเข้ม

“ฉันจะไปนอนตรงโน้น” อดีตเดือนบริหารตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดพลางพยักเพยิดไปยังฟูกที่ว่างข้างๆเก็ก แต่ฌอนกลับใช้สิทธิของเจ้านายตัดไฟเสียแต่ต้นลม พลางส่งซิกให้พี่ชายและเพื่อนหน้าแว่นเข้าจับจองพื้นที่สุ่มเสี่ยงอย่างทันท่วงที

“คุณไปปิดไฟ แล้วกลับมานอนข้างๆผมนี่... พี่ชาย สกล นอนกันเถอะครับ”

“พี่ฌาน... เรามานอนกันเถอะครับ คืนนี้คงไม่มีใครมานอนข้างๆผมเหมือนเมื่อคืนนั้นแล้วเนอะ” สกลที่ยังมันมือกับการกลั่นแกล้งรุ่นพี่ร่างเล็ก ก็โยนระเบิดทิ้งท้ายเมื่อเห็นว่าพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยยังไม่หลับ แฝดพี่เลยรับช่วงชงต่ออีกทอดหนึ่ง

“หึ! พี่ฌานก็ไม่รู้เหมือนกัน...
.
...ถ้าสกลกลัวนัก ก็สวดมนต์ก่อนนอนดูสิ จะได้หลับฝันดีไม่มีผีมาคอยกวนใจ”

พอได้ยินดังนั้น กังฟูที่ร้อยวันพันปีไม่เคยลุกขึ้นมาสวดมนต์เต็มบท...ก็ดีดตัวขึ้นนั่งหลังตรงแล้วเริ่มท่องบทสวดมนต์งึมงำ
แต่ความตั้งใจของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยกลับต้องยุติลงกลางทาง เมื่อทั้งห้องตกอยู่ในความมืดมิดแบบฉับพลัน  
เมื่อนั้น...ร่างเล็กก็ขดลงซุกแนบกับร่างสูงของด้วงทันที




ฝ่ามือแกร่งจากร่างสูงที่นั่งอยู่บนฟูกถูกส่งไปกระชากเรียวแขนของร่างบางที่เพิ่งผละจากแผงสวิตช์ไฟภายในห้องอย่างแรง  จนอดีตเดือนบริหารเสียศูนย์ แต่ก่อนที่อิ๊กจะล้มลงกระแทกผืนฟูกบางๆที่ว่างอยู่นั้น เจ้าของฝ่ามืออรหันต์เมื่อครู่...ก็รวบเอาร่างบางให้เข้ามานอนอยู่ในวงแขนของตนได้อย่างน่าอัศจรรย์


“จะไปไหน? ผมบอกให้ไปนอนข้างๆ...คุณไม่ได้ยินเหรอ?” เสียงกระซิบกระซาบฟังดุดันของฌอนเอ่ยแนบใบหน้าจนคนฟังต้องเอี้ยวคอหลบ

“ปล่อย!!” อคิราในโหมดสติไม่เต็มร้อยดีดดิ้นพร้อมตั้งท่าสู้ไม่ถอยแม้ภายในจิตใจจะกำลังขัดเขินกับสภาพล่อแหลมที่เป็นอยู่จนมือไม้อ่อน

“นอน!” ...ยิ่งอิ๊กไม่ให้ความร่วมมือมากเท่าไร ฝ่ายคนใช้กำลังอย่างฌอนก็ยิ่งแกล้งร่างบางหนักมือขึ้นทุกที  เพราะนอกจากแฝดน้องจะรัดวงแขนให้แน่นขึ้นแล้ว ช่วงขายาวๆข้างหนึ่งก็ก่ายเหนือท่อนล่างของอีกฝ่ายจนอิ๊กแทบจะกระดุกกระดิกตัวหนีไม่ได้อีกต่อไป

“ปล่อย...ฉันบอกให้ปล่อย!” ฝ่ามือทั้งสองข้างของร่างบางยันเข้าที่แผงอกแน่นเพื่อดันให้ตัวเองหลุดพ้นจากกรงเล็บหนุ่มแฝด อีกฝ่ายจึงสละมือข้างหนึ่งมารวบข้อมือทั้งคู่เอาไว้ด้วยกัน แล้วจึงดันแผ่นหลังบางให้โผเข้าหาตัวเอง

“นอนเดี๋ยวนี้... ถ้าไม่นอน อย่าหาว่าผมล่วงเกินคุณก็แล้วกัน”

“บ้าอำนาจ!!” อิ๊กขู่ฟ่อโดยไม่ยอมอ่อนข้อให้... แต่จิตใจที่แท้จริงกลับอ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟคล้ายจะยอมพลีกายให้อีกฝ่ายอยู่รอมร่อ

“จะไม่นอนดีๆใช่ไหม?....ได้!!!”  

ทันทีที่พูดจบ ฌอนก็ประกบริมฝีปากลงบนปากแดงฉ่ำที่หวานล้ำตำตามาตลอดวันทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ต่อต้านเกินกว่าเหตุ
เมื่อการขโมยจูบซึ่งซึ่งหน้าผ่านพ้นไป ผู้เสียหายก็ออกปากทวงถามถึงความยุติธรรมโดยไม่รอรี  


“ไอ้นายขอรับบ้า! เมื่อกี๊ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ!!

“คุณเถียงผมในใจ ผมรู้!” ฌอนแถหน้าด้านๆ  

“นายมันขี้ตู่ชะมัด!!

“ยังจะพูดมากอีกเหรอ?”
 อิ๊กที่อ้าปากด้วยคิดจะเถียง กลับสะบัดหน้าหนีแล้วดิ้นขลุกขลักแล้วพลิกตัวนอนตะแคงอีกด้านเมื่อเห็นใบหน้าคมในความมืดของอีกฝ่ายยื่นเข้าใกล้ในระยะอันตรายอีกครั้ง

กลายเป็นว่า หลังจากการเปลี่ยนท่ารอบนั้น... ร่างสูงใหญ่ของแฝดน้องก็นอนกอดอิ๊กเอาไว้ตลอดทั้งคืน
โดยก่อนที่ทั้งสองจะหลับตา ต่างไม่รู้เลยว่า...ใบหน้าของพวกเขาทั้งคู่ขึ้นสีที่ไม่อาจมองเห็นได้ในความมืดอยู่นานสองนาน




“พี่หมี? พี่หมีเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” ด้วยเห็นว่าร่างสูงข้างๆนอนกระสับกระส่ายอยู่หลายนาที ชายกลางจึงเปลี่ยนท่าเป็นนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาธันวาเพื่อกระซิบถามถึงสาเหตุของอาการอยู่ไม่สุขด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“เค้าคิดถึงเรื่องที่สกลเล่าแล้วเค้าอดกลัวไม่ได้น่ะครับ” เสียงกระซิบตอบอย่างไม่เต็มปากเต็มคำของเก็กพาลทำให้ร่างผอมเข้าใจผิดไปเต็มๆ  

“พี่หมีก็กลัวผีเหมือนกันเหรอครับ?” บ๊วยใจชื้นเมื่อรู้ว่าตนเองไม่ได้กลัวผีอยู่คนเดียว กระนั้น...คำตอบของอดีตเดือนมหาลัยกลับกระชากให้หัวใจของเขาแกว่งไหวด้วยความหวาดหวั่นกับสิ่งที่มองไม่เห็นขึ้นมาตงิดๆ

“เปล่าครับ เค้าแค่เป็นห่วงบูบู้ เพราะเห็นว่าบูบู้นอนติดผนัง เดี๋ยวจะเจอเหตุการณ์เดียวกันกับที่สกลเจอมาน่ะสิ”

“ไม่มีหรอกครับ... นี่บ้านเค้านะ เค้านอนคนเดียวมาตั้งหลายปี ไม่เคยเจอผีสักตัว” บ๊วยรวบรวมความกล้าก่อนจะพูดรับรองอย่างแข็งขัน อันที่จริง...หากคืนนี้เขาไม่ได้นอนในห้องของตัวเอง บ๊วยคงจะกลัวผีมากกว่านี้อีกหลายเท่าตัว

“โธ่! บูบู้ครับ ของแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่จะดีกว่านะครับ...
.
...เกิดผีที่สกลเล่าถึงดันตามสกลมาเที่ยวด้วย แล้วอย่างนี้ คนที่นอนติดข้างฝาจะไม่เจอดีเอาเหรอครับ?”

“ไม่หรอกมั้งครับ” แม้จะเป็นเสียงกระซิบ... แต่ความกลัวกลับทำให้ประโยคปฏิเสธเมื่อครู่ของบ๊วยฟังแผ่วได้อย่างน่าฉงน จนคนฟังแอบยิ้มมุมปากอย่างสมใจ

“ถึงบูบู้จะพูดอย่างนั้น แต่เค้าก็ยังไม่วางใจเสียทีเดียวหรอกนะ” เก็กยังไม่หยุดไซโคคนขี้กลัวให้ยิ่งขดตัวเล็กลงเรื่อยๆ   

“แล้วอย่างนี้พี่หมีจะให้เค้าทำยังไงล่ะครับ?” ชายกลางกระซิบถามด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ... นั่นสิ หากผีตัวนั้นของสกลแอบตามมาเที่ยวด้วย ความซวยไร้เทียมทานของเขาคงจะดึงดูดให้วิญญาณดวงดังกล่าวเข้ามานอนกอดเขาไว้ทั้งคืนแน่ๆ

“บูบู้กระเถิบเข้ามานอนใกล้ๆกับเค้าดีไหมครับ?” ธันวารีบฉวยโอกาสที่เฝ้าบ่มเพาะมาเนิ่นนานเอาไว้แน่น

“ฮื่ออออ ไม่เอาสิครับ เข้ามาใกล้ๆกว่านี้... เข้ามานี่เลยมา” อดีตเดือนมหาลัยจอมมารยาครางในลำคอด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ พลางยืดแขนไปคว้าเอาร่างผอมกระหร่องของลูกชายเจ้าของบ้านเข้ามากอดแนบอก

“พี่หมี!! ปล่อยเถอะครับ เดี๋ยวใครเห็นเข้ามันจะไม่ดีนะ” บ๊วยอ้อนวอนทั้งที่ยังตกใจกับท่านอนล่าสุดของตัวเองไม่หาย ในขณะที่อีกฝ่ายกลับอมยิ้มอย่างชอบใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

“งั้นก็แปลว่าถ้าไม่มีใครเห็น ก็ไม่เป็นไรสินะครับ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อยครับพี่หมี! ชายกลางรีบอธิบายด้วยไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด... ลองเขาไม่ทักท้วง อีกฝ่ายคงจะหาทางล่วงเกินเขาหนักมือกว่านี้แน่ๆ

“ชู่ว์! นอนเถอะนะครับ เสียงดังมากๆเดี๋ยวจะรบกวนคนอื่นเปล่าๆนะครับ” อดีตเดือนมหาลัยแสร้งขู่เสียงดังเพื่อทำให้แฟนตัวจ้อยของตนหวาดผวา... ขาเกรงใจคนอื่นแบบบ๊วย ต้องอาศัยการอ้างคนอื่นเข้าช่วยในบางครั้ง  

กระนั้น...หนุ่มสถาปัตย์ที่กระอักกระอ่วนใจกับท่าทางของเขากับอดีตเดือนมหาลัยในตอนนี้กลับยังไม่ละความพยายาม

“แต่ถ้าคนอื่นเห็นเข้า...มันจะดูไม่เหมาะนะครับ”

“ฮื่มมม... นอนครับบูบู้” ธันวากระซิบดุเสียงเข้มจนร่างผอมจำยอมให้ความร่วมมือในที่สุด

“ก็ได้ครับ”

“ฝันดีนะครับบูบู้”

“ฝันดีครับพี่หมี”


บ๊วยหลับตานอนฟังเสียงหัวใจตัวเองเต้นตึกตักดังสะท้อนก้องไปทั้งอกต่างเสียงเห่กล่อม
สุดท้าย...ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทางและการทำกิจกรรมต่างๆระหว่างวัน
ก็ช่วยให้หนุ่มสถาปัตย์ผล็อยหลับลงได้ในสถานการณ์ที่น่าตื่นเต้นเป็นที่สุดของวัน

ทว่ารอยสัมผัสอบอุ่นที่กดย้ำตรงหน้าผากและพวงแก้มนั่นต่างหาก ที่ทำให้ชายกลางหลับฝันดีไปตลอดทั้งคืน...
ไม่ต่างกับอดีตเดือนมหาลัยที่นอนหลับตาพริ้มแถมยังยิ้มระรื่น เมื่อความลื่นเป็นปลาไหล...ทำให้เขาได้นอนกอดบ๊วยเอาไว้ทั้งคืนโดยไม่รู้สึกคลื่นไส้ หรือโดนน้ำเปรี้ยวไหลย้อนกลับแม้แต่น้อย  





ณ ฟูกอีกฟากหนึ่ง

“ฟูครับ...กลัวเหรอ?” หนุ่มร่างหมีเอ่ยถามร่างบางที่นอนตะแคงหันหลังให้ ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายกระเถิบเข้าประชิดกับคู่แข่งหัวใจต่อหน้าต่อตา
.
.
.
.
.
“...เปล่า...”

นั่นไง! ปากไม่ตรงกับใจอีกแล้ว  
ได้ยินดังนั้น เต๋อก็อดสงสารกังฟูในโหมดอ่อนแอไม่ได้... ชายหนุ่มร่างหมีจึงไม่คิดเซ้าซี้อีกฝ่ายให้มากความ
กระนั้น...สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจ กลับทำให้หนุ่มสถาปัตย์ปีสามไม่อาจวางเฉยได้อย่างที่ตั้งใจ


“ด้วง... กอดหน่อย” ร่างเล็กไม่พูดเปล่า เพราะกังฟูยกแขนข้างที่กีดขวางระหว่างทั้งสองขึ้นแล้วโผเข้าซุกกับหน้าอกของเพื่อนสนิทเหมือนกับแมวที่เข้าหามุมอุ่นๆ หลังจากนั้นไม่นาน...กรกฏก็เข้าสู่ห้วงนิทราได้อย่างง่ายดาย  


ท่ามกลางความมืด... เต๋อมองเห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยของกะเทยปลอมลอยเข้าตา ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะหลับตาลง  
เมื่อได้รับสาสน์ท้า หนุ่มร่างหมีก็กระเถิบเข้าหาแผ่นหลังเล็กๆของกังฟูโดยไม่เว้นช่องไฟ...

เพื่อป้องกันไม่ให้แฟนในอนาคตลุกขึ้นมาโวยวาย  ร่างใหญ่จึงอาศัยความว่องไวและมือเบา
ยกแขนที่เกะกะของด้วงให้พ้นไปจากแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เขาหลงรัก แล้วจึงพาดแขนยาวคร่อมร่างของทั้งสองหนุ่มเอาไว้แทน...ต่อให้เขาต้องกลั้นใจกอดไอ้กะเทยควายเพิ่มขึ้นอีกคน เต๋อก็พร้อมจะทนโดยไม่บ่นสักคำ








“คุณ...ผมร้อนใจเหลือเกิน” โฮลี่ฮิปสเตอร์เอ่ยพลางเดินวนไปมาพร้อมกับสีหน้ากลุ้มอกกลุ้มใจ

“เบ๊บเป็นอะไรครับ? ไม่ชอบตำหนักตากอากาศของบันยันหรืออย่างไร?” เจ้าพ่อไทรทองหายตัวปราดเข้าโอบรอบเอวบางขององค์เทวบุตรอีกองค์แทบจะทันควัน  

“เปล่าครับ... ผมกังวลว่าผมจะไม่สามารถทำให้พรของบ๊วยสำเร็จได้ทันเวลาน่ะสิ...
.
...นี่ก็ปาเข้าไปเดือนครึ่งแล้ว...พวกเรายังล้างพรของเจ้ากังฟูไม่สำเร็จเสียที” เจ้าพ่อห่อไหล่รำพันด้วยน้ำเสียงอัดอั้นตันใจเป็นที่สุด... หรือสถิติอันยอดเยี่ยมของเขาตลอดหลายพันปีให้หลังจะต้องมาสะดุดเพราะภารกิจการอำนวยพรให้กับบ๊วยกันนะ?!

“ถ้าเป็นเรื่องนั้น เบ๊บไม่ต้องเป็นห่วงไปเลยครับ...
.
...เพราะพรุ่งนี้ บันยันจะสร้างสถานการณ์ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในใจของเจ้ากังฟูเอง”  เทวบุตรสุดชิคกล่าวยืนยันด้วยความมั่นใจเกินร้อย

“ยังไงครับ?”

“เอียงหูมาสิครับเบ๊บ เดี๋ยวบันยันจะบอกให้”

“ทำไมต้องเอียงหูด้วยล่ะคุณ? แค่คุณตั้งกระแสจิตเผื่อแผ่ความคิดนั้นมาให้ผม ผมก็รู้เรื่องทั้งหมดไม่ต่างจากคุณแล้วนะ” เจ้าพ่อห่อไหล่อดงุนงงสงกากับคำเชิญชวนสุดพิลึกพิลั่นของอีกฝ่ายไม่ได้... ใจคอเจ้าพ่อไทรทองจะทำตัวแปลกประหลาดไปถึงไหนกัน?

“เอาเถอะครับเบ๊บ เราสองตนจะได้เปิ๊ดสะก๊าดเหมือนอย่างเจ้าพวกมนุษย์ยังไงล่ะครับ” ...เมื่อบุตรแห่งเทพอีกองค์ยังไม่เปลี่ยนความตั้งใจ ความใฝ่รู้ก็เอาชนะได้ซึ่งทุกสิ่ง

“อืม ก็ได้ครับ” เจ้าพ่อห่อไหล่รับปากพลางเอียงหูเข้าไปใกล้กับริมฝีปากของเจ้าพ่อไทรทองที่ยิ้มกว้างรอท่าอยู่นานแล้ว

ซึ่งก่อนที่โฮลี่ฮิปสเตอร์จะรู้ถึงแผนการอันมีลับลมคมในสูงสุดของอีกฝ่าย
เจ้าพ่อไทรทองก็กดปลายจมูกลงหอมแก้มเจ้าพ่อห่อไหล่จนได้กำไรไปหลายต่อหลายครั้ง


“ฮื่อ! คุณไทรทอง!! ทำอะไรของคุณเนี่ย?”

“อ้าว! เมื่อกี๊เบ๊บยังไม่ได้ยินอีกเหรอครับ?” เจ้าพ่อไทรทองถามบุตรแห่งเทพในอ้อมกอดด้วยหน้าตาเหลอหลา

“บ้า! จะให้ผมได้ยินอะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกอะไรผมเลยต่างหาก!! เจ้าพ่อห่อไหล่แย้งได้ไม่เต็มเสียงนักเพราะสายตาหวานหยดของอีกฝ่ายสะกดให้เขาอายม้วนต้วนไปอีกหน

“ยังไม่ได้ยินความรู้สึกของบันยันอีกหรือครับเบ๊บ?” เทวบุตรสุดชิคตัดเข้าบทเกี้ยวพาราสีได้อย่างมีชั้นเชิงเป็นที่สุด  จนอีกฝ่ายหลุดปากบ่นหงุงหงิงอย่างไม่จริงจังนักเพื่อแก้เก้อ  

“คุณนี่เหลือเกินจริงๆนะ!

“หึ หึ หึ... เรื่องของวันพรุ่งนี้... ปล่อยให้บันยันจัดการเถอะครับ...
...รับรองว่าเบ๊บจะต้องพอใจกับผลลัพธ์ของมันแน่ๆ...
.
...ส่วนความรู้สึกของบันยัน... เบ๊บได้ยินหรือยังครับ?...
...หรือจะให้บันยันบอกความรู้สึกให้เบ๊บฟังชัดๆอีกทีนึงเอ่ย?”

“พอแล้ว! แค่เมื่อกี๊ก็ได้ยินชัดแล้ว” เจ้าพ่อห่อไหล่ร้องท้วงเบาๆเมื่อถูกเย้าแหย่ซึ่งซึ่งหน้า   


Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ


“พี่โป่งมาทำอะไรครับ? มารอพ่อเหรอ?” บ๊วยถามไถ่มือขวาของพ่อที่มายืนรอพวกเขาทั้งหมดอยู่ตรงร่มไม้หน้าบ้านในช่วงสายๆก่อนที่ชาวคณะจะออกไปเที่ยวน้ำตกตามแผนการที่คิดกันเอาไว้  

“เปล่าหรอกบ๊วย พ่อเขียวให้พี่มาพาเพื่อนๆบ๊วยไปเที่ยวน้ำตกหลังบ้านน่ะ”

“ไม่ต้องก็ได้ครับพี่โป่ง ผมคนเดียวก็เอาอยู่ครับ” ชายกลางอธิบายแข็งขันด้วยไม่อยากรบกวนเวลางานอันมีค่าของพี่ๆทุกคนในไร่ แม้อีกฝ่ายจะเต็มใจให้ความช่วยเหลือแก่ตัวเขาก็ตาม  

“วันนี้ให้พี่ไปด้วยดีกว่า บ๊วยจะได้ไม่ต้องเหนื่อยนำทาง...
.
...อีกอย่าง... บ๊วยจะได้เดินคุยกับเพื่อนๆแบบไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังยังไงล่ะ” คนสนิทของพ่อเขียวให้เหตุผลที่ผู้เป็นนายแนะนำเอาไว้ล่วงหน้าด้วยรู้ว่าลูกชายของตนคงจะปฏิเสธความหวังดีของโป่งแน่ๆ

“ไม่ลำบากพี่โป่งแน่นะครับ?”

“ก็เออสิ! นานๆจะได้อู้งานที่ไร่เสียที... ใครจะไม่อยากทำกันล่ะ” ...นี่ก็บทพูดที่พ่อเขียวสั่งให้โป่งท่องจำมาเผื่อใช้อีกประโยค เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกชายเลี่ยงความปรารถนาดีในครั้งนี้ไปได้เป็นอันขาด  

“หึ หึ หึ... ครับ ครับ งั้นผมรบกวนพี่โป่งด้วยนะครับ” บ๊วยยกมือไหว้ขอบคุณโป่งจากใจจริง ก่อนจะแนะนำชาวคณะให้รู้จักกับไกด์นำทางกิตติมศักดิ์ของทริปเที่ยวน้ำตกในวันนี้โดยทั่วกัน  “ทุกๆคนครับ... เดี๋ยวพี่โป่ง ผู้ช่วยของพ่อผม จะนำทางพวกเราเดินเข้าไปในน้ำตกนะครับ”

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะรออะไรกันอยู่ล่ะครับ... ไปเที่ยวน้ำตกกันเลยดีกว่า!!” สกลโก่งคอตะโกนด้วยสีหน้าแช่มชื่น จนกังฟูที่ยืนอยู่ข้างๆอดแขวะไม่ได้

“ร่าเริงจริงนะไอ้แว่น”

“จริงๆผมก็ไม่ได้ร่าเริงอะไรนักหรอกครับ ออกจะเหนื่อยเสียด้วยซ้ำ...
.
...ใครจะไปนอนหลับสบายเพราะได้รับการปกป้องคุ้มครองเป็นอย่างดีทั้งซ้ายและขวาเหมือนคนแถวนี้กันล่ะครับ”

“ไหน?! ใคร?...มึงหมายถึงใครกันไอ้แว่น?” กรกฏแสร้งเสมองไปทั่วเพื่อปัดข้อกล่าวหาออกจากตัวเอง ก่อนจะเบนวิถีอาวุธไปยังน้องชายที่ดูน่าสงสัยยิ่งกว่าใครๆในพรรคพวก “ไอ้เก็ก! เมื่อคืนมึงกับไอ้บูบู้ทำอะไรกัน?”

“เก็กกับบูบู้เป็นแฟนกัน จะทำอะไรกันก็ไม่เห็นจะผิดตรงไหนเลยนี่ครับเฮีย” ธันวายืดอกรับอย่างหน้าชื่นตาบาน... ไม่มีวันเสียหรอกที่เขาจะรู้สึกอับอายกับการแสดงความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายให้โลกได้ประจักษ์  

“ยอกย้อนนักนะมึงเนี่ยะ!!” นิ้วสั้นๆของกังฟูชี้ใบหน้าหล่อเหลาของเก็กอย่างเดือดดาล... และความพาลพาโลนี่เองที่ทำให้พี่ชายคนโตจิกหัวตัวช่วยให้กลับเข้าฉากทันที

“น้องอิ๊ก น้องอิ๊กมาเดินใกล้ๆเฮียฟูกับเก็กสิครับ...
.
...อ้าว! น้องอิ๊กไปไหนแล้วล่ะ?”

“ปล่อยอิ๊กเดินนำหน้าไปเถอะครับฟู / น้องอิ๊กอาจจะอยากฟังพี่โป่งเล่าเรื่องสัพเพเหระเกี่ยวกับไร่แม่บัวก็ได้นะฟู” ทั้งเต๋อและด้วงออกความเห็นที่เน้นความปรองดองของสถานการณ์เป็นที่ตั้ง...

เพราะหากอดีตเดือนบริหารโผล่มาพันแข้งพันขากังฟูเข้าอีกคน
ความสับสนอลหม่านคงจะมาเยือนพวกเขาในอีกไม่ช้าเป็นแน่... แต่พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยกลับไม่ฟังเสียงห้ามปรามของใครๆเลยสักนิด


“น้องอิ๊ก... น้องอิ๊กรีบมาเดินตรงนี้เสียดีๆเถอะครับ ก่อนที่เฮียจะทนคิดถึงน้องอิ๊กไม่ไหว” กังฟูตวาดเรียกแฟนเก่าน้องชายด้วยวาจาสุภาพผิดกับความหมายคุกคามที่ซ่อนเอาไว้อย่างแยบยล... ซึ่งต้องอาศัยทักษะความเกลียดชังชั้นสูงของคนฟังอย่างอิ๊กเท่านั้น ถึงจะสามารถถอดรหัสได้อย่างถูกต้อง  

“ครับ ครับ” อิ๊กสะบัดข้อมือออกจากมือใหญ่ของแฝดน้องแล้วรีบเดินมาประกบข้างๆเก็กตามคำสั่ง ซึ่งเมื่ออดีตเดือนบริหารเดินคล้อยหลังหายไป... หัวคิ้วของฌอนก็ขมวดแน่นอย่างห้ามไม่ได้ในแทบจะทันที

“ฟูครับ... ถ้าฟูเหนื่อย ฟูหิว หรือฟูเมื่อย บอกเต๋อนะ เต๋อเตรียมเสบียงมาพร้อมเลยล่ะ” หนุ่มร่างหมีนำเสนอความสะดวกที่ตนพกติดตัวมาในเป้สะพายหลังใบใหญ่หลังจากที่ทั้งหมดตบเท้าเข้าเขตชายป่าที่อยู่ติกกับบ้านของบ๊วยได้ไม่นานนัก

“หึ! ขนมาอย่างกับจะย้ายบ้าน... สงสัยจะไม่เคยเดินป่ามาก่อนเลยล่ะสินะนายน่ะ” ด้วงอดแซะคู่อริไม่ได้  

“มึงอย่าได้บ่นให้กูได้ยินเชียวนะกะเทย... กูไม่มีทางเจียดของที่กูเตรียมมาให้มึงแน่”

“เราห่วงแต่ว่านายจะต้องแบกเป้ไปกลับด้วยความลำบากลำบน เพราะไม่มีคนสนใจของที่นายบ้าหอบฟางขนมาน่ะ” ...เมื่อได้ฟังอีกฝ่ายยื่นคำขาด หนุ่มผมยาวก็ปรามาสเต๋อกับเป้ยังชีพใบใหญ่ด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้เสียเต็มประดา

“พอเถอะครับพี่ๆ เวลาเดินป่า...เขาว่า อย่าทำเสียงดัง เดี๋ยวสัตว์ป่าจะตกใจเอาได้” สกลออกโรงห้ามปรามทั้งหมดด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน

“จะเรียกว่าป่าได้ยังไงกันสกล... แค่เดินหันหลังย้อนไปตามทางอึดใจเดียวก็ถึงบ้านบูบู้แล้วนี่หว่า” เก็กแย้งด้วยไม่รู้สึกถึงความแตกต่างของบริเวณโดยรอบกับพื้นที่ส่วนอื่นๆในไร่สักเท่าไร...หากไม่นับว่าต้นไม้สองข้างทางดูจะใหญ่กว่าต้นไม้ในไร่มากพอสมควร  

“คุณธันวาคงจะยังไม่รู้สินะครับว่าป่าหลังบ้านบ๊วยนี่ติดกับเขาใหญ่... แบบว่าเดินถึงกันน่ะครับ” หนุ่มหน้าแว่นยังพยายามอธิบายให้อดีตเดือนมหาลัยเข้าใจภูมิประเทศตามความเป็นจริง  สุดท้ายแล้ว...กลับกลายเป็นด้วงที่ให้ความสนอกสนใจกับข้อมูลที่เพิ่งได้ยินไปหมาดๆแทนเป้าหมายหลักไปเสียได้

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มีโอกาสเจอช้าง เจอกระทิง เจอกวางบ้างน่ะสิ”

“ก็ไม่เชิงหรอกครับ โดยมากแล้วสัตว์ป่าส่วนมากจะใช้ชีวิตอยู่ตรงใจกลางเขาใหญ่เพราะแถวนี้ไม่มีดินโป่งแถมเสี่ยงกับการเผชิญหน้ากับมนุษย์ร้อยพ่อพันแม่อีกต่างหาก”

เพราะบ๊วยสอดแทรกคำอธิบายที่ได้เนื้อหาสาระกว่าไอ้เด็กแว่นขึ้นมากลางปล้อง
กังฟูเลยต้องกระโดดเข้ามาร่วมวงสนทนาเพื่อฉีกหน้าแฟนใหม่ของน้องชายให้ป่นปี้อย่างไม่มีทางเลือก


“ว้า!  คนอุตส่าห์อยากเห็นเสือ สิงห์ กระทิง แรด  โธ่! กูนึกว่าบ้านมึงจะหรูหรากว่านี้ซะอีกนะไอ้บูบู้”

“ชู่ว์!! คุณกรกฏครับ เขาว่าเข้าป่าอย่าพูดถึงเสือนะครับ” สกลร้องห้ามพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยทันทีที่ได้ยินคำต้องห้ามตามความเชื่อของคนโบราณ แต่ใครเล่าจะทัดทานความก๋ากั่นของกรกฏผู้นี้ได้

“กูจะพูด ใครจะทำไม? มึงก็เพิ่งได้ยินไปแหม่บๆไม่ใช่เหรอว่าบ้านไอ้บูบู้มันกันดารสัตว์ป่าจะตาย...
.
...อีกอย่าง กูแน่ใจว่าเขาใหญ่แม่งไม่มีเสือหรอก ถ้าเป็นห้วยขาแข้งก็ว่าไปอย่าง” กังฟูเถียงเสียงดังด้วยไม่ต้องการฟังคำโต้แย้งจากใคร

หารู้ไม่ว่า...วาจาที่เปล่งด้วยความคึกคะนอง จะคืนสนองแก่ตนเองแบบทันตาจนน่ากลัว
เพราะยังไม่ทันที่ประโยคของกังฟูจะลอยหายไปกับสายลม ร่างองอาจของสัตว์กินเนื้อสายพันธุ์เดียวกับแมว ซึ่งตามลำตัวถูกประดับด้วยลายทางสีเหลืองอมส้มสลับดำก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ข้างทางแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย


เฮ่ย!! เสือ!!!... สิ้นเสียงกรีดร้องอย่างพร้อมเพรียง ชาวคณะก็วิ่งหนีตายกันไปคนละทิศละทางอย่างไม่มีสติ





“เล่นอย่างนี้เลยเหรอคุณ?” เจ้าพ่อห่อไหล่ที่ลอยอยู่เหนือแมกไม้ส่ายหัวให้กับแผนการสุดล้ำลึกของเทวบุตรสุดชิคที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆไปต่อหน้าต่อตา

“เบ๊บก็รู้ไม่ใช่เหรอครับว่า พวกมนุษย์น่ะ...จะรู้ซึ้งถึงหัวใจตัวเอง ก็ต่อเมื่อพวกเขาประสบกับเหตุการณ์คับขัน หรือเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายร่วมกันมาก่อน”

“แต่ผมอดเป็นห่วงพวกเด็กๆไม่ได้นะครับไทรทอง” โฮลี่ฮิปสเตอร์เอ่ยด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“ใครบอกเบ๊บล่ะครับว่า บันยันจะปล่อยให้เจ้าพวกนั้นผจญภัยในผืนพนากันตามมีตามเกิด...
...บันยันแค่จะเสกให้เจ้าพวกนั้นเข้าใจผิดไปว่า กำลังหลงทางในป่าลึก  ทั้งที่เดินวนกันอยู่ตรงสวนหลังบ้านของเจ้าบ๊วยเองนั่นแหละ...
.
.
...อีกอย่าง หากเกิดเรื่องจวนตัวขึ้นจริงๆ...
...ท่านเจ้าป่าเจ้าเขา เหล่านางไม้ และรุกขเทวดาทั้งหลายน่ะพร้อมให้ความช่วยเหลือเจ้าพวกนั้นตามความประสงค์ของเราทั้งสองตนอยู่แล้วล่ะครับ” เจ้าพ่อไทรทองเฉลยแผนสำรองพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะพาเจ้าพ่อห่อไหล่หายตัววับไป โดยไม่ลืมโฆษณาถึงสรรพคุณของตำหนักชั่วคราวที่เขาเพิ่งเสกขึ้นเมื่อเช้าเพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับเฝ้าดูเหล่าสมุนเลวแบบสดๆอย่างใกล้ชิด




Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ



สกลรีพอร์ท:


“สวัสดีครับท่านผู้ชมทางบ้าน วันนี้สกลรีพอร์ทออกปฏิบัติหน้าที่ ณ บ้านพักเขาใหญ่ของเพื่อนบูบู้ ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ของวันที่สองประจำทริปปิดเทอมย่อยแห่งชาวคณะหนุ่มๆสุดคูลกันเลยทีเดียว...
...สาเหตุที่ผมเสียสละตื่นเช้าผิดไปจากทุกที ในขณะที่ทุกคนยังนอนหลับฝันหวานกันอยู่นั้นเป็นเพราะ...
.
.
.
...ผมนอนไม่หลับครับท่านผู้ชม”


หลังจากจับภาพห้องนอนของบ๊วยครบทุกซอกทุกมุม
กล้องมือถือหลายล้านพิกเซลของสกลก็แพนไปจับภาพเก็กที่นอนกอดบ๊วยเอาไว้แน่น ก่อนจะซูมใบหน้าหล่อเหลาที่นอนเอานอนเอาแบบเต็มๆ


“บุคคลที่ท่านผู้ชมกำลังจับจ้องอยู่นั่นแหละครับ คือ ต้นเหตุของอาการนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนของผม...
...ใช่ครับ... อดีตเดือนมหาลัยนิคเนม ท.ก. ผู้นั้นแหละครับที่เป็นสาเหตุแห่งความอิดโรย และริ้วรอยรอบดวงตาของผม...
.
...ฟังมาถึงตรงนี้ ท่านผู้ชมคงกำลังเข้าใจว่า ผมกำลังใส่ร้ายป้ายสีท.ก.ด้วยความริษยาใช่ไหมล่ะครับ...
...แต่อย่าได้เป็นห่วงไปครับว่าเรื่องนี้จะเป็นการเต้าข่าวอย่างที่สื่อสำนักอื่นชอบทำกัน... 
...อดใจรอกันสักครู่นะครับ ผมมั่นใจว่า หลักฐานที่จะยืนยันความบริสุทธิ์ของผมจะปรากฏสู่สายตาของท่านผู้ชมในอีกไม่ช้าแน่ๆ...
.
.
...แต่ตอนนี้ ผมว่าเราเปลี่ยนมาสำรวจชาวคณะหนุ่มสุดคูลคนอื่นๆในสภาวะหน้าสดหมดสภาพกันดีกว่าครับ”  กล้องเลื่อนไปจับภาพอีกด้านของกองกระเป๋าที่อยู่เหนือหัวเก็กขึ้นไปก่อนจะซูมกลุ่มก้อนที่พันกันยุ่งยิ่งกว่าหูฟังของสามหนุ่มรุ่นพี่


“อู้หู!! ถ้าไม่เห็นด้วยสองตาของตัวเอง ผมคงไม่มีทางเชื่อว่า พี่ต.ฉายาโอปป้ากรังนำสไตล์แห่งสถาปัตย์ จะนอนกอดกับคุณพี่ด.หนุ่มผมยาวหน้าสวยจากคณะคู่อริ... แต่เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อนนะครับ ขอผมแก้ไขข้อมูลสักนิด” กล้องซูมเข้าไปยังพื้นที่ว่างตรงกลางระหว่างร่างของเต๋อกับด้วง

“ว้าว ว้าว ว้าว ว้าว! จริงๆแล้วพี่ต.กับคุณพี่ด.ไม่ได้นอนกอดกันอย่างที่ผมเข้าใจหรอกครับ...
...เพราะคุณพี่ด.กำลังกอดคุณก. ซึ่งเป็นพี่ชายเพียงคนเดียวของอดีตเดือนมหาลัยนิคเนม ท.ก.อยู่ต่างหาก...
...ส่วนพี่ต.  ผมว่าน่าจะกอดคุณก.ต่อจากคุณพี่ด.อีกที...
...ทำไปทำมา ทั้งสามเลยนอนกอดกันกลมดิ๊กโดยมีคุณก.นอนเป็นไส้อยู่ตรงกลางไปเสียอย่างนั้น...
.
.
...ฮู๊ยยย! ยุ่งเหยิงนุงนังมากครับสามคนนี้  เอาไว้ผมได้ความคืบหน้าเกี่ยวกับรุ่นพี่ทั้งสามเมื่อไร ผมจะทำสกู๊ปอัพเดทความคืบหน้าให้ท่านผู้ชมได้ติดตามกันอีกทีนะครับ”  มุมกล้องเปลี่ยนเป็นแพนไปทั่วห้องอีกครั้ง แต่อยู่ๆเลนส์ก็ถูกรั้งให้ย้อนกลับมาจับก้อนใหญ่ๆตรงมุมอีกด้านถัดจากแผ่นหลังของเต๋อไปไม่ไกลนัก  

“อุ๊ต๊ะ! ดูสิครับ นั่นคือภาพหายากของแท้!!...
...ใครเลยจะคิดว่า แฝดน้องผู้มากบารมีแห่งสถาปัตย์จะนอนกอดกับอดีตเดือนบริหารนิคเนม อ.ได้ล่ะครับนั่น?!...
.
...บร๊ะ บร๊ะ บร๊ะ!! มันจะต้องมีอะไรในกอไผ่แน่เชียวครับท่านผู้โชมมมมม!!...
...ลำพังขานั่งรถมายังบ้านไร่เช้าเมื่อวาน แฝดน้องผู้มากบารมีก็แทบจะจิกตีอีกฝ่ายจนล้มตายด้วยคำพูดคำจาประหนึ่งโศรยาโดนนายหัวหฤษณ์แดกดัน”

“สกล... พี่ฌานรำคาญ ถ้าจะเวิ่น...เดินไปเวิ่นในห้องน้ำจะได้ไหม?”

“ชะอุ๊ย! ท่านผู้ชมครับ เห็นทีว่าการรายงานสภาพภายในห้องนอนของชาวคณะหนุ่มๆสุดคูลในเช้าวันนี้คงต้องลาไปก่อน...
...เจอกันครั้งหน้ากับสกู๊ปเด็ดแห่งสกลรีพอร์ทได้เมื่อโลกนี้มีประเด็นให้เล็งเห็นและติดตามครับ”


กล้องแพนออกเพื่อเก็บภาพเก็กที่นอนกอดบ๊วยด้วยหน้าตาเปี่ยมสุขแบบเต็มตัว
ก่อนจะตบท้ายด้วยเสียงตดระรัวเหมือนปืนกลยิงสลุต