Wednesday, November 30, 2016

ถ้าต้อยได้ ชายจะเป็นอมตะ ||#03|| 30.11.2016




<|No.03|>
การจะเปย์ให้เท่เหนือใคร ต้องหัดดูทางหนีทีไล่ให้เป็น


 ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

“ชายคิดถึงพี่ผึ้งจัง เมื่อวานพี่ผึ้งติดงานเหรอครับถึงไม่มาเรียน?”

ปาณัธตอบแทนคำทักทายอย่างเริงร่าเป็นควายคลุกปลักของเพื่อนรักหน้าเข่าด้วยการเหยียดมุมปากคว่ำพลางทำหน้าเซ็งใส่ “เหอะ! พอดีเมื่อวานซืนผู้ช่วยพ่อครัวมันลากะทันหันที่ร้านเลยวุ่นกันฉิบหาย ตื่นอีกทีก็บ่ายสามเข้าไปแล้ว พี่เลยไปทำงานต่อแม่ง”

หญิงสาวคนเดียวของกลุ่มโยนกระเป๋าเป้ลงกลางวงก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งพลางหันไปรีดไถต้นฉบับการบ้านจากพิชญ์ที่นั่งอยู่อีกฟากฝั่งโต๊ะม้าหิน “พิชญ์ เอางานเมื่อวานมาลอกหน่อยดิ๊” พูดจบ เจ้าหล่อนก็กระดิกนิ้วรัว ๆ พลางลอยหน้าลอยตามองข่มอีกฝ่ายอย่างผาดผยอง จนพยานผู้ร่วมรู้เห็นเหตุการณ์อย่างชายอดสงสัยไม่ได้ว่า ปาณัธจะซิ่วกลับเข้ามาเรียนให้ลำบากทำไม ในเมื่อหล่อนไม่เคยทำงานส่งอาจารย์ด้วยตัวเองเลยสักครั้ง

“อ่ะพี่ผึ้ง แล้วก็นี่ เลคเชอร์เมื่อวาน ผมซีร็อกซ์ให้แล้ว”

“ขอให้เจริญ ๆ เถอะนะพ่อคู๊ณ!” ทันทีที่ได้ในสิ่งที่ต้องการพร้อมของแถม ผึ้งก็แสร้งชูมือขึ้นพนมเหนือหัวแบบพอเป็นพิธี  กระนั้นแทนที่หล่อนจะถีบหัวส่งเพื่อนรุ่นน้องซึ่งเด็กกว่าตัวเองถึงสองปีตามเคย ปาณัธกลับซักไซ้สหายร่างควายถึงการทำตัวสร้างกระแสไปเมื่อวาน “อ้าว! วันนี้ไม่แต่งตัวเข้ากับหน้าตาแล้วเหรอชาย?”

“พี่ผึ้งพูดอะไรอ่ะครับ ชายไม่เข้าใจ” ชายชาตรีเอียงหัวน้อย ๆ พลางจ้องหน้าปาณัธตาปริบ ๆ ฝ่ายคู่สนทนาที่เอาแต่ก้มหน้าลอกการบ้านอย่างขมักเขม้นกลับไม่เฉลยความหากแต่ส่งเสียงเข้มถามตัวการซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวในบัดดล

“พิชญ์ไม่ได้แท็กชายมันเหรอ?”

“ไม่อ่ะพี่ผึ้ง ขืนผมแท็กดิ มันคงได้ตื๊อให้ผมลบรูปทั้งวันแน่ ๆ ” หนุ่มบริหารรูปร่างสันทัดส่ายหัวดิกขณะตอบอย่างไม่ยี่หระ “ปล่อยไว้แบบนี้ดีกว่าว่ะพี่ คนกดไลค์โคตรเยอะอ่ะ”

“สองร้อยกว่าอ่ะนะ?” ปาณัธอ้างถึงความนิยมของโพสต์เจ้าปัญหาเท่าที่หล่อนเห็นผ่านตาไปเมื่อวาน ซึ่งแม้นั่นจะถือเป็นปฏิกิริยาตอบสนองเพียงหยิบมือหากเทียบกับคนดังคนอื่น ๆ ในรุ่น แต่เชื่อเถอะว่า ไม่บ่อยหรอกที่คนแปลกหน้าจะให้การต้อนรับหัวเข่าดำด้านในชุดนักศึกษาอย่างอบอุ่นเช่นคราวนี้

ทว่าในความเป็นจริง ปาณัธกลับประเมินศักยภาพของชายชาตรีต่ำไปถนัดใจ...

“เมื่อกี๊นี้ถึงพันห้าแล้วพี่ผึ้ง” พิชญ์ยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจคล้ายภูมิอกภูมิใจในความชั่วร้ายของตัวเองเสียเต็มประดา

“โอ้โห! ฮ็อตใช่เล่นนะชาย” ปาณัธชื่นชมเพื่อนรักอย่างจริงใจก่อนจะด่าตบท้ายด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่แพ้กัน “แล้วทำไมป่านนี้ถึงยังขายไม่ออกอยู่อีกวะ?”

“ใครฮ็อตเหรอครับพี่ผึ้ง? ชายงง” จนแล้วจนรอดชายชาตรีก็ยังไม่ได้ฟังคำตอบ เพราะอยู่ ๆ พิชญ์ก็ดึงดูดความสนใจของปาณัธไปหมดสิ้น

“พูดแบบนี้แสดงว่าพี่ผึ้งยังไม่ได้อ่านคอมเมนท์เลยอ่ะดิ”

“ไม่อ่ะ เสียเวลาทำมาหากิน” แค่หล่อนยอมเสียสายตาเปิดเข้าไปดูรูปที่พิชญ์แท็กมาสด ๆ ร้อน ๆ ช่วงเย็นวาน นั่นก็สยองขวัญสั่นประสาทมากพอแล้ว

“โหย! พี่แม่งพลาดแล้ว!”  

“นี่ทุกคนกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่อ่ะครับ บอกชายด้วยสิ ชายไม่อยากตกข่าว” สายเปย์เริ่มร้องท้วงเมื่อเพื่อนทั้งสองจงใจละเลยศูนย์รวมน้ำใจและน้ำเงินของกลุ่มอย่างเขา

“หึ! ไม่ทันแล้วมั้งมึง” พิชญ์หัวเราะในลำคออย่างสาแก่ใจค่าที่เช้านี้เขาทำให้ควายงงได้หลายครั้งติด ๆ กัน

“อะไรอ่ะพิชญ์ พิชญ์พูดอะไร?!

“ไม่บอก!” พิชญ์แลบลิ้นปลิ้นตาใส่เพื่อนด้วยจริตไจแอนท์ผิดกับขนาดตัว ฝั่งโนบิตะก็นั่งห่อตัวพลางทำหน้าหงิกพร้อมกับเริ่มเบะ

“พิชญ์บอกชายมาเดี๋ยวนี้นะ!” หากมองข้ามรูปร่างกำยำกับหน้าตาสุดอำมหิตไป ชายชาตรีก็แทบไม่ต่างอะไรกับลูกแมววัยแบเบาะไร้เขี้ยวเล็บ จึงไม่แปลก หากคำสั่งทั้งหลายที่หลุดออกจากปากสายเปย์จะฟังคล้ายเสียงร้องโยเยของเด็กเล็ก ๆ ในความรู้สึกของพิชญ์และผึ้ง

“ฮื่อพิชญ์ อย่าไปแกล้งชายมันดิวะ ลำพังหน้าตาปกติก็รับมือยากจะตาย อยากเห็นชายมันร้องไห้นักหรือไง?”

“โห่! พี่ผึ้ง... งี้ผมก็ต้องลบแล้วดิ” พิชญ์บ่นกระปอดกระแปดด้วยความเสียดาย ทว่านั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่จะใช้ต่อรองกับปาณัธในภาวะงุ่นง่านหลังการก็อปปี้ - เพสต์งานส่งอาจารย์ถูกรบกวนเลยสักนิด

“แล้วมันยังไง?” การที่ผึ้งยอมละสายตาจากชีทงานขึ้นปรายหางตามองกดดันพิชญ์อยู่ครู่ใหญ่ ๆ ทำให้ชายหนุ่มทั้งโต๊ะรู้สึกตะครั่นตะครอจนออกอาการหงอกันถ้วนหน้า “เร็ว ๆ ! เอามือถือให้มันดู อย่าลีลา”

สำหรับพิชญ์แล้ว การสปอยล์ชายชาตรีอย่างไม่มีเหตุผลเป็นผลพวงของการตามใจอีกฝ่ายมาเนิ่นนานจนพาลเสียนิสัยกันทั้งสองฝ่าย แต่กับปาณัธแล้วไซร้ ชายหนุ่มกลับมองว่ามันใกล้เคียงกับการรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีเสียมากกว่า... ก็ไอ้ที่น่ากลัวกว่าผีและหมา คือ หญิงสาวผู้แกร่งกล้าคนนี้นี่แหละ

“ก็ได้พี่” พิชญ์รับคำอย่างว่าง่ายพร้อมกับยื่นมือถือของตัวเองให้ชายชาตรีดูรูปถ่ายในหน้าฟีดของตัวเอง

บุคคลในภาพนั้น คือ ชายชาตรีที่ถูกแอบถ่ายทีเผลอจากด้านหลังขณะนั่งทอดอารมณ์ในอิริยาบทสบาย ๆ ทว่าสิ่งที่ทำให้สายเปย์ดูแปลกตาไปกว่าทุกวัน คือ ชุดนักศึกษาชายที่เก่าซอมซ่อ อีกทั้งยังหลวมเทอะทะผิดกับลุคปกติของเจ้าตัวแบบลิบลับ เพราะชายชาตรีที่ใครต่อใครต่างเห็นกันเจนตานั้นจะต้องมาพร้อมกับเครื่องประดับแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า เข้าชุดกับเสื้อและกางเกงที่คับติ้วแนบเนื้อเสียจนกระดุมหรือซิปแทบเอาไม่อยู่

“โอ๊ะ! นั่นรูปชายหนิ!” คนถูกแอบถ่ายป้องปากร้องอุทานอย่างตื่นตะลึง “เดี๋ยวนี้พิชญ์แอบถ่ายรูปชายตอนเผลอแล้วเอาลงหน้าเฟซด้วยเหรอ? พิชญ์นี่น่ารักสุด ๆ ไปเล...” อาการกระเหี้ยนกระหือรือราวกระบือได้น้ำของชายชาตรีสิ้นสุดลงทันทีที่เจ้าตัวได้อ่านข้อความที่คนแปลกหน้าพากันวิพากษ์วิจารณ์รูปกายภายนอกของเขากันอย่างสนุกสนาน “ทำไมอ่ะพิชญ์ ชายแต่งตัวแบบนี้ดูไม่เหมาะกับชายเหรอ?”

“แล้วถ้ากูบอกว่าไม่ มึงจะยอมเปลี่ยนตัวเองไหมล่ะ?” สีหน้าโศกสลดหมดอาลัยตายอยากของเพื่อนรักสุดป๋าทำให้พิชญ์ลบรูปเจ้าปัญหาทิ้งทันที... ที่ยอมลบน่ะไม่ใช่เพราะสงสารอีกฝ่ายหรอกนะ แต่เพราะแก้แค้นจนพอใจแล้วต่างหาก ลองว่าไอ้เด็กการ์ต้าร์นั่นทำอะไรชั่ว ๆ กับเขาสิ พ่อจะจองเวรไอ้ชายชาตรีจนไม่เหลือที่ยืนในสังคมเลยคอยดู!

“ไม่อ่ะ ชายว่าแต่งแบบนี้แล้วชายดูดีออก” แม้จะยังเสียเซลฟ์อยู่มาก ทว่าหนุ่มบริหารสายเปย์กลับมิได้คลางแคลงใจกับเสื้อผ้าหน้าผมและรสนิยมอันดีเลิศของตัวเองเลยสักนิด

“ก็นั่นไง แล้วมึงจะสนคนอื่นทำไมวะ?”

“แต่ชา...”

“ฮื่อชาย ฟังพี่นะ” เมื่อใดก็ตามที่ปาณัธเอ่ยปากห้าม ความสงบนิ่งไม่ไหวติงย่อมมาเยี่ยมเยือนทุกหย่อมหญ้าอย่างน่าอัศจรรย์ “กับพวกขี้อิจฉาน่ะ อย่าไปให้ราคาพวกมันเยอะนักเลย ลองให้พวกมันรวยเท่าชายสิ ขี้คร้านมันคงแต่งออกมาดูดีกว่าชายกันทุกคนนั่นแหละ”

“พี่ผึ้งอ้ะ! ชายไม่รักพี่ผึ้งแล้ว พี่ผึ้งปากร้าย!”  

“เออ ๆ ! จะไปรักใครที่ไหนก็ไปไป๊ พี่จะได้ลอกการบ้านสงบ ๆ สักที”

ครั้นสำเหนียกได้ว่า การดีดดิ้นกรีดร้อง รังแต่จะทำปาณัธมองแรงใส่ ชายชาตรีจึงทำหน้ายู่ทิ้งท้ายก่อนจะเบี่ยงความสนใจกลับไปที่รัก ๆ ใคร่ ๆ และการมัดใจว่าที่เหนือชายให้อยู่หมัดโดยไม่รอช้า “พิชญ์ กลางวันนี้ไปกินข้าวกับน้องเดียวกันนะ”

“ไม่!” คนถูกชวนปฏิเสธทันควันด้วยสีหน้าหงุดหงิดติดลมบนจนตัวเขายังอดตกใจตัวเองไม่ได้... อะไรวะ?! แค่ชื่อของไอ้เด็กนั่นยังทำให้เขาคลุ้มคลั่งได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?!

“ทำไมอ่ะพิชญ์? ไปด้วยกันดิ นะ นะ ไปด้วยกันเถอะ เมื่อวานน้องเดียวก็ไม่มา ชายอยากเห็นหน้าน้องเดียวใกล้ ๆ ชายคิดถึงน้องเดียวอ่ะ”

“ไม่! หัวเด็ดตีนขาดยังไงกูก็ไม่ไป!

“อ้าว! ไหนพิชญ์บอกว่าจะช่วยชายจีบน้องเดียวไง?” ชายชาตรีผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ใด ๆ ตังป้อมเร้าหรือเพื่อนสนิทไปเรื่อยเปื่อยเหมือนทุกที ทว่าจนแล้วจนรอด ก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนใจพิชญ์ได้เลย

“คราวนี้กูขอใช้สิทธิข้ามหนึ่งตา! เอาเป็นว่ากูจะช่วยมึงจีบว่าที่ผัวคนต่อไปแล้วกัน!” พิชญ์ลั่นวาจาพลางนึกสาปส่งเด็กปีหนึ่งต่างคณะในใจ

“ไม่เอา! น้องเดียวจะต้องเป็นเหนือชายคนแรก คนเดียว และคนสุดท้ายเท่านั้น!

“งั้นมึงก็หาทางเอาเองแล้วกัน คนนี้กูไม่ยุ่งด้วย!” สิ้นคำ หนุ่มบริหารรูปร่างสันทัดก็ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวพิชญ์ คุยกันให้รู้เรื่องก่อน”

“ไม่!” พิชญ์ร้องห้ามเมื่อเห็นสายเปย์ตั้งท่าจะลุกด้วยอีกคน “มึงไม่ต้องตามมาด้วย กูจะไปขี้!” ทันทีที่โป้ปดใส่สหายวัยเด็กเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มก็กำชับปาณัธเป็นรายถัดไป  “พี่ผึ้ง ผมขึ้นก่อนนะ พี่อย่าลืมเอาชีทไปคืนผมด้วยล่ะ”

“เออ ๆ เดี๋ยวพี่ตามขึ้นไป” หญิงสาวโบกมือไล่เจ้าของต้นฉบับการบ้านอย่างไม่ไยดีด้วยยังมีอีกตั้งหนึ่งหน้าแน่ะที่หล่อนจะต้องรีบปั่น ฝ่ายชายชาตรีก็เหลือบมองเพื่อนทั้งสองสลับกันเพราะไม่รู้จะพูดอะไรหลังจากโดนเพื่อนรักโกหกใส่ในระยะเผาขนไปหมาด ๆ  

$$$$$$$$


พิชญ์

พิชญ์
12.15 AM
น้องเดียวไปหาหมออีกแล้ว
12.15 AM
น้องเดียวเป็นอะไรก็ไม่รู้
ขาดเรียนสองวันติดแล้วนะ
12.16 AM
ชายเป็นห่วงน้องเดียวจัง
12.16 AM




“อ้าวพี่! มานั่งทำไรตรงนี้ครับ?”

“เฮ่ย?!” ประโยคทักทายที่ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลทำให้คนที่กำลังตั้งอกตั้งใจพิมพ์ข้อความสะดุ้งจนแทบตกเก้าอี้ “อ้าวยิม! เพิ่งลงมาเหรอ?”

“ครับ เมื่อกี๊ผมคุยกับอาจารย์อยู่” พอเห็นรุ่นพี่ต่างคณะมานั่งจ๋องอยู่ตรงใต้ตึกเรียนของตัวเอง ยิมก็อดถามขึ้นไม่ได้ “แล้วนี่พี่ไม่เจอไอ้เดียวเหรอ?”

คนถูกถามส่ายหัวพลางอธิบายด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “พวกเพื่อน ๆ ยิมบอกพี่ชายว่าน้องเดียวไปหาหมอน่ะ”

“หืม?! หาหมอ?”

“ใช่ พวกนั้นบอกพี่เมื่อกี๊เองว่าน้องเดียวลาไปหาหมอตอนบ่าย”

คำยืนยันอย่างหนักแน่นของชายชาตรีทำให้เด็กหนุ่มนึกได้ว่า หลังจากหายหัวไปหนึ่งวันเต็ม ๆ  ไอ้เดียวในสภาพหัวปูดเป็นลูกมะนาวก็ออกคำสั่งให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มทุกคนใช้เหตุผลดังกล่าวอธิบายกับรุ่นพี่หน้าเข่า ในขณะที่มันจะหายตัวเข้ากลีบเมฆทุก ๆ ช่วงพักเบรกจนกว่าคู่กรณีจะตัดใจไปเอง

“เฮ่อ!” เด็กหนุ่มหน้าหนวดถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายด้วยไม่รู้จะวางตัวอย่างไร ครั้นจะเข้าข้างรุ่นพี่เขาก็คงไม่เป็นผลดีกับเพื่อน ทว่าการช่วยไอ้เดียวโกหกปลิ้นปล้อน ยิมก็ไม่เห็นด้วยเท่าไร

“แล้วนี่พี่กินอะไรหรือยัง?” อาจเป็นเพราะไม่รู้จะปลอบใจอีกฝ่ายอย่างไร ยิมเลยอาศัยเรื่องปากท้องมาต่อบทสนทนากับชายชาตรีเสียเลย

“ตอนแรกพี่ก็ว่าจะมาชวนน้องเดียวไปกินข้าวนี่แหละ แต่พอรู้ว่าน้องเดียวไม่สบาย พี่ชายก็ไม่อยากกินอะไรอีกเลย”

“ได้ไงพี่ ถึงเวลากินก็ต้องกิน เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะตายกันพอดี ไปพี่ ไปกินข้าวกัน!” รุ่นพี่ต่างคณะในสภาพตายซากทำเอายิมรู้สึกผิดจนจุกไปทั้งลิ้นปี่ เฟรชชี่หน้าหนวดจึงอยากทำความดีชดเชยให้กับชายชาตรีแทนเพื่อนสนิทตัวเอง

“ยิมไปเถอะ ตอนนี้พี่คงกินอะไรไม่ลงหรอก”

“เอาน่าพี่ เดี๋ยวผมเลี้ยงข้าวพี่เอง!” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวอาศัยขนาดร่างกายที่ใหญ่กว่า เหนี่ยวคอรุ่นพี่มาแล้วตั้งท่าออกเดิน กระนั้นชายชาตรีกลับขืนตัวพลางบอกปัดอย่างสุภาพ

“ไม่เป็นไรยิม ไม่ต้องห่วงพี่ชายหรอก พี่ชายดูแลตัวเองได้”

“โหพี่! พี่กล้าปฏิเสธผมได้ไง ผมไม่เคยเลี้ยงใครมาก่อนเลยนะ” คราวนี้ยิมไม่รอให้รุ่นพี่บริหารได้ทันปฏิเสธ เพราะทันทีที่พูดจบ เด็กหนุ่มก็เดินนำอีกฝ่ายโดยพลัน คนที่โดนกอดคอจึงต้องสาวเท้าตามกันไปโดยมีเสียงปลอบใจของเจ้ามือจำเป็นดังคลอ “ไปน่าพี่ มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง พี่ไม่ต้องเกรงใจ”




“เดี๋ยวยิม! นี่ยิมจะพาพี่เดินไปไหน?” ชายชาตรีเริ่มตกประหม่าเพราะทางที่อีกฝ่ายพาเดินมานั้นห่างไกลจากฝูงเด็กวิศวะทั้งหลายเข้าไปทุกที... ที่นี่ที่ไหน? มีมุมอับแบบนี้ในมหาลัยเราด้วยเหรอ?! กระนั้น ท่าทางสบาย ๆ ของเด็กปีหนึ่งก็ทำให้รุ่นพี่คลายใจลงได้บ้าง

“ก็ไปเลี้ยงข้าวดิพี่ แต่ผมบอกก่อนนะว่าผมมีตังค์ไม่เยอะ ผมเลยจะพาพี่ไปกินที่ ๆ มันถูกหน่อย แต่รับรอง กับข้าวร้านนี้อร่อยสุด ๆ ”

“ร้านไหนอ่ะ ไม่ใช่ที่คาเฟ่วิศวะเหรอ?”

“ร้านนี้ถูกกว่าที่โรงอาหารอีกพี่ เชื่อผม พี่ต้องชอบ”

ถ้อยคำรับรองของคนเกิดทีหลังชักไม่อาจทำให้ชายชาตรีเชื่อมั่นได้อีกต่อไป ยิ่งเมื่อเด็กหนุ่มพาเขาเดินผ่านประตูเล็ก ๆ ด้านหลังคณะวิศวะแล้วพาข้ามคลองระบายน้ำเสียกลิ่นเหม็นคละคลุ้งมุ่งหน้าไปยังสิ่งก่อสร้างข้างหน้าด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ใช่... ไม่มีทางที่เพิงหมาแหงนโดดเดี่ยวข้าง ๆ สายน้ำครำจะทำอาหารที่สะอาดและถูกสุขลักษณะไปได้ ชายไม่เชื่อ!

“ร้านนั้นน่ะเหรอ?” สายเปย์ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

“ครับพี่”

“ไม่เอาอ่ะ พี่ชายกินไม่ได้หรอก” ทันทีที่รู้ว่าใช่ ชายชาตรีก็ส่ายหัวรัว ๆ ด้วยความหวาดกลัวระดับสิบ... คุณหญิงแม่บอกว่าชายธาตุอ่อน ชายเลยต้องกินอาหารตามห้างร้านหรือสถานที่ ๆ ดูสะอาดสะอ้านเท่านั้น จะมองมุมไหนร้านนั้นก็ไม่ใช่ มันไม่ใกล้เคียงมาตรฐานของชายเลยสักนิด!!

“ทำไมจะกินไม่ได้ล่ะพี่ ผมยังกินได้เลย”

“หึ! ไม่ได้ ยังไงพี่ชายก็กินไม่ได้”

ท่าทางดื้อแพ่งเหตุผลยังฟังไม่ขึ้นของรุ่นพี่ทำเอาเฟรชชี่เกาหัวอย่างหงุดหงิด “กินไม่ได้ยังไงวะพี่ ก็แค่พี่เอาเข้าปาก เคี้ยว ๆ แล้วกลืนลงคอ”

“พี่ชายบอกว่ากินไม่ได้ก็คือกินไม่ได้สิยิม พี่ชายไม่ล้อเล่นเรื่องกินหรอกนะ” ชายชาตรีตัดบทเฉียบขาดก่อนจะสวมบทบาทที่ตนถนัดอีกครั้ง “เอางี้ เดี๋ยวมื้อนี้พี่ชายเลี้ยงเอง แต่ขอเปลี่ยนเป็นให้พี่ชายเลือกร้านแทนแล้วกันนะ”




“โหพี่! ร้านนี้เลยเหรอ?” ยิมร้องออกมาทันทีเมื่อรู้ว่าร้านที่รุ่นที่พาเขามาคือร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ชื่อดังซึ่งมีราคาต่อหัวแพงระยับ แต่ชายชาตรีกลับมัวแต่สนใจเมนูพิเศษประจำวันตรงป้ายหน้าร้านโดยหาได้แคร์อาการตื่นตระหนกของเด็กหน้าหนวดไม่

“ก็ใช่น่ะสิ กินได้ทุกอย่างใช่ไหม ยิมไม่แพ้อะไรนะ?”

เด็กวิศวะปีหนึ่งพยักหน้าพลางรับคำแบบแบ่งรับแบ่งสู้ “แต่มันแพงนะพี่”

“ไม่หรอก นี่ร้านประจำของที่บ้านพี่ชายเอง อร่อยดี พี่ว่ายิมต้องชอบ ไป! เข้าไปข้างในกันเถอะ” ชายชาตรีว่าพลางพยักหน้าให้พนักงานต้อนรับเดินนำพวกเขาทั้งสองเข้าด้านใน ทว่ายิมกลับคว้าข้อมือเขาไว้แล้วถามย้ำอีกรอบด้วยสีหน้าลังเล

“จะดีเหรอพี่?”

“เถอะน่า” สายเปย์พยักหน้าส่ง ๆ พลางกระตุ้นรุ่นน้องให้เร่งฝีเท้าตาม “เร็ว พี่ชายเริ่มหิวแล้ว”

“เดี๋ยวพี่ ถ้าผมกินอิ่มแล้วผมขอกลับเลยได้เปล่าครับ ผมไม่อยากโดดเรียนตอนบ่ายอ่ะพี่” แม้ใจหนึ่งยิมจะรู้สึกติดค้างเจ้ามือมากพอตัว แต่อีกใจกลับกลัวว่าจะเข้าเรียนได้ไม่คุ้มค่าเทอม เด็กหนุ่มจึงออกตัวกับรุ่นพี่แต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้การกินข้าวกลางวันบานปลายเป็นการทำกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดช่วงบ่ายตามแต่ความพอใจของคนจ่ายเงิน

“ได้สิ ไป ๆ เข้าไปกินได้แล้ว เดี๋ยวก็กลับไปเรียนไม่ทันกันพอดี”

“ครับพี่” เมื่อไม่มีอะไรติดค้างอีกต่อไป เด็กวิศวะก็จำใจเดินตัวลีบตามชายชาตรีเข้าสู่ด้านในร้านอย่างเสียไม่ได้ในท้ายที่สุด
.
.
.
.
.
.
“ขอบใจนะยิมที่ชวนพี่มากินข้าวด้วยน่ะ” ชายชาตรีเอ่ยขึ้นหลังจากทั้งสองเริ่มมื้ออาหารไปได้สักพัก

“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณพี่ ถ้าพี่ไม่พามาเลี้ยง ผมคงไม่มีปัญญาได้กินของดี ๆ แบบนี้หรอกครับ”

“ถ้าชอบก็กินเยอะ ๆ สิ ไม่ต้องเกรงใจนะ”

“แต่มันแพงมากเลยนะพี่ ผมต้องทำงานอย่างน้อยสี่วันแน่ะถึงจะมีเงินพอจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ได้อ่ะ” เด็กหนุ่มออกความเห็นด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนหลังจากแอบส่องตัวเลขหลายหลักบนใบเสร็จที่พนักงานเอามาวางบนโต๊ะ กระนั้นรุ่นพี่ปีสามกลับไม่ประหวั่นพรั่นพรึงใด ๆ

“เอาน่า ถือว่าพี่ตอบแทนยิมที่ยิมช่วยพี่ชายเอาไว้คืนนั้นก็ได้” หนุ่มบริหารหน้าเข่าพูดพลางเลื่อนจานสเต็กเนื้อนำเข้าไปวางตรงหน้ายิมพลางเชื้อเชิญ “ลองกินนี่ดู เมนูโปรดพี่เลยนะ”

แม้ปากจะเคี้ยวหยับ ๆ ทว่ายิมกลับไม่คลายความวิตก “พี่ชาย”

“หืม มีอะไรเหรอ?”

“พี่จะไม่ปล่อยผมไว้แล้วหนีกลับไปใช่ไหมครับ?” เด็กหน้าหนวดจับจ้องเจ้ามือด้วยสายตาน่าสงสารประมาณลูกหมาถูกทิ้ง

“ทำไมพี่ชายต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ?”

“ก็ผมไม่ใช่ไอ้เดียวนี่พี่ เกิดอยู่ดี ๆ พี่เปลี่ยนใจไม่เลี้ยงผมขึ้นมา ผมไม่ต้องล้างจานใช้เขายันชาติหน้าเลยเหรอครับ?” ต่อให้ชายชาตรีจะยืนยันเป็นมั่นเหมาะ แต่เพราะทั้งเนื้อทั้งตัว ยิมมีเงินติดกระเป๋าอยู่แค่ไม่กี่ร้อยบาท เด็กหนุ่มจึงไม่อาจนิ่งนอนใจได้ร้อยเปอร์เซนต์

“บ้าเหรอยิม?! พี่ชายจะทำแบบนั้นไปทำไม เงินแค่นี้เอง ทำไมพี่ชายจะจ่ายไม่ได้” ด้วยเพราะเข้าใจสถานะทางการเงินของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ชายชาตรีจึงไม่รังเกียจหากต้องพูดประโยคเดิม ๆ ซ้ำ ๆ เพื่อความสบายใจของเพื่อนร่วมโต๊ะอาหาร

“แต่พี่ยังเป็นแค่นักศึกษาเหมือนผม ก็เท่ากับว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ที่พี่ใช้อยู่ตอนนี้ คือเงินของพ่อของแม่ทั้งนั้นไม่ใช่เหรอครับ?”

“ก็ใช่ แต่คุณชายพ่อกับคุณหญิงแม่ของพี่ชายท่านรวยมาก พี่ชายเลยมีเงินใช้ไม่จำกัดน่ะ”

“ผมว่าพี่น่าจะช่วยท่านประหยัดบ้างนะ อย่างน้อย ๆ ก็เพื่อตัวพี่เองไง เวลาไม่มีเงินมันลำบากมากเลยนะพี่” แม้จะกระดากใจที่เอาแต่พูดจาสวยหรูดูดีทั้งที่ยังเคี้ยวกร้วม ๆ ไม่มีหยุดหย่อน แต่ยิมกลับไม่อาจหักห้ามอาการต่อมแดกอักเสบของตัวเองได้เลยสักนิด... นี่ขนาดได้สัมผัสความหรูหราแค่เพียงเดี๋ยวเดียว เขาก็กลายเป็นพวกปากว่าตาขยิบไปเสียแล้ว อาห์!อำนาจของเงินตราช่างน่าหวาดหวั่นเสียนี่กระไร?!

“ยิมไม่ต้องห่วงพี่ชายหรอก ครอบครัวพี่รวยมากจริง ๆ นะ ถ้ายิมไม่เชื่อ เดี๋ยวไว้วันไหนพี่จะพายิมไปเที่ยวที่วังด้วยก็แล้วกัน”

“วัง?! บ้านพี่เป็นวังเหรอ?” อารามตกใจกับคำบอกเล่าด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติของอีกฝ่ายทำให้ตะเกียบในมือยิมเกือบร่วงหล่น... หรือเขาควรต้องพูดคุยกับพีชายด้วยทีท่านอบน้อมกว่านี้ดีวะ?! เกิดมาก็ไม่เคยมีคนรู้จักเป็นคนในวังเสียด้วย

“ใช่สิ คนที่รวยระดับธรรมดา ๆ น่ะเขาอยู่บ้านหรือคฤหาสน์กันใช่ไหม แต่ของพี่ชายน่ะอยู่วังนะ เพราะฉะนั้น ครอบครัวพี่ชายก็ต้องรวยกว่าคนรวยทั่ว ๆ ไปอยู่แล้ว”

แม้จะตระหนักถึงความมั่งคั่งของอีกฝ่ายแล้วก็ตาม แต่เพราะจนถึงตอนนี้ ชายชาตรีไม่เคยแสดงอาการถือตัวหรือทำท่าวางก้ามแบ่งแยกใส่ เด็กวิศวะจึงไม่รู้สึกอึดอัดหรือวางตัวลำบากใด ๆ ทั้งสิ้น “เอา ๆ รวยก็รวยพี่ ผมยอมซูฮกพี่เลย”

“ดีมาก ทีนี้จะสบายใจได้หรือยัง?”

“ครับพี่ งั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะ” เอาล่ะ! ในเมื่อเจ้ามือไม่ขัด เขาก็จะซัดให้เต็มคราบเลยทีเดียว!

“เอาเลย ๆ กินให้เยอะ ๆ เลย จะกินเผื่อไปถึงอาทิตย์หน้าเลยก็ได้นะ พี่ชายเลี้ยงไหว” ชายชาตรีเอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางตบกระเป๋าสตางค์ซึ่งทำจากหนังสัตว์อย่างดีอีกครั้งเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่รุ่นน้อง ซึ่งหลังจากฟังคำอธิบายของเขาจนพอใจ อีกฝ่ายก็คลี่ยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ทั้งสองหย่อนตัวลงนั่ง

“ปกติพี่ชายทำแบบนี้กับทุกคนเลยเหรอครับ?” อยู่ดี ๆ ยิมก็ถามขึ้นคล้ายห้ามตัวเองไม่ได้

“ไม่ทุกคนนะ เฉพาะกับคนที่พี่ชายชอบ แล้วก็คนที่ดีกับพี่ชายแค่นั้นเอง” นึกขึ้นมาแล้วก็เสียดาย หากคนตรงหน้าเป็นน้องเดียว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารมื้อนี้จะดีแค่ไหนนะ?

“แต่ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าวิธีนี้จะได้ผล ถึงเงินจะจำเป็นจริง ๆ แต่มันซื้อใจคนไม่ได้หรอกนะพี่” ยิมเตือนสติรุ่นพี่ด้วยความปรารถนาดีพ่วงด้วยความเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก แต่ประโยคของเขากลับโดนอีกฝ่ายโต้ตกด้วยความมั่นหน้าอย่างหาใดเปรียบ

“ต้องได้สิ! ขนาดคุณหญิงแม่พี่ยังซื้อใจคุณชายพ่อพี่ด้วยสมบัติของท่านตาได้เลยนะ” ชายชาตรีอวดโอ้วีรกรรมต้อยหนุ่มน้อยอ่อนวัยกว่าเกือบรอบของมารดาให้รุ่นน้องหน้าหนวดฟังอย่างภูมิอกภูมิใจคล้ายกับเป็นเรื่องราวของตัวเอง แน่ล่ะ หากจะพูดว่าเขามีคุณหญิงแม่เป็นต้นแบบด้านการเป็นอมตะก็คงจะไม่ผิดนัก

ทว่าอึดใจนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีเสียงกระแทกช้อนส้อมดังโครมครามมาจากโต๊ะด้านหลังราวกับมีใครตั้งใจขว้างมันลงพื้น และดูเหมือนต้นเสียงจะไม่ปล่อยให้สองหนุ่มต้องเก็บงำความสงสัยเอาไว้เนิ่นนาน เพราะไม่ทันไร เขาก็มาปรากฏกายขึ้นตรงข้าง ๆ โต๊ะที่ทั้งชายและยิมนั่งอยู่

“ทีแรกกูกะจะรอให้พวกมึงกินเสร็จก่อนแล้วค่อยเข้ามาเฉ่งทีเดียว แต่พอได้ยินที่มึงพูดเมื่อกี๊ กูนี่ขึ้นเลย!” เจ้าของประโยคเกรี้ยวกราดเมื่อสักครู่คือชายวัยกลางคนผู้หล่อเหล่าดูภูมิฐานและมีอันจะกินเป็นที่สุด ข้าง ๆ กายของชายแปลกหน้าผู้นั้นรายล้อมไปด้วยบอดี้การ์ดท่าทางดุร้ายคล้ายช้างตกมันที่ยกขโยงกันมาเป็นโขลง

“หืม?! วินาทีนั้น ยิมบอกไม่ได้ว่าระหว่างกลุ่มคนผู้มาใหม่กับใบหน้าซีดเผือดราวกับควายถูกเชือดของสายเปย์หน้าเข่า อันไหนที่มองแล้วน่าหวั่นใจกว่ากัน แต่ในฐานะที่เด็กหนุ่มเป็นเพียงปลิงน้อยที่ติดสอยห้อยตามเจ้ามือมากินข้าวไกลถึงนี่ ยิมจึงเลือกบอกกับตัวเองว่า อย่างมากเอ็งก็แค่ต้องฉุดพี่ชายวิ่งหนีดงตีนไปให้พ้น ๆ ก่อน

แต่สิ่งที่คิดกับความเป็นจริงช่างแตกต่างกันเสียนี่กระไร...

คุณชายพ่อ?! คุณชายพ่อมาทำอะไรที่นี่ครับ?!!” ทันทีที่ระลึกรู้ว่าผู้ที่มาใหม่เป็นใคร ชายชาตรีก็หลุดปากโพล่งด้วยความตกใจถึงขีดสุด

ไม่ต้องพูดมาก มึงต้องตามกูกลับบ้านเดี๋ยวนี้!” คุณชายพจน์คำรามพลางหันไปส่งสัญญาณให้หนึ่งในบอดี้การ์ดเข้าชาร์จบุตรชายด้วยความไวแสง

“เชิญครับคุณชายน้อย”

“แต่คุณชายพ่อครับ ชายยังกินข้าวไม่เสร็จเลยนะครับ”

กลับบ้านเดี๋ยวนี้!” สิ้นเสียงบิดา ชายชาตรีที่ตั้งท่าจะต่อรองก็ต้องงับปากปิดสนิทแล้วลุกตามผู้ปกครองไปในสภาพจำยอม

ก่อนที่ยิมจะล่กเพราะวิตกเรื่องค่าอาหารบานตะไท ชายในชุดซาฟารีสีดำจำนวนสองคนถ้วนก็เข้ามาประชิดตัวพลางเอ่ยอย่างสุภาพขัดกับสีหน้าขู่เข็ญแกมบังคับโดยสิ้นเชิง “เชิญคุณด้วยครับ”

หา?! ผมด้วยเหรอครับ?” ความตกใจระลอกล่าสุดจู่โจมเด็กวิศวะโดยไม่ทันตั้งตัว แต่เพราะรู้ดีว่า หากมัวยืนอึ้งโดยไม่ยอมให้ความร่วมมือกับอีกฝ่ายโดยดี เขาอาจจะไม่มีวันพรุ่งนี้ให้ตกใจอีกเลยก็ได้ สุดท้ายยิมจึงเดินก้มหน้าตามคู่พ่อลูกออกจากร้านอาหารไปอย่างไม่มีปากเสียง

$$$$$$$$

“หึ! มึงจะโง่ไปถึงไหนนักหนาวะชาย” พิชญ์บ่นกับตัวเองหลังอ่านข้อความของเพื่อนสนิทหน้าเข่าที่ส่งเข้าเครื่องเขาเมื่อราว ๆ ครึ่งชั่วโมงก่อน ชายหนุ่มเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงก่อนออกเดินหาของกินก่อนจะมุ่งหน้ากลับบ้าน

เฮ่ย! เด็กบริหารร้องลั่นทันทีที่รู้สึกตัวว่าโดนกระชากแขนอย่างรุนแรงจากด้านหลัง ซึ่งเมื่อเหลียวกลับไป พิชญ์ก็อดก่นด่าตัวเองไม่ได้ที่ตัดสินใจมาเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เพียงลำพัง... เหี้ยเอ๊ย! ห้างในกรุงเทพฯ แม่งมีเป็นร้อยเป็นพัน ทำไมกูถึงต้องถ่อมาที่เดียวกับมันด้วยวะ!!  

“ไงพี่ ไปคุยกันหน่อยดีไหม?” เดียวแสยะยิ้มชั่วร้ายพลางบีบแขนรุ่นพี่ตัวแสบอย่างไม่ออมแรง

“มึงปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะ!” พิชญ์ชี้หน้าคู่กรณีขณะตอกส้นเท้าลงหมายจะกระทืบฝ่าเท้าของไอ้เด็กการ์ตาร์ให้ชักดิ้นชักงอ ทว่าคราวนี้กลับกลายเป็นเขาเสียเองที่รับกรรม เพราะเดียวชักเท้าหลบได้ทันท่วงที “โอ๊ย!

“อ๊ะอ้า! คิดว่าผมโง่เหรอครับ? วันนี้พี่ไม่ได้กินผมหรอก! เฟรชชี่เยาะเย้ยด้วยสีหน้าสะใจก่อนจะลากเด็กบริหารให้เดินกระเผลกตามตัวเองไปยังลานจอดรถ

เป็นเพราะยังฝังใจกับเหตุการณ์ช่วงเข้าของเมื่อวานไม่หาย พิชญ์จึงรีบคิดหาทางหนีทีไล่อย่างรวดเร็ว โชคดีที่อยู่ ๆ ก็มีพนักงานบริษัทกลุ่มใหญ่เดินสวนมาไม่ห่าง เด็กบริหารจึงทำท่าทางขัดขืนพลางแหกปากลั่น “ช่วยผมด้วยครับ ไอ้เกย์นี่มันจะลากผมไปตุ๋ย!

เฮ่ย! ผมเปล่านะครับ ผมแค่จ... โอ๊ย!” อารามตกใจที่โดนกล่าวหาโดยไม่รู้ตัว เดียวเลยปล่อยมือจากอีกฝ่ายพลางปฏิเสธกับธารกำนัลเป็นพัลวันโดยหารู้ไม่ว่า การกระทำดังกล่าว คือสาเหตุที่ทำให้กล่องดวงใจของเขาต้องเจ็บปวดร้าวรานด้วยการสั่งลาของคู่กรณีหน้าเก่าซึ่งเก๋าเกมกว่าเห็น ๆ  

“หึ! สมน้ำหน้า ทีหลังอย่าสะเออะมายุ่งกับกู จำไว้!” ก่อนจะจากกันรอบนี้ พิชญ์ยังแสดงน้ำใจด้วยการยืนค้ำหัวคนเจ็บพลางเอ่ยคำพูดทิ้งท้ายเอาไว้ให้รุ่นน้องได้นำกลับไปครุ่นคิดอย่างไม่นึกหวงแหนอีกต่างหาก จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ พิชญ์เชื่อมั่นว่า ไอ้เด็กการ์ตาร์จะต้องขอบคุณในความหวังดีของเขาอยู่ตลอดเวลาแน่ ๆ เลย... ว่าไหม?


……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...


ความในใจทิ้งท้ายตามสไตล์ชายชิค ๆ :
คุณหญิงแม่บอกว่าได้คุณชายพ่อมาเพราะสมบัติเท่าภูเขาเลากาของท่านตาล้วน ๆ
นั่นก็แสดงว่าชายควรเริ่มถักอวนดักจับเด็กผู้ชายด้วยแบงค์พันนับตั้งแต่วันนี้ ถูกมะ?




 $$$$<| TBC |>$$$$