Wednesday, February 22, 2017

ถ้าต้อยได้ ชายจะเป็นอมตะ ||#14|| 22.02.2017



<|No.14|>
วันที่ฉันป่วย มีเธอช่วยดูแลไม่ห่าง

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

“หืม?!” ขณะกำลังเดินลงบันไดจากชั้นสองของบ้าน พิชญ์กลับต้องชะงักค้างเมื่อหันไปเห็นคุณพิทักษ์ยังนั่งปักหลักอยู่ตรงโต๊ะอาหารช่วงหลังหกโมงเช้า ชายหนุ่มเปลี่ยนความคิดที่จะรีบเดินทางไปมหาลัยแล้วบ่ายหน้าเข้าครัวไปทักทายบิดาทันที “นี่มันจะเจ็ดโมงแล้วนะป๋า นั่งทำอะไรอยู่? ตลาดยังไม่ปิดอีกเหรอ?”

“...” คนเป็นพ่ออมยิ้มพลางส่ายหัวไปมาทว่าไม่ตอบคำ เลือดเนื้อเชื้อไขจึงแสดงท่าทีเป็นห่วงเป็นใยอย่างชัดเจน

“ป๋าเป็นอะไร? พิชญ์ถามทำไมไม่ตอบ?” ไม่ทันขาดคำ หลังมือของชายหนุ่มก็วางแนบลงบนหน้าผากของบุพการีผู้มัวแต่นั่งอมยิ้มไม่พูดไม่จา “ตัวก็ไม่ร้อน เอ... หรือว่าป๋าปวดหัว? ให้พิชญ์พาไปหาหมอไหม?”

“ไม่ต้องหรอกพิชญ์ ป๋าไม่เป็นอะไรครับ”

“ถ้าไม่เป็นไร แล้วทำไมป่านนี้ป๋าถึงยังไม่ขึ้นไปนอน มัวแต่นั่งทำอะไรอยู่?” พิชญ์ขมวดคิ้วนิ่วหน้ามองบุพการีด้วยความไม่เข้าใจ

แปลก...
นับวันพ่อเขาชักจะทำตัวแปลก ๆ เข้าไปทุกที
ทั้ง ๆ ที่ตามปกติ หากไม่ใช่ช่วงหลังเลิกเรียนตอนเย็น หรือวันหยุดสุดสัปดาห์ อีกฝ่ายแทบไม่เคยปรากฏตัวมานั่งเชิดหน้าสู้แดดยามเช้า อย่างมาก หากวันไหนมีเหตุจำเป็นบังคับให้ชายหนุ่มต้องออกจากบ้านตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ เขาก็อาจจะเจอพ่อตัวเองเดินโงนเงนสวนกันเข้าห้องนอนไปโดยไม่ทันได้พูดคุยอะไรกัน

“พอดีเช้านี้ป๋ามีนัดน่ะ” คุณพิทักษ์ระบายยิ้มฟุ่มเฟือยเสียจนคนมองอดหงุดหงิดใจไม่ได้

“นัดใคร?” เด็กบริหารกวาดตามองไปรอบ ๆ ห้อง หากแต่แก้วน้ำเย็นที่มีไอน้ำเกาะอยู่โดยรอบกับกับกระเป๋าสะพายหนังดูไม่คุ้นตาหนึ่งใบที่วางอยู่ตรงเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับคุณพิทักษ์กลับไม่ช่วยให้พิชญ์หายข้องใจเสียทีเดียว “เพื่อนป๋ามาหาเหรอ?”

คนเกิดก่อนส่ายหัวพลางบอกปัดกลั้วยิ้ม “เปล่า”

“ป๋าเป็นอะไรของป๋าเนี่ย ถามคำตอบคำ?” พิชญ์บ่นงึมงำด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก “พิชญ์ไปเรียนเลยดีกว่า ป๋าจะได้คุยกับเพื่อนสะดวก ๆ ไปนะป๋า หวัดดีครับ” ที่สุดแล้วชายหนุ่มก็ตัดสินใจทำตามแผนที่วางไว้โดยไม่อยู่รอทักทายอาคันตุกะของบิดาตามมารยาท

“เดี๋ยวพิชญ์ รอส่งป๋าเข้านอนก่อนสิครับ”

“ป๋าเป็นอะไรของป๋าเนี่ย” พิชญ์ถอนหายใจให้กับความท่าเยอะของบิดา แต่ในเมื่ออีกฝ่าบแบไต๋มาเสียขนาดนี้ มีหรือที่ชายหนุ่มปากร้ายจะใจจืดใจดำกับผู้ให้กำเนิดได้ลงคอ “งั้นเอางี้ ถ้าเพื่อนป๋ากลับก่อนแปดโมง พิชญ์อยู่รอส่งป๋านอนก่อนก็ไ...”

“อ้าวมาเสียที! ไง ห้องน้ำบ้านคุณพิทักษ์ถ่ายดีไหม?” อยู่ดี ๆ ฝ่ายที่เอาแต่อมพะนำทำตัวมีพิรุธก็ยิ้มหน้าบานพลางมองไปยังเบื้องหลังของลูกชาย พิชญ์จึงไม่อาจเก็บกักความสงสัยเอาไว้กับตัว

“ป๋าพูดกับใครอ่ะ?” จังหวะที่ชายหนุ่มเบือนหน้าไปทอดสายตามองตามบิดาของตน คนหน้าคุ้นก็เดินเกาท้ายทอยด้วยความเคอะเขินเข้ามาในครัว  

“ดีครับ ดีมากเลยครับคุณพ่อ”

“มึง! มึงมาที่นี่ได้ยังไง?!! พิชญ์แผดเสียงลั่นบ้านเพื่อแสดงความดีใจต่อคนมาใหม่อย่างมีอารยะ เด็กเวรตะไลจุดยิ้มมุมปากพลางเดินค้อมหัวอ้อมโต๊ะไปนั่งยังเก้าอี้ตัวที่มีแก้วน้ำวางอยู่ด้วยท่าทางพินอบพิเทาผิดวิสัยชวนให้คนมองหมั่นไส้พิกล  

หนอย! สงสัยที่เขาทำเมื่อวานจะน้อยไป ไม่อย่างนั้นมันคงไม่มีหน้าโผล่มาตามรังควาญเขาตั้งแต่เช้าแบบนี้แน่ ๆ!
คิดขึ้นมาแล้วก็อดหวนนึกถึงเหตุการณ์ช่วงเย็นวานไม่ได้ พิชญ์จำได้แม่นว่า ภายหลังจากห่าฝนเริ่มซา เขาก็จัดการระรัวฝ่าเท้าถีบไล่อีกฝ่ายลงจากรถอย่างไม่ใยดี จากนั้นก็รีบซิ่งหนีกลับบ้านด้วยความไวแสงพร้อมกับก่นด่า สลับกับสาปแช่งรุ่นน้องต่างคณะให้มีอันเป็นไปอยู่ไม่ขาดปาก

“ป๋า! ป๋ายอมให้ตัวเสนียดอย่างมันเข้ามาในบ้านเราได้ยังไงอ่ะ?! ป๋าไล่มันออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ลูกเจ้าของบ้านหันไปโวยวายใส่ผู้กุมอำนาจสูงสุดอย่างก้าวร้าว แต่แทนที่จะอธิบายให้บุตรชายเข้าอกเข้าใจ คุณพิทักษ์กลับตีมึนใส่ก่อนจะแสร้งหาวหวอด ๆ

“โอ๊ย! ง่วงจังเลย ป๋าขึ้นไปนอนก่อนนะ” เจ้าบ้านเอ่ยกับลมกับฟ้าโดยไม่สนใจสีหน้ากินเลือดกินเนื้อของทายาทแม้แต่น้อย

“อย่าเพิ่งดิป๋า! ป๋าต้องมาไล่มันออกไปก่อน!

คุณพิทักษ์มองเมินบุตรในอุทรก่อนจะหันไปคุยกับเดียวอย่างสนิทสนม “เดี๋ยวหนึ่งเดียวจอดรถทิ้งไว้ที่นี่เลยก็ได้ ไว้ตอนเย็นค่อยติดรถพิชญ์กลับมาเอา” 

“ครับคุณพ่อ”

“เดี๋ยวป๋า! ป๋าต้องไล่มันสิถึงจะถูก!

“พิชญ์ให้หนึ่งเดียวติดรถไปเรียนด้วยนะครับ หนึ่งเดียวเขาขับรถออกมาหาพิชญ์ตั้งแต่ตีห้า ขับหลงทางอยู่ตั้งนาน กว่าจะมาถึง ป๋าสงสาร”

“เรื่องอะไรพิชญ์จะเอามันไปเรียนด้วยวะป๋า พิชญ์ไม่ได้ขอให้มันมาหาเสียหน่อย!... ไม่ดิ! มึงรู้ได้ไงว่าบ้านกูอยู่ไหน?” ขณะที่จอมเหวี่ยงกำลังสวดสั่งสอนบิดาสลับกับก่นด่าเฟรชชี่ผู้มั่นหน้าอยู่นั้นเอง ชายหนุ่มก็พลันเอะใจ... 

เมื่อกี๊ป๋าพูดอะไรนะ? ไอ้เด็กเวรตะไลขับรถหลงอยู่นานงั้นเหรอ? แล้วมันมาถูกได้ยังไง?

สีหน้าเย่อหยิ่งปนเยาะเย้ยของเฟรชชี่ผู้มั่นหน้าตบท้ายด้วยสายตาท้าทายไม่มีสลดทำให้พิชญ์สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวที่ขาดหายได้เดี๋ยวนั้น... หรือว่า?!

“ป๋า! ป๋าชวนมันมาเหร...?!” จังหวะที่เด็กบริหารกำลังจะหันกลับไปจวกบุพการีให้หายแค้น หางตาของชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นแผ่นหลังของคุณพิทักษ์หายแว้บขึ้นชั้นสองของบ้านไปก่อนที่ใครจะไหวตัวทัน “ป๋า! ป๋า! ป๋าจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ! ลงมาเดี๋ยวนี้เลยนะป๋า ไม่งั้นพิชญ์ไม่ยอมให้ป๋านอนดี ๆ แน่!

เมื่อเห็นรุ่นพี่ต่างคณะตั้งท่าจะออกวิ่งตามขึ้นไปรังควาญผู้อาวุโสผู้มีพระคุณ เด็กวิศวะก็เหนี่ยวข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้พลางเบี่ยงประเด็น “ฮื่อพี่พิชญ์ ไปเรียนกันเถอะครับ เดี๋ยววันนี้ผมขับรถให้พี่เอง”

“มึงไสหัวไปเลยนะ ออกจากบ้านกูไปเดี๋ยวนี้เลย!
“ได้ไงล่ะพี่พิชญ์ พ่อพี่ฝากผมไว้กับพี่แล้วนะ!
“กูไม่รับฝาก! มึงออกไปเลยไป!” สิ้นคำ คนโตกว่าก็ทั้งผลักไสไล่รุนหลังรุ่นน้องให้ออกไปพ้นจากชายคาบ้าน แต่ด้วยขนาดตัวที่แตกต่างกัน การจะสาปส่งเด็กเวรตะไลจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ทว่าแม้เมื่อแรงกายใกล้จะหมด สติปัญญาของรุ่นพี่กลับไม่ได้ลดลงเลยสักนิด

“มึงจะไม่ออกไปดี ๆ ใช่ไหม”
“ไม่ครับ”
“ได้!” ไม่ทันขาดคำ เจ้าของบ้านก็กระหน่ำไม้ตียุงใส่รุ่นน้องต่างคณะอย่างบ้าคลั่ง  
“โอ๊ยพี่พิชญ์! ผมเจ็บนะครับ!” แม้เสียงร้องโอยโอยฟังโหยหวนที่ประสานเข้ากับเสียงดังเปรี๊ยะ ๆ จากไม้ตียุง พร้อมด้วยกลิ่นไหม้หอมจรุงจะสร้างความพึงพอใจให้แก่คนลงมือสักเพียงใด แต่รุ่นพี่ปีสามกลับไม่หลงลืมจุดมุ่งหมายของตนเลยสักนาที  

“ออกไป! มึงออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!” จังหวะที่กำลังจะแบ็คแฮนด์หวดไม้ตีลูกสปินให้ผู้รุกรานลมปราณแตกซ่านอยู่นั้นเอง เสียงเรียกเข้าของมือถือในกระเป๋ากางเกงเด็กบริหารก็แผดลั่นขึ้นเสียก่อน

“พี่พิชญ์ โทรศัพท์ครับ พี่รับโทรศัพท์ก่อนเถอะนะ!” เฟรชชี่อ้อนวอน
“ไม่!
“เดี๋ยวพี่ค่อยตีผมต่อก็ได้ รับโทรศัพท์ก่อนเถอะครับ เผื่อเป็นเรื่องด่วน” พิชญ์รัวไม้ตียุงใส่รุ่นน้องเป็นระลอกสุดท้ายก่อนที่จะหยุดพักหอบหายใจสั้น ๆ พร้อมกับถลึงตาใส่อีกฝ่ายเป็นการตอบแทน ทว่าจอมเหวี่ยงยังไม่ทันจะควักมือถือออกจากกางเกง สายกลับตัดไปเสียก่อน จึงไม่แปลกหากจะได้ยินพิชญ์สบถด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดต่อท้าย

“แม่ง!! อย่าให้รู้นะว่าใครลอบยิงกู!” ถึงจะลั่นวาจาไว้อย่างนั้น แต่เมื่ออ่านชื่อเจ้าของมิสคอลเสร็จสรรพ โทสะในใจพิชญ์ก็ดับมอดลงทันที ชายหนุ่มร่างสันทัดกดโทรออกหาปลายสายด้วยสีหน้าพะวักพะวนจนรุ่นน้องชักจะเป็นห่วงไปด้วยอีกคน

“มึงเป็นอะไรชาย?”

“อ้าว! ไอ้ยิมไม่สบายเหรอ? เมื่อวานพวกมึงขี่รถตากฝนกลับห้องล่ะสิ?” หนึ่งเดียวอาศัยจังหวะที่พิชญ์กำลังซักไซ้เพื่อนสนิทอย่างเคร่งเครียดโน้มตัวเข้าใกล้เพื่อแอบฟังบทสนทนาจากอีกฟากของสายโทรศัพท์ พร้อม ๆ กับแอบสูดดมกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของรุ่นพี่ไปพลาง ๆ

“แล้วมึงล่ะ ป่วยเป่ยตรงไหนหรือเปล่า?”  

(ไม่ ๆ ชายสบายดี แต่ชายคงต้องฝากพิชญ์ช่วยเรียนแทนหน่อยนะ เพราะวันนี้ชายจะอยู่ดูแลยิม)

“เออ ๆ มึงไม่ต้องห่วง  มึงอยู่ดูแลไอ้ยิมมันเถอะ เดี๋ยววันนี้กูจดเลคเชอร์ให้”

(ขอบคุณมากนะพิชญ์ ชายวางก่อนนะ กำลังซื้อโจ๊กอยู่น่ะ แม่ค้าเรียกแล้ว)

“เดี๋ยวชาย” พิชญ์เอ่ยหน้านิ่วคล้ายยังไม่คลายใจ ยิ่งเมื่อรู้แก่ใจว่า ช่วงสองสามวันนี้ สถานะทางการเงินของเพื่อนและรุ่นน้องไม่ค่อยจะดีนัก “เดี๋ยวเลิกเรียนวันนี้กูจะแวะซื้อของกินเข้าไปให้พวกมึงแล้วกัน มึงรอไหวใช่เปล่า?”

(ไหวสิ พิชญ์ไม่ต้องห่วงชายหรอก) 

“เออ ๆ แล้วเจอกัน” ทันทีที่รู้ว่าหนึ่งในสหายรักกำลังประสบปัญหา จอมเหวี่ยงก็อดคิดถึงปาณัธไม่ได้ “เอ... พี่ผึ้งจะตื่นยังวะ?” สิ้นเสียงงึมงำ เด็กปีสามก็ส่งข้อความไปหาที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ประจำกลุ่มโดยพลัน

ดูเหมือนว่าความวิตกกังวลต่อชะตากรรมผีซ้ำด้ำพลอยของสายเปย์จะทำให้พิชญ์หลงลืมวิกฤตตรงหน้าไปถนัดใจ ชายหนุ่มโฉบไปฉวยข้าวของส่วนตัวตามจุดต่าง ๆ ของบ้านก่อนจะเดินก้มหน้าก้มตาอ่านข้อความในหน้าจอโทรศัพท์พลางก้าวออกจากบ้านไปโดยไม่เหลียวแลนายหนึ่งเดียวเลยสักวินาที ฝ่ายรุ่นน้องเฟรชชี่ที่คอสเพลย์เป็นอากาศฐาตุอยู่พักใหญ่ ๆ ก็รีบออกวิ่งกวดตามหลังรุ่นพี่ต่างคณะไปด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะขับรถพร้อม ๆ กับเล่นไลน์จนเป็นอันตรายต่อตัวเองและเพื่อนร่วมท้องถนนไปเสียก่อน

กว่าพิชญ์จะเงยหน้าขึ้นจากจอมือถือได้ ก็ต้องรอให้รถค่อย ๆ แล่นห่างจากตัวบ้านไปได้พักใหญ่ ๆ แล้วเท่านั้น ทว่าการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าทั้ง ๆ ที่เมื่อกี๊เขายังจ้องหน้าจอมือถือตาไม่กระพริบนั้นไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มยอมละสายตาจากคำแนะนำหลายหน้ากระดาษของตัวอ่อนมนุษย์ป้า หากแต่เป็นเพราะภาพเหตุการณ์เมื่อวานกำลังเกิดซ้ำขึ้นอีกครั้ง ผิดก็แต่เพียง รถที่เด็กบริหารนั่งอยู่นั้นไม่ใช่ของเขา แถมคนขับกลับเป็นคนที่ชายหนุ่มชังน้ำหน้าอย่างที่สุดเสียด้วย “เฮ่ย?!

หนึ่งเดียวเองก็เฝ้ารอเวลานี้มาเนิ่นนาน เพราะทันทีที่พิชญ์หลุดปากอุทาน เจ้าของรถกดออโต้ล็อกย้ำ ๆ ก่อนจะย่ำคันเร่งหนักขึ้นพร้อมกับเอ่ยทิ้งท้าย “ถ้าพี่พิชญ์จะโวยวาย จะด่าผมไปตลอดทางผมไม่ว่าครับ แต่ห้ามพี่พิชญ์ทำร้ายผมเด็ดขาด ไม่งั้นเราสองคนได้กอดคอกันตายก่อนถึงมหาลัยแน่ ๆ ”



$$$$$$$$

“ยิม ลุกขึ้นมากินโจ๊กก่อนเถอะ” สิ้นเสียงปลุก คนป่วยก็พยายามยันตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนเอาไว้ ท่าทางแปลกประหลาดผิดไปจากคำสั่งทำให้บุรุษพยาบาลจำเป็นร้องเสียงหลง “เดี๋ยว! นั่นยิมจะทำอะไร?”

“รอผมอาบน้ำแป๊บนึงนะพี่ เรายังพอมีเวลาใช่ไหมครับ?” จังหวะที่เด็กปีหนึ่งเหลียวหลังไปเหลือบดูเวลา ชายชาตรีก็ปรดเข้าไปคว้าผ้าขนหนูในมืออีกฝ่ายมาซ่อนไว้ข้างหลัง

“วันนี้หยุดเถอะยิม พักหน่อยนะ ขืนยิมดื้อไปเรียน ยิมอาจจะเป็นหนักกว่านี้ก็ได้”

“งั้นผมขอไปล้างหน้าก่อนนะครับ เดี๋ยวผมขี่รถไปส่ง” เด็กหนวดลูบหน้าลูบตาคล้ายกำลังกระตุ้นตัวเองให้พร้อมรับมือกับวันใหม่ หากแต่อาการครั่นเนื้อครั่นตัวกลับไม่เป็นใจกับความมุ่งมั่นของเฟรชชี่เท่าไรนัก “...อืม...” ยิมครางพลางยืนหลับตานิ่ง

“ไม่ต้องเลย วันนี้ยิมไม่ต้องออกไปไหนทั้งนั้นนั่นแหละ พี่ชายก็จะไม่ไปไหนเหมือนกัน” สายเปย์ลั่นวาจาอย่างเด็ดขาด “ยิมไปนั่งรอที่เตียงเดี๋ยวนี้เลย พี่จะยกโจ๊กไปให้กิน”

“ไม่เอาครับ ผมไม่อยากให้พี่ชายต้องโดดเรียนเพราะผม” เด็กวิศวะพยายามต่อรองหากแต่ไม่เป็นผล

“ยิมก็รู้นิว่าพี่ชายปล่อยให้ยิมอยู่คนเดียวไม่ได้ ขืนพี่ชายไปเรียนทั้ง ๆ ที่รู้ว่ายิมต้องนอนซมอยู่คนเดียว พี่ชายคงเรียนไม่รู้เรื่องกันพอดี”

“โธ่พี่ชาย!” รุ่นน้องรำพันอย่างจนปัญญา... จริงอยู่ว่าไม่บ่อยนักที่คนถึก ๆ อย่างเขาจะล้มป่วย แต่ช่วงที่ผ่านมา ชายหนุ่มแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน แถมเพื่อให้ทันเข้างานเมื่อวาน เขาก็ตัดสินใจขี่รถฝ่าสายฝนปรอย ๆ พาตัวเองและรูมเมทไปร้านข้าวต้มเสียอีก  

“ยิมไปนั่งเถอะนะ จะได้กินโจ๊ก กินยานอน” ชายชาตรีออดอ้อนพลางจับจูงคนป่วยไปนั่งยังที่หมาย ก่อนจะรีบหมุนตัวกลับไปคว้าชามโจ๊กแล้วเดินกลับมาหาเด็กหนวดพลางถามพอเป็นพิธี “ยิมกินเองได้ไหม หรืออยากให้พี่ชายป้อน?”

ชายชาตรีไม่ได้รอฟังคำตอบของเด็กหนวด เพราะทันทีที่จัดที่จัดทางให้อีกฝ่ายจนน่าพอใจ สายเปย์ก็ทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ  จากนั้นจึงตักโจ๊กพอดีคำ เป่าเบา ๆ ด้วยความตั้งใจเหมือนกับที่คุณหญิงแม่เคยทำให้เขาในช่วงที่ยังเป็นเด็กเล็ก ๆ

“พี่ชายกินอะไรหรือยังครับ?” เจ้าของประโยคเอ่ยพลางบีบข้อมือรุ่นพี่เบา ๆ

“พี่ชายยังไม่หิวหรอก เดี๋ยวรอหลังยิมกินยาเสร็จก่อนแล้วค่อยกินก็ได้” ชายชาตรีเอ่ยปฏิเสธเดี๋ยวนั้นด้วยความรู้สึกเจริญอาหารถูกทำลายจนหมดสิ้นไปตั้งแต่เมื่อช่วงเช้า ลองนึกภาพตัวเองตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า คนที่ชอบนอนซมจมกองเหงื่ออยู่ข้าง ๆ ทั้ง ๆ ที่ยังสวมชุดทำงานตัวเก่งอยู่ดูสิ ถ้าไม่โดนความวิตกกังวลทั้งหลายทั้งมวลในโลกหล้าดาหน้ากันเข้ามาทำร้ายกระเพาะอาหารจนเบื้อใบ้ ก็ให้มันรู้ไป “นี่ พี่ชายขอขิงป้าเขามาเยอะแยะเลย กินขิงให้หมดนะยิม มันช่วยขับเหงื่อ ไข้จะได้ลดเร็ว ๆ ” ชายชาตรีโฆษณาอาหารเช้าเจ้าประจำเสียยกใหญ่

“พี่ชายรู้ได้ไงอ่ะครับ?”

“ตอนพี่ชายไม่สบาย คุณหญิงแม่ชอบสั่งให้คนเอาขิงสดมาคั้นผสมน้ำมะนาว กับน้ำผึ้งให้พี่ชายจิบสลับกับกินน้ำอุ่นน่ะ” รุ่นพี่หน้าเข่าอธิบายพลางป้อนข้าวเช้าให้คนป่วยอย่างเบามือ “ยิมอยากกินมั่งไหมล่ะ พี่ชายจะได้ออกไปซื้อมาทำให้”  

“ไม่ต้องหรอกครับ แค่ได้นอนสักพักผมก็น่าจะหายแล้วล่ะ” เด็กหนวดจับมือข้างที่ว่างของบุรุษพยาบาลส่วนตัวขึ้นมาแนบแก้มพลางหลับตาก่อนจะส่งเสียงครางอย่างพึงพอใจ “อืม มือพี่ชายเย็นดีจังเลยครับ”

“มือพี่ชายน่ะปกติ ยิมต่างหากล่ะที่ตัวร้อน” ชายชาตรีเสตามองโจ๊กในชามแก้เก้อ

“เหรอครับ? ผมตัวร้อนเหรอครับ?” แม้จะยังไม่ลืมตา ทว่าเจ้าของคำถามกลับทำหน้านิ่วคิ้วขมวดคล้ายกับประหลาดใจจนคู่สนทนาต้องช่วยยืนยันอาการผิดปกติดังกล่าวให้อีกเสียง

“อืม ยิมตัวร้อน สงสัยกินข้าวเสร็จแล้วต้องรีบเช็ดตัว”

“งั้นพี่ชายเช็ดตัวให้ผมหน่อยได้ไหมครับ ตั้งแต่กลับมาเมื่อเช้า ผมยังไม่ได้อาบน้ำเลย” คำอ้อนวอนของเด็กวิศวะดังสะท้อนก้องไปทั้งหัวใจจนคนฟังอดไหวหวั่นไม่ได้ ไหนจะสายตาหวานเชื่อมปนเซื่อง ๆ กับหน้าเกลี้ยง ๆ ที่ดึงดูดสายตานั่นอีกล่ะ “นะครับพี่ชาย ผมเหนียวตัวจังเลยครับ”

“จะดีเหรอยิม พี่ชายไม่เคยเช็ดตัวให้ใครมาก่อนเลยนะ อีกอย่าง พี่ชายยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย...” สายเปย์แบ่งรับแบ่งสู้เพราะแค่เผลอคิดไปว่าจะได้กวาดมือไปตามเนื้อตัวแน่น ๆ ร้อนระอุสู้มือของเด็กหนวด หัวใจเขาก็เต้นไม่เป็นส่ำนำล่วงหน้าไปชาติกว่า ๆ แล้ว

ซิกแพค ซิกแพค ซิกแพค
ไม่ได้! ชายจะเข้าใกล้ซิกแพคไม่ได้!

“น่า นะครับ เห็นใจผู้ป่วยอนาถาคนนี้เถอะนะครับพี่ชาย” เจ้าของห้องทอดเสียงน่าฟังพลางซุกหน้าเข้ากับฝ่ามือของชายชาตรีด้วยอาการประหนึ่งลูกแมวเชื่อง ๆ อย่างไรอย่างนั้น

อาจจะเป็นเพราะไม่เคยคบหากับใครมาก่อน ยิมจึงไม่ทันรู้ตัวว่า ทักษะในการออดอ้อนของตนได้พัฒนาก้าวไกลเมื่อได้แรงสนับสนุนจากอาการป่วยไข้ที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ เป็นปัจจัยหนุนนำ ฝ่ายคนโดนจู่โจมก็นั่งหน้ากึ่งดำกึ่งแดงสลับกันไปมาด้วยไม่รู้ว่าจะรับมือกับเด็กหนวดอย่างไรดี

“...ก็ได้...”

“งั้นเดี๋ยวผมกินโจ๊กเองก็ได้ครับ พี่ชายจะได้ไปเอาโจ๊กมากินด้วยกัน” ทันทีที่ได้ยินคำตอบอย่างที่หวังเอาไว้ เฟรชชี่ก็เร่งจัดแจงอย่างกระตือรือล้น




“ทำไมเราไม่ทำกันที่เตียงล่ะยิม?”

“ทำในห้องน้ำนี่แหละครับพี่ชาย สะดวกดี”

“แต่ห้องน้ำมันแคบออกนะยิม”

“ไม่เห็นเป็นไรเลยครับพี่ชาย แป๊บเดียวเอง นะครับ” ท่าทางลังเลของสายเปย์ทำให้รุ่นน้องเอ่ยกระตุ้น “ทำเลยเถอะครับพี่ชาย ผมหนาว”

“งั้นก็หันหลังมาสิ” ทั้งที่นึกค้านอยู่ในใจ แต่หนังไก่ที่ขึ้นลามไปทั่วแผงอกเปลือยเปล่าของเด็กหนวดกลับทำให้ชายชาตรียอมมองข้ามบรรยากาศซอกหลืบที่เอื้อมมือแค่คืบก็สามารถสัมผัสผนังทุกฝั่งได้อย่างทั่วถึงของห้องน้ำ กับพ่อกล้ามล่ำในสภาพนุ่งผ้าขาวม้าบาง ๆ ตรงหน้าไปอย่างช่วยไม่ได้

“เช็ดหลังก่อนเหรอครับ?” ยิมเลิกคิ้วพลางหลิ่วตามองหน้ารูมเมทด้วยความสงสัย

“อืม” รุ่นพี่พนักหย้าให้พลางหรุบตามองผ้าขนหนูผืนเล็ก ๆ ในมือที่โดนบิดโดนยื้อจนใกล้เสียทรง... ที่บอกไปแบบนั้น เป็นเพราะเขาต้องการเวลาทำใจกับกล้ามอกและกล้ามท้องของเด็กหนวดนานขึ้นอีกนิด แต่ใครเลยจะรู้ว่า สะบักหลังงาม ๆ  กับต้นแขนใหญ่เป็นปล้องมะขามยักษ์นั้นก็สร้างความหวั่นไหวจนเผลอหายใจติด ๆ ขัด ๆ อยู่เนือง ๆ

หลังจากรุ่นพี่ลงมืออย่างเงียบ ๆ ไปได้สักพัก เด็กหนวดก็ชวนคนโตกว่าคุยด้วยน้ำเสียงชื่นชม “ไหนบอกว่าไม่เคยเช็ดตัวให้ใครมาก่อนไงครับ”

“หืม?”

“พี่ชายเช็ดตัวผมดีจนผมไม่อยากหายป่วยเลยรู้ไหมครับ?” ทันทีที่พูดจบ คนป่วยก็หมุนตัวกลับด้านมาประสานสายตากับบุรุษพยาบาลจำเป็นอย่างกะทันหันจนอีกฝ่ายหน้าทำหน้าเหลอหลา

“ยิมรีบหันมาทำไม? พี่ชายยังเช็ดแขนยิมไม่เสร็จเลยนะ!

โอยนม นมทั้งนั้น ใครก็ได้ช่วยด้วย ช่วยชายด้วย!

“เช็ดแบบนี้เถอะครับ ผมอยากมองพี่ชายตอนเช็ดตัวให้ผม” สิ้นคำอธิษฐาน คนป่วยก็ได้ทุกสิ่งตามใจฝัน ทว่าทุกอย่างกลับมีราคาของมัน เพราะการได้ยืนจ้องใบหน้าขัดเขินของรุ่นพี่ต่างคณะใกล้ ๆ ต้องแลกด้วยการแอบสูดปากซ่อนความเจ็บแปล๊บเอาไว้เพราะสายเปย์หลับหูหลับตาเช็ดต้นแขนด้านหน้าของเขาอย่างรุนแรงจนผิวแดงเป็นปื้น ๆ

“ยิมกินข้าวต้มได้ไหม เดี๋ยวกลางวันนี้พี่จะต้มใส้หมูสับให้” ชายชาตรีพยายามเปิดประเด็นอื่น ๆ ที่น่าสนใจด้วยหวังให้ตัวเองไม่ต้องตกอยู่ในห้วงมโนที่มีเพียงกล้ามนม และกล้ามท้องมัดโต ๆ ลอยผ่านไปมาจนหน้ามืดทำผิดผีกับเด็กวิศวะไปก่อนเวลาอันควร

“แขนเสร็จแล้วครับ”

“หืม เมื่อกี๊ยิมว่าอะไรนะ?”

“พี่ชายเช็ดแขนผมสะอาดแล้วครับ” ยาจกมืออาชีพยกยิ้มกรุ้มกริ่มด้วยรู้ดีว่า อีกฝ่ายอ่อนแอกับเรือนร่างของเขาเอามาก ๆ  “เหลือแต่อกกับท้องผมนี่แหละที่พี่ชายยังไม่ได้เช็ด” ชักอยากจะรู้เสียแล้วสิว่าหลังจากนี้ รุ่นพี่จะทำหน้าตาแบบไหนให้เขาแอบดูบ้าง

คำพูดเชิญชวนดังกล่าว ทำเอาชายชาตรีเผลอลากสายตามองความแข็งแกร่งหากแต่งดงามตรงหน้าพร้อม ๆ กับรับคำอีกฝ่ายอย่างลืมตัว “อืม”

ยิมอมยิ้มอย่างสมใจเมื่อเห็นริ้วสีแดงปรากฏขึ้นบนพวงแก้มทั้งสองของรุ่นพี่อย่างชัดเจน กระนั้น เพื่อเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้หายใจหายคอ เฟรชชี่วิศวะจึงเกริ่นเข้าเรื่องที่คุยค้างกันไว้ด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ชวนให้คนฟังรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด “กลางวันนี้พี่ชายจะทำข้าวต้มให้ผมกินเหรอครับ?”

“อืม แค่ข้าวต้มใส่หมูสับเอง คงไม่ยากเท่าไรหรอก” สายเปย์เลือกที่จะเก็บคำว่า มั้ง ด้านท้ายประโยคเอาไว้กับตัว เพราะต่อให้เขาจะไม่เคยเข้าครัวทำกับข้าวมาก่อน แต่ข้าวต้มร้อน ๆ ไม่น่าจะยากเกินความสามารถของมือใหม่... ก็แค่ตั้งหม้อต้มข้าว ใส่น้ำก่อนจะใส่หมูสับตามหลังแค่นั้นเองใช่ไหมล่ะ?  

“แล้วผมจะรอกินนะครับ” คนป่วยจงใจกระซิบความนัยข้างหูอีกฝ่ายจนบุรุษพยาบาลจำเป็นสะดุ้งโหยงก่อนจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวอย่างทันท่วงที

“เดี๋ยวยิมเช็ดที่เหลือเองแล้วกันนะ พี่ชายจะออกไปล้างจาน” รุ่นน้องหัวเราะร่วนเมื่อเห็นคนโตกว่าเดินก้มหน้างุด ๆ ออกจากห้องน้ำไปในบัดดล




“พี่ชายครับ ยาอยู่ไหนเหรอครับ?” แม้จะเห็นยาวางตำตาอยู่ข้างเตียง แต่เสียงล้งเล้งของจานชามที่กระทบกันทำให้เจ้าของห้องกลัวใจว่า ชามพลาสติกจะชิงอำลาตำแหน่งไปก่อนวัยอันควร เด็กหนวดจึงใช้สิทธิของคนป่วยออเซาะรุ่นพี่อย่างเต็มที่ไม่มีเหน็ดเหนื่อย

“โทษที ๆ พี่ชายยังไม่ได้เตรียมไว้ให้” คนพูดที่กำลังคว่ำชามใบสุดท้ายลงในกะละมังรีบล้างไม้ล้างมือแล้วเดินเข้าไปจัดยาลดไข้ กับยาลดน้ำมูกตามที่พี่คนเฝ้าหอพักให้มาทันที “อ่ะนี่ยา ค่อย ๆ กินนะ”

“ขอบคุณครับ”

“ยิมนอนเถอะ” สายเปย์เอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นรูมเมทจัดการกับยาทั้งสองเม็ดจนสิ้นซาก แต่ยิมกลับฉุดข้อมือของเขาเบา ๆ พร้อมกับออกปากเชื้อเชิญอย่างนุ่มนวลหากแต่ไม่ทิ้งลวดลายออเซาะลงอย่างใด

“ผมยังอิ่มอยู่เลยครับพี่ เรามานั่งคุยกันสักแป๊บนึงได้ไหมครับพี่ชาย?”

“ยิมอยากคุยอะไรเหรอ?” แรงฉุดเบา ๆ ทำให้เด็กปีสามยอมนั่งลงตามคำขออย่างง่ายดาย

“พวกเราชอบกัน ผมเข้าใจถูกใช่ไหมครับ?”

“อือ” วินาทีนี้ ชายชาตรีไม่อาจแยกแยะได้อีกต่อไปแล้วว่าเป็นเพราะคำถาม หรือคำตอบกันแน่ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกหวิวไหวในทรวงอกอย่างที่ไม่เคยเป็น ครั้นจะหักใจลุกหนีไปทางอื่น ฝ่ามือชื้นเหงื่อของอีกฝ่ายที่สอดประสานกันไว้ก็ดันทำให้สายเปย์หน้าเข่ารู้สึกฟินอย่างไรบอกไม่ถูก

“พี่ชายชอบผมตรงไหนเหรอครับ?” เมื่อเห็นรุ่นพี่นิ่งไป เด็กวิศวะก็ร่ายต่อทันที “หน้าตาผมก็ไม่ได้ดีอะไร แถมผมยังเป็นแค่เด็กวัดที่ต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองงก ๆ อีก”

“ใครบอกล่ะว่ายิมหน้าตาไม่ดี พี่ชายว่ายิมหล่อออก” ชายชาตรีแย้งทันควันด้วยน้ำเสียงจริงจัง...

ทันทีที่ยิมก้าวเท้าออกจากห้องน้ำเมื่อเย็นวาน เด็กบริหารก็อดเปรียบตัวเองเป็นนางรจนาไม่ได้ เพราะภายใต้เครือเถาเคราหนวดรกครึ้มกว่าครึ่งหน้า มีเนื้อทองต้องตาถูกซุกซ่อนเอาไว้จริง ๆ ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อใบหน้าหล่อ ๆ มาเจอกับเรือนร่างกำยำล่ำสันสมชาย ความวัวตายควายล้ม และคุณค่าที่คู่ควรต่อการอมตั้งแต่หัวจรดเท้าจะไปไหนเสีย

“หืม? ผมเนี่ยนะครับหล่อ?”
“ใช่! แถมยิมยังหุ่นดีมาก ๆ ด้วย” รุ่นพี่พยักหน้าแข็งขัน
“แปลว่าถ้าหน้าตากับหุ่นผมไม่เป็นแบบนี้ พี่ชายก็จะไม่ชอบผมงั้นเหรอครับ?” คนถามเลิกคิ้วพลางหรี่ตาจับจ้องรูมเมทอย่างไม่วางใจ

“เปล่านะยิม! พี่ชายชอบยิมเพราะยิมใจดี มีน้ำใจ อดทนกับความไม่เอาไหนของพี่ชายได้สารพัด แถมยิมยังคอยเป็นห่วง คอยคิดถึงความรู้สึกของพี่ชายก่อนคนอื่นเสมอ ที่สำคัญ ถ้ายิมไม่ช่วยพี่ชายไว้ ป่านนี้ไม่รู้พี่ชายจะเป็นยังไงบ้าง” หลังจากพรั่งพรูความในใจเสียยืดยาว เด็กปีสามก็แอบอ้อมแอ้มทิ้งท้ายเบา ๆ กับตัวเอง“เรื่องหุ่นกับหน้าตาเป็นแค่ผลพลอยได้เฉย ๆ หรอก”

“งั้นต่อไปผมจะยิ่งใจดีกับพี่ชายขึ้นอีกร้อยเท่า ผมจะอดทนกับพี่ให้มาก ๆ  ผมจะคอยเป็นห่วงพี่ คอยดูแล คอยคิดถึงพี่ที่สุด ผมจะทำให้พี่ขาดผมไม่ได้ พี่ชายจะได้รักผมคนเดียวดีไหมครับ?”

“...อือ...” หนุ่มบริหารรับคำพลางเบือนหน้าหลบไปอีกทางเมื่อคนนั่งข้าง ๆ ชะโงกหน้าเข้ามาคุยด้วยใกล้ ๆ หนำซ้ำยังคอยส่งสายตายั่งยวนให้เขาตลอด ๆ

บ้าจริง! ไอ้ที่ยิมกินมันยายี่ห้อไหนกันนะ?
สงสัยพรุ่งนี้พี่ชายต้องลงไปถามพี่เขาดูเสียแล้ว พี่ชายจะไปกว้านซื้อมาให้หมดตลาดเลยคอยดู!

“แต่ผมถามจริง ๆ นะพี่ หน้าตาอย่างผมนี่เรียกหล่อเหรอครับ?” คนป่วยยังไม่แน่ใจกับประเด็นนี้สักเท่าไร เพราะเท่าที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครลงความเห็นว่าเขาเข้าข่าย คนหล่อตามสมัยนิยมเลยสักคน

ชายชาตรีพยักหน้าพลางพึมพำเสียงแผ่ว “ต่อไปยิมไม่ต้องโกนหนวด ไม่ต้องตัดผมอีกเลยนะ พี่ชายหวง”

คำตอบของรุ่นพี่ทำเอาคนป่วยกลั้นยิ้มจนแก้มแทบจะเป็นตะคริวก่อนจะยิงคำถามข้อใหม่ใส่อีกฝ่ายโดยไม่ละล้าละลัง“แล้วพี่ชายไม่อยากรู้บ้างเหรอครับว่าทำไมผมถึงชอบพี่?”

“พี่ชายอยากรู้ แต่พี่ชายไม่กล้าถามยิมก่อนหรอก”

“แรก ๆ ผมว่าผมแค่เป็นห่วงพี่แหละ ผมไม่อยากให้พี่เสียใจเพราะเสียรู้ให้ใคร แต่พอรู้จักพี่นาน ๆ เข้า ผมว่าพี่เป็นคนน่ารักดี เวลาอยู่กับพี่ ผมหัวเราะได้ทั้งวัน แถมพี่ยังไม่เคยโกรธ ไม่เคยคิดร้ายกับใคร ตรงนั้นล่ะมั้งครับที่ทำให้ผมค่อย ๆ ชอบพี่มากขึ้นเรื่อย ๆ ” ระหว่างสารภาพความรู้สึกต่อคู่สนทนา ภาพเหตุการณ์ทั้งสุขและทุกข์ของพวกเขาทั้งสองก็ฉายชัดขึ้นในห้วงคำนึงอย่างห้ามไม่ได้  

“แต่พี่ชายหน้าตาไม่ดีนะยิม ยิมโอเคใช่ไหม?” คนถามยู่หน้าเป็นเหนียงกระบือชราที่ย่นจนเห็นเป็นชั้น ๆ  

“ผมว่าพี่น่ารักกำลังดีแล้วล่ะครับ ขืนหล่อกว่านี้ผมคงต้องตามหึง ตามหวงพี่จนพี่เบื่อผมไปก่อนแน่ ๆ ครับ” เป็นเพราะสีหน้าคงฟังยังคงไม่สดใส เด็กวิศวะจึงจัดชุดใหญ่ไฟกะพริบแถมตามไปอย่างใจป้ำ “ถ้าพี่ชายไม่น่ารักถูกใจผม ผมไม่มีทางยอมให้พี่ชายลูบ ๆ คลำ ๆ นมผมง่าย ๆ หรอกนะครับ”

“ยิมรีบนอนเถอะ ไข้จะได้ลดเร็ว ๆ ” การต้องทนฟังอีกฝ่ายเท้าความถึงวีรกรรมของตัวเองต่อหน้าต่อตาทำให้ชายชาตรีรีบตัดบทเพื่อลดระดับความเขินอายไม่ให้ทะลุเพดานห้องไปเสียก่อน รุ่นพี่ปีสามรีบลุกขึ้นยืน ก่อนจะบรรจงจัดท่าทาง วางแขนขาให้เด็กวิศวะสามารถนอนหลับได้อย่างสบายเนื้อสบายตัว ทว่าจังหวะที่บุรุษพยาบาลจำเป็นกำลังจะหมุนตัวเดินไปหลบมุมแอบทำหน้าแดงไกล ๆ คนไข้กลับรั้งข้อมือเอาไว้เสียก่อน

“พี่ชายจะไปไหนครับ?”

“พี่ชายว่าจะเก็บห้องหน่อยน่ะ ยิมนอนเถอะนะ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเที่ยง ๆ พี่ชายปลุกมากินข้าว”

“พี่ชายนอนเป็นเพื่อนผมได้ไหมครับ?”

“ทำไมล่ะยิม ยิมนอนไม่หลับเหรอ?” ถึงปากจะเอ่ยถาม แต่สายตาเว้าวอนของเด็กหนวดก็ทำให้ชายชาตรียอมทอดตัวลงนอนข้าง ๆ เฟรชชี่ต่างคณะแต่โดยดี ฝ่ายวิศวะปีหนึ่งที่โดนพิษไข้ครอบงำสติสัมปชัญญะกว่าครึ่งก็ดึงตัวอดีตสายเปย์มากอดก่ายต่างหมอนข้างด้วยความว่องไวจนชายชาตรีอ้าปากค้างเพราะนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะปากว่ามือถึงได้ขนาดนี้

เอาแล้วสิ เอาแล้วสิ อยู่ดี ๆ ยิมก็คว้าตัวพี่ชายเข้าไปกอด!
หรือจริง ๆ แล้วยิมกำลังคิดการณ์ใหญ่อยากถือครองตำแหน่งว่าที่เหนือชายให้ได้โดยเร็ว?!
ไม่ได้นะ! ยิมจะกอดพี่ชายนอนไม่ได้! มันล่อแหลมเกินไป เดี๋ยวเกิดผิดผีขึ้นมาจะทำไงกันล่ะ?!

แต่แล้วจู่ ๆ จินตนาการอันสวยหรูของสายเปย์กลับพังพินาศไม่เป็นท่าเมื่อประโยคที่ตามมาของยาจกผู้ที่เค็มจนเกลือทะเลยังต้องนับญาติลอยเข้าหู “เปล่าครับ ผมกลัวว่าถ้าผมปล่อยพี่ไป เดี๋ยวห้องเราจะไฟไหม้อีกน่ะครับ”

อ๋อ! พี่ชายรู้แล้วล่ะว่าทำไมยิมถึงกอดพี่ชาย ขอบใจนะยิมที่ให้ความหวังพี่ชายแต่พอดี

$$$$$$$$

“เมื่อไรมึงจะเลิกตามกูเสียทีห๊ะไอ้การ์ตาร์?” แม้จะจำไม่ได้ว่าเผลอตวาดใส่ไอ้เด็กเวรตะไลไปแล้วกี่หน แต่ตราบใดที่เสียงยังไม่แหบและคอยังไม่แตก พิชญ์ก็ตั้งใจที่จะพูดภาษาดอกไม้แดกอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ เพื่อให้สาสมกับการที่มันลากเขามาถึงที่นี่ทั้ง ๆ ที่เขาตั้งใจจะมาหาเพื่อนตามลำพัง

“ก็ผมบอกพี่แล้วไงว่าผมจะมาเยี่ยมเพื่อนผม”
“ตอแหล!
“เบา ๆ สิครับ คนอื่นเขามองพี่กันหมดแล้วนะ”
“เขาออกมาดูน้ำหน้าไอ้คนตอแหลอย่างมึงต่างหาก!
หนึ่งเดียวถอนหายใจหนัก ๆ ให้กับความดื้อด้านของคนแก่แต่ตัว กระนั้นก่อนที่อีกฝ่ายจะกินหัวเขาสำเร็จสมใจ เด็กหนุ่มก็เดินนำหน้ารุ่นพี่มาหยุดตรงหน้าประตูไม้ซอมซ่ออันเป็นจุดหมายปลายทางของบ่ายวันนี้เป็นที่เรียบร้อย

หลังจากลงมือเคาะห้องได้เพียงไม่นาน บุรุษพยาบาลจำเป็นก็มายืนทำหน้าเอ๋ออยู่ด้านหลังบานประตูที่เปิดอ้า “น้องเดียว?!

เดียวยังไม่ทันจะได้ส่งเสียงสักแอะ ร่างเขาก็โดนคนแคระผลักไปอีกทางเพื่อเข้ามายืนแทนที่ “อ่ะ! กูเอาของมาให้แล้ว!” พิชญ์ยื่นถุงหูหิ้วหลายใบส่งให้สหายหน้าเข่าโดยไม่พูดพล่ามทำเพลง

“มีของที่พี่ผึ้งฝากมาด้วย พี่ผึ้งบอกว่าต่อให้ยิมมันจะยังไม่หายดี แต่วันนี้พวกมึงก็ต้องไปทำงาน ถึงจะต้องคลานไปยังไงก็ต้องมา เข้าใจไหมไอ้ชาย” ชายหนุ่มรูปร่างสันทัดไม่วายเลียนแบบสุ้มเสียง รวมถึงท่วงท่าน่าเกรงขามของตัวอ่อนมนุษย์ป้าเพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับชมให้มากยิ่งขึ้น

“อืม ขอบใจนะ เข้ามาก่อนสิพิชญ์”

“งั้นกูไม่เกรงใจแล้วนะ”

“มา ๆ เข้ามาเลย เราสองคนยินดีต้อนรับ” ชายชาตรีผายมือเชื้อเชิญด้วยสีหน้ายิ้มแย้มระคนภาคภูมิใจในรังรักของตน ทว่าอีกฝ่ายกลับทำหน้าย่นพลางมองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาสับสนปนเวทนาในชะตากรรมของเกลอรัก  

“โห! ห้องมึงนี่โคตรเล็กเลยว่ะ!” ยังไม่ทันที่พิชญ์จะได้วิจารณ์ห้องเช่าของยาจกยิมจนเสียหาย เสียงที่สี่ก็แทรกขึ้นกลางปล้อง

“เฮ่ยไอ้ยิม! ของอะไรเยอะแยะเนี่ย?” หนึ่งเดียวร้องถามเจ้าของห้องที่นั่งหน้ามันอยู่หน้าเตาไฟฟ้า “อ้าว! แล้วนั่นมึงทำอะไร ทำไมไม่นอนพัก?”

“มึงใช้แรงงานคนป่วยเหรอวะชาย? แล้วอย่างนี้เมื่อไรไอ้ยิมมันจะหายล่ะ?” จอมเหวี่ยงหันไปมองสายเปย์หน้าเข่าอย่างเอาเรื่อง

“เปล่าหรอกครับ ผมแค่ลุกขึ้นมาช่วยพี่ชายหยิบนั่นหยิบนี่เฉย ๆ ” ยิมออกหน้าอธิบายโดยปิดบังข้อเท็จจริงกว่าเก้าสิบเปอร์เซนต์เอาไว้อย่างมิดชิด... ก็ใครล่ะจะอยากให้คนที่ชอบถูกคนอื่นมองไม่ดี จริงไหม?

“เออ ว่าแต่พิชญ์มาได้ยังไง? ตอนบ่ายมีเรียนอีกสองตัวไม่ใช่เหรอ?” สายเปย์มีสีหน้าสงสัย เพราะร้อยวันพันปี หากไม่มีเรื่องจำเป็นหรือเจ็บป่วยจนเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ พิชญ์แทบไม่เคยขาดเรียน

“กูเป็นห่วง กลัวมึงจะทำไอ้ยิมมันตายเสียก่อนเลยโดดมาดูมึงอีกที แต่มึงไม่ต้องกลัวนะ พี่ผึ้งรับปากว่าจะเลคเชอร์แทนพวกเราแล้ว” แม้ปากจะพูดไปแบบนั้น แต่ทั้งพิชญ์และสายเปย์ต่างมองหน้าด้วยสายตาห่วง ๆ อย่างไรก็ไม่รู้

“พี่ผึ้งเลคเชอร์... จะดีเหรอพิชญ์?”

“... อืม...” จอมเหวี่ยงตอบคำด้วยสายตาว่างเปล่าจนชายชาตรีเดาได้ว่า เพื่อนรักคงจะกำลังพยายามสะกดจิตตัวเองให้เชื่อตามนั้นอยู่แน่ ๆ

“มึงก็โดดเหรอวะเดียว?” ยิมละสายตาจากหม้อข้าวต้มตรงหน้าแล้วหันไปถามเพื่อนตัวเอง

“กูก็เป็นห่วงมึงเหมือนพี่พิชญ์เขาไง กูเลยรีบมาดูอาการมึง”
“ตอแหล!
“พี่พิชญ์หิวหรือยังครับ?” ทักษะการตีมึนของนายหนึ่งเดียวยังคงดีเลิศ เพราะนอกจากจะไม่รอฟังคำตอบของรุ่นพี่แล้ว ชายหนุ่มยังหันไปคุยกับเจ้าถิ่นโดยไม่สนสีหน้าอินทร์หน้าพรหมใด ๆ ทั้งสิ้น “ยิมแถวนี้ร้านไหนอร่อยวะ? กูว่ากูจะพาพี่พิชญ์ไปกินข้าว ตอนออกมาเขายังไม่ได้กินอะไรเลย”

“ร้านตรงปากซอย ตรงข้ามร้านขายยาอ่ะ ร้านนั้นอร่อยแถมถูกด้วย”

“เออ ๆ ขอบใจว่ะ งั้นพวกกูไปก่อนนะ ไม่กวนมึงกับพี่ชายแล้ว พักผ่อนเยอะ ๆ นะมึง” เดียวฉุดแขนรุ่นพี่จอมเหวี่ยงออกจากห้องไปทันทีที่พูดจบประโยค จากนั้นยาจกทั้งสองก็ได้ยินเสียงพิชญ์คำรามลั่นตึก กระนั้นคนป่วยกับบุรุษพยาบาลจำเป็นกลับยังเบาใจ เพราะเมื่อเสียงตวาดเงียบไปสักพัก ก็ไม่มีเสียงหวอของรถร่วมฯ ภายหลังเหตุรุ่นพี่บันดาลโทสะจนพลั้งมือฆ่าเด็กปีหนึ่งตายดังขึ้นแต่อย่างใด  
.
.
.
.
.
“ขอโทษนะยิม ไว้พี่ชายจะหัดทำกับข้าวให้เก่ง ๆ นะ” สายเปย์ปรารภขึ้นด้วยความรู้สึกเต็มอก เพราะตั้งแต่รู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกครั้ง เด็กหนวดก็อาสาทำอาหารกลางวันให้ทั้ง ๆ ที่ยังไม่หายป่วยแท้ ๆ

“พี่ชายไม่ต้องฝืนตัวเองจนเกินไปหรอกครับ อะไรที่ยังไม่เก่งก็ค่อย ๆ เรียนรู้ฝึกฝนกันไป ส่วนตอนนี้ พี่ชายก็แค่ทำในสิ่งที่พี่ชายทำได้ดีไปพลาง ๆ ก่อน ตกลงไหมครับ?”

“พี่ชายทำอะไรได้ดีเหรอยิม?” ราวกับรอฟังคำถามข้อนี้มานานปี เพราะทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ของชายชาตรี เฟรชชี่ก็ทำตาเป็นประกายพลางอมยิ้มกรุ้มกริ่มอีกคำรบ

“ป้อนข้าวผม หายาให้ผมกิน นอนให้ผมกอด แล้วพอผมหลับก็ลุกขึ้นมาแอบเช็ดตัวให้ผมอีกยังไงล่ะครับ”

แทนที่จะขวยเขินเหมือนทุกที กลายเป็นว่ารุ่นพี่ออกอาการตระหนกตกใจเมื่อโป๊ะแตกจนโดนคนไข้จับไต๋ได้จั๋งหนับ “ยิมรู้?!

“ครับ” เด็กวิศวะยิ้มร้ายพลางส่งสายตาล้อเลียนสายเปย์อย่างไม่ไว้ชีวิต “แต่เถ้าผมหลับรอบนี้ พี่ชายไม่ต้องเช็ดข้างหน้าผมให้สะอาดเกินไปก็ได้นะครับ ผมหนาวนม” เพื่อตอกย้ำความประทับใจ ยิมจึงซ้ำเข้าให้อีกหนึ่งดอกถ้วน “ไว้ผมหายดีเมื่อไร ผมจะถอดเสื้อให้พี่ชายจับทั้งวันเลยดีไหมครับ?” ขณะที่ชายชาตรีเอาแต่อายม้วนไม่ตอบโต้อยู่นั้น คนป่วยก็นั่งกุมท้องห่อตัวหลังโดนอาการขำขันเข้าจู่โจมจนท้องคัดท้องแข็ง


……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...


ความในใจทิ้งท้ายตามสไตล์ชายชิค ๆ :
เมื่อก่อนชายเคยอ้อนขอเงินคุณชายพ่อไปโมหน้า
คุณชายพ่อบอกให้ชายรอจนกว่าจะทำงาน และได้รับเงินเดือน ๆ แรกก่อน แล้วค่อยกลับมาคุยกันใหม่

แต่หลังจากเจอยิม ชายก็เลิกล้มความคิดที่จะทำศัลยกรรมไปตลอดกาล
หลัก ๆ แล้วเป็นเพราะยิมบอกว่าชายสมบูรณ์แบบ และยิมรักชายแบบที่ชายเป็น

ส่วนที่เหลือน่ะเหรอ? ก็เพราะยิมบอกชายว่า ถ้าชายหอบเงินแสนเงินล้านไปจ้างคนอื่นให้เฉือนหน้าจริง ๆ  
ยิมคงต้องวิ่งรอกทำงานงก ๆ จนไม่มีเวลาให้ชายช่วยปรับ หลบอมบ่มนิสัยให้เหมือนทุกวันนี้แน่ ๆ #ยอมหน้าสดดีกว่าอยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ


 $$$$<| TBC |>$$$$