Monday, May 28, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#11|| 28.05.2018


#11

น่ารัก เมื่อเธออยู่ใกล้ หวาน หวานละไม นี่แหละใจของเธอ
ซ่อนใจ ฉันไม่กล้าเสนอ เกรงว่าฉันจะเก้อ เธอรักก่อนได้ไหม
หากรัก บอกมาค่อยๆ ขวัญ ฉัน จะลอย ลิ่วไปไกลแสนไกล
โธ่เอ๋ย ขวัญมันคงหวั่นไหว ยามที่เห็นเธอใกล้ ใจฉันสั่นละเมอ
น่ารัก - ชัยรัตน์ เทียบเทียม

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

“กลับยัง” พี่ฟี่ถามขึ้นตอนที่แกหิ้วกระเป๋าคอมฯ ตั้งท่าพร้อมกลับบ้าน ปกติแล้ว หากไม่มีงานเร่งด่วนหรือคั่งค้าง คอนซัลท์ส่วนใหญ่มักจะเข้าและเลิกงานตามเวลางานของบริษัทลูกค้า แต่เหตุที่วันนี้พี่ฟี่อยู่เย็น เพราะแกต้องช่วยดูระบบให้จูเนียร์อีกคนที่ดูแลโปรเจคของลูกค้าเจ้าอื่น

ส่วนผมน่ะเหรอ... ก็หางานนั่นนี่ทำพอเป็นพิธี ขาเม้าท์แถว ๆ นี้จะได้ไม่รู้ว่าเย็นนี้ผมแอบนัดไปซิ่งกับผู้ชายไง “เดี๋ยวทำอันนี้เสร็จก่อนค่อยกลับอ่ะพี่”

“ด่วนเหรอ” แกยันฝ่ามือเท้าโต๊ะแล้วชะโงกมองหน้าจอระบบตัวตั้งต้นที่ผมกำลังตั้งค่าพลางบีบหัวไหล่ผมเบา ๆ ก่อนจะนิ่วหน้านึก “แต่กว่าจะพรีเซนต์อีกทีก็อีกตั้งหลายวันไม่ใช่ไง... ไป ๆ กลับกัน พรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อ”

“เหลืออีกนิดเดียวเองพี่ พี่กลับก่อนเลยไม่ต้องห่วงผม”

“เออ ๆ ตามใจ” ผมแอบโล่งใจที่พี่ฟี่ไม่เร้าหรือทั้งที่ฝีมือระดับแกย่อมรู้อยู่แล้วว่าเนื้องานที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอคอมฯ ผมนั้นจิ๊บจ๊อยขนาดที่ถ้าเก็บไว้ทำพรุ่งนี้ก็ไม่เสียหาย แต่ก็นั่นแหละ ตราบใดที่พี่หนาวยังไม่เลิกประชุม ทำงานเพลิน ๆ ไประหว่างรอก็คุ้มกว่าไปเสียตังค์นั่งจิบสตาร์บัคส์ฆ่าเวลาอยู่ดี

“เอ้อ ก่อนกลับก็อย่าลืมปิดไฟปิดแอร์ให้เขาด้วยล่ะ” พี่ฟี่หยุดยืนตรงหน้าประตูแล้วเอี้ยวตัวหันกลับมาย้ำนโยบายประหยัดพลังงานของลูกค้าให้ผมฟังทิ้งท้าย ตัวผมยังไม่ทันตอบเพราะจู่ ๆ กลับมีเสียงเคาะประตูดังแทรกขึ้นพร้อม ๆ กับที่ท่าน HR Director โผล่หน้าเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว

“เฮ่ย?!
“เอ่อ ขอโทษครับ” พี่หนาวยังคงอึ้ง ๆ เพราะเมื่อกี้ลุงแกหวิดเปิดประตูฟาดหน้าพี่ฟี่ ในขณะที่ผมเองก็นั่งเอ๋ออ้าปากหวอมองหน้าทั้งคู่สลับกันไปมา

“พี่ว่าพี่กลับเลยดีกว่า” ผู้หญิงเพียงคนเดียวในที่เกิดเหตุไหวตัวก่อนใครเพื่อน พี่ฟี่กระชับสายกระเป๋าบนไหล่ ถลึงตาใส่ผมหนึ่งจึ๊ก จากนั้นจึงหันไปทิ้งท้ายกับคนมาใหม่ด้วยรอยยิ้มแบบมีเลศนัยสุด ๆ “กลับก่อนนะคะคุณหนาว”

“เชิญครับ”
.
.
.
.
“จริง ๆ เมื่อกี้คุณไม่ต้องมาหาผมที่ห้องก็ได้นะครับ แค่ไลน์มาบอกว่าให้ผมไปเจอที่ไหนก็พอ” ทันทีที่พริอุสคันงามเคลื่อนตัวลงสู่ถนน ผมก็เปรยกับคนขับด้วยน้ำเสียงเกรงใจ

“ผมไม่แน่ใจว่าจะประชุมเสร็จเมื่อไร ผมเลยไม่อยากให้คุณไปคอยเก้อ”

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเมื่อกี้ผมดีใจแทบตายเมื่อรู้ว่าเขาอุตส่าห์เดินมารับถึงห้อง “แต่ถ้าคนอื่นเห็น...”

“ใครจะคิดยังไงก็ปล่อยเขาเถอะ” พี่หนาวตัดบทเสียงเรียบเสียจนผมเผลอกลืนหางเสียงลงคอไปจนหมด... จิตใจลุงแกทำด้วยหินผาหรือไงถึงได้สตรองได้กระทั่งเรื่องที่โดนมองว่าเป็นเกย์ นี่ผมกำลังเป็นห่วงพี่อยู่นะเว่ย ไม่เข้าใจหรือไง

ขณะที่ผมพยายามนึกถึงเหตุผลอื่น ๆ มาโน้มน้าวให้แกตระหนักถึงปัญหา แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายดูจะ Fast & Furious หนักกว่าเมื่อวาน ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า ระหว่างวันลุงแกอาจจะเปลี่ยนใจไม่อยากพาผมไปหาลูกสาว แต่เพราะอยากเสียมารยาทลั่นคำปฏิเสธเอานาทีสุดท้าย พี่หนาวเลยต้องมาระบายความคับแค้นใจผ่านการขับรถซิ่ง “เอ่อ ถ้าวันนี้ไม่สะดวก เราเลื่อนนัดไปก่อนดีไหมครับ ไว้ผมค่อยไปเจอปลาวาฬวันหลังก็ได้ครับ”

“ไม่ได้หรอก ปลาวาฬตื่นเต้นอยากเจอคุณมากนะ”

“เอ่อ ครับ” แค่พี่หนาวพูดเพียงประโยคเดียว ผมก็เลิกคิดฟุ้งซ่านทันที

“วันนี้งานเป็นยังไงบ้าง”

“งานก็เรื่อย ๆ ครับ” เมื่อความรู้สึกคับข้องใจหายไป ผมก็แอบเหลือบมองหน้าอีกฝ่ายเหมือนทุกทีที่สบโอกาส แต่พอเห็นพี่หนาวชายตามองสบมาพอดี ผมก็หลบตาแสร้งหันไปมองนอกหน้าต่างพลางพรั่งพรูเรื่องงานกลบเกลื่อนทันควัน “ตอนนี้ผมกำลังออกแบบกับวางระบบจำลองแล้วก็เตรียมเอกสารเป็นหลัก เลยยังไม่ยุ่งเท่าไร แต่ถ้า Blueprint อนุมัติปุ๊บ ชีวิตหลังจากนั้นก็จะวุ่นวายขึ้นอีกนิดนึงครับ”

อาจเป็นเพราะวันนี้เราเลิกงานช้ากว่าปกติ การจราจรจึงคล่องตัวกว่าตอนที่เกือบทุกออฟฟิศในย่านนี้เร่งระบายรถลงจากตึกโดยพร้อมเพรียงกัน ท้องถนนที่มีพอพื้นที่ว่างให้ทำความเร็วส่งเสริมให้ยวดยานส่วนใหญ่พุ่งไปข้างหน้าอย่างลิงโลด พี่หนาวเร่งเครื่องยนต์ก่อนจะเบี่ยงข้ามเลนอย่างคล่องแคล่วหากแต่นุ่มนวลจนผมแอบนึกทึ่งในใจ ขณะกำลังเพลิดเพลินกับฝีมือการขับขี่อันเหนือชั้นของท่าน HR Director อยู่นั้นเอง อยู่ ๆ ร่างหลังพวงมาลัยก็หันมามองผมแล้วเอ่ยถามรวดเร็ว “คุณได้คุยกับเซียงบ้างหรือยัง”

“วันนี้ยังครับ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมสัญญาว่าถ้ามีปัญหาอีก ผมจะบอกพี่จี๊ดทันทีครับ”

“นอกจากคุณจี๊ดแล้วคุณก็ต้องบอกผมด้วย” พี่หนาวเอี้ยวมองผมแล้วยกมุมปากขึ้นอย่างขี้เล่น “ลืมผมแล้วเหรอคุณ”

“ครับ ๆ ไม่ลืมครับ” ผมก้มหน้างุดพลางสั่งตัวเองให้จำว่าลุงไซด์ไลน์ตอนอารมณ์ดี ๆ มีอานุภาพทำลายล้างสูงเกินรับมือ แต่ถึงจะเขินอีกฝ่ายแค่ไหน ผมก็ไม่ยอมนั่งอมลิ้มเป็นใบ้ทั้งที่ได้อยู่กับพี่หนาวสองต่อสองหรอก “ปลาวาฬเรียนพิเศษเยอะเหมือนกันนะครับ”

“คุณว่าเยอะเหรอ... อืม” คนขับครางในลำคอพลางขมวดคิ้วคล้ายกำลังนึกอยู่ว่าที่จริงแล้วควรตอบผมอย่างไรดี ซึ่งท่าทางจริงจังเกินพอดีกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขานี่แหละที่ทำให้ผมรู้สึกครึ้มใจจนเผลอเล่าเรื่องส่วนตัวออกไปจนได้

“ก็เยอะกว่าตอนผมเป็นเด็กนะครับ” พอนึกถึงตัวเองตอนอายุไล่เลี่ยกับปลาวาฬขึ้นมาทีไร ผมก็อดหัวเราะไม่ได้ทุกที

สมัยเด็ก ๆ ผมเนิร์ดมาก เนิร์ดแบบที่ถ้าจับเด็กทั้งชั้นปีมายืนเรียงแถวหน้ากระดานกัน ผมคือเหยื่อรายแรก ๆ ที่ครูจะเรียกไปร่วมฟอร์มทีมอเวนเจอร์ตอบปัญหาวิชาการ ไม่ก็ประกวดสวดมนต์หมู่ทำนองสรภัญญะหรืออะไรเทือก ๆ นั้น

ผลจากการเดินสายชิงถ้วยรางวัลให้โรงเรียนทำให้ผมขาดเรียนบ่อยจนตามเทรนด์เพื่อนในห้องไม่ทัน พอไม่มีเพื่อน ผมก็ยิ่งโหยหาการละเล่นตามวัยไปกันใหญ่ โชคดีที่พี่เอิงเป็นจ่าฝูงของกลุ่มเด็กแถวบ้าน ผมจึงใช้เวลาว่างที่มีทั้งหมดเดินตามตูดพี่ชายต้อย ๆ แน่นอนว่าเมื่อผมกับพี่เอิงเริ่มหายหัวไปจากบ้าน ไอ้สามที่เกิดหลังผมสองปีก็งอแงขอแม่ออกมาเล่นด้วยอีกคนเพราะมันกลัวโดนผมกับพี่เอิงทอดทิ้ง ไป ๆ มา ๆ เลยกลายเป็นว่า ที่ไหนมีพี่เอิงก็จะมีผมที่กระเตงไอ้สามคอยติดตามห้อยท้ายยิ่งกว่าเงา

“ตอนผมอายุเท่าปลาวาฬ พอเลิกเรียนกลับถึงบ้าน นอกจากเล่นการ์ดดิจิมอนกับเกมบอย เด็กผู้ชายแถวบ้านผมก็แทบไม่ทำอย่างอื่นกันแล้วครับ ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็โน่นครับ ขี่จักรยานออกตะลอนกันตั้งแต่เช้า ถ้าแม่ไม่โทรตามคงไม่กลับบ้านกัน”

เสียงหัวเราะทุ้ม ๆ ของพี่หนาวชวนให้ผมหัวเราะตามได้ไม่ยาก “ถ้าเทียบกับผมหรือคุณ ปลาวาฬคงเรียนพิเศษเยอะจริง ๆ น่ะแหละ แต่ถ้าเทียบกับเด็กรุ่นเขา ผมว่าก็น้อยนะ”

“อืม... ครับ” อันที่จริงผมไม่รู้หรอกว่าเด็กสมัยนี้เรียนหนักกันแค่ไหน แต่พอลองนึกดูดี ๆ ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าหลังเลิกเรียน ผมมักจะเห็นพวกเพื่อน ๆ กว่าครึ่งห้องนั่งเรียนพิเศษตอนเย็นต่อจนครูบางคนรวยไปเลย เพราะฉะนั้น ที่พี่หนาวว่ามาก็น่าจะจริง

“ก่อนจะมีปลาวาฬ ผมกับป๊อบปี้เคยคุยกันว่าเราจะไม่ให้ลูกเรียนพิเศษเพราะอยากให้เขาใช้เวลาเล่นให้เต็มที่ แต่ว่ายน้ำนี่ผมเป็นคนขอให้เขาเรียน เพราะอยากให้ปลาวาฬดูแลตัวเองได้เวลาลงน้ำ ส่วนเปียโน เขาชอบของเขาเอง” ผมไม่เคยเบื่อสีหน้าเป็นปลื้มของพี่หนาวเวลาพูดถึงลูกสาวเลยสักนิด ยิ่งมองก็ยิ่งหลงจนอดคิดไม่ได้ว่า ถ้ามีสักครั้งที่เขาทำหน้าแบบนี้เพราะผม ผมคงดีใจจนเป็นบ้าไปเลยแน่ ๆ  

“เรียนเปียโนคือที่พี่ป๊อบปี้พูดถึงเมื่อวันเสาร์น่ะเหรอครับ”

คนขับพยักหน้าก่อนจะตีไฟเลี้ยวแล้วปาดเข้าเลนซ้ายโดยแทบไม่ผ่อนคันเร่ง “ใช่ วันพุธเรียนว่ายน้ำ ส่วนวันเสาร์เรียนเปียโน”

“ว่ายน้ำนี่เรียนที่ไหนเหรอครับ” ที่ผมสงสัยเพราะอยู่ ๆ เจ้าของรถก็เลี้ยวเข้ารั้วมหาวิทยาลัยที่อยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศเท่าไรนัก

“ที่นี่ไง” ก่อนที่ผมจะพูดอะไร พริอุสก็ค่อย ๆ ลดความเร็วแล้วจอดนิ่งอยู่ในซองข้าง ๆ รถตู้สีดำคันใหญ่ ผมเลื่อนสายตามองตามพี่หนาวไปจนสุดแล้วจึงพบว่า บนผนังกำแพงไม่ใกล้ไม่ไกลมีป้ายสระว่ายน้ำมาตรฐานประจำมหาวิทยาลัยติดอยู่ พี่หนาวคงรู้ว่าผมเห็นป้ายนั้นแล้ว เขาเลยดับเครื่องแล้วหันมาพยักเพยิดให้ผมเตรียมตัว  “ไปครับ ถึงแล้ว”
.
.
.
.
หลังจากขึ้นบันไดไม่กี่ขั้น กลิ่นชื้น ๆ สะอาด ๆ เฉพาะตัวของสระว่ายน้ำกับเสียงตีน้ำกับเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ที่ห่างหายไปนานก็ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นและมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ผมคลี่ยิ้มพลางยกมือไหว้ทักทายพี่ป๊อบปี้ที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนอัฒจันทร์ขั้นล่างสุดทันทีที่สบตากัน

“พี่ป๊อบปี้หวัดดีครับ”

“ดีจ้า” พี่ป๊อบปี้เดินยิ้มเข้ามากอดผมแน่นเสียจนผมรู้สึกเขินกับความสนิทสนมที่ได้รับ “เป็นไงบ้างทู สบายดีไหม”

“สบายดีครับ พี่ป๊อบปี้ล่ะครับสบายดีไหม” ผมตอบพลางลูบท้ายทอยแก้เก้อ สารภาพว่าตั้งแต่รู้ใจตัวเอง ผมก็ไม่กล้าสู้สายตาพี่ป๊อบปี้เพราะกลัวจะโดนจับได้ว่าผมอยากจะเคลมพ่อของลูกสาวแกเอามาก ๆ

“แหม ถามเหมือนคนไม่ได้เจอกันนานอย่างนั้นแหละ... พี่สบายดีค่ะ ปลาวาฬอยู่โน่นแน่ะ” ว่าแล้ว พี่ป๊อบปี้ก็ชี้นิ้วไปตรงใจกลางกลุ่มเด็กที่อีกฝั่งของสระก่อนจะเจาะจงจุดนำสายตาที่ถูกต้องให้อีกที “หมวกสีเงินจ้ะ”

พอคุยกับผมเสร็จ พี่ป๊อบปี้ก็หันไปพยักหน้าให้พี่หนาวที่เดินไปนั่งเฝ้าของแทนที่แก ส่วนผมก็ยืนส่องหาเป้าหมายท่ามกลางลูกลิงฝูงใหญ่ตามคำใบ้อย่างตั้งอกตั้งใจ เท่าที่เดาจากเสียงกรี๊ดกร๊าดที่ดังดีไม่มีตก ปลาวาฬน่าจะเรียนเสร็จแล้ว แต่น่าจะยังเล่นติดพันจนไม่อยากขึ้น แต่ทันทีที่หันมาทางนี้เท่านั้นแหละ เจ้าของหมวกว่ายน้ำสีเงินก็ปีนขึ้นจากสระแล้ววิ่งตรงเข้ามาหาด้วยความเร็วสูง

“ปลาทู!

“ครับ” ผมขานรับในจังหวะเดียวกันกับที่เด็กหญิงถลาเข้าใส่ ถึงอ้อมกอดของปลาวาฬจะทำให้ขากางเกงผมเปียกไปทั้งแถบ แต่ผมกลับอดยิ้มไม่ได้ที่แฟนคลับให้การตอบรับอย่างถึงเนื้อถึงตัวดีเหลือเกิน

“คิดถึงปลาทูจังเลยค่ะ” ดวงตากลมโตสดใสที่จ้องมองผมด้วยความดีใจทำให้หัวใจผมพองฟูด้วยความตื้นตัน เด็กอะไร... ทำไมต้องน่ารักขนาดนี้

“อาทูก็คิดถึงปลาวาฬเหมือนกันครับ” ผมแกะมือแกออกแล้วย่อตัวลงนั่งยอง ๆ เพราะอยากมองหน้าคู่สนทนาให้ชัด ๆ

“ปลาวาฬ มาเช็ดตัวก่อนลูก ดูสินั่น ลูกทำอาทูเปียกหมดแล้ว” พี่ป๊อบปี้พูดพลางค้นกระเป๋าแล้วหยิบผ้าสีฟ้าผืนใหญ่ออกมากางก่อนจะหันมามองผมด้วยสายตาขอโทษขอโพย

“ไม่เป็นไรครับ” ถึงผมจะพูดอย่างนั้น พี่ป๊อบปี้ก็รีบเดินเข้ามาเอาผ้าห่อตัวลูกสาวเอาไว้ ซึ่งนอกจากมันจะช่วยให้ปลาวาฬตัวอุ่นขึ้นแล้ว หยดน้ำตามตัวเด็กหญิงที่เคยทำผมเปียกก็ดูจะหมดพิษสงลงทันที

“ปลาทูอยู่เล่นกับปลาวาฬก่อนนะคะ อย่าเพิ่งกลับ” ฝ่ามือเล็ก ๆ ใต้ผ้าขนหนูลายเอลซ่าขย่าแขนผมขณะเจ้าตัวส่งเสียงออดอ้อนไม่หยุด... เอาเลขบัญชีมา เดี๋ยวอาทูโอนค่าเล่าเรียนให้เลย!

“ครับ”

“คุณรีบพาลูกไปล้างตัวเถอะ เดี๋ยวจะได้กลับบ้านกัน” พี่หนาวคงจะเห็นว่าลูกสาวเริ่มหนาวจนต้องยืนซอยเท้าคุยกับผมแกเลยขัดขึ้น

“ปลาวาฬ... ไปค่ะลูก”

“ปลาทูรออยู่นี่นะคะ ปลาวาฬไปอาบน้ำเดี๋ยวเดียว” เด็กหญิงยิ้มแฉ่งก่อนจะวิ่งตื๋อตามหลังคุณแม่ไปอย่างกระตือรือล้น ปล่อยให้ผมเดินนวดแก้มกลับมานั่งตรงอีกฟากของกระเป๋าเอลซ่าใบโตที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นของใคร

“เย็นนี้คุณไม่ติดธุระที่ไหนใช่ไหม”

เสียงพูดจากคนที่นั่งยู่อีกฝั่งดังขึ้นลอย ๆ คล้ายไม่เจาะจง แต่น้ำหนักของสายตาคมที่พักไว้บนหน้าผมเกือบตลอดเวลาทำให้ผมรู้ว่าคำถามนั้นถูกส่งหากันไม่ผิดแน่ ผมส่ายหัวก่อนจะตอบโดยไม่ละสายตาจากริ้วน้ำที่ยิ่งดูระยิบระยับเมื่อโดนแสงสปอตไลท์สีเหลืองนวลสาดส่อง “ไม่ครับ”

“ถ้างั้นก็อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนสิ ปลาวาฬอยากเจอคุณมากนะ” น้ำเสียงของพี่หนาวเว้าวอนเสียจนผมใจหวิว  แล้วผมที่แพ้พ่ายให้ลุงไซด์ไลน์ตั้งแต่แรกเจอจะทำอะไรได้นอกไปจากพยักหน้ารับเชื่อง ๆ แล้วปล่อยให้กายละเอียดหลอมละลายกลายเป็นของเหลวอยู่ตรงนั้น

••••••

คเชนทร์คว่ำกระถางใส่ดอกไม้ที่เพิ่งล้างลงบนชั้นก่อนจะเช็ดมือแล้วเดินมานั่งมองเวลาที่กำลังเล่นกับแมวโดยไม่ส่งเสียง ความเครียดอันเป็นผลจากหน้าที่การงานพลันสลายไปเมื่อเขาได้เฝ้ามองสีหน้าอ่อนโยนของเด็กชายกับท่าทางสุดสบายของก้อนขนสีดำ

วิธีการเข้าหาลูกพี่ของปลาวาฬกับเวลานั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เท่าที่สังเกตและถามไถ่ คเชนทร์รู้มาว่ารายแรกคุ้นเคยกับการเล่นกับสุนัขขนาดใหญ่ที่บ้านคุณตาคุณยายบ่อย ๆ ปลาวาฬจึงไม่รู้วิธีออมแรงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตหน้าขนชนิดอื่น ๆ ที่สำคัญ อาจเป็นเพราะหน้าตาหาเรื่องกับหุ่นย้วย ๆ ของแมวหน้ากาก เด็กหญิงจึงมักจะแสดงอาการหมั่นเขี้ยวระคนเอ็นดูออกมาในทุก ๆ สัมผัส

ผิดกับเวลาที่มักจะค่อย ๆ ลูบกลุ่มขนสีดำเบา ๆ อย่างใจเย็น อย่างเช่นวันนี้ที่เด็กชายเกาคางลูกพี่จนมันแทบจะม่อยหลับคามืออยู่รอมร่อ จึงไม่แปลกหากแมวกวักประจำร้านจะเทียวเดินป้วนเปี้ยนใกล้ ๆ รายหลังมากกว่าปลาวาฬ

“ลูกพี่ติดเวลามากเลยนะ ขนาดกับลุง ลูกพี่ยังไม่ยอมให้ลูบนาน ๆ แบบนี้เลย” เวลายิ้มพรายเมื่ออยู่ ๆ เจ้าเหมียวก็ครางเบา ๆ ในลำคอคล้ายกับจะช่วยยืนยันคำพูดของอดีตนางโชว์ “เห็นไหมครับเวลา เมื่อกี้มันบอกว่ามันชอบให้เวลาเกาคางให้ที่สุดเลย”

“เวลา กลับบ้าน อาม่าให้มาตามแล้ว!

“หืม?” คเชนทร์หันไปมองต้นเสียงที่ดังมาจากหน้าร้าน

“ไปเวลา กลับบ้านกัน” อันที่จริงก่อนหน้านี้ ไอซ์ส่งเสียงเรียกเด็กชายมาหลายรอบแล้วทว่าเด็กหนุ่มกลับไม่วายกังวลว่าลูกเจ้านายจะติดเล่นเสียจนไม่ยอมกลับบ้าน ดังนั้นทันทีที่มอเตอร์ไซค์คู่ใจจอดเทียบตรงฟุตบาทหน้าประตูร้านดอกไม้ เจ้าตัวจึงรีบตะโกนย้ำจุดมุ่งหมายซ้ำอีกครั้ง “เร็วดิเวลา เดี๋ยวพี่ต้องไปซ้อมต่ออีก”

คเชนทร์สังเกตเห็นว่าวันนี้ไอซ์ไม่ได้มาตัวเปล่า หากแต่บนแผ่นหลังมีกระเป๋ากีตาร์สะพายติดมาด้วย เห็นดังนั้น ชายหนุ่มจึงเสนอตัวด้วยความเต็มใจ “เราไปเถอะ เดี๋ยวพี่เดินไปส่งเวลาให้ก็ได้”

“เอ่อ จะดีเหรอพี่” ไอซ์ลังเลอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่ดูเวลาให้เอง” เจ้าของร้านดอกไม้หันไปกวักมือเรียกเด็กชาย “ไปครับเวลา กลับบ้านนะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาเล่นกันใหม่”

พูดจบ คเชนทร์ก็ยื่นมือไปให้อีกฝ่ายจับ ซึ่งเจ้าหนูเองก็ไม่ปล่อยให้เจ้าของแมวหน้ากากต้องเสียหน้าแต่อย่างใด คเชนทร์ก้มมองฝ่ามือเล็ก ๆ ที่ตนกำลังประคองด้วยความรู้สึกตื้นตัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความปรารถนาดีจากใจจริงของเขาก็ทำให้ระยะห่างระหว่างพวกเขาค่อย ๆ หดเล็กลงกว่าที่เคย

ฝ่ายไอซ์ที่ตอนแรกยังชั่งใจ แต่ทันทีที่เห็นปฏิกิริยาของเวลา เขาก็จัดหมวกกันน็อคให้เข้าที่ก่อนจะร่ำลาลูกเจ้านายสั้น ๆ “งั้นพี่ไปก่อนนะเวลา เดินกลับบ้านดี ๆ ล่ะ” เด็กหนุ่มผงกหัวให้คเชนทร์เหมือนเมื่อวานก่อนจะบิดเร่งเครื่องจากไปอย่างรวดเร็ว

แม้ระหว่างทางกลับบ้านเด็กชายจะไม่พูดอะไรกับเขาสักคำ แต่ความเงียบกลับไม่อาจทำลายความรู้สึกดีใจของคเชนทร์ในยามนี้ได้ เจ้าของร้านดอกไม้จูงมือเด็กชายกลับไปยังร้านที่อวลไปด้วยกลิ่นหอมนมเนยอย่างไม่เร่งรีบ ทว่าก่อนจะถึงยังที่หมาย สายตาทิ่มแทงไม่เป็นมิตรของชายไร้มารยาทที่กำลังยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าร้านก็ทำให้เขารู้สึกหัวเสียขึ้นมากะทันหัน

คเชนทร์รับรู้ว่าอีกฝ่ายเห็นเขาแล้ว แต่เจ้าตัวกลับมองเมินก่อนจะกรอกเสียงตะคอกลงในโทรศัพท์รัวเร็วราวกับหายใจด้วยผิวหนัง ดวงตาทั้งสองจ้องมองตำหนิเด็กชายไม่วาง “ไอ้ไอซ์ มึงนี่ใช้ไม่ได้จริง ๆ กูบอกให้มึงแวะไปรับลูกแทนแค่นี้ ทำไมมึงทำไม่ได้ แล้วนี่อะไร ทำไมมึงถึงปล่อยลูกกูให้กลับมากับคนแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้ได้วะ คอยดูนะ เดือนนี้กูจะหักเงินมึงให้หมดเลย!

เมื่อด่าผู้ช่วยจนหนำใจ ธามก็กดตัดสายก่อนจะออกคำสั่งกับเลือดเนื้อเชื้อไขด้วยน้ำเสียงดุดัน “มานี่เวลา”

สีหน้าของเวลาหมองลงอย่างเห็นได้ชัด เด็กชายบีบมือคเชนทร์แน่นแต่สองขากลับไม่ขยับไปไหน ท่าทางต่อต้านกลาย ๆ ที่บุตรชายแสดงออกทำให้ธามหงุดหงิดจนไม่อาจเก็บอาการเอาไว้ได้อีกต่อไป “มาหาป๊าเดี๋ยวนี้นะเวลา!

“เดี๋ยวคุณ! คุณจะทำอะไรน่ะ” ธามไม่เสียเวลาอธิบาย ชายหนุ่มปราดเข้าไปฉุดข้อมืออีกข้างของเวลาแล้วดึงให้เดินตามหลังกันเข้าบ้าน ฝ่ายคเชนทร์เองก็หลุดปากร้องเสียงหลงอย่างตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า

แม้อดีตนางโชว์จะไม่เห็นด้วยกับการกระทำของคนไร้มารยาท แต่ชายหนุ่มอดกลัวไม่ได้ว่า หากตนยื้อยุดขัดขืนเวลาจะยิ่งเจ็บตัว เจ้าของร้านดอกไม้จึงทำได้แค่ปล่อยมือเจ้าตัวเล็กแล้วยืนงงฟังชายแปลกหน้าอบรมเวลาโดยไม่ได้รับคำขอบคุณแต่อย่างใด

“อาม่ารอกินข้าวอยู่ ทีหลังอย่าทำให้ผู้ใหญ่คอย มันเสียมารยาทเดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน เข้าใจไหม” ที่สุดแล้ว คเชนทร์ก็ได้เข้าใจว่าทำไมเวลาจึงไม่ยอมปริปากพูดกับใครเลยสักคน ก็เพราะมีพ่อแย่ ๆ แบบนี้อย่างไรล่ะ... เขาล่ะเกลียดจริง ๆ  ไอ้พวกเผด็จการบ้าอำนาจกระทั่งกับคนในครอบครัวเนี่ย

••••••

“ปลาทูชอบกินมะเขือเทศไหมคะ” เด็กหญิงถามขึ้นเมื่อจานข้าวผัดถูกแจกจ่ายแก่สมาชิกร่วมโต๊ะอาหารทุก ๆ คนโดยพร้อมหน้า

“ชอบครับ ชอบที่สุดเลย” โชคผมยังดีที่ปลาวาฬขยันหาเรื่องชวนคุยตลอดเวลา เพราะลำพังแค่ได้ร่วมโต๊ะกินข้าวเย็นกับสองพ่อลูกก็ดีใจแทบตาย แต่นี่ พี่หนาวกลับพาผมมากินข้าวที่คอนโดตัวเอง...

คิดดูดิ แค่เดทแรกผมก็ถูกผู้ชายพามากินข้าวถึงบ้าน
ถ้าไม่ตื่นเต้นตอนนี้แล้วจะไปตื่นเต้นตอนไหน

“นี่ค่ะ ปลาวาฬยกให้หมดเลย กินเยอะ ๆ นะคะ” ผมยังไม่ทันได้พูดอะไร มะเขือเทศชิ้นโตในข้าวผัดของเจ้าตัวเล็กก็อพยพมาตั้งรกรากในจานผมเต็มไปหมด

“ปลาวาฬ นั่นมะเขือเทศส่วนของลูกนะครับ ลูกต้องกินเองสิครับ” คนนั่งหัวโต๊ะท้วงเสียงเข้มจนผมต้องเหลือบมองสองพ่อลูกสลับกันไปมา ซึ่งอาการลำบากใจจนคล้ายกล้ำกลืนของพี่หนาวทำให้ผมอดตั้งคำถามกับเด็กหญิงไม่ได้

“อ้าว ปลาวาฬไม่ชอบกินมะเขือเทศหรอกเหรอครับ”

“ใช่ค่ะ มันแหยะ ๆ ปลาวาฬไม่ชอบกิน” พูดจบ เด็กหญิงก็ทำหน้าแหย ๆ พลางแลบลิ้นอย่างสุดทน

ผมเข้าใจแกนะ เพราะกระทั่งตัวผมเอง กว่าจะยอมกินผักบางชนิดได้ แม่ก็ต้องเคี่ยวเข็ญจนปากเปียกปากแฉะ ดีที่ผมมีพี่เอิงเป็นไอดอล พอเห็นพี่เอิงกินได้ทุกอย่างแถมยังกินไม่เกี่ยง ผมเลยค่อย ๆ พยายามปรับตัวจนกลายเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายในที่สุด นั่นจึงทำให้ผมเชื่อว่า ปัญหาการเลือกกินของเด็กเล็ก ๆ แก้ไขได้ แค่พ่อหรือแม่ต้องสร้างแรงจูงใจให้เจ้าตัวเล็กยอมเปิดรับของกินที่เจ้าตัวไม่ชอบเท่านั้นเอง

“น่าเสียดายจังน้า ปลาวาฬเลยอดกินของอร่อยเลยทีนี้” ผมยู่หน้าอย่างเห็นใจก่อนจะตักมะเขือเทศแว่นใหญ่เข้าปากแล้วเคี้ยวกลืนด้วยสีหน้าปลาบปลื้มเกินเบอร์

“มะเขือเทศมันอร่อยขนาดนั้นเลยเหรอคะ”

“อร่อยสิครับ อร่อยมากเลย” ว่าแล้วผมก็สาธิตให้เด็กหญิงดูแบบจะ ๆ อีกครั้ง โดยที่คราวนี้เปลี่ยนเหยื่อเป็นมะเขือเทศราชินีในสลัดผักที่หวานและเคี้ยวเพลินสูสีกับผลไม้เลยทีเดียว  “โอ้โห ลูกเมื่อกี้หวานฝุด ๆ ”

“จริงเหรอคะ”

“จริงสิครับ อาทูไม่โกหกปลาวาฬหรอก” ผมแอบอมยิ้มเมื่อเห็นว่าปลาวาฬเริ่มลังเล เดาว่าถ้าโดนผมกล่อมอีกสักนิด เจ้าตัวเล็กจะต้องยอมกินมะเขือเทศแน่ ๆ “เอาอย่างนี้ ถ้าไม่เชื่อปลาวาฬก็ลองกินดูสิครับ... อ่ะนี่ ลองกินลูกนี้ดูก่อนก็ได้ ลูกนี้เล็กนิดเดียว ปลาวาฬเคี้ยวไม่กี่ทีก็หมดแล้ว”

อีกฝ่ายมองหน้าผมเหมือนไม่แน่ใจ ผมเลยรีบเสริมความมั่นใจให้ทันที “เดี๋ยวเรากินพร้อมกันก็ได้ครับ อาจะกินเป็นเพื่อนปลาวาฬนะ”

“มาครับ เดี๋ยวพ่อกินเป็นเพื่อนลูกด้วยอีกคน" อยู่ ๆ พี่หนาวก็เอ่ยขึ้นพลางชูมะเขือเทศชิ้นโตในช้อนตัวเองเพื่อยืนยัน

“ปลาวาฬพร้อมยัง?”

“ค่ะ” เจ้าตัวเล็กตักมะเขือเทศลูกเล็กพลางพยักหน้าเรียกขวัญแรง ๆ หนึ่งทีเมื่อปลงตก ก่อนที่ปลาวาฬจะเปลี่ยนใจ ผมก็ชำเลืองมองพี่หนาวแล้วให้สัญญาณการเริ่มภารกิจกล่อมเด็กกินมะเขือเทศ เห็นดังนั้น เด็กหญิงจึงยอมเคี้ยวผลไม้สีแดงที่ผมบรรจงเลือกให้อย่างดี ชั่ววินาทีแห่งความระทึกใจผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ที่สุดแล้วสีหน้าไม่มั่นใจในทีแรกก็แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าเซอร์ไพรส์ปนพึงพอใจจนได้

“อู้หู หวานฝุด ๆ ไปเลยค่ะ” ปลาวาฬทำตาโตแล้วยิ้มกว้างอย่างชอบใจจนผมอดฉวยโอกาสไม่ได้

“ถ้างั้นเอาอีกมะ”

“วันนี้กินแค่นี้ได้ไหมคะ ปลาวาฬอยากกินอย่างอื่นมากกว่า” ปลาวาฬยู่หน้าส่งสายตาออดอ้อน

“ได้สิครับ” เรื่องน่าตลกก็คือ นอกจากเจ้าตัวเล็กแล้ว ผมแอบเห็นพี่หนาวกลืนน้ำลายด้วยสีหน้าลำบากใจเมื่อได้ยินคำถามเมื่อครู่ สงสัยอาการขยาดมะเขือเทศนี่น่าจะเป็นกันทั้งบ้านแฮะ

“แล้วปลาทูชอบกินอะไรอีกคะ” เจ้าของคำถามเคี้ยวข้าวพลางจ้องหน้าผมอย่างตั้งอกตั้งใจ สายตาเชื่อมั่นและแน่วแน่ของแกทำให้ผมนึกถึงสายตาของไอ้สามที่มองตามผมกับพี่เอิงสมัยที่มันยังเล็ก ๆ ขึ้นมาตงิด ๆ

ไม่รู้สิ ผมว่าการที่เราได้เป็นคนสำคัญในสายตาของเด็กเล็ก ๆ สักคนมันทำให้เรามีพลังและพร้อมจะทำตัวให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นเพื่อจะได้เป็นแบบอย่างให้กับเด็กคนนั้นต่อไป ซึ่งหากผมได้รับเกียรติให้เป็นคน ๆ นั้นของปลาวาฬ ผมคงจะปลื้มปริ่มมากทีเดียว

“โหย อาทูชอบกินทุกอย่างเลยครับ ไม่อย่างนั้นอาทูจะตัวสูงแบบนี้เหรอ”

“คุณพ่อปลาวาฬก็ตัวสูงเหมือนกันค่ะ” พี่หนาวอมยิ้มกับท่าทีภาคภูมิใจที่ปลาวาฬแสดงออก... แหม ไม่ค่อยจะหน้าบานเลยเนอะลุง

“ใช่แล้วครับ ที่คุณพ่อตัวสูงเพราะคุณพ่อกินกับข้าวได้ทุกอย่างยังไงล่ะครับ” ต่อให้ผมจะพอรู้ว่าปลาวาฬไม่ชอบกินมะเขือเทศเหมือนใคร แต่เรื่องอะไรที่ผมจะแฉตัวการจนโดนเฉดหัวออกจากบ้านเขาตลอดกาลล่ะครับ “ถ้าปลาวาฬอยากตัวสูง ๆ และโตไว ๆ ปลาวาฬต้องกินอาหารให้ได้ทุกอย่างเหมือนคุณพ่อนะครับ”

“แต่ปลาวาฬไม่ชอบกินมะเขือเทศนี่นา” เด็กหญิงถอนหายใจแรงจนไหล่สองข้างตกลู่... โอเคครับปลาวาฬ อาทูเก็ทหนูนะ แต่อาทูจะไม่ยอมแพ้หรอก รู้ใช่ไหม

“ไม่ชอบมะเขือเทศ แล้วปลาวาฬชอบกินอะไรครับ”

“ปลาวาฬชอบกินพิซซ่า ชอบกินข้าวผัด หมูอบ ชอบสปาเก็ตตี้ แล้วก็ชอบ... ชอบ ” เจ้าตัวเล็กทำหน้านึกอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ผมกลัวจะกินข้าวไม่เสร็จเลยจำเป็นต้องตัดบทอย่างเสียไม่ได้

“เอาอย่างนี้ไหมครับปลาวาฬ ไว้เดี๋ยวคราวหน้าอาทูจะทำสปาเก็ตตี้ผัดซอสมะเขือเทศให้กิน รับรองว่าปลาวาฬจะต้องชอบจนร้องว้าวยาว ๆ เลยครับ” อาจเป็นเพราะผมรู้สึกเห็นใจพ่อเด็กด้วยแหละที่ทนลำบากร่วมกันมาถึงตอนนี้ ไหนจะคอยลุ้น ไหนจะยอมกินของที่ตัวเองไม่ชอบเป็นเพื่อนลูกสาว ผมเลยพลั้งปากเสนอตัวไปโดยไม่ทันยั้งคิดทั้ง ๆ ที่ตัวเองอ่อนด๋อยต้อยต่ำด้านการทำอาหารเป็นที่สุด

“เย่! สปาเก็ตตี้! ปลาวาฬชอบกินสปาเก็ตตี้” อาการชอบอกชอบใจอย่างแรงของอีกฝ่ายทำให้ผมเริ่มรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ อย่างไรบอกไม่ถูก

“ไว้อาทูจะทำให้กินนะครับ” ผมทำยิ้มสู้แล้วกินข้าวต่อด้วยสีหน้าปกติ แต่เด็กหญิงกลับรุกหนักจนผมยังตกใจ

“ปลาทูทำพรุ่งนี้เลยนะคะ ปลาวาฬอยากกิน”

เมื่อ กี้ กรู เผลอ ทำ อะ ไร ลง ไป
จุด ๆ นี้ผมล่ะอยากกด CTRL + Z แล้วกลับไปตบปากพล่อย ๆ เพื่อเรียกสติตัวเองเหลือเกิน!

“เอ่อ... พรุ่งนี้ไม่ได้หรอกครับ อาทูต้องไปทำงาน” ผมพยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากท่าน HR Director แต่กลับเป็นลูกสาวของแกที่ออกอาวุธก่อนใครเพื่อน

“อ้าว แล้วปลาทูจะทำสปาเก็ตตี้ให้ปลาวาฬกินเมื่อไรเหรอคะ”

“เอาไว้อาทิตย์หน้าดีไหมครับ เดี๋ยวอาทูจะทำใส่กล่องแล้วฝากคุณพ่อมาให้” ถึงจะละอายใจในทักษะงานครัวของตัวเอง แต่ในเมื่อพูดไปแล้ว ผมก็ไม่อยากทำลายความฝันของเด็กน้อยด้วยการสารภาพว่า ทันทีที่กลับถึงบ้าน ผมไปจะออดอ้อนแม่ให้ช่วยเมตตาทำสปาเก็ตตี้สูตรบ้านเราให้หนึ่งทัพเพอร์แวร์เพื่อมากำนัลสองพ่อลูก เพราะนอกจากมันจะดูไม่คูลแล้ว ปลาวาฬอาจลดฐานะผมจาก ปลาทูเป็น ปลาตีนภายในชั่วพริบตา

“แต่ปลาวาฬอยากดูตอนปลาทูทำด้วยนี่คะ”

“อ่า” พอนึกภาพตัวเองระเบิดครัวพี่หนาวเข้าจริง ๆ ผมก็อดสยองไม่ได้

ไม่! จะยังไงผมก็ต้องไม่ใจอ่อนกับลูกอ้อนของปลาวาฬเป็นอันขาด
ขืนผมเหิมเกริมทำสปาเก็ตตี้ที่ว่าเอง ผมคงไม่แคล้วโดนข้อหาฆาตกรรมยกครัวเรือนเป็นแน่แท้

“นะคะปลาทู ปลาวาฬอยากช่วยปลาทูทำสปาเก็ตตี้” อย่าช้อนตามองหน้าอาทูแล้วยิ้มหวานอย่างนั้นสิครับปลาวาฬ อาทูใจไม่ดีเลย

“เอ่อ” ผมชำเลืองมองหน้าพี่หนาวด้วยสายตาสิ้นหวังทั้งที่ใจอยากจะเดินเข้าไปเขย่า ๆ ลุงแกแล้วบอกว่า พี่หนาวครับ นอกจากพี่แล้วผมก็มองไม่เห็นใครที่จะช่วยชีวิตผมจากลูกพี่ได้อีกแล้วนะครับ

“ปลาวาฬช่วยคุณพ่อทำกับข้าวบ่อยนะคะ ปลาวาฬเก่งด้วยนะคะไม่เชื่อถามคุณพ่อได้เลย” เด็กหญิงลงทุนปีนเก้าอี้แล้วเอื้อมมือข้ามโต๊ะมาเขย่าแขนผมอย่างกระตือรือล้นพร้อมกับอ้อนวอนไม่หยุด “นะคะ ปลาทู ให้ปลาวาฬทำด้วยนะคะ”

“เอ่อ” ไม่น่าเลย ผมไม่น่าพลาดเลยจริง ๆ

“กินข้าวให้หมดก่อนครับลูก แล้วค่อยชวนอาทูคุย” พี่หนาวปรามเสียงเรียบก่อนจะจับมือเจ้าตัวเล็กให้กลับไปนั่งที่ตามเดิม... ฮือ ดีใจ ในที่สุด พ่อเทพบุตรของผมก็ขี่ม้าขาวเข้ามาช่วยผมไว้ได้ทัน

“ก็ได้ค่ะ”
.
.
.
.
พี่หนาวเดินออกมาจากครัวเพื่อมาหยุดยืนกอดอกมองปลาวาฬที่นั่งสุมหัวแข่งระบายสีรูปการ์ตูนกับผมอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นแกก็เปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “จะสองทุ่มแล้วลูก ลาอาทูแล้วไปอาบน้ำนอนได้แล้วครับ ดึกแล้ว อาทูต้องกลับไปพักผ่อนที่บ้านเหมือนกัน”

“ว้า จะสองทุ่มแล้วเหรอคะ ปลาวาฬยังอยากเล่นกับปลาทูอยู่เลยค่ะคุณพ่อ” เด็กหญิงจำใจวางดินสอสีก่อนจะใช้ท่าไม้ตายออดอ้อนอันร้ายกาจกับบิดาของตัวเอง... ผมเคยโดนมาก่อน ผมย่อมรู้ดีว่าพลังทำลายล้างของตากลม ๆ และแก้มป่อง ๆ นั่นรุนแรงแค่ไหน

แต่ผมคงลืมไปว่าพี่หนาวคือชายหนุ่มผู้มีจิตใจแข็งแกร่งยิ่งกว่าหินผา “ไหน ลูกเคยตกลงกับพ่อว่าไงครับ”

“ปลาวาฬจะไม่นอนดึกค่ะ”

ลุงไซด์ไลน์ย่อตัวลงนั่งคุยกับเจ้าตัวเล็กเสียงอ่อนเสียงหวานพลางลูบผมลูกสาวเบา ๆ ราวกับสะกดจิต “เพราะอะไรครับลูก”

“เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นไปโรงเรียนแต่เช้าค่ะ”

“ถ้างั้นก็ไปอาบน้ำได้แล้วลูก ดึกแล้ว” สิ้นประกาศิตของพี่หนาว เด็กหญิงก็หันมาออดอ้อนผมต่อทันที

“ปลาทูขา วันหลังปลาทูมาเล่นกับปลาวาฬอีกนะคะ” ไม่ได้พูดอย่างเดียว ปลาวาฬยังกอดผมเสียแน่นก่อนจะหยอดคำหวานให้ผมนอนตายคาที่ไม่มีเรี่ยวแรงต่อต้าน “นะคะ”

“ครับ”

แม้อ้อมกอดเล็ก ๆ จะคลายลง แต่เด็กหญิงกลับยังเกาะคอผมไม่ปล่อยก่อนจะเอ่ยทิ้งท้ายด้วยสีหน้าเว้าวอน “แล้วก็... แล้วก็ ปลาทูต้องมาทำสปาเก็ตตี้มะเขือเทศร้องว้าวให้ปลาวาฬกินเร็ว ๆ นะคะ”

“ได้ครับผม”

Pinky swear ก่อนค่ะ” ผมกลั้นยิ้มต่อไปไม่ไหวเมื่อเห็นนิ้วก้อยเล็ก ๆ ยื่นมาตรงหน้า

“ครับ อาทูสัญญา” ถึงจะยังไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร แต่หลังจากเกี่ยวก้อยกับเด็กหญิง ผมก็ตั้งใจว่า ทุกวันหลังจากนี้ ผมจะกลับไปหัดทำสปาเก็ตตี้ให้เก่ง ๆ ปลาวาฬจะได้ภูมิใจในตัวผมมากขึ้นไปอีก

“สองทุ่มแล้วลูก อาบน้ำครับ” พี่หนาวย้ำกับปลาวาฬก่อนจะหอมขมับลูกสาวอย่างรักใคร่ “เดี๋ยวพ่อส่งอาทูเสร็จแล้วจะตามเข้าไปอ่านนิทานให้ฟังนะครับ”

“ถ้างั้นปลาวาฬไปอาบน้ำก่อนนะคะ” เด็กหญิงโบกมือหยอย ๆ ขณะเบือนหน้ากลับมาคุยกับผม

“ครับ”

Good Night” ขณะที่เจ้าตัวเล็กในชุดนักเรียนยับยู่ยี่กำลังเดินโต๋เต๋ไปยังห้องที่เปิดประตูทิ้ง เด็กหญิงก็หันกลับมามองหน้าผมเป็นพัก ๆ โดยไม่หยุดโบกไม้โบกมืออย่างอาลัยอาวรณ์ “บ๊ายบายค่ะ”

“บ๊ายบายครับ” แม้ภาพที่เห็นจะทำให้ผมใจหาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมดีใจมาก ๆ ที่ได้รู้จักและได้ใช้เวลากับเด็กคนนี้... ผมเอ็นดูลูกพี่หนาวจนอยากจะแอบเอาใส่กระเป๋ากลับบ้านด้วยสุด ๆ ไปเลย

เมื่อปลาวาฬเดินหายเข้าห้องไป พี่หนาวก็หันมาคุยกับผมด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย “ขอโทษนะที่ทำให้คุณต้องกลับบ้านดึก”

“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ เพราะผมก็อยากอยู่เล่นกับปลาวาฬเหมือนกัน” ก่อนที่เจ้าบ้านจะรู้สึกผิดยิ่งไปกว่านี้ ผมก็รีบหยัดตัวลุกขึ้นแล้วเดินไปเก็บของ สะพายกระเป๋า ก่อนจะจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่

“เสาร์นี้คุณว่างไหม”

“ว่างครับ” ผมมองหน้าคู่สนทนาอย่างแปลกใจเพราะไม่เข้าใจว่าทำไม อยู่ ๆ พี่หนาวจึงถามแบบนี้ แต่พอได้ฟังคำตอบ ผมก็หมดความสงสัย รวมถึงหมดอาลัยตายอยากไปพร้อม ๆ กัน

“ถ้าอย่างนั้น วันเสาร์ผมยกครัวให้คุณทั้งวันเลย” ว่าแล้ว ลุงไซด์ไลน์ก็ผายมือไปทางห้องครัวสุดทันสมัยจนดูน่ากลัวเกินไปสำหรับคนอย่างผม

“หืม อะไรนะครับ?”

“ก็สปาเก็ตตี้มะเขือเทศร้องว้าวไงคุณ คุณสัญญากับลูกผมไว้ไม่ใช่เหรอ”

“จะให้ผมทำที่นี่เหรอครับ” ผมเชื่อมั่นว่าสีหน้าตกใจของผมในตอนนี้จะต้องดูสมจริงอย่างไม่น่าเชื่อ... เจ้าประคู๊ณ ขออย่าให้พี่หนาวมองออกเลยว่าที่ผมกำลังแพนิคจนขาสั่นนี่มันมีสาเหตุมาจากอะไร

“ครับ เชิญคุณใช้ครัวที่นี่ตามสบาย”

“แต่ผมว่า ผมทำสำเร็จมาจากบ้านจะดีกว่านะครับ ครัวคุณจะได้ไม่เลอะเทอะด้วย”

มันจะไม่ใช่แค่เลอะเทอะอย่างเดียวหรอก แต่ถ้าผมเข้าครัว ทุกสิ่งทุกอย่างจะพังพินาศจนไม่สามารถเก็บกู้เอาซากอะไรกลับมาใช้ได้อีกเลยต่างหากล่ะ ถ้าไม่เชื่อ ลองถามแม่ผมดูก็ได้

“ไม่เป็นไรครับ ผมชอบล้างจาน ชอบทำความสะอาดบ้าน”

เรื่องที่พี่หนาวชอบทำงานบ้านคือความจริงที่ตัวผมได้พิสูจน์มาแล้ว เพราะทันทีที่พวกเรากินข้าวเย็นเสร็จ นอกจากจะปฏิเสธข้อเสนอช่วยเก็บกวาดล้างจานของแขกอย่างผมแล้ว ลุงแกยังไล่ผมกับลูกสาวให้ต้องระเห็จออกไปนั่งเล่นตรงหน้าโซฟารับแขกก่อนที่แกจะหลุดเข้าไปในหลุมดำแห่งการทำความสะอาดจนเพิ่งเดินออกมาตามปลาวาฬไปอาบน้ำเมื่อกี้นั่นแหละ... แต่นี่มันใช่เวลาสดุดีความเป็นพ่อบ้านพ่อเรือนของพี่หนาวเสียที่ไหนล่ะวะ!

“แต่ผมเกรงใจนี่ครับ อย่าเลย รบกวนคุณเปล่า ๆ ” ผมพยายามหนีตายด้วยการแสร้งตีหน้าเกรงใจแบบที่สุด... พี่หนาวต้องไม่ลืมสิครับว่าเราไม่สนิทกัน เพราะฉะนั้นพี่หนาวจะต้องไม่ยอมให้คนแปลกหน้ามาใช้ครัวที่บ้านง่าย ๆ เข้าใจไหมครับ

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกคุณ ปลาวาฬคงจะญาติดีกับมะเขือเทศได้สักทีถ้าแกได้ช่วยเป็นลูกมือคุณเข้าครัวตั้งแต่ต้นจนจบ” พี่หนาวแค่นยิ้มอย่างอ่อนใจ ดูท่าว่าเรื่องกินมะเขือเทศจะเป็นปมที่กระทั่งคนแข็งแกร่งดั่งหินผาอย่างลุงแกยังหาทางเอาชนะไม่ได้จริง ๆ ... น่าสงสารเหมือนกันแฮะ

พอคิดได้แบบนั้น ปากผมก็พาซวยอีกครั้งอย่างไม่น่าให้อภัย “อ่า ก็ได้ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้คุณก็ส่งลิสต์รายการของที่ต้องใช้มาให้ผมแล้วกันนะ ผมจะได้ซื้อเตรียมไว้”

“ครับ”

“คุณพ่อขา ปลาวาฬอาบน้ำเสร็จแล้วค่ะ” เสียงตะโกนแจ้ว ๆ ที่ดังออกมาจากห้องที่ไม่ได้ปิดประตูทำให้ผมหลุดยิ้มด้วยความเอ็นดูเจ้าตัวเล็กที่อยู่ด้านใน

“ขอเวลาพ่ออีกห้านาทีนะครับลูก เดี๋ยวพ่อเข้าไป” หลังจากตะโกนคุยกับปลาวาฬ พี่หนาวก็หันมาทำหน้าลำบากใจใส่ผมอีกครั้ง “ผมคงไปส่งคุณที่บ้านไม่ได้ ขอโทษนะ”

แหม เห็นหน้าลุงแกตอนนี้แล้วผมล่ะอยากจะกอดปลอบให้เลิกคิดมากเสียจริง ๆ แต่คนมโนเก่งทั้งที่ตัวจริงกากอย่างผมกลับพูดได้แค่ “ไม่เป็นไรครับ ออกไปตอนนี้รถคงไม่ติดเท่าไร เผลอ ๆ นั่งแท็กซี่แค่ครึ่งชั่วโมงก็ถึงบ้านแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้น พอคุณกลับถึงบ้าน คุณช่วยโทรมาบอกผมหน่อยได้ไหม”

“ผมจะไม่รบกวนคุณใช่ไหมครับ” ผมแสร้งทำท่าหนักใจทั้งที่ข้างในลิงโลดมาก... ตื๊อผมสิ ตื๊อผม! แล้วผมจะโทรหาลุงจนลุงไม่อยากเปิดมือถืออีกเลย

“ไม่เลย แต่ถ้าคุณไม่โทรมา ผมเองนี่แหละที่จะโทรไปกวนคุณ”

ถึงความเป็นห่วงแบบพ่อ ๆ ของพี่หนาวจะทำให้ผมหลุดหัวเราะ แต่สุดท้ายผมก็รับปากเขาด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง “ก็ได้ครับ เดี๋ยวพอถึงบ้านแล้วผมจะโทรมานะครับ” พูดจบ ผมก็หมุนตัวตั้งท่าจะเดินไปที่ประตู แต่อยู่ ๆ ข้อมือผมก็โดนอีกคนดึงไว้

“เดี๋ยวคุณ”

“ครับ?” ผมหันกลับไปมองหน้าอีกฝ่ายงง ๆ

“เอาอย่างนี้ดีกว่า เดี๋ยวอีกสิบนาทีผมจะโทรหาคุณ แต่คุณไม่ต้องคุยหรอกนะ ผมแค่จะอยู่เป็นเพื่อนคุณนั่งแท็กซี่ให้ถึงบ้าน” ดูท่าว่าเขาจะรู้สึกผิดที่ไม่ได้ไปส่งผมที่บ้านจริง ๆ ถึงได้เป็นกังวลกับการปล่อยผมกลับบ้านคนเดียวเอามาก ๆ ... โดนเข้าไปแบบนี้แล้วจะไม่ให้ผมหวั่นไหวได้ยังไง

“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับบ้านได้ ไม่ต้องโทรมาหรอกครับ เปลืองเงินแล้วก็ลำบากคุณด้วย”

“งั้นผมโทรไลน์ไปก็ได้ คุณแค่กดรับเฉย ๆ ไม่ต้องพูดอะไร แล้วค่อยวางอีกทีตอนถึงบ้าน” ฮือออ... ทำไมพี่หนาวต้องโคตรของโคตรน่ารักเบอร์นี้ด้วย แล้วใจบาง ๆ ของผมจะทนได้อีกสักกี่น้ำกัน

“อย่าเลยครับ วุ่นวายเปล่า ๆ ”

“เถอะครับ ผมเป็นห่วง” ให้ตายสิ แรงบีบเบา ๆ รอบ ๆ ข้อมือมีผลกับใจผมพอ ๆ กับสายตาของเขาเลย

“ก็ได้ครับ”

จริงอย่างที่เจ้าตัวโฆษณา เพราะหลังจากที่พี่หนาวโทรมา ผมก็ทำได้แค่รับสายอย่างเดียวจริง ๆ แต่การได้นั่งฟังเสียงสองของเขาขณะเล่านิทานให้ปลาวาฬฟังอย่างตั้งใจไปตลอดทางกลับทำให้ผมแฮปปี้เสียจนเผลอตัดสายเรียกเข้าของเบอร์แปลก ๆ ที่โทรแทรกเข้ามาตอนเกือบจะสามทุ่มไปโดยปริยาย


••• TBC ••


ถึงวันนี้เราจะมาดึกไปหน่อย แต่ก็มาแล้วแหละเนอะ
ถ้าอ่านแล้วชอบ หรือไม่ชอบอย่างไร
อย่าลืมติด #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก #คันหิม บ้างนะคะ ^^