Friday, December 26, 2014

เขาวานให้ผมเป็น 'สายรับ' (เคคู่ผู้รู้รอบฯ) : บทสรุป: กิ่งทองใบหยก


บทสรุป : กิ่งทองใบหยก
(กิ่งทองใบหยก : เหมาะสมกันในทุกด้าน(ใช้เรียกหญิงชาย ที่จะแต่งงานกัน))




เช้าของวันก่อนหน้าวันเปิดตัวขนุนต่อหน้าสมาชิกทุกคนในบ้าน / บ้านพิมรรักษา

เช้าตรู่วันนี้ผมรีบดีดตัวเองออกจากเตียงอย่างอัตโนมัติก่อนที่เสียงนาฬิกาปลุกจะร้องเตือนเกือบชั่วโมง ถึงแม้เมื่อคืนผมจะถ่างตาไล่อ่านเกือบทุกสิ่งทุกอย่างในเครื่องคอมพิวเตอร์ของขนุนจนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนก็ตามที  ที่ไฟแรงขนาดยอมแหกขึ้ตาตื่นได้เช้าจัด เป็นเพราะจิตใต้สำนึกของผมเฝ้าเตือนให้รู้ตัวว่า...ยังมีอีกหลายเรื่องที่จ่อคอหอยรอให้ผมไปจัดการ


นี่ก็เก้าโมงแล้ว...ไม่รู้คุณป๋ากับคุณบี๋จะออกจากบ้านไปธุระที่ไหนแล้วหรือยัง?
.
.
เพื่อความชัวร์...ผมว่าผมรีบลงไปตีหน้าเศร้าเพื่อรอเล่าความทุกข์ ความคับแค้นแสนสาหัสให้คุณป๋าและคุณบี๋ฟัง เพื่อหาแนวร่วมในการดำเนินแผนการเอาคืนเมียจอมเจ้าเล่ห์ของผมตั้งแต่เนิ่นๆเลยจะดีกว่า เพราะผมไม่อยากปล่อยให้เมียต้องไปอยู่ไกลหูไกลตานานๆอีกต่อไปแล้ว


หลังจากตัดสินใจลงจากห้องมาดักรอผู้ให้กำเนิดทั้งสองตรงโถงรับรองข้างล่าง  ผมก็ไม่ต้องเสียเวลากระวนกระวายใจนั่งรอคุณป๋ากับคุณบี๋นานนัก  เพราะท่านสองคนกำลังเกี่ยวก้อยกันจี๋จ๋าเดินลงบันไดมาด้วยกันโน่นแล้ว  

บอกตรงๆเลยนะฮะว่า ถึงผมจะเคยเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มหยาดเยิ้มของพ่อกับแม่ตัวเองที่ส่งให้กันราวกับคู่รักข้าวใหม่ปลามันต่อหน้าต่อตามาเป็นสิบๆปี  ผมก็ไม่เคยรู้สึกอึดอัดขัดใจเท่ากับที่เห็นตำตาอย่างในตอนนี้ เพราะแม่งทำให้ผมอดนึกถึงตัวเองกับขนุนขึ้นมาไม่ได้  

ผมไม่รู้ว่าคนอื่นตะเป็นแบบผมบ้างหรือเปล่า...แต่ผมเพิ่งจะรู้ตัวเองเมื่อไม่กี่วันมานี้เองว่า  เวลาที่ต้องอยู่ห่างกับแฟนนานๆ  พอต้องทนเห็นคู่รักคู่อื่นๆอี๋อ๋อคลอเคลียกัน  มันชวนให้รู้สึกขวางหูขวางตาจนอยากจะวิ่งไปเตะหมา ไล่ด่าแม่เจ๊กขึ้นมาชอบกล  และดูท่าว่าผมจะอาการหนักไม่เบา...เพราะไอ้อาการที่ว่า แม่งเริ่มจะลามปามไปถึงคู่หวานอุทยานเพลงเก่าซึ่งเป็นถึงบุพการีผู้ให้กำเนิดเลยทีเดียว


ผมรีบสลัดความรู้สึกขัดตาทิ้ง แล้ววิ่งถลาเข้าไปหาพระในบ้านทั้งสอง ก่อนจะนั่งพับเพียบลงกับพื้นแทบเท้าคุณป๋าและคุณบี๋พลางยกมือประนมไหว้วางเอาไว้ตรงหว่างอก แล้วรีบใช้สิทธิของลูกชายสุดที่รักส่งเสียงอ้อนวอนเหมือนทุกครั้งที่อยากได้อะไรจัดๆ แบบที่เมื่อพ่อกับแม่ได้ยิน จะต้องรีบหามาประเคนให้ตรงหน้าทันที “คุณป๋า คุณบี๋ฮะ...น็อตกราบล่ะฮะ ช่วยน็อตด้วยนะฮะ... นะ นะฮะ! พูดจบผมก็กราบแทบเท้าท่านทั้งสองแล้วติดนิ่งอยู่นาน คล้ายกับว่าไม่มีเจตนาจะลุกกลับขึ้นมาง่ายๆ

เมื่อผมเงยหน้าขึ้นจากพื้น ก็เห็นคุณป๋ากับคุณบี๋กำลังทำหน้าตกอกตกใจราวกับเห็นผี  ผมเดาว่า...น่าจะเป็นเพราะท่านไม่เคยเห็นผมลงทุนทำอะไรแบบนี้เพื่อร้องขออะไรบางอย่างจากท่าน ด้วยระดับความทุ่มเทในเลเว่ลทุ่มทุนหมดทั้งเนื้อทั้งตัวเท่านี้มาก่อน กระทั่งเมื่อตอนที่ผมขออนุญาตท่านทั้งสองเพื่อไปทำงานเป็นนักสืบ ซึ่งเป็นงานที่ทั้งเสี่ยง ทั้งอันตราย โดยที่รู้ดีแก่ใจว่า...ตำแหน่งบริหารในโรงพยาบาลและกิจการในเครือก็ยังว่างอยู่อีกหลายที่  ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมก็ยังจัดหนักไม่ได้ครึ่งของครั้งนี้ 


“เดี๋ยวก่อนนะไอ้เสือ นี่เราเป็นอะไร? ทำไมอยู่ๆถึงมากราบเท้าคุณป๋ากับคุณบี๋อย่างนี้?” พอคุณป๋าหายประหลาดใจกับท่าทีแปลกๆของผม ท่านก็พยุงให้ผมลุกขึ้นยืนระหว่างสั่ง “พอ พอ...ไม่เอาแล้ว! ลุกขึ้นยืนแล้วมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน!

 “คุณป๋า...คุณบี๋ ช่วยน็อตด้วยเถอะฮะ!... น็อตอยากปราบพยศเมียเต็มแก่แล้วอ่ะฮะ” ลุกขึ้นได้ ผมก็อ้อนต่อทันที


ไม่รู้ล่ะ...ไม่ว่าอย่างไร วันนี้ผมต้องเอาคุณป๋ากับคุณบี๋มาเป็นพันธมิตรร่วมเดินหน้าแผนเอาคืนเมียอย่างสาสมให้จงได้ เพราะถ้าแบ็คอัพฝั่งผมหนาเนื่องจากกำลังเสริมที่ได้จากคุณป๋าและคุณบี๋แล้วล่ะก็...เรื่องนี้ต้องสนุกสมใจผมมากแน่ๆ


“เอ๊า แล้วเราจะไปปราบพยศเค้าได้ยังไง  ก็ไม่กี่วันก่อน...เค้าเพิ่งจะไล่เราหัวซุกหัวซุนออกมาจากบ้านเองไม่ใช่เรอะ?” คุณป๋าทำหน้างงระหว่างพูด  หากแต่ไม่หยุดเดินควงคุณบี๋มุ่งหน้าไปที่ห้องอาหาร ผมพยายามเร่งฝีเท้าเพื่อเดินตามท่านทั้งแบบกระชั้นชิดเพราะไม่ต้องการให้คลาดสายตา  ข้อสังเกตของคุณป๋าทำให้ผมจำต้องตอบท่านไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก

“ไอ้ที่เค้าไม่ยอมเจอหน้า ไม่ยอมให้น็อตติดต่อ หรือพูดคุยอะไรด้วย...ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการดัดนิสัยน็อตที่เค้าคิดขึ้นมาน่ะฮะ” ผมขอจบการรายงานพาดหัวข่าวสั้นๆง่ายๆ ตามที่แหล่งข่าวยอมเปิดเผยเนื้อหาได้เอาไว้แต่เพียงเท่านี้...หวังว่า ผมคงไม่ต้องสาวไส้ตัวเองออกมาให้คุณป๋ากับคุณบี๋เห็นทุกขดๆหรอกมั้ง...นะ?!

แต่มีหรือที่นักธุรกิจในสายเลือดอย่างคุณป๋ากับคุณบี๋จะยอมร่วมลงทุนโดยไม่ได้รับรู้ข้อมูล หรือความเสี่ยงต่างๆของโครงการในภาพรวมเสียก่อน  ยิ่งสำหรับคุณบี๋ซึ่งพ่วงสัญชาตญาณความเป็นแม่ กับลางสังหรณ์อันแม่นแท้อย่างไม่น่าเชื่อของบรรดาผู้หญิงแล้วด้วย... ไอ้รายละเอียดที่ผมพยายามหมกเม็ดแทบตาย ก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจเล็ดรอดไปจากสายตาของคุณบี๋ได้แม้แต่อย่างเดียว


เสียงหวานๆที่ไม่ว่าฟังเมื่อไรก็อบอุ่นวาบไปทั้งหัวใจของคุณบี๋ ถามผมช้าๆ แต่แฝงไปด้วยการกดดันแบบนิ่มๆ ราวกับท่านรู้ว่า  ผมนี่แหละที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย  “แล้วทำไมอยู่ๆคุณหนุนเค้าถึงคิดจะดัดนิสัยคุณน็อตของคุณบี๋ล่ะ...”
.
.
ระหว่างนึกหาทางออก ผมพยายามเลี่ยงสายตาของคุณบี๋ด้วยการส่งกระแสจิตขอความช่วยเหลือไปยังคุณป๋า ที่กำลังนั่งจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์อยู่ตรงเก้าอี้หัวโต๊ะ  ถึงอย่างนั้น...สิ่งที่ท่านทำในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนั้นเป็นเพียงแค่ มองหน้าผมสลับกับภรรยาไปมาด้วยแววตาขำขัน   ผมเค้นใบหน้าและแววตาเพื่อส่งสัญญาณบอกกับผู้เป็นบิดาบังเกิดเกล้าให้ช่วยตัดบท ไม่ก็เปลี่ยนหัวข้อการสนทนา เพื่อจะได้เปิดประเด็นเข้าสู่ใจความสำคัญ  โดยที่ผมไม่จำเป็นต้องยอมเอามีดกรีดผิวตัวเองเพื่อเปิดเนื้ออ่อนให้คุณบี๋ขูดหนองที่กลัดอยู่ข้างในออกให้  

แต่มีหรือที่ไอ้กระผมซึ่งเป็นแค่ลูกในไส้ จะมีอิทธิพลทางใจกับคุณป๋าได้มากกว่าคุณบี๋ผู้ดำรงตำแหน่งภรรยาสุดที่รัก อีกอย่าง...พ่อผมนี่ขาแกล้งตัวเอ้ ไม่มีวันเสียหรอกที่ท่านจะยอมเสียโอกาสดีๆในการทำร้ายจิตใจผมไปง่ายๆ ท่านเลยจงใจปล่อยให้คุณบี๋กดดันผมต่อไป แถมหลังๆยังกลายพันธ์จากมองตา มาเป็นประโยคข่มขู่  ทำเอาผมรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นผู้ต้องหาที่กำลังโดนไฟส่องหน้าอยู่ในห้องสอบสวนอย่างไรอย่างนั้น 


“บอกมานะว่า เราไปทำอะไรให้คุณหนุนเค้าไม่พอใจก่อนรึเปล่า...
.
...ถ้าคุณน็อตยอมรับกับคุณบี๋มาตรงๆตอนนี้ คุณบี๋จะยอมลดโทษให้กึ่งหนึ่ง!!


สงสัยว่า ยุคแห่งความรุ่งเรืองของผมคงใกล้ถึงคราวล่มสลายเต็มที  หลังจากบ้านผมโดนกระแสขนุนฟีเวอร์ถล่มเข้าอย่างจัง  ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ความคลั่งไคล้ในตัวว่าที่สะใภ้ผู้ที่ยังคงเป็นปริศนาหากแต่เป็นเจ้าของกิตติศัพท์อันเลื่องลือนั้นช่างรุนแรง และต่อเนื่องยาวนาน นับตั้งแต่วันที่ผมประกาศต่อหน้าคุณๆทั้งหลายว่า อีกสามเดือนข้างหน้า...ผมจะหายหัวออกจากบ้าน เพื่อไปไล่ล่าตามจีบผู้ชายซึ่งไม่เห็นผมอยู่ในสายตาเอามาเป็นลูกสะใภ้คนใหม่ให้จงได้    ไม่อย่างนั้น...คุณบี๋ไม่มีทางแปรพักตร์สมัครตนเป็นติ่งผู้จงรักภักดี และพร้อมจะพลีชีพเพื่อปกป้องขนุนแทนลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตัวเองแบบนี้หรอก...

...สรุปว่า ผมแม่งควรจะดีใจที่เมียได้กลายเป็นที่รักของคุณๆในบ้านทั้งที่ยังไม่เคยพามาเปิดตัวสักครั้ง หรือควรจะเสียใจที่ตัวเองกลายเป็นหมาหัวเน่าในสายตาพ่อแม่ดีล่ะวะนี่? 


ในเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ผมเลยเล่นมุกงอแงใส่คุณบี๋เพื่อเฉไฉเสียเลย...ไหนๆก็มีเมียผู้เป็นเจ้าของเสต็ปเทพในการเลี่ยงคำถามโหดๆแล้ว ผมก็น่าจะเอาตัวรอดเหมือนขนุนได้แบบสบายๆเหมือนกันแหละน่า  “โธ่ คุณบี๋ล่ะก็...ขนาดยังไม่ทันเจอหน้าขนุน คุณบี๋ก็เข้าข้างลูกสะใภ้แล้วเหรอฮะ  ถ้าน็อตพาขนุนมากราบนี่ มีหวังน็อตต้องตกกระป๋องกลายเป็นลูกชังแหงๆเลย”

คงเป็นเพราะผมนั่งตรงข้ามกับคุณบี๋ที่โต๊ะกินข้าว ผมเลยไม่สามารถเข้าถึงตัวคุณบี๋เพื่อกอด หรือ หอมเพื่อยกระดับความน่ารัก น่าสงสาร และทำให้คุณบี๋ชอบใจจนยอมยกเว้นการขุดคุ้ยความจริงได้ เสียงของคุณบี๋จึงเปลี่ยนจากนุ่มๆอุ่นๆหวานๆปานมาร์ชแมลโลว์ย่างไฟ กลายมาเป็นโหดดิบเถื่อนจนฟังแล้วขม เหมือนผมโดนสั่งให้อมบรเพ็ดได้ในชั่วพริบตา แถมวาจายังเชือดเฉือนหัวใจสุดๆอีกด้วย

“ไม่ต้องมาทำเฉไฉเปลี่ยนเรื่องเลย!!  ก็คุณบี๋รู้อยู่เต็มอกน่ะซิว่า คุณน็อตของคุณบี๋น่ะ ดื้อเป็นที่หนึ่ง เอาแต่ใจก็เท่านั้น ยังไม่พอนะ...คุณน็อตยังใจร้อน ขี้เบื่อ ขี้รำคาญ แถมถ้าเมื่อไหร่เกิดรู้สึกไม่ชอบใจใครขึ้นมามากๆ ก็สามารถหักหาญน้ำใจโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนได้ทุกเมื่อ เพราะฉะนั้น...การที่คุณหนุนทำแบบนี้ มันก็ต้องมีเหตุผลสนับสนุนอย่างแน่นอน...
.
...ถ้าคุณน็อตไม่อยากจะเล่าความจริงให้คุณบี๋กับคุณป๋าฟังก็ไม่เป็นไร แต่อย่าหวังว่าคุณบี๋จะยอมร่วมมือด้วยเป็นอันขาด!! เสียงเคร้งของช้อนกาแฟที่คุณบี๋เพิ่งจะใช้คนนมกับน้ำตาลยามตกกระทบกับจานรองแก้วนั้น ปลุกให้ผมรู้ตัวว่า ผมคงไม่อาจทำเนียนหนีหนี้เก่า ตบตาเจ้าหนี้ใหม่จนหลงตายใจให้ยืมเงินก้อนได้ง่ายๆแหงๆ

จบกันฮะงานนี้... บอกได้เลยทันทีว่าไอ้น็อตพลาดและพ่ายอย่างไม่มีทางสู้... 
...เพราะนอกจากคุณบี๋จะกัดไม่ปล่อยแล้ว ท่านยังสาดเกลือใส่แผลเก่าที่ยังไม่หายดีของผมจังจัง จนแสบซ่านร้าวรานไปทั้งทรวง ผมเลยต้องยอมเล่าเรื่องการดัดนิสัยผมที่เกิดขึ้นให้ท่านทั้งสองได้ฟังอย่างจำใจในที่สุด 


เมื่อผมเล่าเรื่องตามความจริงทั้งหมดให้ทั้งสองท่านฟังจบ คุณป๋าถึงกับตบมือเปาะซึ่งเป็นสัญญาณบอกให้เราทั้งสามรู้ว่าท่านถูกใจในสิ่งที่ได้ยินเป็นอย่างมาก ก่อนจะพูดเสียงดังอย่างชอบอกชอบใจออกนอกหน้า “เออวะ! เข้าทีดีจริงๆไอ้ลูกสะใภ้คนนี้ คุณป๋าล่ะถูกใจจริงๆว่ะ!!!  เดี๋ยวพอดีกันแล้ว ช่วยพาเมียมาให้เจอหน้าหน่อยนะ คุณป๋าจะเลี้ยงรับขวัญเมียคุณน็อตอย่างเต็มคราบเลยทีเดียวเชียว ฮ่า ฮ่า ฮ่า...
.
...ว่าแต่ ตอนนี้ คุณน็อตน่ะ...คิดกลับตัวกลับใจเลิกใช้กำลังได้รึยังล่ะห๊ะ?”

“คิดได้แล้วซิฮะ แหม่...
.
...ก็เค้าเล่นห้ามไม่ให้น็อตเห็นหน้าเค้ามาตั้งหลายวัน  น็อตก็ชักจะหวั่นมากขึ้นทุกทีว่า ถ้าขืนยังดื้อไม่ยอมปรับปรุงตัวเอง น็อตคงจะต้องเสียเค้าไปให้คนอื่นจริงๆน่ะซิฮะคุณป๋า” ผมยอมรับกับคุณป๋าไปตรงๆ จริงๆผมเองก็ไม่รู้ว่าผมจะปรับตัวได้อย่างเป็นรูปธรรมในทันทีทันใดจนเห็นผลชัดเจนตั้งแต่แรกจริงๆหรือเปล่า แต่ผมมั่นใจว่า...ถ้าผมแน่วแน่จะทำอะไรสักอย่างด้วยความพยายาม ความทุ่มเทเต็มเหนี่ยวแล้ว ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เป็นไปไม่ได้

คุณป๋าหันไปหาคุณบี๋แล้วท่านก็คุยกันราวกับผมไม่ได้นั่งหัวโด่อยู่ตรงนั้น “นี่แหละน้าคุณบี๋ ที่เค้าพูดกันว่า...คนนอนคุย เสียงดังกว่าคนนั่งคุย ขนาดเราเป็นถึงพ่อแม่ที่ให้ชีวิตแถมยังเลี้ยงดูไอ้เสือมาแต่อ้อนแต่ออก ยังหว่านล้อมให้มันเลิกนิสัยมุทะลุดุดันที่มันเป็นมาแต่ไหนๆ จนจะฆ่ากันตายอยู่หลายรอบ มันก็ไม่เคยคิดจะใส่ใจ...
.
...แต่พอเมียมันลงดาบไม่ให้เจอหน้าแค่ไม่กี่วัน ไอ้เสือมันก็ยอมเปลี่ยนนิสัยจากหน้ามือเป็นหลังมือกันง่ายๆ...
...ฮี่ธ่อ ไอ้ลูกหมา!!  คุณป๋าก็นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็กลัวเสียเมียไม่เป็นท่า ทุ๊ยยย! คุณป๋าพูดจบก็ทำหน้าล้อเลียนจนผมอดร้องอย่างไม่พอใจไม่ได้

“โธ่คุณป๋าล่ะก็...น็อตไหว้ล่ะนะฮะ... ตอนนี้น็อตกำลังเดือดร้อน...
.
...น็อตเพิ่งจะรู้ตัว่าน็อตถูกเมียต้มจนเปื่อยด้วยแผนการเหนือเมฆมาตั้งแต่แรก...
...น็อตอยากจะหาทางเอาคืนเค้าให้สาสม เพื่อที่เค้าจะได้รู้ว่า เค้าไม่สามารถจะจูงจมูกของสามีอย่างน็อตได้... 
.
...คุณป๋าต้องช่วยน็อตเอาคืนขนุนนะฮะ ไม่งั้นน็อตต้องกลายเป็นฝ่ายเสียอำนาจในการปกครองแหงๆเลย” พูดกับพ่อไป ผมก็ไหว้ปลกๆอย่างหมดท่าไป แต่ผู้ฟังของผมกลับยิ้มร่าราวกับไม่ได้เห็นว่าเรื่องของผมจะน่าเดือดร้อนตรงไหน

“ได้ข่าวว่าตอนนี้มึงก็เทินเมียขึ้นบูชาเหนือบ่าข้างนึงแล้วหนิ ไม่งั้นมึงจะเสียทีเค้าจนหมดรูปอยู่อย่างงี้เรอะไอ้ลูกหมา...เฮอะ?! คุณป๋าย้อนผมเสียจนจุก


มันก็จริง...ที่ผมค่อนข้างจะเชื่อฟัง และนับถือความคิดหลายๆอย่างของขนุนมาก แบบที่บางครั้งก็เถียงไม่ออกเชียวแหละ แต่ไอ้ครั้นจะไม่เอาคืนขนุน แล้วยอมเปลี่ยนนิสัยเลยในทันที...ก็ดูจะเป็นสามีดีเด่นผู้อยู่ในโอวาทเมีย จนไม่เหลือเค้าความเป็นแบดบอยตัวพ่ออย่างไรก็ไม่รู้


“ก็นี่ไงฮะ ถ้าเราร่วมมือกันวางแผนเพื่อแก้เผ็ดขนุน รับรองเลยว่า หลังจากนี้...ขนุนจะต้องกลับมาอยู่ในอาณัติ แล้วก็กลายเป็นเมียที่ว่านอนสอนง่ายของน็อตตลอดไปแน่ๆ” ผมตอบคุณป๋าไปอย่างรักษามาดตามแบบฉบับหัวหน้าครอบครัวผู้มีสิทธิและอำนาจสูงสุด เพื่อให้คุณป๋าภาคภูมิใจกับความเป็นชายเหนือชายที่แท้จริงของผม ทั้งที่ในใจนี่ ผมแม่งไม่ได้คิดอย่างนั้นเล๊ยยยแม้แต่นิดเดียว...
.
...ในความคิดผม สาเหตุที่ผมคันไม้คันมืออยากจะสั่งสอนเมียขึ้นมาติดหมัดคงเป็นเพราะ ผมอยากให้ขนุนรู้ว่า ผมคือคนที่เท่าทันทางความคิด และเหมาะสมกับเขาในทุกๆเรื่อง  ผมคือคนที่สามารถเดินเคียงข้างเขาด้วยความเสมอภาค มากกว่าที่จะปล่อยให้เราคนใดคนหนึ่งเดินนำหน้า หรือรั้งท้าย...
.
...เดินคนเดียวมันวังเวงและน่าน้อยใจไปหน่อยน่ะฮะ ไม่ใช่อะไร


คุณป๋าทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วอยู่ๆใบหน้าของท่านก็ผุดยิ้มร้ายๆแบบที่ผมเองก็ชอบทำเวลาที่คิดอะไรสนุกๆขึ้นมาได้ ท่านจึงเสนอไอเดียของท่านอย่างตื่นเต้นออกมาทันที  “เอางี้ดีกว่า...ไอ้เรื่องแก้เผ็ดเมียน่ะ ไว้ค่อยคิดกันอีกทีแล้วกันว่ะ เพราะคุณป๋าว่า ถึงเวลาที่เราควรจะเรียกสมาชิกทุกคนกลับมาที่บ้าน เพื่อประชุมเรื่องฉุกเฉินที่สุดในเวลานี้ก่อน”

ผมทิ้งตัวลงกับพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยหน่าย  เพราะไม่เห็นว่าคุณป๋าจะให้คำตอบที่ผมต้องการรับฟังแม้แต่อย่างเดียว ผมร้องขัดคอคุณป๋าถึงเรื่องแทรกที่ท่านเพิ่งจะยกประเด็นขึ้นมาอย่างไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆออกมา เพราะไม่อยากจะให้ตัวเองต้องสิ้นหวังและหมดศรัธทากับบิดาของตัวเองไปเสียก่อน


“โห่ คุณป๋าอ้ะ...คุณป๋าช่วยเข้าใจน็อตหน่อยดิฮะว่าการจัดการกับขนุนน่ะมันเป็นเรื่องด่วนที่สุดของน็อตในตอนนี้ พักเรื่องประชุมครอบครัวเอาไว้ก่อนได้ไม๊ฮะ ถ้าภายในวันสองวันนี้...น็อตยังไม่ได้เจอหน้าขนุน น็อตต้องบ้าตายแน่ๆเลยฮะ”

แม้ผมจะออกอาการหงุดหงิดเหมือนเด็กเอาแต่ใจงอแง แต่คุณป๋าก็ยังอมยิ้มชอบใจได้อยู่ดี “ไอ้ลูกหมา ใจเย็นๆ ตั้งสติดีๆก่อน...แล้วช่วยตอบคุณป๋ามาซิว่า เราน่ะ จริงจังกับขนุนเค้าแค่ไหน?”  คุณป๋าถามผมด้วยสีหน้าเหมือนคนกำลังอุบความลับ หรือกำลังรอทำเซอร์ไพรส์ผมอยู่อย่างไรอย่างนั้น

ถึงผมจะถอนใจพรูเพราะไม่อยู่ในอารมณ์ แต่ก็ยังตอบคำถามของท่านออกไปอยู่ดี  “ไม่เห็นจะต้องถามเลยฮะคุณป๋า...ก็เห็นๆกันอยู่ว่าน็อตอ่ะโคตรรักขนุนแบบสุดๆ รักเค้ามากซะจนอยากจะกลืนกินเข้าไปไม่ให้ใครในโลกนี้ได้เห็น ไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนได้ชื่นชม นอกไปจากน็อตคนเดียว” 

คุณป๋ามองหน้ากับคุณบี๋ แล้วท่านสองคนก็ต่างส่งยิ้มขำๆให้กันและกันระหว่างได้ยินสิ่งที่ผมพูด  สุดท้ายท่านก็ยกมือห้ามให้ผมหยุด แล้วถามต่อด้วยสีหน้ากรุ่มกริ่มยิ่งกว่าทันที  “...โอเค โอเค พอ พอได้แล้ว...คุณป๋าเข้าใจแจ่มแจ้งแดงแจ๋แช้แม้เลี้ยวว่ะ......แต่ถามจริงๆเถอะวะไอ้เสือ ที่เอาแต่พร่ำเพ้อว่ารักเค้ามากอย่างงั้น หวงเค้ามากอย่างงี้  ใจคอมึงนี่ไม่คิดจะรวบหัวรวบหางเค้ามาเป็นเมียแบบออกหน้าออกตาเลยเหรอวะ?”


เพราะเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูด แววตา และท่าทางของคุณป๋าเป็นอย่างดี ผมจึงรับมือกับความตื่นเต้นดีใจที่เกิดขึ้นแบบฉับพลันทันตาได้ไม่ดีนัก  ร่างกายผมตอบสนองคำถามแจ่มสุดตีนของคุณป๋าด้วยการดีดตัวเองออกจากพนักพิงด้วยความเร็วสูง ก่อนจะเอนตัวไปข้างหน้าเพื่อโน้มตัวเข้าหาร่างของบิดาที่นั่งยิ้มกอดอกให้ ด้วยหวังจะถามอีกฝ่ายเพื่อความแน่ใจว่าผมไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองในหนนี้ จนเกือบจะกลายเป็นล้มคะมำคว่ำใส่หน้าคุณป๋าอยู่แล้ว แต่เมื่อตั้งศูนย์ได้ ผมก็ถามคุณป๋าอย่างไม่ลังเลด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นสุดๆ


คุณป๋าหมายความว่าไงฮะ!!?

คุณป๋ายิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วแกล้งทำเป็นพูดหน้าตาย “อ้าว...ก็คนรักกันน่ะ พอคบกันมาถึงจุดนึง เราก็อยากจะแต่งงานอยู่กินกับอีกคนนึงไม่ใช่เหรอ... หรือว่าคุณน็อตไม่อยากแต่งล่ะ?”

“แปลว่า... คุณป๋าจะจัดงานแต่งให้น็อตกับขนุนเหรอฮะ?” ผมถามอย่างร้อนรน ทั้งที่ในใจนี่ภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งโลกนี้โลกหน้าและโลกคู่ขนานในมิติอื่นๆเพื่อให้ช่วยดลบันดาลให้สิ่งที่ผมอยากให้เกิดขึ้นมากที่สุดเป็นจริงดั่งใจ...

...คุณพระคุณเจ้าขอร๊าบ...ขอให้คุณป๋าตอบอย่างที่ผมอยากได้ยินด้วยเทิ๊ดดดด...สาธุ!!!  และแล้วเสียงตอบรับจากสวรรค์ก็เปล่งดังอย่างไพเราะออกมาในรูปของเสียงกลั้วหัวเราะของบิดาผมเอง...

“เออ ก็ใช่น่ะสิวะ คุณป๋าเห็นคุณน็อตบอกว่ารักเค้าอย่างงั้นอย่างงี้... แล้วพอต้องอยู่ห่างกับเค้าเข้าหน่อยก็ทำท่าเหมือนจะเป็นจะตาย ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน แถมยังไม่ยอมหลับยอมนอน ดูซิเนี่ย...โทรมซะจนหน้าตาดูไม่ได้ ถ้าได้ตบได้แต่งกันไปเป็นฝั่งเป็นฝา เค้าก็คงจะช่วยทำให้คุณน็อตกลายเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้บ้าง...
.
...อีกอย่าง เท่าที่คุณป๋าได้ฟังวีรกรรมของขนุนที่คุณน็อตเล่าๆมาน่ะ  คุณป๋าโคตรถูกชะตากับว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้แบบไม่มีเหตุผลซะแล้วซิ  คุณน็อตจำเอาไว้เลยนะ ในโลกนี้...หากใครก็ตามสามารถกำราบไอ้เสือของคุณป๋าให้ยอมสยบแทบเท้าจนกลายเป็นไอ้ลูกหมาแสนเชื่องอย่างตอนนี้ได้  คุณป๋าย่อมจะเอ็นดูคนๆนั้นแบบที่แทบจะยกสมบัติให้กึ่งหนึ่งโดยไม่ต้องเสียเวลาซักประวัติกันให้เหนื่อยเลยเชียวว่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า...
.
...ดีซะอีก ที่คุณน็อตกับขนุนแต่งงานกันได้จริงๆ  เพราะถ้าเราทั้งสองแต่งงานกันไปเป็นฝั่งเป็นฝา คุณป๋าก็จะแน่ใจได้ล้านเปอร์เซนต์ว่า จะมีคนอีกหนึ่งคนอาสามาช่วยแบ่งเบาภาระในการดูแลคุณน็อตไปจากคุณบี๋สุดที่รักของคุณป๋าได้ซะที  เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมานี่...แฟนคุณป๋าเค้านอนไม่ค่อยจะหลับเต็มตา เพราะต้องมัวแต่คอยพะวงว่า ไอ้ลูกชายตัวดีสุดแสบจะเที่ยวไปก่อเรื่องที่ไหนต่อไหน จนโดนเป่าขมองไหลแบบไม่รู้ตัวเข้าซักวัน”


ไอ้เรื่องเกเรนี่เล่นเอาผมเถียงคุณป๋าไม่ออก เพราะมันจริงเสียยิ่งกว่าจริง ถ้าลองเอาวีรกรรมที่ผมทำทั้งเล็กทั้งใหญ่ตลอดเวลาสิบปีที่ผ่านมาตั้งแต่ผมเริ่มจะแตกเนื้อหนุ่มมาเขียนลงในกระดาษ ผมค่อนข้างแน่ใจว่า ประวัติการต่อยตีของผมต้องยาวเป็นหางว่าวแบบที่แม่งต้องหนากว่าบัญชีหนังหมาในยมโลกแหงๆ  

ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลอีกข้อที่ทำให้ผมสักเสียจนตัวลาย...เพราะมันช่วยพรางรอยแผลเป็นที่เกิดจากความห้าวไร้การควบคุมของตัวเองไม่ให้ดูเด่นเตะตาจนทำให้คุณๆที่บ้านตกใจ

ถึงช่วงหลังๆตั้งแต่เริ่มทำงาน ไอ้อาการบ้าเลือดดูจะทุเลามากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากผมไม่ค่อยมีเวลาออกร่อนสักเท่าไร   แต่มันก็ไม่ได้หายขาด ผมยังพร้อมจะงัดกับใครก็ได้หากไม่ถูกชะตา หรือมองหน้าแล้วกวนตีน   ผิดไปจากตอนนี้ลิบลับ...ที่ผมชักเริ่มจะรู้สึกไม่อยากแลกหมัดกับใครนัก ถ้าไม่ใช่เพื่อปกป้องขนุน  เพราะเมื่อผมมีคนหน้าแว่นอยู่ในชีวิต...ผมก็ไม่คิดอยากจะออกไปเที่ยวตามสถานที่อโคจรที่เคยชอบไปอีกเลย  

ที่สำคัญ...พอผมรักขนุนหมดหัวใจ มันได้ทำให้ผมรู้จักความกลัวที่เกิดจากการสูญเสียคนรัก  จนผมเกิดความรู้สึกรักชีวิตตัวเองขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้  เพราะการได้ตื่นลืมตาขึ้นมาในทุกๆเช้า มันมีความหมายว่า...ผมจะได้เจอหน้า และใช้เวลากับคนที่ผมรักอย่างมีความสุขเพิ่มมากขึ้นอีกหนึ่งวัน

ซึ่งนั่นทำให้ผมเริ่มจะเข้าใจถึงเหตุผลสนับสนุนของคุณป๋า ที่ท่านยกมาอธิบายการตัดสินใจเป็นธุระจัดงานแต่งงานของผมกับขนุนได้ไม่ยาก  แต่ถ้าคุณป๋าอาสาเป็นเถ้าแก่ออกหน้าเรื่องงานแต่งให้ผมกับเมียจริงๆ...มันจะมีปัญหาเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือ ชื่อเสียง หรือหน้าตาของคุณป๋าและโรงพยาบาลตามมาหรือเปล่าวะ??


“แต่เราสองคนเป็นผู้ชายทั้งคู่นะฮะ  น็อตไม่กล้าขอให้คุณป๋ากับคุณบี๋ต้องมาทำอะไรให้เอิกเกริกเกินไปหรอกฮะ...
.
.
...แค่คุณป๋ากับคุณบี๋ยอมรับความรักของเรา และยินดีต้อนรับขนุนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว น็อตก็ดีใจจะแย่อยู่แล้ว  คุณป๋าไม่ต้องลำบากทำถึงขนาดจัดงานแต่งให้เราสองคนหรอกฮะ... คุณป๋าจะอับอายคนอื่นเค้าไปซะเปล่าๆ”

พอได้ยินสิ่งที่ผมพูด คุณป๋าก็ถึงกับร้องโวยวายแทรกขึ้นมาจนผมตกใจ  “เฮ๊ยย!! ไอ้เสือ...อย่าลืมสิวะว่ามึงกำลังคุยกับใครอยู่  นี่มึงกำลังพูดคุยประสาผู้ใหญ่กับพ่อแม่แท้ๆที่สุดแสนจะหัวสมัยใหม่และใจกว้างสุดๆอยู่นะโว้ยยย...

...คุณป๋ากับแฟนรับเรื่องนี้ได้แบบแมนๆตั้งแต่วันแรกที่คุณน็อตบอกกับทุกคนในบ้านว่าจะจีบขนุนแล้วว่ะ เพราะฉะนั้น... การเฉลิมฉลองให้กับความรักของลูกของเราทั้งสองคน ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่เราจะต้องเป็นกังวลไปว่า  คนนอกครอบครัวคนอื่นๆจะไม่เข้าใจเลยนี่หว่า” พูดจบคุณป๋าก็ตบบ่าของผมหนักๆเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจ

ผมจ้องมองใบหน้าของท่านผู้เป็นทั้งผู้ให้ชีวิต ให้การดูแล และให้แนวคิดในการดำรงชีวิตอย่างชาญฉลาดด้วยความตื้นตัน และซาบซึ้งถึงพระคุณของท่านอย่างที่สุด ส่วนผู้ให้กำเนิดอีกท่านก็ช่วยยืนยันให้ผมยิ่งมั่นใจ และปลาบปลื้มกับความโชคดีของตัวเองที่ได้เกิดเป็นลูกของท่านทั้งสองไปกันใหญ่ ด้วยการเอ่ยเสริมความเห็นของคุณป๋าอย่างขันแข็ง

“หึ หึ...อย่างที่คุณป๋าบอกนั่นแหละค่ะคุณน็อต  แค่คุณน็อตมีความสุขทุกเมื่อที่เล่าถึงคุณหนุนให้คุณบี๋ฟัง คุณบี๋ก็รู้ได้ทันทีเลยว่า คุณน็อตเจอคนที่คุณน็อตตามหามานาน เหมือนกับที่คุณบี๋เจอกับคุณป๋าน่ะแหละ  คุณบี๋เลยเห็นด้วยกับการจัดงานแต่งให้คุณน็อตกับคุณหนุนในครั้งอย่างไม่มีข้อสงสัยยังไงล่ะคะ...
.
.
...ถึงมันจะไม่ถูกต้องตามกฏหมาย แต่อย่างน้อยๆ มันจะถูกต้องตามกฏหมู่ของบ้านเรา...
...อีกอย่าง คุณบี๋ว่า การแต่งงานน่าจะช่วยผูกใจของทั้งคุณน็อต และคุณหนุนเอาไว้ด้วยกันตราบนานเท่านานได้อีกทางหนึ่งยังไงล่ะ”  


ตลอดมา...รอยยิ้มของคุณบี๋งดงามในสายตาของผมมาตลอด แต่วันนี้...ผมได้ตระหนักถึงความงามเหนือโลกและกาลเวลาของแม่ตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง...... วินาที่นี้ ผมอยากจะบอกคุณบี๋กับคุณป๋าเหลือเกินฮะว่า...ผมรู้สึกขอบคุณในความรัก และความเข้าใจที่คุณบี๋กับคุณป๋ามีให้ผมมาตลอด ผมจะพยายามเป็นคนดียิ่งไปกว่านี้ เพื่อให้สมกับความรักที่คุณบี๋และคุณป๋ามีให้


“ถ้าคุณบี๋กับคุณป๋าไม่ขัดข้องอะไร น็อตก็ยิ่งกว่ายินดีเลยฮะ... และน็อตมั่นใจว่า ขนุนเองก็น่าจะมีความสุขที่เราสองคนจะได้แต่งงานกันไม่ต่างจากน็อตแน่ๆฮะ ขอบพระคุณมากนะฮะคุณป๋า คุณบี๋...
.
...นี่มันดียิ่งไปกว่าการแกล้งเมียผมเป็นล้านเท่าเลยฮะ” ผมยิ้มเต็มหน้าพลางไหว้ทั้งคุณป๋าและคุณบี๋หลังจากพูดจบ

“โอเค...งั้นคุณป๋าเรียกประชุมทุกคนในบ้านเลยแล้วกันนะ เราจะได้เดินหน้าตามแผนของเรากันซะที”  

“ฮะ...ให้ว่องเลยฮะคุณป๋า เดี๋ยวน็อตช่วยโทรไปแคนเซิลนัดของคุณป๋ากับคุณบี๋วันนี้ให้เองนะฮะ”ผมรับคำคุณป๋าแข็งขันโดยไม่วายแหย่ท่านกลับ

“แหม...ทีนี้จะมาทำหัวไวขึ้นมาเชียวนะไอ้เสือ หนอยย..คุณป๋าล่ะหมั่นไส้ ก่อนหน้านี้ทำหน้าเหมือนจะตายซะให้ได้ แต่พอรู้ว่าพ่อกับแม่จะแต่งเมียให้เท่านั้นแหละ หน้างี้บานเป็นจานเชิงเชียวนะไอ้นี่  ขอคุณป๋าเตะซักทีจะได้ไม๊วะเนี่ยะ” ผมไม่รอให้คุณป๋ายกเท้าขึ้นมาประทับบนตัวผมเสียให้เจ็บไปเปล่าๆ  ผมเลยดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้แล้วกระโดดถอยหลังออกห่างจากวิถีตีนของท่าน แล้วร้องขอความช่วยเหลือจากกรรมการห้ามมวยสุดสวย

“คุณบี๋ คุณบี๋ช่วยน็อตด้วย...คุณป๋าจะเตะน็อตฮะ”

คุณบี๋ทำท่าอ่อนใจก่อนจะปรามผมด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังเท่าไรนัก “ดูทำเข้าซิ...มัวแต่เล่นอยู่นั่น  งานการน่ะจะแต่งรึเปล่าล่ะเรา ฮึ?”

“แต่งฮะแต่ง!!  เดี๋ยวน็อตรีบไปจัดการโทรหาคุณเลขาฯเคลียร์คิวคุณบี๋กับคุณป๋าก่อนนะฮะ...ไปล่ะฮะ”   พอรู้ตัวว่าชักจะเล่นมากจนเสียเวล่ำเวลาอย่างที่คุณบี๋ว่า  ผมก็รับคำคุณบี๋แล้วออกวิ่งพลางกดหาเบอร์โทรศัพท์ที่ต้องใช้อย่างด่วนในเวลานี้ทันที  


หึ หึ...เอาล่ะ ผมจะใช้งานแต่งเป็นตอนจบอันงดงามของแผนเอาคืนขนุนในครั้งนี้ก็แล้วกัน..
แต่ก่อนหน้านั้น...ผมยังมีอะไรที่ต้องเตรียมเพื่อสร้างอารมณ์ให้เมียตั้งรับไม่ทันอีกแยะ  และผมจะไม่ยอมเสียเวลาที่เราควรจะได้อยู่ด้วยกันไปโดยเปล่าประโยชน์อีกแน่ๆ

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐


ค่ำของวันก่อนหน้าวันเปิดตัวขนุนต่อหน้าสมาชิกทุกคนในบ้าน / บ้านพิมรรักษา

หลังจากตระเตรียมขั้นแรกของแผนล่อเมียออกจากบ้านกับไอ้เหี้ยพี่เจี๊ยวเมื่อตอนบ่ายเป็นที่เรียบร้อย ผมก็รีบบึ่งอ้วนดำลูกรักกลับมาที่บ้านเพื่อร่วมการประชุมวิสามัญกับสมาชิกอีกหกคนของบ้าน ซึ่งผมเข้าใจว่า...พี่ๆน้องๆของผมทุกคน ต่างก็คึกคัก และตื่นเต้นกับข่าวดีของผมที่คุณป๋าช่วยประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าไปเมื่อตอนบ่ายกันเหลือเกิน

ผมไม่ยักกะจำได้แฮะว่าตอนเตรียมงานแต่งให้คุณเน็ตเมื่อไม่นานมานี้ พี่ๆน้องๆคนอื่นๆของผมตื่นเต้นขนาดนี้หรือเปล่า...

...แต่สำหรับงานผม ผมว่าคุณๆแต่ละคนนี่เป็นเอามาก...
...เพราะเมื่อคุณๆอีกสี่คนรู้ว่าผมจะแต่งงานกับแฟนผู้ชายที่ไม่เคยมีใครได้เห็นหน้าค่าตามาก่อน (เว้นก็แต่คุณเน้ย)  ผมนี่ต้องหักหัวอ้วนดำเพื่อเข้าไปนั่งร้านกาแฟซึ่งอยู่ระหว่างทางไปสำนักพิมพ์ที่ขนุนทำงานเป็นการชั่วคราว เพราะทนโดนรบเร้าให้ร่วมประชุมสายไม่ไหว กลายเป็นว่า ผมต้องเสียเวลาไปตั้งครึ่งชั่วโมงเพื่อการตอบคำถามของคุณๆแต่ละคนจนพอใจ จนเมื่อนั้นน่ะแหละผมถึงได้ถูกปล่อยตัวให้ไปทำธุระที่ผมอยากทำใจจะขาดเสียที

ผมว่า...ผู้ทรงอิทธิพลที่บิวท์อารมณ์ทุกคนเสียจนเกิดตื่นเต้นกันโดยทั่วหน้าเห็นจะไม่พ้นคุณป๋ากับคุณบี๋นี่เอง  สงสัยว่าพ่อผมคงอยากให้ลูกชายหนึ่งในสามได้ทำตามสมัย ด้วยการเป็นเกย์ไปสักคน บ้านเราจะได้แนวและล้ำกว่าครอบครัวไหนๆในแวดวงสังคมที่เราสังสรรอยู่...หรือเปล่าวะ?!...

...ที่ผมตั้งข้อสงสัยข้างต้น เพราะคุณป๋าตั้งตนเป็นหัวโจกพูดนำการประชุมของบ้านอยู่นานเป็นชั่วโมงๆด้วยความกระตือรือล้นเต็มเปี่ยม ทั้งที่งานแต่งของพี่ๆคนก่อนๆ คุณป๋าท่านทำตัวเป็นแค่ฝ่ายเสริมและซักถามตามสมควรเท่านั้น จนผมชักจะสงสัยขึ้นมาตงิดๆแล้วสิว่า ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าบ่าวของงานนี้กันแน่วะ?!  

และในตอนนี้...ท่านก็กำลังสรุปเนื้อหาในที่ประชุมให้เหล่าสมาชิกอันทรงเกียรติได้ทราบโดยทั่วกัน  “เอาล่ะ เป็นอันตกลงแล้วนะว่า เย็นวันพรุ่งนี้ เราจะสร้างสถานการณ์ให้เป็นตอนที่คุณป๋าแนะนำคู่หมั้นเก๊ให้กับคุณน็อตได้ทำความรู้จัก...
.
...โดยที่ฉากของเราจะเกิดขึ้นระหว่างการกินข้าวเย็นร่วมกันของสมาชิกทุกคนในครอบครัวประจำเดือน...  
...เราจะให้น้องจินนี่เพื่อนคุณโน้ตมารับบทคู่หมั้นกำมะลอให้ไอ้เสือ...  
.
...คราวนี้แหละ...ไอ้เสือมันจะได้ทั้งแก้แค้น ทั้งพิสูจน์หัวใจเมียมันว่า แท้ที่จริงแล้ว ขนุนก็หึงเป็นเหมือนกับคนอื่นๆ  มันจะได้เลิกบ้าคิดไปเองซะทีว่าเมียมันไม่รัก ไม่หวงมัน”


ผมพยักหน้าหงึกหงักจนหัวจะหลุดออกจากบ่าแทนการสนับสนุนทุกถ้อยคำของคุณป๋าอย่างจริงใจ... เรื่องน้องจินนี่เป็นการขอร้องเป็นพิเศษของผมเอง เพราะผมบอกคุณป๋าว่า ไหนๆพวกเราทั้งหมดก็พร้อมใจกันรวมหัวแกล้งขนุนแล้ว ขอให้ผมได้เห็นเมียอวตารร่าง กลายเป็นเคะราชินีผู้หึงโหดเป็นบุญตาสักครั้ง  เพื่อที่หลังจากนี้ผมจะได้นอนตายตาหลับเสียทีเมื่อได้รู้ว่า เมียผมก็มีต่อมหึงไม่ต่างจากมนุษย์โลกทั่วๆไปเหมือนกัน

คุณป๋าหันไปกำชับคุณโน้ตที่กำลังก้มหน้าก้มตาเล่นกับพี่ปลิงลูกรักของเจ้าตัวซึ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ชั่วคราวระหว่างพี่ปีย์ยังพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลโดยไม่สนใจใคร “เอ้อ คุณโน้ต พรุ่งนี้อย่าลืมบอกให้จินนี่มาที่บ้านล่ะ ย้ำให้จินนี่แต่งตัวจัดเต็มแบบที่ว่า สวยหยาดเยิ้มหยดย้อยเลยนะคุณโน้ต เมียไอ้เสือมันจะได้เชื่อสนิทใจว่า คนที่คุณป๋าหามาให้ไอ้เสือ มีภาษีดีพอที่จะเป็นลูกสะใภ้คนใหม่ของบ้านเรา”

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเลยฮะคุณป๋า รับรองว่าโน้ตจะจัดหนักจัดเต็ม แบบไม่ยอมให้คุณป๋าต้องอับอายขายหน้ากันเลยทีเดียวฮะ  แต่โน้ตกลัวอย่างเดียวน่ะแหละฮะว่า พอคุณน็อตได้เจอไอ้จินแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มที่ขึ้นมาจริงๆ คุณน็อตอาจจะคิดกลับลำไม่ยอมแต่งงานกับคุณหนุนแทบไม่ทันเอาน่ะซิฮะ หึ หึ”  ไอ้น้องชายตัวเท่าตึกของผมรับคำคุณป๋าเสร็จก็ทำปากกล้าแซวผมต่อทันที...

...หึ! ไอ้ช่วงอายุห่างกันห้าปีนี่แม่งไม่ได้มีผลกับระดับความเคารพพี่ชายของไอ้น้องผมคนนี้เลยสินะ


ผมแสยะยิ้มให้คุณโน้ตแล้วพูดนิ่งๆแบบเก็บอาการ ทั้งที่ในใจนี่อยากจะอวดเมียเหลือเกิน “เอาไว้คุณโน้ตได้เจอหน้าพี่สะใภ้ซะก่อนเหอะ แล้วคุณโน้ตจะเข้าใจได้เองว่า ทำไมน็อตถึงไม่คิดเปลี่ยนใจหันกลับไปคบผู้หญิงอีกเลย”


ที่ผมพยายามทำตัวเฉยๆไม่คุยโวเรื่องหน้าตาและความน่ารักของขนุน เพราะผมไม่อยากให้ไอ้น้องชายคนสุดท้องเกิดตื่นเต้นอยากเห็นหน้าเมียผมล่วงหน้า เดี๋ยวไอ้เด็กน้อยจะตั้งตารอเจอพี่สะใภ้จนน่าเตะ อีกอย่าง...ต่อให้เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ผมก็ไม่อาจจะวางใจไอ้คุณโน้ตได้ร้อยเปอร์เซนต์ เพราะแม่งเสือกเป็นผู้ชายทั้งแท่งที่หน้าเหมือนผมอย่างกับแกะ..จนผมแอบกลัวใจว่าขนุนอาจจะแพ้กล้ามใหญ่ๆ กับนิสัยร่าเริง ขี้อ้อน ช่างประจบเอาใจของไอ้คุณโน้ต แล้วเผลอไปชอบมันมากกว่า...เมื่อนั้นแหละ งานจะงอกเอาได้


“คุณน็อตก็พูดเกินไป โน้ตไม่เชื่อหรอกว่าคุณหนุนจะแจ่มเกินหน้าผู้หญิง ไอ้จินมันเป็นถึงดาวมหาลัยเลยนะเว่ย” คุณโน้ตแม่งก็ยังไม่เลิกเถียงจนผมเกือบจะทนไม่ไหว หลุดปากสาธยายความน่ารักของเมียผมให้มันฟังอยู่เชียว ถ้าไม่ติดว่าคุณเนยส่งเสียงห้ามศึกตีฝีปากระหว่างเราสองคนเสียก่อน

“เด็กสองคนนี่ล่ะก็พอได้ซะที!”  ผมกับคุณโน้ตต้องรีบหุบปากแล้วก้มหน้าหลบสายตาที่ดุยิ่งกว่าคุณบี๋เป็นร้อยเท่า เมื่อเห็นว่าทุกคนเงียบและพร้อมรับฟัง คุณเนยก็ว่าต่ออย่างคล่องแคล่ว “เนยขอสรุปก่อนก็แล้วกันนะคะว่า...พรุ่งนี้คุณน็อตจะพาตัวคุณหนุนมาที่นี่ แล้วเราทั้งหมดก็จะกุเรื่องงานหมั้นงานแต่งจอมปลอมขึ้น โดยมีคุณป๋าแสดงนำเป็นจอมวายร้ายขัดขวางความรักของคุณน็อตกับคุณหนุนใช่ไม๊คะ?”

คุณป๋ายืดตัวขึ้นก่อนจะนั่งหลังตรงด้วยท่าทางผึ่งผายองอาจ แล้วรับคำคุณเนยด้วยเสียงหล่อจัดแบบที่ท่านชอบทำเพื่อใช้แซวให้คุณบี๋หายงอน “ใช่แล้วล่ะคุณเนย...ขอให้ทุกคนจงเชื่อมั่น และปล่อยหน้าที่พ่อสามีใจร้ายให้คุณป๋าดูแลแต่เพียงผู้เดียว เอียว เอียว เอียว เอียว เอียว”  ระหว่างพูด คุณป๋าก็ปั้นหน้า และเต๊ะท่าเก๋าๆเหมือนพวกตัวร้ายยุคสมบัติ-อรัญญาเฟื่องฟู   ก่อนปิดท้ายประโยคด้วยการเก็กท่าหล่อพลางลากเสียงเอคโค่อยู่นาน จนเหล่าลูกๆอดขำไม่ได้ และเป็นคุณบี๋นี่เองที่ออกปากถามเรื่องคาใจ เพื่อเบรคอาการอินกับบทของคุณป๋าเอาไว้แค่ตรงนั้น

“คุณป๋าคะ...ถามจริงๆเถอะ  ที่คุณป๋าอาสารับบทร้ายในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพราะความอัดอั้นตันใจที่สะสมมาตั้งแต่สมัยโดนพ่อและพี่ๆบี๋กีดกันเมื่อแรกจีบบี๋หรอกใช่ไม๊คะ?”

“โธ่ คุณบี๋ก็ พูดมาได้...คุณป๋าเลิกคิดเล็กคิดน้อยเรื่องหนึ่งปีแห่งความทรมานนั้นไปแล้วนะครับ  และไอ้ที่คุณป๋ายอมเล่นบทพ่อสามีใจร้ายในครั้งนี้ ก็เพราะคุณป๋าไม่อยากให้คุณบี๋ต้องเหนื่อยออกโรงปั้นหน้าเป็นว่าที่แม่ผัวใจร้ายอย่างในละครหลังข่าวยังไงล่ะ...
.
...คุณบี๋ก็รู้ดีนี่นาว่า คุณป๋าน่ะ รักแฟนคุณป๋าม๊ากมาก เลยไม่อยากให้ว่าที่ลูกสะใภ้เช้าใจคุณบี๋ผิดยังไงล่ะครับ เนอะ”

ก่อนที่ลูกๆทุกคนจะตายอย่างอนาถ เพราะทนความหวานของคุณป๋ากับคุณบี๋ไม่ไหว คุณเนยก็ตัดบทเข้าเรื่องเพื่อช่วยชีวิตเราทั้งห้าคนเอาไว้ได้แบบเฉียดฉิว “สรุปว่า นอกจากคุณป๋าแล้ว พวกเราที่เหลือก็ทำตามแผนที่ว่ามาทั้งหมด...
.
...เราพี่น้องเล่นบทคนดีไปก็แล้วกันนะ ใครอยากคุยอะไรกับคุณหนุนก็คุยได้ตามปกติ อาศัยจังหวะนี้ทำความรู้จักกับสะใภ้คนใหม่ของบ้านได้เลย แต่พอคุณป๋าเข้าฉากมา ก็ปล่อยให้คุณป๋าแสดงฝีมือไป  ไม่ต้องเสริม ไม่ต้องสอดแทรก แต่ถ้าทุกอย่างมันชักจะยืดเยื้อ...เนยจะหาทางตัดบทให้เอง...
.
.
...คืนพรุ่งนี้ หลังจากคุณน็อตไปส่งคุณหนุนกลับบ้านหลังดินเนอร์เสร็จแล้ว... เราค่อยมานั่งไล่รายละเอียดและลำดับขั้นตอนกันอีกทีว่าเราต้องเตรียมการอะไรอีกบ้าง... มีใครสงสัยอะไรอีกไม๊?” คุณเนยไล่มองหน้าพวกเราทีละคน จนมาถึงผมที่อดถามด้วยความสงสัยออกมาไม่ได้จริงๆ

“เดี๋ยวฮะคุณเนย... น็อตว่าจะถามหลายทีแล้ว แต่ไม่มีโอกาส  ทำไมใครๆก็เรียกขนุนว่าคุณหนุนล่ะฮะ?”

“อ๋อออ ก็คุณบี๋น่ะซิ  ตั้งแต่คุณบี๋เห็นรูปคุณหนุนที่คุณเน้ยแอบถ่ายเก็บเอาไว้ตั้งแต่วันที่เธอเจอคุณน็อตกับคุณหนุนที่ร้าน  คุณบี๋ก็ถูกใจหน้าตาท่าทางของคุณหนุนเข้าจังเบ้อเร่อเลยล่ะ...
.
...ยิ่งพอได้ยินคำบอกเล่าของคุณเน้ยเกี่ยวกับว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ บวกกับที่ป้ากบโทรมาเมาท์ให้ฟัง คุณบี๋เธอก็เอาแต่ชมคุณหนุนไม่ได้มีขาดปาก บอกว่าคุณบี๋อยากมีลูกชายหน้าตาน่ารัก รูปร่างอ้อนแอ้นแขนอ่อนอย่างนี้มาตั้งนานแสนนาน   ไม่เสียแรงที่คุณน็อตเป็นลูกชายคุณบี๋....ตาแหลมซะจนสามารถเลือกลูกสะใภ้ได้ถูกอกถูกใจคุณบี๋ซะเหลือเกิน...
.
...และด้วยอานุภาพอันรุนแรงแห่งความรู้สึกถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น คุณบี๋เลยบอกให้พวกเราเริ่มเรียกชื่อเล่นแฟนคุณน็อตว่าคุณหนุนมาตั้งแต่นั้น”

คุณบี๋ที่ทำหน้าภูมิอกภูมิใจในฐานะเจ้าความคิดก็เสริมคุณเนยออกมาทันที “ก็จะได้เป็นครอบครัวตัว  ‘น.ของเราเร็วๆยังไงล่ะ คุณน็อต กับคุณหนุน...น่ารักดีใช่ไม๊ล่ะคะ?”


...ถึงได้ว่าสิ นี่สินะที่ทำให้ผมกลายเป็นหมาหัวเน่าได้เร็วนัก...
...เป็นเพราะคุณบี๋ชอบขนุนมากนี่เอง...
...แล้วหลังจากนี้  สมาคมเมียหลวงนำโดยคุณบี๋ จะมีอำนาจต่อรองกับเหล่าสามีทั้งหลายมากมายขนาดไหนกันนะ??!...

...แต่นั่นกลับไม่ใช่เรื่องที่ผมกังวลที่สุดในเวลานี้ ผมเลยรับคำคุณบี๋อย่างโล่งอกแทนขนุน เพราะเมียผมคงไม่ต้องปรับตัวอะไรมากหลังจากมาเจอหน้าสมาชิกทั้งหมดของบ้าน และปิดท้ายด้วยการเตือนพี่ๆน้องๆให้ระวังเรื่องความสมจริงสมจังของบทบาทที่จะต้องเล่นในวันพรุ่งนี้  “ฮะ น่ารักมากเลยฮะคุณบี๋ ขอบคุณมากนะฮะที่คุณบี๋เอ็นดูขนุน  แต่คุณๆก็อย่าได้เผลอไปเรียกคุณหนุนแบบนั้นต่อหน้านะฮะ เดี๋ยวแผนเราจะแตกกันพอดี”

“น่า...เชื่อมือพวกเราเถอะคุณน็อต...ไหนๆเราก็รวมหัวกันตั้งตนเป็นลูกทีมที่ดีของคุณน็อตแล้วนี่  เน็ตรับรองเลยว่า เรื่องเบ็ดเตล็ดพวกนี้ไม่มีทางหลุดออกไปอย่างแน่นอน...
.
...เออ...ว่าแต่ เราจะเอายังไงกับครอบครัวของฝ่ายโน้นกันล่ะครับ?...
...อาทิตย์หน้านี้บ้านเราก็จะเอาลูกเค้ามาเป็นลูกบ้านเราเพิ่มอีกคนแล้ว พวกเรายังไม่ได้บอกพ่อแม่เค้าอย่างเป็นทางการเลยนะครับ”  คุณเน็ตถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

รายนี้...กว่าจะได้แต่งงานกับพี่หมอก้อย พี่ผมต้องเทียวไปเทียวมาสองบ้านสามบ้านเพื่อแสดงความจริงใจเพื่อให้พ่อตาแม่ยายเห็นหน้าร่วมห้าปี คุณเน็ตคงจะเห็นว่าเวลาแค่นี้น่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับการตัดสินใจยกลูกสักคนให้กลายมาเป็นสะใภ้ของอีกครอบครัวหนึ่ง ถึงสะใภ้ที่ว่า...จะเป็นลูกชายก็เถอะ


มาถึงตรงนี้ คุณบี๋ก็ยิ้มร่าแล้วบอกแผนของคุณบี๋ออกมาให้พวกเราเข้าใจ  “ไม่ต้องห่วง... เดี๋ยวเช้าวันมะรืนเราก็บินไปหาพ่อแม่ของคุณหนุนเค้าเลยซิ  คุณบี๋ให้คุณเลขาฯจองตั๋วเครื่องบินไปเชียงรายให้แล้วล่ะ รอบแรกนี้คุณบี๋ คุณป๋า กับคุณน็อตจะไปกรุยทางเอาไว้ก่อน แล้วอีกสองวันให้หลัง พวกคุณๆก็ลางานแล้วนั่งเครื่องตามขึ้นไปก็แล้วกัน”


 โชคดีที่ผมได้รับฟังเรื่องนี้มาก่อนหน้าคุณๆอีกสี่คนมาครั้งหนึ่งแล้ว ผมจึงไม่ตกใจเท่ากับคุณๆที่เหลือมากนัก เพราะครั้งแรกที่ผมฟังความคิดของคุณบี๋ ผมก็แอบตกใจในความเด็ดขาดฉับไวในเรื่องนี้ของท่านไม่ต่างกัน และเป็นคุณบี๋นี่เอง...ที่ระบุวันจัดงานให้ผมเป็นเข้าวันเสาร์หน้าโดยไม่ต้องปรึกษาโหร หรือพระเกจิให้เหนื่อย  ท่านบอกว่า...อยากให้ผมแต่งงานเร็วๆในวันที่ใครๆต่างก็สะดวก ท่านจะได้ไม่ต้องรอเจอหน้าคุณหนุนของท่านนานนัก


“คุณบี๋จะไม่เผื่อใจเอาไว้สำหรับความผิดหวังหน่อยเลยเหรอครับ?” คุณเน็ตผู้รอบคอบไม่ลืมถามคุณบี๋ถึงแผนการสำรองเพื่อรองรับกรณีที่ทุกอย่างนำไปสู่ทางตัน หากพ่อแม่ของอีกฝ่ายไม่ยอมให้แต่งขึ้นมาดื้อๆทั้งที่งานทั้งหมดได้ถูกเตรียมการเอาไว้พร้อมแล้ว  

แต่มีหรือที่คุณบี๋ผู้มองการณ์ไกลจะมองข้ามเรื่องสำคัญเช่นนี้ไปได้...

...และไอ้เหตุผลที่คุณบี๋กำลังจะบอกคุณเน็ตหลังจากนี้ คือเหตุผลเดียวกันกับที่ทำเอาผมอึ้ง จนไม่คิดจะเถียงอะไรท่านได้อีกต่อไป   “คุณเน็ต ในเมื่อคุณน็อตได้เปรียบคุณหนุนไปถึงไหนๆแล้ว ฝ่ายเราย่อมจะกลายเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบในการต่อรอง...
.
...เพราะต่อให้คุณหนุนเป็นผู้ชาย ก็ยังถือเป็นฝ่ายเสียหายอยู่วันยันค่ำ... 
...ไม่มีพ่อแม่คนไหนหรอกนะ ที่จะไม่อยากให้ลูกได้แต่งงานอยู่กินกับคนที่ลูกรัก แถมที่สำคัญ...คนๆนั้น ยังเป็นคนๆเดียวที่ลูกตัวเองมีสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วยน่ะ...
.
...ที่คุณบี๋พูดมา ถูกต้องไม๊ล่ะคุณน็อต?”

ผมยิ้มแหยๆเมื่อต้องมายอมรับเรื่องกินตับเมียต่อหน้าพี่น้องและพ่อแม่ของตัวเองแบบซึ่งซึ่งหน้า “ฮะ... ใช่ฮะ  ต่อให้คุณพ่อคุณแม่ของขนุนจะไม่ยอม น็อตก็จะทำทุกทาง เพื่อให้ท่านยอมรับน็อตให้ได้  เพราะขนุนต้องเป็นเมียน็อตแค่คนเดียวเท่านั้นฮะ”...แหม่ จะบอกว่าไม่อายก็กระไรอยู่ เพราะเรื่องพวกนี้ ผมเองก็ไม่เคยเปิดอกยอมรับกับพี่ๆน้องๆหรือคุณบี๋คุณป๋าเลยสักที แต่ก็ถือเป็นโชคดีของผมที่ไม่ต้องนั่งกระดากอยู่อีกเป็นนานสองนาน เพราะคุณป๋าได้พูดปิดวาระการประชุมทันทีเมื่อไม่มีใครมีข้อสงสัยใดๆ

“เอาเป็นว่า คืนนี้พวกเราแยกย้ายกลับบ้านกลับช่องกันก่อนก็แล้วกันนะ  เพราะพรุ่งนี้ เรายังมีเรื่องที่ต้องทำกันอีกเยอะ” พอได้สัญญาณให้ชิ่ง ผมก็รีบวิ่งกลับขึ้นไปบนห้องเพื่อเตรียมการต้อนรับเมียที่จะมาเยี่ยมบ้านผมในตอนบ่ายวันพรุ่งนี้อย่างรอบคอบ เพราะการกลับมาพบกันรอบนี้ผมจะจัดขนุนให้หนักจนถึงใจ....หึ หึ!

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐


เช้าตรู่ของวันหลังจากคุณป๋าเปิดตัวคู่หมั้นเก๊/ บ้านขนุนที่เชียงราย

พ่อเลี้ยงคณินทร์แปลกใจเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูหน้าห้องแต่เช้าตรู่ เพราะโดยปกติ เด็กๆในบ้านจะไม่ขึ้นมารายงาน หรือ รบกวนเขากับภรรยาหากไม่มีนัดแขก หรือต้องออกไปทำธุระแต่เช้า เสียงของคนเคาะประตูร้องบอกระหว่างที่เขาเดินไปเปิดประตูให้อีกฝ่าย “คุณคณินทร์คะ  มีคนจากกรุงเทพฯมาขอพบค่ะ”

เขายิ่งต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าคนที่กำลังยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่เบื้องหลังบานประตูไม้ตรงทางเดินเข้าห้อง คือ พี่แดงผู้เป็นหัวหน้าแม่บ้านสาวใหญ่ที่ยังครองโสดอย่างเหนียวแน่น  ไอ้ที่ตกใจนี่ไม่ได้เป็นเพราะว่าแกโสดมาได้นานจนวันนี้ หากแต่เป็นเพราะสำหรับทุกๆคนที่ไร่นี้...พี่แดงขึ้นชื่อว่าเป็นเสือยิ้มยาก เว้นเสียแต่ว่าแกได้เจอหนุ่มๆหน้าตาหล่อๆในระยะประชิดเท่านั้นที่จะทำให้แกยิ้มเป็นบ้าได้ทั้งวันอย่างนี้   สงสัยจะเป็นเพราะแขกที่มาหาเขาเสียล่ะมั้ง ที่ทำเอาแม่บ้านมาตรฐานหัวใจสูงคนเก่าคนแก่ของตระกูลบ้านเมียยิ้มอายๆได้ราวกับสาวแรกรุ่น

“ใครเหรอครับพี่แดง?” เขาถามอีกฝ่ายทันที เพื่อให้ได้คำเฉลยของอาการแปลกๆของลูกจ้างตน

สาวใหญ่ตอบด้วยน้ำเสียงสะเทิ้นสะท้าน “พี่ก็ไม่ทราบค่ะ ถามเด็กๆคนอื่นๆในบ้าน ก็ไม่มีใครเคยเห็นหน้ามาก่อน พี่เองก็แปลกใจค่ะ เพราะไม่คิดว่าคนแปลกหน้าที่ไหนจะเดินทางเข้ามาที่ไร่ของเราได้ถูกตั้งแต่ครั้งแรกแบบนี้... แต่ดูท่าทางแล้ว เหมือนพวกเศรษฐีในละครเลยนะคะ ที่สำคัญ...พ่อหนุ่มที่มาด้วยกันนี่ก็หน้าตาดีจ๊าดนั้กเลยค่ะ” พูดไปพี่แดงก็บิดไปบิดมาด้วยความเขิน  ดูๆไปก็น่าขันและบันเทิงดีเหมือนกัน เพราะร้อยวันพันปี ไม่มีทางเสียหรอกที่พี่แดงหน้าเข้มคนนี้จะขวยอายให้ใครเห็นได้ง่ายๆ

พ่อเลี้ยงทำท่าตรึกตรองระหว่างไล่นึกถึงหน้าเพื่อนๆ หรือคนรู้จักที่กรุงเทพฯว่ามีใครมีญาติ หรือลูกๆหลานๆในวัยกำดัดที่น่าจะหล่อมากพอทำให้คนของเขากระชุ่มกระชวยได้ในพริบตาแค่เพียงแรกเห็นหน้ากันไม่นาน  แต่เพื่อรักษามารยาทเจ้าบ้านที่ดีด้วยการไม่ให้แขกต้องชะเง้อคอรอนานๆ  เขาก็รีบรับคำหัวหน้าแม่บ้านไปทันที เพื่อจะได้ปลีกตัวไปเตรียมความพร้อม ก่อนจะตามลงไปรับแขกในอีกไม่ช้า


“นั่นน่ะซิ...แปลกจริงๆด้วยแฮะ เอางี้...พี่แดงลงไปเสริ์ฟของว่างให้แขกก่อนก็แล้วกันนะ เดี๋ยวผมกับแม่พรจะรีบลงไป” พ่อเลี้ยงปิดประตูห้องแล้วร้องเรียกภรรยาของตนด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า “แม่พรเอ๊ย...แม่พร เมื่อเช้าตอนตื่นนอนแม่พรบอกว่าตาซ้ายกระตุกใช่ไม๊ สงสัยว่าคนจากกรุงเทพฯที่กำลังมาหาเรานี่จะเอาเรื่องดีๆมาบอกเราแน่ๆเลยแม่พร!

ภรรยาวัยสี่สิบปลายๆผู้สวยสมวัยของเขาเดินออกจากห้องแต่งตัว พร้อมๆกับเอ็ดอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก “แค่มีลูกเขียนนิยายเป็นอาชีพ พ่อมันก็ไม่เห็นจะต้องพูดจาเพ้อฝันแบบนี้เลยนี่นา” เธอยกยิ้มให้สามีระหว่างเอียงคอเพื่อสวมตุ้มหูข้างสุดท้ายโดยไม่ได้อาศัยเงาในกระจก

“แม่พรนี่ล่ะก็ เอะอะก็คอยแต่จะเบรคชั้นเรื่อยเลย... ไป! เสร็จแล้วก็ลงไปกันเถอะ เดี๋ยวแขกจะรอนาน” พ่อเลี้ยงชวนภรรยาให้เดินตามกันลงมาข้างล่างเพื่อมุ่งหน้าเข้าไปยังห้องรับแขก ที่มีวิวสวยสะกดสายตา เพราะมันถูกรายล้อมไปด้วยทิวเขาน้อยใหญ่และพื้นที่ทำสวน และไร่นาอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาอันเป็นสมบัติแห่งความภาคภูมิใจของครอบครัวเขาเอง

เขาค่อนข้างจะแปลกใจเมื่อเห็นว่า บุคคลทั้งสามที่กำลังนั่งชมความงดงามภายนอกหน้าต่างอยู่ตรงโซฟาในห้องรับแขกของบ้านนั้น ช่างดูไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย... สำหรับเขา คงต้องบอกว่า...เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่ง ที่เขาจะเคยทำความรู้จักกับใครที่ดูมีฐานะ และน่านับถือเท่ากับชายหญิงคู่ที่นั่งเคียงข้างกันอย่างรักใคร่ และเขายังมั่นใจอีกว่า...ไม่มีลูกชายหลานชายของเพื่อนคนใด ที่หล่อเหลาโดดเด่นเป็นเป้าสายตาเหมือนกับพ่อหนุ่มหัวจุกผู้ดูจะอยู่ไม่สุขเท่าไรนักคนนั้น


พ่อเลี้ยงเอ่ยปากถามผู้มาเยือนแปลกหน้าด้วยน้ำเสียงสุภาพเมื่อเขาและภรรยาเดินเข้าไปใกล้โซฟาในระยะประชิด  “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าที่พวกคุณมาที่ไร่ของเราตั้งแต่เช้าแบบนี้  เพราะมีเรื่องด่วนอะไรที่ต้องการให้ไร่หวังวิวัฒนาของเรารับใช้ครับ?”

แขกของบ้านต่างลุกขึ้นยืนโดยพร้อมเพรียงกันเมื่อรู้สึกตัวว่าเจ้าของบ้านที่เขาทั้งหมดกำลังรอคอยพบหน้าอยู่นั้นได้มาถึงแล้ว ชายผู้มีอาวุโสมากที่สุดและดูท่าว่าน่าจะเป็นพ่อของหนุ่มน้อยรูปหล่อเตะตา เนื่องจากทั้งคู่หน้าตาดีไม่แพ้กัน เป็นตัวแทนของอีกฝ่ายเอ่ยเปิดประเด็นการสนทนาด้วยน้ำเสียงทรงพลัง หากแต่วางท่าสบายๆราวกับตนเองเป็นเจ้าบ้าน จนพ่อเลี้ยงเกือบเผลอคิดไปว่า เขากับภรรยากลายเป็นแขกผู้มาเยือนไปเสียเอง

“สวัสดีครับ...อย่าเพิ่งถามอะไรให้มากความไปเลยครับ ก่อนอื่น...เชิญคุณทั้งคู่นั่งก่อนเถอะครับ” เมื่อพวกเขาทั้งหมดนั่งลงเป็นที่เรียบร้อย ชายผู้มีอาวุโสมากที่สุด หากแต่น่าจะเป็นรุ่นพี่ของเขาอยู่ไม่กี่ปีก็พูดต่อเนื่องเร็วจี๋ “อะแฮ่ม...เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาผมขอแนะนำตัวเลยก็แล้วกันนะครับ ผมชื่อนฤเทพ นี่นลินีภรรยาผม  ส่วนไอ้หน้าหล่อนี่ชื่อนรธิป ลูกชายคนที่สี่ของผมเอง...
.
...แหะ แหะ ไม่ต้องทำหน้าแปลกใจไปครับ ที่ผมมาวันนี้ ไม่ใช่เพราะว่ามีเรื่องที่ต้องการจากไร่ของคุณหรอกครับ หากแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของคุณโดยตรง...
.
...รวบรัดตัดความเลยแล้วกันนะครับ  ผมอยากจะมาสู่ขอลูกชายของคุณให้มาเป็นลูกสะใภ้ของผมน่ะครับ”

พ่อเลี้ยงถึงกับตกใจจนร้องเสียงหลงออกมาอย่างลืมรักษามารยาท “ห๊ะ???!!! คุณว่ายังไงนะครับ?”

สำหรับเขา...เรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้ามันชักจะแปลกเกินเชื่อได้เข้าไปทุกที...
...ทั้งแขกที่ดูภูมิฐาน ซึ่งน่าจะเดินทางมาจากกรุงเทพฯแต่เช้า...
...ทั้งเรื่องทาบทามลูกชายคนที่สองของครอบครัวเขาให้ไปเป็นสะใภ้ให้กับพ่อหนุ่มสุดหล่อคนที่มาด้วยกันนี่อีก...
.
.
..แขกสามคนนี้ไม่ได้ถูกจ้างวานจากรายการทีวีไหน ให้มาถ่ายทำช่วงล้อกันเล่นขำๆอะไรพวกนั้นจริงๆใช่ไหม???!


พ่อหนุ่มสุดหล่อที่นั่งตรงข้ามกับเขาหันไปเอ่ยกับพ่อตัวเองด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม   “คุณป๋า...ขอน็อตพูดเองก็แล้วกันฮะ” จากนั้น ชายหนุ่มผู้อ่อนวัยที่สุดในที่นั้น ก็พูดแนะนำตัวเองกับพ่อเลี้ยงและภรรยาพร้อมกับแสดงความเคารพโดยไม่รีรอ “คุณพ่อคุณแม่ครับ ผมชื่อน็อตนะครับ ผมเป็นแฟนขนุนครับ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”  พ่อเลี้ยงนึกชมความมีสัมมาคาระวะของเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างอดไม่ได้...

...ลำพังแค่ดูจากท่าทางเพียงอย่างเดียว เขาก็บอกได้ทันทีว่า เด็กคนนี้ได้รับการอบรมบ่มนิสัยมาเป็นอย่างดี แม้จะมีบางจังหวะจะดูดื้อรั้นอยู่ไม่น้อย ทันทีที่หนุ่มน้อยไหว้เขา พ่อเลี้ยงก็รีบรับไหว้แล้วทักทายตอบโดยไม่รอให้อีกฝ่ายต้องเก้อ  “เอ่อ...หวัดดีจ๊ะลูก ไหว้พระเถอะนะ”


กระนั้น ในใจของพ่อเลี้ยงคณินทร์กำลังรู้สึกสงสัย และเริ่มจะสับสนกับสถานการณ์ที่ดำเนินอยู่อย่างช่วยไม่ได้...

หนึ่งคือ...ลูกชายเพียงคนเดียวผู้ประกาศตนแบบอ้อมๆว่ารักใคร่ชอบพอเพศเดียวกันมาแต่สมัยเป็นวัยรุ่นของเขาไปแอบมีแฟนตั้งแต่เมื่อไร? แล้วในบรรดาลูกๆทั้งสามคนที่ขลุกอยู่ด้วยกัน ทำไมไม่มีใครบอกเรื่องนี้ให้เขากับภรรยาได้รับรู้มาก่อน??

สอง...เด็กติดบ้านและเก็บตัวอย่างลูกขนุนเนี่ยะนะ จะมีแฟนหน้าตาหล่อเหมือนเทพบุตรได้?  แต่ลูกขนุนเคยบอกว่าจะหาแฟนหน้าตาน่ารัก ตัวเล็กๆเหมือนเด็กผู้หญิงมาให้เขากับภรรยานี่หว่า...ไหงหวยมาออกที่มีแฟนมาดแมนแฮนซั่มได้ล่ะ??

สาม...หรือว่า บุคคลแปลกหน้าสามคนที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเขากับภรรยาทั้งสามคนนี้ จะเป็นขบวนการมิจฉาชีพที่ออกหากินกันเป็นครอบครัว เที่ยวเดินทางตะลอนๆไปตามภูมิภาคต่างๆของประเทศเพื่อหลอกลวงเอาเงิน หรือทรัพย์สินจากเศรษฐีภูธรที่ไม่รู้ข่าวคราวของวงสังคมกรุงเทพฯใดๆ โดยอาศัยหน้าตาและลักษณะภายนอกที่ดูภูมิฐานมาล่อลวงเหยื่อ


พ่อหนุ่มที่รับสมอ้างว่าเป็นแฟนลูกชายพ่อเลี้ยงพูดจาอย่างฉะฉานน่าฟังต่อเนื่องโดยไม่คิดเสียเวลา  “ก็อย่างที่คุณป๋าของผมเกริ่นไปเมื่อครู่นี้แหละฮะ ที่ผมมาพบคุณพ่อคุณแม่ในวันนี้ ก็เป็นเพราะผมอยากจะพาผู้ใหญ่มาสู่ขอขนุนเพื่อมาตบแต่งเข้าบ้านของเราในฐานะภรรยาน่ะฮะ”

“ห๊ะ?!!” ขนาดที่ว่าได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งที่สองของวัน พ่อเลี้ยงก็ยังไม่สามารถควบคุมตัวเองให้รับมือกับประโยคที่เพิ่งจะได้ยินได้ เขาเริ่มจะรู้สึกว่าตัวเองดูไม่ค่อยจะสมกับการเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือขึ้นมาตงิดๆเสียแล้วสิ...

...นี่มันเรื่องอะไรกัน??
...ทำไมจนแล้วจนรอด พ่อหนุ่มคนนี้ยังจะพูดจาตอกย้ำในสิ่งที่พ่อของตัวเองเกริ่นเอาไว้อยู่อีก?...
.
...แต่พอเปลี่ยนคนพูดเรื่องงานแต่งมาเป็นหนุ่มน้อยสุดหล่อนี่ เขากลับยิ่งรู้สึกว่า เรื่องการแต่งงานระหว่างลูกขนุนกับพ่อหนุ่มตรงหน้าฟังดูจริงจังมากเสียจนพ่อเลี้ยงไม่อาจจะคิดเข้าข้างตัวเองต่อไปได้ว่า มันเป็นแค่เรื่องเล่นๆ หรือเป็นเรื่องน่าสงสัยได้อีกต่อไป แต่อยู่ดีๆ จะให้เขาทำใจยอมรับและเชื่อเรื่องแบบนี้ขึ้นมาแบบปุบปับฉับพลัน เห็นทีว่าคงจะยาก...
.
.
...ไม่ใช่ว่าเขารับไม่ได้หากลูกชายจะมีแฟนหรือแต่งงานออกเรือนไปจริงๆ แต่มันเป็นเพราะเขายังไม่ได้พูดจา ถามไถ่อะไรลูกขนุนเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยแม้สักครั้ง ที่สำคัญ...เขาอยากให้ทุกๆคนในครอบครัวได้มีโอกาสรับฟังเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตของลูกขนุนโดยพร้อมหน้ากันเสียก่อน  สำหรับตัวเขา...เขาเองก็อยากมีเวลาปรึกษาและแลกเปลี่ยนความเห็นกับภรรยาคู่ชีวิตดูเสียหน่อย

ดูเหมือนว่าภรรยาพ่อเลี้ยงเองก็น่าจะคิดแบบเดียวกัน เพราะหล่อนทักท้วงชายหนุ่มอ่อนวัยด้วยหน้าตาที่แสดงถึงความตกอกตกใจไม่แพ้เขา หากแต่หล่อนน่าจะควบคุมอารมณ์และน้ำเสียงให้ฟังดูเป็นปกติได้มากกว่าเขาที่ยังนั่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกอยู่ในเวลานี้

“ทำไมมันถึงเร็วอย่างนั้นล่ะลูก แล้วนี่...แม่จะรู้ได้ยังไงว่าหนู / น็อตฮะ / อ่อ เอ่อ...น็อตน่ะจ๊ะ เป็นแฟนของขนุนเค้าจริงๆ เพราะทางแม่กับพ่อ ก็ไม่เคยได้ยินขนุนปริปากบอกอะไรพ่อกับแม่เรื่องของน็อตมาก่อนเลย”

พ่อเลี้ยงหันไปมองหน้าภรรยาตัวเองอย่างชื่นชม...
...สมแล้วที่อยู่กินกันมาหลายสิบปี เธอถึงได้รู้อกรู้ใจเขาไปเสียทุกเรื่องราวกับเป็นคนๆเดียวกัน นี่แหละนะที่ใครหลายคนเรียกว่า...คู่ชีวิตผู้ที่มาเติมเต็มอีกครึ่งที่ขาดหายไป

หนุ่มน้อยหันไปมองหน้าพ่อแม่ของตัวเองที่พยักหน้าตอบราวกับต้องการยืนยันความเห็นชอบและอนุญาตให้ผู้มีอาวุโสน้อยที่สุดดำเนินบทสนทนาต่อไป  ไม่นานหลังจากฝั่งโน้นประสานสายตากัน พ่อหนุ่มที่ชื่อน็อตก็ตอบข้อสงสัยของภรรยาเขาด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจและหนักแน่น จนกระทั่งพ่อเลี้ยงเองยังสัมผัสได้ถึงความจริงจังและจริงใจของเจ้าตัว


“เรื่องนั้นคุณแม่คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกฮะ เพราะผมสามารถพิสูจน์สถานะของตัวเองกับคุณพ่อและคุณแม่ได้แน่นอน  แต่เรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับช่วงเวลานี้ก็คือ เรื่องที่ผมเพิ่งจะบอกกับคุณแม่และคุณพ่อไปเมื่อครู่นี้... คุณแม่ และคุณพ่อจะตัดสินใจว่ายังไงเหรอครับ?”


พ่อเลี้ยงถึงกับสลดในใจ เมื่อในที่สุดเขาก็จำต้องยอมรับความจริงเรื่องที่ลูกชายตนจะต้องออกเรือนไปจริงๆ...เพราะไม่มีทางที่ผู้ชายสติดีๆคนไหน จะเดินดุ่มๆเข้าบ้านคนแปลกหน้า เพื่อมาย้ำซ้ำๆกับพ่อแม่ของผู้ชายอีกคนว่า อยากจะขออนุญาตแต่งงานกับลูกชายของบ้านนั้นๆ โดยเห็นเป็นเรื่องเล่นๆที่นึกจะพูดเมื่อไรก็พูดได้แน่ๆ 


ภรรยาพ่อเลี้ยงยังคงเป็นตัวแทนของบ้านต่อบทสนทนากับเด็กหนุ่มต่อไป “เรื่องแต่งงานน่ะเหรอจ๊ะ? เอ...ว่าไงดีล่ะพ่อ แหม...มันกะทันหันซะจนแม่ก็คิดอะไรไม่ออก... อ้าว...พ่อ! พ่อ...นี่พ่อยังช็อคไม่หายอีกเรอะ  เลิกงงได้แล้ว...ที่พ่อได้ยินไปน่ะไม่ผิดหรอก มีผู้ชายหล่อเหลาจากกรุงเทพฯพาพ่อแม่เค้ามาสู่ขอลูกชายของเราเอาไปเป็นเมียน่ะ”

พ่อเลี้ยงถูกภรรยาเขย่าแขนเบาๆเพื่อเรียกให้กลับมาเข้าร่วมพูดคุยกับแขกเหรื่อเสียที “โธ่แม่พร ชั้นก็ต้องตกใจเป็นธรรมดาซิ อยู่ดีๆ เรื่องไม่คาดฝันแบบนี้ดั้นมาเกิดขึ้นได้ตั้งแต่หัววัน นี่มันเหลือเชื่อพอๆกับการที่มีใครมาบอกชั้นว่า เจอหมาออกลูกเป็นไข่เลยนะเนี่ยะ”

“โอ๊ย พ่ออีหนูเอ๊ย ตั้งสติแล้วก็มาช่วยกันคิดก่อน ว่าจะเอาไงเรื่องที่ตาหนูน็อตเค้ามาสู่ขอลูกชายเรา” เสียงภรรยายังคงดังวอแวรบกวนความคิดเขาไม่หาย

พ่อเลี้ยงเลยเลือกเบือนหน้าหลบตาเจ้าหล่อน แล้วหันมาหาว่าที่ลูกเขยที่เพิ่งได้เห็นหน้าค่าตากันไม่ถึงชั่วโมงดี พลางเอ่ย “เอางี้ พ่อหนุ่มชื่อน็อตใช่ไม๊? ไหนน็อตช่วยพิสูจน์ให้พ่อกับแม่แน่ใจหน่อยได้ไม๊ว่า น็อตกับขนุนลูกพ่อน่ะ เป็นแฟนกันจริงๆ”  ไหนๆก็เลี่ยงไม่ได้แล้ว เขาก็ต้องพิสูจน์ข้อสงสัยข้อแรกให้รู้เรื่องกันไปเสียก่อน

ว่าที่เขยยิ้มรับก่อนตอบ “ได้ฮะ ถ้างั้นรบกวนคุณพ่อกับคุณแม่รอเดี๋ยวนะฮะ ขอน็อตต่อสายตรงหาเฮียก่อน...
.
.
...เฮียฮะ เฮีย...เฮียช่วยยืนยันกับคุณพ่อถึงความสัมพันธ์ระหว่างผมกับขนุนหน่อยได้ไหมฮะ?...อ่อ โอเคฮะ ได้ฮะ ได้ฮะ เฮียช่วยถือสายรอแป๊บนึงนะฮะ” ไม่นานหลังจากเอาหูแนบโทรศัพท์และพูดกับคนปลายสายแค่พักเดียว หนุ่มหล่อว่าที่ลูกเขยของเขาก็ยื่นมือถือรุ่นใหม่ล่าสุดส่งมาให้

“คุณพ่อฮะ เจ้นิ้งจะพูดสายด้วยฮะ” จบจากคำของว่าที่ลูกเขย พ่อเลี้ยงก็รับเอาเครื่องโทรศัพท์มาแนบหูด้วยเพราะรู้ว่าคนปลายสายคือลูกคนโตที่ตนส่งไปดูแลน้องๆแทนตนกับภรรยาที่ทำสวนไร่อยู่ห่างไกลกันหลายร้อยกิโลเมตร


“เจ้ายอดคะน้า ไหนบอกพ่อซิว่าเจ้าขนุนไปมีแฟนตั้งแต่เมื่อไร?...

// แหะๆ เมื่อสองเดือนก่อนน่ะจ๊ะพ่อจ๋า//

...ห๊ะ ว่าไงนะ??! แล้วทำไมไม่มีใครบอกพ่อกับแม่ให้รู้เรื่องนี้บ้างเลยล่ะ?...

// แหม...ก็ตอนที่น้องสองคนมันเริ่มคบกัน ลูกบินบ่อย ส่วนแม่คะนิ้งก็เรียนหนัก ลูกก็เลยไม่รู้ว่าน้องไปมีแฟนตอนไหน //

...เอ๊า ก็พ่อเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่า ถ้าใครริจะมีแฟน ก็ขอให้บอกพ่อกับแม่ ต่อให้มีแฟนเป็นใคร เพศไหน ยากดีมีจนยังไงพ่อกับแม่ก็ยินดีต้อนรับเสมอ ขอแค่ให้คนๆนั้นรักลูกของพ่อกับแม่ก็พอ...

// ขอโทษนะพ่อจ๋า ลูกเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันจ๊ะ//

...เออๆ ช่างเถอะๆ ว่าแต่ว่า พ่อหนุ่มที่ชื่อน็อตนี่ เค้าเป็นแฟนของเจ้าขนุนไม่ผิดคนแน่นะ?...

// ใช่จ๊ะพ่อจ๋า...ไอ้หนุ่มคนนี้นี่แหละที่จะมาเป็นเขยของบ้าน ลูกคัดมาให้น้องมันเป็นอย่างดีแล้ว พ่อจ๋าถามทำไมเหรอ? //

...พ่อก็แค่ถามเพื่อความแน่ใจ เพราะพ่อไม่อยากเชื่อว่าเจ้าขนุนมันจะยอมเป็นเมียใคร เห็นที่ผ่านมามันก็ร้องร่ำหาแต่หนุ่มน้อยหน้าหวานกว่ามันทั้งนั้นนี่หว่า ใครจะไปรู้ว่าพอเอาเข้าจริงแล้วมันจะผันตัวไปเป็นเมียให้คนอื่นซะได้ แถมแฟนมันยังหล่อเหลาอย่างก๊ะดาราหนัง ไม่เข้าข่ายคนที่มันเคยไปตามเทียวไล้เทียวขื่อมาตลอดหลายปีเลยนี่นา...

// โธ่พ่อจ๋า...พ่อจ๋ายอมรับมาเถอะว่า พ่อจ๋าเชื่อน้องเขยได้สนิทใจตั้งแต่ครั้งแรกที่น้องเขยบอกว่า จะมาขอลูกขนุนไปเป็นเมียเค้าแล้วใช่ไม๊ล่ะ   ลูกว่านะ...พ่อจ๋าคงทำใจไม่ได้เร็วนักหรอก   ถ้าคนที่เดินเข้ามาหาพ่อจ๋าวันนี้ บอกกับพ่อจ๋าว่า...เค้าอยากให้พ่อจ๋าและลูกขนุนรับผิดชอบลูกชายเค้าในฐานะผัวน่ะ... ลูกพูดถูกเปล่าจ๊ะพ่อจ๋า? //

...เออๆ แล้วเรารู้เรื่องงานแต่งอะไรนี่รึยังล่ะ?...

// ลูกรู้แล้ว น้องเขยโทรมาบอกตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้วล่ะจ๊ะ//

...โอเค งั้นรีบพาน้องกลับขึ้นบ้านมาคุยกับผู้ใหญ่ของฝ่ายนี้เค้าให้เร็วที่สุดเลยนะ พ่อกับแม่ไม่อยากจะมัดมือชกให้เสียใจกันไปเปล่าๆ เผื่อว่าน้องมันยังไม่อยากแต่งงานออกเรือนไปน่ะ...

// โอ๊ยพ่อจ๋า...เรื่องที่ลูกขนุนไม่อยากแต่งงานน่ะ พ่อจ๋าไม่ต้องเป็นห่วงให้เสียเวลาไปหรอก เพราะน้องมันถวายตัวให้น้องเขยไปตั้งแต่แรกๆที่เริ่มคบกันแล้ว เพราะฉะนั้น...ลูกขนุนต้องอยากแต่งงานกับคนที่ได้ทั้งตัวและหัวใจของน้องไปอยู่แล้วล่ะจ๊ะ//

...ห๊ะ? ว่าไงนะ???...

// พ่อจ๋าไม่เข้าใจตรงไหนกันล่ะจ๊ะ เรื่องที่น้องไม่มีปัญหาหากต้องแต่งงานในเร็ววัน หรือเรื่องที่ลูกขนุนเสียตัวให้เค้าไปแล้วกันล่ะ ลูกจะได้อธิบายให้พ่อจ๋าเข้าใจถูก//

...โอย  พอเลยๆ วัยรุ่นสมัยนี้ ช่างขยันสร้างเรื่องให้พ่อแม่ปวดหัวได้ไม่เว้นแต่ละวันกันจริงเชียว...

//อ้อ แต่พ่อจ๋า เรื่องงานแต่งน่ะ ทางบ้านน้องเขยเค้าอยากแอบเตรียมการกันเพื่อให้เป็นของขวัญรับลูกขนุนเข้าเป็นสมาชิกใหม่ในบ้านเค้าน่ะจ๊ะ   และมันคงจะไม่เซอร์ไพรส์แน่ๆ ถ้าลูกต้องพาน้องบินกลับขึ้นไปหาพ่อจ๋าแม่จ๋าวันนี้พรุ่งนี้ใช่ไม๊ล่ะจ๊ะ ถ้างั้น...พ่อจ๋ากับแม่จ๋าก็ยอมๆทำตามที่บ้านน้องเขยว่าไปก็แล้วกันเนอะ//

...เออๆ เดี๋ยวเอาไว้พ่อคุยกับบ้านว่าที่ลูกเขยเสร็จแล้วพ่อจะโทรไปหาอีกทีก็แล้วกันนะ” พ่อเลี้ยงวางสายโทรศัพท์แล้วยื่นเครื่องคืนให้เด็กหนุ่ม ก่อนจะหันไปมองหน้าภรรยาที่ทำท่าสงสัยใคร่รู้รายละเอียดของบทสนทนาเมื่อครู่กับลูกสาวคนโต หากแต่เขากลับส่ายหน้าเพื่อบอกปัดอีกฝ่ายไปเสียก่อน

เพราะสำหรับเรื่องสำคัญขนาดนี้... เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดที่อาจเกิดจากการตกหล่นของข้อมูล ทางที่ดี...เขากับภรรยาควรได้ใช้เวลาในการพูดคุยและทำความเข้าใจกับรายละเอียดของเหตุหารณ์ทั้งหมดด้วยกันสักพัก ไม่ใช่จะมานั่งแอบกระซิบกระซาบบอกกันเหมือนเด็กๆจนดูไม่น่าเคารพคบหา


“ตอนนี้คุณพ่อก็น่าจะมั่นใจเรื่องที่ผมเป็นแฟนขนุนได้แล้วซินะฮะ... ถ้าอย่างนั้น เรามาคุยกันเรื่องงานแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราวกันซักทีจะดีไหมฮะ?” ชายหนุ่มยังคงรบเร้าฝ่ายว่าที่พ่อตา เพื่อให้ได้คำตอบที่เขาต้องการมากที่สุดในเวลานี้อย่างไม่ลดละ

ถึงอย่างนั้น...พ่อเลี้ยงกลับประวิงเวลา เพราะเขาต้องการแน่ใจว่า ลูกชายของตนต้องการลงหลักปักฐานด้วยการแต่งงานกับพ่อหนุ่มที่ทำหน้ากระตือรือล้นอยู่ตรงหน้าเขาจริงๆ “พ่อว่า พ่อน่าจะโทรไปถามความเห็นของเจ้าขนุนมันดูก่อนนะ จะได้แน่ใจว่ามันจะเอาด้วยกับเรารึเปล่าน่ะ”

ทันทีที่ได้ยินสิ่งที่เขาเสนอ ว่าที่ลูกเขยก็เริ่มจะมีสีหน้าร้อนรนและดูอึกอักพิกลจนเขาจับอาการได้ ชายหนุ่มรีบขอร้องความเห็นใจจากเขาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “คุณพ่อครับ ไม่ต้องหรอกครับ... คือ ผมกับขนุนน่ะรักกันมาก รักกันขนาดที่ว่า เราตกลงแต่งงานกันแบบปากเปล่ามาแล้วตั้งแต่เมื่อคืน ผมเลยตั้งใจจะจัดงานแต่งงานในครั้งนี้ เพื่อเซอร์ไพรส์ขนุน ที่เค้ายอมมอบความรัก และความไว้ใจให้กับผม...
.
...ผมอยากให้งานแต่งงาน เป็นเครื่องช่วยยืนยันความรู้สึกรักและขอบคุณ ที่สุดท้าย...เค้ายอมให้โอกาสผมได้เป็นผู้ชายคนเดียวของเค้าไปตลอดชีวิต เพราะฉะนั้น...จึงไม่มีความจำเป็นใดๆที่คุณพ่อหรือคุณแม่จะต้องกังวลว่า ขนุนจะอยากแต่งงานจริงหรือไม่ เพราะในด้านความรู้สึกของเราสองคน...เราได้สัญญาผูกหัวจิตผูกหัวใจเอาไว้ด้วยกัน และปฏิญาณต่อหน้าอีกฝ่ายว่า เราจะใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วล่ะฮะ”


พ่อเลี้ยงคณินทร์ถึงกับกลุ้มใจเมื่อได้ยินรายละเอียดที่ว่าที่ลูกเขยเพิ่งขยายความให้ฟัง เพราะไม่คิดว่าลูกชายเพียงคนเดียวของเขาทั้งคู่  จะตกลงปลงใจในเรื่องสำคัญๆเช่นนี้โดยพลการ ไม่คิดบอกกล่าวให้พ่อแม่ได้รับรู้  ทั้งๆที่เขากับภรรยาก็ไม่ใช่คนหัวเก่า หรือตั้งป้อมต่อต้านเรื่องพวกนี้ กลับกัน...พวกเขาสนับสนุนความรักทุกรูปแบบของลูกเสียด้วยซ้ำ  แต่จะให้พูดอย่างไรดีล่ะ...เขาว่า ความไม่พอใจที่กำลังก่อตัวขึ้นในอกนี่ อาจจะเป็นเพราะเขารู้สึกน้อยใจ เมื่อต้องกลายเป็นคนสุดท้ายที่ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากปากว่าที่ลูกเขย แทนที่จะได้ยินจากลูกตัวเองโดยตรง

และเรื่องที่ทำให้เขาค่อนข้างจะสับสนในอารมณ์อยู่ไม่น้อยอีกเรื่อง เห็นจะเป็นการที่ได้รับรู้ว่า ลูกชายได้ปล่อยเนื้อปล่อยตัวยอมตกเป็นของอีกฝ่ายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจว่า เขาควรจะแสดงออกด้วยท่าทีของพ่อที่รู้ว่าลูกสาวทอดสะพานให้ผู้ชายเชยชม หรือควรจะวางท่าสบายๆ เพราะจริงๆลูกเขาก็เป็นผู้ชาย...ซึ่งเกือบจะเท่ากับว่า ไม่น่าจะมีความเสียหายหรือเพลี่ยงพล้ำใดๆเกิดขึ้นกันแน่


เขาเลยถามว่าที่ลูกเขยตรงๆ เพื่อวัดความซื่อสัตย์ น้ำใจ และการให้เกียรติต่อศักดิ์ศรีของลูกชายเขาจากคู่กรณีอีกฝ่าย “รวมทั้งการที่ลูกชายพ่อยอมผิดผีกับเราด้วยใช่ไม๊ล่ะพ่อหนุ่ม?” เขาจ้องหน้าชายหนุ่มที่น่าจะอ่อนกว่าลูกชายของเขาอยู่หลายปีอย่างไม่คิดวางตา อีกฝ่ายก็จ้องประสานสายตาไม่คิดหลบเลี่ยง แล้วยอมรับออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ถ้าผมจะต้องเรียนคุณพ่อในเรื่องนี้โดยอธิบายให้คุณพ่อเห็นภาพแบบง่ายๆแล้วล่ะก็... ผมขอเปรียบเทียบให้ขนุนเป็นผู้หญิงแล้วกันนะฮะ  การที่ผมมาสู่ขอขนุนลูกคุณพ่อในวันนี้  ก็เพราะอีกไม่กี่เดือน...หลานของคุณพ่อก็จะออกมาลืมตาดูโลกแล้วน่ะฮะ...
.
...ผมจึงอยากจะให้ขนุนมั่นใจได้ว่า ผมจะรับผิดชอบตัวเค้าและลูกอย่างเต็มใจ  ด้วยการประกาศคำสัญญาแห่งรักระหว่างสองเราให้กับทุกๆคนในครอบครัวของทั้งฝ่ายได้รับทราบโดยทั่วกัน เพื่อที่ทุกคนจะได้ร่วมแสดงความยินดีกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเราทั้งสองคนได้น่ะฮะ”

และแล้วก็เป็นพ่อเลี้ยงเสียเองที่ทำใจยอมรับความจริงข้อนี้ไม่ได้ไปกันใหญ่...  คำตอบเชิงเปรียบเทียบอย่างเห็นภาพของพ่อลูกเขยช่างเจรจาทำเอาพ่อเลี้ยงนั่งนิ่งไม่ไหวติงไปชั่วขณะ  จึงกลายเป็นหน้าที่ของภรรยาผู้เป็นมารดาของขนุนแทรกเข้ามาปรับอารมณ์ของการพูดคุย

“เอาล่ะจ๊ะ แม่เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดเป็นอย่างดีแล้วล่ะ สรุปก็คือ น็อตกับคุณพ่อคุณแม่มาที่นี่เพื่อทาบทามสู่ขอลูกชายคนเดียวของแม่ไปดองเป็นทองแผ่นเดียวกันด้วย แต่เรื่องงานแต่งในครั้งนี้ น็อตอยากให้แม่กับพ่ออุบเอาไว้เป็นความลับจากขนุน อย่างนั้นใช่ไหมจ๊ะ?” หล่อนยิ้มให้ว่าที่ลูกเขยทันทีตามประสาของคนที่ปรับตัวง่าย หลังจากได้รับทราบเหตุผลและเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างครบถ้วน  ผิดไปจากสามีที่เป็นคนละเอียดอ่อน และต้องอาศัยเวลาทำใจกับเรื่องต่างๆไม่น้อย

อย่างครั้งที่พ่อเลี้ยงคณินทร์รู้ความจริงเรื่องที่ลูกชายรักชอบผู้ชายด้วยกัน หล่อนต้องให้เวลาสามีคิดใคร่ครวญก่อนจะยอมรับเรื่องนี้ได้อย่างสะดวกใจถึงสามวัน  และเรื่องการได้เสียกันที่พวกเขาได้ยินไปเมื่อครู่...คงจะทำให้พ่อเลี้ยงเสียศูนย์พอสมควร เพราะตลอดมา...พวกเขาไม่เคยได้ยินวีรกรรมของลูกๆคนไหน เกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ลอยเข้าหูตรงๆเท่ากับคราวของลูกชายคนที่สองมาก่อน

ชายหนุ่มยิ้มตอบหล่อนอย่างน่าเอ็นดู หล่อนเลยเริ่มจะเข้าใจถึงเสน่ห์ของว่าที่ลูกเขยซึ่งลูกชายตัวเองเล็งเห็นได้ไม่ยาก เขายืนยันความเข้าใจของหล่อน ก่อนปิดท้ายด้วยการถามหล่อนกลับ “ฮะ ถูกต้องเลยฮะ...สรุปว่าคุณแม่กับคุณพ่อตกลงใจที่จะยอมให้ผมกับขนุนแต่งงานกันแล้วใช่ไม๊ฮะ?”

“ถ้าลูกแม่รักน็อต แม่กับพ่อก็ไม่ขัดข้องหรอกจ๊ะ ดีซะอีกที่บ้านเราจะได้มีลูกชายเพิ่มมาอีกคน” ภรรยาพ่อเลี้ยงใหญ่ไม่ถือสาหาความใดๆกับหนุ่มน้อยตรงหน้าเพราะเริ่มจะรู้สึกถูกชะตากับว่าที่ลูกเขยสุดหล่อขึ้นมาเรื่อยๆ หากแต่สามีของหล่อนยังคงทำใจไม่ได้เร็วนัก

“หึ หึ...มาแทนลูกชายที่เดิมมีอยู่แค่ครึ่งนึงน่ะเหรอแม่พร?” พ่อเลี้ยงถามขัดออกมาทันที หล่อนเลยเผลอฟาดฝ่ามือลงตรงหลังมือของสามีเบาๆอย่างลืมตัวเหมือนที่ชอบทำในเวลาปกติ แล้วตำหนิอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง

“พ่อนี่ล่ะก็ พอรู้เรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังของเจ้าขนุนมันเข้าหน่อยก็ถึงกับสติแตกไปเลยเรอะ  ไหนบอกว่ารอคอยวันที่ลูกจะเป็นฝั่งเป็นฝามานานแสนนานแล้วยังไงล่ะ เอาเข้าจริง...แม่ก็ไม่เห็นว่าพ่อจะรับมือได้ดีตรงไหนเล๊ย!!

“แหม แม่ก็...จะให้ทำไงได้ล่ะ ก็อะไรๆมันเกิดขึ้นปุ๊บปั๊บฉับไวจนชั้นตามไม่ทันนี่นา” พ่อเลี้ยงขอความเห็นใจจากภรรยา แต่ดูทีท่าว่าเขาน่าจะทำใจยอมรับเรื่องทั้งหมดได้แล้วเช่นกัน

ฝ่ายอีกบ้านหนึ่งก็ทำท่าพยักเพยิดใส่กันเหมือนกับยังมีเรื่องสำคัญอื่นๆที่ต้องบอกให้เขากับภรรยาได้รับทราบอยู่อีก สุดท้ายก็เป็นว่าที่ลูกเขยที่เฉลยเรื่องสำคัญยิ่งไปกว่างานแต่งให้พวกเขาได้รับทราบ “เอ่อ คุณพ่อฮะ...ผมยังไม่ได้บอกคุณพ่อกับคุณแม่ใช่ไม๊ฮะว่า งานแต่งที่ว่านี่จะจัดขึ้นปลายอาทิตย์นี้แล้วล่ะฮะ”

พ่อเลี้ยงตาลุกวาว และด้วยอารามตกใจ เขาเลยเผลอตะโกนเสียงดังใส่หน้าว่าที่เขยอย่างลืมตัวอีกครั้ง  “อะไรจะไวขนาดนี้??!!  อย่าบอกนะว่าทำลูกพ่อท้องแล้วจริงๆ ถึงได้ต้องรีบแต่งกันซะอาทิตย์นี้อาทิตย์หน้า”

“ถ้าขนุนท้องได้จริงๆก็ดีซิฮะ ผมจะได้แน่ใจว่าเค้าจะอยู่กับผมไปตลอด”

แม้ถ้อยคำของเขยหนุ่มจะไม่เป็นเรื่องจริง แต่การแสดงความรู้สึกของผู้พูด ก็ทำให้พ่อเลี้ยงสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายปรารถนาให้สิ่งที่ตนเองตอบเขามาเกิดขึ้นได้จริงๆมากเพียงใด...

...พ่อเลี้ยงแอบกระหยิ่มในใจแล้วคิดกับตัวเองคนเดียวว่า อย่างน้อยๆไอ้ว่าที่ลูกเขยก็ไม่ได้เลวร้าย และดูท่าจะรักลูกขนุนจนโงหัวไม่ขึ้น ดีเหมือนกัน...หลังจากนี้เขาจะได้หมดห่วงว่าเจ้าลูกคนนี้จะเอาตัวรอดได้หรือไม่ หากพี่ๆน้องๆต้องแยกย้ายแต่งงานออกเรือนไปอยู่กินกับคู่ครองของตัวเองในต่างที่ต่างถิ่นกันไป

ภรรยาพ่อเลี้ยงยิ้มแล้วตัดบททันที “เอาเถอะๆ เดินทางกันมาเหนื่อยๆ เอาอย่างนี้แล้วกันนะ เดี๋ยวแม่จะให้เด็กไปจัดห้องจัดหับรับรองคุณพ่อคุณแม่ /เรียกผมว่าป๋า กับ บี๋ก็ได้ครับ ไหนๆเราก็จะเป็นทองแผ่นเดียวกันอยู่อีกวันสองวันนี้แล้ว” พ่อฝ่ายชายตอบหล่อนด้วยน้ำเสียงยินดีและกระตือรือล้นไม่ผิดไปจากลูกชายของตน

“ค่ะ ได้ค่ะ...เดี๋ยวพอเด็กจัดห้องเสร็จ พรเรียนเชิญให้ไปพักผ่อนก่อนนะคะ แล้วบ่ายๆ พอแดดร่มลมตกแล้ว พรกับคุณนินทร์จะพาคุณป๋า คุณบี๋ แล้วก็น็อตไปเที่ยวชมไร่ออร์แกนิคของเรา แล้วค่อยมาคุยรายละเอียดในการเตรียมงานแต่งของขนุนกับน็อตกันอีกที่ตอนมื้อเย็นคืนนี้ดีไม๊คะ?”

เจ้าหล่อนยังคงจัดแจงตามประสาเจ้าบ้านที่ดี เนื่องจากลึกๆแล้วหล่อนเองก็รู้สึกดีใจ ที่จะได้ต้อนรับแขกเหรื่อที่จะมาร่วมพักใต้ร่มหลังคาบ้านหลังใหญ่ ซึ่งหล่อนต้องอาศัยอยู่กับสามีเพียงสองคน  ด้วยนานทีปีหน...กว่าที่ลูกๆทั้งหมดจะได้กลับมาเติมบรรยากาศของครอบครัวให้พวกเขาชุ่มชื่นหัวใจอีกครั้ง  ซึ่งบางที...มันก็ทำให้หล่อนกับสามีรู้สึกเหงาเพราะความกว้างโล่งจนเกินไปขึ้นมาได้เหมือนกัน

“ดีเหมือนกันค่ะ ที่นี่บรรยากาศดีจังเลยนะคะ ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป บี๋จะขอพาลูกๆอีกสี่คนขึ้นมาแนะนำเพื่อจะได้ทำความรู้จักกันเอาไว้ คุณว่าดีไหมคะ?” ฝ่ายแม่ของว่าที่ลูกเขยกล่าวขออนุญาตเจ้าบ้านหญิงด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ทำให้ภรรยาพ่อเลี้ยงเริ่มจะแน่ใจว่า การแต่งงานของลูกชายในครั้งนี้ น่าจะนำมาซึ่งความสุขของลูก และทำให้ตนได้เพื่อนที่ดีเพิ่มมาอีกหนึ่งคนอย่างแน่นอน

“ยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะคุณบี๋ พรชอบให้บ้านเรามีคนเยอะๆน่ะค่ะ เพราะตั้งแต่ลูกๆย้ายไปทำงานกันที่กรุงเทพฯ ที่นี่ก็เงียบมาก ทั้งๆที่ห้องหับเราก็มีเยอะแยะ มาอยู่กันนานๆเลยก็ได้นะคะ พรยินดีต้อนรับค่ะ” เมื่อเจ้าบ้านฝ่ายหญิงพูดจบ เธอก็นำแขกทั้งหมดเดินชมรอบๆบ้าน และเริ่มพูดคุยเรื่องงานแต่งในเบื้องต้นอย่างพอหอมปากหอมคอ

ไม่มีใครล่วงรู้ว่า ในเวลาต่อมาเพียงไม่นาน มิตรภาพระหว่างพ่อเลี้ยงกับคุณป๋า และคุณบี๋กับแม่ของลูกขนุนจะงอกงามขึ้นอย่างรวดเร็ว และสุดท้าย..พ่อและแม่ของแต่ละฝ่าย ต่างสนิทสนมกลมเกลียวจนกลายเป็นเพื่อนรักที่คอยส่งเสริมและดูแลเกื้อหนุนกันไปตลอด

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐


เช้าตรู่วันงานแต่ง / บ้านพิมรรักษา

เมื่อเสียงประตูห้องนอนคุณบี๋กับคุณป๋าปิดลงหลังจากขนุนกับพี่ดาเดินออกจากห้องไป  คุณบี๋ก็ร้องบอกให้ผมเปลี่ยนที่มั่นทันที “คุณน็อต ไปแต่งตัวได้แล้ว..มัวแต่นั่งยิ้มทำหน้าระรื่นอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวจะไม่ทันฤกษ์งานเช้าเอานะ”

คุณบี๋เดินไปนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อแปรงผมโดยที่ตาทั้งสองของท่านยังจ้องมองหน้าผมไม่วางคล้ายกับจะไล่ให้ผมไปเตรียมตัวเสียที ในขณะที่คุณป๋ากลับเข้ามานั่งอ่านบทความในไอแพดอยู่ตรงโซฟาตัวยาวข้างๆผนังห้องได้สักพักแล้ว

“ฮะ...ได้ฮะ...
.
...เอ่อ คุณบี๋ฮะ...หลังจากสัมภาษณ์ว่าที่ลูกสะใภ้แล้ว...คุณบี๋ว่า คุณหนุนของคุณบี๋เค้าเป็นไงมั่งอ่ะฮะ?” ผมถามทั้งที่ไม่อาจหุบยิ้มบนใบหน้าได้แม้แต่วินาทีเดียว

จริงอยู่ว่าระหว่างที่ขนุนคุยกับคุณป๋าและคุณบี๋เมื่อกี๊ ผมจะได้รับฟังความคิดและสิ่งที่อยู่ในใจเมียทั้งหมดด้วยสองหูของตัวเอง เพราะผมแอบหลบอยู่ด้านในห้องนอน ตามแผนที่วางเอาไว้เมื่อได้รับการยืนยันจากเฮียห้าวว่า ขนุนจะมาที่บ้านผมตั้งแต่เช้ามืดเพื่อมาขอให้คุณป๋ากับคุณบี๋ยกเลิกงานแต่ง  แต่ผมอยากฟังความคิดเห็นของคุณบี๋หลังจากได้เจอหน้าขนุนตัวเป็นๆ ผมเลยยังกล้าเซ้าซี้รอฟังคำตอบที่อยากได้ยิน แม้ตอนนี้จะใกล้เวลาที่ช่างแต่งหน้าเพื่อนคุณเน้ยได้นัดให้ผมไปแต่งตัวเต็มทีก็ตาม

แต่กลับเป็นคุณป๋าที่ตอบแทนภรรยาของตัวเองออกมาโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากไอแพดแม้แต่นิดเดียว “เรารู้สึกยังไง คุณป๋ากับคุณบี๋ก็รู้สึกเหมือนกันน่ะแหละ...
.
...คราวนี้คุณป๋าคงต้องพูดเหมือนกับที่คุณบี๋เคยพูดเอาไว้เมื่อนานมาแล้วล่ะนะว่า คุณน็อตนี่ตาแหลมจริงๆ ที่หาลูกสะใภ้คนนี้จนเจอ เพราะแค่ได้คุยกันเพียงไม่นาน  เค้ายังทำให้คุณป๋ารู้สึกเบาใจได้ทันที...
.
...เพราะนอกจากเค้าจะทำให้คุณป๋ามั่นใจว่าเค้ารู้จักตัวตนของคุณน็อตเป็นอย่างดีแล้ว...
...เค้ายังทำให้คุณป๋าเห็นภาพในอนาคตที่คุณน็อตเจริญรุ่งเรืองและมีความสุขยิ่งๆขึ้นไปหลังจากได้อยู่กินกัน...
.
.
...เพราะฉะนั้น  ไอ้เสือ...สัญญาต่อหน้าคุณป๋ากับคุณบี๋ได้ไม๊ว่า เราจะดูแลความรักและคนรักของเราคนนี้ให้ดีที่สุด...
...อย่าทำร้ายหัวใจตัวเองด้วยการทำลายหัวใจของคุณหนุนนะลูก” ตอนนี้คุณป๋าละสายตาจากหน้าจอขึ้นมามองหน้าผม ไม่ต่างกับคุณบี๋ ที่จ้องผมนิ่งๆผ่านเงาสะท้อนในกระจก

ผมยิ้มออกมาทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่คุณป๋าขอ แล้วตอบท่านด้วยความสัตย์จริงไม่ใช่เพื่อแค่รับปากส่งๆเพื่อให้ทุกฝ่ายสบายใจ “ฮะ...น็อตสัญญา ถึงต่อใหคุณป๋าไม่ขอ น็อตก็จะทำให้ชนุนมีความสุขแน่นอนฮะ”

“แต่จุดเริ่มต้นที่จะทำให้คุณหนุนมีความสุขได้คือการที่คุณน็อตไปแต่งตัว และเตรียมความพร้อมของการเป็นเจ้าบ่าวอย่างตรงต่อเวลานะคะ” คุณบี๋สำทับด้วยเสียงดุขึ้นเรื่อยๆ สงสัยหัวหน้าสมาคมเมียหลวงจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนสมาชิกคนล่าสุดเสียแล้วสิ เห็นทีว่า ผมคงไม่สามารถลอยหน้าลอยตานั่งซักไซ้เรื่องของขนุนกับคุณป๋าและคุณบี๋ได้อีกแล้วล่ะมั้ง

“ฮะ ฮะ...ไปเดี๋ยวนี้แล้วฮะ” ผมรีบวิ่งออกจากห้องนอนของคุณป๋ากับคุณบี๋โดยไม่ต้องรอให้คุณบี๋ไล่เป็นครั้งที่สอง เพราะผมรู้ดีว่า คนที่น่ากลัวยิ่งกว่าคุณป๋า...ก็คือคุณบี๋ผู้กุมชะตาของทุกคนในบ้านตัวจริงเสียงจริงนี่แหละฮะ




ราวๆหนึ่งชั่วโมงให้หลัง ผมก็มานั่งประจำที่รอขนุนอยู่ตรงเตนท์จัดงานในสวน เมื่อมองไปรอบๆผมก็อดชื่นชมในความเก่งกาจของสมาชิกทุกคนในครอบครัวของผมไม่ได้จริงๆ เพราะหลังจากแบ่งงานกันเป็นที่เรียบร้อย คุณๆแต่ละคนก็สามารถเนรมิตรงานแต่งเล็กๆในสวนขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึงอาทิตย์ แถมยังเชิญแขกเหรื่อผู้มีความสำคัญกับผมและขนุนมาได้ครบถ้วนไม่มีตกหล่น  ที่สำคัญ...แผนไม่แตกอีกต่างหาก

งานวันนี้เป็นงานที่จัดเหมือนงานแต่งทั่วๆไปทุกประการ เว้นแต่ไม่มีการจดทะเบียน ถึงอย่างนั้น เราได้ใช้การลงนามในสัญญาใจสองฉบับเป็นตัวแทนของทะเบียนสมรสของคู่เรา เพื่อที่ผมและขนุนจะได้มีหลักฐานแห่งความรักในรูปลายลักษณ์อักษรเอาไว้ดูต่างหน้า  ซึ่งเท่าที่ดูภาพรวมของงานในตอนนี้ ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะพร้อมเต็มที่แล้ว ขาดก็แต่เจ้าสาว และญาติผู้ใหญ่ที่จะตามลงมาสมทบตามฤกษ์เริ่มงานราวๆเก้าโมงได้

ผมไม่ต้องเสียเวลานั่งรอนานนัก เพราะเพียงไม่ถึงยี่สิบนาทีหลังจากที่ผมลงมาประจำที่ ผมก็ได้ยินเสียงเล็กๆของขนุน ซึ่งเจ้าตัวฝืนตะเบ็งจนดังลั่นดังมาจากด้านหลังเพื่อป่าวประกาศความเป็นเจ้าของตัวและใจผมแต่เพียงผู้เดียว  ซึ่งถือเป็นการบอกความในใจของตัวเองครั้งแรกต่อหน้าผม  แต่ที่แม่งสุดตีนไปกว่านั้นก็คือ...ขนุนแม่งโคตรกล้าประกาศปาวๆซ้ำไปซ้ำมาว่าเราเป็นอะไรกัน โดยไม่แคร์สายตาของแขกเหรื่อที่มางานนี้ทั้งหมดอีกด้วย

ผมหันกลับไปมองขนุนตามคิวแสดงของตัวเอง แต่แล้วก็ต้องตกหลุมรักกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเข้าอย่างจังเป็นรอบที่ล้าน เพราะขนุนที่ได้รับการแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยสูทอย่างดีสีน้ำเงินเข้มที่กระชับเข้ารูป กับเสื้อเชิ้ตตัวในสีม่วงอ่อน มันช่วยทำให้เห็นโครงร่างบอบบางน่าทนุถนอม และขับผิวขาวๆของเจ้าตัวให้ดูเด่นสะดุดตาและน่ามองสัดๆ  ส่วนทรงผมแสกข้างหวีเป๋ทัดหูเปิดหน้า ก็ทำให้ใบหน้าเล็กๆของขนุนยิ่งดูหวานน่ามองไปกันใหญ่  ผมว่าดีไม่ดี...แขกเหรื่อบางคนอาจจะเผลอเข้าใจผิดไปว่า ผมกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับเด็กสาวห้าวๆร่างบางมากกว่าผู้ชายด้วยกัน

แต่พอหางตาของผมเหลือบไปเห็นสายตาตื่นตะลึงของร่างหนาๆหน้าบึกๆของคนที่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายมือไกลๆ กับสายตามองทะลุและทิ่มแทงพุ่งมาจากทิศทางตรงกันข้ามกับสายตาคู่เมื่อกี๊ ผมเลยจัดการแสดงเพื่อทำลายกระแสความชื่นชมในตัวเมียไปจากสายตาทั้งสองคู่นั้นให้สิ้นซาก ด้วยการคาดคั้นให้ขนุนยอมบอกรักผมออกหน้าไมค์บ่อยๆ และหลอกให้เจ้าตัวยอมเผยความในใจให้เราทุกคนที่นี่ได้ฟังจนหมดเปลือก

ตลอดเวลาที่ผมคุยกับขนุน ผมได้สวมวิญญาณพระเอกลูกกตัญญูที่เลือกเสียสละตัวเองเพื่อแต่งงานทดแทนบุญคุณของพ่อแม่  ก่อนจะพูดจาชักนำให้ขนุนเข้าใจผิดว่า ผมจะต้องแต่งงานกับหญิงสาวที่พ่อแม่เลือกให้แม้ต้องฝืนใจ ขนุนจะได้แสดงอาการหึงหวงและไม่พอใจออกมาได้มากที่สุด

ซึ่งพอเอาเข้าจริงๆ...ผมเองกลับกลายเป็นฝ่ายที่ต้องตกใจกับท่าทีห้าวหาญ และความมุ่งมั่นในการทำลายงานแต่งของผมกับคู่หมั้นจอมปลอมให้ล้มพับไม่เป็นท่า ในแบบวิ่งสู้ฟัดและจัดหนักอย่างที่ผมไม่เคยคาดฝันจะได้เห็นจากขนุนผู้รักสันติเป็นชีวิตจิตใจมาก่อน

ไม่ว่าผมจะบอกปัดไม่ยอมยกเลิกงานแต่งกลางคันมากเท่าไร ขนุนก็จะหากลเม็ดใหม่ๆมาอ้อนวอนผมได้อย่างน่ารัก น่าจับกดเสียตรงนั้นเสมอ จนหลังๆ ผมชักจะสนุกกับการหลอกล่อให้เมียพูดโน่นพูดนี่ที่ผมไม่เคยได้ยินออกมาเรื่อยๆ พร้อมๆกับลวงให้เขาเผลอแสดงออกให้ผมเห็นถึงการทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของผมแบบออกสื่อ  ซึ่งบอกได้เลยว่า...เมียผมแม่งเต็มที่กับชีวิต ฟิตกับการแสดงออกว่าเป็นเมียของผมมากที่สุด  จนผมแอบดีใจ ที่วันนี้เราไม่ได้ลากเอาน้องจินนี่เพื่อนคุณโน้ตให้มานั่งหน้าแป้นเป็นพร็อพเจ้าสาวกำมะลออยู่ในงานด้วย  ไม่อย่างนั้น...ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า น้องจินนี่จะได้กลับบ้านในสภาพครบสามสิบสองอย่างขามาหรือไม่...เพราะเมียผมสู้เพื่อช่วงชิงตัวผมได้ซ่าสุดตีน ราวกับจีจ้าในหนังเรื่องแรก

ถึงอย่างนั้น...ผมก็มีเวลาเล่นสนุกอยู่เพียงไม่นาน เพราะเมื่อแอบดูนาฬิกาข้อมือ แล้วก็รู้ได้ทันทีว่าใกล้จะถึงฤกษ์เลี้ยงพระเต็มแก่แล้ว  ผมเลยกดดันเมียให้บอกรักผม เพื่อทำลายความหวังสุดท้ายในแววตาของไอ้เหี้ยพี่เจี๊ยวกับไอ้ช็อปให้สูญสลายไปแบบสิ้นซาก ก่อนที่บรรดาพ่อๆแม่ๆของเราทั้งสองจะเข้าฉากมา  

ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น....เมียผมก็จะได้รับรู้ว่า งานที่ทำเอาผมยอมแหกขี้ตาตื่นมาแต่เช้าอย่างผิดธรรมชาติของตัวเองด้วยความเต็มใจอย่างที่สุดนี่  คืองานแต่งซึ่งผมและครอบครัวเตรียมเอาไว้ให้กับเขาแต่เพียงผู้เดียว  ทั้งนี้ทั้งนั้น...ผมรู้สึกขอบคุณพี่เมี่ยงบ.ก.ของขนุนเหลือเกิน ที่ยอมบอกรายละเอียดของงานแต่งที่ขนุนใฝ่ฝันให้ผมได้รับทราบ เพราะดูเหมือนพี่เมี่ยงจะเป็นเพียงผู้เดียวที่เจ้าตัวแอบไปเมาท์เรื่องพวกนี้ให้ฟังอย่างละเอียดละออ


วินาทีที่ขนุนได้รับรู้ความจริงเรื่องงานแต่ง แม่งโคตรมหัศจรรย์ยิ่งไปกว่าภาพที่ผมได้จินตนาการเอาไว้หลายขุม เพราะถึงแม้ร่างบางจะไม่พอใจที่รู้ว่าตัวเองโดนหลอกเละไม่เหลือชิ้นดี  แต่แววตาและใบหน้าที่บอกว่าเขาดีใจที่วันนี้มาถึงจนได้ในที่สุด ก็ทำเอาผมหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง  ผมแม่งโคตรดีใจเลย ที่ผมสามารถทำให้ขนุนตื่นเต้นจนเสียงสั่น และไม่สามารถทำหน้านิ่งๆได้อีกต่อไป

ผมสรุปได้ตั้งแต่เห็นหน้าดีใจของเมียว่า งานนี้โคตรคุ้มความเหนื่อยจริงๆฮะ...
...ผมเฝ้าแต่นึกขอบคุณตัวเองเสียจริงๆที่วางแผนเอาคืนเมียในครั้งนี้อยู่นั่น...
...เพราะนอกจากจะได้เฉลิมฉลองความรักที่เรามีต่อกันท่ามกลางสักขีพยานที่เราสนิทสนม...
...ผมยังได้ฟังเมียเปิดปากบอกรักผมจนชุ่มปอด...
...ได้เห็นเมียสู้เพื่อผมด้วยพลังทำลายล้างสูงสุดบวกกัยความมานะบากบั้นขั้นเทพ...
...แถมยังได้ทำลายคู่แข่งหัวใจจนสิ้นซาก นั่นก็หมายความว่า...ผมไม่จำเป็นต้องพะวงว่า จะมีไอ้ตัวผู้หน้าไหนโผล่เข้ามาแอ้มเมียตอนผมไม่อยู่ใกล้ๆอีกต่อไป ซึ่งนั่นจะช่วยเรียกความมั่นใจในตัวผมขึ้นมาได้อีกเยอะ เพราะเมื่อไม่มีไอ้พวกเหลือบไร ผมก็จะสามารถแสดงให้เมียเห็นถึงพัฒนาการในการควบคุมอารมณ์ได้แบบจะแจ้งเสียที 

หลังจากนี้ ก็แค่รอนับถอยหลังถึงช่วงเวลาเข้าหอของเจ้าบ่าวเจ้าสาวเท่านั้น...
หึ หึ...ไม่อยากจะบอกว่าผมมีเซอร์ไพรส์พิเศษเตรียมเอาไว้ให้เมียสำหรับคืนวันแต่งงานของเราสองคนด้วยล่ะ...
ชักอยากจะรู้เสียแล้วสิว่า ถ้าขนุนได้เห็นของขวัญแต่งงานชิ้นพิเศษชิ้นนี้ ขนุนจะทำหน้าอย่างไร เคี๊ยก กรั่ก กรั่ก กรั่ก!

  
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐


คืนงานแต่ง / บ้านพิมรรักษา

จะมีสุขใดไหนเท่างานแต่งที่เสร็จเรื่องตั้งแต่บ่าย แล้วแขกเหรื่อและพ่อๆแม่ๆกับครอบครัวของทั้งสองฝ่ายปล่อยให้เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวได้ใช้เวลาสองต่อสองด้วยกันเพียงลำพังตั้งแต่ยังไม่หัวค่ำอีกล่ะฮะ  พอเสร็จพิธีส่งตัวและมื้อเย็นในห้องนอน ผมก็อุ้มเจ้าสาวในชุดวันเกิดเข้ามานอนแช่น้ำอุ่นพร้อมๆกัน เพื่อเรียกพลังงานและความกระปรี้กระเปร่าให้กลับคืนมาอีกครั้ง

หลังจากนัวเนียกันในอ่างอาบน้ำจนตัวเบาไปหนึ่งรอบกว่าแล้ว ผมก็ล่วงหน้ามายืนเช็ดตัวรอขนุนที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จอยู่ตรงหน้าประตูห้องน้ำ

“น็อต...เราจะกลับไปบ้านเรากันวันไหนเหรอ?” คนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาซับน้ำออกจากผมหยิกยาวประบ่าของตัวเองมองผมผ่านเงาสะท้อนในกระจกด้วยสายตาประดักประเดิด

“ไม่ชอบที่นี่เหรอฮะ?” ผมถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ เพราะผมไม่เห็นว่าการที่เราต้องมาอยู่บ้านผมมันจะมีข้อเสียตรงไหน...

...ตรงกันข้าม...ที่นี่ออกจะกว้าง สะดวกสบาย แถมยังมีทุกอย่างครบครันสำหรับการละเล่นที่ผมโปรดปราน...
...จะว่าไป จริงๆแล้ว เรื่องห้องของเล่นของผมนี่แหละฮะ ที่เป็นเหตุผลสำคัญที่ผมอยากให้เราสองคนได้ค้างที่นี่หลายๆคืนหน่อย  เพราะที่บ้านใหม่ก็ยังไม่มีห้องของเล่น เนื่องจากผมก็วิ่งวุ่นเตรียมงานแต่งเสียจนยังไม่ได้ตกลงกับพี่ปีย์ว่าเมื่อไรแกจะย้ายออกไปอยู่กับพี่กานต์  แล้วถ้าเราต้องไปค้างที่อื่น...เมื่อไรผมจะได้เริ่ม เล่นกับขนุนด้วยของเล่นมากมายที่ผมเฝ้าสะสมด้วยความรักมาเนิ่นนานเหล่านั้นอย่างจริงๆจังๆเสียทีล่ะฮะ??!

ขนุนหลบสายตาผมแล้วกลอกตาเสไปมองรอบๆห้องโดยที่ริมฝีปากเม้มแน่นอยู่พักใหญ่ๆ แต่สุดท้ายก็ยอมอธิบาย“ อืม...จะพูดไงดีล่ะ คือมันเป็นบ้านของคุณป๋ากับคุณบี๋น่ะ เค้าไม่ค่อยชิน...
.
...อีกอย่าง เค้ากลัวว่าคืนนี้เราจะกวนคนทั้งบ้านน่ะซิ” พูดจบ เมียผมก็ตวัดสายตาแอบมองผมเพียงเดี๋ยวเดียวแล้วก็หลุบตาต่ำตามด้วยก้มหน้างุด

ถึงได้ว่า...เมื่อกี๊ตอนที่เราหน้ามืดกระโจนเข้าใส่กันในอ่างอาบน้ำ เมียผมแม่งดูทรมานชอบกล แถมยังไม่ค่อยครางชื่อผมบ่อยเท่ากับที่เคย สงสัยคงจะกลัวว่าเสียงร้องของเราสองคนจะไปรบกวนคนอื่นแหงๆ...หึ หึ ขนุนแม่งโคตรน่ารักเลยว่ะ!

ผมจึงอาศัยจังหวะนี้ ปูเนื้อเรื่องไปสู่เหตุการณ์ไฮไลท์ที่กำลังรอเราทั้งสองคนอยู่ไม่อีกอึดใจข้างหน้า ให้เมียได้รับฟัและเตรียมใจแต่เนิ่นๆมันเสียเลย “หึ หึ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกฮะ... เค้าเตรียมการรับมือเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี” ผมยิ้มกริ่มให้เมียที่กำลังทำหน้างุนงงสงสัยกับท่าทีดูมีลับลมคมในของผม...

...หึ หึ หึ...เตงอดใจรออีกไม่นานหรอกฮะเบ่เบ๋ แล้วเรื่องทั้งหมดจะถูกเฉลยให้เตงได้รับรู้...
...นับจากคืนนี้เป็นต้นไป เตงจะได้ค้นพบจักรวาลใบใหม่ ที่เตงจะต้องติดใจในความหฤหรรษ์จนยากเกินจะถอน...
...อาห์ ความสุขสมที่มาพร้อมกับการกดขี่ ดูถูกดูแคลน และความเจ็บปวดกำลังอ้าแขนรอรับเตงด้วยใจจดจ่อแล้วฮะ!!


อยู่ๆร่างที่กำลังชโลมครีมที่ผมสั่งซื้อเพิ่มเติมเป็นการพิเศษ เพื่อเอาไว้ให้เมียได้มีใช้ ระหว่างที่เราสองคนมานอนค้างที่นี่ก็หยุดมือที่กำลังตบเบาๆลงทั่วใบหน้าตัวเอง แล้วชะงักค้างนิ่งๆ ก่อนจะถามผมในเรื่องที่เขาติดใจ  “อ๊ะเตง...เค้าว่าจะถามอยู่พอดี ทำไมใครๆในบ้านเรียกเค้าว่าคุณหนุนกันล่ะ?”

“อ๋อออ ก็คุณบี๋ท่านรักคุณหนุนของท่านมากกกกกก จนท่านสั่งให้คุณๆทุกคนเรียกเตงว่าคุณหนุน...
.
...เพราะเตงจะได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวตัว น. ของเราเร็วๆยังไงล่ะฮะ” ผมตอบข้อข้องใจของเมียด้วยสิ่งที่พี่ๆน้องๆของผมเพิ่งจะไขความกระจ่างให้ผมรู้เมื่อไม่นานมานี้ คนฟังทำหน้าดีใจก่อนจะยิ้มหวานให้ แล้วพูดด้วยเสียงสดใสเจือความปลาบปลื้มอย่างที่สุด

“ดีจัง...เค้าเป็นคุณหนุน ส่วนเตงก็เป็นคุณน็อต น่ารักดีเนอะ!!... งั้นต่อจากนี้ไปเค้าจะเรียกเตงว่าคุณน็อตก็แล้วกันนะ”

 ...แหม่ จะให้บอกอย่างไรดีฮะว่า เวลาได้ยินเสียงเล็กๆน่ารักๆของเมียเรียกผมว่าคุณน็อตแบบอ้อนๆนี่ มันทำเอาผมแข้งขาอ่อน มือไม้สั่น จนอยากจะล้มตัวลงไปทับคนเรียกให้ลุกไม่ขึ้น จะได้เริ่มขั้นตอนเร่งให้เสียงเล็กๆนั้นเรียกผมว่า  คุณน็อต คุณน็อตรัวๆเร็วๆซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะกรีดร้องชื่อผมสุดเสียงระหว่างปลดปล่อยเสียเหลือเกิน...
.
.
...แต่ใจเย็นก่อนไอ้เสือ เพราะมันยังไม่ถึงเวลานั้น...
...ต้องรอให้เมียตัดริบบิ้น แกะของขวัญชิ้นสุดท้ายของค่ำคืนเสียก่อน  ผมจึงรีบซ่อนความคิดหื่นๆเอาไว้ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนตอบรับคำเมีย “ได้ฮะคุณหนุนของน็อต”

ร่างบางเปลือยเปล่าผละจากเคาน์เตอร์เครื่องสำอางค์เคลื่อนที่ แล้วเดินผ่านผมกลับเข้าไปในห้องนอน แต่แล้วสองขาเรียวเนียนสุดยอดปรารถนาของผมกลับหยุดกึ๊กเอาตรงกลางทาง เมื่อเจ้าตัวมองเห็นกล่องของขวัญสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่เป็นสามเท่าของกล่องรองเท้าวางอยู่บนเตียง  ขนุนหันกลับมามองหน้าผมด้วยสายตางุนงง แต่ก็ดูตื่นเต้นอยู่ในที พลางถาม “นั่นอะไรอ่ะเตง?”

“คุณหนุนก็เปิดดูซิฮะ จะได้รู้ว่าข้างในมีอะไร”  พอฟังผมเข้าใจ เมียผมก็ทำหน้าสงสัยพลางชูนิ้วชี้ขึ้นแล้วชี้เข้าหาตัวเองเหมือนกับต้องการถามว่า ให้เขาเปิดกล่องนี้ได้จริงๆหรือ?ผมยิ้มมุมปากก่อนพยักเพยิดเพื่อย้ำกับอีกฝ่ายว่า เปิดได้จ๊ะที่รัก...เพราะข้างในไม่มีระเบิดส่งไปให้  

จากนั้นนิ้วมือเรียวสวยทั้งสิบก็แกะโบห่อของขวัญ แล้วเปิดฝากล่องด้วยเวลาไม่นาน ขนุนหยิบชุดสีขาวนวลที่อยู่ด้านในขึ้นมา แล้วทำหน้าเหมือนกับโดนใครลอบตีหัวอย่างจังจนงง และวิงเวียนขนาดพูดอะไรไม่ออกบอกไม่ถูก  

ผมเลยช่วยตอบสิ่งที่น่าจะคาใจขนุนมากที่สุดในเวลานี้ให้เขาได้รับทราบ “ก็คืนนี้มันคืนแต่งงานของเราสองคน...คุณหนุนจะไม่ให้เจ้าบ่าวได้เห็นภรรยาตัวเองในชุดเจ้าสาวซักครั้งเลยเหรอฮะ? แล้วอีกอย่าง...มันคงจะดีมากเลยนะฮะ ถ้าเค้าจะได้มีโอกาสมีเซ็กส์กับเจ้าสาวของเค้าทั้งที่ยังไม่ถอดชุดขาวชุดนี้ออก”

แม้จะดูยากลำบาก แต่เมียผมก็ยังพยายามกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอก่อนจะถามผมเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง  “เตงอยากเห็นเค้าใส่ชุดกระโปรงยาวผ่าสูงที่แทบจะไม่ปิดร่างกายส่วนไหนของเค้าเลยเนี่ยะนะ?....เตงจะเอาอย่างนั้นจริงๆน่ะเหรอ?”

ผมเลือกที่จะให้การกระทำเป็นคำตอบสำหรับคำถามข้อนี้ของเมีย ด้วยการค่อยๆบรรจงสวมชุดสีขาวยาวกรอมเท้าที่ผมอ้อนวอนให้คุณเน้ยเร่งมือตัดเพิ่มมาให้เป็นพิเศษ นอกเหนือไปจากชุดที่เราสองคนใส่ในงานเมื่อเช้าตามแบบที่ผมดีไซน์ให้ เมื่อแต่งตัวให้ตุ๊กตาเมียเสร็จสมใจ ผมก็ถอยหลังออกมาชื่นชมผลงานการออกแบบเสื้อผ้าครั้งแรกในชีวิตของตัวเองอย่างภูมิอกภูมิใจ...

...ผมไม่ได้คาดหวังให้เมียใส่แล้วออกมาแล้วต้องดูเหมือนผู้หญิง แค่เป็นตัวเขาที่สวมใส่ชุดนี้เพื่อผมแค่เพียงคนเดียว เพื่อโชว์เรือนร่าง ผิวบางๆ และขาขาวเนียนทั้งสองที่ลอดผ่านรอยผ่าทั้งสองข้างตลอดเวลาที่เขาเคลื่อนไหว แค่นั้น...ผมก็กระสันอยากจะได้เขาซ้ำแล้วซ้ำเล่ายิ่งไปกว่าครั้งไหนๆ  ไม่อยากจะบอกเลยว่า พอขนุนใส่ชุดกระโปรงแล้ว ขนุนยิ่งดูเซ็กซี่เร้าใจโคตรๆอ่ะฮะ

...เอาล่ะไอ้น็อต...มึงเตรียมตัวนับถอยหลังตั้งโต๊ะกินเมียมึงได้เลย!!

สงสัยว่าสายตาหื่นๆของผมจะทำให้ขนุนวางท่าไม่ถูก เจ้าตัวเลยเลี่ยงด้วยการหมุนตัวแล้วยืนหันหลังให้ผมเพื่อจะได้ไม่ต้องถูกมอง หรือเห็นผมทำหื่นแบบเปิดเผยใส่ แต่นั่นก็เข้าทางของผมพอดี...

...ผมเดินเข้าไปหาร่างบอบบางตรงหน้า แล้วค่อยๆเอาฝ่ามือทั้งสองข้างปิดตาของเมียเอาไว้ “คุณหนุน...น็อตมีของขวัญอีกชิ้นอยากจะแบ่งปันให้คุณหนุนได้เป็นเจ้าของตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปฮะ แต่คุณหนุนต้องหลับตา แล้วค่อยๆเดินไปตามทางที่น็อตกำลังจะบอก ไม่ต้องกลัวนะฮะ” ผมกระซิบข้างๆหูเมียระหว่างที่ดันให้อีกฝ่ายออกเดินไปตามทิศทางที่ผมบอกเป็นระยะๆ

ผมค่อยๆพาร่างบางที่แนบอยู่กับด้านหน้าลำตัวของตัวผมเดินไปหยุดตรงหน้าประตูบานหนึ่งซึ่งกั้นห้องผมกับห้องข้างๆ แล้วเลื่อนมือออกจากดวงตาทั้งสองข้างของเมีย พลางเอ่ย “ขอต้อนรับเจ้าสาวของน็อตเข้าสู่อาณาจักรไร้กาลเวลา หากแต่เต็มไปด้วยตัณหา ราคะ และความสุขสันต์ฮะ”

ผมเอื้อมมือไปเปิดลูกบิดประตู จากนั้นจึงผลักให้บานประตูเปิดอ้ากว้างออกเพื่อเผยทางเข้าสู่ห้องของเล่นสุดรักสุดหวงของตัวเอง ร่างบางในชุดเจ้าสาวหันมามองผมอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ก่อนจะค่อยๆก้าวเท้าเข้าไปในห้องที่มีกลิ่นจางๆของหนังสัตว์ที่บุอยู่โดยรอบ ขนุนหยุดยืนนิ่งตรงกลางห้องโดยไม่กล่าวอะไรอยู่ครู่ใหญ่จนผมชักจะรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเอาดื้อๆ...

...หรือว่าทั้งหมดนี่มันจะฮาร์ดคอร์จนเกินจะรับในคราวเดียวกันวะ?
...แต่ผมก็ไม่ได้เอาโซ่แส้กุญแจมือมาแขวนโชว์เสียหน่อยนี่หว่า ไอเท่มที่ดูแปลกตาที่สุดในห้องก็แค่เก้าอี้ทรมานหุ้มหนังสีดำแค่ตัวเดียวเท่านั้น...ไม่น่าจะทำขนุนสะพรึงจนช็อคได้หรอกมั้ง....
...เอาไงดี... ถอยก่อน หรืออ้อนวอนขอความร่วมมือดีวะเนี่ยะ?
.
.
.
.
ในห้องของเล่นของผมตอนนี้แม่งโคตรเงียบ เงียบขนาดที่ว่า ผมแม่งได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังโดยไม่ต้องอาศัยหูฟังแบบที่คุณเน็ตมักจะสวมเอาไว้ที่คอระหว่างทำงานเลยทีเดียว  แต่แล้ว...เสียงเล็กๆของเมียก็ดังทำลายความเงียบน่าอึดอัดนั้นด้วยประโยคคำถามสั้นๆที่สั่นไหว และเบาจนแทบจับใจความไม่ได้

“ครั้งแรกๆ...ให้เค้าเลือกได้ไม๊?..”

“ห๊ะ!? เมื่อกี๊เตงว่าไงนะฮะ?” ผมเลิ่กลั่กถามอีกฝ่ายทันที เพราะทั้งไม่แน่ใจความหมาย และไม่แน่ใตว่าตัวเองได้ยินสิ่งที่ขนุนพูดชัดเจนนัก คนที่ยังยืนหันหลังมองไปรอบๆห้องปิดทึบบุผนังด้วยหนังสัตว์สีแดงเลือดนกมันแปลบปลาบ ใต้แสงไฟสีชมพูอ่อนๆ ยอมเอ่ยปากซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงดังกว่าเก่า หากแต่ยังสั่นไม่ต่างไปจากครั้งแรก

“ครั้งแรกๆ ขอเค้าเลือกเองได้ไม๊ ว่าจะเล่นอะไรก่อนน่ะ...
.
...เอาไว้ปรับตัวได้เมื่อไร เค้าจะยอมให้เตงเล่นตามใจแล้วกันนะ”

“หึ หึ...ได้ซิฮะ แต่ก่อนอื่น...ลองหัดเรียกเค้าว่า มาสเตอร์  ให้ชินปากก่อนดีไม๊?” ผมตอบร่างบางที่ยังไม่ไหวติงด้วยน้ำเสียงลิงโลดอย่างไม่ต้องสงสัย  แล้วจึงค่อยๆดึงลูกบิดประตูให้ปิดตาม ก่อนจะลงล็อคจนเสียงลั่นดาลดัง กริ๊ก




จบ
 (จริงๆแล้วฮะคราวนี้)


๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐








ย้อนไปเมื่อช่วงเช้าวันเสาร์ระหว่างงานเลี้ยงฉลองงานแต่ง

เกี๊ยว...ชายหนุ่มร่างสูงสมส่วนน่ามองปลีกตัวออกมาจากโต๊ะซึ่งเพื่อนๆ และพี่ๆที่ทำงาน รวมทั้งอดีตพี่รหัสผู้มีศักดิ์เป็นเจ้านายในปัจจุบันกำลังนั่งเมาท์มอยแขกเหรื่อคนอื่นๆที่มาร่วมงานแต่งในวันนี้อย่างสนุกปากมาตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว จวบจนตอนนี้ เขายังคงปักหลังยืนอยู่ข้างๆซุ้มเครื่องดื่มมึนเมาโดยไม่คิดห่างไปไหน เพราะตั้งใจจะดวดเหล้าฟรีจนเมาพับกลับบ้านไม่ถูกให้รู้แล้วรู้รอดไป เพื่อฉลองให้กับคู่แต่งงานใหม่ของวัน...และเพื่อให้สมองของเขาเบลอจนลืมไปว่า หนึ่งในเจ้าบ่าวของงาน คือผู้ชายที่เขาแอบชอบมานานกว่าห้าปี

ส่วนชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผู้มีหน้าตาหล่อเหลาละม้ายลูกครึ่ง หากแต่ดูโดดเด่นและแปลกตายิ่งกว่าลูกครึ่งทั่วๆไป ก็เพิ่งจะลุกขึ้นจากโต๊ะ ซึ่งมีแฝดอีกสองคนที่หน้าตาไม่ต่างกัน เพื่อเดินมาเติมเครื่องดื่มในแก้วที่พร่องไป  เขาเองก็เช่นกัน...วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร ตั้งแต่ได้เห็นพี่ขนุนแสดงออกถึงความรักที่มีให้แฟนตัวเองต่อหน้าต่อตาแขกทุกคนในงาน เขาก็รู้สึกวุ่นวายใจเสียจนเกิดต้องการดื่มให้สมองตื้อขึ้นมาเสียหน่อย  ระหว่างรอบาร์เทนเดอร์ผสมค็อกเทลให้แขกคนอื่นอยู่ เขาก็เหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังจ้องมองไปยังโต๊ะข้างเวที ซึ่งเป็นโต๊ะสำหรับเจ้าบ่าวทั้งสองของงานด้วยสายตาละห้อย แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่า ผู้ชายคนนี้คือคนที่พี่น็อตใช้สายตาอาฆาตจ้องมองอยู่ตลอดเวลาเมื่อสบโอกาส

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความรู้สึกกึ่มๆหลังจากดื่มไปแล้วหลายแก้ว หรือเป็นเพราะอยากลองทำอะไรแปลกใหม่ เพื่อให้ลืมความคิดเรื่องที่พี่ขนุนแต่งงาน เขาเองก็ไม่อาจบอกได้ แต่หลังจากที่เขาได้เครื่องดื่มแก้วใหม่ของตัวเอง เขาก็เดินเข้าไปใกล้ๆอีกฝ่ายเจ้าของใบหน้าเศร้าสร้อย แล้วเปิดบทสนทนาแบบที่ไม่เคยคิดจะเสียเวลาทำกับคนแปลกหน้าที่ไหนทันที...

“คุณชอบพี่ขนุนเหรอครับ?”

“เอ่อ...นายเป็นใคร?”

“ผมชื่อช็อปเปอร์ แต่เรียกผมว่าช็อปจะดีกว่า...ผมเป็นเพื่อนบ้านพี่ขนุนน่ะ” พูดจบชายหนุ่มอ่อนวัยกว่าก็พยักเพยิดเพื่อให้อีกฝ่ายมองตามไปที่โต๊ะที่อีกสองแฝดกับบรรดาเพื่อนบ้านคนอื่นๆกำลังนั่งสังสรรกันอยู่ แล้วจึงพูดต่อโดยไม่สนใจสีหน้างงๆของคนโตกว่า  “ผมก็ชอบพี่ขนุนเหมือนกัน...คุณก็ยอมรับมาเถอะว่าคุณชอบพี่ขนุน  โตๆกันแล้ว เรื่องแค่นี้...ไม่เห็นต้องเหนียม , ma dai!

“ตอนนี้คงเป็นได้แค่เคยชอบไปแล้วล่ะ....เพราะขนุนมีเจ้าของแล้ว”

“ถามจริงเถอะ...คุณไม่หมั่นไส้ไอ้พี่น็อตบ้างเลยเหรอ?”

“หึ!... น้อยไปซิ...
.
...เราเรียกพี่ว่า พี่เกี๊ยวก็ได้...
...แด่คนหัวอกเดียวกัน ...Cheers!”  เกี๊ยวยื่นแก้วของตนไปข้างหน้า รอให้อีกฝ่ายกระทบแก้วของตัวเองกลับมาเบาๆแค่พอมีเสียงแก้วกระทบกัน จากนั้นทั้งคู่ต่างก็กระดกของเหลวในแก้วทั้งสองใบลงคอไปจนหมด

“ถ้าพี่ไม่ติดอะไร...เราไปหาที่นั่งดื่มแล้วคุยกันดีไม๊ครับ?”

“ก็ดี...แต่พี่ว่า เราคงต้องกลับไปเติมเหล้ากันก่อนล่ะมั้ง”


และเมื่อทั้งสองหมุนตัวเพื่อจะเดินกลับไปที่บาร์เครื่องดื่ม ก็เห็นชายหนุ่มหน้าตาเหมือนกับเจ้าบ่าวผู้เป็นโจทก์เก่าร่วมกันของทั้งสองอย่างไม่มีผิดเพี้ยน  หากแต่รูปร่างของเด็กหนุ่มตรงหน้าสูงใหญ่ และหนากว่าน็อตมากพอควร ที่สำคัญ...ผู้ชายคนนั้นดูร่าเริง และเป็นมิตรผิดกับพี่ชายลิบลับ

ชายหนุ่มกำลังยืนรอเครื่องดื่มไปพลาง พูดคุยกับสาวสวยรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างออกรสไปพลาง น่าแปลกที่ใบหน้าที่ฉายแววแห่งความสุขของคนตรงหน้าชายผู้ผิดหวังในความรักทั้งสอง สามารถทำให้เพื่อนดื่มต่างวัยรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเสียดื้อๆ  จนช็อปเผลอพูดขึ้นมาลอยๆ ด้วยประโยคที่มีแค่เกี๊ยวเท่านั้นที่จะเข้าใจความหมาย

“...น้องเจ้าบ่าวน่าจะยินดีดื่มเป็นเพื่อนพวกเรานะครับ..”

เกี๊ยวก้มลงไปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาเหี้ยมเกรียมไม่ต่างกัน แล้วจึงพยักหน้าแสดงความเห็นด้วย  จากนั้นทั้งสองก็เดินเข้าไปประกบร่างหนาๆของนักกีฬาบาสฯมหาวิทยาลัยผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ใดๆกันคนละข้างระหว่างรอเครื่องดื่มแก้วใหม่ของตน 

ทุกอย่างในงานดำเนินไปตามลำดับที่ได้จัดเตรียมเอาไว้อย่างไม่มีสะดุด...
ระหว่างที่ผู้คนส่วยใหญ่ในงานกำลังเต้นรำอย่างสนุกสนานไปตามเสียงเพลงสุดแสนเร้าใจของวงดนตรีสด กลับไม่มีใคร สนใจผู้ชายสามคนที่กอดคอกันเดินขึ้นตึกใหญ่ ก่อนจะหายลับขึ้นไปข้างบนชั้นสองของตัวบ้าน  ซึ่งหากมีใครได้ใช้เวลาสังเกตและใคร่ครวญให้ดีๆ จะรู้ได้ในทันทีว่า ร่างตรงกลางที่กำลังถูกหิ้วปีกเข้าบ้านไปนั้น คือ เจ้าของร่างหนาหน้าอ่อนผู้เป็นทายาทเจ้าของบ้านนั่นเอง และเขาได้กลายเป็นเป้าหมายใหม่ของสองหนุ่มต่างวัย หลังจากถูกอ้อนวอนให้เข้าร่วมวงเหล้าวงย่อยในฐานะตัวแทนเจ้าบ้านที่แสนดีเพียงไม่นาน



ก็อย่างที่เจ้าบ่าวฝ่ายชายได้ทำนายเอาไว้ล่วงหน้าว่า...
...คืนแต่งงานของเขานั้น จะดำเนินไปอีกยาวไกล...
.
.
...แต่จะมีใครบ้างที่รู้ว่า...
...ค่ำคืนอันยาวไกล ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับพี่ชายบ้านพิมรรักษาและภรรยาป้ายแดงภายในห้องของเล่นอันแสนหฤหรรษ์...
...หากแต่น้องชายคนเล็กเอง ก็ได้สัมผัสประสบการณ์เปิดซิงกับผู้ชายจนสว่างคาตาไปตลอดทั้งคืนไม่ต่างกัน  หากแต่เรื่องของน้องชายกลับผิดกับพี่ตรงที่ว่า... เขาถูกผู้ชายอีกสองคนซึ่งมีความแค้นฝังหุ่นเล็กๆกับพี่ตัวเอง วานให้เขาต้องกลายเป็นสาย รับ’  พร้อมๆ กันเท่านั้นเอง




๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐