Monday, December 31, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#30|| วันสิ้นปี


#31

ขาดดวงใจ โอ้ ชีวิตจะดำเนินได้อย่างไร
โอ้ ชีวิตจะดำเนินเพื่ออะไร
โอ้ ชีวิตใยมืดมน หนทางเลือน
โศกใดมิปาน อกร้าวรานจนตายไม่เหือดหาย
นอนระทมเศร้าทุกคืนกลืนน้ำตา
สุดแสนจะทรมาน หัวใจ
ความรักเพรียกหา - วินัย พันธุรักษ์

…………………………………………………………………………………………………………

“คุณต้องรีบกลับบ้านหรือเปล่าครับ” แม้จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากชักชวนก่อน แต่เมื่อนึกถึงสุขภาพของหญิงชรา มารดาของอีกฝ่ายซึ่งเพิ่งออกจากโรงพยาบาล คเชนทร์ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ แต่แทนที่จะให้คำตอบ ธามกลับถอนหายใจพลางเดินทอดน่องผ่านหน้าไปทิ้งตัวลงนั่งยังโซฟา

ผลจากการเคลื่อนไหวอย่างฉับพลันของอาคันตุกะทำเอาลูกพี่ที่นอนอยู่ตรงมุมห้องสะดุ้งโหยง มันผงกหัวขึ้นจับจ้องสัตว์สองเท้าร่างยักษ์อย่างไม่ไว้ใจอยู่พักใหญ่จนก้อนขนสีส้มที่นอนเอ้เต้หนุนพุงปุยป่องของเจ้าถิ่นต้องปรือตาขึ้นกวาดมองไปรอบ ๆ เมื่อไม่มีสัญญาณผิดปกติใด ๆ ทั้งสองตัวจึงค่อย ๆ ม่อยหลับลงอีกครั้ง

เจ้าของร้านดอกไม้ยกเก้าอี้มาวางใกล้ ๆ โซฟา จากนั้นจึงยื่นแก้วน้ำเย็นส่งให้พ่อม่ายพลางทรุดตัวลงนั่งตรงข้าม คเชนทร์เหลือบมองใบหน้าอ่อนล้าอิดโรยนั่นอย่างหลากใจ ใครเลยจะคิดว่า พวกเขาจะกลับมานั่งจับเข่าคุยกันอีกครั้งทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์เมื่อคืนนั้นเพิ่งพ้นไปได้ไม่กี่อาทิตย์

“เมื่อตอนเย็น เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” เมื่อเห็นธามวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะเล็กข้าง ๆ ตัว หนุ่มผมยาวก็เปิดฉากสนทนา

“ตอนแรกผมจะพาเวลาไปงานศพด้วยเพราะไม่มีใครอยู่บ้าน แต่เขางอแง พูดไม่ฟัง จะมาเล่นแมวท่าเดียว” ที่สุดแล้ว ฝ่ายที่เอาแต่หลุบตามองพื้นไม่พูดไม่จาก็ยอมเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับเจ้าถิ่น

คเชนทร์ค่อนข้างเห็นใจ อีกทั้งยังเข้าใจเหตุผลของคนเป็นพ่อแต่เพราะเวลาไม่เคยดื้อดึงหรือตั้งแง่ใส่ตน จึงเผลอหลุดปากแก้ต่างแทนกาลกมลทันควัน “ปลาวาฬเคยบอกผมว่าเวลาแกอยากเลี้ยงแมวมาตลอด พอลูกน้องแอบหนีมาอยู่ที่นี่ แกเลยน่าจะกลัวว่าแมวจะหายไปน่ะครับ”

“หึ!” พ่อม่ายแค่นหัวเราะในลำคอพลางยิ้มเยาะตัวเองก่อนจะเสมองไปอีกทาง

ทั้งที่เพิ่งเริ่มคุยกันได้ไหม่เท่าไร แต่สีหน้าของธามกลับไม่น่าดูชม คเชนทร์จึงอดสังหรณ์ใจไม่ได้ว่าเรื่องเมื่อตอนเย็นคงเป็นเพียงเศษเสี้ยวของปัญหาใหญ่กว่านั้น... ว่าแต่มันคือเรื่องอะไรล่ะ?
  
หลายสิบปีที่ช่วยโจโจ้รับรองแขกพิเศษมานับครั้งไม่ถ้วน คเชนทร์พบว่า กว่าครึ่งของคนที่มาท่องเที่ยวหาความสำราญล้วนแล้วแต่มีเรื่องทุกข์ใจที่ไม่สามารถบอกเล่าให้ใครฟัง ทว่าภายหลังจากได้นั่งพักจิบเครื่องดื่มเย็น ๆ หย่อนใจไปกับแสงสีเสียงและการแสดงของเหล่านางโชว์ อีกทั้งยังมีคนคอยนั่งรับฟังปัญหาอยู่ข้าง ๆ อย่างใส่ใจด้วยแล้ว แขกส่วนใหญ่ก็มักจะปริปากระบายเรื่องหนักอกในที่สุด ซึ่งจะมากหรือน้อยนั้น ก็สุดแต่อุปนิสัยพื้นเพของแต่ละบุคคล ถึงอย่างนั้น สูตรสำเร็จนี้คงใช้ไม่ได้กับเพื่อนบ้านผู้ขึ้นชื่อว่าไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใด ๆ หนำซ้ำเดิมทียังไม่ชอบขี้หน้ากันเป็นทุนหรอกมั้ง

ดั้งนั้น เพื่อประคับประคองบทสนทนาให้ยังคงดำเนินต่อไป คเชนทร์จึงไพล่ไปพูดเรื่องอื่นเสีย “ถ้าคุณไม่สบายใจ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมเอาลูกน้องไปส่งที่บ้านดีไหมครับ”

หลังแอบดอดเข้ามาตั้งรกรากในร้านดอกไม้ได้สำเร็จ นอกจากเด็ก ๆ กับคเชนทร์แล้ว ลูกน้องอ้วนกลมสีส้มแป๊ดก็หวงเนื้อหวงตัว ไม่ยอมให้ใครจับง่าย ๆ แต่เพราะต้องการช่วยพ่อม่ายแก้ปัญหาครอบครัวแบบเด็ดขาด ข้อเสนอนี้จึงผุดขึ้นในใจทั้งที่ตัวเลือกดังกล่าวอาจทำให้เด็กชายหายหน้าไปตลอดกาล

“ไม่ต้องหรอก ให้มันอยู่ที่นี่แหละ” ธามบอกปัดเสียงเรียบจนคนฟังชะงักไป

“...ครับ...”  หนุ่มผมยาวยิ้มเจื่อน สงสัยเขาจะมือตก เพราะขนาดนั่งนึกถึงกลเม็ดเด็ดพรายที่เคยใช้ในวงสนทนาสมัยยังเป็นนางโชว์อยู่นานสองนาน จนแล้วจนรอดก็ยังนึกอะไรไม่ออก

ธามทอดสายตามองแมวสองตัวที่นอนขดเกยกันอย่างสนิทสนมอยู่ตรงมุมห้อง แสงจากหลอดไฟดวงใหม่เจิดจ้าเสียจนชายหนุ่มสามารถมองเห็นสีหน้ามีความสุขขณะนอนหลับของพวกมันได้อย่างชัดเจน ที่สุดเขาก็เริ่มจะเข้าใจแล้วว่า เพราะเหตุใดบุตรชายจึงโปรดปรานสัตว์หน้าขนสายพันธุ์นี้เป็นพิเศษ

“เล็กไม่ค่อยแข็งแรงแถมยังเป็นภูมิแพ้ ยิ่งหลังคลอดเวลา เขาก็ยิ่งอ่อนแอลงกว่าเดิม ผมเลยห้ามลูกไม่ให้เลี้ยงสัตว์”

เจ้าของร้านดอกไม้เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มอีกคนที่เพิ่งโพล่งเรื่องความหลังขึ้นโดยไม่บอกกล่าว ถึงอย่างนั้นกลับไม่ได้พูดขัด

“ทั้ง ๆ ที่ผมรู้ว่าเวลาชอบสัตว์มากแท้ ๆ ...”
“ผมถามได้ไหมครับว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณกับเวลา” อยู่ ๆ ธามก็นิ่งไป คนที่แอบลุ้นจนตัวโก่งจึงหลุดปากยิงคำถามคาใจออกมาแม้ไม่รู้ตัว

“...ไม่...”

ส่วนตัวแล้ว คเชนทร์ไม่ค่อยสุงสิงหรือสอดรู้เรื่องของใคร อีกทั้งยังระมัดระวังคำพูดจา น้อยครั้งที่เจ้าตัวจะนึกเสียใจกับการพูดสิ่งที่คิดโดยไม่ยับยั้งชั่งใจเหมือนคราวนี้ แต่ครั้นจะตีหน้าซื่อมองข้ามสีหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกของคู่สนทนาเขาก็ดันทำไม่ลง

“...ไม่ รู้ ...ผมไม่รู้...” ผิดคาดเหลือเกินที่ธามไม่ได้ทำตาขวางใส่ อีกทั้งยังไม่ปฏิเสธ ที่สำคัญ น้ำเสียงเมื่อครู่ยังฟังแผ่วคล้ายเจ้าตัวกำลังอ่อนแอและเปราะบางอย่างที่สุด อดีตนางโชว์จึงวางข้อกังวลใจทั้งหลายลงทันที

“ผมจำได้ว่าช่วงแรก ๆ เวลาไม่พูดเลย ทำไมเหรอครับ” ลึก ๆ แล้วคเชนทร์ไม่มีเจตนาจะซ้ำเติมใคร แต่หากไม่ฉวยโอกาสนี้ไว้ เขาคงไม่รู้ถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องหมางใจระหว่างสองพ่อลูกที่ปากหนักกันทั้งคู่

ธามเอนหลังพิงพนักโซฟาแล้วหลับตาพลางถอนหายใจหนักหน่วง “ผมทำใจเรื่องเล็กไม่ได้เลยไม่พูดกับใครอยู่พักนึง”

“คุณไม่พูดกับใครเลยเหรอครับ?” ทั้งที่ใจอยากถามเจาะจงเวลาและสาเหตุให้แน่ชัดกว่านั้น แต่คเชนทร์กลับเพียงเลิกคิ้วพลางกวาดตามองสีหน้าหม่นหมองของคุณพ่อลูกหนึ่งอย่างสนเท่ห์

“อืม”

“ตอนนั้นเวลารู้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น”

เจ้าของร้านขนมปังส่ายหัวพลางนึกย้อนไปยังเหตุการณ์ที่เขาไม่มีวันลืม “กรกฏาปีที่แล้วฝนตกหนักทุกวัน เวลากับเล็กไม่สบายพร้อมกันแต่พอไปหาหมอ ผมถึงเพิ่งรู้ว่าลูกแค่เป็นหวัดในขณะที่ปอดเล็กติดเชื้อรา ผมเลยขอให้ม้าช่วยมาดูเวลา ผมจะได้คอยเฝ้าเล็กเพราะอาการเขาไม่ค่อยดี”

แม้จะยอมเปิดเผยอดีต แต่พ่อม่ายกลับไม่ได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยละเอียด...

อันที่จริง เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นหลังจากเวลาเป็นหวัดได้ไม่นาน หลังตากพาลูกไปหาหมอ ธามก็เริ่มจับสังเกตอาการของภรรยาด้วยกลัวว่าเจ้าตัวจะล้มหมอนนอนเสื่อตามลูกชายไปติด ๆ แต่พอเห็นว่าเลือดเนื้อเชื้อไขหายเป็นปกติในอีกไม่กี่วันให้หลังแถมเล็กยังกระฉับกระเฉงและร่าเริงดี เขาก็ชะล่าใจ จนกระทั่งเช้าวันหนึ่งที่เวลากินข้าวเช้าแล้วไอไม่หยุด จากนั้นช่วงสาย ๆ เล็กก็มีไข้สูงกะทันหัน ชายหนุ่มจึงรีบพาทั้งคู่ไปโรงพยาบาล เมื่อนั้นจึงได้รู้จากหมอว่า อาการตัวร้อนปุบปับฉับพลันที่ภรรยาเป็นนั้นสาหัสกว่าโรคหลอดลมอักเสบของลูกชายหลายเท่านัก

“ตอนนั้นเล็กบอกผมว่าไม่ให้เวลามาเยี่ยม เขากลัวว่าถ้ามาขลุกอยู่ที่โรงพยาบาลกันหมด ลูกคงไม่มีวันหาย แต่แอดมิตได้แค่สามวัน เขาก็ไม่ไหว”

แม้ไม่เคยสูญเสียบุคคลใกล้ชิดภายในระยะเวลาอันสั้น แต่เรื่องราวที่เพิ่งได้ยินกลับดึงภาพจำช่วงสุดท้ายก่อนที่อำนวยจะจากโลกนี้ไปให้หวนคืนสู่มโนสำนึก ขนาดตอนนั้นมีโอกาสร่ำลารวมถึงเตรียมใจล่วงหน้าหลายเดือน สุดท้ายคเชนทร์ยังร้องไห้จะเป็นจะตาย แล้วความโศกเศร้าอาดูรที่ธามต้องรับมือล่ะจะหนักหนาสักเพียงไหน

“ตอนเล็กตาย ใจผมตายตามเล็กไปแล้ว” คนพูดแหงนหน้าทอดสายตาเหม่อมองเพดานอย่างเลื่อนลอย แต่เจ้าของร้านดอกไม้กลับเห็นม่านน้ำตาเรืองเรื่อสะท้อนแสงไฟในดวงตาหมองหม่นคู่นั้น “...พอไม่มีเขาแล้วทุกอย่างก็แย่ไปหมด”

เมื่อมองย้อนกลับไป ธามพบว่า ความทรงจำตลอดระยะเวลาสิบวันแรกนั้นพร่าเบลอเวิ้งว้างคล้ายไม่ใช่เรื่องจริง

ระหว่างจัดงานศพให้เล็ก เขาเป็นแค่ซากมนุษย์แห้งแล้งไม่มีกะจิตกะใจจะใช้ชีวิต ยิ่งพอพ้นงานทำบุญเจ็ดวัน การต้องกลับไปอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของและกลิ่นอายเข้มข้นของคู่ชีวิตที่นับวันยิ่งเจื่อนจางคือความทรมานแสนสาหัส  

รอยยุบบนหมอนจะยังคงเย็นชืดเช่นนั้น ไม่มีวันโยกย้ายหรือปรับเปลี่ยนรูปทรง ผ้าเช็ดตัวลายคิตตี้เหนือราวเล็กในห้องกระด้างและอมฝุ่น ต่างหูรูปดอกไม้สีแดงคงหาคู่ของมันไม่เจอไปตลอดกาล สิ่งละอันพันละน้อยเหล่านั้นทำให้ธามหดหู่หวนไห้จนเคยอยากตายให้พ้น ๆ แต่เพราะรับปากเล็กไว้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อทำในสิ่งที่เจ้าตัวไม่เคยทำให้ลุล่วง เขาจึงเก็บกักความเศร้าไว้ภายในแล้วทุ่มเทเวลาทั้งหมดลงที่งาน ค่อย ๆ ประคับประคองตัวตนอันเปราะบางให้ก้าวผ่านความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงามาอย่างเงียบงันเชื่องช้า

“คุณร้องไห้ได้นะ” เพราะเข้าใจหัวอกผู้สูญเสียเป็นอย่างดี เจ้าของร้านดอกไม้จึงเอื้อมมือไปบีบหลังมืออีกฝ่ายเบา ๆ

น้ำตาเม็ดแรกกลิ้งตกลงบนผิวแก้มหลังสัมผัสอ่อนโยนนั่นสั่นคลอนหัวใจ แน่นอนว่าเมื่อเกิดแรงกระเพื่อม ความอ่อนแอ เปลี่ยวเหงา เศร้าสร้อยที่ถูกสะกดกลั้นมาเนิ่นนานก็หลั่งไหลออกมามากมายคล้ายไม่มีจุดสิ้นสุด

ผู้ชายคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าคเชนทร์ในเวลานี้ไม่เหลือมาดทะนงตนตามปกติ เขาเพียงก้มหน้าลงมองฝ่ามือที่ประสานกันแน่นเหนือตักแล้วหลั่งน้ำตาเงียบเชียบ นาน ๆ ครั้งจึงจะหลุดเสียงสูดน้ำมูกแผ่วเบา เจ้าของร้านดอกไม้จึงรีบลุกไปหยิบกล่องทิชชูมายื่นให้ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้รับไป เจ้าถิ่นจึงวางมันลงบนหน้าขาตัวเองพลางรอคอยให้ธามสงบสติอารมณ์อย่างอดทน ซึ่งในระหว่างนั้นเอง เขาก็ครุ่นคิดถึงสาเหตุของเรื่องบาดหมางระหว่างสองพ่อลูกไปร้อยแปดพันประการ...  

แทนที่จะอธิบายเรื่องที่เมียตายให้ลูกเข้าใจ หรืออย่างน้อย ๆ ถ้าให้โอกาสแกได้เจอหน้าแม่ ได้เห็นกับตาว่าเกิดอะไรขึ้น เวลาจะต้องรู้แน่ ๆ ว่าอะไรเป็นอะไร แต่นี่อะไร ธามกลับกีดกันลูกแถมยังเงียบใส่ โดนไปแบบนี้ เด็กหกขวบที่ไหนก็ต้องปรับตัวไม่ได้กันทั้งนั้น

“ผมเคยคิดหลายครั้งว่าถ้าตอนนั้นผมไม่ยอมให้เล็กมีลูก ตอนนี้เล็กก็น่าจะยังอยู่กับผม...” พ่อม่ายพยายามสูดลมหายใจเพื่อกลบหางเสียงสะอื้นเมื่อครู่ ทว่ายิ่งฝืนก็ยิ่งให้ผลตรงข้าม ที่สุดจึงยิ่งห่อตัวก้มหน้าต่ำเพราะไม่อยากให้ใครเวทนา “...แต่ผมจะไปห้ามความสุขเขาลงได้ยังไง”

วันที่ธามลมจับหลังเห็นขีดแดงเล็ก ๆ ทั้งสองบนที่ตรวจครรภ์คือวันเดียวกันกับที่ดวงตาโศกของเล็กทอประกายสว่างสดใสยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ความปีติสมหวังที่ทำให้คนรักดูอิ่มเอิบ งดงาม อีกทั้งยังนั่งคลี่ยิ้มกว้างกับตัวเองได้ทั้งวี่วันคือเหตุผลข้อเดียวที่เอาชนะทุกข้อกังวลได้อย่างราบคาบ

แม้จะตกอยู่ในภาวะจำยอม แต่ธามก็ไม่ได้ชะล่าใจ ชายหนุ่มอดหลับอดนอนสองคืนติดเพื่อร่างข้อกำหนดของคุณแม่มือใหม่จำนวนหลายหน้ากระดาษเอสี่ ซึ่งถ้าใครได้อ่านใจความทั้งหมดอย่างถี่ถ้วน ย่อมประจักษ์แจ้งว่า กติกาทั้งหลายที่ถูกบัญญัติขึ้น ล้วนแล้วแต่มุ่งหมายให้เล็กเริ่มดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดและจริงจังยิ่งกว่าที่เคยเป็น เพราะหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันใด ๆ ขึ้นก็ตาม ธามก็พร้อมจะรักษาชีวิตของภรรยามากกว่าเด็กทารกแปลกหน้าที่ยังไม่มาเกิด

คเชนทร์รีบให้กำลังใจเพราะอีกฝ่ายดูเจ็บปวดจนใกล้แหลกสลายเต็มที “แต่ถึงภรรยาคุณจะไม่อยู่แล้ว ตอนนี้คุณก็ยังมีเวลากับแม่อยู่ข้าง ๆ อีกตั้งสองคนนะครับ”

ถึงจะโศกเศร้าเสียใจ แต่ธามกลับจำคำพูดเตือนสติที่อีกฝ่ายเคยพูดพร่ำได้ขึ้นใจ พ่อม่ายจึงผงกหัวรับอยู่สองสามครั้ง

“ก่อนจะไป เล็กบอกผมว่า...” เสียงกลั้นสะอื้นเรียกสายตาอดีตนางโชว์ให้เบือนกลับไปจับจ้องใบหน้าคู่สนทนาในบัดดล แม้ไม่ตั้งใจจะจับผิดกัน แต่เงาสะท้อนของหยาดน้ำตาที่หล่นเผาะ ๆ ไม่ขาดสาย ก็ชวนให้ใจคนมองอ่อนยวบ “...ที่เขามีลูก เพราะลูกจะอยู่เป็นเพื่อนผมในวันที่เขาไม่อยู่แล้ว”

เล็กไม่ได้รอจนวันสุดท้ายจึงค่อยสั่งเสีย หากแต่เช้าวันที่สองหลังจากที่เข้าโรงพยาบาลรอบนั้น เจ้าตัวก็อาศัยช่วงเวลาใกล้รุ่งสางชวนธามระลึกถึงความหลังตั้งแต่ยังเยาว์ รวมถึงยังเล่าความลับที่แอบเก็บงำมาเนิ่นนานให้ฟัง ดังเช่น เหตุผลสำคัญของการตั้งท้องเวลา สมาชิกใหม่ของครอบครัวที่เขาไม่เคยสนับสนุนให้มีในทีแรก

“ภรรยาคุณจะต้องรักคุณมาก ๆ เลยนะครับ เพราะเวลาเป็นเด็กน่ารักจริง ๆ ”

ฟังแล้วพ่อม่ายก็สูดน้ำมูกพลางรวบรวมสติ ส่วนคเชนทร์ที่เห็นว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะใช้คอเสื้อยืดเช็ดหน้าจึงรีบยัดกระดาษทิชชูใส่มือเจ้าตัวทันควัน ธามจัดการตัวเองรวดเร็วก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วเอนหัวพิงพนักโซฟา หลับตาลงอยู่ชั่วอึดใจ จากนั้นจึงเปรยเสียงเครือ “เพราะผม เวลาเลยกลายเป็นแบบนี้”

“แกน่าจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นน่ะครับ” เจ้าของร้านดอกไม้เห็นอีกฝ่ายทิ้งแขนแล้ววางฝ่ามือลงข้างตัวโดยไม่โต้แย้ง เขาจึงเอ่ยต่อ “ถ้าผมเป็นแก ผมคงจับต้นชนปลายไม่ถูกที่อยู่ ๆ แม่ก็หายไปแถมพ่อยังไม่ยอมพูดด้วย”

ธามสูดลมหายใจพลางยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก...
ถ้าตอนนั้นเขาใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์สักหน่อย คงไม่ต้องมานั่งเสียใจกับท่าทีของลูกชายในวันนี้

“คุณบอกเวลาเรื่องแม่เขายังไงครับ”

“ม้าเป็นคนคุย... บอกว่าเล็กขึ้นไปอยู่กับเทวดาแล้ว” เจ้าของร้านขนมปังยังคงเอนหลังทิ้งศีรษะพิงพนักโซฟาในท่าก่ายหน้าผากโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบท

“อืม” คเชนทร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ

โอเค ถึงธามจะต้องจับเข่าคุยกับเวลาเรื่องการตายของแม่อย่างจริงจังอีกที แต่หัวข้อนี้ไว้ค่อยไปคุยกันทีหลัง ยังมีอีกเรื่องที่หนักหนาสาหัสกว่ารออยู่... “เวลาไม่พูดกับคุณตั้งแต่เมื่อไรเหรอครับ”

“ผมไม่แน่ใจ แต่น่าจะเป็นช่วงหลังจากที่ผมเงียบไป” ที่สุดพ่อม่ายวัยยี่สิบเก้าก็ลืมตา หากแต่ดวงตาแดงเรื่อคู่นั้นยังคงจับจ้องฝ้าเพดานไม่เลิก

การตายของเล็กไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงเพียงข้อเดียวที่เกิดขึ้น

หากไม่นับเรื่องที่ธามเอาแต่เก็บตัวกับก้มหน้าก้มตาทำงานโดยไม่วิสาสะกับใครนานครึ่งปี อาม่าซึ่งแต่เดิมอาศัยอยู่กับครอบครัวพี่สาวและพี่ชายคนโตก็ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่ร้านขนมปังชั่วคราว หลังเจ้าหล่อนพบว่า กาลกมลเองก็ปิดปากเงียบ ไม่พูดไม่จากับใครคล้ายจะประท้วงคนทั้งโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบิดาที่วางตัวห่างเหินเหมือนคนแปลกหน้าภายในชั่วข้ามคืน

“คุณไม่พูดกับใครนานเลยเหรอครับ” คเชนทร์เผลอนึกภาพเวลาที่โดนพ่อบังเกิดเกล้าปฏิเสธด้วยการวางเฉยใส่ครั้งแล้วครั้งเล่าจนเจ้าตัวเจ็บปวดและหลาบจำ ถ้าไม่โดนกระทำ เด็กหกขวบคนไหนก็ไม่มีทางคว่ำบาตรใส่พ่อด้วยการไม่ยอมพูดหรอก

“...ก็ ครึ่งปีได้...” พ่อม่ายยอมรับไม่เต็มเสียง ด้วยเพราะตนเองไม่ได้เป็นคนเก็บสถิติ มารดาผู้ชราต่างหากที่เฝ้าย้ำเตือนวันเดือนปีที่ผันผ่าน ตอนนั้นหล่อนพูดกรอกหูเขาเช้าเย็นว่า ถึงเวลาที่ควรเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นวิญญาณของเล็กคงไม่ได้ไปไหนเสียที เขาจึงบิดเบือนคำเตือนอย่างจริงใจนั้นไปในทิศทางตรงข้าม...

ก็ถ้าทำตัวซังกะตายแล้วรั้งให้เล็กอยู่ข้าง ๆ ได้ เขาก็ไม่อยากมีความสุขอีกเลย

“เฮ้อ” คราวนี้เป็นคเชนทร์เสียเองที่แอบระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ช่วงเวลาหกเดือนที่ไม่มีแม่ ซ้ำร้ายพ่อยังเพิกเฉยไม่ใส่ใจ ถึงจะมีอาม่าคอยดูแลชิดใกล้ แต่การที่เวลาต่อต้านจนไม่ยอมพูดด้วยนั้นกลับเป็นบทสรุปที่ปรานีธามเกินไปเสียด้วยซ้ำ

“แล้วเรื่องแมวล่ะครับ คุณเคยบอกเหตุผลจริง ๆ กับแกไหมว่าทำไมคุณถึงไม่ยอมให้แกเลี้ยงแมว” เหตุผลที่เจ้าของร้านดอกไม้ติดใจเรื่องแมวส้มไม่หาย เพราะการไม่ได้เลี้ยงแมวเนื่องจากขนแมวอาจทำให้แม่ไม่สบาย กับการไม่ได้เลี้ยงแมวเพราะพ่อสั่งห้ามแบบห้วน ๆ น่ะคนละเรื่องกันเลยนะ

“...ไม่...”

น้ำเสียงของธามฟังอ้อมแอ้มจนคนฟังจับสังเกตได้
เอาเถอะ ถึงจะปากอย่างใจอย่างไปสักหน่อย แต่ถ้าเจ้าตัวยังสำนึกถึงความผิดของตัวเองได้บ้าง หลังจากนี้ก็น่าจะคุยกันง่ายหน่อย

แม้ความสัมพันธ์ครั้งแรกจะล้มเหลวจนล้มเลิกแผนก่อร่างสร้างครอบครัวของตัวเอง ทว่าการได้ทำงานใกล้ชิดเจ้านายผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลอย่างโจโจ้ รวมถึงประสบการณ์กว่าสิบปีในหน้าที่ครูสอนเต้น สอนการแสดงประจำคณะ ทั้งหมดนี้ได้หล่อหลอมให้หนุ่มผมยาวมีคุณสมบัติของการเป็นผู้ให้คำแนะนำและคำปรึกษาที่ดีของไปโดยปริยาย

แน่นอนว่า หากคเชนทร์รู้สึกห่วงใยใครสักคนขึ้นมาจริง ๆ เจ้าตัวก็พร้อมจะทุ่มเทเวลาพร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือแก่คน ๆ นั้นอย่างเต็มที่ หลังจากฟังเรื่องทั้งหมดจากปากธาม เจ้าของร้านดอกไม้เผลอปักหมุดในใจไปแล้วว่า เขาจะช่วยเวลาให้มีความสุขให้จงได้

“ถ้าผมจะพูดอะไรตรง ๆ จะได้ไหมครับ”

แม้จะเอาแต่ถอนหายใจ แต่น้ำเสียงจริงจังเมื่อครู่ก็ทำให้พ่อม่ายยอมลุกขึ้นนั่งฟังกันดี ๆ

“คุณต้องคุยกับลูกคุณเรื่องภรรยา บอกแกว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่ ถึงแกจะรู้แล้วว่าแม่ตาย แต่คุณเป็นพ่อ จะยังไง คุณก็ต้องบอกให้เขาฟังด้วยตัวเองสักครั้ง” เพราะเห็นอีกฝ่ายกำลังจะอ้าปาก คเชนทร์จึงรีบว่าต่อก่อนจะโดนขัดคอจนเสียกระบวน “อีกอย่าง ผมคิดว่าคุณควรขอโทษเวลาเรื่องที่คุณไม่พูดกับแก เพราะต่อให้ตอนนั้นคุณจะเสียใจสักแค่ไหน แต่ในฐานะพ่อ คุณจะนึกถึงแต่ตัวเองไม่ได้ เพราะลูกคุณเองก็เสียขวัญและเสียใจ แกต้องการคุณที่สุดในตอนนั้น แต่คุณกลับเลือกหันหลังให้แก”

ต่อให้เป็นเพียงคนนอกที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางทั้งหมด แต่คเชนทร์กลับไม่เห็นด้วยที่ธามละเลยเวลา ยิ่งไม่บอก ไม่อธิบายเรื่องทั้งหมดกับแกไปตรง ๆ เด็กหกขวบไม่มีทางคิดได้เองหรอกว่าการที่พ่อไม่ยอมคุยด้วยเป็นเพราะพ่อก็กำลังเสียใจเรื่องที่แม่ตายอยู่เหมือนกัน

พ่อม่ายถอนหายใจขณะประสานนิ้วมือทั้งสิบเข้าด้วยกันแล้วสอดลงใต้คางพลางทำหน้าย่น ถึงธามจะดูหนักใจ แต่เจ้าถิ่นก็ไม่หยุดแค่นั้น

“ถ้าให้ดี ผมคิดว่าคุณกับเวลาควรพบจิตแพทย์ไม่ก็นักจิตวิทยานะ”

ข้อได้เปรียบของการเป็นเพียงคนนอกในทุก ๆ ปัญหาก็คือ หากคเชนทร์จะเสแสร้งทำหูทวนลม วางท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วปล่อยให้สองพ่อลูกใช้ชีวิตไปตามยถากรรม ก็ย่อมทำได้ แต่ถ้าสุดท้ายเวลากลายเป็นเด็กมีปัญหา เจ้าของร้านดอกไม้คงโทษตัวเองไปจนวันตายค่าที่ละทิ้งโอกาสในการแก้ปัญหาอย่างไม่ไยดี

“แต...”
“คุณฟังผมก่อน” ขณะที่คู่สนทนาอ้าปากจะแย้ง คเชนทร์ก็เลิกรักษามารยาทเพราะอยากพูดประเด็นสำคัญนี้ให้จบโดยเร็ว อดีตนางโชว์ชูฝ่ามือขึ้นปรามพลางถลึงตาใส่อีกฝ่าย “หลังพี่นวยตาย เจ๊ก็พาผมไปพบนักจิตวิทยาอยู่หลายครั้ง ตอนแรกผมไม่ยอมเพราะคิดเหมือน ๆ กับคนส่วนใหญ่ว่าคนที่ไปหาจิตแพทย์คือคนบ้า แต่พอไปจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เลย คนธรรมดา ๆ ที่มีปัญหาแก้ไม่ตกก็ไปได้ อย่างน้อยก็ได้ระบายมันออกไปบ้าง ที่เหลือก็ปล่อยให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยชี้แนะว่าเรามีปัญหาอะไร ควรแก้ไขปรับปรุงความคิดและการกระทำยังไง”

เมื่อลองเปรียบเทียบประสบการณ์ส่วนตัวกับสิ่งที่เวลาพบเจอแล้ว คเชนทร์ก็ยิ่งหวั่นใจ แม้มูลเหตุของปัญหาจะแตกต่างกัน แต่ท่าทีที่พ่อแม่แสดงออกหลังรู้ว่าลูกไม่สมชายก็ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองช่างไร้ค่าเหลือเกิน... แล้วเวลาล่ะ ตอนนี้หัวใจดวงน้อย ๆ ของแกยังแข็งแรงดีอยู่ไหม?

ธามยังคงนั่งเท้าคางพลางนิ่งฟัง แต่เจ้าของร้านดอกไม้กลับไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เพราะหัวคิ้วเข้มบนใบหน้าไม่รับแขกที่ขดขมวดจนแทบจะพันกันบอกให้รู้ว่า อีกฝ่ายไม่ได้เฉยชากับสิ่งที่เขาพูด

“ตอนอยู่กับผม เวลาไม่ใช่เด็กซับซ้อน ถ้าแกชอบหรือมีความสุขกับอะไร แกจะยิ้มและอยู่กับมันได้ทั้งวัน ถ้าแกหิว ง่วง หรือไม่สบายตัว ไม่สบายใจ แกจะบอก ส่วนเวลาที่แกไม่พอใจ แกจะชักสีหน้าและไม่ยอมพูดด้วย แต่ถ้าคุยกันด้วยเหตุผล อธิบายว่าทำไมผมต้องขัดใจแก แกจะรับฟังซึ่งถ้าสิ่งที่แกทำไม่ถูกต้อง แกจะแก้ไข ไม่เกเร” หนุ่มผมยาวกระแอมเบา ๆ พลางจ้องมองคู่สนทนาอย่างแน่วแน่ “ตอนที่คุณอยู่กับเวลาตามลำพัง แกเป็นแบบนี้เหมือนกันไหม”

“...ไม่...”

ที่ตอบว่าไม่นั้น แท้จริงแล้วคือธามไม่แน่ใจ เพราะในช่วงที่เล็กยังอยู่ แม้เขาจะได้คลุกคลีกับบุตรชายอยู่บ้าง แต่พอคล้อยหลังการตายของภรรยาไปเพียงปีกว่า ๆ พ่อม่ายกลับรู้สึกว่าภายใต้ความเงียบที่กั้นพวกเขาออกจากกัน เวลาเองก็เปลี่ยนไปเป็นอีกคน

แต่สำหรับคนฟังแล้วไซร้ หนุ่มผมยาวกลับตีความคำตอบเมื่อครู่อย่างตรงตัว หนำซ้ำยังอาศัยประสบการณ์ที่เห็นตำตาหลายต่อหลายครั้งมาเป็นเหตุผลสนับสนุน จึงไม่แปลกหากอดีตนางโชว์จะยิ่งหว่านล้อมพ่อม่ายให้รีบแก้ปัญหานี้อย่างตรงจุด

“ถึงมันจะเข้าใจได้ว่าพอคุณไม่คุยกับเวลา แกก็น่าจะโกรธจนไม่คุยกับคุณบ้าง แต่ถ้าแกไม่ยอมพูดสิ่งที่แกคิดออกมา คุณก็ไม่มีทางรู้เลยว่าจริง ๆ แล้วแกคิด หรือรู้สึกยังไง ผมถึงบอกไงว่าพวกคุณสองพ่อลูกควรไปพบนักจิตวิทยาดูเพราะเขาน่าจะรู้วิธีทำให้แกยอมเล่าเรื่องของตัวเอง”

ธามถอนหายใจพลางกวาดตามองใบหน้าหมดจดของคนเจ้ากี้เจ้าการอยู่หนึ่งรอบ ซึ่งในระหว่างที่เพ่งมองไฝสีแดงเม็ดเล็ก ๆ ตรงใต้จอนหูข้างขวาอยู่นั้น เจ้าตัวก็เอ่ยเสียงเรียบ “อืม ขอผมคิดดูก่อนได้ไหม”

ฟังแล้วเจ้าถิ่นก็ได้แต่ถอนหายใจ แต่เพราะจนถึงตอนนี้ ธามไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้าน กำลังใจของที่ปรึกษาจึงยังเต็มเปี่ยม “ถ้างั้นระหว่างนี้ คุณก็ต้องทำให้แกเชื่อให้ได้ว่าคุณจะไม่ละเลยแกอีก คุณต้องทำให้แกรู้ว่าคุณจะอยู่กับแกเสมอ ไม่หายไปไหน”

“มันต้องขนาดนั้นเลยเหรอ” พ่อม่ายเลิกคิ้ว ทำหน้าเหลอหลา

“ผมคิดว่าที่แกกลัวแมวหายจนต้องมาคอยเฝ้า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแกน่าจะยังติดใจว่าแม่หายไปหลังเข้าโรงพยาบาล” ใจจริงเจ้าของร้านดอกไม้อยากพูดจาตอกหน้าเพื่อเตือนสติอีกฝ่ายแรง ๆ ดูสักที แต่เพราะคาดเดาอารมณ์ของธามไม่ได้ จึงได้แต่ยกเหตุผลที่ตนเห็นกับตามาบอกเล่าเท่านั้น “แกรักแมวมาก และแกจะไม่ยอมให้มันหายไปไหนโดยที่แกไม่รู้อะไรเลย”

“อืม” ความพยายามของคเชนทร์เริ่มเป็นผล เพราะที่สุดแล้ว เจ้าของร้านขนมปังก็เริ่มคล้อยตามแม้ลึก ๆ เจ้าตัวจะยังชั่งใจเรื่องไปพบนักจิตวิทยาอยู่บ้างก็ตาม

“ต่อไปถ้ามีเรื่องสำคัญที่เกี่ยวพันกับทุกคนในครอบครัว คุณก็ต้องบอกเรื่องที่เวลาควรรู้ให้แกฟังด้วย ถึงแกจะช่วยคุณไม่ได้มาก แต่แกจะไม่รู้สึกว่าโดนทิ้งขว้าง แล้วก็...” คนพูดเม้มปากพลางนิ่งนึกครู่หนึ่ง “...คุณต้องทำให้แกรู้ว่า ที่จริงคุณก็รักแกมาก ทำแบบที่มันจับต้องได้ ทำให้เห็นเป็นรูปธรรม ทำได้ไหมคุณ”

“...อืม...”

จนถึงตอนนี้ ธามยังคงครุ่นคิดอย่างเยือกเย็น ในขณะที่คเชนทร์ร้อนใจจนอดทนรอไม่ไหวแล้ว

“และถ้าสุดท้ายคุณตัดสินใจเล่าเรื่องแม่ให้แกฟัง ผมว่าคุณน่าจะบอกเหตุผลจริง ๆ ที่คุณไม่ยอมให้แกเลี้ยงแมวด้วยนะ” เห็นธามถอนหายใจ เจ้าบ้านจึงรีบเสริมความ “ถึงจะบอกทีหลัง แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้แกเข้าใจพ่อตัวเองผิดไปตลอดชีวิตไม่ใช่เหรอ”

“...อืม... แล้วจะลองคิดดู”

“คุณต้องอดทนให้มากนะ ต่อให้เวลาจะไม่ยอมพูดกับคุณ แต่คุณต้องไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ รู้ไหม” ยิ่งคนสร้างเรื่องก้มหน้ายอมรับฟังทุก ๆ ข้อเสนออย่างสงบ คเชนทร์ก็ยิ่งกระตือรือร้น... ถ้าตาทึ่มนี่ว่าง่ายมาตั้งแต่แรก ป่านนี้เวลาก็เลิกอมทุกข์ไปนานแล้ว

“อืม”

“แต่ถ้าแกทำผิด มันก็อีกเรื่องนึงนะ คุณต้องแยกแยะแล้วสอนแกด้วย เข้าใจหรือเปล่า”

“อือ รู้แล้ว” พ่อม่ายลูกหนึ่งรับคำแกน ๆ ก่อนจะเอนหลังพิงพนักแล้วนิ่งไปชั่วอึดใจ “แล้วคุณว่าผมควรทำยังไงให้เวลารู้ว่าผม... เอ่อ... รักเขาดีล่ะ”

โชคไม่ดีที่ธามเป็นคนผิวขาว ใบหูทั้งสองข้างที่อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อจึงดึงดูดความสนใจจากคู่สนทนาได้ดีทั้งที่เจ้าของไม่ทันรู้ตัว หนุ่มผมยาวแอบขำในใจกับท่าทางประหม่าแต่ยังรักษาหน้าของคนปากหนัก “เวลาชอบอะไรคุณก็ทำแบบนั้นสิ ใช้เวลากับแกมาก ๆ สนใจแก กอดหอมแก จริง ๆ ก็มีอะไรเยอะแยะไปที่คุณทำได้”

“...อืม...” เจ้าของร้านขนมปังหรี่ตาพลางทำหน้ายุ่ง ที่แล้วมาเล็กจะคอยกระซิบบอกว่าเขาควรทำอะไรให้ลูกเป็นพิเศษ อย่างเช่นตอนวันเกิดของเวลาเมื่อสองปีก่อน เจ้าตัวนอนคุยกับเขาว่าจะวางแผนเซอร์ไพรส์ลูกยังไงดีอยู่ตั้งหลายอาทิตย์...

วันเกิดเวลางั้นเหรอ?

“คุณ...” ที่สุดธามก็มีความหวัง ชายหนุ่มยกมุมปากน้อย ๆ ขณะโน้มตัวเข้าไปหาคู่สนทนา “...เสาร์หน้าวันเกิดของเวลากับปลาวาฬ”

คเชนทร์อดตกใจไม่ได้ที่อยู่ ๆ อีกฝ่ายก็โพล่งหัวข้อที่ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับบทสนทนาข้างต้นขึ้นลุ่น ๆ แต่พอสมองประมวลผลเสร็จสรรพ เจ้าของร้านดอกไม้ก็พลอยตื่นเต้นตามไปด้วย “เหรอ ถ้างั้นเรามาทำอะไรให้พวกเด็ก ๆ กันดีไหมล่ะ”

“อืม เอาสิ” พ่อม่ายพยักหน้าพลางอมยิ้มอย่างมาดหมาย สายตาเป็นประกายผิดกับเมื่อแรกคุยกันทำให้หนุ่มผมยาวเริ่มสบายใจจนเผลอตัวคุยเล่นอย่างเป็นกันเอง

“คิดออกแล้วสิว่าจะทำอะไรให้แก”

“หึ!” สีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องของคุณพ่อลูกหนึ่งช่างน่าหมั่นไส้เสียจนคนมองอดใจไม่ไหว

“แต่คุณอย่าลืมว่าหลังจากนั้นคุณต้องพาเวลาไปหานักจิตวิทยานะ” ไม่ได้ ขืนไม่คอยย้ำเรื่องสำคัญ ธามอาจจะแสร้งเฉไฉทำลืมในที่สุด อาคันตุกะถอนหายใจพรูแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินผ่านหน้าเจ้าบ้านไปยังบันได เห็นแบบนั้นคเชนทร์เลยรีบผุดลุกขึ้นอย่างฉับไวพร้อม ๆ กับก้าวเท้าพุ่งตัวไปดักหน้า

“เดี๋ยวคุณ... ว้าย!” คงเพราะรีบเกินไป สุดท้ายหนุ่มผมยาวจึงเซถลาไปอีกทางก่อนจะล้มลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น

ฝ่ายธามที่เพิ่งก้าวเท้าขึ้นบันไดขั้นแรกก็ถูกเสียงร้องอย่างตกใจรั้งตัวไว้จนชะงักอยู่กับที่ จนเมื่อเหลียวกลับมาแล้วเห็นคเชนทร์ลุกเอง ล้มเองแบบม้วนเดียวจบ เจ้าตัวจึงหลุดปากแซวแล้วหัวเราะลั่น “สะดุดขนแมวเหรอคุณ ร้องเสียงดังเชียว”

“ประสาท!” แม้จะเขินกับเหตุการณ์เปิ่น ๆ เมื่อครู่ แต่เสียงหัวเราะของธามที่เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ไหนจะภาพแมวสองตัวที่เคยนอนกองทับกันสะดุ้งโหยงก่อนจะกระโดดแผล็วหายเข้าซอกตู้ไปตัวละทิศก็น่าขันไม่เบา หนุ่มผมยาวจึงนั่งกุมท้องผสมโรงหัวเราะตามไปอีกคน

“...มาคุณ...” สิ้นเสียงที่ดังอยู่ใกล้ ๆ คเชนทร์ก็เห็นฝ่ามือของอีกฝ่ายยื่นมาตรงหน้า

“อืม”  คราวนี้กลับเป็นเจ้าของร้านดอกไม้เสียเองที่สงวนถ้อยคำไม่ยอมพูดจา กระนั้นคเชนทร์กลับไม่ได้ปฏิเสธไมตรีที่พ่อของเวลาหยิบยื่นให้ ทว่าเมื่อหยัดยืนได้เต็มความสูง หนุ่มผมยาวก็ก้มหน้าก้มตาเดินตามหลังอีกฝ่ายขึ้นไปอุ้มเด็กชาย อีกทั้งยังเดินลงมาส่งทั้งคู่ที่หน้าประตูอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยไม่เหลือเค้าที่ปรึกษาจอมเข้มงวดเลยสักนิด

••••••


Sometimes, Harry noticed, the hat shouted out the house at once, but at others it took a little while to decide. “Finnigan, Seamus,” the sandy-haired boy next to Harry in the line, sat on the stool for almost a whole minute before the hat declared him a Gryffindor.

Granger, Hermione!” เพราะสีหน้าตื่นเต้นของเจ้าวาฬน้อยแท้ ๆ ที่ทำผมหลุดยิ้ม การที่แกจะดีดก็ไม่แปลก ขนาดผมที่เด๋อสุดพลัง เพิ่งได้เริ่มตามอ่านแฮร์รี่ พ็อตเตอร์เอาตอนหลังหนังภาคแรกเข้าโรงไปแล้ว ผมยังลืมตัวเผลอจิกเท้า แอบลุ้นบ้านให้ตัวละครหนักไม่แพ้ใคร “Hermione almost ran to the stool and jammed the hat eagerly on her head.

ผมจงใจเว้นช่วงไปพักนึงจนเจ้าตัวเล็กแหงนหน้าขึ้นจ้องผมตาเป๋ง “GRYFFINDOR!” shouted the hat. Ron groaned.

“เย่!” ปลาวาฬหวีดอย่างดีใจพลางตบมือพร้อมกระดิกเท้าไปมาจนผ้าห่มร่น ตัวผมที่นั่งพิงหัวนอนอยู่จึงทำได้เพียงลูบผมแกซ้ำไปซ้ำมา นี่ถ้าผมนอนอ่านนิทานให้ปลาวาฬฟัง ป่านนี้แก้มกลม ๆ นั่นคงช้ำหลังโดนผมฟัดอย่างมันเขี้ยวไปหลายทีแล้ว

“นอนได้แล้วลูก ดึกแล้วครับ” พี่หนาวที่นั่งพิงหัวเตียงประกบเจ้าตัวเล็กอยู่อีกฟากท้วงขึ้นเบา ๆ

หลังจากอาบน้ำเสร็จ คุณพ่อรูปหล่อก็ชวนผมกับเจ้าตัวเล็กเข้าห้องมานอนคุย นอนเล่นกันอยู่นาน ผมเดาว่านอกจากจะคิดถึงลูกสาวสุดพลัง ลุงแกคงอยากจะชดเชยเรื่องที่ไม่ได้พาแกไปหัวหินด้วย แต่นี่ก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว ถ้าปลาวาฬยังถ่างตาไม่ยอมนอน และถ้าพรุ่งนี้ท่าน HR Director ไม่ยอมอ่อนข้อเลื่อนเวลาตื่นให้ลูกสาวสักหน่อย ผมน่าจะได้เห็นเจ้าหญิงเอลซ่าพ่นไอหิมะสังหารใส่พี่หนาวเป็นบุญตาเด็ด ๆ  

“ขออีกนิดนะคะ ปลาวาฬอยากรู้ว่าแฮร์รี่ได้อยู่บ้านไหน” ปลาวาฬเขย่าแขนพี่หนาวเบา ๆ พลางมองอ้อน เห็นแบบนั้นผมเลยรีบกวาดตามองหน้าหนังสือในมือคร่าว ๆ แล้วกะเวลาที่น่าจะอ่านจบในใจ ก่อนจะยื่นข้อเสนอที่สองพ่อลูกน่าจะแฮปปี้กันทั้งคู่

“ถ้ารู้บ้านแฮร์รี่แล้ว อาทูจะปิดหนังสือแล้วหยุดอ่านเลยนะครับ ไว้พรุ่งนี้เราค่อยมาลุ้นกันต่อ โอเคไหม” ถึงจะถวายตัวเป็นทาสผู้จงรักภักดีต่อแม่หญิงปลาวาฬ แต่พี่หมื่นหนาวกล้ามแน่นผู้พ่อ เมียบ่าวอย่างผมก็ต้องหมั่นประจบเอาใจ

“โอเคค่า” เจ้าวาฬน้อยคลี่ยิ้มหวานจ๋อยจนผมใจสั่น แต่นั่นมันยังน้อยถ้าหากเทียบกับข้อเสนอของคนเป็นพ่อที่ดังขึ้นติด ๆ  

“งั้นเดี๋ยวพี่ช่วยเล่า”

“เอ่อ ครับ” สาบานเลยว่าถ้าพี่หนาวไม่ทำตาเจ้าชู้ใส่ ผมคงไม่เขินเบอร์แรงจนต้องรีบเอี้ยวตัวตะแคงแล้วยื่นหนังสือข้ามพุงกะทิของเจ้าตัวเล็กเพื่อแบ่งให้คุณพ่อรูปหล่อได้อ่านไปด้วยกันอย่างออกนอกหน้า... หมดกันภาพลักษณ์คูล ๆ ของน้องทูคนเข้ม

“ฮึบ! นอนได้ไหมลูก”

“คุณพ่อกระเถิบเข้ามาอีกสิคะ”

แค่เมื่อครู่ผมขยับตัวนิดหน่อยเท่านั้นแหละ สองพ่อลูกก็ตั้งกระบวนท่ากันยกใหญ่ ลุงไซด์ไลน์กระเถิบเข้ามากึ่งนอนกึ่งนั่งชิดสีข้างลูกสาวจนท้ายที่สุดพวกเราสามคนก็เบียดกันแนบแน่นยิ่งกว่าปลาทูในเข่ง แต่จะว่าไปมันก็ไม่ได้ลำบากหรือทุลักทุเลอะไร กลับจะยิ่งสนุกสนานสมใจเจ้าตัวเล็กเสียด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นปลาวาฬคงไม่หัวเราะคิกคักทั้ง ๆ ที่หลังจากนั้น หมวกคัดสรรส่งน้องหน้าหยกมัลฟอยไปบ้านสุดยอดตัวร้ายหรอก

Potter, Harry! As Harry stepped forward, whispers suddenly broke out like little hissing fires all over the hall.”

Potter, did she say?”

The Harry Potter?”

ถึงจะไม่ได้นัดแนะกันมาล่วงหน้า แต่ผมกับพี่หนาวก็สลับกันอ่านเนื้อหาในหนังสือได้อย่างราบรื่น หนำซ้ำอีกฝ่ายยังทำเสียงเล็กเสียงน้อยได้คล่องปร๋อจนผมยิ่งติ่งลุงแกจนโงหัวแทบไม่ขึ้น บุญบาป... ช่างสมกับเป็นพ่อของลูกผมที่แท้ทรู!

Hmm,” said a small voice in his ear.” อ่านอยู่ดี ๆ หัวไหล่ผมก็รู้สึกหนักเหมือนโดนกด พอหันไปมองเท่านั้นแหละ ผมก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาของพ่อของลูกประกบอยู่ประชิดติดแก้มตัวเอง

โอ๊ย ลำบากใจ คนเราจะหลวย จะแซ่บเบอร์ไหนกันผู้ชายถึงได้เอนตัวซบไหล่ทำตัวไร้กระดูกอ่านหนังสือให้ลูกสาวฟัง
บุญบาป เมื่อไรจะอ่านจบหน้า กลิ่นพี่หนาวเย้ายวน ยั่วเยเหลือเกิน... ฮือ ละลายแล้วจ้ะแม่จ๋า ใจน้อง

Difficult. Very difficult. Plenty of courage, I see... แค่โดนลุงออกอาวุธใส่ได้ไม่ถึงนาที สมองผมก็รันโปรแกรมเจื้อยแจ้วอ่านหนังสือให้ปลาวาฬฟังแบบอัตโนมัติไปจนจบ ซึ่งคงไม่แปลกหากหลังจากนั้นผมจะไม่ได้ร่วมหวีดพร้อมปลาวาฬเมื่อรู้ว่าพ่อมดน้อยผู้รอดชีวิตได้อยู่บ้านกริฟฟินดอร์ หนำซ้ำยังปล่อยให้คุณพ่อรูปหล่อจูงมือพากลับมานอนด้วยกันอย่างงง ๆ กระทั่งทิ้งตัวลงนอนอย่างสงบเสงี่ยมในอ้อมกอดของลุงแก ผมยังไม่มีปากเสียง...

ต่อจากนี้ไป ผมจะจดจำให้ขึ้นใจเลยว่า ไอ้โมเมนต์เรียบง่ายแต่ดาเมจร้ายกาจนั้นมีอยู่จริง แถมยังน่ากลัวยิ่งกว่าตอนที่ถูกลุงแกกอดและหอมแก้มรัว ๆ เสียอีก ซึ่งถ้าผมอยากจะรวมร่างกับคุณพ่อรูปหล่อ ผมจะต้องหาทางรับมือกับอาการหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำจนสมงสมองถูกทำลายให้ได้ในเร็ววันเสียแล้วล่ะ

••• TBC ••


สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะทุก ๆ คน
ขอให้ปี 2019 (และปีต่อ ๆ ไป) เป็นช่วงเวลาที่ดีของทุกคน ไม่จน ไม่เจ็บกันถ้วนหน้าเด้อ
วันนี้เราวุ่น ๆ เลยขอยกยอดไปตอบความเห็นทุกคนรวดเดียวตอนหน้าเลยน้า

ถ้าใครมีเวลาและอยากร่วมสนุก อย่าลืมเข้าไปในเพจเพื่อลุ้นถุงโชคดีได้นะคะ
หมดเขตร่วมสนุกคืนนี้แล้วเน่อ ^^