ก่อนอื่นเราขอย้ำว่า มาม่าหมดชามไปตั้งแต่ตอนที่แล้วๆนะคะ...
ตอนนี้เป็นตอนขยายความของสองตอนก่อนหน้า
ถ้าลองกลับไปอ่านใหม่...
มันควรจะเริ่มอ่านจากเลขตอนที่ 1 เป็นต้นไปนี่แหละค่ะ
(เลขตอนที่ตามด้วย A จะเป็นเรื่องราวฝั่งกังฟู
ซึ่งนั่นหมายความว่า
เลขตอนที่ตามด้วย B
จะเป็นเรื่องราวฝั่งเต๋อด้วง
ไม่ก็สมุนเลวและเจ้าพ่อไปโดยปริยายค่ะ
ในขณะที่เลขหลังจุดทศนิยม
คือ ผลพวงที่ต่อเนื่องมาจากตอนหลักก่อนหน้าค่ะ – ไม่งงใช่ไหมเอ่ย?)
ขอโทษล่วงหน้าที่ความยาวของตอนนี้ก็ไม่ได้ดีขึ้นจากตอนก่อนหน้าเลย
แถมตอนนี้ยังมาลงโดยไม่ได้แก้ไขและตรวจทานก่อน
(พอดีเราย้ายที่อยู่กะทันหัน
เราเลยไม่มีเวลาแก้ไขแถมเข้าเน็ตนานไม่ได้อีกต่างหาก – ตอนนี้ต้องใช้เน็ตมือถือแทนโมเด็มไปพลางๆจนกว่าจะเข้าเน็ตแบบถาวรได้
เพราะฉะนั้น ขออภัยให้กับความไม่พร้อมของเราเอาไว้ล่วงหน้าอีกครั้งนะคะ)
ขอบคุณสำหรับกำลังใจและความรักที่มีให้กันอย่างสม่ำเสมอค่ะ
Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ
The 33rd
Blessing
เรื่องเล่าจากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดเลี้ยว?!! (ชื่อตอนไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องเลย...ให้แนนตายสิเอ้า!)
[1]
(ย้อนความไปยังช่วงหัวค่ำหลังจากวันเปิดเทอมหนึ่งวัน)
“พวกเจ้าเลิกทำหน้าทำตาพิลึกพิลั่นกันเสียทีเถอะ...
.
...เจ้าสกล
ข้าขอเตือนก่อนว่าข้าอ่านใจของพวกเจ้าทุกคนได้นะ...
...เพราะฉะนั้น
ก่อนเจ้าจะคิดอ่านการใดก็ขอให้เห็นแก่บารมีและความศักดิ์สิทธิ์ของข้าบ้าง”
หนุ่มหน้าแว่นสะดุ้งโหยงก่อนจะยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรงเหมือนเด็กโดนครูจับได้ว่าแอบกินขนมในห้องเรียน
เป็นเหตุให้สมุนเลวลอบมองหน้ากันไปมาด้วยไม่กล้าคิด
หรือเอ่ยวาจาใดภายหลังการเชือดไก่ให้ลิงดูไปเมื่อครู่...
ก็ใครกันจะไม่อยากรู้ล่ะว่า...
ฉากนัวเนียเคลียคลอที่เจ้าพ่อทั้งสองแสดงนำแบบตำตาพวกเขาเมื่อวานนั้นมีที่มาอย่างไร?!
แล้วเจ้าพ่อไทรทองแอบไปทำอีท่าไหน
ถึงสามารถเอาชนะใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำมหาวิทยาลัยผู้ไว้องค์ได้?
จนเมื่อเจ้าพ่อห่อไหล่พอใจกับอาการสำรวมความคิดของหนุ่มๆทั้งห้าแล้วนั่นแหละ
บุตรแห่งเทพจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นจริงเป็นจังต่อทันที
“เอาล่ะ...
ว่าปัญหาด่วนของพวกเจ้ามาสิ”
“ผมเดาว่าเจ้าพ่อน่าจะทราบแล้วใช่ไหมครับว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น?”
โฮลี่ฮิปสเตอร์เหลือบไปจิกตามองเจ้าพ่อไทรทองที่ลอยเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ห่างจากกายละเอียดของตนไปหลายคืบก่อนจะพยักหน้า
ฝ่ายอดีตเดือนมหาลัยผู้เดือดเนื้อร้อนใจไม่มีใครเกินก็รีบเกริ่นนำเช้าสู่รายละเอียดอันเป็นหัวใจสำคัญของการประชุมของเหล่าสมุนเลวในวันนี้
“ถ้างั้น
ผมขออัพเดทอาการล่าสุดของเฮียฟูให้ทุกคนได้รู้พร้อมกันเลยแล้วกันนะครับ” ธันวากระแอมเบาๆ
แล้วจึงเริ่มสาธยายสภาวะของพี่ชายร่วมสายเลือดหลังผิดใจกับเพื่อนสนิทและว่าที่คนรักเมื่อตอนสายวันวาน
“นอกจากเฮียจะเงียบเป็นเป่าสาก
ข้าวปลาไม่อยากจะแตะ เฮียผมก็ยังแอบนอนร้องไห้จนเผลอหลับไปครับ...
.
.
...ดูๆแล้ว
ผมเข้าใจว่าถ้าไม่ได้คิดถึงพี่ด้วงมากๆ เฮียก็คงเพิ่งจะสำนึกถึงความผิดของตัวเองได้...
...เพราะตามปกติ
ถ้าเฮียไม่กลัวผีจริงๆ...เฮียไม่มีทางแอบลงมานอนที่นอนของพี่ด้วงข้างล่างเหมือนเมื่อคืนหรอกครับ”
เก็กถอนหายใจเมื่อย้อนนึกถึงอาการเศร้าซึมของพี่ชายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา
ขนาดแค่มองดูจากภายนอก...เขาและบ๊วยยังสัมผัสได้ถึงมวลความรู้สึกโศกาอาดูร
แผ่ออกมาจากร่างเล็กอยู่ตลอดเวลา
แล้วถ้าสิ่งที่อริยะตรัยผู้พี่เก็บงำซ่อนเร้นเอาไว้ภายในจิตใจล่ะ...จะหนักหนาแสนสาหัสมากขนาดไหนกัน?!
“ส่วนพี่เต๋อ”
แฝดพี่รับช่วงรายงานผลการสังเกตการณ์ของฝั่งตนเมื่อหนุ่มรูปงามตกอยู่ในห้วงของความคิด “ตั้งแต่เมื่อเย็นวานจนเย็นนี้
ผมก็ยังไม่แกออกอาการลุกลี้ลุกลนหรือกระวนกระวายเท่าไรนะครับ...
.
.
...พอแกนิ่ง
พี่ด้วงก็เลยพลอยดูนิ่งตามไปอีกคน...
...ผมเดาว่าทางฝั่งผม
พวกพี่ๆน่าจะคุยกันมาดีแล้วล่ะครับ
ไม่อย่างนั้นไม่ทีทางที่ทั้งคู่จะทำเหมือนเฮียฟูไม่มีตัวตนบนโลกได้แนบเนียนแบบนี้หรอกครับ”
ฌานสรุปจากสิ่งที่เห็นตลอดช่วงเวลาที่ทั้งสามหนุ่มย้ายนิวาสถานไปสิงสู่ ณ ห้องของเต๋อเป็นการชั่วคราวนับตั้งแต่เหตุการณ์เจ้าพ่อเบี้ยวประชุมเมื่อวานตอนเย็น
“เจ้าพ่อไทรทองบอกกับข้าแล้วว่าในช่วงสองสามวันนี้
สถานการณ์ระหว่างเจ้ากังฟูกับเนื้อคู่ยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร..
.
.
...เพราะฉะนั้น
พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลจนเกินไป...
...อีกอย่าง....หลังจากนี้
ข้ากับเจ้าพ่อไทรทองพร้อมจะอยู่ให้ความช่วยเหลือแก่พวกเจ้าตลอดเวลา” ถ้อยคำรับรองอันหนักแน่นกับสีหน้าท่าทางขึงขังขององค์เทพสายบุ๋นสะกิดใจคนฟังอย่างสกลได้อย่างชะงัดนัก
อาตี๋หน้าแว่นจึงเอ่ยทักโฮลี่ฮิปสเตอร์ออกมาโดยไม่ทันยั้งคิด
“เจ้าพ่อไม่ต้องพักฟื้น...เอ้ย! พักร้อนแล้วเหรอครับ?/ สกล!” หนุ่มสถาปัตย์หัวไข่ยังคงรักษาคุณสมบัติปากไวไร้หูรูดซึ่งเป็นอันตรายต่อตัวเองเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
จนทั้งบ๊วยและฌานต้องประสานเสียงกันห้ามปรามเพื่อนสนิทที่อาจจะโดนเจ้าพ่อประจำมหาลัยปลิดชีพด้วยโทษฐานรุกรานความเป็นส่วนตัวของเจ้าพ่อทั้งสองอย่างลำพองใจ
“ถึงบุตรแห่งเทพอย่างข้าควรจะอุทิศตนให้กับการบำเพ็ญบุญสร้างเสริมความดี...
.
.
...แต่พวกข้าก็มีโควต้าสาปแช่งเผื่อเอาไว้จัดการลูกมนุษย์สามหาวอย่างเจ้าด้วยเหมือนกันนะเจ้าแว่น!” โฮลี่ฮิปสเตอร์เปรยนิ่มๆพลางส่งสายตาน่าเกรงขามมองตรงมายังใบหน้าของหนุ่มสถาปัตย์ปากดี
ฝ่ายสกลซึ่งกำลังจะยกเรื่องที่องค์เทพทั้งสองหายหน้าไปราวอาทิตย์กว่าๆขึ้นมาโต้คารมกับเจ้าพ่อห่อไหล่
ก็กลับโดนเทวบุตรสุดฮิปชิงเอ่ยดักคอเอาไว้อีกคำรบเสียก่อน
“เจ้าไม่ได้พูดจาส่อเสียดออกมาก็จริง
แต่ความคิดของเจ้าน่ะ...มัน... มัน...เหลือเกินเสียจริงๆ!” น้ำเสียงอ้ำอึ้งขึ้งโกรธของเจ้าพ่อห่อไหล่ไม่ได้ทำให้เหล่าสมุนเลวต่างจ้ององค์เทพกันตาค้าง
วงพักตร์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แดงแจ๋ยิ่งกว่าลูกตำลึงสุกต่างหากล่ะ ที่หาดูไม่ได้ง่ายๆ
กระนั้น...
กลับไม่ใช่โฮลี่ฮิปสเตอร์ที่ทุรนทุรายจนทนไม่ได้เพราะคำพูดจาบจ้วงของสกลเมื่อครู่
บอกเลยว่า
การที่ต้องทนดูบุตรแห่งเทพยอดดวงใจถูกมนุษย์ปากร้ายท้าทายอำนาจโดยที่ไม่อาจยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้นั้น
ทรมานหัวใจดวงน้อยๆของเจ้าพ่อไทรทองได้อย่างไม่น่าเชื่อ...
เป็นเพราะความผิดพลาดที่ตนก่อไว้ด้วยความเริงใจชั่ววูบตั้งแต่เมื่อวานแท้ๆเชียว
เจ้าพ่อห่อไหล่จึงไม่ยอมให้เจ้าพ่อสายบู๊เข้าใกล้จนกว่าจะสำนึกความผิดได้...
ซึ่งไม่ต้องอาศัยญาณทิพย์หรือการหยั่งอนาคต...ใครๆก็หลับตาบอกได้ว่า เจ้าพ่อไทรทองคงจะโดนลงโทษไปอีกนาน
“ช่างแว่นก่อนเถอะครับเจ้าพ่อห่อไหล่...
.
...คือ
ผมมีข้อสงสัยครับ” ฌานเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาทันควันด้วยเพิ่งคิดวิธีแก้ปัญหาใหม่ล่าสุดได้อย่างสดๆร้อนๆ
“เจ้าสงสัยอะไรรึ?”
“เท่าที่สังเกตอาการของเฮียฟูพักหลังๆมานี่...
ผมว่าเฮียฟูน่าจะรับความสัมพันธ์ของไอ้เก็กกับบ๊วยได้แล้ว...
.
...ถ้าอย่างนั้น...
...ถ้าพวกเรากล่อมเฮียฟูให้ไปยกเลิกพรของเจ้าพ่อไทรด้วยตัวเอง เรื่องทั้งหมดมันจะง่ายขึ้นหรือเปล่าครับ?”
วูบเดียวที่ดวงตาของเหล่าสมุนเลวกว่าครึ่งทอแสงเป็นประกายด้วยความหวัง แต่ยังไม่ทันที่ใครหน้าไหนจะได้พูดจาให้ความเห็นเชิงสนับสนุน...
น้องชายแท้ๆของกังฟูกลับออกโรงต่อต้านเป็นคนแรกเสียอย่างนั้น
“อย่าทำแบบนั้นเลยครับพี่ฌาน
ผมขอร้อง” เก็กทัดทาน...
ใช่ว่าที่ผ่านมาอดีตเดือนมหาลัยจะไม่เคยใคร่ครวญถึงวิธีนี้เสียที่ไหน...
โดยเฉพาะช่วงแรกๆ
ที่เขามักจะเอาแต่คิดวนเวียนอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกเลยก็ว่าได้
แต่พอยิ่งได้คบหาได้รู้จักนิสัยใจคอของแฟนตัวน้อยมากขึ้นเท่าไร
เขากลับทนไม่ได้หากต้องเดินเข้าไปสารภาพกับพี่ชายว่า
ที่ผ่านมา... บ๊วยกับเขาไม่ได้คบหากันจริงๆ แค่คิดว่าก่อนนอนจะไม่ได้กอด
ตื่นมาจะไม่ได้เจอหน้า...เขาก็แทบจะบ้าตาย
“อ้าว! ทำไมล่ะเก็ก?...
นี่พี่ฌานกำลังหาทางแก้ปัญหาแบบขุดรากถอนโคนให้เก็กอยู่เลยนะ” ไม่ใช่แค่ฌานคนเดียวที่สงสัยกับท่าทีคัดค้านของหนุ่มวิศวะ...
เพราะขณะนี้สายตาทุกคู่ของทั้งมนุษย์และเทพต่างเบี่ยงไปกดดันหนุ่มหล่อดีกรีเดือนมหาลัยเป็นตาเดียว
“ลองคิดดูนะครับ
สมมติว่าถ้าพวกเรายุเฮียให้ไปล้างพรกับเจ้าพ่อไทรทองจริงๆ...
...ผมแน่ใจว่าต้องเกิดผลเสียมากกว่าผลดีแน่ๆครับ...
.
...พวกเรายึดตามแผนการเดิมเถอะนะครับ
ผมขอล่ะ...ถือว่าเห็นแก่ผมเถอะ” เก็กพยายามโน้มน้าวด้วยยังไม่อาจวางใจกับผลลัพธ์ตามข้อเสนอของฌาน...
ใครล่ะจะกล้าการันตีว่า
หากอริยะตรัยผู้พี่รู้ความจริงทั้งหมดแล้วจะไม่คิดเปลี่ยนใจในภายหลัง...
ก็รู้ๆกันอยู่
สำหรับกังฟูนั้น... ความผิดโทษฐานตลบแตลงปลิ้นปล้อนน่ะใช่เรื่องขี้ปะติ๋วจิ๋วจ้อยเสียที่ไหน
สมมติว่าชาตินี้
พรของเจ้าพ่อไทรทองไม่ถูกลบล้าง ความหวังที่จะได้ครองคู่กับชายกลางของเขาจะไม่พังทลายกันพอดีหรือ?!!
“นี่คุณธันวาไม่อยากครองรักกับเพื่อนบูบู้แล้วหรือครับ?!” สกลขึ้นเสียงพลางทำท่าห้าวเป้งเบ่งอกฟีบๆใส่อดีตเดือนมหาลัยอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“หรือเพื่อนผมง่าย... เลยคิดจะหลอกฟันเแล้วเฉดหัวส่งว่างั้น?!!!” หนุ่มหน้าแว่นชี้นิ้วคาดโทษด้วยความโกรธเกรี้ยวจนปลายดัชนีเกือบจะเลี้ยวเข้าทิ่มตาอีกฝ่าย
“จะบ้าเหรอแนน! ก่อนจะพูดอะไรหัดใช้หัวคิดหน่อยสิวะเฮ่ย!!” หนุ่มรูปงามปัดมือของหนุ่มหน้าแว่นทิ้งทันควันพร้อมดันหัวเหม่งสกลจนหน้าหงาย
แล้วจึงละสายตาหันไปคุยกับผู้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของชายหนุ่มทั้งหมดโดยไม่รอรี
“ถึงผมจะดีใจที่ได้ความรู้สึกที่หายไปกลับมาจริงๆ
แล้วพี่ชายผมล่ะครับพี่ฌาน? พี่ชายของผมจะเป็นยังไง?...
.
...พอเรื่องพรของผมคลี่คลาย
ใครต่อใครคงไม่สนใจเรื่องของเฮียกับพี่เต๋ออีกต่อไปแล้วใช่ไหมล่ะครับ?” เก็กงัดเหตุผลสำรองหากแต่น่าเชื่อถือขึ้นมาใช้เหนี่ยวนำทำให้เหล่าสมุนเลวยอมคล้อยตามโดยง่ายคล้ายโดนป้ายยา
ทว่าฌานกลับยังสองจิตสองใจ
“แต่พี่ฌานว่า...อดใจรอกันอีกสักพัก
พวกเราก็น่าจะพอตะล่อมพี่เต๋อได้อยู่นา” พอแฝดพี่ขบคิด
เพื่อนสนิทร่วมคณะทั้งหมดก็เริ่มจะชั่งน้ำหนักหาเหตุผลหักล้างและสนับสนุนการตัดสินใจของทั้งสองฝั่งอย่างเอาเป็นเอาตาย
ฝ่ายเจ้าพ่อไทรทองผู้จำใจรับหน้าที่ตัวประกอบอย่างไม่มีทางเลือกมานานสองนาน
ก็ค่อยๆลอยเข้าใกล้กายละเอียดของเจ้าพ่อห่อไหล่เพื่อขอความเห็นชอบจากอีกฝ่ายอย่างพินอบพิเทา
“เบ๊บครับ...ขอบันยันพูดได้ไหมครับ?”
“เชิญ!” โฮลี่ฮิปสเตอร์เอ่ยเสียแข็ง
“ขอบคุณครับเบ๊บ”
ได้ยินดังนั้น เจ้าพ่อไทรทองจึงเขยิบเข้าสู่ใจกลางที่ประชุมพร้อมๆกับตวัดหางตาไปดุเหล่าสมุนเลวส่วนใหญ่ที่แอบกระหยิ่มยิ้มย่องโดยถ้วนทั่ว...
แม้ความสามารถฉพาะตัวของเทวบุตรสุดชิค
คือ การมองเห็นอนาคตอันใกล้ หาใช่การอ่านใจดังที่เจ้าพ่อห่อไหล่เป็น
แต่หากปล่อยเอาไว้โดยไม่ห้ามปราม
ใครเลยจะรู้ว่า...ความคิดของเจ้าลูกมนุษย์ตนไหนจะทำให้เจ้าพ่อยอดดวงใจโกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้อีกหรือเปล่า...
ลำพังคดีเก่ายังไม่ทันเคลียร์ ก็ขออย่าให้มีเรื่องใหม่ชวนให้เพลียหัวใจเพิ่มขึ้นมาอีกเลยจะดีกว่า
“ข้ามีความจริงบางอย่างที่ต้องบอกให้พวกเจ้ารู้เอาไว้”
ประโยคอารัมภบทขององค์เทพสายบุ๋นทำให้เหล่าสมุนเลวใจไม่ดี
แน่นอนว่าหากเบิกฤกษ์ด้วยคำพูดทำนองนี้...
ณ ปลายทางของความเข้าใจก็มักจะมีเรื่องน่าช็อคซีนีม่ารออยู่เสมอ
“จริงอยู่ที่ข้าเคยบอกว่า
พวกเจ้าจะต้องทำให้เจ้ากรกฏรักกับผู้ชายให้ได้...
.
...แต่การจะทำให้พรมลายหายไปจากมนุสสภูมิโดยถาวรนั้น...
...พวกเจ้าจะต้องนำพาเนื้อคู่ผู้ร่วมชะตาทั้งสองฝ่ายมาร่วมเรียงเคียงหมอนกันให้ได้”
ยังไม่ทันที่เจ้าพ่อไทรทองจะได้เจาะลึกถึงรายละเอียดอันซับซ้อนของการล้างพรให้หนุ่มๆทั้งห้าได้รับรู้อย่างครบถ้วนทุกประการดังตั้งใจ
ถ้อยคำร่ำรำพันด้วยเสียงสั่นคลอนของหนุ่มหน้าแว่นก็ดังไล่หลังวจีแห่งเทพทันที
“โห! กว่าพี่เต๋อจะได้ทำประตูคุณกรกฏ... บูบู้เพื่อนผมจะไม่หมดสมรรถภาพทางร่างกายจนมีลูกไม่ได้ไปก่อนหรือครับเจ้าพ่อ?”
สกลเอ่ยอย่างเดือดเนื้อร้อนใจคล้ายมีส่วนได้ส่วนเสียในความสัมพันธ์ของเพื่อนรักกับอดีตเดือนมหาลัยอย่างไรอย่างนั้น
“สกล!!” ...แน่นอนว่าเสียงแรกที่ดังปรามก่อนเพื่อนย่อมจะเป็นเสียงของหนุ่มร่างผอมผู้ถูกเพื่อนหน้าแว่นเผานั่งยางมันตรงนั้น
เพื่อตัดไฟชื่อสกลเสียแต่ต้นลม แฝดพี่ก็รีบล้มล้างความคิดเชิงชู้สาวให้หมดไปจากวงสนทนาทันที
“เมื่อกี๊เจ้าพ่อไทรทองท่านแค่เปรียบเปรยเฉยๆหรอกแว่น...
.
.
...จริงๆท่านน่าจะหมายความว่า
พวกเราแค่ต้องทำให้เฮียฟูกับพี่เต๋อคบหาเป็นแฟนกันให้เป็นกิจลักษณะเท่านั้น...
...ผมพูดถูกใช่ไหมครับเจ้าพ่อ?”
“หึ!” คำพูดปิดประเด็นของฌานไม่ได้ทำให้สกลเจ็บแปลบได้มากเท่ากับเสียงหัวเราะในลำคอกับรอยยิ้มแสยะอย่างเป็นต่อของฝาแฝดผู้น้องที่จ้องจะซ้ำเติมสกลอยู่ตลอดเวลา
“ที่เจ้าว่ามา...ก็ถือว่าถูก...
.
...แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด” เทวบุตรสุดชิครีบเฉลยความนัยเพื่อเลี่ยงไม่ให้ลูกมนุษย์หน้าแว่นก่อกวนจนขบวนเป๋
...แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด” เทวบุตรสุดชิครีบเฉลยความนัยเพื่อเลี่ยงไม่ให้ลูกมนุษย์หน้าแว่นก่อกวนจนขบวนเป๋
“หมายความว่ายังไงครับเจ้าพ่อ?”
อดีตเดือนมหาลัยโพล่งออกมาด้วยความสนอกสนใจเป็นพิเศษ สีหน้าจริงจังระหว่างรอฟังคำตอบของธันวาทำให้องค์เทวานิ่งไปครู่หนึ่งคล้ายกับชั่งใจ
.
.
.
.
.
.
.
“คืออย่างนี้...
จริงๆแล้ว เนื้อคู่ของเจ้ากรกฏมีมากกว่าหนึ่งคนน่ะ”
“ห๊ะ?!” นี่เป็นอีกครั้งที่เหล่าสมุนเลวทั้งสี่อุทานประสานเสียงโดยพร้อมเพรียงกัน
จะมีก็แต่แฝดน้องที่ซักถามหาความจริงจากเจ้าพ่อไทรทองด้วยท่าทางสบายๆ
“อีกคนคือพี่ด้วงใช่หรือเปล่าครับเจ้าพ่อ?”
ฌอนเริ่มระแคะระคายเกี่ยวกับความสัมพันธ์อันเหลือเชื่อของรุ่นพี่ทั้งสามมาได้สักพัก
ชายหนุ่มสังเกตจากการที่สองสามอาทิตย์ให้หลัง
กุมารทองประจำตัวดูจะคึกคักจนคุ้มคลั่งทุกๆครั้งที่มาขออนุญาตไปเฝ้าบรรดาพ่อๆในอนาคตของตน
พอลองถามเหตุผล... เด็กวิเศษกลับอมพะนำทำไม่พูดไม่จา
ทว่าสายตาดันระยิบระยับรับกับอาการปากคอสั่นริกๆคล้ายสกลเวลามีคนเอาอาหารมาโยนให้
“ใช่...
เจ้าวิญญูคือเนื้อคู่อีกคนของเจ้ากรกฏ” เมื่อเห็นว่าเหล่าคนโฉดผู้ร่วมอุดมการณ์ทั้งสี่ยังอึ้งกิมกี่ไม่หาย
แฝดน้องจึงได้ทีสรุปความให้เสร็จสรรพ
“ถ้าอย่างนั้น
พวกเราคงไปขอให้เฮียฟูล้างพรไม่ได้แล้วล่ะครับ...
.
...ลองคิดดูนะครับ
หากเฮียฟูยอมล้างพรให้เก็กจริงๆ ก็จะเท่ากับว่า...
...พันธะระหว่างพวกเรากับเจ้าพ่อไทรทองจะจบสิ้นลงในพริบตา...
...ถ้าไม่มีเจ้าพ่อทั้งสองคอยช่วยเหลือและแก้ไขสถานการณ์ไม่คาดฝัน
รับรองเลยว่า...ไม่มีวันเสียหรอกที่เฮียฟูจะยอมตกลงปลงใจกับพี่ด้วงง่ายๆ”
“จริง! ยิ่งเฮียกับพี่ด้วงเข้าหน้ากันไม่ติดแถมพี่เต๋อยังไม่เป็นใจด้วยแล้ว
ลำพังแค่พวกเราห้าคนช่วยกัน...คงไม่ทำให้สถานการณ์ระหว่างพวกพี่ๆดีขึ้นได้แน่ๆ” เก็กรีบผสมโรงด้วยความโล่งอก
กระนั้น... แฝดพี่ผู้เป็นหัวสมองของกลุ่มกลับทำหน้ากลุ้มใจอย่างเห็นได้ชัด
“แต่ระหว่างเฮียฟูกับคุณพี่ด้วง...
ดูยังไงผมก็ไม่คิดว่าพวกเราทั้งหมดจะทำให้สองคนนั้นตกลงปลงใจคบหากันได้หรอกนะครับเจ้าพ่อ
ถ้ากับพี่เต๋อ... ก็ว่าไปอย่าง” คิ้วหนาเข้มเหนือดวงตาคมเปี่ยมอำนาจของฌานขมวดจนแทบจะชนกัน
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำมหาวิทยาลัยจึงช่วยพูดรับรองให้เหล่าสมุนเลวเบาใจอีกแรงหนึ่ง
“เชื่อข้าเถอะ
เจ้ากังฟูมีจิตปฏิพัทธ์ต่อเจ้าด้วงอย่างแน่นอน
เพียงแต่เจ้ากังฟูยังไม่รู้ตัวเท่านั้น ”
ทันทีที่รับรู้ถึงความจริงจังและหนักแน่นที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของเทวบุตรสุดที่รัก เจ้าพ่อไทรทองก็ไม่อาจข่มความชอบอกชอบใจเอาไว้ได้อีกแล้ว
“หึ
หึ... ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็ช่วยทำให้เจ้ากรกฏรู้ตัวเสียสิครับเบ๊บ” เทพสายบู๊พาดหัวข่าวได้เร้าใจจนอริยะตรัยผู้น้องต้องร้องถามด้วยความตื่นเต้น
“ทำยังไงเหรอครับเจ้าพ่อ?”
“หึ
หึ หึ เราก็แค่ต้องหาตัวเร่งปฏิกิริยา เข้ามากระตุ้นความรู้สึกของพี่ชายเจ้าอย่างไรล่ะธันวา...
...ลูกมนุษย์อย่างพวกเจ้า
ลองว่าได้รักใครแล้ว ก็ย่อมยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกกับการถนอมรักนั้นไว้กับตัว...
...กระทั่งเจ้ากรกฏเอง
ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากสัจธรรมข้อนี้ไปได้...
.
.
...แล้วหากวันหนึ่งเจ้ากรกฏเกิดรู้สึกตัวว่า
ตนเองกำลังจะหมดความสำคัญในสายตาของทั้งเจ้าวิญญูและเจ้าตริน...
...เจ้าคิดว่าคนชอบเอาชนะอย่างเจ้ากรกฏจะยังนิ่งเฉยอยู่ได้อีกหรือ?”
“มือที่สามใช่ไหมครับเจ้าพ่อ?”
ฌานที่เข้าใจแผนการอันหลักแหลมของเจ้าพ่อไทรทองไปถึงไหนต่อไหนเป็นผู้คลายข้อสงสัยให้กับเหล่าสมุนเลวที่เหลือ
“ถูกต้อง! เจ้าร่างทรง...เจ้านี่ช่างปราดเปรื่องเสียจริงๆ!”
“แสดงว่าเจ้าพ่อมีใครในใจอยู่แล้วใช่ไหมครับ?”
ที่แฝดน้องต้องซักไซ้เทวบุตรสุดชิคจนถึงที่สุด เป็นเพราะเหลือบไปเห็นสีหน้าของกุมารทองที่เปลี่ยนจากระริกระรี้เป็นหงุดหงิดแบบกะทันหัน...
ซึ่งสีหน้าที่พลายทำอยู่นั้น ช่างเหมือนกับเมื่อคืนวันลอยกระทงอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ดูท่าว่าสิ่งที่ฌอนคาดการณ์เอาไว้
จะไม่เป็นแค่ความคิดอีกต่อไป
เพราะเพียงไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น
เจ้าพ่อไทรทองก็หันมาสบตากับทั้งเขาและพี่ชายฝาแฝดก่อนจะเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึงขังเป็นครั้งแรกของวัน
“อืม...
นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าจะต้องตกลงกับพวกเจ้าให้รู้เรื่อง...
.
...โดยเฉพาะเจ้า
กับพี่ชายฝาแฝดของเจ้า”
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
[2]
ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับอิ๊กที่ต้องออกมาเจอกับหนุ่มสถาปัตย์ที่คบหาดูใจกันอยู่ในยามวิกาล...
จริงๆ
ถ้าเจ้าตัวไม่หวั่นว่าจะดูเป็นคนใจง่ายที่สำเร็จรูปพร้อมบริโภคจนเกินไปในสายตาแฟนใหม่
ป่านนี้อคิราคงได้หอบผ้าหอบผ่อนร่อนเข้าไปสิงสู่อยู่ในห้องเดียวกันกับฌอนเรียบร้อยโรงเรียนอิ๊กไปนานแล้ว
ทว่า...
การที่ผู้ชายหล่อเหลาน่ากินโทรมาบอกว่าอยากเจอหน้า คิดถึง...อยากคุยด้วย
รีบลงมานะ...รออยู่ข้างล่าง
แต่เอาเข้าจริง
ยังไม่ทันจะได้คุยกัน อีกฝ่ายก็ดันเอาแถบผ้ามาบดบังสายตาแล้วอุ้มขึ้นรถมาโดยไร้คำอธิบาย
คอยดูนะ
ถ้าสุดท้ายไม่ใช่การล่อลวงไปขืนใจให้ป่นปี้ที่ชายป่าละเมาะท้ายมหาลัยแล้วล่ะก็ รอดูพ่อแผลงฤทธิ์ใส่ได้เลย!!
“นี่!! เรียกฉันออกมาดึกๆดื่นๆแล้วยังจะกล้าปิดตาฉันอีกเหรอ...
ห๊ะ?” ร่างบางที่โดนผ้าสีดำคาดตาคล้ายกับรูปถ่ายในคอลัมน์มาลัยเสี่ยงรักส่งเสียงหวีดโวยวายหลังจากเสียงพูดคุยงึมงำกับเสียงช้อนส้อมจานชามที่ลอยเข้าหูบอกให้อิ๊กรู้ว่า
คืนนี้...คงจะไม่เกิดการผิดผีขึ้นแน่ๆ
“อิ๊ก...
ฟังผม ตอนนี้เราไม่ได้อยู่กันแค่สองคน... คุณจะพูดอะไรก็ระวังหน่อย” บทเรียนราคาแพงที่อีกฝ่ายต้องแลกด้วยอาการเสียหน้าเมื่อครั้งที่นั่งรถกลับจากบ้านไร่ของบ๊วย
ทำให้ทันทีที่ประคองอดีตเดือนบริหารให้นั่งร่วมโต๊ะกับเหล่าสมุนเลวได้แล้ว
ฌอนก็รีบออกตัวพูดดักคออคิราเอาไว้เสียแต่เนิ่นๆ
จากเดิมที่คิดว่าจะฟาดงวงฟาดงาใส่ฌอนให้หนำใจ
แต่พอได้ยินน้ำเสียงนุ่มที่เอ่ยขอร้องแกมอ้อนวอนของคนรักใกล้ๆ
อิ๊กก็อดใจอ่อนไม่ได้ไปเสียทุกที
“อ๋อ! เออ... เข้าใจแล้ว” ร่างบางรับคำด้วยใบหน้าแดงก่ำเมื่อหวนคิดถึงเหตุการณ์หลุดปากพูดความลับระดับชาติออกมาแบบหมดเปลือก
แถมยังมีพวกขี้เสือกหน้าแว่นนั่งรวมอยู่ด้วยอีกต่างหาก แต่ก่อนที่มนุษย์หน้าไหนจะขุดซากของเขาขึ้นมาเผาอย่างเมามัน...
หนุ่มบริหารหน้าหวานก็ชิงยิงคำถามสับขาหลอกโดยพลัน “แล้วทำไมพวกนายต้องเรียกฉันออกมาด้วยล่ะ?”
“คือพวกเราอยากจะขอความช่วยเหลือจากคุณอิ๊กหน่อยน่ะครับ”
“นั่นบ๊วยเหรอ?”
คนมองไม่เห็นร้องทักขึ้นทันทีที่เสียงเกริ่นของชายกลางจบลง แล้วจึงตามด้วยประโยคคำสั่งที่ฟังประหลาดหูเป็นที่สุด
“เอางี้นะ เวลาใครจะพูดอะไร ช่วยขานชื่อก่อนพูดได้ไหม
ฉันจะได้รู้ว่าฉันควรโต้ตอบด้วยมารยาทระดับไหนกลับไปดีน่ะ”
“พี่ฌานครับ...
ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าลดตัวมาสมคบกับงูเห่า!” เงื่อนไขพิลึกพิลั่นของอดีตเดือนบริหารทำเอาสกลบ่นอุบอิบพลางส่ายหัวป้อยด้วยความอ่อนใจ
“ดูซิเนี่ย... ผมเลยต้องลำบากเคาะสนิมภาษาพาร์เซล*ออกมาใช้... ทีนี้ผมคงจะปกปิดความลับเรื่องที่เคยเรียนมัธยมที่ฮอกวอตส์รุ่นถัดจากแฮร์รี่
พ็อตเตอร์มาสามปีเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว”
[size=10pt](ภาษาพาร์เซล :
ภาษาที่ใช้สื่อสารกับงู Ħ
แฮร์รี่ พ็อตเตอร์)
“ที่พูดไม่รู้เรื่องอยู่นี่ใช่นายแว่นป่ะ?”
จังหวะจะโคน และน้ำเสียงในการพูดที่ฟังดูประดิษฐ์ประดอยเกินพอดี กอปรกับภาษาเทพที่พวกมักเกิ้ล*อย่างเขาไม่มีวันเข้าใจทำให้การคาดเดาของอคิราเป็นไปอย่างแม่นยำ
แต่แทนที่จะได้รับคำชื่นชม แฝดน้องกลับพูดแทรกขึ้นเสียก่อน [size=10pt](พวกมักเกิ้ล
: สรรพนามสำหรับพ่อมดแม่มดใช้เรียกพวกมนุษย์
Ħ แฮร์รี่ พ็อตเตอร์)
“ผมบอกคุณว่าไงอิ๊ก...
กับคนนี้ให้เรียกว่าแนนซี่ แนนซี่...
.
...เรียกแว่นให้ตายยังไงก็ไม่หันหรอก...
...สมองช้าน่ะ”
เหน็บเพื่อนรักจบ ฌอนก็ปรายตามองใบหน้าบึ้งตึงของสกลอย่างท้าทาย
ซึ่งนั่นทำให้เส้นความอดทนของอีกฝ่ายขาดผึง
“ฌอนศรีมณีเด้ง!!” หนุ่มหน้าแว่นเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน...
หนอย! แค่เขายอมให้เรียกตามใจเข้าหน่อยทำมาเป็นกระด้างกระเดื่อง
อย่าให้รู้เชียวนะว่าแอบไปกินกันกับงูเห่าที่ไหน
และท่าไหน ท่านสกลคนนี้จะประจานเพื่อนฌอนศรีสุดที่รักออกสื่อเอง!!
“เอาล่ะ
เอาล่ะ... เข้าเรื่องกันเถอะ พี่ฌานอยากกลับไปดูอาการของพวกพี่เต๋อเต็มทนแล้วล่ะ” สุดท้ายก็เป็นแฝดพี่ที่ต้องลำบากห้ามทัพระหว่างน้องชายและเพื่อนหัวไข่ของตนเอากลางปล้อง
แล้วจึงปิดท้ายด้วยการร้องขอความร่วมมือจากทั้งหมด “หลังจากนี้ เวลาใครจะพูดอะไร ก็ให้ใช้ชื่อเล่นเรียกแทนตัวเองไปก่อนแล้วกันนะ
อิ๊กเขาจะได้รู้ว่ากำลังคุยกับใครอยู่... ถือว่าเห็นแก่พี่ฌานแล้วกันนะ”
“ครับ!/ เฮ่!! ” ห้าหนุ่ม ซึ่งนับรวมอดีตเดือนบริหารเอาไว้ด้วยขานรับคำของแฝดพี่ด้วยน้ำเสียงกระฉับกระเฉง...
การทำหน้าทนตั้งจนเป็นจระเข้ขวางคลองทั้งที่หัวหน้าเพิ่งเอ่ยคำขอร้องอย่างจริงจัง ก็ดูจะไม่ใช่หนทางของเหล่าสมุนเลวแต่อย่างใด
“อิ๊ก...
คุณช่วยรับสมอ้างเป็นญาติของเพื่อนของพวกเรากับพี่เต๋อพี่ด้วงให้หน่อยได้ไหม?” ฌอนตั้งต้นใหม่ด้วยการพุ่งเข้าประเด็นหลักอย่างตรงไปตรงมา
แต่คนโดนปิดตากลับเชิดหน้าพลางพูดจาตีรวนเสียอย่างนั้น
“ก็แล้วทำไมฉันต้องทำอะไรไม่เข้าท่าแบบนั้นด้วยล่ะ?”
ยิ่งร่างบางกอดอกทำท่าถือดีใส่ก็ยิ่งทำให้ฌอนอดรู้สึกเอ็นดูไม่ได้
แต่เพราะสถานที่
สถานการณ์ รวมทั้งบรรยากาศไม่เอื้ออำนวย... ป่วยการที่จะรู้สึกหมั่นเขี้ยวจนอยากคว้าตัวอีกฝ่ายมาลงโทษให้หนำใจเสียนี่กระไร
“พวกเรากำลังหาทางทำให้เฮียฟูกับพี่เต๋อและพี่ด้วงลงเอยกันได้เสียทีน่ะ”
แฝดน้องที่ปรับเปลี่ยนอารมณ์ได้ในชั่วพริบตาอธิบายหน้าตายโดยใช้เสียงโมโนโทนไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น
กระนั้น...
สิ่งที่เพิ่งได้ยินกลับทำให้ระดับความเหวอของหนุ่มบริหารหน้าหวานพุ่งทะยานประมาณได้รู้ว่า
แท้ที่จริงแล้วมนุษยชาติมีเครือญาติเป็นแมลงสาบอย่างไรอย่างนั้น
“เดี๋ยว! ยังไงนะ? ไหนนายช่วยพูดอีกทีสิ!”
“พวกเราจะทำให้เฮียฟูเข้าใจผิดว่าพี่เต๋อกับพี่ด้วงมีคนอื่น
เฮียฟูจะได้หึงจนยอมคบกับพวกพี่ๆทั้งสองคนน่ะ” กระทั่งอคิราตื่นเต้นจนตาตั้ง แต่ฌอนกลับยังพูดเอื่อยๆด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆราวกับไม่ใช่ธุระกงการที่สำคัญ...
ซึ่งจุดๆนี้
อิ๊กขอบอกเลยว่า มัน ไม่ ใช่!!
“อย่างไอ้ตั่วเฮียเนี่ยนะจะยอมคบกับผู้ชาย?...
...คนเกลียดเกย์จะเป็นจะตายแบบนั้นเนี่ยนะจะกลืนน้ำลายตัวเอง?...
.
...นายอย่ามาพูดให้ฉันขำจะดีกว่า!” อดีตเดือนบริหารแดกดันหยันเยาะบุคคลที่สามอย่างถึงพริกถึงขิงจนอริยะตรัยผู้น้องอดไม่ได้
“เฮ่ย! รู้จักเกรงใจกันหน่อย! น้องชายเขาก็นั่งหัวโด่อยู่นี่ทั้งคนนะคุณ”
เก็กที่พยายามสงบปากสงบคำ ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีแขวะด้วยน้ำเสียงหาเรื่อง
“หนอยยยย...
ไอ้เก็กเจ๊กหลู! ไอ้รูหูตัน! ไอ้ผ่าฟันคุดเอ๊ยยยยย!...
.
...จะทำไม?!...
...ก็ฉันพอใจ
ฉันจะด่าใครมันก็เรื่องของฉัน!!”
ในที่สุด
เหล่าสมุนเลวที่เหลือก็เพิ่งเข้าใจว่าทำไมอคิราถึงได้ขอร้องให้ใครต่อใครขานชื่อก่อนการแถลงไข
เพราะหนุ่มบริหารจ้องจะพูดจาขากถุยใส่อดีตเดือนมหาวิทยาลัยเป็นกรณีพิเศษมาตั้งแต่แรกนี่เอง
“ฌอน
มึงคุยกับไอ้ฮอบบิทนั่นไปเลยนะ กูไม่คงไม่คุยกับแม่งแล้ว!” ข้อความของธันวายังไม่ทันจบ เสียงโหยหวนเป็นท่วงทำนองไม่ตรงโน้ตก็ดังสอดขึ้นได้อย่างถูกจังหวะ
“♪ก็เลิกกันแล้ว ให้มันจบๆไป♫!”
“แนนซี่!/
สกล! /
แว่น! / ไอ้หนูแนน!!”
“หูยยยย! อิสสะปรองดองลองกองแท้!” หนุ่มหน้าแว่นอุทานด้วยความชอบใจเพราะนอกจากจะไม่สลดแล้ว เจ้าตัวกลับยิ่งสนุกที่ยั่วโมโหเพื่อนๆทั้งสี่ได้โดยพร้อมเพรียงกัน
“พอ
พอ! เดี๋ยวก่อน... อย่าเพิ่งด่ากัน! ฉันยังไม่เคลียร์” อดีตเดือนบริหารที่ยังโดนปิดตาชูฝ่ามือทั้งสองขึ้นเหนือหัวเพื่อห้ามมวยและฉวยโอกาสซักไซ้รายละเอียดเพิ่มเติม
“แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่าไอ้ตั่วเฮียจะเดือดร้อนเพราะแผนมือที่สามอะไรเนี่ย?...
.
...พวกนายคงยังไม่เคยโดนไอ้ตั่วเฮียมันด่าในระยะเผาขนมาก่อนใช่ไหม
ถึงได้กล้ารนหาที่ตายกันแบบนี้...
...ไม่อยากจะนึกเลยว่า
ถ้าไอ้ตั่วเฮียมันรู้ตัวว่าโดนจับคู่กับผู้ชาย สภาพศพพวกนายแต่ละคนจะน่าสยดสยองขนาดไหน”
ร่างบางว่าพลางถูต้นแขนของตนรัวๆ ด้วยจนถึงตอนนี้... ความน่ากลัวของถ้อยคำอันโหดร้ายของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็ยังหลอกหลอนเขาได้ในบางที
“คุณอิ๊กเชื่อพวกเราเถอะครับว่าเฮียฟูแกมีใจกับพี่เต๋อและพี่ด้วงจริงๆ...
.
...ขอร้องเถอะครับคุณอิ๊ก
ช่วยพวกเราด้วยนะครับ...ถือว่าช่วยๆกัน พวกพี่ๆจะได้มีความสุขกันเสียที” บ๊วยอ้อนวอน
เพราะหากไม่ได้ความช่วยเหลือจากอดีตเดือนบริหาร แผนการของพวกเขาคงจะไม่ราบรื่นเท่าที่ทุกคนคาดหมาย... โดยเฉพาะหัวเรือใหญ่อย่างฌาน
“นายไม่ต้องพูดแล้วล่ะบ๊วย...
ฉันไม่ได้สนเรื่องความสุขของไอ้ตั่วเฮียเลยสักนิด” อิ๊กสวนทันควัน แต่นั่นกลับเร็วได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของวาจาว่าร้ายที่เดินทางออกจากปากของหนุ่มหน้าแว่นด้วยความว่องไวเหลือแสน
“อ้าว...งูเห่า! พูดอย่างนี้ก็สวยสิครับ! ถ้าไม่คิดจะช่วยก็บอกกันมาดีๆ
ไม่เห็นต้องพูดจาแบบนี้เลย” สกลส่งเสียงวะโว้ยใส่อคิราอย่างได้ใจโดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายไม่มีทางสู้...
การลอบกัดด้วยคำพูดดูจะเป็นสิ่งที่คนเห็นผีทำได้ดีรองมาจากการคลุกข้าวให้หมาที่หนุ่มหน้าแว่นภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
“ใจเย็นแนนซี่...
ใครบอกล่ะว่าฉันจะไม่ช่วย / ไม่ได้ชื่อแนนซ...!!!!!! ฝ่ามืออรหันต์ของแฝดพี่ประกบเข้าที่ริมฝีปากไม่มีหูรูดของเพื่อนสนิทราวกับจับวาง
ซึ่งการกระทำดังกล่าวช่วยกรุยทางให้ร่างบางสามารถดำเนินการปราศรัยต่อได้อย่างไหลลื่น
“แต่ที่ฉันช่วยพวกนาย...
ไม่ใช่เพราะฉันอยากช่วยให้ไอ้ตั่วเฮียมีความสุขหรอกนะ...
...ฉันรอจะสมน้ำหน้าไอ้ตั่วเฮียหลังจากที่ต้องกลืนน้ำลายตัวเองเพราะต้องหันมาชอบผู้ชายด้วยกันตังหาก!...
.
.
.
...ฉันเฝ้ารอเวลาจะเอาคืนไอ้ตั่วเฮียมาเกือบปีแล้ว
ถ้านี่จะทำให้ฉันได้เหยียดหยามไอ้ตั่วเฮียให้เจ็บหัวใจจี๊ดๆได้ ต่อให้ต้องพลิกผืนป่าเพื่อตามล่าม้ายูนิคอร์นฉันก็พร้อมจะให้ความร่วมมือ
คึ คึ คึ”
ภาพของชายหนุ่มโดนคาดตาในคอลัมน์มาลัยไทยรัฐขณะหัวเราะอย่างคุ้มคลั่งดั่งคนบ้า
ดาเมจอันรุนแรงของสิ่งที่ปรากฏอยู่ในกรอบสายตาเป็นเหตุให้เหล่าสมุนเลวลอบมองหน้ากันไปมาแล้วจึงส่งสายตาปลงๆเพื่อปลอบใจกันและกันโดยไม่ต้องอาศัยคำพูด
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
[4]
“มึงจะเซ็ทผมอะไรนักหนาวะด้วง...
ดูดิ๊ เกือบเก้าโมงแล้วเนี่ย!” คนขับรถบ่นอุบไม่หยุดปากค่าที่ต้องนั่งรอรูมเมทเฉพาะกิจอยู่ค่อนชั่วโมงเพื่อจัดแต่งรูปหัวให้เข้าที่เข้าทาง
ฝั่งหนุ่มวิศวะซึ่งทนฟังมหากาพย์ร่ายยาวของอีกฝ่ายมาตั้งแต่ที่ทั้งสองยังไม่ออกจากห้องก็อดอุทธรณ์ไม่ได้
“ก็เรายังไม่ชินกับผมทรงนี้นี่นา
ของแบบนี้มันก็ต้องใช้เวลากันบ้าง” เพราะห่างหายไปจากการไว้ผมสั้นมาหลายปี ด้วงจึงมีปัญหากับผมทรงใหม่ที่ต้องใช้กำลังภายในปลุกปล้ำกันอยู่นานมากทีเดียว
ส่วนที่เมื่อวานไปถึงโรงอาหารได้ทัน... ก็เพราะเจ้าของห้องใจดีพาเขาไปเหลาผมที่ร้านตั้งแต่ก่อนแปดโมงโน่นแหละ
“งั้นพรุ่งนี้มึงช่วยแหกขี้ตาตี่นตั้งแต่หกโมงเสียดีๆ
กูมีเรียนเก้าโมง... กูไม่อยากเลท” เต๋อยังคงบ่นต่อเนื่องได้อย่างน่าชื่นชมจนวิญญูอดเปรียบเทียบตามความเคยชินไม่ได้
“นายนี่บ่นเก่งกว่าฟูอีกนะ”
“ด้วง! มึงตกลงกับกูแล้วไม่ใช่เหรอว่าเราจะไม่พูดถึงชื่อนี้เวลาอยู่ข้างนอก”
เพียงวูบเดียวสีหน้าอิดหนาระอาใจของหนุ่มสถาปัตย์ก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดได้อย่างน่าอัศจรรย์จนด้วงอดเบ้หน้าพลางถอนหายใจไม่ได้...
อีกฝ่ายจะหวังให้เขาอดทนไม่พูดถึงกังฟูอย่างไรไหว
ในเมื่อตลอดชีวิตที่ผ่านมา
กรกฏเป็นยิ่งกว่าหัวใจและเลือดเนื้อในร่างกายของเขาเสียอีก...
เรื่องตลกร้ายก็คือ
ยิ่งด้วงคิดถึงกรกฏมากเท่าไร ดูเหมือนว่าอริยะตรัยผู้พี่ก็มักจะโผล่มาก่อกวนหัวใจเขาจนไม่เป็นอันทำอะไรไปเสียทุกที...
และตอนนี้ก็เช่นกัน
“เออๆ”
คำพูดส่งๆถูกเอ่ยออกไปเพราะมีสิ่งที่เรียกความสนใจของวิญญูได้ชะงัดนักอยู่ตรงไหล่ทางข้างหน้า
กะด้วยสายตาแล้วไม่น่าจะเกินสิบเมตร “เดี๋ยวเต๋อ...
จอดก่อน”
“อะไรของมึงอีกล่ะวะ?
คนยิ่งรีบๆอยู่!”
“นั่นใช่ฟูป่ะ?”
หนุ่มวิศวะหน้าหยกยกนิ้วขึ้นชี้ไปยังจุดนำสายตาที่ดูคลับคล้ายคลับคลากับพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยอย่างไรชอบกล
“โว๊ะ! ยังไม่ทันขาดคำเลยนะมึง!” ทั้งที่ปากว่าแต่ตากลับขยิบ... หนุ่มร่างหมีค่อยๆผ่อนเบรค เลื่อนสายตาออกจากถนนข้างหน้าแล้วหันไปส่องยังเป้าหมายตามที่คนข้างกายระบุพิกัด
“ไหน?!”
“คนที่ยืนพิงรถสีดำคันนั้นอยู่นั่นไง”
“เหอะ! ไม่ใช่หรอก... รายนั้นไม่ทำผมทองเรียกแขกแบบนั้นแน่ๆ”
ตรินสรุปได้ไม่เต็มเสียงนัก ถึงทฤษฎีเกี่ยวกับสีผมจะใช่ แต่เขาก็อดใจแกว่งไม่ได้ เมื่อร่างที่เห็นดูละม้ายกับกังฟูจริงดังที่ด้วงโฆษณา
“แต่มองข้างๆจากตรงนี้ดูคล้ายฟูเลยนะ...
สงสัยรถจะเสีย... จอด! นายจอดเลย! เราจะลงไปดูให้แน่ใจ” ด้วงออกคำสั่งพลางปลดสายเข็มขัดนิรภัยแล้วตั้งท่าเตรียมพร้อมจะพุ่งหลาวออกไปหาเจ้าของร่างบอบบางผมสีทองข้างหน้าโดยไม่สนใจว่าพาหนะที่ตนโดยสารอยู่หยุดวิ่งแล้วหรือยัง
ซึ่งท่าทางกระตือรือล้นจนน่าหมั่นไส้ของหนุ่มหน้าหยกดังกล่าว
ทำเอาตรินหงุดหงิดงุ่นง่านอย่างไรบอกไม่ถูก
กระนั้น...
คนปากร้ายใจดี ก็จะยังคงแสดงความโอบอ้อมอารีเผื่อแผ่ให้คนรอบกายอยู่เสมอ
“กูบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ดิวะ...
แล้วก็หยุดพูดถึงชื่อนั้นได้แล้ว!” ถึงจะบ่นแต่ตรินก็จอดรถเทียบข้างทางอย่างนุ่มนวล
ฝ่ายหนุ่มวิศวะที่ร่ำๆจะโดดลงจากรถก็รีบดีดตัววิ่งเข้าไปชาร์จเป้าหมายที่ดูคล้ายกับกรกฏทันที
ปล่อยให้หนุ่มร่างหมีเดินตามหลังไปห่างๆอย่างไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร
“รถเสียเหรอครับ?”
“ครับ”
หนุ่มผมทองหน้าหวานพยักหน้าพลางส่งยิ้มให้กับผู้มาใหม่คล้ายไม่เดือดร้อนกับสถานการณ์ตรงหน้ามากนัก
แต่ยังไม่ทันที่ด้วงจะได้ซักถามเนื้อความเพิ่มเติม
ร่างบอบบางที่ดูเหมือนกันอย่างกับแกะกับชายหนุ่มที่วิญญูกำลังสนทนาด้วย...จะผิดกันก็แต่สีผม
ก็ชะโงกหน้าฝ่าควันขาวที่พวยพุ่งเป็นสายเพื่อรายงานความเป็นไปภายในกระโปรงหน้ารถยนต์ที่เปิดค้างอยู่
“คนกลาง...
มันมีควันอะไรพุ่งออกมาด้วยก็ไม่รู้ คนกลางมาดูสิ!”
ยิ่งได้พินิจรูปกายภายนอกของสองหนุ่มหัวสีเต็มสองตา
หนุ่มหน้าหยกก็ไม่อาจข่มความคิดถึงกังฟูเอาไว้ได้อีกต่อไป...
ไม่รู้เพราะอะไร
แต่ยิ่งได้อยู่ใกล้ๆ ได้เห็นหน้า ได้ฟังเสียงของฝาแฝดทั้งสอง
เขาก็ยิ่งรู้สึกต้องชะตาจนไม่อาจปล่อยทั้งคู่เอาไว้กลางทางแบบนี้ได้อีกต่อไป
“ขอผมดูรถหน่อยได้ไหมครับ?”
หนุ่มวิศวะอาสา
“เชิญเลยครับ
คนเล็ก...มานี่!” ฝาแฝดหัวทองยิ้มรับพร้อมกวักมือเรียกเด็กหนุ่มหัวแดงให้มายืนข้างๆกัน
“ท่าทางน้ำมันเครื่องจะซึม
หรืออาจจะรั่ว ทางที่ดี...ผมว่าควรเอารถไปให้ช่างช่วยดูแล้วล่ะครับ” ด้วงออกความเห็นหลังจากใช้เวลาตรวจสอบเครื่องยนต์อยู่ครู่หนึ่ง
“ว้า! แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะคนกลาง?” ฝาแฝดหัวแดงรำพึงรำพันอย่างหนักใจ
สุดท้าย... หนุ่มร่างหมีที่ลอบสังเกตพี่น้องหัวสองสีอยู่เงียบๆมาสักพักก็ยื่นมือให้ความช่วยเหลือสองหนุ่มตามด้วงไปติดๆอีกคนจนได้
“พวกเราพอจะช่วยอะไรได้บ้างไหมครับ?”
เอาเข้าจริง... นอกเหนือไปจากรูปพรรณสัณฐานที่เคาะมาจากพิมพ์เดียวกับกังฟูแล้ว ท่าทางเดือดร้อนจนทำอะไรไม่ถูกของฝาแฝดทั้งสองก็ทำให้ตรินใจอ่อนยวบได้ไม่ยาก
“ให้พวกผมช่วยติดต่อใครที่คุณรู้จักให้ไหมครับ?”
คำถามอย่างสมเหตุสมผลของวิญญูทำให้ฝาแฝดทำหน้าไม่ถูก เด็กหนุ่มหัวทองกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบากก่อนจะเอ่ยปากอธิบายถึงที่มาที่ไปของตนให้ผู้ช่วยชีวิตได้รับฟัง
“คือ...
ผมกับน้องกะจะมาเยี่ยมลูกพี่ลูกน้องที่เรียนอยู่ที่นี่สักอาทิตย์สองอาทิตย์น่ะครับ...
...แต่เราสองคนยังไม่ได้บอกลูกพี่ลูกน้องเลยว่าพวกเราจะมาหา...
.
...ว่าจะเซอร์ไพรส์ญาติเสียหน่อย
ไม่นึกเลยว่าจะกลายเป็นพวกเราที่ต้องเจอเรื่องไม่คาดฝันเสียเอง” ทันทีที่ฝาแฝดคนพี่พูดจบ
ทั้งสองหนุ่มก็ส่งยิ้มแห้งๆมาให้สองหนุ่มร่างใหญ่คล้ายกับจนคำพูด สีหน้าหมาหงอยกับอาการหูลู่หางตกของฝาแฝดซึ่งกำลังตกที่นั่งลำบาก
ทำให้ตรินทั้งสงสาร ทั้งเห็นใจ และอยากปกป้องอีกฝ่ายไปพร้อมๆกัน
“เอาอย่างนี้ดีไหมครับ
เดี๋ยวผมโทรบอกให้คนที่บ้านมาเอารถพวกคุณไปซ่อมให้...
.
...ส่วนพวกคุณ...
ก็ทิ้งรถไว้ที่นี่ แล้วเอาของติดตัวไปกับพวกผมก่อน...
...ระหว่างนั้น
คุณค่อยคิดหาทางอีกทีว่าจะโผล่ไปเซอร์ไพรส์ลูกพี่ลูกน้องยังไง
แล้วพวกผมจะได้พาไปส่งอีกที” เต๋อยืนยันเจตนาที่จะให้ความช่วยเหลือแก่อีกฝ่ายโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น
“ขอบคุณมากครับ...
รบกวนด้วยนะครับ” ฝาแฝดยิ้มร่าด้วยสีหน้ายินดีผิดกับเมื่อกี๊เป็นคนละคนก่อนที่ทั้งสี่จะช่วยกันย้ายสิ่งของประดามีไปยังรถของหนุ่มร่างหมีด้วยความรวดเร็ว
“เอ่อ...
พวกคุณกินข้าวกลางวันกันกี่โมงเหรอครับ?” แฝดคนน้องชะโงกหน้าโผล่ตรงช่องว่างระหว่างเบาะถามทั้งด้วงและเต๋อในจังหวะที่คนขับเบาเครื่องยนต์เมื่อทั้งหมดเดินทางมาถึงยังอาคารเรียนรวม
“เที่ยงครับ”
วิญญูชิงตอบแทนคนขับที่กำลังถอยรถเข้าซองจอดด้วยความตั้งใจ
“ดีเลยครับ!...
...ถ้าอย่างนั้น
ให้พวกผมเลี้ยงข้าวพวกคุณสักมื้อได้ไหมครับ?...
.
...พวกผมอยากจะขอบคุณที่คุณสองคนช่วยพวกผมเอาไว้น่ะครับ...
...ถ้าไม่ได้พวกคุณ
ผมกับน้องต้องแย่ๆแน่ๆเลยครับ” ทีนี้กลับกลายเป็นแฝดหัวทองที่เจรจาต่อรองกับพวกเขา
ทำเอาหนุ่มร่างหมีนิ่วหน้าเพราะตนกับด้วงแค่ต้องการช่วยเหลือให้อาคันตุกะทั้งสองได้เจอญาติโดยปลอดภัย
หาใช่หวังสิ่งใดตอบแทน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ
พวกผมเต็มใจช่วย พวกคุณไม่ต้องรู้สึกติดค้างอะไรหรอกครับ”
“เถอะนะครับ...
ให้พวกเราทำอะไรให้พวกคุณบ้าง... กินข้าวกับพวกเราสักมื้อก็ยังดีนะครับ” แฝดหัวแดงแปะมือกลับมาพาทีกับพวกเขาทั้งสองแทนพี่ชาย
พอคนขับหันไปเห็นดวงตากลมโตใสแจ๋วที่จ้องเป๋งแป๋วมองเขาโดยไม่ละไปไหน
เต๋อก็ไพล่คิดไปว่า
ฝาแฝดคู่นี้ผลัดกันทำหน้าที่อย่างมีระบบดีเสียจริง
ดูเหมือนคนพี่จะทำหน้าที่ชงและให้เหตุผลสนับสนุน ฝ่ายคนน้องหัวแดงก็คอยออดอ้อนเอาใจเพื่อให้สัมฤทธิ์เป้าหมายโดยละมุนละม่อมอย่างไรอย่างนั้น
กระนั้น...
แม้ตรินจะรู้สึกติดใจกับท่าทีเป็นมิตรเกินกว่าเหตุของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย
ทว่าเขากลับถอยห่างออกมาจากพี่น้องฝาแฝดไม่ได้อีกแล้ว
“เอ่อ...
มึงว่าไงอ่ะด้วง?”
เมื่อตัดสินใจไม่ได้
เต๋อจึงรีบหาตัวช่วย แต่แล้วฝาแฝดคนพี่กลับชูโทรศัพท์ของตนขึ้นพลางเสนอทางเลือกที่น่าสนใจให้กับพวกเขาทั้งสี่
“เอาอย่างนี้แล้วกันครับ...
...เมื่อกี๊ผมส่งข้อความไปหาลูกพี่ลูกน้องแล้วล่ะครับ
แต่ทางนั้นยังไม่ตอบอะไรมาเลย... สงสัยคงกำลังเรียนอยู่...
.
.
...ผมกับน้องเลยกะว่าจะนั่งรอพวกคุณอยู่แถวๆนี้
หรือจนกว่าลูกพี่ลูกน้องจะติดต่อกลับ...
...ถ้าลูกพี่ลูกน้องของพวกเรามารับก่อน
พวกคุณก็ไม่ต้องไปกินข้าวกับพวกเรา...
...แต่ถ้าพวกคุณเรียนเสร็จแล้วยังเห็นเราสองคนนั่งอยู่
พวกคุณก็ไปกินข้าวกับเราสองคนก็แล้วกันครับ...โอเคไหมครับ?”
“ก็ได้ครับ
เอาแบบนั้นก็ได้” เพราะข้อเสนอของอีกฝ่ายดูไม่ผูกมัดและหวังผลจนเกินไป วิญญูจึงเคาะบทสรุปให้กับตัวเองและเต๋อได้อย่างรวดเร็ว ฝาแฝดหัวทองจึงพยักหน้ารับพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้พวกเขาทั้งสองก่อนจะออกปากชักชวนน้องชายให้ดำเนินการตามข้อตกลงหมาดๆ
“ไปคนเล็ก!... ขนของแล้วลงไปนั่งรอข้างล่างกันเถอะ”
ด้วงหันไปขยิบตารัวๆใส่เต๋อเพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายตัดสินใจให้รอบคอบดูอีกหน
จนแล้วจนรอด
เจ้าของรถร่างหมีก็อดคล้อยตามรูมเมทเฉพาะกิจไม่ได้
“อย่าลำบากขนของไป - มาเลยครับ...
ผมว่าพวกคุณส่งข้อความไปบอกญาติให้มาเจอพวกคุณตอนบ่ายไปเลยแล้วกัน” และแล้ว หนุ่มสถาปัตย์ก็โพล่งทางออกที่สะดวกและเป็นผลดีกับฝาแฝดทั้งสองอย่างที่สุดโดยไม่ทันล่วงรู้เลยว่า
การที่พวกเขายอมให้ความช่วยเหลือแก่อีกฝ่าย จะทำให้ฝาแฝดหัวสีกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขาไปตราบจนวันสุดท้าย
“แสดงว่าคุณยอมให้พวกเราเลี้ยงข้าวแล้วใช่ไหมครับ?”
ฝาแฝดหัวแดงยื่นใบหน้าแป้นแล้นพ้นเบาะออกมาอีกครั้งด้วยท่าทางตื่นเต้นไม่มีใครเหมือน
และนั่นทำให้ชายหนุ่มร่างใหญ่ทั้งสองต้องยิ้มตามอย่างช่วยไม่ได้
“เปล่าครับ...
ผมว่าพวกเราหารค่าข้าวกันดีกว่า อย่าลำบากเลี้ยงพวกผมเลย...
.
...อีกอย่าง...ที่ผมยอมกินข้าวกับพวกคุณเพราะผมไม่อยากให้พวกคุณต้องลำบากหอบหิ้วสัมภาระไปทางโน้นที
ทางนี้ที...
...กว่าจะได้เจอญาติ
มีหวังพวกคุณคงได้โดนกระเป๋าทับตายเสียก่อนแหงๆ” เต๋อเฉลยถึงบางส่วนของเหตุผลหลักที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจ...
ส่วนข้อความหลังไมค์ที่เอ่ยออกไปไม่ได้
เห็นจะหนีไม่พ้นความรู้สึกเอ็นดูและพึงพอใจหลังจากได้ใช้เวลากับฝาแฝดที่หน้าตาถอดแบบมาจากกังฟู
แต่ดูเป็นมิตรและน่าเป็นห่วงมากกว่าเป็นล้านเท่านั่นล่ะมั้ง
“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ
ขอบคุณมากนะครับที่เป็นห่วงพวกเราสองพี่น้อง...
.
...เอ่อ...
คุยกันมาตั้งนาน พวกเรายังไม่รู้จักชื่อพวกคุณสองคนเลย” ฝาแฝดหัวทองยกมือขึ้นไหว้ทั้งเต๋อและด้วงราวกับล่วงรู้ถึงความอาวุโสที่ต่างกัน
จนคนน้องต้องรีบแสดงความขอบคุณและเคารพทั้งสองหนุ่มตามหลังพี่ชายเป็นพัลวัน
“ผมชื่อด้วง
ส่วนคนนี้ชื่อเต๋อ พวกเราเรียนอยู่ปีสามที่นี่ครับ”
“ผมชื่อคนกลาง
ส่วนนี่น้องชาย... เรียกว่าคนเล็กก็ได้ครับ พวกเราเป็นรุ่นน้องของพี่ด้วงกับพี่เต๋อสองปีครับ”
พลุแนะนำตัวเองและน้องชายอย่างเป็นธรรมชาติตามบทบาทที่เหล่าสมุนเลวทั้งห้าได้เตี๊ยมกับพี่พลายมาล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อวาน
ในที่สุด...
ด่านแรกก็สำเร็จลงได้โดยไม่ต้องเป่าคาถาฉุกเฉินใส่บิดาในอนาคตให้ต้องรู้สึกผิดบาปไปเปล่าๆปลี้ๆ
หลังจากนี้ เพื่อเร่งรัดให้พ่อฟูหึงหวงแดดดี๊กับป๊ะป๋าให้ได้โดยเร็วที่สุด
ทั้งเขาและพลับจะต้องทำให้พ่อๆทั้งสองเอาใจใส่พวกเขาโดยไม่เปิดเผยสถานะ...
แค่คิดก็สนุกจนหยุดไม่อยู่เสียแล้วสิ!!
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
[6B]
“คนกลางรู้จักร้านนี้ได้ยังไง?”
หลังจากที่พวกเขาทั้งสี่ได้รับเล่มเมนูจากพนักงานเสิร์ฟโดยครบถ้วน เต๋อก็อดถามด้วยความแปลกใจไม่ได้
เพราะหากไม่ใช่คนในพื้นที่... ย่อมไม่มีทางรู้จักร้านอาหารชื่อดังประจำถิ่นร้านนี้แน่ๆ
“คนกลางอ่านรีวิวในบล็อกมาน่ะครับ
ก่อนมานี่ก็ตั้งใจจะมากินกับญาติดูสักครั้ง...
...เห็นเขาบอกว่าอาหารอร่อย
แถมบรรยากาศในร้านยังดีมากอีกตังหาก...
.
...พอได้มาเห็นกับตาก็รู้สึกว่าไม่ผิดไปจากที่บล็อกเกอร์โฆษณาเอาไว้เลยสักนิด”
แฝดคนพี่คลายข้อสงสัยของหนุ่มร่างหมีได้อย่างหมดจดในคราวเดียว คนที่เอาแต่จับผิดจึงแก้เก้อด้วยการหันไปชวนเพื่อนร่วมห้องเฉพาะกิจพูดคุยแทน
“มึงเคยมาร้านนี้ป่ะวะด้วง?”
“เคยมากินกับที่บ้านหลายครั้งเหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ด้วงกับพี่เต๋อต้องแนะนำเมนูอร่อยๆให้พวกเราได้แน่ๆ...ใข่ไหมครับ?”
ฝาแฝดหัวแดงยิ้มร่าระหว่างเอ่ยถามสองหนุ่มรุ่นพี่ด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“แต่เราสองคนจะชอบกินไอ้ที่พวกพี่จะสั่งหรือเปล่าล่ะ?”
“คนเล็กกับคนกลางกินได้ทุกอย่างครับ”
ฝาแฝดหัวแดงตอบคำถามของหนุ่มร่างหมีโดยไม่ละสายตาจากรายการอาหารในหน้าเมนู กระนั้น...
ท่าทางดังกล่าวกลับไม่ทำให้ตรินยิ่งรู้สึกประหลาดใจได้เท่ากับประโยคลอยๆที่อีกฝ่ายเอ่ยตามมาในภายหลังเลยสักนิด
“แต่พี่เต๋อจะสั่งยำปลาดุกฟูกับแกงส้มแป๊ะซะมาก็ได้นะครับ
พวกเราก็ชอบกินเหมือนกัน”
หนุ่มสถาปัตย์ปีสามถึงกับตวัดสายตาขึ้นจากเมนูเพื่อจับจ้องสองร่างที่นั่งอยู่ตรงข้ามอีกครั้งอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง...
มีอย่างที่ไหนที่อีกฝ่ายสามารถระบุเมนูโปรดของเขากับด้วงได้อย่างตรงเผงแบบนี้?!
แต่รอยยิ้มกว้างเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจของรุ่นน้องหัวแดงก็ทำให้เขาต้องพับความสงสัยเก็บใส่กระเป๋าแทบไม่ทัน...
ก็ใครมันจะไปคิดว่า เจ้าของดวงตาใสๆไม่มีพิษภัยคู่นั้นจะเป็นคนร้ายกาจและเชื่อถือไม่ได้กันล่ะ?!
“...อืม...
งั้นเดี๋ยวพวกพี่สั่งอาหารให้ก็แล้วกัน... ถ้าไม่พอ
หรือถ้าพวกเราอยากลองอะไรก็ค่อยสั่งเพิ่ม” เจ้าบ้านสรุปก่อนจะเรียกบริกรมารับออเดอร์ที่ตนกับด้วงช่วยกันเลือกสรรโดยไม่รอช้า
ฝ่ายฝาแฝดคนน้องก็แจกจ่ายรอยยิ้มหวานจนตาเป็นสระอิเมื่อรุ่นพี่ทั้งสองตามใจตนจนถึงที่สุด
คนพี่หัวทองจึงเริ่มชวนสองหนุ่มต่างมหาลัยพูดคุยเรื่องทั่วๆไปเพื่อสร้างบรรยากาศระหว่างรออาหาร
“พี่เต๋อกับพี่ด้วงเรียนคณะอะไรกันเหรอครับ?”
“พี่เรียนสถาปัตย์น่ะ
ส่วนไอ้ด้วงเรียนวิศวะ แล้วพวกเราล่ะ...เรียนอะไรกัน?”
“คนกลางเรียนบริหารครับ
ส่วนคนเล็กเรียนศิลปกรรมครับ” แม้คนหัวแดงจะไม่ได้ตอบ ทว่าแฝดน้องกลับยิ้มและผงกหัวรับรองคำพูดของคนเป็นพี่ด้วยความเต็มอกเต็มใจ
“ชื่อคนกลางกับคนเล็กนี่แสดงว่ายังมีพี่อีกคนใช่ไหม?”
ด้วงซักตามประสาคนช่างสังเกต ซึ่งคำถามดังกล่าวก็ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองอมยิ้มจนแก้มป่อง
โดยเฉพาะคนพี่ที่ไม่อาจเก็บซ่อนสายตาเป็นประกายเมื่อความคิดล่องลอยไปถึงพี่ชายคนโต
“ครับ...
พี่ชายฝาแฝดอีกคนชื่นคนโตครับ”
“แล้วทำไมไม่มาด้วยกันล่ะ?”
“คนโตติดงานครับ...
คนเล็กกับคนกลางเลยมากันสองคน” รุ่นน้องหัวแดงตอบความเท็จอย่างฉะฉาน... ก็พลายจะมาด้วยได้อย่างไร
ในเมื่อพ่อฌอนต้องการผู้ช่วย แถมหากพี่คนโตของพวกเขามา รับรองว่าพ่อฟูไม่มีทางหึงแดดดี๊กับป๊ะป๋าแหงๆ
ก็รายนั้นน่ะ ตัวใหญ่ได้ป๋ากับแด๊ดไปเต็มๆเลยนี่
“เราสองคนเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกเหรอ?”
“ครับ
พอรถเสีย... เราสองคนเลยไม่รู้ว่าจะทำยังไงกันดี...
.
.
...ถ้าโทรบอกคนโต
ทางนั้นต้องเป็นห่วงจนไม่เป็นอันทำงานแน่ๆ แต่จะให้โทรบอกญาติทางนี้เลยก็ไม่ได้...
...เดี๋ยวจะผิดความตั้งใจไปเสียก่อน”
โชคดีที่ก่อนมานี่ พวกเขาได้สิทธิมุสาฯแบบอันลิมิเต็ดจากเจ้าพ่อทั้งสอง
ไม่อย่างนั้นแต้มบุญที่เฝ้าสะสมมาอย่างยากเย็นตลอดหลายโกฏิปีที่ผันผ่าน คงต้องถูกกระหน่ำคร่าพร่าจำนวนแบบอักโขมโหฬารแหงๆ
“แล้วญาติพวกเราเรียนอยู่คณะไหนล่ะ?
ชื่ออะไร? เผื่อว่าพวกพี่จะรู้จัก” ตรินตั้งคำถามระหว่างที่พนักงานทยอยยกอาหารมาเสิร์ฟ
“ชื่ออิ๊กครับ...บริหารปีสอง
พวกพี่ๆรู้จักไหมครับ?” คุณสมบัติสั้นๆทว่าคุ้นหูที่ฝาแฝดคนพี่เอ่ยออกมานั้นทำให้ด้วงอดคิดถึงรุ่นน้องผู้เป็นแฟนเก่าของน้องห้องขึ้นมาไม่ได้
“อิ๊กเหรอ...
ใช่อิ๊กที่ตัวเล็กๆหน้าหวานเหมือนผู้หญิงใช่ไหม?”
“ใช่ครับ
อิ๊กที่โก๊ะๆพูดจากับใครไม่ค่อยรู้เรื่องน่ะครับ” คนกลางตอบกลั้วหัวเราะ... นี่ถ้าไม่ใช่เพราะทั้งเขาและพลับเป็นส่วนหนึ่งของพี่พลาย
พวกเขาคงให้คำจำกัดความดังกล่าวเกี่ยวกับอิ๊กไม่ได้ใกล้เคียงถึงเพียงนี้
“เออๆ
นั่นแหละ! อิ๊กเดียวกัน!!” เต๋อช่วยยืนยันอีกแรง แล้วจึงหันไปหาเพื่อนต่างคณะเพื่อหาทางช่วยเหลือฝาแฝดทันที
“มึงมีเบอร์อิ๊กป่ะด้วง... โทรเรียกมันมารับน้องหน่อยดิ๊”
“เราไม่มีเบอร์น้องหรอก”
วิญญูเอ่ยเสียงอ่อยในขณะที่ตรินถึงกับบ่นด้วยความเสียดาย
“อ้าว! กูนึกว่ามึงกับ... เอ่อ
คนนั้นนั่นแหละ...
จะสนิทกับไอ้อิ๊กมันเสียอีก”
“คนนั้นเขามีเบอร์อยู่คนเดียว
เราไม่ได้คุยกับน้องตรงๆหรอก”
“ไม่เป็นไรครับ...
พวกเรากินข้าวกันก่อนเถอะครับ เดี๋ยวกับข้าวจะเย็นหมด” คนกลางเบี่ยงประเด็นเพื่อปรับอารมณ์ของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“พี่ด้วงทานนี่หน่อยนะครับ” แฝดหัวทองว่าพลางตักแป๊ะซะของโปรดให้ จนคนเป็นพี่กุลีกุจอเอาอกเอาใจอีกฝ่ายคืนบ้าง
“ขอบคุณครับ...
คนกลางตักขาหมูถึงไหม?/ ขอชิ้นนึงกับผักดองแล้วก็มันบดได้ไหมครับ”
“พี่เต๋อ...
ปกติพี่เต๋อไว้หนวดไว้เคราหรือเปล่าครับ?” อยู่ๆแฝดคนน้องก็ถามหนุ่มสถาปัตย์หน้าคมด้วยหัวข้อที่ไม่ค่อยมีใครกล้าหยิบยกขึ้นมาถกกับตรินสักเท่าไร
“เมื่อก่อนก็ไว้นะ
แต่แบบนี้ก็โล่งดี ตัวเล็กถามทำไมเหรอ?”
“ตัวเล็กชอบพี่เต๋อหน้าเกลี้ยงๆจังเลยครับ
แต่ถ้าพี่เต๋อไว้เครา... พี่เต๋อต้องหล่อมากแน่ๆ”
ด้วยที่
ณ ตอนนี้ พลับคือส่วนหนึ่งของดวงวิญญาญซึ่งเปี่ยมไปด้วยบารมีแก่กล้า
แฝดหัวแดงจึงสามารถล่วงรู้ถึงอนาคตได้ด้วย
ซึ่งนับตั้งแต่วันครบรอบห้าขวบปีมนุษย์ของตัวเขาและฝาแฝดพี่ชายทั้งสอง
คนตรงหน้าจะเลื่อนขั้นเป็นป๊ะป๋าเต็มตัวพร้อมๆกับหวนกลับมาเลี้ยงหนวดและไว้เคราอีกครั้ง
“ไม่รู้เหมือนกัน...
ไม่เคยมีใครชมพี่แบบนี้มาก่อน”
“เชื่อคนเล็กสิครับ
ต่อไปต้องมีคนหลงเคราพี่เต๋อจนโงหัวไม่ขึ้นเลยล่ะ” ฝาแฝดคนสุดท้องอยากจะแบไต๋กับอีกฝ่ายแบบสุดใจขาดดิ้นว่า
ทั้งเรือนขนดกดำเงางามตามข้างแก้มและกรอบหน้าของว่าที่คุณป๊ะป๋าในอนาคต จะสะกดให้ทั้งพ่อฟูและแดดดี๊หนีไปไหนไม่รอดเลยสักราย...
โดยเฉพาะพ่อฟูที่มักจะส่งเสียงน่าเขินตามให้พวกเขาฟังทุกๆครั้งที่ป๊ะป๋าปล้นหอมปล้นจูบต่อหน้าลูกๆ
“เหรอ?...
อืม... ขอบใจนะ” ตรินรับคำแบบงงๆ ด้วยยังคงนึกไม่ออกว่าใครกันหนอที่จะหลวมตัวมาคลั่งไคล้เขาได้มากขนาดที่อีกฝ่ายร่ายให้ฟัง...
อย่างกังฟูน่ะหรือจะชอบคนหน้าหนวด?!
“พี่เต๋อตักปลาดุกฟูให้คนเล็กหน่อยได้ไหมครับ...
พอดีคนเล็กแขนสั้น”
“เอาสิ”
คำพูดของรุ่นน้องหัวแดงที่ส่งเสริมให้เจ้าตัวน่ารักน่าเอ็นดูไปกันใหญ่ ทำให้เต๋อพลอยยิ้มและพร้อมทำตามคำขอของอีกฝ่ายอย่างเต็มอกเต็มใจ
“ไอ้ด้วง! ไอ้เหี้ยเต๋อ!...
.
...พวกมึงแม่งเลวจริงๆ...
พวกมึงทำกับกูแบบนี้ได้ยังไง?” พลุกับพลับหันกลับไปมองยังต้นเสียง ในขณะที่สองหนุ่มร่างใหญ่ต่างก้มหน้าก้มตาตักอาหารใส่จานให้สองแฝดอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ใดๆทั้งสิ้น
‘พ่อฟู...พ่อฟูมาแล้ว!!’
‘ฮื่ออออ! คนเล็ก... อย่ายิ้มซี่!’
‘ทีคนกลางยังยิ้มให้พี่พลายได้เลยนี่นา!’
‘ก็พลายยิ้มให้คนกลางก่อนนี่’
“เดี๋ยวเฮีย! เฮียใจเย็นก่อน!!”
‘โซ๊ยเจ็ก!’
‘คนเล็ก... อย่าดีใจออกนอกหน้าสิ
เดี๋ยวโดนพลายดุเอานะ!!’
“ไม่ยงไม่เย็นแม่งแล้ว!! เก็กมึงดูดิ้ กูยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้
แต่พวกแม่งก็ทำเหมือนไม่เห็นหัวกูเลยสักนิด... มึงคอยดูนะ
กูจะด่าพวกแม่งให้จำบ้านเลขที่ไม่ได้เลย!”
“เฮีย! เฮียอย่าลืมดิว่าเฮียมาขอโทษพี่ด้วงกับพี่เต๋อนะเว่ย!”
“ปล่อยกู! ไอ้สัดด้วง! ไอ้เหี้ยเต๋อ! กูกำลังด่าพวกมึงอยู่นะ
พวกมึงยังจะกล้าลอยหน้าลอยตาใส่กูอยู่อีกเหรอ?”
‘เวลาพ่อฟูหึงนี่น่ารักเนอะคนกลาง’
‘คนเล็ก!... จะกระดี๊กระด๊าเกินหน้าเกินตาไปแล้วนะ!’
‘ทำมาเป็นดุเค้านะคนกลาง...
เมื่อกี๊เค้าเห็นคนกลางแอบปิ๊งๆตาใส่พ่อฟูเหมือนกันนั่นแหละ’
“เก็ก
พาเฮียฟูออกไปก่อนเถอะ”
“ปล่อยยยย! ไอ้เหี้ยเก็กปล่อยกู!!!!!”
‘ฌาน!!!!’
‘คนเล็กหันกลับมาเดี๋ยวนี้นะ! คนเล็กมองอาฌานนานเกินไปแล้วนะ’
“คนกลาง
คนเล็ก... มีอะไรหรือเปล่า? เจอคนรู้จักเหรอ?” สุดท้ายก็เป็นด้วงที่ทนเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้...
เพราะอะไรและทำไมพี่น้องฝาแฝดถึงได้พร้อมใจกันเอี้ยวตัวหันกลับไปจ้องยังพื้นที่ว่างเปล่าด้านหลังอยู่ตั้งนานสองนาน?
‘คนเล็ก! พลับ! คนกลางบอกให้หันกลับมาเดี๋ยวนี้...
เร็วสิ! แดดดี๊เรียกแล้ว!!!!’
“อ๋อ...
เปล่าครับ เมื่อกี๊คนเล็กตาฝาด นึกว่าเห็นอิ๊ก คนเล็กเลยชวนคนกลางหันไปมองน่ะครับ”
เป็นเพราะมนตร์บังตาของโฮลี่ฮิปสเตอร์แท้ๆเชียวที่ช่วยให้ฝาแฝดผู้พี่เอาตัวรอดได้โดยไม่ลำบากใจนัก
“เหรอ?...
อยู่ไหนล่ะ? เดี๋ยวพี่ช่วยดู” คนเสนอตัวอย่างวิญญูเลยพลอยชะโงกหน้ากวาดตามองหารุ่นน้องสมัยมัธยมด้วยความตั้งอกตั้งใจไปอีกคน
“ไม่ใช่หรอกครับ
คนกลางดูแล้ว...คนๆนั้นตัวเล็กกว่าอิ๊กน่ะครับ” ฝาแฝดคนพี่ตัดจบเร็วรี่เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องราวบานปลายจนอีกฝ่ายจับผิดได้
รู้ดังนั้น... ตรินผู้รักษาเวลาและเข้มงวดกับการศึกษาเป็นที่สุดก็ยุติข้อสงสัยทั้งปวงลงทันที
“ไม่ใช่งั้นก็กินกันต่อเถอะ
นี่ก็เที่ยงครึ่งแล้ว...พวกพี่มีเรียนบ่ายพอดี”
“ครับๆ”
‘ป๊ะป๋ากับแดดดี๊เกือบจะสงสัยแล้วเห็นไหมคนเล็ก?!’
‘อย่าโกรธเค้านะคนกลาง’
‘ไม่โกรธ... แต่จะบอกพลาย’
‘คนกลาง!!!’
‘กินข้าวเร็วๆ ห้ามงอนด้วย!’
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
[7B]
“พวกนายไปกินเห็ดเมากันมาหรือไง...
จะยิ้มฟุ่มเฟือยอะไรนักหนา?” อคิราผู้ซึ่งตามมาสมทบกับเหล่าสมุนเลวหลังจากพี่น้องอริยะตรัยกับชายกลางจรลีกลับไปที่ห้องได้ไม่นานตั้งข้อสังเกตทันทีที่เห็นสายตาหยาดเยิ้มกับรอยยิ้มเพ้อๆของสกลและแฝดพี่ที่ส่งให้กันไปมาราวกับนั่งดมควันกัญชามาสองชาติกว่าก็ไม่ปาน
“เปล่าหรอก
แค่เมื่อกี๊เฮียฟูรู้เรื่องลูกพี่ลูกน้องคุณแล้วน่ะ” แฝดน้องตอบกลั้วยิ้มน้อยๆ ฟีดแบ็คของกังฟูเมื่อแรกรู้เรื่องที่พวกเขากุขึ้นคือสาเหตุของความอิ่มอกอิ่มใจในครั้งนี้
“ใครวะ?” อดีตเดือนบริหารกระแทกตัวลงนั่งข้างๆร่างสูงพร้อมๆกับจ้องหน้าคู่สนทนาอย่างเอาเป็นเอาตาย
แต่เมื่อเห็นสายตาตำหนิติเตียนของอีกฝ่ายก็ทำให้ความจำของอิ๊กหวนกลับคืนได้ไม่ยาก
“อ๋ออออออ! คนที่พวกนายบอกฉันเมื่อวานนั่นน่ะเหรอ?
รู้แล้วเป็นไงมั่งอ่ะ? ช็อคมากไหม? ต้องรีบไปดูใจหรือเปล่า? ใกล้ตายยัง?”
“เก็บอาการหน่อยสิคุณ...
เดี๋ยวคนอื่นก็รู้ว่าสมองคุณไม่ปกติกันพอดี” แฝดน้องปรามอีกฝ่ายที่ดูจะดีใจกับความฉิบหายของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยอย่างออกนอกหน้า
ทว่าคำพูดหยอกเย้าประสาฌอนกลับทำให้ความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นที่อคิราดื่มด่ำกำซาบกระเด้งกระดอนหายลับไปกับตา
“นายขอรับ! / เรียกกันแบบนี้เหรอ?! เดี๋ยวจะโดน!” ต่างคนต่างขึ้นเสียงใส่อีกฝ่ายอย่างไม่มีใครยอมใคร
“หึ! นายไม่กล้าหรอก!/ ไปห้องน้ำกับผมเดี๋ยวนี้เลย!” คนหนึ่งก็ตั้งท่าท้าทาย ทำให้อีกคนยิ่งใช้คำพูดกับสายตาเข้าข่มขู่
“ไม่! ถ้าลุกก็กลัวดิ!!/ อิ๊ก!... ลุก!... ผมบอกให้ลุกเดี๋ยวนี้!”
อดีตเดือนบริหารอยู่ในโหมดพร้อมสู้เต็มอัตราศึกเพราะรู้ดีว่า
ในโรงอาหารเช่นนี้ ฝ่ายตนย่อมมีภาษีดีกว่าอยู่แล้ว
ไว้รอให้อีกฝ่ายลากเขาเข้าห้องน้ำได้เสียก่อน
ถึงตอนนั้นเขาจะใช้ภาษากายรุ่นนัวเนียเคลียคลอเพื่อขอโทษฌอนให้หนำใจกันทั้งสองฝ่ายก็คงไม่สายเกินไปหรอกมั้ง
ซึ่งก่อนที่แฝดน้องจะลุกขึ้นอุ้มร่างบางเข้าห้องน้ำไปสำเร็จโทษด้วยข้อหาเรียกเขาด้วยชื่อที่ไม่พึงปรารถนา
ฌานกลับพยักเพยิดเชิดหน้าพลางเจรจาหย่าศึกของคู่รักข้าวใหม่ปลามันให้ยุติลงได้ทันท่วงที
“ใจเย็นน้องชาย
อิ๊กยังไปไหนไม่ได้หรอก... ลูกพี่ลูกน้องอิ๊กเดินมาโน่นแล้ว”
“ไหนๆ?
ขอฉันยลโฉมหน้าลูกพี่ลูกน้องของฉันหน่อยซิ” อดีตเดือนบริหารมองตามหนุ่มสถาปัตย์ทั้งสามไปเซอร์เวย์หนังหน้าว่าที่ญาติกำมะลอของตนเพื่อสร้างความคุ้นเคยก่อนที่ละครตบตาสองหนุ่มรุ่นพี่จะเริ่มต้น
เรือนร่างบอบบางอ้อนแอ้นและดวงหน้าโดดเด้งเช้งวับของทั้งสองแฝดซึ่งถูกขนาบข้างด้วยรุ่นพี่ร่างใหญ่ทั้งสอง
ทำให้อคิราหลุดปากด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“เฮ่ย!... พวกนายล้อเล่นหรือเปล่า?! ฝาแฝดสองคนที่เดินมากับพี่เต๋อกับพี่ด้วงนั่นน่ะนะลูกพี่ลูกน้องฉัน?...
.
...ขนาดแค่เห็นไกลๆ
ฉันยังบอกได้เลยว่า เด็กแฝดสองคนนั้นหน้าตาโคตรน่ารักเลยอ่ะ...
...ไม่ยักรู้ว่าอย่างพวกนายจะรู้จักกับคนหน้าตาดีขนาดนี้ด้วย!” ... แม้ไม่อยากจะยอมรับ
แต่อิ๊กก็อดคิดไม่ได้ว่าไอ้เด็กคู่นี้ หน้าตาดีจนน่ากลัว
“หึ
หึ หึ... คุณอิ๊กประเมินโปรไฟล์พวกผมต่ำเกินไปแล้วครับ...
.
...ธรรมชาติของคนหน้าตาดีมีพรสวรรค์อย่างพวกผมย่อมต้องคบหาแต่กับเฉพาะคนหน้าตาดีเสมอกันเท่านั้นครับ”
สกลกลายร่างเป็นอึ่งอ่างพองลมเพื่อให้สมกับคำพูดเทิดทูนเบ้าหน้าสี่ตาตี๋ผิดมนุษย์ของตัวเอง...
แน่นอน ความมั่นใจผิดๆเช่นนั้น ย่อมเรียกเสียงถอนหายใจจากทุกคนได้อย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ต้องนัดแนะ
“ฌอน...
แล้วฉันจะรู้ได้ไงว่าแฝดคนไหนชื่ออะไรอ่ะ?” การแสดงจริงทั้งที่ไม่เคยซักซ้อมทำความเข้าใจ
หรือจัดคิวเข้า-ออกฉากพร้อมหน้ากับฝาแฝดมาก่อนเริ่มจะทำให้อคิราลุกลี้ลุกลนเหมือนโดนมดคันไฟกัดส่วนอ่อนไหวในร่มผ้า
“เรียกคนที่ย้อมผมทองว่าคนกลาง
ส่วนคนผมสีแดงชื่อคนเล็ก” ฌอนบอกตำหนิในการแยกแยะหนุ่มแฝดด้วยน้ำเสียงชิลจนน่าเหวี่ยงใส่
“แล้วฝาแฝดนั่นจะรู้จักฉันแน่ๆใช่ไหม?
ไม่ใช่ว่าพวกนายแกล้งอำแล้วปล่อยฉันให้หน้าแหกอยู่คนเดียวนะ?” ในขณะที่สามหนุ่มออกอาการเรื่อยๆเฉื่อยแฉะ
แต่หนุ่มบริหารหน้าหวานกลับล่กขึ้น...ล่กขึ้น อย่างเป็นธรรมชาติ
“รู้จักสิ”
...‘รู้จักดีพอๆกับที่พลายรู้จักอิ๊กเลยแหละ’ คือประโยคที่แฝดน้องพูดได้แค่ในใจ เนื่องจากการไม่บอกที่มาที่ไปของพลุกับพลับให้ร่างบางล่วงรู้ดูจะป้องกันปัญหายิบย่อยในอนาคตข้างหน้าได้มากกว่าเปิดหน้าไพ่แผ่หราอยู่แล้ว
“อ้าว! อิ๊ก!” การปรี่เข้ามาทักทายด้วยสีหน้าดีใจเว่อร์ๆของฝาแฝดหัวสีพิสูจน์คำพูดรับรองของฌอนได้เป็นอย่างดี
ถึงตอนนี้... กลับกลายเป็นอิ๊กเสียเองที่ไม่อาจตั้งรับกับระดับความร่าเริงและเจิดจ้าถึงขีดสุดของฝาแฝดทั้งสองได้
“เอ้ออออ!... คนกลาง?! คนเล็ก?!... พวกนายสองคนมาที่นี่ได้ยังไง?
ทำไมฉันถึงไม่รู้เลยมาก่อนล่ะว่าพวกนายจะมาหาฉันที่นี่?”เหล่าสมุนเลวทั้งสามต่างหันมองหน้ากันไปมาเพื่อแลกเปลี่ยนสายตาไว้อาลัยให้กับการแสดงที่แข็งแกร่งดุจหินผาและป่าไม้ของร่างบาง...
โถ! ช่างแสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติสมกับที่หนุ่มบริหารคุยโวเอาไว้อย่างดิบดีเสียเหลือเกิน!!
ดีนะที่รุ่นพี่ทั้งสองยังเดินมาไม่ถึงโต๊ะ
ไม่อย่างนั้นความคงแตกโพล๊ะเพราะน้ำมือของอิ๊กนี่แหละ
“เซอร์ไพรส์!!” ฝาแฝดหัวสองสี่ถลาเข้าไปสวมกอดร่างบางเอาไว้แน่นจนคนนอกอดปลื้มปริ่มแทนอิ๊กไม่ได้...
อะไรจะรักปานแหกตูดดมได้น่าชื่นชมเชิดชูขนาดนี้?!!
ทว่ายิ่งพลุกับพลับเล่นใหญ่และน่าเชื่อถือมากขึ้นเท่าไร
ความน่าหนักใจก็ตกสู่สองบ่าของคนต่อบทที่แสดงได้ห่างไกลจากคำว่าสมจริงมากขึ้นเท่านั้น
“เซอร์ไพรส์จริงๆ
เซอร์ไพรส์มากๆด้วย เหอ เหอ เหอ” อคิราแค่นหัวเราะเสียงแข็งระหว่างที่บังคับวงแขนให้วาดไปโอบกอดฝาแฝดด้วยความยากเย็นเข็ญใจ...
ไม่เห็นมีใครบอกก่อนเลยว่าจะมีการเล่นนอกบทแบบถึงเนื้อถึงตัว
เขากลัวสัมผัสจากขั้วเดียวกันนะเฟร่ย!!!
หืยยยย! ยิ่งกอดนานยิ่งขนลุก!!!
“อิ๊ก...
นี่พี่ด้วง และนี่... พี่เต๋อ” หนุ่มหัวทองแนะนำรุ่นพี่ปีสามรูปหล่อร่างสูงใหญ่ที่ยืนจับคู่คุยกันอยู่ข้างหลังด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจคล้ายลูกชายแนะนำพ่อตัวเองให้เพื่อนๆได้ทำความรู้จัก
ใบหน้าของเต๋อและด้วงทำให้ร่างบางอดคิดถึงพี่ชายอดีตแฟนไม่ได้
จะแปลกอะไรหากความเคียดแค้นที่มีต่อกรกฏจะกลายเป็นเชื้อไฟชั้นดีที่เสริมส่งให้จิตวิญญาณด้านการแสดงของอคิราโลดแล่นได้อย่างน่าทึ่ง
“ไม่ต้องแนะนำหรอก...
ก็คนรู้จักกันทั้งนั้นนี่เนอะ” อิ๊กส่งยิ้มให้ฝาแฝดอย่างน่ารักก่อนจะชวนทั้งสองคุยอย่างสนิทสนม
“แล้วไปทำอีท่าไหนมาล่ะถึงได้มากับพวกพี่ๆเขาได้?”
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทั้งตรินและวิญญูจาระไนถึงรายละเอียดของเหตุการณ์สมมติจอมปลอมที่ผ่านมาตลอดทั้งวัน
แฝดหัวทองคนพี่จึงรีบเบนความสนใจของร่างสูงทั้งสองโดยไม่อินังขังขอบกับคำถามของอิ๊กสักเท่าไร
“เอาอย่างนี้ดีกว่า
เดี๋ยวคนกลางไปซื้อข้าวก่อน... อิ๊กคุยกับคนเล็กไปก่อนนะ...
.
...พี่ด้วง
พี่เต๋อครับ... พาคนกลางไปซื้อข้าวหน่อยได้ไหมครับ?...
...คนกลางไม่รู้ว่ากับข้าวร้านไหนอร่อยน่ะครับ...
...นะครับ
นะ นะ”
“ด้วง...
มึงไปกับคนกลางดิ! เดี๋ยวกูนั่งรออยู่นี่แหละ” เต๋อบุ้ยใบ้ด้วยไม่เห็นเหตุผลที่จะแห่แหนกันไปซื้อข้าวเป็นขโยง
แต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีทางที่พลุจะปล่อยให้เหตุการณ์ไม่เป็นอย่างใจเด็ดขาด
“ไม่เอาครับ...ไม่เกี่ยงกันนะ...
ไปซื้อข้าวกับคนกลางกันทั้งคู่นี่แหละ ป่ะป้ะ!” ออดอ้อนเสร็จแล้วแฝดหัวทองก็เดินยิ้มกว้างพลางควงสองหนุ่มออกเดินไปพร้อมกันโดยไม่รอความเห็นชอบจากผู้ใดอีกเลย
เมื่อร่างสูงใหญ่ของรุ่นพี่ลับสายตาไป
เหล่าสมุนเลวทั้งหลายก็ถึงคราวผ่อนคลายได้เสียที
“ตัวเล็กมานั่งนี่ครับ” แฝดพี่ผู้ว่องไวยิ่งกว่ากามนิตหนุ่มว่าพลางคว้าข้อมือบางให้ลงนั่งข้างตัว
ฝ่ายอิ๊กที่เพิ่งตั้งสติได้ก็ออกอาการหลงใหลได้ปลื้มหนังหน้าของฝาแฝดหัวแดงทันที...
ขอเพียงไม่แตะเนื้อต้องตัวกับอีกฝ่ายที่ใช้ผู้ชายในลักษณะเดียวกัน
อคิราก็มั่นหน้าและพร้อมจะใช้สายตาโลมเลียสิ่งมีชีวิตเพศชายโดยไม่สนขั้วได้เสมอ
“คนเล็กน่ารักจังเลย...
หน้าตาอย่างกับตุ๊กตาแน่ะ”
“อิ๊กก็น่ารักครับ
น่ารักกว่าคนเล็กตั้งเยอะ” พลับเอ่ยตามความรู้สึกที่แท้จริง เพราะหากอิ๊กไม่น่ารักเช่นนี้...
เห็นทีว่าพ่อฌอนผู้ใจแข็งของพี่พลายคงจะไม่เผลอยกหัวใจให้ง่ายๆแบบนี้
“คึ
คึ คึ... ตาถึงนะเรา อยากได้คนเลี้ยงดูหรือเปล่า? มามะ...มาอยู่กับป๋าไหม?” ร่างบางซึ่งบ้ายอเป็นทุนเดิมก็ไหลตามน้ำด้วยการเลื่อนมือไปตบกระเป๋าตังค์บนโต๊ะดังปั่กๆเพื่อโชว์ป๋าอย่างร่าเริง
จนฝาแฝดฌานฌอนเริ่มจะนั่งไม่ติดที่
“ไม่ครับ
จะอยู่กับฌานครับ” ดีว่าพลับเอ่ยปฏิเสธแบบทันควัน ไม่อย่างนั้นพวกเขาทั้งหมดคงได้มีโอกาสเห็นฌานเดือดร้อนจนเนื้อเต้นเป็นขวัญตาแน่ๆ
“อ่อ...เออ
งั้นเหรอ... เหอๆ... อยู่ก็อยู่สิ ใครว่าไรล่ะ...เนอะ” อดีตเดือนบริหารแก้เก้อพลางเสหลบสายตาดุดันของแฝดพี่โดยที่ไม่หยุดซักถามอีกฝ่าย
“เออ...แล้วนี่ คนเล็กรู้จักกับพวกนี้ได้ยังไงอ่ะ?”
“คนเล็กกับคนกลางสนิทกับฌอน
กับฌานมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ” พลับตอบตามที่พลายสอนเอาไว้โดยไม่มีตกหล่นเลยสักคำ แต่ความผูกพันอันยาวนานที่สื่อผ่านประโยคเรียบง่ายได้ใจความดังกล่าว
กลับทำให้เกิดเรื่องยืดยาวขึ้นที่คนปลายทางอย่างไม่มีใครคาดคิด
“หืมมมมมมมม?!... อย่างนั้นเหรอ?... สนิทกันมากไหม?
ไม่เคยเห็นฌอนเล่าให้ฟังมาก่อนเลยแฮะ” เพียงเสี้ยววินาทีที่ประกายไฟในดวงตากลมโตของหนุ่มบริหารหน้าหวานช็อตเปรี๊ยะๆ
ไม่ฝาแฝดก็ฌอนนี่แหละที่จะโดนซักฟอกจนขาวราวกับแช่ไฮเตอร์ผสมกลูต้ากันเลยทีเดียว
“ยังไงครับฌอน... ฌอนรู้จักกับคนเล็กนานแล้วเหรอ...หืม?”
“ก็อืม...
ก็สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ไม่คิดว่าต้องเจอกันเลยไม่ได้แนะนำให้รู้จักน่ะ” แฝดน้องอ้อมแอ้มตอบหลังจากสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างบาง...
หลังจากนี้ เขาคงต้องรักษาระยะห่างจากฝาแฝดทั้งสองให้ชัดเจนเสียแล้ว
ไม่อย่างนั้นอคิราอาจจะลุกขึ้นมางับหัวเอาได้
“หึ
หึ หึ... งั้นเหรอ ไม่แนะนำ แต่พามาเจอเลยเนี่ยนะ?”
“ระหว่างฌอนกับแฝดน่ะไม่มีอะไรหรอกอิ๊ก
พี่ฌานรับรองได้” อีกครั้งที่สายสัมพันธ์พิเศษระหว่างฝาแฝดจอมขมังเวทย์ได้ช่วยชีวิตของอีกฝ่ายเอาไว้
กระนั้นกลับไม่ใช่การออกรับแทนของพี่ใหญ่ที่ทำให้อิ๊กปล่อยให้หัวของแฝดน้องยังกองอยู่เหนือบ่า
ท่าทางเอาใจใส่ของแฝดพี่ที่มีต่อฝาแฝดหัวแดงต่างหากล่ะที่ซื้อความเชื่อใจของอดีตเดือนบริหารได้จนหมด
“ฮื่อ...
ไม่เอาครับ ไม่ขมวดคิ้วนะ” ฌานลูบหน้าผากของแฝดคนเล็กอย่างแผ่วเบา แววตาที่สะท้อนเงาแห่งความรักและห่วงใยยามจับจ้องใบหน้าหวานหยดของพลับ
กระตุ้นสัญชาตญาณจอมเผือกของสกลให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง
“พี่ชาย...
แล้วคืนนี้เอาไงครับ?” เป็นเพราะหนุ่มหน้าแว่นเริ่มจะจิกตามองตามการกระทำของแฝดพี่ทุกระยะคล้ายไฮยีน่ากระหายเหยื่อ
แฝดน้องจึงตอบแทนคนเป็นพี่ด้วยการเปลี่ยนหัวข้อในการสนทนามันเสียเลย
“อิ๊ก...
ฝากอิ๊กคุยกับพี่เต๋อหน่อยได้ไหม? ทำยังไงก็ได้ให้คนกลางกับตัวเล็กไปนอนที่ห้องพี่เต๋อกับพวกพี่ฌานให้ได้”
แฝดพี่รับลูกต่อจากน้องชายด้วยความละมุนละม่อม
ซึ่งฌานไม่ต้องลำบากถึงขั้นเกลี้ยกล่อมเพื่อให้อิ๊กยินยอมพร้อมช่วยเหลือ
เพราะเมื่อเห็นช่องที่จะทำให้ตนมีโอกาสตามไปสอดส่องจับตาดูฌอนกับฝาแฝดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
อคิราก็โพล่งคำตอบรับคืนกลับให้แฝดพี่แต่โดยดี แถมด้วยรอยยิ้มเปี่ยมมิตรไมตรีที่ฉาบบังหน้าอาการหึงหวงอีกฝ่ายเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน
“หึ
หึ หึ... เดี๋ยวอิ๊กจัดการให้เองครับพี่ฌาน... พี่ฌานไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ
[8C]
ปาร์ตี้ชุดนอน | เพนท์เฮาส์หรูของเต๋อ
- ภายในห้องนอนรับรองแขก -
“ดูใกล้ๆอิ๊กยิ่งน่ารักเนอะคนกลางเนอะ!”
“ใช่! อิ๊กตาหวานจังเลย... คนกลางชอบตาอิ๊กจัง
ขนตาก็ง้อนงอน”
“เอ่อ...เหรอ แหะ แหะ...
...อืม... เพิ่งเคยได้ยินคนชมตาฉันก็ครั้งนี้ครั้งแรกนี่แหละ...
.
...พวกนายยังไม่ง่วงเหรอ? นอนกันเถอะนะ สี่ทุ่มกว่าแล้ว
พรุ่งนี้ฉันมีเรียนเช้า”
“นอนก็ได้... แต่อิ๊กนอนตรงกลางนะ คนเล็กอยากนอนกอดอิ๊ก”
“เอ่อ... จะดีเหรอ?”
“ดีสิ! คนกลางก็อยากกอดอิ๊กเหมือนกัน!”
“เหอ เหอ เหอ...
พวกนายไม่รู้สึกแปลกๆเหรอถ้าเราจะนอนกอดกันแบบนี้น่ะ?... พวกนายไม่กลัวฝนฟ้าคะนองหรือฟ้าแลบแปลบปลาบกันสักหน่อยเลยเหรอ?”
“จะกลัวอะไรล่ะ? ถ้าฟ้าผ่าจริงๆ คนกลางก็จะกอดอิ๊กให้แน่นๆ คนกลางจะได้ไม่ต้องกลัวฟ้ายังไงล่ะ”
“ใช่ ใช่ ใช่! คนเล็กด้วย!!”
“เฮ่ย! อย่าเพิ่งปิดไฟ! ฉันยังไม่ได้ทำใจเลย!!”
“คนกลาง... อิ๊กตัวหอมมากเลยล่ะ คนกลางลองดมดูสิ”
“ไหนๆ? (ฟอดดดด) / เฮ่ย!!!”
“หอมจริงๆด้วยอ่ะคนเล็ก แถมแก้มก็นิ้มนิ่ม... ชักอิจฉาอาฌอนเสียแล้วสิ!”
“อาฌอน? อาฌอนไหน? เดี๋ยว! พวกนายตอบฉันก้อนนนนน!! / คนกลางขอคนเล็กลองหน่อยยยยยย!!! (ฟอด ฟอด ฟอด
ฟอด)...ฮ่าห์! อิ๊กตัวห้อมหอม
นิ้มนิ่มมมมม!! คนเล็กชอบ!!”
“พวกนายนอนเฉยๆกันเป็นไหมเนี่ย?!! หยู๊ดดดดด! อย่าหอม!!.... เฮ่ย! อย่าไซ้สิเฟร่ยเดี๋ยวฟ้าผ่าตายหอง!!!”
- ห้องรับแขก -
“ไม่นึกเลยนะครับว่าคนที่เจ้าพ่อเลือกมาเพื่อทำหน้าที่มือที่สามจะเป็นพลุกับพลับ
อิทธิฤทธิ์ของเจ้าพ่อนี่สุดยอดจริงๆ...
...กระทั่งคนในอนาคตเจ้าพ่อไทรทองท่านยังพาวาร์ปมาใช้งานได้”
“ใครบอกล่ะสกล... เจ้าพ่อท่านแค่แยกจิตของพลุกับพลับออกจากพ่อพลายแล้วสร้างกายเนื้อให้เท่านั้น...
.
...ในอนาคตข้างหน้า แฝดสามที่กำลังจะเกิดมาจะจำเหตุการณ์คราวนี้ไม่ได้หรอก”
“ก็นั่นแหละครับ แค่สร้างร่างให้พลุกับพลับได้ก็อะเมซิงสุดยอดแล้วอ่ะครับพี่ฌาน”
“เจ้าพ่อท่านคงรู้แหละว่าวิธีนี้ได้ผลแน่ๆ ท่านเลยลองเสี่ยงดู”
“แหม...จะไม่ได้ผลได้ยังไงล่ะครับ ก็ทั้งพลุทั้งพลับน่ะหน้าตาธรรมดาเสียที่ไหน...
.
...วันนี้ตอนเย็นที่แฝดพาพี่เต๋อกับคุณพี่ด้วงเข้ามาในโรงอาหาร
ผมเห็นพวกเด็กวิศวะแอบส่องฝาแฝดกันตาเป็นมันเลยครับ”
“เหรอ? มองใครล่ะ? พลุ... หรือพลับ?”
“ก็คงทั้งสองคนนั่นแหละมั้งครับ...
.
...แต่พูดก็พูดเถอะ ตอนนี้ผมยังคิดถึงเรื่องเมื่อกลางวันอยู่เลยครับพี่ฌาน...
...คุณกรกฏนี่โหดจริงๆนะครับ อาละวาดทีร้านแทบแตกแน่ะ...
...นี่ถ้าพี่เต๋อกับคุณพี่ด้วงไม่โดนมนตร์เจ้าพ่อบังตาไม่ให้มองเห็นพวกเรา
ผมว่าต่อไปพี่ๆสองคนจะต้องทูนคุณกรกฏขึ้นเหนือหัวเพราะไม่กล้าทำอะไรขัดใจคุณกรกฏอีกเลยแน่ๆครับ...
.
...ขนาดยังไม่คบกัน คุณกรกฏยังหึงแรงขนาดนี้...
...เกิดตกลงเป็นแฟนกันเมื่อไร... หืยยยย!
ไม่อยากจะคิดเลยครับว่าคุณกรกฏจะดุขนาดไหน”
“เฮียฟูหึงก็ดีแล้ว พวกเราจะได้ล้างพรได้สำเร็จเสียทียังไงล่ะ...
.
.
...แต่พี่ฌานยังติดใจอยู่เรื่องนึงที่สกลเล่าเมื่อกี๊น่ะ...
...เด็กวิศวะกลุ่มไหนมองพลุกับพลับเหรอ? แล้วระหว่างแฝดสองคน...
ใครโดนจ้องมากกว่า สกลระบุให้ชัดๆได้หรือเปล่า?”
“อืม... ถ้าต้องชี้ชัดขนาดนั้น... ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันอ่ะครับพี่ฌาน...
.
...พอดีตอนนั้นผมหันไปจับสังเกตพี่เต๋อกับคุณพี่ด้วงเสียก่อนเลยไม่ทันได้เช็คเรทติ้งให้ฝาแฝดน่ะครับ...
...แต่ถ้าให้เดา... ผมว่าพลับน่าจะฮ็อตกว่าพลุนะครับ เพราะพลุเล่นเดินควงพี่เต๋อกับคุณพี่ด้วงโชว์ไปทั่วโรงอาหารแบบนั้น
คงไม่มีใครกล้าแหยมหรอกครับ แต่พลับนั่งอยู่ที่โต๊ะเฉยๆก็คงจะโดนจ้องมากกว่าเป็นธรรมดาอยู่แล้วล่ะครับ”
“เหรอออออออ?! คราวหน้าพี่ฌานฝากสังเกตให้ละเอียดกว่านี้อีกสิบเท่าเลยนะ
ยิ่งถ้าสกลรู้ว่าใครมันจ้องพลับกับพลุมากๆ หรือมีทีท่าสนอกสนใจ
สกลไปสืบหาชื่อแซ่มาให้พี่ฌานหน่อย พี่ฌานจะได...
“ฮ้าววววว! พี่ชายครับ นอนกันเถอะครับ... ดึกแล้ว ฌอนง่วงแล้วครับ”
“ฌอนศรีนี่ไม่มีมารยาทเลยนะ! ไม่เห็นเหรอว่าผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน...
ตัวเองอยากนอนก็นอนไปสิ ไม่เห็นจะต้องมาขัดความสุขของคนอื่นเลย”
“พี่ชายครับ นอนเถอะครับ”
”พ่อฌานขอรับ... พ่อฌานอย่าหึงจนขาดสติสิขอรับ...
.
...ถ้าพ่อฌานยังไม่อยากให้แนนรู้เรื่องพลับกับพ่อฌาน
พ่อฌานก็รีบนอนเสียบัดเดี๋ยวนี้เถิดขอรับ”
”ขอบใจที่ช่วยเตือนสตินะพ่อพลาย”
“ฮ้าวววววว! นอนเลยก็ดีเหมือนกันนะน้องชาย จะว่าไป...พี่ฌานก็เริ่มง่วงแล้วแหละ...
ถ้างั้น พวกเราก็นอนกันเถอะนะ”
“เฮ่ย! อะไรอ้ะพี่ฌาน! ผมยังคันปากอยู่เลยนะครับพี่ฌาน...
อยู่คุยเป็นเพื่อนกันก่อนดิครับพี่ฌาน!!”
“อะไรวะ?! เฮ่ย! ตื่นมาคุยกันก้อนนนนน!!!”