Monday, October 1, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#26+แจ้งลา|| 01.10.2018


#26


จิตใจตรงกัน ผูกพันรักใหม่
สุขใจเหลือเกิน รักเพลินสดใส
มอบรักให้เธอ ใจฉันเหม่อลอย
หากเธอยังคอย ฉันพลอยอุ่นใจ
แฟนฉัน - วงชาตรี

…………………………………………………………………………………………………………


“พี่ฟี่จะไปเข้าห้องน้ำเหรอ” ยีนส์หันไปปรือตาใส่คนที่เพิ่งดึงหูฟังข้างขวาออกจากหูหล่อน เมื่ออีกฝ่ายเพียงถอนหายใจใส่ หญิงสาวจึงปิดปากหาวพลางเลื่อนสายตามองตามแผ่นหลังของคิมหันต์กับทิวัตถ์ที่เพิ่งเดินลงจากรถไปได้ไม่นาน “สงสัยต้องรอให้พวกพี่ทูกลับมาก่อนอะ ไม่งั้นเดี๋ยวไม่มีใครเฝ้ารถ”

“โอ๊ย... ฉันไม่ได้จะไปเข้าห้องน้ำ!” ยิ่งสหายร่วมวงการเม้าท์ดูง่วงเหงามากเท่าไร ทัชชาก็ยิ่งหงุดหงิด

“อ้าว แล้วพี่ฟี่ดึงหูฟังหนูออกทำไมอ่ะ หรือพี่จะไปซื้อขนมเพิ่ม แต่นี่ก็เยอะจนกินได้ถึงปีหน้าแล้วนะพี่” คนพูดขยี้ตา ทำหน้าบู้บี้พลางเหลือบมองกองขนมที่ต่างคนต่างขนมาถมรถกันโดยไม่ได้นัดหมาย “ถ้าพี่คันมืออยากเปย์จริง ๆ ไว้คืนนี้เราค่อยไปตำที่ Cicada ดีปะ” ยีนส์พยายามต่อรอง เพราะถ้าแวะปั้มแล้วไม่เข้าห้องน้ำ หล่อนก็ไม่เห็นเหตุผลที่ต้องก้าวลงรถไปให้แดดเมืองไทยย่างสดหนังกำพร้าไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ

เสียงบีทหนักๆ จากหูฟังบนหน้าตักของน้องเล็กที่ดังแทรกขึ้นเป็นระยะ ๆ ทำให้ทัชชาอ่อนใจ “เฮ้อ”

เพราะมัวแต่ฟังเพลงอยู่นี่ไง ยีนส์ถึงไม่เดือดร้อนกับสถานการณ์ตึงเครียดในรถตลอดเกือบหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ผิดกับหล่อนที่ต้องนั่งตัวแข็งจนถึงเมื่อครู่เพราะคนขับกับตุ๊กตาหน้ารถแทบไม่พูดอะไรกันสักคำ

“เลิกฟังเพลงได้แล้ว มาช่วยฉันคุยหน่อย นี่คือคำสั่ง!” ซีเนียร์คอนซัลท์ตีหน้ายักษ์ข่มขู่

“โห่พี่ฟี่ หนูขอบายได้ไหม แฟนพี่ทูเปิดเพลงอะไรไม่รู้ เก๊าเก่า... หนูฟังแล้วจะหลับอ่ะ” ยีนส์อุทธรณ์ จริงอยู่ว่าตอนเม้าม์กันก็มันดีอยู่หรอก แต่ช่วงเดดแอร์นี่สิ จะให้หล่อนนั่งฟังเมดเลย์เพลงคนแก่ไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ไหวนะ

“จิ๊!” ทัชชาถอนหายใจฟึดฟัดพลางมองค้อนคู่สนทนาอย่างเหลืออด

เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าช่างพลาดโมเมนท์สำคัญไปอย่างน่าเสียดาย... ถึงเพลงพวกนั้นจะล้าสมัยไปสักหน่อย แต่ทุกเพลงที่คุณหนาวเปิดน่ะขึ้นชื่อเป็นเพลงบอกรักระดับตำนานทั้งนั้น ไม่เห็นหรือไงว่าเมื่อกี้ทูมันเขินจนแทบจะม้วนเป็นก้อนกลม ๆ อยู่แล้ว

แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่ฉันต้องนั่งเป็นใบ้อยู่คนเดียวในขณะที่ผู้ชายเปิดเพลงจีบกันไงยะ!

“ไม่ได้ เดี๋ยวแกจะต้องช่วยฉันชวนคุณหนาวคุย” ถ้าจะต้องสอดแนมคู่รักคู่นี้ตามลำพัง หล่อนอาจโดนท่าน HR Director บีมแสงเลเซอร์ใส่เพราะทนชังน้ำหน้าไม่ไหว แต่ถ้าสมาคมอีสาวช่างเม้าท์รวมหัวผนึกกำลัง คุณหนาวอาจจะเกรงใจจนยอมให้ข้อมูลวงในบ้าง

“โหย ไม่เอาอ่ะพี่ แฟนพี่ทูดุจะตาย ยิ่งเมื่อเช้าตอนที่แกเห็นหน้าพวกเรานะ” พอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า ยีนส์ก็ส่ายหัวดิก ก่อนจะตวัดแขนทั้งสองข้างขึ้นโอบกอดตัวเองอย่างหวาดหวั่น “หูยยย... มองหนูแรงเว่อร์!

ที่จริงแล้ว สองสาวคอนซัลท์นัดกับ Destiny’s Child ไว้ว่าจะไปหัวหินพร้อมกันโดยมีทัชชาเป็นสารถี แต่หลังจากปล้ำกับรถอยู่นาน รปภ. ประจำคอนโดที่ดูจะรู้เรื่องกลไกรถยนต์ (มากกว่าเจ้าของ) ก็แนะนำว่าให้ส่งรถไปเช็ก ดีกว่าฝืนขับทางไกลแล้วไปเสี่ยงทายกับอู่ต่างจังหวัดที่หล่อนไม่รู้จัก ทัชชาจึงจำใจส่งข้อความสลายการชุมนุม ปล่อยกลุ่มยูสเซอร์ขึ้นรถโคชที่บริษัทจัดไว้ให้ตามยถากรรม จากนั้นจึงโทรหาทูเพื่อขอพึ่งใบบุญท่าน HR Director พ่วงตนกับน้องนุชสุดท้องของทีมติดรถไปเที่ยวด้วยกัน

“จิ๊! แกไม่ได้โดนอยู่คนเดียวเสียหน่อย” ทัชชาบึนปากอย่างเซ็ง ๆ ถ้าจู่ ๆ รถหล่อนไม่งอแง ป่านนี้แม่ได้เม้าท์ละครกระจายจนน้ำลายแห้งไปหลายรอบแล้ว

“ก็นั่นไง แล้วพี่ฟี่ยังจะให้หนูชวนเขาคุยอีกเหรอ”

“แกไม่อยากรู้เหรอว่าสองคนนั้นถึงขั้นไหนกันแล้ว” พอเปลี่ยนสถานะจากคนขับมาเป็นผู้โดยสารประจำรถผู้บริหารบริษัทลูกค้า หัวข้อสนทนาบนรถก็ไม่ควรล่อแหลมสุ่มเสี่ยง อะไรจำพวกเม้าท์มอยคนโน้น แซะคนนี้ที่เป็นทางถนัดของพวกหล่อน ก็ยิ่งลืมไปได้เลย ดังนั้นเรื่องเดียวที่น่าสนใจและไม่น่าเบื่อจนเกินไปในความเห็นของทัชชาจึงหนีไม่พ้น เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยว่าด้วยความรักของคนขับกับตุ๊กตาหน้ารถนี่แหละ

“ทำอย่างกับว่าถ้าเราถามแล้วเขาจะยอมตอบงั้นแหละพี่” ยีนส์เบ้ปากมองรุ่นพี่อย่างหน่าย ๆ เป็นไปไม่ได้... ยังไงคุณคิมหันต์ก็ไม่เล่าหรอก “เหอะ! หนูว่ายากอ่ะ”

สีหน้าเย็นชาน่าเกรงขามของท่าน HR Director ที่ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำทำให้ยีนส์วิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างเฉียบแหลมและแม่นยำกว่าปกติ ลำพังแค่เอ่ยทักทายอีกฝ่ายตอนเดินผ่านกันตามที่ต่าง ๆ หล่อนยังไม่กล้าเผยอคอ นับประสาอะไรกับการไต่ถามเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายกัน

“โอ๊ย คุณหนาวเขามารยาทดีจะตาย ถ้าแกกับฉันช่วยกันตะล่อม ตอดนิดตอดหน่อย ยังไงเขาก็ต้องตอบแหละ เชื่อฉันสิ”

“ไม่เอาอะ ให้ตายยังไง หนูก็ไม่เอาชีวิตไปทิ้งก่อนแบล็กพิงก์จะออกอัลบั้มเต็มหรอก”

“แกนี่มั...” ทัชชาที่ผิดหวังจากการทรยศของเดอะแก๊งกำลังจะอ้าปากด่าน้องน้อยให้สมกับความหมั่นไส้ แต่หนึ่งในเป้าหมายดันเดินกลับมาที่รถเสียก่อน

“พี่ฟี่ ยีนส์ เข้าห้องน้ำปะ”

“ไม่อะ ยังไม่ปวด” ซีเนียร์คอนซัลท์รับหน้าตอบคำถามแทน ส่วนยีนส์ก็ส่ายหัวประกอบอย่างรู้งาน ทัชชารอจนทูนั่งประจำที่ด้านหน้าก่อนจะถามถึงสมาชิกกิตติมศักดิ์ที่ไม่ได้กลับมาพร้อมกับอีกฝ่าย “แล้วคุณหนาวอ่ะ”

ทิวัตถ์ดันกรอบแว่นขึ้นพลางบุ้ยใบ้ให้คู่สนทนามองตามไปยังร้านกาแฟที่อยู่ถัดจากห้องน้ำไม่ไกล “เขาไปซื้อกาแฟ พี่ฟี่กับยีนส์เอามะ เดี๋ยวผมเดินไปซื้อให้” ว่าแล้ว ทูก็ปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยก่อนจะดึงสลักเปิดประตูอย่างว่องไว แต่ทัชชากลับร้องห้ามไว้ก่อน

“ไม่ต้อง ๆ แค่ที่ซื้อมานี่ก็กินกันจะไม่หมดอยู่แล้ว” ทัชชาเห็นยีนส์แอบกลอกตาจึงหันไปแยกเขี้ยวใส่คนทรยศก่อนจะถามถึงเรื่องที่ทำให้พวกหล่อนคาใจมาจนบัดนี้ “เออนี่ทู”

“ครับพี่”

“คุณหนาวเขาไม่ได้โกรธอะไรพวกพี่ใช่ปะ”

“อืม” ชายหนุ่มครางพลางหวนนึกถึงตอนที่บทสนทนากับคิมหันต์เมื่อเช้า...

ตอนเขาบอกเรื่องพี่ฟี่กับยีนส์ เท่าที่ฟัง เสียงของอีกฝ่ายแม้จะนุ่มนวลฟังรื่นหูเหมือนทุกที แต่ก็มีบางจังหวะที่เจ้าตัวเงียบไปนานคล้ายกับมีอะไรในใจเช่นกัน แต่นั่นจะสำคัญอะไรล่ะ ในเมื่อคนที่หัวร้อน อยากถกเรื่องเมื่อคืนกับคิมหันต์ให้กระจ่างระหว่างทางไปหัวหินน่ะมันตัวเขา ไม่ใช่คนขับเสียหน่อย

“แต่เขาเงียบมากเลยนะ พี่กับยีนส์เลยอดกลัวไม่ได้ว่าเขาจะโกรธพวกเราหรือเปล่าที่มาเป็นกอขอคอ”

“ไม่นะพี่ พี่หนาวไม่ได้โกรธหรอกครับ ปกติเขาก็เป็นแบบนี้แหละ พี่ฟี่ยังไม่ชินอีกเหรอ” ทูแสร้งยิ้มกลบเกลื่อน

เพราะเข้าใจในเหตุสุดวิสัยเกี่ยวกับรถของทัชชาพอ ๆ กับที่รู้ว่าอีกฝ่ายชอบการเม้าท์มอยเป็นชีวิตจิตใจ ทิวัตถ์จึงไม่กล้าชวนคนขับคุยเหมือนทุกที ทูไม่อยากให้บุคคลที่สามและสี่เอาเรื่องที่พวกเขาคุยกันไปขยายต่อ ชั่วโมงแรกของการเดินทางจึงมีแค่เสียงเพลงที่ช่วยขับกล่อมให้บรรยากาศภายในรถไม่เงียบเหงาจนเกินไปนัก

“...เหรอ...” ซีเนียร์คอนซัลท์พยายามจับสังเกตอาการของทูอยู่เงียบ ๆ

“ครับ ปกติพี่” ชายหนุ่มแค่นยิ้มพลางพยักหน้ารับรอง

ทัชชาชะโงกหน้า เอื้อมมือไปแตะบ่ารุ่นน้องที่นั่งตรงเบาะข้างคนขับพลางขมวดคิ้วมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัย  “เวลาแกนั่งรถกับเขา แกไม่ชวนเขาคุยเลยเหรอ”

ตอนทูนั่งรถหล่อน บรรยากาศไม่เห็นอึดอัดแบบนี้ เผลอ ๆ ถ้าบังเอิญถามไปคุยมาแล้วสุ่มเลือกหัวข้อแจ็กพ็อตที่พวกเขาสนใจตรงกันเข้า เจ้าตัวก็ฝอยสนั่นไม่น้อยหน้าคู่สนทนาคนไหนเสียด้วยซ้ำ

“ก็คุยบ้างครับ ส่วนใหญ่ก็คุยเรื่องปลาวาฬ ทำไมเหรอพี่” ชายหนุ่มรู้ดีว่าการนั่งรถเงียบ ๆ โดยไม่พูดคุยอะไรกับใครเลยนั้นผิดสังเกต หนำซ้ำบางวูบเขาก็แอบเสียดายเวลาอยู่บ้าง แต่เพื่อชื่อเสียงของอีกฝ่ายในระยะยาว เขายอมอดทนอดกลั้นเองดีกว่า

“อ๋อเหรอ” พี่ใหญ่ประจำทีมแอบมองสบตากับน้องเล็กที่นั่งข้าง ๆ กัน “แล้วถ้าฉันถามอะไรแฟนแกบ้าง เขาจะว่าพี่ไหมวะ”

“คุณฟี่จะถามอะไรผมเหรอครับ”

เสียงของคนขับที่เพิ่งเดินมาขึ้นรถจากด้านหลังรถทำให้ทัชชาที่มัวแต่เฝ้าระวังด้านหน้าสะดุ้งโหยง หล่อนคลี่ยิ้มประจบคิมหันต์ที่เพิ่งส่งแก้วกาแฟแก้วหนึ่งให้คนข้างตัว “อ๋อ ก็ถามเรื่องทั่ว ๆ ไปน่ะค่ะ คือ... ถ้าเวลาฟี่ขับรถทางไกล เพื่อนฟี่ต้องคอยชวนฟี่คุยเพราะกลัวฟี่จะหลับใน”

“ผมขับได้ครับ จะแบบไหนก็ขับได้ ไม่ต้องห่วงนะครับ” คิมหันต์ยิ้มเย็นพลางคาดเข็มขัดนิรภัย

“อ๋อ... ค่ะ” อยู่ ๆ ทัชชาก็รู้สึกว่าเสียง กริ๊ก เบา ๆ ของเซฟตี้เบลท์ที่ดังขึ้นพร้อม ๆ กับรอยยิ้มของอีกฝ่ายเมื่อครู่ฟังคล้ายกับสัญญาณเตือนให้หล่อนสงบปากสงบคำ

“ถ้าคุณฟี่ง่วง คุณฟี่นอนได้เลยนะครับ เดี๋ยวถ้าถึงแล้วผมจะปลุก” พูดจบ เจ้าตัวก็คลี่ยิ้มบางอย่างสุภาพ แต่ทั้งฟี่กับยีนส์รู้ดีว่า ประโยคเมื่อครู่คือคำสั่ง ไม่ใช่การเชื้อเชิญตามมารยาทแต่อย่างใด

ไหนว่าไม่โกรธไง...
ทัชชาตวัดสายตาจ้องมองทิวัตถ์อย่างเอาเรื่อง แต่อีกฝ่ายกลับรู้ทัน ชิงนั่งหันหลังให้หล่อนเสียแล้ว

เมื่อพลาดจากทู ซีเนียร์คอนซัลท์ก็หันไปหาเด็กน้อยข้าง ๆ เพื่อหวังได้รับสายตาปลอบประโลม แต่นอกจากน้องเล็กจะไม่เลิกฟังเพลงตามที่หล่อนสั่งแล้ว เจ้าตัวยังมีแก่ใจส่งไลน์มาหาด้วยข้อความสั้น ๆ ว่า ไหนพี่บอกว่าเขามีมารยาทไง ทันทีที่รู้สึกถึงความโดดเดี่ยว ตัวคนเดียวแบบเต็มรูปแบบ ทัชชาก็ชิงหลับหนีปัญหาไปตลอดทาง

••••••

(ก๊อก ก๊อก ก๊...)

ผมยืนเคาะประตูหน้าห้องพักของพี่หนาวได้ไม่ถึงนาที บานไม้ตรงหน้าก็เปิดขึ้นพร้อม ๆ กันกับที่ผมโดนเจ้าของห้องฉุดข้อมือให้เดินตามเข้าด้านในโดยไม่พูดอะไรสักคำ

“พี่หนาว?!” ผมเผลอเรียกลุงแกเสียงดังเพราะตกใจ แต่อีกฝ่ายกลับโน้มตัวเข้าหาแล้วกระซิบข้างหูผมเบา ๆ

“เซ็นอยู่ห้องตรงข้ามน่ะ”

“อ่า ครับ” ผมพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจในขณะที่พยายามบอกตัวเองว่าไม่ให้สั่น เพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อกี้เผลอทำเสียงดังหลังได้ฟังเสียงกระซิบใกล้ ๆ หูนี่แหละ งือ บางทีลุงไซด์ไลน์ก็รุกผมแรงไป๊ ใจผมจะไม่ไหวแล้ว... แต่เมื่อกี้พี่หนาวกระซิบทำไม?

เสียงเจื้อยแจ้วคุ้นหูที่เพิ่งได้ยินก่อนนอนเมื่อคืนทำให้ผมชะโงกคอมองไปทั่ว ก่อนจะพบว่า ฝ่ามืออีกข้างของพี่หนาวกำลังถือโทรศัพท์โดยหันหน้าจอเข้าหาตัว “พ่อเพิ่งมาถึงครับ ไว้ตอนเย็นพ่อจะไปถ่ายรูปเปลือกหอยให้นะครับ”

(“โอเคค่ะ”) กว่าผมจะนึกเสียใจเรื่องที่ทำเสียงดังก็ตอนที่เห็นเจ้าของห้องกำลังเฟซไทม์คุยกับลูกสาวนั่นแหละ

แต่ผมไม่รู้นี่นา ตอนที่ไลน์มาถามอีกฝ่ายว่าว่างคุยไหม ลุงแกก็บอกให้ผมรีบมาหาที่ห้องพักตรงอีกฟากหนึ่งของสระว่ายน้ำ พร้อมให้เหตุผลเสร็จสรรพว่า ถ้าอยู่ ๆ เราสองคนออกไปเดินเพ่นพ่านหรือชวนกันไปหาที่คุยที่อื่น อาจมีใครในโปรเจคเห็นเข้าเสียก่อน ด้วยความใจร้อนและร้อนใจฉิบหายวายวอด พอโยนกระเป๋าจองเตียงที่จะนอนเสร็จ ผมก็แอบย่องแบบลับ ๆ ล่อ ๆ มาหาลุงแกถึงห้องโดยไม่ต่อรองสักแอะ

(“ปลาทู!”) เด็กหญิงในหน้าจอมือถือของพี่หนาวโบกมือโบกไม้เรียกผมยิก ๆ ผมเลยยิ่งรู้สึกเขินไปกันใหญ่ที่อยู่ ๆ ก็โดนเจ้าวาฬน้อยจับได้ว่า พอลับหลังแก (และทุกคนในโปรเจค) ผมก็แอบย่องเข้าห้องคุณพ่อรูปหล่อของแกจนได้

“ครับ ว่าไงครับเจ้าหญิงของอาทู”

“คุยต่อสิ ลูกพี่คิดถึงทูนะ” ผมย่นคอเพราะพี่หนาวยื่นหน้ามาพูดใกล้ ๆ เพราะมัวแต่เขินจนไม่ทันคิดอะไร อีกฝ่ายเลยจูงมือผมไปนั่งลงพร้อม ๆ กันตรงปลายเตียง

ทันทีที่รู้สึกถึงความใกล้ชิดผิดปกติ ผมก็สำนึกได้ว่า มันไม่น่าจะเหมาะสม... หรือเปล่าวะ

ผมเถียงกับตัวเองอย่างหนักว่าควรลุกไปนั่งที่อื่นดีไหม เพราะนอกจากเตียงจะเป็นชัยภูมิสุ่มเสี่ยงที่อาจทำให้ผมคิดลึกกับลุงแกจนเสียสติแล้ว การที่หัวไหล่ซ้ายลงไปจึงถึงสีข้างของผมพิงอยู่บนอกพี่หนาวก็ทำให้ผมหัวหมุนติ้ว ๆ ยิ่งกว่าลูกข่าง แต่เพราะอีกฝ่ายวางตัวตามสบายแถมยังดูไม่คิดมากอะไร ผมเลยยอมนั่งคุยกับลูกสาวแกอยู่ตรงนั้นอย่างว่าง่ายทั้ง ๆ ที่หัวใจทำงานหนักมาก

“ปลาวาฬ” ความรู้สึกพอง ๆ ฟู ๆ ในอกทำให้ผมฉีกยิ้มกว้างจนแก้มร้าวไปทั้งแถบ ใครก็ได้ช่วยด้วย ผมกำลังเขินจนใกล้จะเป็นบ้าอยู่แล้ว

(“ปลาวาฬคิดถึงปลาทูจังเลยค่ะ”)

ใบหน้าแต้มยิ้มดูจิ้มลิ้มของปลาวาฬทำให้ผมกลับมาควบคุมตัวเองได้ ด้านหลังของเจ้าวาฬน้อยที่ผมเห็นอยู่ไกล ๆ คือ ภาพพี่ป๊อบปี้กับน้องดี ทั้งสองกำลังนั่งคุยกันหนุงหนิงบนโซฟาตัวยาวข้าง ๆ โต๊ะอาหาร ผมเดาว่า ทั้งสามคนน่าจะกำลังกินข้าวอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง... ใช่ไหมนะ “ปลาวาฬทำอะไรอยู่ครับ”

(“ปลาวาฬเพิ่งกินข้าวกลางวันเสร็จค่ะ ปลาวาฬคิดถึงคุณพ่อเลยขอให้คุณแม่โทรหา”) เด็กหญิงยิ้มจนตาเป็นขีด จังหวะที่แกกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง ผมก็ได้ยินเสียงผู้ชายพูดภาษาอังกฤษเร็วปร๋ออยู่ใกล้ ๆ

(“ไปครับพี เดี๋ยวไปเรียนสาย”) แม้จะไม่เห็นหน้าคนพูด แต่เท่าที่จับใจความประโยคเมื่อครู่ได้ นั่นน่าจะเป็นเสียงของแจสเปอร์ ยิ่งเมื่อเห็นเจ้าวาฬน้อยหันหน้าไปยิ้มอีกทางขณะโต้ตอบกลับด้วยภาษาเดียวกันแบบทันทีทันใด ผมก็มั่นใจว่าผมคิดถูก

(“โอเคค่ะแด๊ดดี้ ขอปลาวาฬบ๊ายบายคุณพ่อก่อนนะคะ”) ว่าแล้ว เจ้าหญิงคนเก่งของผมก็หันกลับมามองกล้องแล้วโบกมือไหว ๆ ให้เราสองคนแบบรัว ๆ (“เดี๋ยวปลาวาฬไปเรียนเปียโนก่อนนะคะ”)

“เดี๋ยวคืนนี้พ่อโทรไปกู๊ดไนท์นะครับลูก”

(“แค่คุณพ่อคนเดียวเหรอคะ แล้วปลาทูล่ะคะ ปลาทูจะโทรหาปลาวาฬไหม”) เจ้าวาฬน้อยเอียงคอมองหน้าผมอย่างมีความหวัง จังหวะที่ผมกำลังจะอ้าปาก คนข้าง ๆ กลับแย่งตอบคำถามเสียก่อน

“เดี๋ยวคืนนี้พ่อกับอาทูจะโทรไปกู๊ดไนท์ลูกด้วยกันนะครับ”

ผมถลึงตามองลุงไซด์ไลน์อย่างงง ๆ ...
เดี๋ยวนะ ที่พี่บอกลูกพี่ไปเมื่อกี้น่ะหมายความว่ายังไง?

(“ปลาวาฬ คุยเสร็จหรือยังคะลูก”) พี่ป๊อบปี้ชะโงกมองเจ้าวาฬน้อยอยู่อึดใจก่อนจะฉวยกระเป๋าสะพายแล้วค่อย ๆ เขยิบเข้ามาใกล้ลูกสาวมากขึ้นเรื่อย ๆ

(“เสร็จแล้วค่า”) ปลาวาฬคงรู้ตัวว่าแม่อยู่ใกล้ ๆ เจ้าตัวเล็กเลยหันมาโบกมือส่งท้ายใส่กล้องแล้วเอ่ยคำอำลาอย่างรวดเร็ว (“บ๊ายบายค่ะคุณพ่อ บ๊ายบายค่ะปลาทู”)

“บ๊ายบายครับลูก”

“บายครั...” ผมยังพูดไม่ทันจบ สายก็ตัดไปเสียก่อน พอไม่มีปลาวาฬเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ผมก็สั่งตัวเองให้เบือนหน้าหันไปมองทางอื่นหลังเริ่มรู้สึกเขินกับท่านั่งตัวติดกันอีกครั้ง... ทำไงดี อยู่ ๆ ผมก็รู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กจนผู้ชายต้องโอบกอดเอาไว้

“เดี๋ยวพี่ไปเอาน้ำมาให้นะ” พูดไม่ทันจบ พี่หนาวก็ลุกไปเปิดตู้เย็นทันที

“ครับ”

แม้พี่หนาวจะลุกไปแล้ว แต่ผมก็ยังวางตัวไม่ถูก การนั่งอยู่บนเตียงในห้องของผู้ชายที่... น่าจะคิดอะไร ๆ กับตัวผม ทำให้หัวสมองฟุ้งซ่านไปร้อยแปด ซึ่งนั่นไม่ดีเลย เพราะผมอยากคุยกับเขาเกี่ยวกับเรื่องของ เรา ในขณะที่มีสติครบถ้วนมากกว่า

รู้อย่างนั้น ผมเลยเสมองไปรอบ ๆ ห้องพลางผ่อนลมหายใจ ก่อนที่สายตาจะหยุดลงตรงที่นั่งสำหรับสองคนตรงด้านข้างกระจกฝั่งสระว่ายน้ำที่ห้องพักของผมไม่มี นับว่าอินทีเรียยังเห็นใจแขกที่อยากจะเอนหลังนั่งผ่อนคลายตรงมุมนั้น เพราะมู่ลี่ไม้ที่ติดไว้ช่วยกันสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนที่ลงเล่นน้ำในสระได้เกือบร้อยเปอร์เซนต์

ที่ผมรู้ ไม่ใช่เพราะเคยมาพักที่นี่ แต่เพราะผมดูไลฟ์รีวิวห้องพักของพี่ฟี่ระหว่างที่นั่งรอกุญแจอยู่ตรงล็อบบี้ข้างหน้า ซึ่งนอกจากจะบอกข้อดีและข้อดีกว่าของห้องพักฟรีอย่างละเอียดแล้ว รายนั้นยังใจดี ลงน้ำไปสำรวจความดีงามของสระว่ายน้ำก่อนใครเพื่อนไปอีก

อย่าบอกใครนะ แต่ผมว่าที่พี่ฟี่แกลงไปรีวิวสระว่ายน้ำทั้ง ๆ ที่แดดเปรี้ยง เพราะแกน่าจะอยากตามไปส่องห้องพักของคนอื่นแบบไม่น่าเกลียดมากกว่า

“สรุปทูนอนห้องไหนเหรอ”

ผมละสายตาจากแถบแสงซึ่งลอดผ่านซี่มู่ลี่ที่ทำให้ผนังปูนเปลือยกับพื้นหินขัดสีควันบุหรี่มีรอยขีดพาดเป็นริ้ว ๆ แล้วหันไปมองเรือนร่างสูงใหญ่ที่ยืนหันหน้าเข้าหาชั้นวางตู้เย็นทรงสี่เหลี่ยมขนาดราว ๆ ตู้เซฟในหนังฝรั่งอย่างปลื้มปริ่มปนสนเท่ห์... ผู้ชายคนนี้ ดูดีทั้งข้างหน้าและข้างหลังจริง ๆ

“ผมนอนห้องสามสิบแปดครับ” การที่พี่หนาวเงียบไป ทำให้ผมพอเดาได้ว่าสิ่งที่ลุงแกอยากรู้ไม่ได้มีแค่นั้น “นอนกับน้องอีกคนที่ทำระบบInventory น่ะครับ” (หมายเหตุ: ระบบ inventory ในที่นี้หมายถึง ระบบที่ช่วยในการบันทึกข้อมูลการตรวจนับสินค้าคงคลังจัดเก็บ)

ห้องพักของผมกับพี่หนาวอยู่คนละฝั่ง พวกเราถูกคั่นกลางด้วยสระว่ายน้ำยาว ๆ ที่นับเป็นจุดขายของโรงแรมบูทีคสุดชิคแห่งนี้ ถึงจะไม่รู้ว่าตรรกะในการสุ่มเลือกห้องคืออะไร แต่อย่างหนึ่งที่ผมรู้แน่ก็คือ พวกผู้บริหารได้นอนคนเดียวในห้องที่หรูหราหมาเห่ากว่าไพร่ฟ้าตาดำ ๆ ที่ต้องแชร์ห้องนอนกันอย่างพวกผม ซึ่งจากรีวิวทางน้ำของพี่ฟี่ แกบอกว่าแกเห็นอ่างจากุชชีและห้องน้ำแบบโอเพ็นแอร์ในห้องพักปีกนี้

“อืม” แม้จากจุดที่อีกฝ่ายยืนอยู่ ผมจะมองไม่เห็นหน้าเขา แต่ผมดันรู้สึกโคตรฟินกับภาพพี่หนาวขณะรินน้ำใส่แก้วทั้งสองใบ

ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้ กับผู้ชายคนที่ผมเจอที่ห้างเมื่อไม่กี่เดือนก่อนยังคงทำให้ผมใจเต้นไม่เป็นส่ำได้ไม่เปลี่ยน ไม่สิ... ผมว่าตอนนี้ใจผมเต้นแรงกว่าวันแรกที่เราเจอกันหลายเท่า เพราะลุงไซด์ไลน์คนนั้นไม่ได้ชอบผม เหมือนกับพี่หนาวคนนี้เสียหน่อย

“ที่ปลาวาฬพูดเมื่อคืนหมายความว่ายังไงเหรอครับ”

พี่หนาวหมุนตัวกลับมาแล้วยืนพิงโต๊ะตัวยาวข้าง ๆ ตู้เย็น เขายืนจ้องผมอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ขยับเข้ามาใกล้ แต่การที่อีกฝ่ายเงียบไปทำผมใจเสียจนต้องก้มหน้ามองต้นขาตัวเองอยู่นานสองนาน กว่าจะรู้ตัว แก้วใบหนึ่งที่มีน้ำกว่าค่อนก็ยื่นมาตรงหน้า “ดื่มก่อนสิ”

ผมรับน้ำแก้วนั้นมาแล้วกระดกจนหมดเหมือนตอนกินเหล้าวัดใจ พอผมกำจัดน้ำในแก้วจนสิ้นซาก ผมก็เงยหน้าขึ้นมองคนที่ยอมกลับมานั่งข้าง ๆ กันอย่างมีความหวัง “ที่ปลาวาฬบอกว่าอยากให้ผมไปนอนด้วยทุกคืน หมายความว่ายังไงเหรอครับ”

“ถ้ากลับกรุงเทพไปแล้ว ทูย้ายมาอยู่กับพี่ กับลูกนะ”

บุญบาป!... เขาพูดแล้ว ในที่สุดพี่หนาวก็ยอมพูดแล้ว เย่ส!

ใจผมอยากจะยิ้มแทบบ้า แต่ผมกลับไม่กล้าแสดงสีหน้าอะไรออกไป สุดท้ายผมเลยเม้มปากแล้วก้มลงมองแก้วเปล่าในมือก่อนจะนึกเสียใจที่เมื่อกี้ดันซัดน้ำในแก้วเสียเรียบ เวร... ทีนี้ก็ไม่เหลืออะไรไว้ให้ทำแก้เขินอีกแล้ว แต่ถึงจะไม่รู้ว่าควรทำหน้ายังไง แต่เรื่องที่ผมอยากรู้ยังมีอีกเพียบเลย

“ผมจะไปอยู่ที่บ้านพี่หนาวในฐานะอะไรเหรอครับ”

“อ๊ะ!” อยู่ ๆ แก้วในมือผมก็โดนคนนั่งข้าง ๆ ดึงออกไป ผมเลยเผลอเงยหน้าขึ้นมองตามมันตาละห้อย  

พี่หนาวไม่ได้ตอบคำถามผมในทันที เขาไม่สนใจกระทั่งเสียงอุทานของผมเมื่อครู่นี้ เขาเพียงแค่เอี้ยวตัวแล้ววางแก้วลงบนโต๊ะใกล้ ๆ อย่างเงียบ ๆ

ผมมองพี่หนาวขยับตัวไปมาด้วยสายตาชื่นชมผสมเลื่อนลอยนิด ๆ เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเวลาลุงแกหยิบโน่นจับนี่ เจ้าตัวดูดีมากเสียจนไม่ว่าอะไรบ้าน ๆ ที่เขาทำอยู่กลายเป็นเรื่องน่าดูชมสำหรับผมไปหมด

ก่อนผมจะเพ้อไปกว่านี้ พี่หนาวก็หันกลับมาแล้วคว้ามือผมไปกุมเอาไว้ ผมตกใจที่อยู่ ๆ ก็ถูกอีกฝ่ายจับมือ แต่ผมกลับต้องตระหนกเบอร์แรงจนอ้าปากค้างเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมาหลังจากนั้น

“พี่ชอบทูครับ”

เขาชอบผม เขาชอบผม เขาชอบผม!
แม่ครับ พ่อครับ พี่เอิง ไอ้สาม เฟม รุ้ง ทุก ๆ คน พี่หนาวชอบผม!!

ผมพูดไม่ถูกว่าตอนนี้มีอะไรอยู่ในหัวผมบ้าง รู้แต่เพียงว่าผมดีใจ ดีใจมากเสียจนลืมหายใจไปเลย
มันเป็นความรู้สึกพลุ่งพล่าน อบอุ่น สว่างไสวเหมือนมีใครเอาพลุไฟมาจุดในท้องดอกแล้ว ดอกเล่าราวกับไม่มีวันสิ้นสุด ชีวิตนี้ ผมไม่เคยแอบชอบใครมาก่อน ผมเลยไม่รู้ว่าเวลาที่คน ๆ นึงสมหวังในความรัก เขาจะรู้สึกอย่างที่ผมกำลังรู้สึกไหม แต่ต่อให้ไม่รู้ว่ามันผิดหรือถูกยังไง ผมก็ยังดีใจจนพูดอะไรไม่ออกอยู่ดี

“ทูได้ยินพี่ไหมครับ”

เพราะแรงบีบที่มือแท้ ๆ ผมถึงยอมเงยหน้ามองพี่หนาวดี ๆ ใบหน้าเขาตอนนี้ดูตลกและแปลกกว่าที่เคยเห็น... มันเหมือนเจ้าตัวกำลังตกใจและผิดหวังไปพร้อม ๆ กัน เห็นแบบนั้นผมเลยรีบกลืนน้ำลายแล้วตอบเขาไปเบา ๆ “ดะ ได้ยินแล้วครับ”

ไม่รู้ว่าเสียงพูดของผมมันแผ่วเกินไป หรือเพราะเขาอยากฟังเสียงตึกตักในอกผมให้ชัด ๆ กันแน่ พี่หนาวเลยชะโงกหน้าเข้ามาเสียใกล้ “แล้วทูล่ะ คิดยังไงกับพี่ครับ”

โอยตาย ๆ แค่ต้องจ้องตาด้วยยังไม่พอ สองมือของผมยังโดนอีกฝ่ายจับไว้เสียอีก...
แล้วที่ถามกันนี่ ใจคอพี่เขาอยากจะให้ผมเขินจนระเบิดตัวเองตรงนี้ใช่ไหม

“ทูชอบพี่ไหมครับ”

เอาวะ... ถ้าจะตาย ผมขอตายเพราะสำลักความสุขก็แล้วกัน ในเมื่อไม่คิดจะหนี ผมเลยจ้องมองดวงตาคมคู่นั้นนิ่ง ๆ แล้วพูดสิ่งที่ผมเก็บซ่อนไว้ในใจให้เขาฟัง “ครับ ชอบครับ”

ฟังคำตอบผมแล้ว พี่หนาวก็ยิ้มกว้างจนผมพลอยยิ้มตามไปด้วยทั้ง ๆ ที่ยังเขินเป็นบ้า ช่วยด้วย ผู้ชายคนนี้เป็นใครเนี่ย ทำไมเขาถึงมีอิทธิพลกับใจผมเหลือเกิน

“ถ้างั้น...” อยู่ดี ๆ เขาก็หยุดพูด จากนั้นก็นิ่งไปเหมือนกำลังนึกบางอย่าง ปลายนิ้วโป้งทั้งสองของเขาไล้วนบนหลังมือผมเบา ๆ ก่อนจะหยุดลงพร้อม ๆ กับเสียงสูดลมหายใจยาวยืด “ทูเป็นแฟนกับพี่นะครับ”

ผมว่าผมตายจริง ๆ แล้วว่ะ ไม่อย่างนั้นผมจะตัวเบาราวกับได้ขึ้นสวรรค์ทันทีที่ได้ยินเขาขอผมเป็นแฟนงั้นเหรอ
ฮือ ตอนแอบรักแล้วมีโมเมนท์ก็ว่าฟินแล้ว แต่ตอนถูกลุงขอเป็นแฟนกลับฟินเฟ่อร์!

ผมหันไปยิ้มอีกทางแล้วพูดเบา ๆ ราวกับไม่อยากให้ใครได้ยินเสียง “เราไม่ได้เป็นแฟนกันอยู่แล้วเหรอครับ”

พี่หนาวชอบใจจนหลุดหัวเราะออกมา เขาเขย่ามือผมแล้วรีบสรุปด้วยเสียงสั่นเครือเหมือนยังขำไม่เสร็จดี “เราเป็นแฟนกันจริง ๆ แล้วนะครับ”

“ครับ” ผมก้มหน้างุดตอนที่รับปากเขา พอพูดจบ ผมก็ยิ้มกับตัวเองแม้ว่าร่างในมโนจะวิ่งกรี๊ดแปดหลอดไปทั่วรีสอร์ทเป็นรอบที่สิบได้แล้ว

“ถ้างั้นกลับไป ทูย้ายไปอยู่กับพี่นะ”

“พี่หนาวแน่ใจแล้วใช่ไหมครับว่าอยากให้ผมไปอยู่ด้วย” ถึงจะดีใจที่ได้คบกับพี่หนาวแล้วจริง ๆ แต่พอคิดถึงปลาวาฬ ผมอดห่วงไม่ได้ ถึงแกชอบผมแค่ไหน แต่เจ้าวาฬน้อยจะรับได้จริงหรือเปล่า

“ครับ ปลาวาฬก็อยากให้ทูไปอยู่ด้วย” เขามองหน้าผมตาหวานฉ่ำ... ผมไม่ได้คิดไปเองนะ แต่สายตากับรอยยิ้มบนหน้าพี่หนาวตอนนี้ทั้งหวาน ทั้งชวนเขินกว่าตอนที่เรายังไม่ได้เป็นแฟนกันลิบลับ อย่างกับว่าเขาอยากจะจับผมกินเสียให้รู้แล้วรู้รอดอะไรแบบนั้นน่ะ “ย้ายมาอยู่ด้วยกันนะครับ อยู่กับพี่... กับลูก”

แล้วผมจะทำอะไรได้อีกล่ะ ในเมื่อโดนพี่หนาวตกด้วยสายตานั่นไปเรียบร้อยแล้ว

“ได้ครับ” ผมรีบตอบรับคำชวนเมื่อครู่นี้ด้วยความดีใจ เพราะการได้อยู่กับพี่หนาวทุกวัน ทุกเวลา ได้ไปรับ ไปส่งปลาวาฬที่โรงเรียน ได้พาแกไปเที่ยว ได้ดูแลแก คือความฝันของผมตั้งแต่ได้กลับไปนอนค้างที่บ้านพี่หนาวอีกครั้ง “ผมก็อยากไปอยู่กับปลาวาฬเหมือนกันครับ”

พอผมพูดจบ พี่หนาวก็ยิ้ม ผมก็ยิ้ม เราต่างคนต่างยิ้มแล้วก็มองกันไปมาอยู่นาน บางทีที่มองกันอยู่ดี ๆ ก็ยิ้มสลับกับเขินอีกฝ่ายจนสุดท้ายก็ไม่มีใครพูดอะไร ซึ่งนั่นคือปัญหาไง เพราะพอห้องมันเงียบ ผมก็ดันยิ่งรู้สึกเขินเพราะอดนึกถึงตอนพี่หนาวบอกชอบผมไม่ได้ และถ้าผมเขินหนักกว่านี้ ผมจะต้องเผลอทำเรื่องน่าอายต่อหน้าลุงแกแน่ ๆ สุดท้ายผมเลยต้องชวนคนข้าง ๆ ... เอ้ย! แฟนหมาด ๆ ของผมคุยแก้เก้อเสียหน่อย

“ห้องพี่หนาวสวยดีนะครับ”

“อ้าว ห้องทูไม่ใช่แบบนี้เหรอ” พี่หนาวเลิกคิ้วพลางมองผมอย่างงงๆ

“ก็คล้าย ๆ แบบนี้แหละครับ แต่เล็กกว่า เตียงนึงอยู่ตรงนี้ อีกเตียงอยู่ตรงโน้น” พูดไป ผมก็ชี้นิ้วให้อีกฝ่ายดูที่นั่งข้างสระว่ายน้ำที่ผมนั่งจ้องอยู่เมื่อครู่ “พอมีสองเตียง ที่นั่งแบบนี้เลยไม่มี แต่เขามีโต๊ะกับเก้าอี้ให้นะครับ... อ้อ แล้วก็ไม่มีแชมเปญแบบห้องพี่หนาวด้วย”

“อืม” พี่หนาวรับคำสั้น ๆ ก่อนจะไม่พูดอะไรอีก

พอลุงแกนิ่งไป หัวสมองผมก็หวนคิดถึงตอนที่เราตกลงคบกัน ยังดีที่จะเขินจนตัวบิด ปากผมก็โพล่งอีกหนึ่งคำถามเรื่อยเปื่อยออกมาเสียก่อน “พี่หนาวเล่นจะน้ำไหมครับ”

คนฟังส่ายหัวพลางย่นจมูกคล้ายไม่ถูกโรคกับสระว่ายน้ำ “ไม่ครับ พี่เหนื่อย ๆ ว่าจะนอนพักสักหน่อย”

อ้าว... คุยกับผมเสร็จก็เหนื่อยเฉยเลย อย่างนี้แปลว่าผมควรต้องไปไกล ๆ ใช่ไหมวะ

“งั้นเดี๋ยวผมกลับห้องก่อนดีกว่า พี่หนาวจะได้พักผ่อน”

“ไม่กลับได้ไหมครับ” พี่หนาวมองหน้าผมโดยที่ยังจับมือไม่ปล่อย... ฮือ ผมรู้แล้วว่าปลาวาฬได้ทักษะการอ้อนอันยอดเยี่ยมมาจากใคร “อยู่กับพี่นะ”

“ครับ”

“ขอบคุณครับ” ว่าแล้ว อีกฝ่ายก็ยิ้มแล้วทิ้งตัวนอนราบลงกับเตียงก่อนจะหลับตา ผ่อนลมหายใจอย่างสม่ำเสมอ ลุงแกนอนทั้ง ๆ ที่ขาทั้งสองข้างยังตั้งฉากกับพื้น... เอ ถ้าหนุนหมอนเสียหน่อย พี่หนาวจะสบายขึ้นไหมวะ

ผมลุกไปหยิบหมอนตรงหัวนอนติดมือมาเพราะคิดเอาเองว่าท่านอนแบบนี้คงจะไม่ค่อยสบายเท่าไร แม้ผมจะมีความปรารถนาดีเต็มเปี่ยม แต่การจะเอาหมอนให้อีกฝ่ายหนุน ผมจะต้องยกหัวของพี่หนาวขึ้นแล้วสอดหมอนลงไปด้านใต้

ซึ่งผม... คนที่ไม่เคยแตะต้องตัวลุงไซด์ไลน์มาก่อน (ถ้าไม่นับตอนที่ถูกเขาจับมือแบบจะจะเมื่อกี้) จะทำมากกว่านั้นได้ยังไง? เอาไงดีวะ จะกลับห้องก็กลับไม่ได้ แต่ถ้าต้องทนนั่งดูอีกฝ่ายนอนงอก่องอขิง ผมก็เมื่อยแทน

หลังจากเก้ ๆ กัง ๆ อยู่นานสองนาน ผมก็ทนยืนบื้อต่อไปไม่ไหว “ขอโทษนะครับพี่หนาว”

“หืม?” เขาปรือตามองผมสลับกับหมอนอย่างงง ๆ  “ทำอะไรครับ ทูจะเอาหมอนไปนอนตรงไหน”

“เปล่าครับ ผมเอาหมอนมาให้... นอนหนุนหมอนเถอะครับ จะได้หลับสบาย” ผมยื่นหมอนให้ แต่ร่างบนเตียงกลับค่อย ๆ กระเถิบขึ้นไปนอนขวางตรงกลางเตียงแล้วตอบผมเสียงง่วง ๆ

“ทูทำให้พี่หน่อยสิ” พูดไม่ทันจบ พี่หนาวก็ผงกหัวขึ้นรอพลางจ้องตาผมด้วยกระบวนท่าต่อรองแบบเดียวกับปลาวาฬเป๊ะ ๆ เห็นแบบนั้น ผมเลยต้องเซอร์วิสท่าน HR Director อย่างเสียไม่ได้ ใช่สิ... ก็ผมมันคนอ่อนแอที่พ่ายแพ้ให้กับคนบ้านนี้ที่แท้ทรูแต่เพียงผู้เดียวยังไงล่ะ

ผมก้มลงจัดหมอนในตำแหน่งที่น่าจะเหมาะกับสรีระของอีกฝ่าย ระหว่างนั้น แทนที่พี่หนาวจะหลับตา เขากลับจ้องหน้าผมโดยแทบไม่กะพริบตาเลยสักครั้ง ใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้ ๆ กับสายตาคมที่ตอนนี้คงมีแต่ภาพผมอยู่ในนั้นทำผมใจเต้นแรง พอวางหมอนรองใต้คอให้ลุงแกเสร็จ ผมเลยรีบผละห่างเพราะตั้งใจจะไปนั่งหลบคิดเรื่อยเปื่อยตรงช่องแสงข้างสระว่ายน้ำที่ห้องพักของตัวเองไม่มี

“อ๊ะ!?” อยู่ ๆ ภาพแนวตั้งที่ผมเห็นอยู่ก็ล้มครืน วินาทีที่รู้ว่าตัวผมกำลังจะกระแทกกับพื้นผมก็ปิดเปลือกตาแน่น ซึ่งกว่าจะรู้ว่าโดนคนบนเตียงดึงตัวไปกอด ผมก็กระดุกกระดิกตัวไม่ได้อีกแล้ว

“นอนเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะครับ”

เสียงกระซิบแผ่วกับลมหายใจร้อน ๆ ที่เป่ารดท้ายทอยทำผมขนลุกซู่ มือไม้อ่อน พูดอะไรไม่ออก ผมเลยพยักหน้าถี่ ๆ อยู่หลายทีแทนการยอมรับ ซึ่งผลจากการทำความดีในครั้งนั้น ผมก็ได้รับรางวัลเป็นคำว่า น่ารัก กับเสียงหัวเราะอย่างชอบใจของอีกฝ่ายที่ทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำนานหลายนาที

••••••

“เดี๋ยวสี่โมงป๊าจะให้พี่ไอซ์เอาขนมมาให้นะ” ธามย้ำกับลูกชายหลังทั้งคู่เดินเข้ามาในร้านดอกไม้ได้เพียงครู่เดียว

“...”  กาลกมลไม่มองหน้าพ่อ เด็กชายเอาแต่สอดส่ายสายตามองหาแมวทั้งสองตัวอย่างมุ่งมั่น

เจ้าของร้านขนมปังถอนหายใจ แต่เพราะไม่อาจโอ้เอ้ถ่วงเวลา เจ้าตัวจึงกำชับเลือดเนื้อเชื้อไขอีกรอบ “อยู่ที่นี่ก็อย่าดื้อล่ะ เดี๋ยวป๊าเก็บร้านเสร็จแล้วจะมารับ”

เมื่อบิดาปล่อยมือ เวลาก็พุ่งเข้าไปหาแมวสองตัวที่นอนขดอยู่ในลังเบียร์ตรงใต้โซฟา ธามถอนหายใจพลางยืนมองบุตรชายอย่างท้อแท้ ท่าทางห่อเหี่ยวของพ่อหม้ายทำให้ผู้เห็นเหตุการณ์วางมือจากดอกไม้แล้วเดินเข้าไปสนทนาด้วย

จริงอยู่ที่เขาเป็นเพียงคนนอก แต่หลังจากวันที่เปิดอกคุยกัน คเชนทร์กลับสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของธามได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะตอนที่เจ้าตัวอยู่กับเวลา แม้จะดีใจที่อีกฝ่ายพยายามปรับปรุงตัวเองเพื่อครอบครัว แต่อีกใจ เจ้าของร้านดอกไม้ก็อดเป็นทุกข์แทนชายหนุ่มไม่ได้ “เดี๋ยวผมดูเวลาให้ คุณไม่ต้องห่วงหรอก”

“คุณต้องให้เวลากินขนมตอนสี่โมงนะ ถ้ากินช้ากว่านั้นเดี๋ยวจะกินข้าวเย็นไม่ลง”

“อืม เดี๋ยวผมจัดการให้”

“ผมฝากลูกด้วยนะคุณ” ธามเหลือบมองลูกชายเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะต้องผิดหวังที่กาลกมลไม่แม้แต่จะชายตามองเขาเลยสักหน

“อืม” เจ้าของร้านดอกไม้คลี่ยิ้มอ่อนโยน “คุณกลับไปที่ร้านเถอะ เดี๋ยวผมดูแกให้เอง” คเชนทร์เดินไปส่งธามก่อนจะหยุดยืนตรงกรอบประตูร้านพลางกวาดตามองใบหน้าเคร่งเครียดระคนเจ็บปวดของชายหนุ่มอีกครั้ง จากนั้นจึงทอดสายตามองตามแผ่นหลังกว้างตกลู่ก่อนจะค่อย ๆ หดเล็กลงตามระยะทางที่ห่างออกไป

คเชนทร์ไม่รู้ว่าอดีตของครอบครัวธามเป็นอย่างไร แต่ปัจจุบัน สิ่งที่เขาเห็นผ่านการกระทำของเวลา อดีตนางโชว์ก็อดคิดไม่ได้ว่า ไม่ว่าสิ่งใดที่ธามเคยทำ ล้วนแล้วแต่สร้างรอยแผลลึกในจิตใจของเด็กชายจนยากเกินเยียวยา เจ้าของร้านดอกไม้จึงได้แต่หวังว่า ธามจะหนักแน่น อดทนและให้เวลาเลือดเนื้อเชื้อไขจนเด็กชายยอมเปิดใจอีกครั้ง ในขณะที่เวลาเองก็จะยอมให้อภัยคนเป็นพ่อในสักวันหนึ่ง

••••••

“อยากซื้ออะไรไหม” พี่หนาวที่เดินอยู่ข้างหน้าหันกลับมาถามผม

อันที่จริง ถ้าจะเรียกทริปนี้ว่าทริปตามใจฉันก็คงไม่ผิด เพราะทันทีที่มาถึงโรงแรม สปอนเซอร์ใหญ่ก็ปลดปล่อยวิญญาณของชาวโปรเจคเป็นอิสระ ยิ่งลุงคาสโนว่าชัดเจนกับจุดยืนเช่นนี้ ผมเลยยิ่งมั่นใจว่า คุณพันเลิศแกคงอยากพาพี่จี๊ดมาจู๋จี๋นอกสถานที่จริง ๆ นั่นแหละ จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายหัวหน้าผมกลับไม่ยอม ท่านผู้บริหารใหญ่เลยต้องลงทุนฉีกกระเป๋าตัวเองแล้วใช้โปรเจคเป็นข้ออ้างมัดมือชกคุณอาทิมา ไม่อย่างนั้นแกคงไม่ปล่อยปละละเลยพนักงานจนแต่คนละกระจัดกระจายไปคนละทิศละทางแบบนี้หรอก

แต่พอคิด ๆ ดู ผมว่ามันก็มีข้อดี เพราะการมาเที่ยวครั้งนี้ ทำให้ผมกับพี่หนาวได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังเป็นครั้งแรก ผมว่าพ่อกับแม่ผมจะต้องดีใจแน่ ๆ ถ้ารู้ว่าหัวหินกลายเป็นสถานที่พิเศษของผมกับ แฟน เหมือนพวกท่าน

“ลองเดินดูก่อนก็ได้ครับ เผื่อจะได้ของไปฝากปลาวาฬ” พอนึกถึงใบหน้าแป้นแล้นของเจ้าตัวเล็ก ผมก็เริ่มมองหาของที่น่าจะเหมาะกับเด็กหญิงทันที “พี่หนาวล่ะครับ จะซื้ออะไรไหม”

“ไม่รู้สิ พี่ไม่เคยเดินที่นี่จนทั่วสักทีน่ะ” พี่หนาวยิ้มพลางเหลียวมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ

“จริงเหรอครับ” ผมอดแปลกใจไม่ได้... คนอย่างพี่หนาวเนี่ยนะจะไม่เคยมาเที่ยวสถานที่ยอดฮิตที่คนกรุงเทพฯ ทุกเพศทุกวัยจะต้องแวะมาเช็กอินให้ได้ทุกครั้งที่มาเยือนหัวหิน

“อืม ป๊อบปี้กับแจสเปอร์ชอบชวนมาบ่อย ๆ แต่แค่หาข้าวให้ดาฟเน่กับปลาวาฬกิน พวกพี่ก็เหนื่อยจนหมดอารมณ์เดินเล่นแล้วล่ะ”

ผมพอนึกภาพออกว่าสิ่งที่พี่หนาวเคยเจอนั้นเป็นยังไง ลำพังแค่ต้องตัดสินใจว่าจะซื้อข้าวร้านไหนกินจากจำนวนซุ้มล้านแปดที่รวมตัวดูดทรัพย์นักท่องเที่ยวอยู่ในสวนเล็ก ๆ นี่ อย่าว่าแต่เด็กเลย ผู้ใหญ่หลายคนก็น่าจะหมดแรงกับการเดินหาอาหารถูกใจและเป็นมิตรกับกระเป๋าตังค์ไม่แพ้กัน

ผมคลี่ยิ้มปลอบใจให้คุณพ่อตัวอย่าง “งั้นเดี๋ยวเราเดินรอบ ๆ ดีไหมครับ เผื่อพี่หนาวจะอยากซื้ออะไร”

“อืม”

คืนนี้คนเยอะ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะทัวร์จีนหลายคันรถ แถมยังเป็นช่วงหัวค่ำของวันเสาร์ หลาย ๆ ครอบครัวจึงหอบลูกจูงหลานพากันมาหาข้าวเย็นกินที่นี่ ทุกที่จึงเต็มไปด้วยคน คน และคน กระทั่งโซนที่เป็นร้านค้าขายของที่ระลึกจิปาถะ นักท่องเที่ยวก็เดินสวนกันไปมายุ่บยั่บยิ่งกว่ามด พอรู้ว่าพี่หนาวไม่เคยมาเดินเที่ยวที่นี่ ผมเลยอาสาเดินนำทางข้างหน้าให้ แต่พวกเราเดินดูของกันได้ไม่ทันไร ผมกลับโดนคนที่เดินสวนมาอีกทางกระแทกหน้าอกเข้าอย่างจัง

“โอ๊ย!
@&%0&8*##!!!

นอกจากจะเจ็บตัวแล้ว ผมยังเจ็บใจเอามาก ๆ เพราะหลังจากการปะทะ คู่กรณีก็หันกลับมาจิกตาใส่ หนำซ้ำยังพ่นแร็ปภาษาจีนด้วยท่าทางโมโหไฟลุกเหมือนเกลียดกันมาแต่ชาติปางก่อน เห็นแบบนั้น ผมเลยหลุดปากขอโทษอีกฝ่ายไปทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่คนผิด โชคดีที่คำขอโทษขับไล่วิญญาณได้ เพราะพอได้ยิน คนอารมณ์ร้ายก็เดินส่ายหัวเดินจากไปอย่างหงุดหงิด

“เฮ้อ เชื่อเขาเลย” ผมบ่นเสียงอ่อยอย่างหมดสนุก ทั้ง ๆ ที่ยังเดินไม่ถึงไหน ทำไมต้องเจอคนน่าโมโหตั้งแต่แรกด้วยก็ไม่รู้

“ทูเดินตามพี่ดีกว่า” พี่หนาวสลับตำแหน่งมายืนข้าหน้าก่อนจะดึงมือให้ผมเดินตาม

“ครับ” ถึงปากจะพูดไปแค่นั้น แต่ในใจ ผมกลับนึกขอบคุณลุงแกซ้ำไปซ้ำมา เพราะแค่รู้ว่าพี่หนาวใส่ใจ ผมก็รู้สึกดีขึ้นมาก

หลังพวกเราเดินต่อได้สักพัก ผมก็ค่อย ๆ ดึงมือออกจากมือของอีกฝ่าย แต่พี่หนาวยื้อมือผมไว้ไม่ยอมปล่อย พอโดนผู้ชายรั้งไว้ ความเจ็บปวด อับอาย กับขวัญที่กระเจิงหายไปเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ไม่สำคัญอีกแล้ว

“ถ้าอยากดูอะไรก็บอกพี่นะครับ”

“ครับ” แทนที่จะได้ดูของ ผมดันก้มหน้าก้มตาเดินตามหลังอีกฝ่ายเพราะมัวแต่เขิน

เอาเข้าจริง ตั้งแต่ตกลงคบกัน ถึงตอนนั้นผมจะดีใจมาก แต่กว่าหัวสมองและร่างกายจะปรับตัวรับความสัมพันธ์ครั้งใหม่ได้  ผมคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก เพราะขนาดโดนพี่หนาวกอดจนเผลอหลับไปด้วยกัน ตื่นมา ผมยังแทบไม่เชื่อตัวเองเลยว่า สุดท้ายแล้วผมจะลงเอยด้วยการเป็นแฟนกับพี่หนาว ผู้ชายสุดละมุนคนนั้นที่ผมแอบชอบตั้งแต่วันแรกที่เจอหน้า

เมื่อตอนบ่ายหลัง จากที่ตั้งใจว่าจะนอนรอให้อีกฝ่ายหลับสนิท จะได้แอบนอนดูหน้า แฟนหมาด ๆ เสียให้พอใจ แต่พอนอนนิ่ง ๆ ได้ไม่ถึงสิบนาที อ้อมกอดอุ่น ๆ ก็ทำให้ผมคอพับหลับตามลุงแกเสียเฉย ๆ นี่ถ้าไม่ได้เสียงโทรศัพท์ของผมช่วยไว้ เผลอ ๆ พวกเราอาจจะนอนท่านั้นจนถึงตอนเช้า

พี่ฟี่โทรมาชวนออกไปเดินตลาดตอนหกโมงเย็น แต่ผมคงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าสุดท้ายแล้วผมตอบแกไปยังไง... เห็นใจผมเถอะนะ วันนี้ผมเพิ่งมีแฟน ผมก็ต้องอยากขลุกอยู่กับคุณแฟนสุดหล่อมากกว่าออกไปเที่ยวตะลอน ๆ กับใคร ๆ เป็นธรรมดา

พอวางสายจากซีเนียร์ พี่หนาวก็ชวนผมไปเดินชายหาดเพราะเจ้าตัวรับปากว่าจะถ่ายรูปเปลือกหอยไปฝากลูกสาว แต่ตอนเย็นน้ำขึ้นจนแทบไม่เหลือทางให้เดิน พวกเราเลยเปลี่ยนแผนเป็นกลับไปหาอะไรกินกันที่บาร์ริมทะเลของโรงแรม

ไม่รู้ว่าผมโชคดี หรือไม่มีโชคที่ดันเห็นคุณพันเลิศกับพี่จี๊ดนั่งจู๋จี๋กันอยู่เก้าอี้คู่รักหน้าบาร์ตั้งแต่ไกล เราสองคนเลยต้องสั่งรูมเซอร์วิสมากินกันที่ห้องพี่หนาว เพราะผมไม่อยากเสี่ยงออกไปกินข้าวข้างนอกจนเจอคนอื่น ๆ เหมือน ๆ กับที่พี่หนาวไม่อยากขัดขวางความสุขของสปอนเซอร์ใหญ่ที่นาน ๆ จะได้ใช้เวลาคุณภาพกับเจ้านายผม... แต่มื้อนั้นก็โรแมนติกดี แถมผมยังได้กินแชมเปญฟรีตั้งหลายแก้วแน่ะ

“อ้าวคุณหนาว มาเดินซื้อของเหมือนกันเหรอคะ”

“ครับ” พี่หนาวหยุดเดินพร้อม ๆ กับเสียงทักทายของใครสักคน เมื่อลองยื่นหน้าออกไปดู ผมก็เห็นยูสเซอร์คนหนึ่งถือถุงชอปปิ้งเต็มสองมือ อีกฝ่ายยืนยิ้มแป้นให้ลุงแกด้วยความดีใจอย่างออกนอกหน้า... เอ ยูสเซอร์ระบบงานขายคนนี้ชื่ออะไรนะ ชื่อแกติดอยู่ตรงริมฝีปาก นึกเท่าไรผมก็นึกไม่ออก 

“แล้วนี่เดินคนเดียวไม่เหงาเหรอคะ” รอยยิ้มกว้างของอีกฝ่ายหายไปทันทีที่อีกฝ่ายเห็นผม ยูสเซอร์คนนั้นดูจะตกใจก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นคลี่ยิ้มการค้าอย่างไม่กระโตกกระตาก “อ้อ มากับคุณทูนี่เอง”

อ้อ... คุณอ๋อมนี่เอง ถ้าเราไม่เจอกัน ผมคงไม่รู้ว่าคุณอ๋อมก็แอบชอบแฟนผมอยู่... ใช่ไหมครับ

ถึงความคิดผมจะเปรี้ยวเบอร์นั้น ทว่าในความเป็นจริงผมกลับรีบชักมือออกจากมือพี่หนาว ก่อนจะบิดริมฝีปากเป็นรูปโค้งรับคำทักทายของอีกฝ่ายด้วยความประดิษฐ์และจริตพอกัน แต่จังหวะที่มือผมกำลังจะเลื่อนหลุดพ้นฝ่ามือใหญ่ พี่หนาวก็คว้ามือผมไปจับอีกครั้ง แถมแกยังทำทุกอย่างที่ว่ามาต่อหน้าต่อตาคุณอ๋อมเสียด้วย

“คะ ครับ”

พี่หนาวทำผมตกใจจนเกือบพูดไม่เป็นคำ แต่ลุงแกกลับอมยิ้มแล้วหันไปคุยกับคุณอ๋อมอย่างชิลล์ ๆ “พวกผมขอตัวนะครับ”

พูดจบแกก็ลากผมเดินต่ออย่างสบายอารมณ์ จนเมื่อเรามาถึงจุดที่คนเยอะมาก ๆ ที่ผมเดาว่าข้างหน้าน่าจะเป็นโชว์เปิดหมวกหรือซุ้มแจกของฟรีอะไรสักอย่าง เราจึงต้องหยุดยืนรอให้คนข้างหน้าค่อย ๆ เคลื่อนขบวนไปอย่างช้า ๆ พร้อม ๆ กับต้องคอยระวังไม่ให้คนข้างหลังเบียดเข้ามาจนตัวแบนไปเสียก่อน ซึ่งแรงผลักจากคนที่ยืนต่อท้ายข้างหลังผมก็ทำให้ฝ่ามือใหญ่ที่เคยกุมกันไว้เฉย ๆ ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสอดนิ้วประสานกับมือผมจนแน่น

“ที่นี่คนเยอะ อย่าปล่อยมือพี่นะครับ”

“ครับ” ผมตอบพลางซบหน้าลงบนหัวไหล่ของคนเดินนำ ความแตกต่างของการเป็นแฟนปลอม ๆ กับแฟนจริง ๆ ก็คงจะเป็นอย่างนี้... แบบที่ผมจะถึงเนื้อถึงตัวลุงแกเมื่อไร หรือที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตหรือเตี๊ยมกันก่อน

ความพยายามในการเดินตลาดให้ทั่วของพวกเราหมดลงหลังจากฝ่าดงนักท่องเที่ยวทั้งจีน ไทย ฝรั่งได้เพียงรอบเดียว สุดท้าย ผมก็ได้แคร็กเกอร์ไส้สับปะรดเจ้าอร่อยติดมือกลับไปฝากที่บ้านและปลาวาฬหลายกระปุก เมื่อเสียเงินจนพอใจ เราสองคนก็ได้ข้อสรุปว่า เราทั้งคู่เหมาะจะอยู่ในที่ที่คนน้อยกว่านี้ แบบที่พอมีทางเดินสบาย ๆ และพอมีอากาศให้หายใจโดยไม่ต้องแก่งแย่งกับคนอื่น ผมกับพี่หนาวเลยซมซานกลับไปนอนพักที่โรงแรมกันเดี๋ยวนั้น

เรื่องน่าสนใจหลังจากนั้น คือ แม้จะเดินพ้นแสง สี เสียง และผู้คนที่มาเที่ยวตลาดกลางคืนมาได้สักพักแล้ว แต่พี่หนาวก็ยังไม่ปล่อยมือผมเสียที ผมก้มลงมองมือข้างหนึ่งของเราที่จับกันไว้ และมืออีกข้างของทั้งผมและเขาที่ถือขนมถุงใหญ่กันคนละหนึ่งถุงแล้วก็อมยิ้มกับตัวเองด้วยความสุขล้นหัวใจ

การเป็นแฟนพี่หนาวนี่มันดีต่อใจผมจริง ๆ  

“ทู”

“ครับ?” ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าของคนข้าง ๆ กาย ต่อให้ระหว่างทางเดินกลับโรงแรมจะมืดแค่ไหน ก็ไม่มีอะไรทำร้ายลุงไซด์ไลน์ของผมให้ดูดร็อปลงได้เลย ยิ่งพอเขายิ้มกรุ้มกริ่มแบบนี้ด้วยแล้ว... ถ้าไม่ติดว่าโดนเขาจูงมือเดินอยู่ ผมคงละลายแล้วกลายเป็นบ่อน้ำขังข้างถนนไปแล้ว

“คืนนี้นอนห้องพี่นะครับ”

ฮะ?! เมื่อกี้พี่หนาวว่าไงนะ?
บ้าจริง! เป็นแฟนกันวันแรกก็ชวนนอนด้วยแล้วเรอะ ไวไฟไปไหมลุง?!

“เอ่อ... จะดีเหรอครับ”

“ดีสิครับ” พี่หนาวมองหน้าผมด้วยสายตาและรอยยิ้มพิฆาต

หยุด... อย่ายิ้มแบบนั้น! แล้วก็ห้ามมองหน้าผมแบบนั้น!
ฮือ พี่หนาวต้องรู้แน่ ๆ เลยว่าผมแพ้สายตากับรอยยิ้มนั่น ลุงแกถึงได้ขยันใช้ไม้ตายนี้กับผมตลอด ๆ

“พี่นอนไม่หลับ ถ้าทูไม่ยอมนอนด้วย”

“อ่า ครับ” สุดท้ายผมก็เสียทีให้ลุงแกอีกจนได้

แต่พอมานึก ๆ ดู จริง ๆ แล้วพี่หนาวอาจจะไม่ได้คิดจะทำอะไร ๆ ผมเลยก็ได้ คืนนี้เราอาจจะแค่นอนกอดกันแล้วหลับไปเหมือนเมื่อตอนบ่าย เพราะฉะนั้น ผมก็ไม่ควรตีตนไปก่อนไข้ อีกอย่าง ถ้าคืนนี้เราได้คุยกันยาว ๆ อีกสักรอบก็ดี เพราะผมเพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อกี้นี้เองว่า ผมเองก็มีบางเรื่องที่อยากเคลียร์ให้ชัดเจนก่อนที่ผมจะย้ายไปอยู่กับลุงแก

ไม่รู้ว่าผมมัวแต่ตกใจเรื่องพี่หนาวชวนไปนอนที่ห้อง หรือเพราะทางเดินขากลับมันหดสั้นลง พวกเราเลยมาถึงโรงแรมกันโดยไม่ทันเหนื่อย บรรยากาศรอบ ๆ โรงแรม ณ เวลานี้ สงบและค่อนข้างเงียบ มีเพียงเสียงจิ้งหรีดกับแมลงกับเสียงเพลงที่ล็อบบี้ดังคลอเท่านั้น คนส่วนใหญ่น่าจะยังเที่ยวอยู่ที่ตลาดนัด หรือไม่ก็น่าจะนั่งดื่ม นั่งกินลมชมวิวกันที่บาร์ของรีสอร์ทเหมือนคุณพันเลิศกับพี่จี๊ด พี่หนาวเลยยิ่งดูผ่อนคลายและสดชื่นกว่าทุกที

“ถ้างั้นเรากลับไปเอากระเป๋าทูที่ห้องกันนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ พี่หนาวไปรอที่ห้องเถอะครับ เดี๋ยวผมไปหา” ผมบอกปัดโดยไม่ต้องคิด แม้ตอนนี้จะแทบไม่เห็นใคร แต่ผมก็ไม่อยากเสี่ยงเป็นขี้ปากคนในโปรเจคโดยไม่จำเป็น ลำพังแค่คุณอ๋อมเห็นพี่หนาวจับมือผมที่ตลาดแบบจะจะ นั่นก็เอาไปเล่าต่อได้สามวันไม่จบแล้ว

“งั้นเอาถุงขนมมา เดี๋ยวพี่หิ้วไปให้ก่อน” พี่หนาวยิ้มพลางคว้าถุงขนมในมือผมไปถือ

“ขอบคุณครับ” ที่ตอนแรกผมไม่ยอมให้พี่หนาวเอาถุงไปถือเองทั้งหมดก็เพราะอย่างนี้แหละ เขาเป็นผู้ชาย ผมก็ผู้ชาย เขาไม่ต้องมาดูแลผมในเรื่องหยุมหยิมพวกนี้หรอก เพราะผมดูแลตัวเองได้ แต่พอลองคิดแบบใจเขาใจเรา ผมก็เข้าใจเขาแหละ สงสัยที่ลุงแกต้องรีบเอาถุงขนมไปถือไว้ เพราะแกคงอยากแน่ใจว่าผมจะยอมไปนอนที่ห้องด้วยจริง ๆ

ผมกับพี่หนาวแยกกันเดินไปคนละฝั่ง พอแผ่นหลังของแกผลุบหายเข้าไปในมุมตึก ผมก็กึ่งเดินกึ่งกึ่งวิ่งกลับไปที่ห้องเพราะอยากกลับไปหาแฟนที่ห้องเต็มแก่ แต่ผมยังวิ่งไม่ถึงห้อง อยู่ ๆ ก็มีคนโผล่ออกมาจากมุมมืดแล้วกระชากตัวผมเข้าไปกอดพร้อมกับปิดปากเอาไว้ คน ๆ นั้นอาศัยจังหวะที่ผมยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ลากผมให้เดินตามกันออกไปตรงทางเท้าสำหรับเดินลงทะเลที่อยู่ข้าง ๆ โรงแรม

“ไม่ต้องตกใจนะครับ พี่ไม่ทำร้ายทูหรอก” เสียงคุ้นหูทำให้ผมเหลือบหางตาเพ่งมองฝ่าความมืดก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร...

พี่บูม!


••• TBC ••


 โปรดทราบว่า เราจำเป็นต้องงดอัพลุงอย่างน้อยสองเดือนนะคะ
พอดีตอนนี้เรากำลังรีไรท์ต้นฉบับนิยายเรื่องหนึ่งอยู่ และเราอยากทุ่มเทกับงานแต่ละชิ้นอย่างเต็มที่
ถ้าเราจัดการต้นฉบับเรื่องนั้นเสร็จเมื่อไร เราจะรีบกลับมาเขียนลุงต่อทันที
ต้องขอโทษ และขอบคุณกับทุก ๆ กำลังใจนะคะ เราสัญญาว่าเราจะลงเรื่องของลุงจนจบค่ะ