Monday, July 25, 2016

«♥» บน บานฯ สาน รัก «♥» The 28th Bonding || 25.07.2015



ตอนนี้สั้นหน่อยนะคะ แต่ว่าต้องเขียนเพื่อความเข้าใจตรงกัน
เดี๋ยวชดเชยความยาวให้ในตอนหน้านะ
ส่วนใครที่กำลังรอเด็กแฝด อดใจอีกนิดนะคะ เดี๋ยวน้อง ๆ ก็มาแล้ว

รักชอบประการใด... ฝากข้อความแทนใจเอาไว้ได้เลยค่ะ ^^





«»------------------------------------------------------------------------------------«»



The 28th Bonding
บ้านเธอ บ้านฉัน บ้านของเรา




“อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะคะ แต่เมื่อตอนสายเราก็เพิ่งเจอกันไปเองไม่ใช่เหรอ... สรุปแล้วคุณแหม่มมีเรื่องด่วนอะไรอยากคุยกับจิ๋วกันแน่คะ?” ทันทีที่เจอหน้าเพื่อนสนิทตรงด้านหน้าล็อบบี้โรงแรมชื่อดังย่านเจริญกรุง จรรยาก็อดถามไถ่รสริน สหายรักที่เพิ่งยกระดับความสัมพันธ์ถึงขั้นเกี่ยวดองกับหล่อนในช่วงไม่กี่ปีให้หลังถึงการพบปะกันแบบกะทันหันในช่วงเย็นวันนี้ไม่ได้

“โอ๊ยคุณจิ๋ว! แหม่มก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ทราบแต่คุณโต้งบอกให้แหม่มชวนคุณจิ๋วมารับมื้อเย็นที่นี่ด้วยกัน” แม้มารดาของตรินจะแสร้งมองบนพร้อมกับทำหน้าอ่อนเพลียละเหี่ยใจกับคำขอลึกลับของสามี แต่ประกายสดใสในแววตากลับฟ้องชัดว่าหล่อนเองตื่นเต้นไม่น้อย

“คุณรสรินกับคุณจรรยาใช่ไหมครับ?” หญิงวัยสี่สิบปลายทั้งสองต่างพยักหน้าให้กับชายใส่สูทท่าทางภูมิฐาน จากป้ายชื่อบนหน้าอกบอกให้พวกหล่อนรู้ว่า อีกฝ่ายเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของโรงแรมดังกล่าว  เมื่อแน่ใจว่าพบแขกวีไอพีเป็นที่เรียบร้อย ชายผู้นั้นจึงผายมือพลางเอ่ยกับสตรีทั้งสองอย่างนอบน้อม “เรียนเชิญด้านนี้เลยครับ คุณตระการกับคุณณวัฒน์มาถึงได้สักพักแล้วครับ”

สิ้นคำเชื้อเชิญ ผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมก็นำรสรินกับจรรยาขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นบนสุด จากนั้นจึงพาสตรีทั้งสองเดินทะลุผ่านโถงด้านในของห้องอาหารสุดหรูที่ยึดครองทิวทัศน์กรุงเทพฯ เอาไว้ให้แขกเหรื่อชื่นชมอย่างสมบูรณ์แบบ ปลายทางที่ร่างในชุดสูทมุ่งไป คือ ระเบียงกว้างซึ่งอยู่บนมุมยกพื้นสูงที่สุดของตัวอาคาร  โดย ณ ที่แห่งนั้น ถูกจัดเป็นโต๊ะอาหารตัวยาวสำหรับแปดที่นั่งตามคำขอพิเศษของแขกทั้งสองที่มารอท่าอยู่นานแล้ว


“คุณวัฒน์สวัสดีค่ะ” รสรินคลี่ยิ้มพลางเอ่ยทักทายสามีเพื่อน ในขณะที่จรรยาเองก็ยกมือไหว้ตระการอย่างเคารพนบนอบค่าที่อายุหล่อนอ่อนกว่าอีกฝ่ายอยู่หลายปี

“แหม่มมานั่งนี่สิ”

“คุณ ๆ มา ๆ มานั่งข้าง ๆ ผมมา” ตระการกวักมือพลางเอ่ยเรียกคู่ชีวิต พร้อม ๆ กับที่ณวัฒน์ลุกขึ้นจูงมือภรรยาแล้วพากันไปนั่งอยู่อีกมุม กระนั้นลักษณะการนั่งเรียงแถวหน้ากระดาน กลับทำให้มารดาของตรินรู้สึกตะขิดตะขวงใจจนต้องทักท้วงบรรดาสามี

“โต้งคะ... ให้แหม่มกับคุณจิ๋วย้ายไปนั่งอีกฝั่งดีไหมคะ หรือเราย้ายไปนั่งโต๊ะเล็กกว่านี้ดีไหม... นั่งเรียงกันแบบนี้ เวลาคุยกัน แหม่มว่าลำบากอยู่นะคะ”

ความช่างสังเกตและช่างเอาใจใส่ของภรรยาเรียกรอยยิ้มของตระการได้เสมอ แต่แทนที่จะตามใจหล่อนเหมือนทุกที คราวนี้พ่อของตรินกลับหว่านล้อมให้รสรินยอมรับเสียอย่างนั้น “แหม่มไม่อยากดูวิวเหรอครับ? เลขาคุณวัฒน์อุตส่าห์ไฟท์กับผู้จัดการห้องอาหารเพื่อให้แหม่มกับคุณจิ๋วได้นั่งชมความงดงามของกรุงเทพฯ ยามเย็นแบบเอ็กซคลูซีฟเลยนะ”

ภาพมุมกว้างของพระนครยามแสงสีส้มทองทาบทับทั่วทุกอณูแบบที่ไม่มีตึกสูงใด ๆ เบียดบังแถมท้ายด้วยความเป็นส่วนตัวเช่นนี้ทำให้มารดาของหนุ่มร่างหมีอึกอัก แต่เพื่อให้แน่ใจว่าคนรักจะไม่โวยวายเรื่องพิกัดการนั่งไปตลอดทั้งมื้ออาหาร ตระการจึงเบือนหน้ามองไปขวามือสุดเพื่อหาพรรคพวกเพิ่มทันที “คุณจิ๋วโอเคไหมครับ... นั่งแบบนี้?”  

“จิ๋วโอเคค่ะ วิวสวยมาก ๆ ... ขอบคุณนะคะคุณ ขอบคุณคุณโต้งด้วยค่ะที่เชิญจิ๋วมา” ตระการยิ้มพลางยักไหล่ล้อเลียนภรรยาจนโดนเจ้าหล่อนค้อนใส่

“จริง ๆ ไม่ใช่แค่วิวหรอกนะคุณ คืนนี้พวกเรายังมีเซอร์ไพรส์จะมอบให้พวกคุณอีก รับรองเลยว่าคุณกับคุณแหม่มจะต้องชอบ” เมื่อหมดห่วงเรื่องที่นั่ง ณวัฒน์ก็เกริ่นเข้าสู่เหตุที่ทำให้พวกเขาทั้งสี่มานั่งชมวิวอยู่ด้วยกันแบบนี้ทั้งที่ไม่ใช่วันครอบครัวอย่างที่ทั้งสองบ้านเคยตกลงกันเอาไว้

“เซอร์ไพรส์เหรอคะคุณ” คุณแม่คนสวยของด้วงเลิกคิ้วมองหน้าสามีด้วยความฉงนใจ แต่กลับกลายเป็นรสรินที่เปิดปากซักไซ้ก่อนใครเพื่อน

“เซอร์ไพรส์อะไรเหรอคะโต้ง? แหม่มว่าแหม่มยังไม่ได้บอกโต้งนะคะว่าพักนี้แหม่มอยากได้อะไรเป็นพิเศษ”

“แหม่มแน่ใจนะว่าไม่มีของอะไรที่อยากได้?” คำถามพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของตระการทำเอาคนเป็นแม่ทั้งสองตั้งหน้าตั้งตานึกกันยกใหญ่จนลืมสนใจความเป็นไปรอบ ๆ ตัว  

“เอ ก็ไม่นะคะโต้ง...  อีกเดี๋ยวแหม่มกับคุณจิ๋วก็จะบินไปนิวยอร์คก่อนแวะไปงานรับปริญญาพวกลูก ๆ ตอนปลายเดือนอยู่แล้ว แหม่มว่าแหม่มจะควงคุณจิ๋วไปดูของด้วยกันตอนนั้นน่ะค่ะ” รสรินเจื้อยแจ้วถึงแผนการของเจ้าหล่อนกับเพื่อนซี้ที่นัดแนะกันเป็นอย่างดีทันทีที่รู้หมายกำหนดการงานรับวุฒิมหาบัณฑิตของบุตรชายทั้งสามเมื่อราว ๆ ปลายอาทิตย์ที่แล้ว

“ผมว่าคุณแม่กับแม่จิ๋วคงต้องเปลี่ยนโปรแกรมบินไปชอปฯ ที่ฮ่องกงไม่ก็ญี่ปุ่นแทนนิวยอร์คแล้วล่ะมั้งครับ” เจ้าของเสียงที่โผล่มาจากด้านหลังโผเข้าไปกอดเอวมารดาทันทีที่พูดจบ

ตาเต๋อ?!!!
น้องเต๋อมาได้ยังไงลูก? แล้วตาพดด้วงล่ะคะ?” สีหน้าตกอกตกใจของรสรินกับจรรยาทำเอาบรรดาพ่อ ๆ หัวเราะชอบใจเสียงดัง แต่ยังไม่ทันที่คำถามของแม่จิ๋วจะขาดคำ วิญญูก็จูงมืออริยะตรัยผู้พี่เดินค้อมหลังเข้าไปกราบแม่ตัวเองจากอีกทาง

“คุณแม่ครับ สวัสดีครับ”
“แม่จิ๋วสวัสดีครับ”
“โอย! น้องฟู น้องเต๋อ ตาพดด้วง... นี่มันอะไรกันคะ? แม่จิ๋วงงไปหมดแล้วเนี่ย!” จรรยาเอ่ยพลางโอบกอดลูกชายทั้งสองด้วยสีหน้าตื้นตันหากแต่ยังส่อเค้าตื่นตะลึง ฝ่ายรสรินก็สำทับความตามเพื่อนทันทีแม้จะดีใจที่เหล่าลูก ๆ กลับมาเมืองไทยแบบตัวเป็น ๆ

“นั่นสิลูก ทำไมพวกหนูถึงมาอยู่ที่นี่ได้? ไหนบอกพ่อกับแม่ว่าจะไปขับรถเที่ยวทั่วอเมริกาฉลองเรียนจบกันไม่ใช่เหรอ?”

“เอ๊แหม่ม... แหม่มพูดเหมือนไม่ดีใจที่พวกลูก ๆ รีบกลับมาหาแหม่มงั้นแหละ” ตระการอดแซวภรรยาไม่ได้... ใช่ไม่ดีใจที่ได้เห็นใบหน้าเปี่ยมสุขของคู่ชีวิต แต่ครั้นจะปล่อยให้เมียร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นก็ดูจะใช่ที่

“ที่ไหนล่ะคะโต้ง! แหม่มก็ต้องดีใจอยู่แล้วสิคะ!!” เมื่อเอ็ดพ่อหมีจนพอใจ ชายหนุ่มทั้งสามก็กลายเป็นโจทย์รายถัดไปที่แม่หมีชำระความ “แต่พวกหนูนี่ก็เหลือเกิน!  บินกลับมาก็ไม่ยอมบอกใคร คอยดูนะ... ถ้าแม่แหม่มร้องไห้ดีใจจนมาสคาร่าไหลเยิ้มเมื่อไร แม่แหม่มจะไม่ยอมปล่อยให้พวกหนูห่างอกไปไหนอีกเลย!

เท่านั้นแหละ จรรยาที่นั่งฟังอยู่ก็เอ่ยแทรกขึ้นอย่างว่องไวโดยไม่ลืมส่งทิชชูให้เพื่อนรัก “คุณแหม่มยังสวยอยู่ค่ะ จิ๋วคอนเฟิร์ม”

“แน่นะคะคุณจิ๋ว?!” คนพูดเอ่ยพลางยื่นหน้าผินไปทางซ้ายและขวาอย่างช้า ๆ เพื่อให้จรรยาช่วยเช็กความเรียบร้อย จนเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าป้อย ๆ แทนคำรับรอง รสรินก็กลับมากระหยิ่มยิ้มย่องได้อีกครั้ง “คุณจิ๋วก็ยังเป๊ะอยู่ค่ะ แหม่มการันตี!” เจ้าหล่อนกรีดนิ้วแทนสัญลักษณ์โอเคพลางขยิบตาให้เพื่อนสนิทผู้รู้ใจ

“หึ หึ หึ... ปล่อยลูกไปนั่งก่อนดีไหมครับสาว ๆ? ถ้าแหม่มไม่สงสารเจ้าเต๋อ ก็ถือว่าเห็นกับลูกชายอีกสองคนของแหม่มก็ยังดีนะครับ” ตระการเบรก แต่รสรินกลับมิได้นำพา  

“เดี๋ยวสิคะโต้ง! ขอแหม่มกอดรับขวัญน้องฟูน้องด้วงแป๊บนึงนะคะ” พูดจบ หล่อนก็แตะหลังบุตรชายแล้วบุ้ยใบ้ให้ตรินไปหาจรรยา พร้อม ๆ กับกวักมืออีกข้างเรียกชายหนุ่มอีกสองคนเข้ามาสวมกอดโดยพร้อมเพรียง “ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะลูกนะ... แม่แหม่มดีใจด้วยนะคะ ในที่สุดพวกหนูก็ทำสำเร็จจนได้”

 “ขอบคุณครับแม่แหม่ม”
“ขอบคุณครับคุณแม่”

พร้อมกันนั้นเอง หนุ่มร่างหมีที่เติบใหญ่จนกลายเป็นชายหนุ่มรูปงามตามรอยบิดาก็ก้มลงกราบคุณจรรยากับคุณณวัฒน์ที่ตักของทั้งสองอย่างอ่อนน้อม “ไหว้พระเถอะลูก แม่จิ๋วดีใจนะคะที่เราได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง... สำเร็จไปอีกขั้นแล้วนะ น้องเต๋อลูกแม่จิ๋วนี่เก่งจริง ๆ ” เจ้าหล่อนว่าพลางบีบมือหนาซึ่งประนมเหนือหน้าตักตนเบา ๆ

“ขอบคุณครับคุณแม่”

“แม่จิ๋วต่างหากล่ะคะที่ต้องขอบคุณน้องเต๋อ ขอบคุณน้องเต๋อมากนะคะที่คอยดูแลตาพดด้วงกับน้องฟูเป็นอย่างดีตลอดสองปีที่ผ่านมา คุณแม่ดีใจจริง ๆ ค่ะที่ได้น้องเต๋อเป็นลูกชายอีกคน” ดวงตาสุกใสของหล่อนกวาดมองใบหน้าของลูกชายคนใหม่อย่างรักใคร่และภาคภูมิใจเป็นที่สุด

“ผมก็ดีใจที่ได้เป็นลูกคุณแม่ครับ”

“ฮื่อคุณ ปล่อยลูกไปนั่งได้แล้ว ตาพดด้วงกับน้องฟูก็นั่งเก้าอี้ตั้งนานแล้วคุณ” ณวัฒน์ขัดขึ้นเพราะไม่อยากให้ภรรยาซาบซึ้งจนหลุดเข้าโหมดดราม่าไปเสียก่อน  

ตระการจึงช่วยรับลูกของอีกฝ่ายทันควัน “เอาล่ะ ไหนลองบอกพ่อมาสิว่าทำไมรีบกลับมาทั้ง ๆ ที่อีกไม่ถึงเดือนก็จะรับปริญญากันอยู่แล้ว?”

“นั่นสิ แล้วทำไมต้องทำลับ ๆ ล่อ ๆ ไม่ยอมให้พ่อบอกพวกแม่ ๆ เขาด้วย? เล่นอะไรกันอยู่ฮึตาพดด้วง?!” พ่อของด้วงผสมโรงกับคู่ค้าและเพื่อนคนสำคัญทันที

“พ่อวัฒน์ครับ อย่าตำหนิด้วงเลยนะครับ... ทั้งหมดเป็นความคิดของผมเองครับพ่อ” แค่ได้ยินพ่อตาติติงเมียรักต่อหน้า อดีตเด็กสถาปัตย์ก็อาสาตอบคำถามแถมยังยืดอกรับความผิดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว

“ยังไงฮึเรา? ไหนลองว่ามาสิ” สีหน้าจริงจังของบุตรชายทำให้ตระการรู้สึกสะดุดใจจนไม่อาจเก็บความสงสัยเอาไว้กับตัว... จริงอยู่ที่แม้ก่อนกลับเมืองไทย ตรินจะอีเมลปรึกษาตนและณวัฒน์เพื่อเตรียมการเซอร์ไพรส์บรรดาแม่ ๆ ในเย็นวันนี้อยู่เนือง ๆ  แต่จนแล้วจนรอด พ่อลูกชายตัวดีกลับไม่ยอมปริปากเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้ทั้งสามยกเลิกแผนการท่องเที่ยวสั่งลาอเมริกา แล้วเลื่อนวันบินกลับมาก่อนกำหนดตั้งเกือบเดือน

ชายหนุ่มหน้าเข้มกดยิ้มมุมปากพลางแย้มพรายด้วยสายตามีเลศนัย “พวกผมก็เรียนจบและพร้อมจะเริ่มทำงานแล้ว แต่ก่อนจะรับช่วงต่อกิจการจากคุณพ่อ... ผมอยากขออะไรคุณพ่อ พ่อวัฒน์ แม่จิ๋ว แล้วก็คุณแม่สักอย่างได้ไหมครับ?”

“เอ้า! ว่ามาสิ พวกพ่อกับแม่จะรอฟัง”


«»------------------------------------------------------------------------------------«»


“นี่ ๆ พ่อเขียว แม่ดูเป็นไงมั่ง? เช้งกระเด๊ะหรือยังหือพ่อ?” แม่บัวในชุดเสื้อลูกไม้ฉลุสีหมากสุกที่เพิ่งตัดมาหมาด ๆ ซึ่งรับกับผ้าซิ่นภูไทผืนเก่งเป็นอย่างดียืนหมุนตัวบิดไปมาพลางคลี่ยิ้มหวานหยดขณะรอฟังคำตอบของสามี

“แม่บัวล่ะก็ ถามมาได้! เมียพ่อก็ต้องสวยกว่าใคร ๆ อยู่แล้วน่ะสิ” ประมุขของบ้านจุปากเป็นจิ้งจก พร้อมยกหัวคิ้ว เบิกตาวาวราวถูกใจ “ยิ่งวันนี้นะ ยิ่งสวยบาดหูบาดตาจนไม่อยากจะปล่อยให้ออกจากบ้านเลย”

“ที่ไม่อยากให้ออกจากบ้านเพราะพ่อหวงแม่ล่ะสิ ข่นบ้า! ปูนนี้แล้วแม่ท้องลูกคนที่ห้าไม่ไหวแล้วนาพ่อนิ!” ไม่แปลกหากเจ้าของชื่อจะออกอาการอายม้วนต้วนเป็นสาวแรกรุ่น... นาน ๆ ผู้ชายของหล่อนจะออกปากชมทั้งที ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ไหว้วานลูกเขยให้ตีรถเข้าตัวเมืองเพื่อพาหล่อนไปยีผมตีโป่งแต่เช้าตรู่

ทว่ารอยยิ้มหยาดเยิ้มของแม่บัวกลับหายวับไปกับตาเมื่อพ่อเขียวอ้าปากอีกครั้ง “โอย ไม่ต้องลำบากคิดมากไปหรอกแม่!...
.
.
...ที่พ่อบอกว่าพ่อไม่อยากให้แม่ออกไปไหน เพราะพ่อกลัวว่าแม่จะไปสร้างมลพิษทางสายตาให้คนอื่นเขาน่ะสิ...
...แอ๊บแอ้! ตึ่งโป๊ะ! พ่อเขียวชงเอง ยิงเอง แถมยังตบมุกเองเสร็จสรรพ แต่แทนที่จะเรียกเสียงหัวเราะหูดับตับไหม้จากคนดูได้เหมือนทุกที ใบหน้ายับยู่ยี่ของผู้มีศักดิ์เป็นเมียก็ทำให้เจ้าของไร่ตระหนักถึงคำสั่งเสียสุดท้ายขึ้นมากะทันหัน

พ่อเขียว! เดี๋ยวเถอะนะ!” เจ้าหล่อนมองคู่ชีวิตตาเขียวปั้ด
“เอ้า! มุกนี้ไม่ตลกหรอกเรอะแม่?”   
“ตลก... แต่เดี๋ยวพ่อก็จะได้ไปตลกต่อในห้องไอซียู!” ว่าแล้วแม่บัวก็ยกนิ้วขึ้นชี้หน้าพร้อมกับแยกเขี้ยว ถลึงตาใส่สามีอย่างคาดโทษ... นี่ถ้าไม่กลัวว่ามวยบนหัวจะรุ่ย แม่จะตุ๊ยท้องตาแก่ให้นอนร้องไห้เป็นเด็ก ๆ เลยเชียว!

“โธ่แม่บัวจ๋า พ่อแค่อยากทำให้แม่หายตื่นเต้นกับเขาสักที... นี่แม่บัวไม่รู้ตัวเลยเหรอว่า แม่บัวน่ะมัวแต่กระสับกระส่ายจนไม่เป็นอันกินอันนอนมาตั้งแต่หลังคุยโทรศัพท์กับไอ้หนูฟูเมื่อคืนนี้แล้วนะ?” พ่อเขียวอธิบายตามความจริงพลางลูบหลังลูบไหล่ภรรยาอย่างเอาอกเอาใจ

“โอยพ่อ! พ่อจะไม่ให้แม่ตื่นเต้นได้ยังไง... ไอ้หนูฟูมันบอกว่าแฟนมันจะพาผู้ใหญ่มาคุยกับเราสองคน แล้วพ่อแม่แฟนมันน่ะคนธรรมดาที่ไหน... สองบ้านนั้นน่ะเป็นถึงเจ้าสัวใหญ่กับคุณนายตั้งกระบังเลยเชียวนะ” นี่อย่างไรคือเหตุผลที่ทำให้หล่อนตัดเสื้อใหม่แถมยังถ่อไปปั้นแต่งทรงผมเสียดิบดีถึงในเมือง... เรื่องฐานะหล่อนไม่อาย แต่หล่อนจะไม่มีวันตกม้าตายเพราะสวยไม่ได้ครึ่งของบรรดาแม่ ๆ ชาวกรุงเป็นอันขาด!

“แม่พูดอย่างกับเคยเห็นกับตามาแล้วงั้นแหละ” พ่อเขียวลูบหนวดงามเหนือริมฝีปากด้วยความสงสัย ฝั่งแม่บัวพอได้ฟังก็ถอนใจก่อนจะรับสารภาพอย่างหมดเปลือก

“ก็ไม่เคยหรอก แค่ฟังที่พวกไอ้หนูมันเล่ามาแล้วก็คิดต่อเองอีกนิดหน่อย”

“ปั่ดโธ้แม่บัว! แล้วแม่บัวจะไปกลัวพวกเขาทำไม... ทางโน้นจะมาขอลูกเรา คนเกรงใจก็ต้องเป็นพวกเขาสิถึงจะถูก”

“เออ นั่นสินะ!” สุดท้ายประมุขหญิงของบ้านก็ได้สติ หล่อนจึงหมุนตัวตั้งท่าจะเดินชั้นสองไปในบัดดล

“อ้าวแล้วนั่นแม่บัวจะไปไหน?!

“ก็จะไปถอดทองหยองออกน่ะสิพ่อ เวลาคุยเรื่องสินสอดจะได้เรียกเขาได้เยอะ ๆ ” เจ้าของประโยคเอ่ยด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์จนคนฟังอ่อนใจแต่ก็อดเล่นมุกแซวเมียตามน้ำไม่ได้

“เออ ดี ๆ ! งั้นเดี๋ยวพ่อจะบอกให้พวกลูก ๆ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเสียให้หมด... เอาให้ซอมซ่อ ๆ เลยนะ อีตอนนั่งด้วยกัน แม่บัวจะได้ไม่หมอง”

พ่อเขียว!

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

“พ่อจ๊ะ พวกเขามากันแล้วล่ะจ๊ะ” โบ๊ทเอ่ยแทรกบทสนทนาของบุพการีทันทีที่คนงานหญิงวิ่งหน้าตื่นเข้ามากระซิบกระซาบรายงานความเคลื่อนไหว “เดี๋ยวฉันไปเตรียมขนมเตรียมน้ำรอก่อนนะจ๊ะ”

“เออ ๆ ” ผู้เป็นพ่อรับคำบุตรีก่อนจะประคองภรรยาให้ไปนั่งรออาคันตุกะที่โซฟาเสียด้วยกัน จากนั้นจึงเป็นคิวของบุตรสาวอีกสองคนที่แม้จะออกเรือนไปแล้วแต่ก็ยังแวะมาอยู่ให้กำลังใจน้อง ๆ ในวันสำคัญเดินตามหลังบุพการีเข้าไปนั่งฟังอยู่บนพื้นข้าง ๆ โซฟา




“สวัสดีครับ” ตระการ และณวัฒน์เอ่ยทักทายประมุขของบ้านโดยพร้อมเพรียง ฝั่งพ่อเขียวก็ต้อนรับขับสู้แขกคนสำคัญประจำวันที่มาเป็นหมู่คณะอย่างกระตือรือล้น

“สวัสดีครับ สวัสดี เชิญนั่งกันก่อนเลยครับ”

“สวัสดีค่ะ เดินทางกันมาเหนื่อย ๆ เชิญพักดื่มน้ำดื่มท่า กินของว่างรองท้องกันก่อนนะคะ พอดีวันนี้ลูกสาวคนเล็กเขาต้มน้ำใบเตยกับน้ำมะตูมเอาไว้ แล้วก็นี่สาคูกับข้าวเกรียบปากหม้อ... ฝีมือลูกชาย” แม่บัวรับช่วงต่อพลางส่งยิ้มให้บรรดาลูกสาวช่วยกันจัดแจงเสิร์ฟน้ำ เสิร์ฟขนมให้แขกผู้ใหญ่ กังฟูกับคู่หมีหนุ่มจึงถือโอกาสดังกล่าวเข้าไปแสดงความเจ้าของไร่ทั้งสองทันที

“ไหว้พระเถอะลูก ๆ ”

ไม่ทันขาดคำผู้ใหญ่ พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็โผเข้าสวมกอดเอวมารดาคนที่สองเสียเต็มรัก “แม่ครับ ฟูคิดถึงแม่”

“แม่ก็คิดถึงฟูจ๊ะ แต่น้อยกว่าเต๋อกับด้วงนิดนึง... เนอะ” แม้หล่อนจะหยอกล้อสองหนุ่มไม่ขาดปาก แต่แม่บัวกลับกอดบุตรชายร่างเล็กเสียแน่น ก่อนผละจากเมื่อเห็นเหล่าแขกเหรื่อรุ่นใหญ่ตั้งท่าพร้อมปราศรัยเต็มที “ไปนั่งพักกินน้ำกินของว่างกันก่อนเถอะลูก รอแม่เคลียร์คิวอีเวนท์เดี๋ยวนะจ๊ะ”

“ผมขอเป็นตัวแทนแนะนำผู้ใหญ่ฝ่ายผมก่อนแล้วกันนะครับ ผมโต้ง และนี่ก็ภรรยาผม คุณแหม่มครับ พวกเราเป็นผู้ปกครองของเจ้าเต๋อ  ส่วนทางด้านโน้นคือคุณวัฒน์กับคุณจิ๋ว ผู้ปกครองของตาพดด้วง ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“เช่นกันครับ เรียกผมว่าเขียว แล้วก็เรียกเมียผมว่าบัวก็ได้ครับ” ก่อนเข้านอนเมื่อคืนวาน คู่สามีภรรยาแห่งบ้านไร่ต่างตกลงกันเป็นการภายในว่าพ่อเขียวจะออกหน้าเป็นผู้ใหญ่เจรจาแทนเจ้าสาว ในขณะที่แม่บัวจะคอยช่วยเสริมความในส่วนที่อีกฝ่ายหลงลืมจนอาจทำให้บุตรชายเสียเปรียบเท่านั้น “เท่าที่ผมรู้จากไอ้หนูฟู วันนี้ทางคุณโต้งคุณวัฒน์คงจะมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับทางเราใช่ไหมครับ?”

“ครับ พวกผมจะมาคุยเรื่องลูก ๆ ของพวกเราน่ะครับ” ณวัฒน์เกริ่นนำก่อนที่บิดาของหนุ่มสถาปัตย์จะรวบตึงบทสนทนาในฐานะเถ้าแก่ฝ่ายชาย

“เท่าที่ผมถามลูก ๆ ผมเชื่อว่าคุณเขียวกับคุณบัวทราบเรื่องที่ลูก ๆ ของพวกเราคบหากันเป็นอย่างดีแล้ว...  ผมกับคุณวัฒน์เห็นว่า น้องฟูคบหาดูใจตาเต๋อกับตาพดด้วงอย่างจริง ๆ จัง ๆ มาหลายปี พวกผมเลยถือโอกาสอันดีที่ลูก ๆ ทั้งสามของพวกเรากำลังจะสำเร็จการศึกษา มาทาบทามขอน้องฟูไปเป็นสะใภ้ให้เป็นเรื่องเป็นราวน่ะครับ” ตระการผู้เป็นตัวแทนฝั่งเจ้าบ่าวทั้งสองเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนคนฟังพลอยเบาใจที่ผู้ใหญ่ฝ่ายโน้นให้การยอมรับกรกฏจริง ๆ

“ว่ากันตามตรง ไอ้ผมกับแม่บัวก็ไม่ได้เห็นว่าคุณโต้ง คุณวัฒน์ต้องลำบากมาคุยเรื่องนี้ถึงที่ปากช่องนี่เลยนะครับ แค่พวกเด็ก ๆ รักกันทางเราก็พร้อมจะสนับสนุนเต็มที่อยู่แล้ว” พ่อเขียวพูดอย่างจริงจังจริงใจด้วยไม่เห็นสาระของการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่...

ดูอย่างกรณีของบุตรีทั้งสองที่เพิ่งออกเรือนไปก็ได้ เขากับแม่บัวไม่เรียกเงินตราหรือทองหยองใด ๆ มีแค่คำสัญญาว่าจะดูแลด้วยความรัก ซื่อสัตย์ และพร้อมจะเทิดทูนหนูบิวหนูบ็อบของพวกเขาเป็นคู่ชีวิตเพียงคนเดียวไปตลอดที่เหล่าสมาชิกใหม่จะต้องยืนยันต่อหน้าประมุขทั้งสองเท่านั้น  

นั่นอาจจะเป็นกุศโลบายอันชาญฉลาดของพ่อเขียวและแม่บัวก็ได้ เพราะยิ่งเมื่อทั้งสองไม่เรียกร้องสิ่งใดมากเท่าไร ลูกเขยใหญ่และรองต่างก็พร้อมจะหยิบยื่นความรักและสิ่งดี ๆ ทั้งหลายตอบแทนคืนแก่เลือดเนื้อเชื้อไขของพวกเขาแบบทบเท่าทวีคูณ... และดูเหมือนในการเจรจาทาบทามหนนี้ ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน


“ที่พวกเราต้องจับเข่าคุยกันอย่างเห็นหน้าเห็นตาเพราะพวกผมอยากจะจัดงานแต่งให้พวกลูก ๆ ของเราให้สมกับที่ทั้งเจ้าเต๋อและตาพดด้วงรักน้องฟูมากจนอยากจะยกย่องเขาเป็นคนรักแบบออกหน้าออกตาน่ะครับ... ไหน ๆ เราก็จะดองกันแล้ว พวกผมก็อยากจะมาแนะนำตัวและทำความรู้จักกับครอบครัวของน้องฟูให้มากขึ้นด้วย”  

“อ้อ ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่มีอะไรขัดข้องหรอกครับ... ดีใจเสียอีกที่พวกเราพ่อแม่ ได้พบหน้าค่าตากันเสียที จริงไหมแม่?” พอเห็นแม่บัวพยักหน้ายิ้มรับ พ่อเขียวจึงหันไปถามความสมัครใจของลูกชายคนใหม่ต่อโดยพลัน “อ้าวไอ้หนูฟู! เอ็งบอกพ่อมาคำเดียวว่าเอ็งอยากแต่งกับไอ้ลูกเขยสองคนนี้ไหม? ถ้าอยาก... พ่อกับแม่จะได้ตกปากรับคำเขาไป”

อริยะตรัยคนพี่อมยิ้มชำเลืองมองคนรักทั้งสองอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงยืนยันความต้องการของตัวเองอย่างหนักแน่น “ครับ”

“หึ หึ ให้มันได้อย่างนี้! ชัดเจนดีสมเป็นลูกพ่อ!” ประมุขบ้านไร่หัวเราะชอบใจกับคำตอบของบุตรชายต่างสายเลือด “ผมหวังว่าคุณโต้ง คุณวัฒน์คงสบายใจแล้วนะครับ”

“ครับ ถ้าอย่างนั้นเราควรต้องคุยเรื่องงานแต่งกันเดี๋ยวนี้แล้วล่ะครับคุณเขียว เพราะถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด พวกผมอยากจะจัดพิธีฉลองเล็ก ๆ ให้พวกเด็ก ๆ ตอนช่วงต้นเดือนหน้าเลยน่ะครับ” ตระการรวบรัดอย่างเด็ดขาดตามประสานักธุรกิจ ผิดกับพ่อเขียวกับแม่บัวที่ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก...

แม้กรกฏจะเปรยให้รู้คร่าว ๆ ว่าผู้ใหญ่อีกฝ่ายตั้งใจจะจัดงานแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราว หากแต่เขากับภรรยากลับไม่คาดคิดว่าทุกอย่างจะเร่งรัดถึงเพียงนี้... แล้วนี่พวกเด็ก ๆ จะไม่ห่วงหน้าพะวงหลังกับทั้งงานรับปริญญาและงานแต่งหรอกหรือ?!


“หืม? ทำไมถึงเร็วขนาดนั้นล่ะครับ?”

“เพราะทางเราอยากจะมีหลานเร็วที่สุดครับคุณเขียว” บิดาของหนุ่มร่างหมีสรุปพาดพิงถึงผลลัพธ์ของแผนการในอนาคตของเหล่าลูกชายด้วยน้ำเสียงภูมิใจ

คำตอบของคู่สนทนาทำให้พ่อเขียวผู้ยังตกใจไม่หายกับกำหนดการงานแต่งอันว่องไวออกอาการงุนงงสงกาจนเผลอปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ “หา?! คุณโต้งพูดอย่างกับว่าไอ้หนูฟูลูกผมจะป่องกลางตั้งท้องหลานให้คุณโต้งได้อย่างนั้นแหละครับ!

“เฮ่อ! พ่อนี่น้า เสียแรงที่เป็นผัวแม่มาตั้งหลายปี” แม่บัวส่ายหน้าด้วยความอ่อนเพลียให้กับสามีสุดโก๊ะของหล่อน ก่อนจะเสริมความตามหลังอย่างว่องไว “พ่อลืมไปแล้วหรือไงว่าหนูฟูคุยเรื่องนี้กับพวกเรานานแล้วนะ... ใช่ไหมหนูบิว?”

“ค่ะแม่” สีหน้ายิ้มแย้มของลูกสาวคนโตซึ่งออกเรือนไปได้สามปีขณะรับคำภรรยาทำให้ประมุขบ้านไร่ได้สติ ไ้

“เอ้อออ! จริงสิ! ถ้าแม่ไม่พูดพ่อคงนึกไม่ออก!

ทันทีที่ได้ยินบทสนทนาของครอบครัวหนนกระโทก รสรินก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้อย่างที่แรกตั้งใจ “ขอโทษนะคะคุณบัวคุณเขียว น้องฟูเปรยเรื่องมีหลานกับคุณบัวนานแล้วเหรอคะ?”

“ค่ะคุณแหม่ม หนูฟูน่ะเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามบัวกับหนูบิวมาตั้งแต่ตอนยังไม่ไปเรียนต่อเมืองนอกโน่นแน่ะค่ะ” แม่บัวเท้าความตามจริงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อราว ๆ เกือบสี่ปีที่แล้วภายหลังงานแต่งของบิว ลูกสาวคนโต แรกได้ยินคำขอเรื่องทายาทของกรกฏ หล่อนยังอดตกใจกับความแน่วแน่จริงจังของอีกฝ่ายไม่ได้ แต่เพราะหัวข้อนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับหล่อนและบุตรีทั้งสาม ความปรารถนาของกังฟูจึงได้รับการตอบรับโดยง่าย  

“จริงเหรอคะ?!” เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าพลางยิ้มให้ รสรินก็ยิ่งตื่นเต้นยินดีไปกันใหญ่ กระนั้นเพื่อความแน่ใจ หล่อนจึงไม่ลืมซักไซ้ทั้งสองอีกครั้ง “แล้วคุณบัวกับหนูบิวจะไม่มีปัญหาจริง ๆ เหรอคะ?”

หนนี้ ประมุขหญิงแห่งบ้านไร่เลือกที่จะไม่ตอบคำถามเพราะต้องการให้ผู้เกี่ยวข้องคนสำคัญยืนยันด้วยตนเอง “บิวเอ้ย! ว่ายังไง... ยังอยากช่วยน้องอยู่ไหมลูก?”

“บิวไม่มีปัญหาจ๊ะแม่ พี่เติ้ลเขาก็โอเค เห็นบอกว่าอยากให้บิวตี้กับโบเต้มีน้องเยอะ ๆ อยู่เหมือนกัน” ลูกสาวคนโตของบ้านเปิดเผยถึงข้อตกลงของตนกับสามีว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือแก่น้องชายทั้งสองอย่างเต็มความสามารถในทุก ๆ ด้าน เท่าที่คนเป็นพี่อย่างหล่อนจะพอทำได้

คำตอบที่เพิ่งได้ยินเรียกน้ำตาคนฟังให้ไหลคลอหน่วยได้ไม่ยาก “หนูบิวพูดจริงใช่ไหมคะ? ไม่หลอกแม่แหม่มให้ดีใจเก้อใช่ไหมลูก?”

“ค่ะ บิวไม่มีปัญหาอะไรเลยค่ะ เพราะแม่คุยกับพวกเราสามคนเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าบ๊วยชอบผู้ชายแล้วน่ะค่ะ”

คุณจิ๋ว เรากำลังจะมีหลานกันแล้วค่ะ!” รสรินหันไปจับมือกับเพื่อนรักด้วยความดีใจ ส่วนอีกฝ่ายที่แทบสะกดกลั้นความปรีดาเอาไว้ไม่ไหวก็โพล่งตอบด้วยน้ำเสียงสดชื่นรื่นเริงพอ ๆ กัน

ใช่ค่ะคุณแหม่ม จิ๋วดีใจที่สุดเลยค่ะ!

“ขอบคุณมากนะคะหนูบิว แม่แหม่มไม่รู้จะตอบแทนหนูยังไงดี” รสรินกล่าวกับหญิงสาวรุ่นลูกที่งามทั้งใจและใบหน้าก่อนจะเอ่ยกับผู้เป็นมารดาของเจ้าหล่อนด้วยความซาบซึ้งใจปิดท้าย “คุณบัวก็ด้วยค่ะ แหม่มขอบคุณคุณบัวมากนะคะ แหม่มฝันอยากมีหลานมานานมาก ไม่นึกเลยว่าในที่สุด แหม่มกับคุณจิ๋วจะได้เป็นย่าสมใจอย่างแม่ ๆ บ้านอื่นด้วยเหมือนกัน”

“ไม่เป็นไรค่ะคุณแหม่ม บัวเองก็มีลูกชายอยู่อีกคน... ขานั้นก็หาลูกเขยมาให้เหมือนหนูฟูนี่แหละค่ะ บัวเลยพยายามคิดแผนสำรองเผื่อหนูบ๊วยจะนึกครึ้มอยากมีลูกอย่างพี่ ๆ เขามั่ง”

“โอยคุณบัวขา คุณบัวหัวสมัยโดนใจแหม่มเหลือเกินค่ะ... เห็นทีว่าพวกเราเหล่าแม่ ๆ จะต้องผนึกกำลังกันให้แน่นแฟ้นเสียแต่วันนี้ คุณบัวว่าดีไหมคะ?” รสรินรับคำเจ้าบ้านหญิงด้วยน้ำเสียงถูกอกถูกใจราวกับได้เพื่อนใหม่เพิ่มมาอีกคน  

“ได้ค่ะ งั้นคุณแหม่มกับคุณจิ๋วแอดไลน์บัวมาเลยค่ะ เดี๋ยวบัวจะตั้งกรุ๊ปคุณย่ายังสาวเอาไว้อัพเดตเรื่องลูก ๆ หลาน ๆ กันยังไงล่ะคะ”

“แหม่มว่าเอามาให้หมดเลยดีกว่าค่ะ ไลน์ เบอร์ อีเมล อะไ...”

เมื่อเห็นสามสาวใหญ่สุมหัวเข้าหากันแล้วเริ่มเม้าท์เรื่องหลาน ๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย เหล่ามนุษย์ชายหญิงประกอบฉากที่เหลือทั้งหลายก็ได้แต่ชำเลืองมองหน้ากันไปมาพลางยิ้มให้กับความสมัครสมานสามัคคีในชั่วพริบตาของบรรดาแม่ ๆ   ไม่นานหลังจากนั้นทั้งหมดก็วงแตกแยกย้าย นำโดยทีมคุณพ่อที่ประมุขบ้านไร่ขันอาสาพาอาคันตุกะฝ่ายชายอีกสองคนเดินออกไปชมไร่ ฝ่ายลูก ๆ ก็ต่างไปทำโน่นนี่ตามแต่ความสนใจปล่อยให้เหล่ามารดานั่งทำความคุ้นเคยกันอย่างสนุกสนาน


 «»------------------------------------------------------------------------------------«»


“ผมดีใจด้วยนะครับเฮียฟู” บ๊วยเอ่ยกับกรกฏขณะแบ่งข้าวเกรียบปากหม้อและสาคูที่เหลือใส่จานไว้เป็นส่วน ๆ เพื่อแจกจ่ายให้ถึงมือคนงานในไร่อย่างถ้วนหน้า ไปพร้อม ๆ กับคอยกำกับเด็ก ๆ ในบ้านให้ทำความสะอาดหม้อชามรามไหก่อนจัดเก็บให้เรียบร้อยในภายหลัง

ฝั่งรุ่นพี่ที่ยืนเท้าแขนมองหนุ่มรุ่นน้องอยู่ข้าง ๆ กลับทำท่าเฉย ๆ ไม่ยินดียินร้ายพลางไพล่ไปพูดถึงเรื่องอื่นที่น่าสนใจยิ่งกว่า “ขอบใจ... แต่เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเฮียจะบอกให้เก็กพาบ๊วยไปหาเจ็กฮวดที่กรุงเทพฯ นะ”

“หืม?!” ชายกลางชะงักมือ วางช้อนที่ถืออยู่แล้วเบือนหน้าไปมองพี่ชายคนรักด้วยความสงสัย... เขาเคยได้ยินธันวาพูดถึงเจ็กฮวดผู้มีศักดิ์เป็นผู้ปกครองของอริยะตรัยพี่น้องอยู่บ้าง แต่ทำไมอยู่ ๆ กรกฏถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับงานแต่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเลยสักนิด

สีหน้าเอ๋อ ๆ ของเด็กน้อยตรงหน้าทำให้กังฟูอดรู้สึกเอ็นดูไม่ได้ ชายหนุ่มจึงเอื้อมมือไปลูบหลังอีกฝ่ายเบา ๆ พลางให้เหตุผลด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “บูบู้ เจ็กเป็นญาติผู้ใหญ่ที่เหลือเพียงคนเดียวของบ้านเฮีย บูบู้ไปฝากเนื้อฝากตัวกับเจ็กหน่อยก็ดีนะ เจ็กจะได้เบาใจที่รู้ว่าคนที่เก็กเลือกมาเป็นคู่ชีวิตน่ะเป็นคนดีจริง ๆ ”

“แต่ผมไม่แน่ใจว่าพี่หมีจะว่างหรือเปล่านะครับ เห็นบอกว่าอาทิตย์หน้ามีไปทำธุระกับพ่อแม่ในเมืองเสียด้วย” เด็กเต็กไม่อาจรับปากรุ่นพี่ได้ทันทีด้วยเรื่องนี้ต้องให้อดีตเดือนมหาลัยร่วมตัดสินใจด้วยอีกคน กระนั้นกรกฏกลับเอ่ยสวนด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดราว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นออดอ้อนปิดท้ายด้วยหวังทำให้คนฟังใจอ่อนยวบ

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง... ปล่อยให้พวกคุณพ่อคุณแม่ของเต๋อกับด้วงจัดการคุยกับพ่อแม่เราอีกที บูบู้ไปอยู่เที่ยวเล่นกับเฮียสักอาทิตย์นะ เฮียคิดถึง”

“ถ้าพี่หมีไปได้ ผมก็ไม่มีปัญหาอะไรครับเฮีย”

“ดี!” กังฟูตบบ่ารุ่นน้องด้วยความถูกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นบีบไหล่แกร็นเบา ๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่า ตนยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ตนคิดจะไหว้วานอีกฝ่ายเพิ่มเติม “เออนี่บูบู้”

“ครับเฮียฟู”

“บูบู้ช่วยอะไรเฮียอย่างได้ไหม?”

“อะไรเหรอครับเฮีย?” น้ำเสียงไม่มั่นใจของอีกฝ่ายเรียกความสนใจของเด็กเต็กได้ชะงัด ชายหนุ่มรุ่นน้องละสายตาจากตะกร้าใส่ผักกาดหอม แล้วเลื่อนไปมองใบหน้าครุ่นคิดของคู่สนทนาอย่างตั้งอกตั้งใจ

“บูบู้ช่วยเฮียจัดของไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชุดใหญ่ให้เฮียได้หรือเปล่า กลับกรุงเทพฯ ไปรอบนี้เฮียอยากจะแวะไปไหว้ขอพรเจ้าพ่อเรื่องลูก ๆ สักหน่อยน่ะ” กรกฏอ้อมแอ้ม

“หืม? เจ้าพ่อที่ไหนเหรอครับ?”

“เจ้าพ่อไทรทองแถวปทุมวันน่ะ ท่านศักดิ์สิทธิ์มากเลยนะ... ตั้งแต่เฮียไปขอมา เฮียไม่เคยผิดหวังเลยสักเรื่อง รอบนี้เฮียเลยจะไปขอให้ท่านช่วยบันดาลให้พี่บิวท้องง่าย ๆ คลอดสะดวก ๆ ... ทั้งแม่ทั้งลูก ๆ จะได้ไม่ลำบาก”

พูดมาถึงตรงนี้ พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็เริ่มรู้สึกเขินขวยอย่างช่วยไม่ได้ เนื่องจากนี่คือครั้งแรกที่เขาเปิดเผยด้านงมงายของตัวเองให้คนอื่นได้ทำความรู้จัก... ครั้นจะเปลี่ยนใจทำทุกอย่างด้วยตัวเอง สังหรณ์บางอย่างกลับบอกเขาว่า รุ่นน้องตรงหน้าคือผู้ที่สามารถเตรียมของเซ่นไหว้ได้ถูกใจเจ้าพ่อที่สุด

แต่ลองขึ้นชื่อว่าอีกฝ่ายคือบ๊วยแล้ว นอกจากจะไม่โดนยี้ใส่
ชายกลางดันตอบตกลงง่าย ๆ  แถมยังให้ความร่วมมืออย่างดีเยี่ยมเสียด้วยซ้ำ


“ได้ครับ แล้วเฮียจะไปไหว้เจ้าพ่อเมื่อไหรเหรอครับ?”

“ก็น่าจะอีกสองวันนะ ทำไมเหรอ?”

“ผมว่าผมจะตามเฮียฟูไปไหว้เจ้าพ่อด้วยน่ะครับ ไหน ๆ ก็ได้เข้ากรุงเทพฯ แล้ว” บ๊วยเลือกให้เหตุผลเท่าที่คนฟังพอเข้าใจได้ เพราะขืนเขาบอกอีกฝ่ายว่าอยากตามไปทักทายเจ้าพ่อไทรทอง รวมถึงฝากของเซ่นเผื่อไปถึงเจ้าพ่อห่อไหล่ คนขวัญอ่อนอย่างกรกฏคงจะตกใจจนเป็นลมล้มพับไปก่อนแน่ ๆ

“ดีเลย! เฮียนึกว่าเฮียต้องไปไหว้เจ้าพ่อคนเดียวเสียอีก แล้วบูบู้จะไปขออะไรท่านล่ะ? อยากได้ลูกเหมือนเฮียมะ? ลูกของพวกเราจะได้โตมาพร้อม ๆ กันไง” คนเห่อลูกอดหาแนวร่วมไม่ได้ ยิ่งเมื่อนึกภาพตนเองเลี้ยงแฝดสามพร้อม ๆ กับแฟนน้องชายด้วยแล้ว กังฟูก็ยิ่งมีความสุขไปกันใหญ่

“หึ หึ ไม่ดีกว่าครับ ผมแค่อยากทำอาหารไปถวายพวกท่านก็เท่านั้นเองครับ” วินาทีนี้กังฟูไม่ติดใจเพราะหนุ่มรุ่นพี่ยังคงสงสัยกับการไม่อยากมีทายาทของอีกฝ่ายมากกว่า

“อ้าว! ทำไมล่ะ? บูบู้ไม่อยากมีลูกกับไอ้เก็กมันเหรอ?”

“ผมกับพี่หมีเราคุยกันแล้วครับว่า เราสองคนจะอยู่ดูแลพ่อแม่ และดูแลไร่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ อีกอย่าง... แค่ต้องเลี้ยงเจ้าตี้กับเจ้าเต้แทนพี่บิวกับพี่เติ้ลไม่กี่วัน พี่หมีก็บ่นจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้วล่ะครับ” พูดจบ ชายกลางก็หลุดหัวเราะเมื่อนึกถึงใบหน้ายุ่ง ๆ ของอดีตเดือนมหาลัยที่เจ้าตัวมักจะเผลอทำไปเสียทุกครั้งที่หลานทั้งสองอาละวาดใส่

“หึ หึ... ไม่เป็นไร ของแบบนี้มันหัดกันได้ ถ้ายากนัก เดี๋ยวเฮียจะมาอยู่ฝึกมันให้หัดเลี้ยงเด็กเอง!” กรกฏเอ่ยพลางถูมืออย่างหมายมั่นเพราะเขาตั้งใจจะปลุกปั้นน้องชายและคนรักให้สามารถเข้ากะเลี้ยงลูก ๆ แทนเขาได้ในยามจำเป็น  








||ขณะเดียวกันนั้นเอง||  


“โหพี่เต๋อ... การ์ดสวยอ่ะ ฝีมือพี่ฌานเหรอครับ?” ธันวาที่เพิ่งเสร็จจากงานในไร่ปราดเข้าไปยืนชื่นชมไฟล์ภาพบัตรเชิญร่วมงานแต่งงานในหน้าจอโน้ตบุ๊คของเต๋อด้วยความตื่นเต้น

“เออ พอดีมันแวะไปทำงานที่โน่น กูเลยขอให้มันมาช่วยถ่ายพรีเว็ดดิ้งให้” หนุ่มร่างหมีตอบพลางพิมพ์เนื้อความอีเมลถึงผู้รับทั้งหลายอย่างคล่องแคล่ว

“แล้วพี่ฌานจะอยู่ที่นั่นอีกนานไหมครับ?” ล่าสุดเท่าที่เก็กรู้จากพี่ชายเมื่อหลายวันก่อน ร่างทรงหนุ่มเพิ่งไปถึงอเมริกาได้ไม่ถึงอาทิตย์ดี แต่เนื่องจากตารางงานที่ไม่แน่ไม่นอน บรรดาเพื่อน ๆ ในเมืองไทยจึงไม่มีใครล่วงรู้ระยะเวลาในการปักหลักในแต่ละที่หมายของฌานเลยสักคน

“ก็น่าจะนะ... กูสั่งให้มันอยู่รอไปงานแต่งกูก่อนจะบินไปทำงานที่อื่นต่อ”

“หืม? พี่เต๋อไม่ได้จะแต่งที่ไทยนี่หรอกเหรอครับ?” อดีตเดือนมหาลัยอดสงสัยไม่ได้... พิกัดปัจจุบันของร่างทรงหนุ่มจัดว่าระบุยากแล้ว แต่คำตอบของรุ่นพี่ต่างคณะกลับเข้าใจยากยิ่งกว่า... พี่เต๋อพูดอะไรวะ เขาไม่เห็นจะเข้าใจเลย?!

“เหอะ! มึงรีบเตรียมเอกสารส่วนตัวรอไว้ได้เลย เดี๋ยวอาทิตย์หน้ามึงกับทุกคนในบ้านต้องเข้ากรุงเทพฯ ไปทำวีซ่ากันหมดเนี่ย”

“ทำไมต้องทำวีซ่าด้วยอ่ะครับพี่เต๋อ? พวกพี่จะแต่งงานกันที่ไหนเหรอครับ?!

สีหน้าหมางงของธันวาเรียกเสียงหัวเราะจากตรินได้เป็นอย่างดี กระนั้นรุ่นพี่กลับแสร้งไม่ใส่ใจพลางรัวนิ้วพิมพ์อีเมลแอดเดรสของเหล่าสมุนเลวกับตัวแถมทั้งหลายในช่องผู้รับอย่างขมีขมัน  และนั่นจึงเป็นสาเหตุให้คนที่เพิ่งตามมาสมทบพร้อมกาแฟและน้ำดื่มต้องช่วยไขข้อข้องใจให้อริยะตรัยผู้น้องแทนหนุ่มหน้าคมขี้แกล้งอย่างเสียไม่ได้


“ฮาวาย... พวกพี่จะแต่งงานกันที่ฮาวาย” ด้วงตอบพลางวางแก้วกาแฟกับจานขนมลงข้าง ๆ เต๋อ

หา?!”ธันวาอ้าปากค้างอย่างเสียอาการด้วยไม่นึกไม่ฝันว่าพี่ชายจะจัดงานแต่งงานที่อเมริกา

“ไม่ต้องหาแล้ว แค่พวกมึงเตรียมตัวให้พร้อมกันก็พอ”

“เห?!

ใช่! พวกมึงทุกคนต้องไปงานแต่งพวกกูที่ฮาวาย!” เต๋อสรุปด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดพลางกดอีเมลแนบการ์ดเชิญส่งเข้าอินบ็อกซ์ของเหล่ามิตรรักและรุ่นน้องทั้งหลายโดยไม่ลืมให้รายละเอียดเกี่ยวกับเลขาส่วนตัวบิดาผู้ซึ่งจะรับหน้าที่จัดการเรื่องวีซ่าให้พวกเขาทุกคนอย่างว่องไว  




 «»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «»