Friday, March 20, 2015

หลากเรื่องรักเกือบสั้น...ว่าด้วยพยัญชนะตัวที่ ๔๑ :: หวง ห้าม (เรื่องสั้นหมายเลขเจ็ด)




(หึง)หวง & (หัก)ห้าม




|| จูเนียร์ ||



วันนี้เป็นวันที่สี่ที่ไอ้หน้ามึนคนนั้นหยุดคุยกับพี่นพ
ทำไมมันถึงหน้าด้านมาจ่ายค่าปรับได้ทุกวันอย่างนี้ด้วยวะ?
เวลาอื่นก็มีถมเถ...กลับเสือกสะเออะมาจ่ายเงินเอาตอนพี่นพทำงาน...
มันต้องการอะไร?...
.
.
ผมว่า ผมชักได้กลิ่นทะแม่งๆ
ไว้รอถามพี่นพหลังกินข้าวดีกว่า



“พี่นพ...คนนั้นใคร?”

“คนไหน?”

“ผู้ชายที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าที่หยุดคุยกับพี่นานๆเมื่อตอนเกือบทุ่มน่ะฮะ?”

“อ๋อออออ...เค้าเป็นผู้โดยสาร...
.
...คนที่พี่เล่าให้ฟังไงว่า เค้าโดนค่าปรับมาจะเกือบอาทิตย์แล้ว”

“เนียร์ไม่ชอบหน้ามัน!!...
.
...พี่นพได้ยินไม๊ว่า เนียร์ไม่ชอบมัน...
...พี่นพอย่าคุยกับมันจะได้ไม๊ฮะ?”

“หึ หึ...ยังไม่ทันรู้เลยว่าเค้าเป็นคนยังไง ก็ไม่ชอบเค้าซะแล้ว...เด็กนะเรา”

“เนียร์ไม่เด็กแล้วนะ เนียร์สูงกว่าพี่นพตั้งเยอะ!

“ครับ ครับ...ไม่เด็กแล้ว ปะ..ช่วยพี่ล้างจานหน่อยนะครับคนตัวโต”









วันที่หก...ไอ้หน้ามึนแม่งยังจะมาเหมือนเดิม
วอนจริงๆ
อย่าเผลอเชียวนะมึง...จะเล่นให้หนักเลย!!



“วันนี้มันก็ออกไม่ได้อีกแล้วเหรอฮะ?”

“เนียร์!?”

“คนนั้นน่ะ...คนที่โดนค่าปรับน่ะฮะ ยังแตะออกไม่ได้อีกเหรอ? วันนี้มาไม่ดึกนี่?”

“เปล่าหรอก พี่ทักเค้าเองน่ะ...แปลกใจเหมือนเนียร์เหมือนกัน”

“.......”

“เค้าชื่อคีย์...เพิ่งจะกลับดึกช่วงไม่กี่วันนี้เอง  ดูท่าทางเป็นเด็กนิสัยดีเหมือนกันนะ”

“.......”

“แปลกดี ไม่รู้ทำไมต้องมาจ่ายค่าปรับอยู่อย่างนี้ก็ไม่รู้...พี่ถาม ก็ไม่ยักตอบ”

“เนียร์หิวแล้ว กลับกันเหอะฮะ”

“อื้อ...เอาซิ”








วันที่สิบสอง...ไอ้คีย์แม่งโผล่หัวมาอีกแล้ว
คุยอะไรกันวะตั้งนานสองนาน?
แล้วมันจะยิ้มหวานกับพี่นพทำไม?
เฮ๊ย!! มือไม้น่ะอย่ายื่นเข้าไปได้ไหม?
.
.
ไอ้คีย์แม่งต้องคิดอะไรกับพี่นพแน่ๆ!



“พี่นพ... ให้คนอื่นมาอยู่เคาน์เตอร์ช่วงเย็นแทนพี่นพไม่ได้เหรอฮะ?”

“ทำไมถามอย่างนั้นล่ะเนียร์?”

“เนียร์ไม่ชอบหน้าไอ้คีย์”

“เนียร์!!

“เนียร์ไม่ชอบหน้าคนชื่อคีย์อะไรนั่น เนียร์บอกพี่นพเป็นล้านครั้งได้แล้วไม่ใช่เหรอ?”

“มีเหตุผลหน่อยซิ...เค้าเป็นผู้โดยสาร ไม่ได้มีอะไร”

“แต่มัน...เอ๊ย! เค้าชอบมาตอแยพี่นพ”

“เนียร์พูดอะไรออกมา...จะบ้าเหรอ? เค้ามาจ่ายค่าปรับกับพี่ แค่นั้นเอง...
.
.
...คราวหน้าอย่าให้พี่ได้ยินอะไรทำนองนี้อีกนะ!

“....ฮะ...
.
...ก็ได้ฮะ...”



๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



|| นพ ||


เฉกเช่นทุกเย็น...ภายหลังเข็มนาฬิกาบอกเวลาเลิกงาน

ผมบอกลาเพื่อนร่วมงาน สะพายกระเป๋าแล้วจึงเดินออกจากที่ทำงานอันเป็นเพียงทางผ่านของผู้คนนับพันนับหมื่น
หากเดินพ้นซุ้มขายของขวามือข้างหน้าไป ผมจะได้เห็นภาพเจนตา...

หนุ่มน้อยหล่อลากในเครื่องแบบนักเรียนหลุดรุ่ย ยืนก้มหน้าเล่นมือถืออยู่ตรงสุดทางเดินออกจากสถานี
นานๆครั้ง จึงจะละสายตาจากหน้าจอขึ้นเพื่อมองกวาดยังทิศทางที่ผมมุ่งหน้าไปสักครั้งหนึ่ง

ทันทีที่เห็นผม...ดวงตาคู่งามที่เคยตรึงอยู่บนหน้าจอของโลกอีกใบ จะเคลื่อนมาหยุดนิ่งสบสายตาผมโดยไม่ละไปไหน
ริมฝีปากหยักได้รูปจะผลิรอยยิ้มแสนอบอุ่นอ่อนโยน  เติมแต่งให้ใบหน้าเฉยชา เปลี่ยนเป็นสะกดสายตาโดยพลัน
ชั่ววินาทีสุดพิเศษดังกล่าว...ผมจะรู้สึกราวกับว่า ณ ทางเดินสั้นๆแห่งนั้น...เรามีกันและกันเพียงสองคน


ใช่!...
แค่ได้เห็นเขายืนอยู่ตรงนั้น  ทำให้ผมตระหนักได้ถึง กล้ามเนื้อเรียบใหญ่เท่ากำปั้นตรงทรวงอกด้านซ้ายที่ผมหลงลืมไปตลอดทั้งวัน เพราะมันกำลังสั่นไหวโดยไร้การควบคุม  


แต่ไม่!...
ความรู้สึกวูบไหวในอกอย่างเช่นในเวลานี้ ไม่สมควรเกิดขึ้น
เพราะช่องว่างระหว่างผมกับเขา...มันกว้างเกินจะถม

เริ่มจากวัย...อุปสรรคใหญ่ซึ่งผมไม่อาจก้าวข้ามไปได้
สิบหกปี...กับการเฝ้าดูเขาเติบโตขึ้นมาในฐานะน้องชายข้างบ้าน
อยู่ๆวันหนึ่ง จะไปเปิดตัวว่าอยากเป็นคนเดินข้างๆ แล้วเขาจะมองผมอย่างไร?

และเรื่องสำคัญอีกอย่างที่จะละเลยเสียไม่ได้...
นั่นคือ ความจริงที่ว่า อนาคตของเขายังอีกยาวไกล มีผู้คนมากมายที่เฝ้ารอให้เขาออกไปพบเจอ
จะน่าเศร้าแค่ไหน...หากเนียร์ต้องจมปลักอยู่กับพี่ชายข้างบ้าน  แถมยังต้องใช้ชีวิตอยู่กับการโดนสังคมตราหน้าว่าเป็นเกย์ตราบจนลมหายใจสุดท้าย



ยิ้มบางๆคือสิ่งเดียวที่ผมมอบตอบแทนรอยยิ้มพิมพ์ใจนั้น
เหลือระยะทางอีกสี่ห้าเมตร  ผมรีบเตือนตัวเองให้ซ่อนความรู้สึกลิงโลดใจยามพบหน้าเขาไว้ใต้หน้ากากพี่ชายที่แสนดี...
ช่วงเวลาหลังจากนี้...ความรู้สึกลึกซึ้งเกินกว่าพี่น้อง ไม่จำเป็นสำหรับผมกับจูเนียร์  


“พี่บอกเนียร์แล้วใช่ไม๊ว่าไม่ต้องมา”


นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆซึ่งยกมาจากการทักทายในวันนี้...
ผมหมั่นสรรหาประโยคตัดรอนทั้งหลายสับเปลี่ยนกันมาใช้เปิดบทสนทนากับจูเนียร์...หวังให้อีกฝ่าย เข้าใจเจตนารมณ์ว่าไม่ต้องการเจอหน้าอย่างที่สุด

อย่างนั้นก็เถอะ...เพราะคนที่ผมพูดด้วยเป็นเจ้าตัวแสบที่ไม่เคยสนใจผู้ใด  
มีหรือที่ลมปากเป่าเหล่านี้ จะทำให้เด็กหน้าเป็นหมดกำลังใจลงได้  

นอกจากจะไม่ใส่ใจ พ่อตัวดียังสะบัดลวดลายยียวนกวนอารมณ์ได้อย่างคงเส้นคงว่า...
ไม่ก็หาทางเฉไฉพูดเรื่องอื่นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

พอเจอลูกแถ และหน้ามึนๆหนักๆเข้า ผมก็มักจะลืมตัวเผลอต่อปากต่อคำเสียยกใหญ่
บางครั้งก็กลายเป็นฝ่ายชวนเจ้าตัวแสบคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างเพลิดเพลิน จนไม่อาจรักษาระยะห่างได้อย่างตั้งใจ  
มารู้ตัวอีกที...ก็ตอนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าบ้าน แล้วผลัดกันพูดกู๊ดไนท์ส่งอีกฝ่ายเข้านอนแบบกลายๆอยู่ได้ทุกคืน



สำหรับผลลัพธ์ของวันนี้...
จำไม่ได้จริงๆว่า ผมเผลอไปตกลงด้วยตอนไหน...
หรือเป็นเพราะเอาแต่ดีใจที่เจ้าตัวแสบยอมอ่อนข้อไม่ชวนทะเลาะด้วยก็ไม่รู้
แต่สุดท้าย...ผมก็ยอมตามใจหอบเสื้อผ้าชุดทำงานใหม่ เพื่อมานอนค้างกับเนียร์อีกจนได้


๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑


|| จูเนียร์ ||


วันที่สิบห้า...ไอ้คีย์แม่งก็แจ๋นมาเหมือนเคย
วันนี้ชักจะนานเกินไปแล้วนะ...
พร่ำพรรณนาอะไรอีกล่ะ?

อกหัก รักคุด ตุ๊ดเมิน...เวิ่นเรื่องอะไรของมึง?
พี่นพไม่ใช่ที่พึ่งทางใจของใครนะเว่ย
รีบๆออกมาได้แล้ว!!! โยกโย้สัดอ่ะ!


พอไอ้คีย์กลับไป...ไอ้คนชื่อหนุ่ยแม่งก็โผล่หน้ามา...
วันนี้แม่งวันปล่อยผีหรือไงวะ?
ทำไมแม่งมีแต่คนมาคอยเทียวไล้เทียวขื่อขายขนมจีบให้พี่นพอยู่ได้?

ไอ้คนนี้จัดว่าน่ากลัวกว่าขาจรอย่างไอ้คีย์หลายเท่า
เพราะไอ้คีย์น่ะมันเป็นแค่ลูกค้า อย่างมากก็ทำได้แค่จ้องหน้าพี่นพผ่านคอกกั้น...
แต่ไอ้หน้าจืดหนุ่ยแม่งเป็นเพื่อนร่วมงาน จะเดินเข้าไปคลุกวงในพี่นพเมื่อไรก็ได้ตามแต่มันพอใจ

นี่ถ้าไม่ติดว่ารับปากพี่นพเอาไว้...ผมไม่มีทางปล่อยให้ไอ้เต้าหู้หนุ่ยได้ชูคอใช้อากาศหายใจร่วมกับพี่นพแน่ๆ!!
แม่ง!!... เมื่อไรจะถึงเวลาเลิกงานของพี่นพเสียทีวะ?



“เนียร์ เนียร์รู้ไม๊ว่าทุกวันที่คีย์เค้าต้องจ่ายค่าปรับน่ะ เพราะอะไร?...
.
...เค้ารอคนที่เค้าชอบน่ะ”

“..........”

“อยากให้คีย์สมหวังกับคนๆนั้นจังเลย”

“..........”

“เป็นอะไร? ทำไมวันนี้ถึงได้เงียบแบบนี้? ไม่พอใจอะไรเหรอ?”

“เปล่านี่ฮะ”

“จูเนียร์!

“..........”

“เนียร์เป็นอะไร?  โมโหเรื่องคีย์อีกแล้วใช่ไม๊?...ก็พี่บอกแล้วไงว่าคีย์เค้ามีคนที่ชอบแล้ว”

“ก็ดีแล้วนี่ฮะ”

“พี่พูดแค่นี้...ทำไมต้องประชดพี่ด้วย?”

“เนียร์ประชดพี่เมื่อไหร่กันฮะ?”

“แล้วเนียร์เป็นอะไรล่ะ? ทำไมถึงเอาแต่เงียบ? ถามอะไรคำ...ก็ตอบอยู่แค่คำสองคำอย่างนี้?”

“ก็เมื่อวาน พี่นพบอกว่าไม่อยากได้ยินเรื่องคนที่ชื่อคีย์อีก...เนียร์ก็ไม่พูดแล้วไงฮะ พี่นพยังไม่พอใจอีกเหรอ?”
.
.
.
“โธ่เอ๊ยเนียร์...เรื่องจิ๊บจ๊อยแค่นี้เอง ทำไมต้องเก็บเอามาใส่ใจด้วย...
...พี่ขอโทษน้า  อย่างอนซี่!

“อย่างนี้เรียกงอนเหรอฮะ...เนียร์ไม่ยักรู้”

“ก็ได้ ก็ได้...พี่ไม่ห้ามเนียร์เรื่องคีย์แล้วล่ะ...
.
...เนียร์อยากจะพูดอะไรก็พูด...
...พี่ขออย่างเดียว...อย่าพูดถึงเค้าในทางเสียหาย เข้าใจไม๊?...
...คนอื่นฟังเค้าจะรู้สึกไม่ดีกับตัวเนียร์เอง รู้ไม๊ครับ?”

“..........”

“เนียร์! รับปากพี่ก่อนซิ!

“เนียร์จะเป็นยังไง...มันก็ขึ้นอยู่กับพี่นพน่ะแหละ”

“เนียร์พูดอะไรของเนียร์?...นี่กำลังหงุดหงิดเรื่องอะไร?...หรือว่าพี่เผลอทำอะไรให้ไม่พอใจอีก?...
.
...พี่ย้ำหลายทีแล้วไม่ใช่เหรอว่า คีย์เค้าเป็นแค่ผู้โดยสาร ไม่ได้มีอะไรพิเศษ”

“ถ้าพี่นพคิดว่าสิ่งที่พี่นพทำมันดี...
...พี่นพก็ทำอย่างงั้นต่อไปเถอะฮะ  ไม่ต้องมามัวเปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี่เอาใจเนียร์...
.
...เพราะเนียร์ก็จะทำอย่างที่เนียร์พอใจ ทำในสิ่งที่เนียร์คิดว่ามันดีมั่งเหมือนกัน”

“พอเถอะ...พี่ไม่อยากคุยแล้ว  เรากลับบ้านกันเถอะนะ”

“ไม่อยากคุย หรือเพราะคนที่พี่นพคุยด้วยเป็นเนียร์...ไม่ใช่คนอื่นที่คอยมาล้อมหน้าล้อมหลังพี่นพกันแน่ฮะ?”

“พูดไม่รู้เรื่องอย่างนี้...ต่างคนต่างกลับก็แล้วกัน”

“หึ! หรือพี่นพทนฟังไม่ได้?”

“..............”

“ว่ายังไงฮะ? จริงใช่ไม๊ฮะ?”

“หลังจากวันพรุ่งนี้ เนียร์ไม่ต้องมาที่นี่อีกแล้วนะ... พี่เหนื่อย พี่ขี้เกียจทะเลาะ...
.
...พี่กลับก่อนนะ กลับบ้านดีๆล่ะ”

“พี่นพฮะ...เนียร์ขอโทษ...
...เนียร์ผิดที่พูดจาแบบนั้นกับพี่...
.
...แต่พี่นพก็รู้ว่า เนียร์ไม่ชอบที่พี่นพสนใจความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าเนียร์...
...ไม่ชอบเวลาที่เนียร์ดูไม่มีค่า ไม่สำคัญในสายตาพี่...
...ทุกทีที่เนียร์รู้สึกแบบนี้ เนียร์มักจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้...
...พี่นพอย่าโกรธเนียร์เลยนะฮะ...
...เนียร์สัญญา เนียร์จะไม่ทำอีก”

“..............”

“นะ...นะฮะ อย่าโกรธเนียร์เลยนะฮะ”

“..............”

“กลับบ้านกันเถอะฮะ...มาฮะ เดี๋ยวเนียร์สะพายกระเป๋าให้นะฮะ”
“..............”



เกือบไปแล้วไหมล่ะ
ไม่น่าเผลอไปหงุดหงิดใส่พี่นพเลย
จริงๆเรื่องไอ้คีย์ก็ไม่ได้น่าเป็นห่วงสักเท่าไร
แต่ที่หนักใจน่าจะเป็นเรื่องไอ้หนุ่ยเสียมากกว่า
สงสัยต้องกำจัดศัตรูเสียแต่เนิ่นๆ ก่อนที่อะไรๆจะลุกลามจนยากเกินควบคุมเสียแล้วสิ


เฮ้อออ...พี่นพนี่ก็นะ จนป่านนี้ยังหน้าบึ้งไม่หาย
ดูท่าทาง คงต้องง้อกันอีกยาว...

แล้วจะยอมมานอนให้กอดไหมวะ?
เดี๋ยวกลับถึงบ้าน ค่อยขอให้แม่กับเนียสช่วยตะล่อมแล้วกัน...
ช่วยไม่ได้...ก็พี่นพแพ้ลูกอ้อนของแม่ แพ้หน้าแพ้เสียงหวานๆของเนียสเองนี่นะ หึ หึ หึ


๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



|| นพ ||


เย็นนี้ เมื่อเดินพ้นจากสถานีมาจนถึงซุ้มขายของ...
กลับไม่มีสายตาที่ทำหัวใจสั่นมองตรงมารอทาบทับสายตาผมเหมือนอย่างเคย  


หรือเนียร์จะทำอย่างที่ผมบอก?
วันนี้เขาไม่มาจริงๆใช่ไหม?
แต่ตอนก่อนนอนเมื่อคืน หรือกระทั่งเมื่อเช้า เนียร์ก็ดูปกติดีนี่นา...แล้วทำไมถึงไม่มารอผมล่ะ?


ระหว่างยังสับสนกับเรื่องผิดวิสัย ร่างกายผมกลับฟ้องว่ารับเหตุการณ์นี้ไม่ได้ออกมาโต้งๆ...
...เริ่มจากเผลอผ่อนลมหายใจยาวๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
...รู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวจนไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะขืนไหล่ให้ตั้งตรงได้อีกต่อไป...
...เท้าขวาและซ้ายต่างพร้อมใจยกไม่ขึ้น ทำให้ต้องเดินลากเท้าโดยไม่รู้ตัว...
.
.
...บอกตรงๆ ผมไม่เคยรู้สึกเหนื่อย และท้อใจแบบฉับพลันอย่างหนนี้มาก่อน



ถึงอย่างนั้น...นี่กลับไม่ใช่การลงทัณฑ์ขั้นสูงสุดที่คนปากว่าตาขยิบอย่างผมสมควรจะได้รับเสียทีเดียว
เพราะเมื่อสืบเท้าก้าวต่อไปเรื่อยๆ  สายตาผมก็เหลือบไปเห็นร่างสูงใหญ่ในชุดนักเรียนคุ้นตา ยืนหัวร่อต่อกระซิกกับสาวน้อยวัยเรียนหน้าตาจิ้มลิ้มตรงป้ายรถเมล์ตีนบันไดทางลงรถไฟฟ้า...
พวกเขาทำท่าราวกับว่า โลกนี้มีกันแค่สองคน

แม้สมองจะอธิบายภาพตำใจว่า สิ่งที่เห็น คือ สัจธรรมของชีวิตมนุษย์ทั่วๆไป...ข้อที่ว่า ผู้ชายย่อมถูกสร้างมาให้คู่กับผู้หญิง
ทว่าขณะนี้...ก้อนเนื้อที่ถูกเรียกว่าหัวใจ กลับอาศัยความเจ็บปวดที่กรีดลึกเป็นริ้วๆอยู่ภายใน แทนสัญญาณบ่งบอกการทำงานอย่างซื่อตรงของมัน  หาใช่อาการตื่นเต้นจนใจสั่นอย่างที่คุ้นเคยไม่



จริงอยู่...
ตลอดมา ผมมักจะคอยห้ามไม่ให้ตัวเองใจเต้นเวลาอยู่ใกล้ๆกับเจ้าตัวแสบ
แต่แบบนั้น...กลับทำให้ผมมีความสุขมากกว่าสภาวะของหัวใจในตอนนี้จนเทียบกันไม่ติด

หักห้ามหัวใจตัวเองในวันที่เรายังมีค่า...
ย่อมดีกว่ากลายเป็นพี่ข้างบ้านสุดวิปริตที่รังแต่จะทำให้เนียร์ด่างพร้อยในภายหลัง
   


นั่นสินะ...
หากทางเลือกของผม คือ การเฝ้ามองอีกฝ่ายเติบโตขึ้นในฐานะพี่ชายแล้วล่ะก็
คงถึงเวลาที่ต้องปล่อยให้ช่องว่างระหว่างเรา ขยายกว้างขึ้นกว่าเดิมได้เสียที


ผมจะจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้เอาไว้...
เพื่อใช้เตือนใจตัวเองไม่ให้เหลิงไปกับท่าทีของน้อง ที่ทำให้ผมหลงทึกทักเอาเองอยู่บ่อยไปว่า ผมพิเศษเหนือใครๆ

ผมจะจำความรู้สึกร้าวรานไปทั้งทรวงนี้เอาไว้...
เพื่อช่วยให้ไม่หลงลืมจุดยืนของตัวเอง จนเผลอทำลายความสัมพันธ์อันดีฉันท์น้องพี่ระหว่างเรา

ผมจะจำรอยยิ้มเปี่ยมสุขของเขา ยามพูดคุยกับเด็กผู้หญิงคนนั้นให้แม่น...
เพื่อคอยสั่งให้ระวัง ทุกครั้งที่อาจเผลอสื่อความนัยผ่านสายตา หรือการกระทำของตัวเอง
เพราะตราบใดที่ความรู้สึกพิเศษที่ผมมีต่อเขานั้น ยังดังก้องแค่ข้างใน...
การแสร้งยิ้ม การฝืนทำตัวเริงร่าเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าเขาจะเป็นเรื่องง่ายเสมอ

ผมไม่ได้ประเมินความสามารถของตัวเองสูงจนเกินไปหรอก...
แต่เป็นเพราะว่า นั่นคือสิ่งที่ผมทำเป็นประจำ แลกกับทุกๆวันที่จะได้เห็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์ของเขาใกล้ๆ เพื่อหล่อเลี้ยงให้หัวใจตัวเองยังคงเต้นอยู่ต่างหาก



แค่วันนี้...ผมอาจต้องใช้ความพยายามมากกว่าเดิมนิดหน่อยเท่านั้นเอง


๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑


|| จูเนียร์ ||



วันที่สิบหก...
วันนี้ไอ้คีย์แม่งโคตรดราม่า
ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จอะไร? ร่ำไรว่ะ!!
ดูท่าแล้วคงจะปล่อยให้กลับบ้านดีๆไม่ได้...สงสัยต้องเตือนกันหน่อย
พี่นพน่ะของใคร ให้มันรู้เสียบ้าง!

ผมรอจนไอ้คีย์เดินมาจนถึงก่อนบันไดทางลงสถานี
อาศัยมุมดีๆเดินไปถลึงตาจ้องแม่งอย่างไม่ไว้หน้า...
ให้มันรู้ไปสิว่า สายตาพิฆาตที่เฝ้าร่ำเรียนกับท่านเรียวขาโหดมา...จะไม่ได้ผล

ส่วนไอ้หนุ่ย...
คงต้องอดใจรอไปอีกสักหน่อย
เพราะผมยังหาจังหวะเหมาะๆประชิดตัวมันไม่ได้เสียที
แต่รับรองได้ว่า...ผมไม่มีทางลืมความแค้นที่มันเป็นต้นเหตุทำให้ผมกับพี่นพต้องทะเลาะกันเมื่อวานนี้อย่างแน่นอน...

หึ หึ...ใครก็ตามที่หาเรื่องตายด้วยการเข้าใกล้พี่นพของผม...
อย่าได้หวังจะมีชีวิตที่สงบสุขอีกเลย



“เฮ้อ...สงสารคีย์น่าดู วันนี้เค้าไม่ได้ใช้เวลากับคนที่เค้าชอบ...
.
....เนียร์ ถ้าเป็นเนียร์...เนียร์จะทำยังไง?”

“เนียร์จะทำทุกอย่าง เพื่อให้เราได้มาเจอกัน... เนียร์เชื่อว่า ถ้าเรารักใครมากๆ เราย่อมต้องหาทางมาเจอคนๆนั้นจนได้”

“อืม ก็จริง”

“แล้วคุยกันแค่นี้?”

“หืม? คุยกัน...คุยกับใคร?”

“ก็วันนี้พี่นพกับคนที่ชื่อคีย์คนนั้นน่ะ คุยกันแค่นี้เหรอฮะ?”

“ใช่...เค้าดูเศร้าๆ พี่เลยทักไป สุดท้ายเลยยอมเล่าว่าไม่ได้เจอหน้าคนที่ชอบสมความตั้งใจน่ะ”

“อย่างนั้นเองเหรอฮะ”

“รีบกลับกันเถอะ...เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วพี่มีเรื่องจะบอก”


๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



|| นพ ||


หลังจากเก็บโต๊ะและล้างจานเรียบร้อย ผมก็อดใจรอจนเนียสซึ่งเป็นสมาชิกเพียงคนเดียวของบ้านในคืนนี้ เดินขึ้นห้องนอนของตัวเองไปเสียก่อน จากนั้นจึงชวนเนียร์ไปนั่งคุยที่โซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่น


“เนียร์...พรุ่งนี้ตอนเย็นเนียร์ไม่ต้องไปรอพี่กลับบ้านนะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงสงบ พร้อมกับวางท่าเป็นการเป็นงาน

“ทำไมล่ะฮะ?” เนียร์ถามทันทีโดยไม่รอคำอธิบายด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก

“พี่มีกินเลี้ยงกับเพื่อนที่ทำงานน่ะ” ...ผมโกหก จริงๆผมยังไม่ได้ตอบตกลงว่าจะไป แค่ใช้เป็นข้ออ้างในการไม่ต้องเจอหน้าเนียร์สักหนึ่งวัน

“ไม่ไปไม่ได้เหรอฮะ...ทีเมื่อก่อน พี่นพยังปฏิเสธได้” เด็กแสบกระเถิบเข้ามานั่งใกล้ๆ แล้วใช้ภาษากายเข้าต่อรอง

“ไม่ได้หรอก...งานเลี้ยงคราวนี้เป็นงานเลี้ยงเลื่อนตำแหน่งน่ะ...
...เพื่อนๆพี่ไปกันหมดทั้งแผนก ถ้าไม่ไปอยู่คนเดียว มันจะดูน่าเกลียดน่ะสิ”

“พี่นพก็แค่บอกว่าไม่สบาย ที่บ้านมีธุระด่วน หรือจะอ้างอะไรก็ได้นี่ฮะ...ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครจับได้หรอก” พูดจบก็นอนลงหนุนตักผมแล้วจ้องผมตาแป๋ว...แย่แล้ว! ผมต้องไม่เผลอใจอ่อน

“เอ๊...เนียร์ นึกยังไงถึงมาสอนพี่ให้โกหกเป็นเด็กเลี้ยงแกะแบบนี้?”

“ก็เนียร์ไม่อยากให้พี่นพไปนี่ฮะ...แล้วพรุ่งนี้เนียร์จะกลับบ้านกับใคร”

“เนียร์ไม่ลองชวนเพื่อนคนอื่นกลับบ้านพร้อมกันล่ะ? หน้าตาหล่อๆอย่างน้องพี่...ขี้คร้านจะมีมากกว่าเพื่อนมาให้เลือกกลับบ้านด้วยจนตัดสินใจไม่ถูกกันเลยทีเดียว...พี่พูดถูกใช่ไม๊ล่ะ ฮะ ฮะ ฮะ” ผมเสไปมองทีวีแทนที่จะมองใบหน้าน่ามองด้านล่าง หวังว่าอาการรื่นเริงจอมปลอมของผมจะดูเป็นธรรมชาติมากพอ

“ไม่เอาอ่ะ....พวกนั้นน่ารำคาญจะตายไป...
.
...เนียร์จะกลับบ้านกับพี่ เนียร์อยากกินข้าวพร้อมพี่” เด็กน้อยร่างยักษ์ทำท่าน่ารักด้วยการเอามือผมมากุมเอาไว้เหนืออกตัวเอง

“เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่โทรกำชับเนียสให้กลับบ้านเร็วก็แล้วกัน เนียร์จะได้มีเพื่อนกินข้าวยังไงล่ะ”

“โห่ พี่นพฮะ เนียสไม่เหมือนพี่นพซะหน่อย พูดอะไรนิดอะไรหน่อยก็จ้องแต่จะด่าเนียร์...
...ถ้าต้องนั่งกินข้าวกันสองคน มีหวังเนียร์เป็นโรคประสาทกันพอดี...
.
...พี่นพอย่าไปเลยนะฮะ ถ้าเนียร์เหงา ใครจะคอยดูแลเนียร์ล่ะฮะ?” ตัวแสบกระพริบตาปริบๆ...ผมรู้ นั่นคือท่าออดอ้อนที่เขาชอบงัดมาใช้เพื่อทำให้ผมใจอ่อน ถึงอย่างนั้น...ผมคงยอมลงให้ไม่ได้จริงๆ

“ไม่มีพี่...เนียร์ก็อยู่คนเดียวได้ ไม่ถึงกับเหงาตายหรอก...
...อีกอย่าง  พี่แค่ไปกินเลี้ยงคืนเดียว จะเหงาซักเท่าไหร่เชียว...
.
.
...เดี๋ยวนี้ชักจะเว่อร์ใหญ่แล้วนะเรา” ผมว่ายิ้มๆ พยายามทำตัวให้เป็นปกติเหมือนทุกที  

“เนียร์ไม่อยากให้พี่นพไป...เนียร์ไม่ไว้ใจคนอื่น” ท่าทางสบายๆ กลายเป็นขึงขัง สายตาจริงจังแฝงความหมายบางอย่างถูกเจ้าของสายตาคมส่งมาให้...ทว่าผมไม่เข้าใจ

“เนียร์ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่?”

“ไม่รู้ล่ะ...เนียร์ไม่ให้พี่นพไป ยังไงก็ไม่ให้ไป!” คนตัวโตลุกขึ้นนั่ง แล้วทำท่าฮึดฮัดเสียใหญ่โต

“แต่พี่จะไป” ผมยืนกรานหนักแน่น จนอีกฝ่ายโอนอ่อน

“พี่นพ!! เนียร์ไม่สบายใจ พี่นพอย่าไปเลยนะฮะ...
.
...เอาอย่างงี้ไม๊ฮะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เนียร์จะรีบไปรอรับพี่ตั้งแต่เนิ่นๆ...
...แล้วก่อนกลับบ้าน เราแวะไปกินราเมนร้านโปรดของพี่นพกันสองคนดีไหมฮะ?
...เนียร์อาสาเลี้ยงพี่นพเองเลยน้า...เนียร์เป็นป๋า เนียร์ใจป้ำ!!


ถึงเนียร์จะทำท่าน่ารัก และพูดจาน่าฟังแค่ไหน...
ผมคงทำได้แค่ปฏิเสธทุกๆอย่างที่อีกฝ่ายอยากได้อย่างไม่ใยดี


“ไม่ดีกว่า พี่รับปากพวกเพื่อนๆไปแล้วน่ะ”

“หึ! ถ้าพี่นพอยากไปให้พี่หนุ่ยมันแทะโลม...ก็ตามใจ เนียร์จะไม่ขวางอะไรอีกแล้ว”


สุดท้ายพ่อคุณก็ทนไม่ไหว...ตีรวนออกมาจนได้
ซึ่งนับเป็นตอนจบที่สะดวกกับผมมากๆ
เมื่อสบโอกาสอันงดงามเช่นนี้ ผมจึงลุกขึ้นแล้วสั่งความสุดท้าย ก่อนออกเดินกลับไปบ้านของตัวเอง โดยไม่สนใจเด็กหนุ่มอารมณ์ร้ายที่ถูกทิ้งอยู่เบื้องหลัง


“พี่กลับบ้านก่อนนะ ฝากขอบคุณแม่ด้วย...จับฉ่ายยังอร่อยเหมือนเดิม”

“พี่นพ!!!


๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑


|| จูเนียร์ ||


“เป็นไร หน้าบูดตั้งแต่เดินเข้าบ้าน?”

“เนียส...พี่นพไปกินเลี้ยงกับเพื่อนที่ทำงานอ้ะ”

“แล้วไง? เรื่องปกติป่ะวะเนียร์? แกชักจะงอแงเหมือนเด็กปัญญาอ่อนเข้าไปทุกทีแล้วนะ”

“เนียส...ฟังก่อน อย่าเพิ่งด่า...
.
...พี่นพเค้าไม่เคยเป็นอย่างงี้”

“ยังไง?”

“ทุกทีที่เนียร์ขอ หรือ ห้ามอะไร...พี่นพก็ไม่เคยขัด...
.
...แต่ครั้งนี้ พี่นพเค้าดื้อจะไปให้ได้...
...ทั้งๆที่รู้ว่ามีไอ้หน้าจืดคอยป้ออยู่ ก็ยังจะไป”

“แกไปทำอะไรให้เค้าไม่พอใจรึเปล่าล่ะ?”

“หืออออ...เคยที่ไหน  ออกจะรักมากล่ะไม่ว่า”

“ก็นั่นแหละ...แกไปทำท่ากระโตกกระตากจนไก่ตื่นชิ่งหนีไปแล้วรึเปล่าล่ะ? พี่นพถึงได้รีบฉากออกไปอย่างนั้นน่ะ?”

“ไม่มีนะ...
.
.
...แต่จะว่าไป เมื่อคืนพี่นพก็แปลกไปจริงๆอ่ะแหละ”

“ยังไงของแก?”

“ก็พี่นพพูดเยอะกว่าทุกที...
.
...เหมือนกำลังพยายามกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง...
...แล้วพอเนียร์ขอให้พี่นพทำอะไรแบบที่เคยขอเป็นประจำ...พี่นพก็บ่ายเบี่ยง...
...หรือว่าเค้าจะมีคนอื่นจริงๆวะเนียส? พี่นพไม่ชอบเนียร์แล้วเหรอวะ?”

“นี่แกกำลังคุยกับใครอยู่?”

“ก็คุยกับเนียสไง”

“เออ...ก็นั่นไง แล้วชั้นจะรู้ไม๊ว่าพี่นพเค้าคิดอะไรอยู่?...
.
...ถ้าอยากรู้จนจะลงแดงตายแบบนี้ล่ะก็...
...ทำไมไม่ลองใจเค้าดูล่ะ? จะได้รู้ว่าแกยังสำคัญสำหรับเค้าอยู่ไม๊?”

“เออแฮะ...เนียร์ลืมไปได้ยังไงกันวะ?”

“นั่นซิ...ไม่นึกว่าน้องชั้นจะฉลาดน้อยอย่างงี้”

“ขอบใจนะเนียส...แล้วก็เลิกด่าเนียร์ซะที วันนี้ด่าเกินโควต้าไปตั้งเยอะแล้วนะ”


 (Rrrrrrrrrr Rrrrrrrrrr Rrrrrrrrrr – เสียงรอสาย)


(มีไร?)

“เรียว...เมนท์เฟสกูหน่อยดิ”

(สัด!..ขาดความอบอุ่นไรเนี่ยะ?)

“เหอะน่า....มึงแค่เข้ามาเต้า เอาแบบให้กูดูน่าสงสารสุดๆเลยนะเว่ย เดี๋ยวที่เหลือกูจัดการเอง”

(หึ! กูว่างเล่นด้วยถึงสามทุ่มครึ่ง แค่นั้นนะเว่ย)

“เออๆ เดี๋ยวจัดเลย” 



๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



|| นพ ||


“พี่นพครับ...โอเคป่าวพี่?” 


คำถามนี้ทำให้ผมจำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอเรืองแสงในมือ แค่นยิ้ม และเอ่ยตอบอย่างเสียไม่ได้
หาใช่รังเกียจคนถามที่สนอกสนใจในตัวผมเกินพอดีแต่อย่างใด
หากตอบรับความรู้สึกพิเศษของอีกฝ่ายไม่ได้  จึงพยายามเลี่ยงการวิสาสะด้วยไปเสียทุกครั้ง
แต่ดูเหมือนคืนนี้...ผมจะรนหาที่แท้ๆ


“อือๆ พี่โอเค...แค่เช็คข้อความของน้องนิดหน่อยน่ะ หนุ่ยไปดื่มต่อเถอะ”

“ขอโทษนะพี่...เพราะผมคนเดียว พี่เลยต้องโดนลากมาด้วย”

“อย่าคิดมากดิ...
...งานเลี้ยงโปรโมทตำแหน่งใหม่ของหนุ่ยทั้งที...พี่จะไม่มาร่วมยินดีด้วยได้ยังไง...
.
...อีกอย่าง นานๆได้ออกมาเปิดหูเปิดตากับเพื่อนๆที่ทำงานบ้าง มันก็แปลกใหม่ดี...หนุ่ยว่างั้นไม๊ล่ะ?”


ถึงจะรู้ว่าควรให้ความสำคัญกับคู่สนทนาในโลกแห่งความเป็นจริงมากที่สุด...
แต่ระหว่างโต้ตอบกับหนุ่ย นิ้วมือผมก็ยังเฝ้าแตะหน้าจอประคองไม่ให้มือถือเข้าสู่เซฟโหมดอยู่เนืองๆ


“ครับพี่...ได้ยินพี่นพยืนยันแบบนี้ ผมก็สบายใจ....เอ่อ แต่น้องชายพี่นพเค้าโอเคจริงๆรึเปล่าอ่ะครับ?”

“หนุ่ยถามทำไมเหรอ?”


ผมถามแกนๆ พลางอดทนรอจังหวะที่รุ่นน้องเสมองไปทางอื่น...
อยากเหลือบดูความเคลื่อนไหวในฝ่ามือเสียหน่อย...
ลำบากนะ กับการจำใจพูดคุยกับคนตรงหน้า...ในเวลาที่ใจอยากกดดูข้อความซึ่งไหลบ่าราวกับสายน้ำเข้าท่วมหน้าวอลล์ของใครคนหนึ่งเต็มแก่


“ก็ผมเห็นพี่เอาแต่จ้องหน้าจอมือถือตลอดเวลา แล้วก็ทำหน้าตกใจเหมือนน้องพี่กำลังมีปัญหาอะไรยังงั้นแหละ”

“อืม...ก็...ไม่เชิงหรอก”


ปากว่าอย่าง...แต่การกระทำกลับสวนทางกับคำพูด
เมื่อเห็นหนุ่ยยกแก้วชูขึ้นแล้วยิ้มให้ใครสักคนทางด้านหลัง ผมก็แอบชำเลืองมองหน้าจอ...

นิดเดียว...ขอแค่กวาดสายตาเพียงช่วงสั้นๆเท่านั้น
อยากแน่ใจว่า สเตตัสเดียวที่ผมติดตาม ยังคงอัพเดทอยู่ตลอดเวลา
ที่สำคัญ...ผมกำลังรอคำอธิบายเกี่ยวกับรูปถ่ายสร้างกระแสรูปล่าสุดของเจ้าของวอลล์จนไม่เป็นอันทำอะไร
จังหวะตวัดสายตาขึ้นมองตรง ช่างพอดีกับช่วงที่ใบหน้าของคู่สนทนาเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด


“งั้นพี่นพเช็คข้อความไปก่อนก็ได้ครับ ไว้ผมจะเดินกลับมาคุยด้วยใหม่” คนพูดเสียงอ่อนแค่นยิ้ม เขาลุกขึ้นไปหย่อนตัวนั่งลงข้างๆเพื่อนร่วมงานคนอื่นทั้งที่ยังสลด



ผมคงดื่มได้อย่างเป็นสุข และไม่เผลอทำตัวเสียมารยาทต่อหน้ารุ่นน้องแบบเมื่อครู่
หากรูปถ่ายแผลสดเลือดโชกตรงหน้าแข้งกำยำเหนือรองเท้าสตั๊ดคู่ที่ผมคุ้นตาในสเตตัสเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าของจูเนียร์  จะไม่ดูสาหัสจนน่าตกใจขนาดนั้น


ในเมื่อหวนกลับไปแก้ไขเรื่องที่เพิ่งเกิดไม่ได้...ผมจึงอาศัยจังหวะปลอดการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน ก้มลงอ่านข้อความซึ่งปรากฏอยู่ตรงด้านใต้รูปถ่ายนั้นอีกครั้ง  แน่นอน...ผมย่อมเลือกอ่านเฉพาะข้อความที่อยากอ่าน และข้ามผ่านข้อความไร้สาระของเหล่าสาวๆที่แย่งกันแสดงความเป็นห่วงเจ้าตัวแสบอย่างออกนอกหน้า



Jirapat C. added new photo – feeling เจ็บขาจังครับ...รู้ยัง  today at 9.03 PM
.....................
.....................
.....................
.....................
.....................
Ryoichi T.   Jirapat C. เป็นเหี้ยไรของมึง? today at 9.09 PM
.....................
.....................
Jirapat C.     Ryoichi T. หึ! กูกำลังอวดบาดแผลแห่งความเป็นชายให้โลกได้รับรู้ today at 9.12 PM
.....................
.....................
Ryoichi T.    Jirapat C. กากสัด!! today at 9.15 PM
.....................
.....................
Jirapat C.    Ryoichi T. สวะอย่างมึงคงไม่เข้าใจ today at 9.18 PM
.....................
.....................
Ryoichi T.    Jirapat C. กูนักเรียนดีเด่นเหอะ today at 9.20 PM
.....................
.....................
Jirapat C.    Ryoichi T. ไปทำไร่สตรอเบอรรี่ต่อปะ...กราบล่ะ T^T today at 9.23 PM
.....................
.....................
Ryoichi T.    Jirapat C. มาม่าหาพ่อง?!! สรุปเป็นอะไร? today at 9.24 PM
.....................


เมื่ออ่านข้อความล่าสุดของซี้ย่ำปึ๊กเพียงคนเดียวของเนียร์ ผมถึงกับลืมตัวผงกหัวอยู่คนเดียว
นั่นสิ? เจ้าตัวแสบไปโดนอะไรมา ทำไมขาถึงได้ดูแย่อย่างนั้น? แล้วไปหาหมอหรือยัง?

ผมจ้องหน้าจอตาไม่กระพริบระหว่างรอข้อความใหม่ของเนียร์ให้เด้งขึ้น  พยายามไม่สนใจความเห็นของสาวน้อยสองคนที่พยายามเรียกร้องความสนใจอย่างเอาเป็นเอาตาย

.....................
.....................
.....................
Jirapat C.    Ryoichi T. กูโดนเสียบล้ม แล้วถไลไปกับพื้นปูนว่ะ today at 9.26 PM
.....................
.....................
Ryoichi T.    Jirapat C. ทำแผลแล้ว? today at 9.27 PM
.....................


โห...เรียว ขอบคุณมาก...
ถ้าไม่ได้เรียวถามให้ พี่ต้องขาดใจตายแน่ๆ

ผมเผลอไล่เคาะปลายนิ้วพรมลงบนโต๊ะเป็นจังหวะ สลับกับรีเฟรชหน้าจอทุกๆห้าวินาที
จนแล้วจนรอด....กลับไม่มีข้อความใหม่ที่ควรค่าต่อความสนใจโผล่ขึ้นตรงหน้าจอ


ทำไมถึงปล่อยให้คนอื่นร้อนรน?...
ทำไมถึงชอบทำให้คนอื่นไม่สบายใจ?
ทำไมถึงชอบทำอะไรให้คนอื่นต้องคอยเป็นห่วงแบบนี้เสมอ?
เนียร์เคยรู้บ้างไหมว่า...ความรู้สึกห่วงทั้งที่ไม่อาจแสดงออกได้พวกนี้น่ะ มันทรมานแค่ไหน?


สุดท้าย ผมก็อดเหลือบดูเวลาตรงหน้าจออีกครั้งไม่ได้...
คำณวนเวลาในใจ แล้วก็ได้ข้อสรุปว่า เนียร์จงใจเบี้ยวคำตอบกระทั่งกับเพื่อนสนิท

นั่นแสดงว่า จนป่านนี้ตัวแสบคงยังดื้อดึงไม่ยอมไปหาหมอ
แน่ล่ะ....ไม่ว่าเมื่อไร อาการกลัวเข็มและโรงพยาบาลจับใจ มีอิทธิพลเหนือความเจ็บปวด หรือโรคร้ายใดๆเสมอ
ถ้าไม่มีคนในครอบครัว หรือตัวผมไปหาหมอด้วย...ต่อให้เจ็บหรือป่วยแค่ไหน จูเนียร์ก็เลือกที่จะอดทน



ไหนๆก็ทำตัวแย่กับเจ้าของงานเลี้ยงไปถึงขั้นนั้นแล้ว...
หนีกลับบ้านไปดูเนียร์เสียตอนนี้ คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั้ง

คิดแล้วก็รีบเก็บข้าวของแล้วบอกลาเพื่อนร่วมงานทั้งหมด...
ทำเป็นลืมๆสายตาตัดพ้อของเจ้าภาพที่อาศัยเพื่อนร่วมแผนกทั้งหมด เวียนมากดดันให้ผมมางานเลี้ยงด้วยกันตั้งแต่บ่ายเมื่อวาน ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการลืมเรื่องที่เห็นเนียร์กับเด็กผู้หญิงคนเมื่อวาน...ผมคงไม่ตอบตกลง จนต้องมาแอบนั่งดื่มปลงอยู่คนเดียวแบบนี้หรอก


ไม่กี่สิบนาทีต่อมา ผมก็นึกขอบคุณตัวเองเสียจริงๆที่ตัดสินใจเช่นนี้ เพราะแม้คนเจ็บจะยอมตอบข้อความของเพื่อนสนิทตน หากไม่ได้เฉลยสิ่งที่ผมอยากรู้แม้แต่นิดเดียว

.....................
Jirapat C.    Ryoichi T. เดี๋ยวกูโทรหา today at 9.58 PM
.....................






ผมเดินเลยบ้านตัวเองไปหยุดยืนมองบ้านเดี่ยวรั้วติดกันเพื่อพักหายใจ และสงบสติอารมณ์
หากจะพูดว่า ภายหลังจากลูกชายคนเล็กของบ้านหลังตรงหน้าถือกำเนิด...
ผมก็ได้เลื่อนสถานะจากเด็กข้างบ้าน ขึ้นมาเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวนี้ไปโดยปริยาย...คงจะไม่ผิดนัก
เพราะนับวัน...ความผูกพันของผม กับครอบครัวนี้ก็ยิ่งจะแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ


ดังเช่นทุกคืน บ้านหลังข้างๆเปิดไฟสว่างไปทั้งหลัง...ไม่เว้นแม้กระทั่งห้องชั้นสองริมระเบียง
ไม่รู้ว่าป่านนี้คนขาเจ็บจะเข้านอนหรือยัง?...
แผลจะปวดมากไหม?...
ทำไมไม่ยอมไปหาหมอ...เนียส กับคุณอาทั้งสองยังไม่กลับบ้านอีกหรือ?
ผมไขประตูเข้าบ้านโดยใช้กุญแจสำรองที่เจ้าบ้านมอบให้ หลังจากสมาชิกในครอบครัวทุกคนลงมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์

เมื่อเดินผ่านรั้วเข้าสู่ด้านใน จากที่สงบใจได้เมื่อครู่...กลับกลายเป็นร้อนรนขึ้นมาอีกครั้ง
สองขาของผมก้าวยาวๆผ่านโถงหน้าบ้านเข้าไปอย่างเร่งรีบ

แม้ใจจะไม่อยากเห็นเนียร์นอนร้องโอดโอยเพราะขาเริ่มระบม...
แต่นั่นน่าจะสมเหตุสมผลมากกว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าผมในเวลานี้ไม่ใช่หรือ?
.
.
.
เจ้าของเฟสบุคที่ผมตามติดราวกับติ่ง นอนเอนหลังพิงเบาะดูซีรี่ย์ผีดิบสบายใจเฉิบอยู่ในชุดนักเรียนหลุดรุ่ย
เรื่องตลกร้ายยิ่งไปกว่านั้น...ไม่พ้นขาสองข้างที่พาดยาวไปบนโซฟาเบดตัวนุ่ม ซึ่งไม่มีร่องรอยของแผลสด แผลเปื่อยใดๆอย่างที่ผมเข้าใจ


“เล่นอะไรของเนียร์? รู้ไม๊ว่าพี่เป็นห่วงเราแค่ไหน?” ผมตวาดเสียงดัง...ทั้งโมโห ทั้งเสียใจที่เสียรู้เจ้าเด็กบ้านี่อีกจนได้ 


แทนที่จะสำนึก...เนียร์แค่กดรีโมทปิดซีรี่ย์ปิดทีวี ก่อนเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มกว้างให้ แล้วพูดเสียงอ้อนๆไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“เพิ่งกลับเหรอฮะพี่นพ...เนียร์รออยู่ตั้งนานแหน่ะ”


ตัวแสบพูดจบก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วเอื้อมมือมาคว้าข้อมือของผมเอาไปกุมไว้
ผมแหงนหน้าขึ้นจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา ด้วยหวังจะได้ยินคำขอโทษออกจากริมฝีปากหยักได้รูปที่กำลังยิ้มกริ่ม...
.
...แต่ไม่เลย...


“ทำไมทำกับพี่แบบนี้?” ผมยังอยากทำความเข้าใจ แม้จะรู้ว่าตัวแสบคงหาทางบ่ายเบี่ยงอีกแน่...
.
.
แล้วก็ไม่ผิดจากที่คาด...


“นี่ก็ดึกมากแล้ว...พี่นพนอนที่นี่เลยก็แล้วกันนะฮะ...
.
...ผมเข้าไปขออนุญาตคุณป้า แล้วก็เอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาเตรียมไว้ให้เรียบร้อย...
...ไปนอนกันเถอะฮะ เนียร์ง่วงแล้วอ่ะ” ข้อมือผมถูกฉุดไปข้างหน้า ในขณะที่ขายังหนักอึ้ง

“เนียร์! เราต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน!!...
.
...เนียร์รู้ไม๊ว่าตัวเองทำอะไรลงไป?”

“พี่นพฮะ...เราไปนอนกันเถอะนะฮะ พรุ่งนี้เนียร์มีควิซสองวิชา นะ นะ...เนียร์รอพี่นพจนตาจะปิดแล้วอ่ะฮะ”


แม้ใจจะเต้นเมื่อนึกถึงภาพห้องนอน และเตียงนอนหลังนั้นที่เรานอนด้วยกันไม่บ่อยนัก
แต่เสียงในใจผมกลับคัดค้าน...
นี่ใจคออีกฝ่ายจะไม่รู้สึกผิดสักหน่อยหรือ?


“ไม่!! ถ้าเนียร์ยังไม่แม้แต่จะยอมรับความผิด...คืนนี้พี่จะกลับไปนอนบ้าน” ผมปฏิเสธเสียงแข็งแล้วยื่นคำขาด ถึงที่ผ่านมาผมจะตามใจเนียร์เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่ทุกครั้งหลังจากเจ้าตัวทำผิด

“เนียร์ขอโทษฮะ เนียร์ผิดไปแล้ว...
.
...พี่นพอย่าโกรธเนียร์เลยนะฮะ...
...เนียร์แค่ไม่ชอบที่พี่นพกลับบ้านดึกๆดื่นๆ ทั้งที่ต้องตื่นไปทำงานตั้งแต่เช้า...
.
.
...เนียร์เป็นห่วง...
...เนียร์เหงา....
...ถ้าวันไหนที่พี่นพไม่กลับมากินข้าวด้วย เนียร์ก็ต้องเฝ้าบ้านคนเดียว เนียสมันก็อยู่แต่ในห้อง ส่วนพ่อกับแม่ก็ยังไม่กลับ...
...เนียร์ยังเด็ก เนียร์ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร... เนียร์รู้แต่ว่า เนียร์อยากให้พี่นพกลับมาหาเนียร์เร็วๆ...
...ถ้าเนียร์ทำผิดไป เนียร์ก็ขอโทษพี่นพด้วยนะครับ...
...พี่นพ พี่นพให้อภัยเนียร์ใช่ไม๊ครับ?”


ไม่ใช่แค่ผมหรอก ที่รู้จักอีกฝ่ายเป็นอย่างดี...
เจ้าตัวแสบที่ยืนทำหน้าโศกเหมือนแบกโลกเอาไว้ทั้งใบนี่ก็รู้ดีเรื่องผมไปเสียทั้งหมด
เล่นพูดแบบนี้ แถมยังทำท่าเหมือนจะตายให้ได้...มีหรือที่ใจผมจะไม่อ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟ


“เนียร์...เรื่องนี้พี่ไม่ยอมเราง่ายๆหรอกนะ”

“ฮะ ฮะ...ไม่ยอมก็ไม่ยอมฮะ แต่ตอนนี้ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะฮะ...เนียร์ง่วงแล้ว...
.
...ไปฮะ...หรือพี่นพอยากให้เนียร์ควิซไม่ผ่าน? เนียร์จะได้นั่งสำนึกความผิดซะตอนนี้เลย”

“พี่จะกลับไปนอนบ้าน” ผมผลุนผลันเดินออกจากบ้านไปทันที...ขืนอยู่นานกว่านี้ อีกคนจะยิ่งได้ใจ


รั้วบ้านอยู่ห่างแค่มือเอื้อม แต่ขาผมกลับก้าวไปไม่ถึง
อ้อมแขนแข็งแรงรวบตัวผมเข้าไปกอดแนบอกแกร่งของอีกฝ่าย...
เผลอได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
กระนั้น ร่างกายผมกลับเกร็งตัวฝืนตามคำสั่งที่เฝ้าพร่ำบอกตัวเองเอาไว้อยู่ตลอด...
.
.
...ต้องตัดใจ... 
...ต้องตัดไฟแต่ต้นลม


แต่เสียงกระซิบอ้อนวอนข้างหู กลับทำให้กำแพงที่ผมสร้างเอาไว้สั่นสะเทือน “พี่นพ หยุดก่อนซิฮะ...
.
...คำขอโทษยังดีไม่พออีกเหรอฮะ? พี่อยากให้เนียร์ทำอะไร...บอกเนียร์มาได้เลยนะฮะ”

“เปล่าหรอก พี่แค่ไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้”


ยังไม่ทันได้พักหายใจหายคอจากอ้อมกอด ก็โดนจู่โจมอีกระลอก...
มือใหญ่ของเด็กน้อยเลื่อนมาช้อนปลายคางผม  เท่ากับบังคับกลายๆให้ผมไม่อาจหลบสายตา
ดวงตาคมหรี่เล็กระหว่างจับจ้องหน้าร้อนผ่าวของผมไม่เคลื่อนไหว

ตื่นเต้น...วาบหวาม...จนแต้ม...ละอาย...สองจิตสองใจ...
ความรู้สึกในอกมันหลากหลายเกินไป...
ผมควรจะบอกอีกฝ่ายว่าอย่างไรดี?  


ที่สุดแล้ว ผมก็เลือกเผยความรู้สึก “ไม่มีใครชอบถูกปั่นหัว โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้ใหญ่ แถมยังแก่กว่าเนียร์ตั้งสิบปีคนนี้...
.
...ถามจริงๆเถอะ เนียร์เห็นพี่เป็นตัวอะไร?...
...สนุกนักใช่ไม๊ที่ทำกับพี่แบบนี้?”


ความพยายามดิ้นรนขืนตัวหนีอ้อมแขนของเนียร์ให้ผลตรงข้าม...
เพราะยิ่งขยับ เจ้าตัวแสบกลับยิ่งกอดรัดร่างผมเอาไว้แน่น 
ไม่ได้การ...หัวใจผมชักจะทำงานหนักเกินพอดี หัวผมเริ่มจะหมุนติ้วๆเป็นระยะๆ
อีกไม่นาน ผมคงเสียศูนย์ และความยับยั้งชั่งใจไปเป็นแน่แท้


“เปล่านะฮะ เนียร์ไม่ได้จะปั่นหัวคนสำคัญที่สุดในชีวิตอย่างพี่...
.
...เนียร์ไม่ได้ตั้งใจ แค่อยากให้พี่อยู่กับเนียร์เท่านั้นเอง”


ขณะเขาพร่ำอธิบายถึงเหตุผล  ผมรู้สึกได้ว่า รอบๆแก้ม และใบหู ถูกปลายจมูกของอีกฝ่ายคุกคามไม่ห่าง 
สัมผัสวูบวาบอย่างทีเล่นทีจริงเปรียบดังแผ่นดินไหวที่เขย่าฐานของกำแพงในใจผมด้วยความแรงหลายริกเตอร์

ใจร้าย!... เขาใจร้ายกับผมเกินไปแล้ว!!


“แล้วที่ผ่านมาพี่ไม่ได้อยู่กับเนียร์หรอกเหรอ?” ผมเอ่ยอย่างสุดกลั้น...พอกันที!!

“เนียร์อยากให้พี่เห็นเนียร์สำคัญที่สุด”

“เนียร์ก็สำคัญที่สุดสำหรับพี่แล้วไง...ยังจะเอาอะไรอีก?”


ถ้าจะบีบคั้นกันขนาดนี้...
อยากได้ยินนักใช่ไหม...
ได้...ผมจะพูดมันออกมาให้หมด


“เนียร์ไม่อยากให้พี่มีคนอื่น”

“พี่ไม่เคยมีใคร...ไม่เคยคิด และไม่เคยเปิดโอกาส  หรือนี่ยังน้อยไป?”

“เนียร์อยากให้พี่รักเนียร์”

“พี่ก็รักเนียร์ไง...ที่ผ่านมาเนียร์ยังไม่รู้อีกเหรอ?”

“รู้ฮะ...แต่ความรักที่เนียร์อยากให้พี่รู้สึกมัน....ไม่ใช่....
.
...ไม่ใช่แบบพี่น้อง” น้ำเสียงไม่มั่นใจ กับแรงกระเพื่อมน้อยๆของอ้อมอกด้านหลัง ย้ำเตือนถึงความเป็นจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น

“ว่าไงนะ?” ถามออกไปด้วยหัวใจเต้นระรัว


ผมเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสี่ออย่างชัดแจ้ง...
ความสุขแผ่ซ่านไปทั้งสรรพางค์เมื่อได้รู้ว่าผมเองก็เป็นฝ่ายที่ถูกรักไม่ต่างกัน


“เนียร์อยากให้พี่รักเนียร์ เหมือนที่เนียร์รั....


แต่เรื่องทั้งหมดนี่เร็วเกินไป...
เร็วไปสำหรับตัวผม และตัวเขา...เด็กน้อยอายุแค่สิบหกปี ที่ยังเห็นโลกมาไม่นานนัก 


 “หยุด! อย่าเพิ่งพูด!!ทันทีที่พูดจบ ตัวผมก็ถูกหมุนให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย คิ้วหนาบนใบหน้าหล่อเหลาขมวดมุ่น ร่างสูงตรงหน้าส่งความสับสน และไม่สบอารมณ์ผ่านแววตาเกริ่นนำหน้า ตามด้วยการรัวคำถามชุดใหญ่

“ทำไมฮะ? พี่นพไม่อยากได้ยินเหรอ? พี่นพรังเกียจความรู้สึกของเนียร์เหรอฮะ?” หน้าหมองๆของเนียร์ทำผมแอบอมยิ้ม พลางส่ายหน้าปฏิเสธ  “แล้วมันยังไงล่ะฮะ?...ไหนพี่บอกว่าเนียร์สำคัญ แถมพี่ยังไม่มีใคร...
.
...แค่จะบอกความในใจกับพี่ ทำไมเนียร์ถึงทำไม่ได้?...
...ทำไมล่ะฮะ?”

“พี่ขอเวลาอีกหน่อยได้ไม๊?” ผมอ้อนวอน

“ทำไมเนียร์ต้องรอด้วย?”

“พี่อยากให้เนียร์แน่ใจกับความรู้สึกของตัวเองมากกว่านี้...
...พี่ไม่อยากให้เนียร์รีบร้อน  แล้วสุดท้าย...เราสองคนก็ต้องมานั่งเสียใจกันทีหลัง...
.
...เนียร์ยังเด็ก ยังต้องพบเจอคนอีกมาก...
...ตอนนี้เนียร์อาจจะเห็นพี่เป็นโลกทั้งใบ...
...แต่ถ้าเมื่อไหร่  โลกของเนียร์ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เนียร์อาจจะไม่ต้องการพี่อีกต่อไปก็ได้..
...คิดซะว่า เป็นการศึกษาตัวตนของอีกฝ่ายอย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไปดีไม๊?”

“แล้วเนียร์จะต้องรออีกนานเท่าไรล่ะฮะ...กว่าที่เนียร์จะได้พูด และได้ยินคำนั้นออกจากปากพี่?”

“ห้าปี...
...จนกว่าเนียร์จะจบตรี...
...ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น  พี่สัญญาว่าจะอยู่ตรงนี้...จะไม่หนีเนียร์ไปไหน”

“ตั้งห้าปี ไม่นานไปหน่อยเหรอฮะ? เอาเป็นจบมอปลายได้ไม๊  เนียร์ทนไม่ไหวหรอกนะฮะ” เจ้าตัวแสบโอดครวญยกใหญ่ แต่ผมรู้ดีว่า นั่นเป็นเพียงอาการบังหน้าสายตาเจ้าเล่ห์ซึ่งแฝงความนัย

“ห้าปี หรือ อดไป...เนียร์จะเลือกอย่างไหนล่ะ?”

“ถ้านี่คือเงื่อนไขที่ทำให้เรายังเป็นเหมือนเดิมทุกประการ...เนียร์ยอมพี่นพก็ได้ฮะ...
.
...แต่พี่นพต้องยอมรับเงื่อนไขของเนียร์ด้วยเหมือนกัน...ตกลงตามนั้นนะฮะ”

“เงื่อนไขอะไร ไหนลองว่ามาซิ” ถึงผมจะแบ่งรับแบ่งสู้ แต่อีกฝ่ายกลับกระหยิ่มยิ้มย่อง สายตาแพรวพราวของเจ้าตัวแสบชักทำให้ผมหวั่นใจเสียแล้วสิ

“ถ้าก่อนจบมอปลาย เนียร์สอบได้สามกว่าทุกเทอม  เนียร์ขอรางวัลเป็น second base ...
...แล้วถ้าสอบเข้ามหาลัยได้  ขอให้เนียร์ทำได้ทุกอย่าง ยกเว้นจัดชุดใหญ่...
...ส่วนตอนนี้ กอด หอม จูบแบบพอเป็นพิธี ให้เด็กมอห้าพอมีกำลังใจอ่านหนังสือ...
.
.
...พี่นพยอมตามใจเนียร์ได้ใช่ไม๊ฮะ?”

“เฮ๊ย!! ไม่ได้!

“ถ้าไม่ได้ เนียร์จะกอดพี่ไม่ปล่อยจนถึงเช้า...
.
...ก็ดีนะฮะ พ่อกับแม่ของเราจะได้เห็นว่าเราทำอะไรกันอยู่...
...ถึงตอนนั้น เนียร์คงไม่ต้องตกลงเรื่องระยะเวลากับพี่อีกแล้วล่ะมั้ง... เพราะพ่อกับแม่เนียร์ คงอยากข้ามไปคุยเรื่องให้เราคบกันเป็นเรื่องเป็นราวโดยที่ผู้ใหญ่ของทั้งสองบ้านรับรู้  เพื่อเห็นแก่พี่นพ...ที่จะเป็นฝ่ายเสียหาย...
.
.
...ทีนี้ก็สบายเนียร์เลย อยากทำอะไรพี่นพเมื่อไหร่ หรือยังไงก็ได้...
...ก็เราเป็นแฟนกันแล้วนี่เนอะ”

“............” ผมถึงกับอึ้งไป ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะร้ายกาจขนาดนี้ รู้อย่างนี้ไม่ยอมให้กอดเสียตั้งแต่ทีแรกก็ดี

“ว่าไงฮะ ตกลงตามเงื่อนไขของเนียร์ไม๊ฮะ?”

“ก็แล้วมันมีทางเลือกที่ดีกว่านั้นอีกไม๊ล่ะ?”

“เป็นแฟนกันไงฮะ”

“งั้นพี่เลือกห้าปี”

“และทำตามเงื่อนไขอย่างเคร่งครัด” พ่อตัวดีรีบสำทับ

“ฮื่อ...ก็ได้ ปล่อยพี่ได้แล้ว ไอ้ตัวแสบ!!

“ฮะ...ไปนอนกันนะฮะ เนียร์ง่วงแล้ว” จูเนียร์ไม่พูดพล่ามทำเพลง ฉุดข้อมือผมให้เดินเข้าบ้านทันที 


อยากจะแขวะเด็กหน้าบานที่เดินนำหน้าผมเสียเหลือเกิน
ติดอยู่ตรงที่...ผมดันเดินตามตามแผ่นหลังกว้างๆของเขาเข้าบ้านไปอย่างง่ายดายนี่น่ะสิ


หึ หึ หลังจากรอคอยมาสิบหกปี...หัวใจของผมก็มีที่อยู่ถาวรแล้วสินะ


๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



|| จูเนียร์ ||



วันที่สิบเจ็ด  นับว่าเป็นวันดี...
ไม่มีทั้งเงาไอ้คีย์ แถมยังไม่มีหน้าจืดๆของไอ้หนุ่ยโผล่มาให้เห็น
แถมเมื่อคืนพี่นพก็น่ารัก... ยอมให้นอนกอดทั้งคืน
แต่ห้าปี...แบบที่ทำได้แต่ลูบๆคลำๆ ผมจะทนทำตัวเป็นเด็กดีไปได้อีกนานไหมน้อ?

ไว้ค่อยอ้อนขอเปลี่ยนเงื่อนไขหลังจากสอบเข้ามหาลัยได้แล้วดีกว่า  
ไม่แน่...เมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ ฝีมือของผมอาจทำให้พี่นพติดใจจนทนไม่ไหว ยอมเป็นฝ่ายเสนอร่างกายให้ผมเองก็ได้...ใครจะไปรู้ หึ หึ




“รอนานไม๊? โทษทีนะ...วันนี้พี่ต้องเคลียร์รายงานด่วนน่ะ”

“ไม่นานเลยฮะ...เดี๋ยวเนียร์ถือกระเป๋าให้นะฮะ...
.
...เอ้อพี่นพฮะ พรุ่งนี้ก่อนกลับบ้าน เราแวะไปกินราเมนร้านนั้นกันไม๊ฮะ?”

“อื้อ..เอาซิ เดี๋ยวพี่จะรีบเคลียร์งานให้เสร็จเร็วๆแล้วกันนะ”

“พี่นพเดินหลบมาทางนี้เถอะฮะ เดี๋ยวโดนคนอื่นชน”

“อ่ะ...อืม...ขอบใจนะ”

“เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นเนียร์ไปนอนบ้านพี่นพคืนนี้แทนได้ไม๊ฮะ? เนียร์อยากดูวอล์คกิงเด้ดน็อนสต็อปแบบไม่ต้องแย่งทีวีกับเนียสอ่ะฮะ”

“หึ หึ...เดี๋ยวก็สอบไม่ได้หรอก”

“ไม่ต้องห่วงฮะ...เทอมนี้สามกว่าแน่ๆ”



ระหว่างคุยกับพี่นพ ผมจงใจโอบประคองเอวบาง แล้วก้มหน้ากระซิบใกล้ๆหู ใกล้ๆแก้มหอมๆของสุดที่รัก
ถือเสียว่า เป็นการช่วยให้ไอ้เต้าหู้หนุ่ยที่กำลังเดินตามหลังมา เห็นภาพบาดตาได้อย่างแจ่มแจ้ง
จะได้รู้กันไปเสียทีว่า...ใครคือตัวจริงของพี่นพกันแน่


หึ หึ หึ...คนไม่ใช่แฟน ทำแทนไม่ได้ทุกอย่างหรอกนะไอ้หนุ่ยเอ๊ย!!







ขอให้อ่านตอนใหม่ตอนนี้อย่างมีความสุขนะคะ...
และขอบพระคุณสำหรับการติดตามและทักทายอย่างสม่ำเสมอ...
รักคนอ่านทุกท่านเลยค่ะ จุ๊บๆ



๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑