เอ้า! ใครรอแฝดอยู่คะ?
แฝดมาแล้วเน้อ!
แถมยังน่ารักสดใสวัยรุ่นชอบมาก
ๆ อีกด้วย
ถ้าใครหลง ใครรักน้อง
ๆ กันหัวปักหัวปำ ก็คอมเมนท์ไว้ได้นะคะ
เผื่อเราจะมีไฟเขียนตอนพิเศษที่เดินเรื่องเกี่ยวกับเด็ก
ๆ ให้มากขึ้นอีก
(โอ้โห! กล้ามากนังมะลิ!)
รักชอบประการใด...
ฝากข้อความแทนใจเอาไว้ได้เลยค่ะ ^^
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 33rd
Bonding
พี่โรงเรียนอนุบาลจ๋า ฝาแฝดมาแย้ว!
“♪♫If
you’re happy and you know it, shout ‘Hurray!’”
[หากพวกเรากำลังสบายจงร้องฮูเร่!]
“ฮูเร่!”
“If
you’re happy and you know it, shout ‘Hurray!’ ♫”
[หากพวกเรากำลังสบายจงร้องฮูเร่!]
“ฮูเร่!”
“If
you’re happy and you know it ♪,
then your face will surely show it
♫If you’re happy and you know
it, shout ‘Hurray!’♪”
[หากพวกเรากำลังมีสุข
หมดความทุกข์ไปแล้วทุกสิ่ง จะมัวประวิงอะไรกันเล่า
จงร้องฮูเร่!]
“ฮูเร่!”
ทุก ๆ ครั้งที่เสียงร้องนำสูง ๆ ต่ำ ๆ ของคนเป็นพ่อสิ้นสุด
เด็กชายวัยสี่ขวบทั้งสามซึ่งจับจองเบาะนั่งรอบ ๆ ตัวกรกฏต่างพร้อมใจกันตะเบ็งเสียงร้องรับคำสั่งของเนื้อเพลงกันอย่างคึกคัก
บ้างส่ายหัว บ้างก็นั่งกระดิกขาดุ๊กดิ๊กทั้งตามและคร่อมจังหวะสุดแล้วแต่อารมณ์สุขสันต์ที่เอ่อล้นจากภายในจะนำพา
คลื่นความสดชื่นอัดแน่นด้วยความมีชีวิตชีวาที่แผ่ออกมาจากร่างอวบ ๆ ของเหล่าเทวดาตัวน้อย
ๆ แห่งตระกูลคุณะประสิทฒ์สามารถเรียกรอยยิ้มของทั้งพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยและพลขับประจำบ้านได้ไม่รู้จักหยุดหย่อน
โชคดีที่บ่ายนี้การจราจรไม่คับคั่งมากนัก
สังเกตได้จากการที่กังฟูยังไม่ทันร้องเพลงดังกล่าวได้ทันครบรอบ
ทว่าความเร็วของรถตู้คันที่ป๊ะป๋าร่างหมีจัดหาไว้เพื่อบริการคนรักและลูกชายฝาแฝดกลับกำลังค่อย
ๆ ผ่อนรอบลงอย่างนุ่มนวล ก่อนที่สุดท้าย พาหนะสุดหรูคันดังกล่าวจะหยุดนิ่งสนิทหลังจอดเทียบตรงบันไดทางขึ้นอาคารสำนักงานใจกลางย่านธุรกิจซึ่งได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนแห่งสถาปัตยกรรมแนวร่วมสมัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างที่สุด
“เอ้าเด็ก ๆ
ถึงแล้วครับ!”
อริยะตรัยผู้พี่เอ่ยกับเลือดเนื้อเชื้อไขอย่างร่าเริง กระนั้น ความกระตือรือล้นของผู้เป็นพ่อยังไม่อาจเทียบได้กับแฝดสามที่ค่อย
ๆ ทยอยไถลตัวสไลด์ลงจากเบาะ แล้วเริ่มกระโดดดึ๋งดั๋งขย่มรถพลางแข่งกันตะโกนด้วยพลังงานเต็มเปี่ยม
“เย่ ๆๆๆ!!!”
เมื่อเห็นแนวโน้มว่าลูก
ๆ กำลังตื่นเต้นเสียจนอาจก่อความรำคาญให้ผู้อื่น คุณพ่อหน้าหวานจึงต้องอาศัยทักษะในการต่อรองเพื่อควบคุมเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้หลังเหล่าเด็กชายเฮโลลงจากรถไปแล้ว
“ก่อนจะขึ้นไปหาป๊ะป๋ากับแด๊ด ไหนลองทวนให้พ่อฟังอีกทีสิว่าพวกเราตกลงอะไรกันเอาไว้”
“จับมือพ่อฟูคับ!” พี่คนโตตอบนำอย่างฮึกเหิมก่อนที่น้อง ๆ
จะเสริมความตามหลังอย่างคล่องแคล่วว่องไวไม่ขาดช่วง
“เดินเบา
ๆ ไม่ส่งเสียง!”
“ถ้าส่งเสียง
ป๋ากับแด๊ดจะไม่เซอร์ไพรส์!”
“เก่งมาก
ๆ ครับ! ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ลงไปหาแด๊ดกับป๊ะป๋ากันเลย!” กังฟูคลี่ยิ้มกว้างให้ลูกชายทั้งสามที่ตอบคำถามของเขาอย่างฉะฉาน
และไม่ตกหล่นเลยสักข้อเดียว ฉลาดเป็นกรดแถมยังน่ารักไม่มีใครเกินแบบนี้ จะไม่ให้ชายหนุ่มทั้งรัก
และหลงลูก ๆ ของตัวเองอย่างไรไหว
“เย่!”
“ไปหาป๊ะป๋า!”
“แด๊ดแด๊ด!!”
ขาดคำของบุตรชายคนกลาง
คนขับรถประจำบ้านก็วิ่งมารอรับพวกเขาทั้งหมดก่อนที่บานประตูอัตโนมัติจะเลื่อนเปิดจนสุด
จากนั้นจึงช่วยผ่อนแรงคุณพ่อร่างเล็กด้วยการอุ้มหนึ่งในฝาแฝดลงจากรถอย่างรู้หน้าที่
กรกฏจึงหันไปสอนลูกโดยพลัน “พี่พลาย... ขอบคุณลุงเทพก่อนครับ”
“ขอบคุณคับ!” เด็กชายปภพประกบฝ่ามือป้อม ๆ
ทั้งสองเข้าด้วยกันแล้วก้มหัวลงตามที่ผู้เป็นพ่ออบรมสั่งสอนมาตั้งแต่ยังไม่รู้ความ
แต่สิ่งที่ทำให้เด็กแฝดยิ่งน่าเอ็นดูไปกันใหญ่ คือ การที่แฝดน้องอีกสองหน่อยกมือไหว้ลุงเทพตามพี่ชายไปติด
ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รู้อะไรกับใครเขานั่นแหละ
หลังปล่อยให้ลูก
ๆ แสดงความซาบซึ้งต่อน้ำใจของผู้แก่อาวุโสกว่าจนเสร็จสิ้น ชายหนุ่มก็สั่งความกับเทพสั้น
ๆ “เดี๋ยวพอจอดรถเสร็จพี่เทพจะลงมากินกาแฟรอพวกเราข้างล่างตึกก็ได้นะครับ... แล้วถ้าพวกผมจะกลับเมื่อไร
ผมจะโทรหา”
“ครับคุณฟู”
“ไปครับเด็ก ๆ
ไปหาป๋ากับแด๊ดกัน”
คำชักชวนของคุณพ่อเปรียบเหมือนสัญญาณที่บอกให้พี่ใหญ่เสียสละคว้ามือแฝดคนกลางมากุมเพื่อเปิดโอกาสให้น้อง
ๆ ได้จับมือกับบิดาดังเช่นที่เจ้าตัวมักจะทำตามปกติวิสัย ฝ่ายคุณพ่อยังหนุ่มก็ปล่อยให้พลายเดินนำหน้าขบวนไปอย่างช้า
ๆ โดยที่ตนคอยจับสังเกตลูกคนแรกอยู่เสมอแม้จะง่วนกับการดูแลเด็กน้อยอีกสองคนด้วยก็ตาม
ทั้งสี่ค่อย ๆ พากันก้าวขึ้นบันไดไปยังส่วนล็อบบี้ชั้นล่างของตึกด้วยความระมัดระวังและเป็นระเบียบเรียบร้อยจนน่าชื่นชม
กรกฏปฏิเสธไม่ได้ว่า
ช่วงแรก ๆ ที่ต้องไปไหนมาไหนเพียงลำพังกับลูก ๆ โดยไร้สองหมีข้างกาย ชายหนุ่มมักจะรู้สึกประหม่าจนวางหน้าไม่ถูก
นั่นก็เพราะความน่ารักของพวกลูก ๆ ทำให้เขาพลอยตกเป็นเป้าความสนใจของคนส่วนใหญ่ไปโดยปริยาย
แต่ยิ่งนานวัน ใบหน้าคมคายซึ่งเผยเค้าลางความหล่อเหลาน่ามองของเด็กชายทั้งสาม กลายเป็นปัจจัยที่ช่วยให้พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยสามารถรับมือกับสายตาของคนแปลกหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น
แต่อริยะตรัยคนโตกลับไม่เคยฉุกคิดเลยว่า
เหตุที่ผู้คนซึ่งสัญจรไปมาต่างจับจ้องมองพวกเขาเป็นตาเดียว นอกจากจะเป็นเพราะแฝดสามกับเครื่องแต่งกายและทรงผมเฟี้ยวฟ้าวทันสมัยแบบที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าผู้ปกครองพิถีพิถันและเอาใจใส่กับการแต่งกายของเด็ก
ๆ อย่างที่สุดแล้ว ยังเป็นเพราะออร่าเย้ายวนที่แผ่ออกมาจากร่างตนโดยที่คนเป็นพ่อแทบไม่รู้ตัวนั่นเอง
“ผมมาพบคุณพรนภัสครับ
นัดไว้แล้ว” ทันทีที่เห็นประชาสัมพันธ์ประจำตึกสบตาและคลี่ยิ้มให้ กังฟูก็อ้างอิงชื่อเลขานุการประจำตัวคนรักร่างหมีผู้เป็นกองกำลังช่วยประสานงานในแผนการเซอร์ไพรส์ทั้งตรินและวิญญูในบ่ายวันนี้โดยไม่รอช้า
“ขอทราบชื่อและเวลานัดด้วยค่ะ”
“กรกฏครับ
บ่ายสามโมงครึ่งครับ”
“กรุณารอสักครู่นะคะ”
ขณะที่กำลังต่อสายคุยกับบุคคลบนชั้นผู้บริหาร คุณประชาสัมพันธ์สุดสวยก็ส่งสายตาหยอกล้อกับสามแฝดอย่างไม่อาจหักห้าม
ไม่กี่อึดใจให้หลัง เจ้าหล่อนก็พึมพำอะไรบางอย่างกับคนปลายสาย จากนั้นจึงวางหูแล้วยื่นคีย์การ์ดพิเศษสำหรับการโดยสารลิฟท์ขึ้นสู่ชั้นผู้บริหารให้แก่ชายหนุ่มพร้อมกับอธิบายอย่างขยันขันแข็ง
“กรุณาใช้ลิฟท์ฝั่งซ้ายมือและแตะการ์ดนี้ลงบนจอเซนเซอร์ด้านหน้าลิฟท์ก่อนโดยสารลิฟท์ทุกครั้งนะคะ”
ยังไม่ทันที่พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยจะได้เอ่ยขอบคุณในความโอภาปราศรัยและการบริการด้วยหัวจิตหัวใจของประชาสัมพันธ์สาวหน้าแฉล้ม
เหล่าเด็ก ๆ ที่เคยยืนสงบนิ่งกลับส่งเสียงดังโหวกเหวกเป็นลิงค่างก่อนจะปล่อยมือคนเป็นพ่อแล้วพากันวิ่งกรูไปอีกทางจนกังฟูอดตกใจไม่ได้
“คุณปู่!” เด็กชายทั้งสามร้องเรียกเป้าหมายโดยพร้อมเพรียง
สรรพนามดังกล่าวทำให้ชายหนุ่มร่างเล็กหยุดวิ่งกวดลูก ๆ แล้วเปลี่ยนเป็นยกมือไหว้ชายวัยห้าสิบกลาง
ๆ ผู้มีศักดิ์เป็นพ่อสามีทั้งสองแทนทันที
ภาพความสนิทสนมระหว่างกลุ่มเด็กชายโนเนมกับท่านประธานของสองบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งสองที่เกิดขึ้น
ณ ช่วงเวลาดังกล่าว สร้างความงุนงงสงสัยให้แก่คณะผู้ติดตาม ประชาสัมพันธ์ รวมถึงเหล่าพนักงานไปตาม
ๆ กัน ทว่านั่นกลับไม่ใช่สาระสำคัญที่คุณปู่ คุณพ่อกังฟู
และฝาแฝดทั้งสามให้ความสนใจเลยสักนิด
“เด็ก ๆ
อย่าวิ่งเข้าไปรุมคุณปู่พร้อมกันแบบนั้นสิลูก!” กรกฏจำต้องปรามลูก ๆ
เมื่อเห็นว่าทั้งสามต่างพากันโถมตัวเข้าใส่ผู้ใหญ่ทั้งสองแบบไม่ออมแรงกันสักคน “พ่อโต้ง
พ่อวัฒน์สวัสดีครับ”
“หึ หึ หึ
ว่ายังไงเด็ก ๆ คิดถึงปู่โต้งกับปู่วัฒน์กันไหมลูก?” ตระการในชุดสูทสมฐานะละทิ้งมาดผู้บริหารสูงสุดแล้วย่อตัวลงนั่งเพื่ออุ้มหลานคนโตกับคนกลางด้วยแขนคนละข้างพลางหอมแก้มกลม
ๆ ของเด็กชายทั้งสองด้วยความรักใคร่เอ็นดูอย่างเห็นได้ชัด ส่วนณวัฒน์ก็เข้าโหมดคุยมุ้งมิ้งกับหลานคนเล็กที่ขี้อ้อนสุด
ๆ ไปเสียแล้ว
“คิดถึงคับ!” เด็กชายปภพและปพนตอบคุณปู่โต้งเป็นเสียงเดียว
ก่อนที่หลานชายคนโตของตระกูลจะสอบสวนคุณปู่ด้วยข้อหาหายหน้าไปหลายอาทิตย์
“ปู่โต้งกับปู่วัฒน์หายไปไหนมาคับ
ทำไมไม่มาหาพี่พายพุพับล่ะคับ?”
“หึ หึ หึ
เอาไงดีคุณวัฒน์ ขืนไม่พูดอะไรพวกเราจะแย่เอานา” ตระการหันไปขอความช่วยเหลือจากคุณปู่อีกคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ได้ยินดังนั้น
พ่อของวิญญูจึงอธิบายด้วยการถามกระตุ้นความจำของหลานชายทั้งสามทันที “พี่พลายลืมไปแล้วเหรอครับว่าเมื่อสองอาทิตย์ก่อน
พวกปู่กับย่าจิ๋วย่าแหม่มบอกพี่พลายกับน้อง ๆ ว่ายังไง?” สีหน้าคร่ำเคร่งครุ่นคิดกับคิ้วที่ขมวดเป็นปมรับคำถามของเด็กชายปภพทำให้เหล่าผู้ใหญ่หลุดยิ้ม “ปู่วัฒน์บอกว่า... พวกคุณปู่และคุณย่าต้องบินไปติดต่องานที่ฮ่องกงยังไงล่ะครับ
พี่พลายจำได้หรือเปล่าลูก?”
“ใช่ ๆ กง ๆ
... คุณย่าบอกพะ - ลับ
พะ - ลับจำได้” แฝดคนสุดท้องในอ้อมกอดของณวัฒน์ให้การสนับสนุนคุณปู่รองทันที
แต่นั่นกลับทำให้หัวคิ้วของคนเป็นพี่ยิ่งขมวดแน่นไปกันใหญ่
“ชู่ว์พับ!
พี่พายกำลังเจจางับสุดยอดขอหนมเพิ่มกับคุณปู่อยู่ไม่เห็นเหลอ?
ถ้าพับอยากกินหนมก็เงียบ ๆ ซี่” พูดจบ
เจ้าของชื่อก็ทำท่าเลียนแบบป๊ะป๋าเวลาห้ามไม่ให้พวกเขาส่งเสียงด้วยการยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากตัวเองพร้อมกับถลึงตาใส่น้องสุดท้องอย่างขึงขัง
สีหน้าท่าทาง
กอปรกับคำพูดคำจาของหลานชายคนโตเรียกเสียงหัวเราะของบรรดาผู้ใหญ่โดยทั่วถึง “ฮ่า
ฮ่า ฮ่า ดูคุณวัฒน์ดู... เขี้ยวแต่เด็กเลยหลานเราแถมยังเจ้าแผนการเอาเรื่องอีกต่างหาก!”
“นั่นสิคุณโต้ง! สงสัยพวกเราจะได้ทายาทสืบทอดกิจการรุ่นที่สามแล้วล่ะมั้งเนี่ย
หึ หึ”
ก่อนที่ท่านประธานบอร์ดบริหารของบริษัทร่วมทุนทั้งสองจะติดลมบนจนไม่เป็นอันทำงาน
เลขาฯ ที่ยืนประกบทางเบื้องหลังของตระการก็โน้มตัวเข้ากระซิบเตือนหมายกำหนดการที่เหลือของวัน
และนั่นคือสาเหตุที่ผู้ใหญ่ทั้งสองจำต้องเอ่ยปากร่ำลาหลาน ๆ อย่างเสียไม่ได้ “เดี๋ยวพวกปู่ ๆ ขอกลับไปทำงานต่อก่อนนะลูก
แล้วยังไงวันอาทิตย์นี้พวกปู่กับคุณย่าจะพาไปกินข้าวอร่อย ๆ”
คำว่าอร่อย ถือเป็นอีกหนึ่งคำวิเศษของเหล่าเด็ก
ๆ เพราะไม่ว่าเมื่อไรที่ได้ยินคำดังกล่าว ฝาแฝดทั้งสามจะส่งเสียงงึมงำท่องคำว่า ‘หย่อย ๆ ’ ตามคนพูดไปจนกว่าความสนใจจะถูกเบี่ยงไปตกที่หัวข้ออื่น
“หนูฟู
เดี๋ยวพ่อให้แม่เขาโทรไปนัดที่บรันช์อาทิตย์นี้อีกทีนะ” ตระการทิ้งท้ายกับสุดยอดสะใภ้ที่ได้ดั่งใจพวกเขาไปเสียทุกเรื่อง
“ครับคุณพ่อ” เมื่อกังฟูรับปากเป็นมั่นเหมาะ
ปู่โต้งและปู่วัฒน์ก็กอดและหอมหลาน ๆ พร้อมกับสั่งลาเด็ก ๆ อีกรอบก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้ายด้วยอารมณ์อันหลากหลาย...
ทั้งอาลัยอาวรณ์สำหรับผู้หลักผู้ใหญ่ และเอร็ดอร่อยสำหรับหมู่เด็ก ๆ
“คุณเร!”
พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยโพล่งขึ้นด้วยความตกใจเพราะไม่นึกว่าเลขาสาวหน้าห้องของตรินจะมายืนก๋ากั่นรอเขาและลูก
ๆ อยู่ตรงหน้าประตูลิฟท์
“คุณฟูสวัสดีค่ะ”
พรนภัสทักทายหนึ่งในคนรักของเจ้านายด้วยน้ำเสียงกระชับฉับไวตามประสาสาวมั่นผู้แคล่วคล่องไปเสียทุกเรื่อง
“เด็ก ๆ
สวัสดีพี่เรหรือยังลูก?” กรกฏไม่ลืมทักท้วงเหล่าลูกชายให้ระลึกถึงมารยาทอันดีที่ควรทำให้ติดเป็นนิสัยทุกครั้งที่เจอผู้ใหญ่
หรือใครก็ตามที่แปลกหน้า ดีว่าพวกเด็ก ๆ หัวไว
ว่านอนสอนง่ายและคุ้นเคยกับการอยู่ท่ามกลางผู้ใหญ่จำนวนมาก
ชายหนุ่มจึงไม่เคยต้องอ่อนอกอ่อนใจกับอาการมือแข็งตั้งแต่อายุยังน้อยของเหล่าลูก ๆ
“หวัดดีคับ”
“ไปค่ะคุณฟู
บอสกับคุณวิญญูคุยกันอยู่ในห้องค่ะ” พรนภัสเปลี่ยนโทนเสียงเป็นเสียงล่อเด็กแล้วย่อตัวลงเจรจากับเด็กชายผู้มีใบหน้าราวกับโขกกันมากับเจ้านายของหล่อน
“ไปค่ะเด็ก ๆ ... ไปหาคุณพ่อกันนะคะพี่พลาย” ว่าแล้ว คุณเลขาสุดมั่นก็จะเอื้อมมือไปจับมือพลายข้างที่จูงมือของฝาแฝดคนรองอยู่
แต่กลับโดนปภพชักมือหลบพลางส่ายหน้าปฏิเสธใส่
“พี่พายพุพับจะจับมือพ่อเดิน...
ถ้าจับมือพี่เล เดี๋ยวป๋ากับแด๊ดไม่เซอร์ไพรส์”
แม้คำพูดคำจาดังกล่าวจะทำให้คนเป็นพ่อดีใจ
แต่กังฟูกลับต้องรีบส่งสายตาขอโทษขอโพยไปให้หญิงสาวเพียงคนเดียวแทนลูกชายซึ่งเคร่งครัดกับคำสั่งของตนยิ่งกว่าอะไร
ฝ่ายพรนภัสก็คลี่ยิ้มบาง
ๆ ให้อีกฝ่ายด้วยเพราะหล่อนเข้าใจและรู้ดีว่า บุตรชายทั้งสามของบอสเชื่อฟังกรกฏเป็นที่หนึ่ง
หล่อนจึงยืนขึ้นเต็มความสูง ก่อนออกเดินพลางชวนกังฟูสนทนาแทน “ก่อนขึ้นมานี่คุณฟูแอบหลงทางหรือเปล่าคะ?”
“เปล่าครับ
ทำไมเหรอครับ?”
“ก็ตั้งแต่น้องประชาสัมพันธ์โทรมาถามเรเรื่องคุณฟู
เรก็แอบบอสไปยืนรอรับคุณฟูอยู่หน้าลิฟท์เพราะกลัวจะคลาดกัน แต่เรรออยู่ตั้งนานสองนานก็ยังไม่เห็นคุณฟู
เรเลยอดห่วงไม่ได้น่ะค่ะ... นี่ถ้าคุณฟูขึ้นมาช้ากว่านี้ เรว่า เรจะลงไปตามแล้วนะคะ”
“ขอโทษด้วยครับ
พอดีผมกับลูกเจอกับพวกคุณพ่อด้านล่างเลยแวะทักทายพวกท่านก่อนขึ้นมาน่ะครับ”
พรนภัสกลืนคำตอบที่จะเอ่ยกับกรกฏเอาไว้
เนื่องจากทั้งหมดเดินมาถึงยังหน้าบานประตูห้องทำงานของท่านรองฯ เป็นที่เรียบร้อย หล่อนหันมาคลี่ยิ้มเป็นการเป็นงานให้คุณพ่อลูกสามพลางเอ่ย
“เชิญค่ะคุณฟู” ทันทีที่พูดจบ พรนภัสก็เคาะประตูห้องให้เสร็จสรรพ
และเมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากด้านใน เจ้าหล่อนก็ผลักบานประตูเปิดอ้ากว้างให้บริการแก่ชายหนุ่มและเด็ก
ๆ พร้อมกับผายมือปิดท้ายเป็นอันเสร็จพิธี
“เซอร์ไพรส์!!!” เด็กชายทั้งสามตะโกนเสียงดังพร้อมกับยิ้มจนตาหยีให้เจ้าของร่างใหญ่ทั้งสองในห้อง
ก่อนจะวิ่งปุเลง ๆ เข้าไปหาป๊ะป๋าและแดดดี๊ที่ไม่เห็นหน้าค่าตากันมาครึ่งค่อนวัน
“ฟู! เด็ก ๆ !!” อารามดีใจที่ได้เห็นหน้าลูก ๆ
พร้อมคนรักก่อนเวลาเลิกงาน วิญญูจึงปราดเข้าไปหอมแก้มกรกฏเสียเต็มรักก่อนจะอุ้มลูกคนกลางและคนเล็กแล้วส่งผ่านความรักความคิดถึงที่มีต่อเด็กชายทั้งสองอย่างทั่วถึง
“ว่าไงไอ้หนู!” เต๋อเอ่ยทักลูกชายคนโตที่ปีนขึ้นมานั่งเหนือตักเป็นภาษาอังกฤษตามข้อตกลงภายในของพวกพ่อ
ๆ เพื่อฝึกให้ฝาแฝดคุ้นเคยกับภาษาที่สองตั้งแต่ยังเล็ก ๆ
จึงไม่แปลกหากเด็กชายพลายในวงแขนแข็งแรงของผู้เป็นพ่อจะต่อบทสนทนาด้วยภาษาเดียวกันอย่างชัดเจนด้วยคำศัพท์เท่าที่เด็กวัยสี่ขวบพอจะรู้จัก
“พี่พายพุพับคิดถึงป๋ากับแด๊ด... อยากมาหาคับ”
“ที่รักมานี่ครับ”
ตรินในเสียงซาวด์แทร็กตบตักข้างที่ว่างเพื่อเชื้อเชิญคนรักร่างเล็ก
ฝ่ายกรกฏก็น่ารักเหลือใจเพราะชายหนุ่มไม่อิดออดยืดเยื้อให้เสียเวล่ำเวลา
เมื่อได้พ่อฟูมาอยู่ในวงแขนอีกข้างสมปรารถนา ป๊ะป๋าร่างหมีจึงตอบเด็กชายปภพด้วยรอยยิ้ม
“ป๋ากับแด๊ดก็คิดถึงพี่พลาย พลุ พลับแล้วก็พ่อฟูมาก ๆ เหมือนกันครับ”
“ป๊ะป๋าคับ...
เมื่อกี๊พี่พายพุพับเจอคุณปู่ด้วย!” บุตรชายคนโตขย่มตักคุณพ่อหน้าคมพลางอวดโอ่อย่างภาคภูมิใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่แล้ว
ป๊ะป๋าท่านรองฯ จึงชวนลูกชายจ้อต่ออย่างนึกสนุก
“เหรอครับ?
แล้วพี่พลายคุยอะไรกับพวกคุณปู่บ้างล่ะครับ?”
“คุณปู่บอกว่าจะพาไปกินหย่อย
ๆ คับ” เด็กชายรายงานเสียงดังฟังชัดด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงไม่ต่างจากเจ้าของภาษา
“แล้วคุณปู่บอกจะพาพี่พลายไปกินหย่อย
ๆ เมื่อไรครับ?”
“เหมือนเดิม...
วันอาทิตย์น่ะ” รอบนี้เป็นกังฟูที่ชิงอธิบายด้วยภาษาที่สองเพราะคนเป็นพ่อรู้ดีว่าปภพยังเด็กเกินกว่าจะจดจำวันและเวลาได้อย่างแม่นยำนั่นเอง
ฝ่ายคนเป็นลูกซึ่งไม่ได้ตอบอะไรก็พยักหน้าหงึกหงักจนผมหน้าม้าทรงหัวเห็ดแตกกระจายประหนึ่งเห็นด้วยกับพวกผู้ใหญ่เสียเต็มประดา
ตรินทำหน้าเห็นอกเห็นใจลูกชาย
ก่อนจะสรุปส่งท้ายแบบที่เอื้อประโยชน์ให้ครอบครัวตนแบบไม่สนงานการทันที “ก็อีกตั้งหลายวันแน่เนอะ...
ไม่เป็นไร งั้นวันนี้ป๋ากับแด๊ดพาพวกเราไปกินหย่อย ๆ ก่อนดีไหมครับ?”
“ดีคับ!”
“ถ้าดี
งั้นพี่พลายไปจุ๊บ ๆ แด๊ดสามทีก่อนครับ ป๋าจะได้รีบเก็บของ” ได้ยินคำป๊ะป๋า เจ้าตัวเล็กก็ปีนลงจากตักแล้ววิ่งหน้าตั้งไปหาแดดดี๊ที่ปล่อยลูกชายอีกสองคนลงกับพื้นแล้วนั่งยอง
ๆ อ้าแขนรอรับฝาแฝดคนโต แต่ทำไปทำมา กลับกลายเป็นว่า
เมื่อพลุและพลับเห็นผู้เป็นพี่จูจุ๊บวิญญู เด็กชายทั้งสองก็รุมจุ๊บคุณพ่อหน้าหยกตามพี่คนโตอย่างสนุกสนาน
ก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดจะลงท้ายด้วยการที่เด็ก ๆ หันมาจุ๊บกันเองจนแก้มย้อย ๆ ทั้งสามคู่เปื้อนน้ำลายจนถ้วนทั่ว
ฝ่ายหนุ่มร่างหมีเจ้าแผนการก็อาศัยจังหวะปลอดลูกนัวเนียกรกฏจนพอใจ
จากนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงพากันไปกินข้าวมื้อเย็นอย่างสุขสำราญและพร้อมหน้าพร้อมตา
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“พลุครับ กินผักให้หมดก่อนสิลูกแล้วค่อยกินผลไม้”
กรกฏพยายามหว่านล้อมลูกชายคนกลางที่ตั้งแง่กับผักเกือบทุกชนิดจนเขาอดเป็นห่วงสุขภาพไม่ได้
“พุอิ่มคับ”
เด็กชายปพนตอบคนเป็นพ่อตาใส แต่ท่าทางไม่ยอมใครที่ลูกชายคนที่สองแสดงออกกลับไม่ได้ทำให้กำลังใจของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยถดถอย
“แต่ถ้าพลุปล่อยให้พี่ผักเหลือทิ้ง
พลุไม่สงสารพี่ผักที่ต้องไปอยู่ในถังขยะเหม็น ๆ หรอกเหรอครับ?”
“...” คำพูดเกลี้ยกล่อมของพ่อฟูทำเด็กชายหน้ามุ่ย...
ก็ไม่ได้จะทิ้งพี่ผักลงถังขยะเสียหน่อย แค่ไว้รวมกันข้าง ๆ จานเองนะครับพ่อ
ท่าทางคิดไม่ตกของลูกคนกลางทำให้กรกฏยังไม่รามือ
เขารู้ว่า ถ้ายังตื๊อต่ออีกนิด มื้อนี้ลูกก็อาจจะเอาชนะโรคเกลียดผักเข้ากระดูกดำได้
“ขนาดพลุยังไม่ชอบเหม็น ๆ เลย แล้วพี่ผักจะชอบเหม็น ๆ เหรอลูก?”
คงไม่ใช่แค่ฝ่ายพ่อ
ๆ ที่ลุ้นกับสถานการณ์ตรงหน้า
เพราะกระทั่งเด็กชายคนแรกและคนสุดท้องที่กินข้าวเสร็จแล้วต่างก็เสนอตัวช่วยเหลือฝาแฝดคนกลางอย่างเต็มอกเต็มใจ
“พี่พายจะกินผัก!”
“พะ-ลับกินด้วย!” หากเทียบกันในบรรดาทายาททั้งสาม
ปวรเป็นคนเดียวที่พยายามพูดทุก ๆ ถ้อยคำทั้งสองภาษาอย่างชัดเจนโดยเน้นความถูกต้องตามเสียงของการผสมอักขระ
แต่กับคำบางคำที่เจ้าตัวยังไม่คุ้นเคย
อาจมีบ้างเหมือนกันที่ถ้อยจำนรรเหล่านั้นจะถูกเปล่งออกมาในรูปการพูดแยกเสียงพยางค์อย่างช้า
ๆ ดังเช่นชื่อเล่นที่มีเสียงควบกล้ำของเจ้าตัวนั่นอย่างไร
“งั้นพลุกินผักเป็นเพื่อนพี่พลายกับพลับได้ไหมลูก?”
วิญญูอาศัยท่าทีสนับสนุนของพลายและพลับเป็นเครื่องมือปิดการขายกับบุตรชายคนกลาง “ถ้าพลุไม่กินผักเป็นเพื่อนพี่พลายกับพลับ
พี่พลายกับพลับต้องเหงา ๆ แน่ ๆ ครับ... เชื่อแด๊ดสิ”
แม้โดยปกติแล้ว
ชายหนุ่มผู้อุทิศเวลาและกายใจให้บรรดาลูก ๆ อย่างกังฟูจะมีอิทธิพลเหนือเด็กน้อยทั้งสามคนแบบล้นเหลือ
แต่น่าแปลกที่วาจาและการกระทำของคุณพ่อหน้าหยก กลับมีน้ำหนักและเปี่ยมไปด้วยอำนาจต่อรองกับทายาทคนที่สองอย่างไม่น่าเชื่อ
เกี่ยวกับประเด็นนี้... อดีตคิวท์บอยเองก็พอจะรู้แต้มต่อของตัวเองเป็นอย่างดี
เพราะทุกเมื่อที่ปพนออกอาการดื้อแพ่งไม่ฟังใคร
แดดดี๊จะเป็นมือดีที่เข้ามาไกล่เกลี่ยและเกลี้ยกล่อมเด็กชายผู้นี้ได้เสมอ...
ครั้งนี้ก็เช่นกัน
“พลุอยากให้พี่พลายกับพลับเหงาเหรอครับ?”
“ไม่คับ” เด็กชายหน้ามุ่ยสะบัดหัวพลางเอ่ยตอบแดดดี๊อย่างเอาจริงเอาจัง
“ถ้าไม่
งั้นพลุต้องทำยังไงลูก?”
“พุจะช่วยพี่พายกะพับกินผักเองคับ!”
“เก่งมากลูก!” วิญญูลูบหัวบุตรคนกลางอย่างรักใคร่
ก่อนจะเงยหน้าสบสายตากับคนรักทั้งสองเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้สึกโล่ง ๆ
ในอกที่เกิดขึ้นแบบฉับพลันทันตา
“ผักอร่อยไหมครับพี่พลาย?”
ตรินรีบส่งกำลังเสริมเข้าเปลี่ยนแปลงบรรยากาศโดยรวมทันที
“หย่อย ๆ !” ปภพตอบพลางเคี้ยวผักกร้วม ๆ สลับกับยิ้มตาหยีอวดน้อง
ๆ ซึ่งท่าทางเก่งกล้าลำพองของพี่คนโต
ทำให้ฝาแฝดลูกกระจ๊อกอีกสองหน่ออดฮึกเหิมตามพี่ใหญ่ไปไม่ได้
“พลับล่ะ
อร่อยไหมลูก?”
“หย่อยครับ!”
“พลุว่าไงครับ?
พี่แครอทอร่อยหรือเปล่า?” ป๊ะป๋าส่งเสียงอ่อนหวานถามเป็นภาษาอังกฤษพร้อมกับนับญาติกับหัวผักเนื้อสีส้มเสียเสร็จสรรพ
“คับ” เด็กชายพลุพยักหน้าขณะก้มหน้าก้มตากินแครอทต้มรูปดอกไม้ที่ได้มาจากแกงจืดชามโตอย่างเงียบเชียบเรียบร้อย
ท่าทางน่าเอ็นดูของเด็กน้อยผู้มีสายเลือดเดียวกันทำให้ป๊ะป๋าหน้าคมอดรู้สึกเอ็นดูไม่ได้ไปเสียทุกที
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เต๋อมักจะไม่ออกหน้าดุลูก ๆ คนไหน ๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ถ้าอร่อยก็กินเยอะ
ๆ นะลูก” หนุ่มร่างหมีว่าพลางลูบหัว ลูบหลังเด็กชายทั้งสามอย่างรักใคร่ไม่ปิดบัง
“ป๋า... เดี๋ยวกินเสร็จแล้วกลับเลยนะ”
กรกฏเอ่ยแทรกขึ้นเมื่อเห็นว่าผักในจานของเด็ก ๆ แต่ละคนใกล้หมด... พวกเด็ก ๆ
โปรดปรานบรรดาผลไม้ เชื่อเถอะว่าอีกเพียงไม่นานก็น่าจะได้เวลาที่พวกเขาควรกลับบ้านกันเสียที
“อ้าวเหรอที่รัก?! ผมว่าจะพาลูกแวะไปเดินเล่นร้านหนังสือเสียหน่อย”
ท่านรองฯ โพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกใจ เพราะทุก ๆ ครั้งที่ทั้งหมดออกมาใช้เวลาร่วมกันตามศูนย์การค้าใหญ่
ชายหนุ่มมักจะพาลูกชายไปเลือกซื้อหนังสือนิทานเล่มใหม่ ๆ ติดมือกลับบ้านเสมอ
“ไว้วันหลังเถอะ
คืนนี้ฟูไม่อยากให้ลูก ๆ นอนดึกน่ะครับ พรุ่งนี้ไปโรงเรียนวันแรก ถ้านอนไม่พอ เด็ก
ๆ จะงอแง”
“จริงด้วยสิ!
โทษ ๆ
! ป๋าลืมไป...
นึกว่าพรุ่งนี้ลูก ๆ ยังตื่นสายได้” ว่าแล้ว
อดีตหนุ่มสถาปัตย์ก็เลื่อนกรอบสายตาจ้องมองลูก ๆ แต่ละคนอย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนรำพึงรำพันกับตัวเองเสียยกใหญ่
“อา เด็ก ๆ ต้องไปโรงเรียนกันแล้วสินะ... เวลาผ่านไปเร็วเหมือนกันแฮะ!”
“พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแล้วนะครับ...
ตื่นเต้นไหมลูก?” ด้วงตั้งคำถามกับลูก ๆ ขณะเด็ก ๆ เริ่มลงมือจัดการผลไม้ที่ผู้เป็นพ่อแบ่งให้โดยเท่าเทียม
“พี่พายไม่ตื่นเต้น
พี่พายโอเคมาก!” เด็กชายพลายเชิดหน้า
ทำคอตั้ง พลางยืดอกตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ฝั่งน้องคนเล็กที่เห็นพี่ชายคนโตเล่นใหญ่ก็ชูแขนขึ้นแล้วชิงพูดต่ออย่างผ่าเผยไม่มียอมกัน
“พะ - ลับก็โอเค!”
ปฏิกิริยาของลูก
ๆ ทั้งสองทำให้วิญญูคลายใจ
จะติดอยู่ก็เพียงบุตรคนสุดท้ายที่ชายหนุ่มยังไม่ได้เปิดปากสัมภาษณ์นี่แหละ “พลุล่ะลูก?
พรุ่งนี้จะได้ไปเจอคุณครู จะได้ไปเจอเพื่อน ๆ เยอะ ๆ แล้ว... พลุตื่นเต้นไหมครับ?”
เด็กชายเจ้าของใบหน้าเหมือนกับฝาแฝดคนโตอย่างกับแกะส่ายหัวดิกก่อนจะตอบคำของแดดดี๊คนโปรดด้วยน้ำเสียงแผ่ว
ๆ “พี่พายกับพับอยู่ด้วย พุไม่ตื่นเต้น”
“เก่งมากครับ จำคำแด๊ดไว้ให้ดีนะลูก...
พวกลูก ๆ มีกันอยู่สามคน เพราะฉะนั้น ตอนที่อยู่โรงเรียน ลูก ๆ
จะต้องช่วยเหลือดูแลกันและกันให้ดี ๆ นะครับ” ผู้ฟังร่างกระจิ๋วทั้งสามล้วนแล้วแต่พยักหน้ารับคำสอนของคุณพ่อหน้าหยกโดยพร้อมเพรียงกัน
จนบรรดาพ่อ ๆ อดใจชื้นไม่ได้
อารมณ์นึกครึ้มอยากรู้ความคิดอ่านของลูก
ๆ เกี่ยวกับอีกสถานที่ ๆ เด็ก ๆ จะต้องทำความคุ้นเคยด้วยอีกหลายปี
หนุ่มร่างหมีจึงแอบตะล่อมถามผู้นำเทรนด์ของบุตรชายทั้งสามเพื่อประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าได้เจาะลึกยิ่งขึ้น
“ไหนพี่พลายลองบอกป๋าสิครับว่า พรุ่งนี้พอไปถึงโรงเรียนแล้วพี่พลายจะทำอะไรบ้าง?”
“พี่พายจะไปเล่นคับ!” คำตอบตามประสาเด็กที่มาพร้อมกับน้ำเสียงจริงจังและแววตาจริงใจทำให้คุณพ่อทั้งสามหลุดขำอย่างห้ามตัวเองไม่ได้
“หึ หึ หึ!
จะไปเล่นอย่างเดียวเลยเหรอลูก?!” เต๋อยังไม่หยุดซักไซ้พ่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนสุดที่รัก
“ใช่คับ!”
เป็นอีกครั้งที่ทรงผมหัวเห็ดถูกสะบัดจนเส้นผมสีอ่อนชี้กระจายเพราะเด็กชายพยักหน้ารับคำอย่างหนักหน่วงสะเทือนสะท้านไปทั้งวงหน้า
“ใจคอจะไม่เรียนหน่อยเหรอลูก?”
กังฟูถามทายาทคนโตด้วยน้ำเสียงกลั้วขำ ๆ ... สำหรับเขาแล้ว ถ้าลูก ๆ
ในวัยสี่ขวบจะไม่คิดจริงจังกับการเรียน ชายหนุ่มก็ไม่เห็นประโยชน์ที่จะวิตก เพราะโดยส่วนตัวแล้ว
เขาหวังเพียงอยากให้เด็ก ๆ เรียนรู้ทุก ๆ อย่างตามวาระที่ควรจะเป็น
หากยังเป็นเด็ก... ลูก ๆ ของเขาก็ควรได้เล่นและเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่
ไม่ใช่โดนพ่อแม่ตีกรอบให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนทั้ง ๆ ที่จิตใจยังไม่พร้อม
“เลียนคับ แต่พี่พายจะเล่นให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเลียนคับ!” คำตอบที่สมกับเป็นพี่พลายผู้นำสุดยิ่งใหญ่ของน้อง
ๆ
ทั้งสองทำให้กรกฏไพล่นึกไปถึงเรื่องที่วิญญูเพิ่งเน้นย้ำกับเหล่าเด็กชายไปเมื่อสักครู่
“แล้วตอนพี่พลายเล่น
พลุ กับ พลับจะไปอยู่ไหนล่ะลูก?”
“ก็อยู่กับพี่พายไงคับพ่อฟู
อยู่เล่นด้วยกัน!” เด็กชายอีกสองคนพยักหน้ารับคำพี่ชายราวกับนัดกันมา
แต่ฝ่ายผู้เป็นบิดาก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี
“พี่พลายจะไม่ทิ้งน้องใช่ไหมลูก?”
“ไม่คับ
พี่พายจะดูแลพุพับเอง!”
“ที่บอกว่าดูแลน้องนี่คือยังไงครับ?”
ป๊ะป๋าร่างหมีถามแทรกเด็กชายผู้พี่สุดองอาจ... เขาอยากจะรู้เหลือเกินว่า
ไอ้ที่ทายาทคนโตวางมาดเสียหล่อเหลา จะสอดคล้องกับความคิดอ่านในสมองเล็ก ๆ
ที่ฉลาดเฉลียวเอาเรื่องนั่นหรือไม่
“ให้พุพับอยู่ด้วย
พาไปห้องน้ำ แล้วก็กินผักเป็นเพื่อนคับ!” คำตอบพาซื่อที่ถูกเอื้อนเอ่ยผ่านริมฝีปากรูปกระจับสีแดงจัดคือตัวการทำให้พวกผู้ใหญ่พากันหัวเราะเสียงดัง
จนเมื่อป๊ะป๋าตรินตั้งสติได้ คุณพ่อหน้าคมก็หันไปรอฟังความเห็นของบุตรชายคนกลางบ้าง
“แล้วพลุล่ะลูก
จะไปทำอะไรที่โรงเรียนบ้าง?”
“อยู่กับพี่พายกับพับคับ”
คำตอบของพลุสร้างความหนักใจให้กับคนฟังฝั่งผู้ใหญ่โดยถ้วนหน้า
วิญญูจึงอาสาซักไซ้ทายาทลำดับที่สองแทนป๊ะป๋าและพ่อฟู “พลุจะไม่ไปเล่นกับเพื่อนใหม่หน่อยเหรอครับ?
ที่โรงเรียนเพื่อนใหม่เยอะแยะเลยน้า พอพลุมีเพื่อนเยอะ ๆ พลุก็จะยิ่งสนุกนะครับ”
“...” เมื่อเห็นเด็กชายเลือกที่จะส่ายหัวแทนตอบความ
ตามด้วยการซุกซบประกบใบหน้าเข้ากับอกของแดดดี๊เพื่อหลบหน้าทุกคน บรรดาพ่อ ๆ
ทั้งสามต่างก็ลอบสบตากันอย่างจนใจ ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างไม่มีทางเลือก
“ไม่เป็นไรลูก
ช่วงแรก ๆ พลุอยู่กับพี่พลายกับพลับไปก่อนแล้วกันนะครับ” เต๋อปลอบประโลมพลางลูบเรือนผมหนานุ่มของลูกชายคนรองอย่างละมุนละม่อม
“คับ” สัมผัสอ่อนโยนอบอุ่นของคนเป็นพ่อทำให้ปพนยอมผินหน้ากลับมาคุยกับพวกเขาอีกครั้ง
ท่าทางที่ฟ้องว่ายังคุยกันรู้เรื่องที่เด็กน้อยแสดงออกทำให้เหล่าพ่อ ๆ
หายใจได้ทั่วท้อง เพราะหากลูกคนกลางเริ่มร้องไห้แค่เพียงไม่นาน
ฝาแฝดคนโตและคนเล็กก็จะเป่าปี่ประสานเสียงเป็นเพื่อนไปเสียทุกรอบ
“แล้วพลับล่ะครับ
อยากไปทำอะไรที่โรงเรียน?”
“พะ – ลับจะไปเรียนครับ พะ – ลับอยากเรียนเก่ง ๆ พะ – ลับอยากโตเร็ว ๆ ”
คุณพ่ออดีตคิวท์บอยคลี่ยิ้มด้วยความชื่นใจหลังได้ยินคำตอบน่าฟังของบุตรคนสุดท้อง...
นี่ถ้าสปอนเซอร์ใหญ่สายการศึกษาอย่างพ่อแม่เขามาได้ยินสิ่งที่พลับพูด
เด็กชายคงได้เงินขวัญถุงติดบัญชีเพิ่มขึ้นอีกโข
“ดีครับ! งั้นก็ช่วยกันกินผลไม้ให้หมดนะครับ แด๊ดจะได้พากลับบ้านไปนอน
พรุ่งนี้จะได้ตื่นไปโรงเรียนแต่เช้า” วิญญูสรุปกับลูก ๆ โดยยึดตามนโยบายของคนรักร่างเล็กเป็นหลัก
ขณะเฝ้ามองสีหน้าเปี่ยมสุขยามหลับไหลของเลือดเนื้อเชื้อไขทั้งสามที่นอนเรียงอยู่บนเตียงเดียวกัน
ชายหนุ่มร่างเล็กก็ไม่อาจสะกดกลั้นความรู้สักหวาดหวั่นของตนได้อีกต่อไป
“อย่าเพิ่งรีบโตกันนักเลยลูก... อยู่ให้พ่อฟูชื่นใจไปนาน ๆ เถอะนะ พ่อขอร้อง”
สัมผัสอบอุ่นคุ้นเคยตรงหัวไหล่
ทำให้กังฟูเลื่อนมือขึ้นไปบีบฝ่ามือใหญ่ของเต๋อเบา ๆ
ก่อนจะโน้มตัวลงประทับรอยจูบลงบนหน้าผากนวลเนียนของลูกชายคนโต และคนเล็กที่นอนถัดไป
แล้วจึงพยักหน้าให้วิญญูที่เพิ่งห่มผ้าและหอมแก้มลูกคนกลางที่นอนอยู่อีกข้าง ก่อนที่ทั้งหมดจะค่อย
ๆ เยื้องกรายออกจากห้องนอนลูกชายไปอย่างเงียบเชียบ
“ทำไมสี่ปีมันถึงผ่านไปไวอย่างนี้ล่ะป๋า?”
ทันทีที่สองขาก้าวเข้าสู่พื้นที่ส่วนตัวของสามหนุ่ม พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็โพล่งความในใจด้วยน้ำเสียงท้อแท้จนเจ้าของตำแหน่งป๊ะป๋าของบ้านถึงกับเลิกคิ้วมองคนรักพลางส่งเสียงสงสัยอยู่ในลำคอ
“หืม?!”
“ฟูรู้สึกเหมือนเราเพิ่งไปรับลูกออกจากตู้อบโรงพยาบาลมาเมื่อวานนี้เองนะ...
เผลอแป๊บเดียว พรุ่งนี้พวกเราก็ต้องไปส่งลูก ๆ เข้าโรงเรียนแล้ว!”
“โธ่ฟู!” วิญญูโอดด้วยความสงสารคนรักจับใจ ฝ่ายเต๋อที่เห็นท่าไม่ดีก็ไม่ปล่อยให้คู่ชีวิตทั้งสองจมอยู่ในความสิ้นหวังกันทั้งสองคน
หนุ่มร่างหมีรีบเดินเข้าไปสวมกอดอดีตเด็กวิศวะทั้งคู่เสียแนบแน่น
“พรุ่งนี้ลูกก็จะไปอยู่กับคนอื่นแล้วอ่ะป๋า...
แต่จนป่านนี้ ฟูยังทำใจไม่ได้เลย!” น้ำเสียงตัดพ้อของอริยะตรัยผู้พี่ฟังอู้อี้ค่าที่เจ้าตัวยังฝังหน้ากับอกหนาของหนุ่มหน้าคมไม่เคลื่อนไปไหน
“ถึงจะทำใจไม่ได้
แต่ยังไงพวกเราก็ต้องตัดใจส่งพวกแกไปโรงเรียนอยู่ดีนั่นแหละฟู” ตรินพยายามอธิบายอย่างใจเย็น
แต่กรกฏกลับไม่ได้คิดเห็นเช่นกัน
“ก็เพราะรู้อย่างนี้น่ะสิ
ฟูถึงไม่ส่งลูกเข้าเนิร์สเซอรี่... นี่ขนาดต่อเวลาขออยู่กับลูกเพิ่มมาตั้งสองปีแล้วนะ
เฮ่อ!”
ถ้อยแถลงของคนเป็นพ่อที่จะต้องส่งลูกชายไปไกลจากอกทำให้เต๋อกระชับวงแขนรวบกอดคนรักทั้งสองคล้ายกับจะหลอมรวมร่างโดยที่ในหัวก็พยายามหาทางแก้สถานการณ์ด้วยคำพูดดี
ๆ สักประโยค “พวกหนูรู้ไหมว่าป๋าแอบคิดมากเพราะเรื่องนี้มาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่พวกเราเริ่มปรับตัวกับการเป็นพ่อได้เลยนะ
แต่ที่ป๋าไม่บอกพวกหนู ๆ ให้รู้ เพราะป๋าอายที่ต้องยอมรับว่า อยู่ดี ๆ
ก็เกิดไม่อยากให้ลูกโตเป็นผู้ใหญ่ พอ ๆ กับที่ไม่อยากให้พวกแกจากป๋าไปอยู่ที่อื่น...
ขืนป๋าพูดแบบนั้นออกมา พวกหนู ๆ ต้องหมดศรัทธาในตัวป๋าแน่ ๆ ... จริงไหม?”
“โห่ป๋าแม่ง!... คิดได้!” วิญญูติติงได้ไม่เต็มเสียงเพราะมัวแต่หัวเราะคำสารภาพแบบกั๊ก
ๆ ที่เพิ่งได้ยินไปหมาด ๆ
“ป๋าไม่เถียงเลยนะว่าลูก
ๆ เกิดมาเพื่อเติมเต็มความสุขสมบูรณ์ให้กับชีวิตพวกเรา แต่จะช้าหรือเร็ว
ที่สุดแล้ว พวกเขาก็ต้องเดินไปจากเราอยู่ดี
เหมือนที่พวกเราแยกจากพ่อแม่เพื่อมาใช้ชีวิตในแบบที่เราต้องการ
ได้ลองมีความรักอย่างที่ใจปรารถนา ได้ทำในสิ่งที่เราอยากจะทำอย่างเต็มที่ยังไงล่ะ”
ร่างเล็กในอ้อมกอดที่ยังยืนพิงอกเขาโดยไม่พูดไม่จาเร่งเร้าเต๋อให้ไม่อาจปล่อยประเด็นนี้ให้เลยผ่านไปได้
“หรือหนูฟูไม่อยากให้ลูกได้ลองสัมผัสเรื่องสุดวิเศษแบบที่เราเคยได้รับจากพ่อแม่ของเรากันครับ?”
“เปล่าเสียหน่อย
ฟูแค่ใจหาย... ฟูไม่รู้จะอยู่ยังไงถ้าไม่มีลูกอยู่ด้วย” ที่สุดแล้ว
กรกฏก็หลุดปากพูดความรู้สึกออกมาจนหมด แต่แทนที่จะยินดี ตรินกลับต้องเดือดร้อนกับเนื้อความที่เพิ่งได้ยิน
“โอ้โห!
หนูพูดอย่างนี้ป๋านี่ขึ้นเลย!”
“โธ่ป๋า!
ฟูไม่ได้หมายความแบบนั้นเสียหน่อย! ฟูรู้หรอกน่าว่าฟูมีป๋ามีแด๊ดอยู่ข้าง ๆ
แต่ฟูเหงาไง...
.
.
...ป๋าลองคิดดู
ฟูอยู่กับลูกทุกวัน ๆ มาสี่ปีเต็ม ๆ นะป๋า! ฟูจะไม่เป็นอะไรได้ยังไง?!...
...ตื่นเช้ามาก็เจอลูก
วันทั้งวันก็ขลุกอยู่ด้วยกันตลอดจนถึงหัวค่ำ...
...เนี่ย!
แค่คิดว่าพรุ่งนี้จะไม่มีพวกแกคอยวิ่งเล่นทำเสียงตึงตังรอบ
ๆ บ้าน ฟูก็... ฮึก!...”
คำพูดที่พรั่งพรูออกมาราวกับทำนบแตกไม่ได้ทำให้ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในใจเบาขึ้นแต่อย่างใด
หนำซ้ำมันยังทำให้ชายหนุ่มสะอื้นตัวโยนจนเหมือนกับเด็กเล็ก ๆ ก็ไม่ปาน
“ชู่ว์! ไม่ร้องนะครับฟู” หนุ่มหน้าหยกปลอบกรกฏทันทีที่มีจังหวะพูดเนื่องจากเจ้าตัวยืดหลักไม่เอ่ยแทรกภรรยาถ้าไม่จำเป็น
“คนดีของป๋า” เจ้าบ้านร่างหมีกดริมฝีปากหนัก
ๆ เหนือขมับของคนรักร่างเล็ก “แรก ๆ มันคงจะยากหน่อย แต่เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้น...
เชื่อป๋าสิ”
“ฟูต้องทำใจไม่ได้แน่
ๆ เลยป๋า!”
“ไม่หรอก ป๋าเชื่อว่าหนูของป๋าต้องทำได้
ขนาดอยู่เป็นเพื่อนลูกตอนโดนคุณหมอจับฉีดยาหนูยังทำมาแล้วเลย...
แค่ส่งลูกไปโรงเรียนแค่นี้ ทำไมหนูฟูของป๋าจะทำไม่ได้ล่ะ” ตรินชิ่งลูกกระทบคุณพ่ออีกคนที่ไม่กล้าอยู่ดูหมอใช้เข็มฉีดยาปลายแหลมปรี๊ดเจาะแขนเด็กชายทั้งสาม
แม้ว่าการกระทำนั้นจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายก็ตามที
ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลตอบรับที่ดี เพราะวิญญูส่งค้อนวงใหญ่กลับมาให้เป็นของกำนัล
.
.
.
.
.
.
.
.
“ป๋า” อยู่ ๆ
กรกฏก็เปรยสรรพนามเรียกแทนชื่อคนรักขึ้นหลังจากนิ่งไปพักใหญ่
“ครับ?”
“เรามีลูกกันอีกดีไหม?”
“เฮ่ย! จะดีเหรอฟู?!” คำถามดังกล่าวทำเอาวิญญูตกใจจนผงะอย่างเสียอาการ
แต่นั่นกลับหยุดกังฟูในสภาพเสียใจจนใกล้คลุ้มคลั่งไม่ได้
“นะป๋า
ฟูอยากมีลูกอีกอ่ะ” อริยะตรัยคนพี่ช้อนตามองออดอ้อนผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของบ้านอย่างไม่ลดละด้วยความเชื่อมั่นว่า
สายตาและท่าทางดังกล่าวจะเกลี้ยกล่อมตรินให้ยอมคล้อยตามได้ง่าย ๆ ซึ่งคำตอบสไตล์ป๋าขาเปย์ของเต๋อก็ยิ่งสนับสนุนให้ชายหนุ่มปักใจในเสน่ห์อันล้นเหลือของตัวเองมากขึ้นทุกที
“ป๋าไม่ห้ามหนูเรื่องลูกนะ
ต่อจากนี้... หนูจะอยากมีลูกอีกสักกี่คนก็ได้ ป๋าพร้อมสนับสนุนเต็มที่”
“จริงเหรอป๋า?!” การพยักหน้ารับคำด้วยสีหน้าจริงจังของตรินทำให้คนฟังร่างเล็กยินดีเสียจนเจ้าตัวเผลอกระโดดโน้มคอรั้งใบหน้าเต๋อลงมาจูบปากอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ตรงข้ามกับด้วงที่ออกอาการลนลานเมื่อเห็นคนรักทั้งสองเจรจาตกลงหัวข้อสำคัญต่อความเป็นไปของครอบครัวด้วยท่าทางสบาย
ๆ ราวกับเล่นขายของ
“ป๋า!
ป๋าอย่าเที่ยวรับปากพร่ำเพรื่อสิ
เรื่องลูกไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ นะ!” วินาทีนี้ ไม่สำคัญแล้วว่าเต๋อจะตัดสินใจเช่นไร
เพราะวิญญูนี่แหละที่จะยืนหยัดคัดค้านความคิดชั่วครู่ชั่วยามของกังฟูแบบหัวชนฝา ฝ่ายพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยที่กำลังยิ้มหน้าบานก็รีบฉวยโอกาสที่คนรักร่างหมีหยิบยื่นให้โดยไม่คิดหน้าคิดหลังอีกต่อไป
“งั้นไปคุยกับแม่บัวเล...”
“แต่ป๋ามีข้อแม้ว่า
พลาย พลุ และพลับจะต้องเป็นฝ่ายพูดว่าอยากมีน้องออกมาก่อน เพราะป๋าไม่อยากให้ลูก ๆ
รู้สึกว่าพวกแกถูกน้องแย่งความรักความสนใจไป หนูฟูโอเคไหมครับ?” อดีตหนุ่มสถาปัตย์ชิงวางเงื่อนไขแทรกขึ้น
นั่นจึงทำให้อริยะตรัยคนพี่ชักสีหน้าพลางโต้กลับทันควัน
“โหป๋า!
อย่างนี้ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยน่ะสิ!”
“หนูฟู...
หนูฟูจะทำอะไรป๋าไม่เคยห้ามเลยนะครับ แต่ตอนนี้หนูฟูเป็นพ่อคนแล้ว
เวลาจะตัดสินใจอะไร หนูฟูต้องไม่ลืมคิดถึงใจลูก ๆ เป็นอันดับแรกนะครับ”
“...” เพราะเหตุผลที่เต๋อหยิบยกขึ้นมาอธิบายเป็นเรื่องจริงที่กระทั่งกรกฏเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้
ชายหนุ่มจึงได้แต่ทำปากอูดไม่พูดไม่จากับใครทั้งสิ้น
ท่าทางกระเง้ากระงอดหลังถูกขัดใจที่พี่ชายธันวาแสดงออกไม่ได้ทำให้ตรินหวาดหวั่น
กลับกัน สีหน้าบึ้งตึงของอีกฝ่ายทำให้เลือดในกายระอุขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ “นอกจากคิดถึงใจลูกแล้ว
หนู ๆ ก็ต้องคิดถึงใจผัวด้วยนะครับ... ห้ามลืมคิดถึงเป็นอันขาด รู้ไหม?!” เจ้าของเสียงพูดทุ้มต่ำไม่พูดเปล่า ใบหน้าหล่อเหลาคมคายก้มลงไปเพื่อฝังปลายจมูกซุกไซ้ซอกแซกไปทั่วลำคอเนียนนุ่มของกังฟู
ในขณะที่มืออีกข้างก็ล้วงไล้ลอดใต้เสื้อนอนของวิญญูไปพร้อม ๆ กัน “ว่าไงครับ?
หนูฟู หนูด้วง... จะลืมป๋าหรือเปล่า?”
“ฮื่อออ!” กรกฏครางไม่เป็นภาษาเมื่อถูกฤทธิ์ของดำฤษณาเข้าครอบงำ
เห็นดังนั้น ฝ่ายผู้ลงมือกระทำจึงยิ่งย่ามใจ ตรินละเลงไล้ใบหน้าไปทั่วจุดอ่อนไหวพลางเร่งรัดขอคำตอบผ่านการสัมผัสหนักแน่น
และจาบจ้วงต่อเนื่องทันที
“ว่าไง...
ลืมไหมที่รัก?”
แม้โดยเนื้อแท้แล้วเขาจะเป็นพวกชอบเอาชนะ
แต่ลองว่าถ้าร่างกายโดนจู่โจมทั้งบนและล่างด้วยสัมผัสที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีแบบที่กรกฏกำลังประสบอยู่ล่ะก็
ต่อให้ใจจะอยากโต้คารมกับเต๋อสักแค่ไหน ชายหนุ่มก็ไม่อาจต้านทานความรู้สึกปรารถนาในตัวคนรักทั้งสองได้เลยสักที
กังฟูจึงยอมปล่อยตัวเองให้ตกเป็นทาสแห่งกามารมณ์อีกครั้งด้วยความยินดีเป็นที่สุด “...อาห์...ไม่ลืม...ไม่ลืม...”
“พี่พลาย
พ่อฝากพี่พลายดูแลน้อง ๆ ด้วยนะครับ” คนเป็นพ่อสั่งความกับบุตรชายคนโตหลังจากที่ทั้งหมดมาถึงยังลานจอดรถของโรงเรียนอนุบาลเป็นที่เรียบร้อย
เด็กชายปภพผู้แบกรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ตบอกตัวเองเบา
ๆ พลางทำหน้ายืดด้วยความภาคภูมิใจก่อนจะเอ่ยอย่างหนักแน่น “คับ! พี่พายจะดูแลปกป้องพุพับเป็นอย่างดีเลยคับ!”
“เก่งมากลูก” กังฟูโน้มตัวเข้าหาลูกชายคนโตเพื่อประทับรอยจูบลงบนกลุ่มผมหน้าม้านุ่มนิ่มเบา
ๆ ก่อนจะหันไปกำชับลูกชายคนเล็กที่ยืนยิ้มหวานอยู่ข้าง ๆ กัน
“พลับคนเก่งของพ่อฟู
ตั้งใจเรียนนะลูก แล้วก็อย่าเที่ยวไปเล่นซนที่ไหนคนเดียว...
ถ้าจะไปที่ไหนก็ให้ไปกับพี่พลาย หรือ พี่พลุนะครับ”
“ครับพ่อฟู” ขาอ้อนประจำบ้านโถมตัวเข้าใส่คนเป็นพ่อเพื่อฝังใบหน้าเล็ก
ๆ ลงหอมแก้มกังฟูอย่างรักใคร่
ชายหนุ่มจึงไม่อาจอดใจกอดรัดลูกชายคนเล็กอยู่นานสองนานก่อนจะตัดใจผละจากเพื่อสั่งความทายาทคนกลางเป็นรายสุดท้าย
“พลุ...
พลุไม่ต้องกลัวนะครับ พลุมีพี่พลาย มีพลับอยู่ข้าง ๆ นะลูก แล้วก็...
อย่าลืมกินผักเป็นเพื่อนพี่พลายกับพลับด้วยนะครับ ถ้าพลุไม่กินผักด้วย
พี่พลายกับพลับต้องแย่แน่ ๆ เลยลูก”
“คับพ่อฟู” เด็กชายเจ้าของชื่อโผเข้ากอดคอแล้วเบียดแก้มสลับหอมบิดาเหมือนกับน้องชายไม่มีผิด
“ดีมากครับพลุคนเก่งของพ่อ!” สัมผัสของลูกชายคนกลางทำให้กรกฏต้องกระพริบตาไล่น้ำใส
ๆ ที่พากันไหลคลอหน่วยพร้อม ๆ กับกลืนก้อนสะอื้นลงคอแล้วปรับเสียงให้สดใสเพื่อเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะต้องพาเด็ก
ๆ ไปส่งถึงมือครู “ไหนมาจูบกันหน่อยซิ” คำขอของกังฟูได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
เพราะฝาแฝดสามต่างพากันรุมล้อมประทับจูบคุณพ่อสุดที่รักกันอย่างวุ่นวาย
“เอาล่ะ!
ตาป๋ากับแด๊ดแล้วลูก!” ทั้งเต๋อและด้วงย่อตัวลงนั่งพลางอ้าแขนกว้างรอรับลูก
ๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาแลกจูบจนครบถ้วน เมื่อใกล้เวลาเข้าเรียน ป๊ะป๋าร่างหมีก็เอ่ยย้ำเตือนสิ่งสำคัญกับเด็ก
ๆ ซ้ำอีกครั้ง “ถ้าไม่ใช่พ่อฟู ป๋า แด๊ด คุณปู่คุณย่า หรือพวกอา ๆ มารับ
ห้ามกลับบ้านกับคนแปลกหน้าเป็นอันขาดนะลูก เข้าใจใช่ไหม?”
“คับ!”
“เลิกเรียนแล้วอยู่กับคุณครูนะลูก
เวลาพ่อมารับ พ่อจะได้หาพวกเราเจอง่าย ๆ ... ตกลงไหมเอ่ย?” กังฟูแทรกข้อความที่ตกหล่นหายไปอย่างรวดเร็วเพื่อให้ลูกช่วย
ๆ กันจดจำ
“คับ!!!”
เมื่อได้ยินฝาแฝดรับคำเสียงดังฟังชัดอีกครั้งคุณพ่อทั้งสามก็พลอยโล่งใจไปอีกเปลาะ
“เก่งมากครับ!
งั้นก็เข้าโรงเรียนได้แล้ว!”
“สวัสดีค่ะ
สวัสดีจ๊ะเด็ก ๆ ” มือป้อม ๆ ที่ประกบกันเป็นทรงคล้ายกับดอกบัวเล็ก ๆ
ถูกยกขึ้นทันทีที่ฝาแฝดทั้งสามเห็นสัญญาณที่คุณพ่อของบ้านส่งซิกให้ “โอ้โห!
ไหว้สวยมากเลยค่ะเด็ก
ๆ !”
“สวัสดีครับ
พวกผมฝากลูก ๆ ด้วยนะครับ” ตรินออกหน้าคุยกับคุณครูแทนกังฟูที่ขอบตาเริ่มแดงจนเขาไม่อาจปล่อยให้แฟนสู้หน้าลูกอีกต่อไป
“ได้ค่ะ
คุณครูทุกคนจะดูและสุดหล่อทั้งสามคนเป็นอย่างดีเลย!” คุณครูสาวรับคำอย่างกระตือรือล้นก่อนจะก้มลงคุยกับเด็กชายทั้งสามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง
“ไหน... ใครชื่ออะไรกันบ้างคะ?”
“นี่พี่พาย
นี่พุ” ปภพแนะนำตัวเองรวมถึงน้องชายคนกลางผู้ที่ยืนแอบอยู่ข้างหลังตนแบบรวดเดียวจบ
ก่อนจะตามด้วยฝาแฝดคนสุดท้องที่กล้าแสดงออกพอ ๆ กัน
ทายาทคนเล็กของตระกูลคุณะประสิทฒ์ชูมือขึ้นเหนือหัวพลางเจื้อยแจ้วเสียงแจ๋วน่าฟัง
“พะ - ลับครับ!”
“โอ้โห!
เก่งจังเลยค่ะเด็ก
ๆ ... ไปค่ะ ไปเข้าห้องเรียนกันดีกว่า”
“บ๊ายบายลูก
เรียนให้สนุกนะครับ!”
เต๋อเอ่ยคำอำลากับลูก ๆ ที่หยุดโบกมือให้พวกเขาก่อนจะเดินจูงมือกันตามคุณครูเข้าไปด้านในอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ภาพของบุตรชายคนกลางซึ่งเดินรั้งท้ายโดยหมั่นปรายหางตาเศร้าสร้อยละห้อยหากลับมามองสบตากับพวกเขาทั้งหมดเป็นระยะ
ๆ ทำให้หมีทั้งสองต้องรีบประคองคนรักร่างเล็กออกไปปลอบประโลมกันในรถ เพราะคงไม่ดีแน่
หากวันแรกของการไปโรงเรียน ลูก ๆ ต้องมาเห็นน้ำตาแห่งความโศกเศร้าของพ่อฟูโดยไม่ตั้งใจ
«♥»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «♥»