#03
อยากจะคุยยังไม่กล้าเลย ขนาดเราเคยเป็นเสือปืนไว
แต่กับคนนี้ไม่รู้เป็นไง เจอะทีไรกลับเกร็งจนชา
เจอะเธอกี่ครั้งก็ยังปอด ๆ คิดแล้วมันปอด ๆ
ต้องถอยทุกครั้งเลย
เจอกี่ครั้งไม่วายปอด ๆ คิดว่าคงจะจอดงานนี้แน่ ๆ เลย
ปอด ปอด - Boyscout
…………………………………………………………………………………………………………
ตำแหน่งของผมคือที่ปรึกษาด้านระบบงานบุคคล
หรือที่เรียกกันติดปากด้วยคำทับศัพท์ว่า ‘HR คอนซัลท์’
หน้าที่หลักตามธรรมชาติของคอนซัลท์ในสายงานนี้
คือ การบริการให้คำปรึกษา แนะนำ ออกแบบระบบจัดเก็บข้อมูลเพื่อออกรายงานสำคัญ ๆ
และอำนวยความสะดวกในการทำงานให้แก่ลูกค้า (หรือที่เรียกง่าย ๆ อีกเหมือนกันว่า ‘ยูสเซอร์’) ตามแต่รายละเอียดการว่าจ้างภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนด
เมื่อสืบสาววงจรชีวิตของคอนซัลท์ให้ลึกลงไป
จะพบว่า ทันทีที่โปรเจคเริ่มต้นขึ้น บรรดาคอนซัลท์ผู้มีผลงานเข้าตา PM (Project Manager หรือ ผู้จัดการโครงการ) ก็จะพากันอพยพถิ่นฐานไปตั้งรกรากชั่วคราวตามทำเลต่าง
ๆ ที่ลูกค้าเห็นชอบ
สำหรับโปรเจคล่าสุดที่พี่จี๊ดแกไปฉกมาได้หมาด
ๆ นี้ สถานที่สิงสถิตแห่งใหม่ของพวกเราเหล่าคอนซัลท์ คือ ออฟฟิศหน้าตาทันสมัยสุดไฉไลบนชั้นแปดและเก้าของตึกสำนักงานกลางย่านธุรกิจที่ค่าเช่าแพงเสียจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่า
กำไรปี ๆ นึงของบริษัทผลิตเครื่องดื่มชูกำลังน้องใหม่มันดีขนาดนี้เชียวหรือ
ไม่แปลกหากในวันแรกของโปรเจค
สิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ จะทำให้อะไร ๆ ไม่เป็นใจนัก
เป็นต้นว่า...
การที่ลุงไซด์ไลน์
ผู้มีชื่อเล่นว่าหนาว และชื่อจริงว่าคิมหันต์ที่เคยถูกผมอ้อยใส่จัง ๆ เมื่อวานซืนคนนั้นจะกลายเป็น
HR Director ผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการเซ็นอนุมัติเอกสารส่งมอบต่าง
ๆ ที่ทีมผมจัดทำ ซึ่งในตอนนี้ ท่านผู้อำนวยการฝ่ายบุคคลก็กำลังนั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตรงข้ามผมโดยมีหม้อต้มยำกับปลากะพงทอดน้ำปลากั้นกลาง
“คุณหนาวคะ
ปลาสำลีเผาค่ะ”
“ขอบคุณครับคุณมิ้ม”
“บอสทานเยอะ ๆ
นะคะ พักนี้บอสดูซูบ ๆ ”
“แหมพี่เซียง
พี่เซียงเป็นห่วงบอสก็ยอมรับมาเหอะ”
“บ้าเหรอเอ้! พูดอะไรก็ไม่รู้ เพ้อเจ้อ”
“แน่ะ
ทำซึนเนาะคนเรา”
ลำพังจับพลัดจับผลูต้องมาทำงานขึ้นตรงกับลุงไซด์ไลน์คงยังเศร้าชีวิตไม่พอ
เพราะทันทีที่ประชุมเสร็จ อีตาเจ้าของโปรเจคก็ดันเสนอหน้าขอเลี้ยงข้าวกลางวันผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนโดยอ้างว่าเป็นกิจกรรมละลายพฤติกรรมแบบซอฟท์
ๆ ไปอีก
ซอฟท์กับผีสิ!
ใครไม่เป็นผมไม่มีวันรู้หรอกว่าที่เห็นยังชูคอนั่งยิ้มอยู่ได้ไม่ใช่เพราะไม่รู้สึกรู้สา
แต่ที่จริงแล้วคือเกร็งมาก เกร็งจนแอบจิกต้นขามาตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าลุงไซด์ไลน์เป็นท่าน
HR Director แล้ว
“คุณทูลองชิมผัดขี้เมาดูนะครับ
กุ้งเด้งสู้ฟันมาก”
“ขอบคุณครับ”
ผมยกมุมปากส่งยิ้มการค้าให้หนุ่มหน้าขาวที่เพิ่งตักกับข้าวให้แบบพอเป็นพิธี
“ถ้าอยากกินอะไรฝั่งนี้อีกบอกได้นะครับ
เดี๋ยวผมตักให้”
“ครับ ขอบคุณมากนะครับ”
ถ้าจำไม่ผิด เขาน่าจะเป็นยูสเซอร์ระบบ
FI ชื่อคุณไวท์
ผมนึกขอบคุณไวท์อยู่ในใจที่สามารถปาดหน้าเค้กไอ้พี่บูมแล้วแทรกตัวเข้ามานั่งประกบผมได้ทันการณ์
อย่างน้อย ๆ มื้อนี้ผมก็ไม่ต้องระวังศึกสองทางให้สติแตกไปเปล่า ๆ
ถึงอย่างนั้นช่วงเวลาแห่งความสงบสุขกลับสั้นใจหาย
ไม่ทันไร บทสนทนาบนโต๊ะอาหารหลังจากนั้นก็เชิญชวนให้ผมนึกอยากเอาหน้าจุ่มหม้อต้มยำแล้วปล่อยให้น้ำแกงสูงระดับอุ้งตีนหมาคร่าวิญญาณเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“คุณจี๊ดครับ”
คุณไวท์ละความสนใจจากผมหันไปยิงคำถามใส่รุ่นพี่ที่โดนตาลุงคาสโนว่าลากไปนั่งประดับบารมีตรงสุดปลายโต๊ะ
เดือดร้อนให้แกต้องชะโงกหน้ามองหาเจ้าของเสียงเรียกจนทั้งสองกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนไปในที่สุด
“คะ”
“มีอะไรเหรอไวท์
หรือคุณอยากสั่งอะไรเพิ่ม เดี๋ยวผมขอเมนูให้”
จะมีสักครั้งไหมที่คุณพันเลิศจะไม่อวดรวยโชว์หญิงจนน่าหมั่นไส้ ผมเห็นตั้งแต่นั่งกินข้าวด้วยกัน
พี่จี๊ดแกแอบกลอกตามองบนบ่อย ๆ จนผมกลัวใจว่าลูกตาดำแกจะผลุบหายเข้าก้านสมองไปเสียก่อน
“โห แค่นี้ก็แทบจะกินไม่หมดแล้วครับคุณเซ็น
ขืนสั่งมาเพิ่มอีก พวกเราคงได้กลิ้งกลับออฟฟิศกันพอดี”
“ฮ่า ๆๆ อ้าวเหรอ
แล้วเมื่อกี้ไวท์เรียกคุณจี๊ดทำไมล่ะ คุณมีอะไรกับคุณจี๊ดหรือเปล่า” ดูเหมือนว่าตาลุงหัวโต๊ะจะทนได้ยินใครขานชื่อลูกพี่ผมลอย
ๆ ไม่ได้ เพราะลงท้ายพ่อคุณเป็นต้องออกตัวล้อฟรีขอมีเอี่ยวไปเสียทุกรอบ
แต่คือลุงครับ
คุณไวท์เขาไม่ได้จะคุยกับลุงไง
“พอดีผมมีเรื่องอยากถามหัวหน้าทีมคอนซัลท์น่ะครับ”
ไวท์พูดแล้วก็เม้มปากเหลือบมองหน้าพี่จี๊ดแบบกล้า ๆ กลัว ๆ
ท่าทางเหมือนคนกำลังชั่งใจอย่างหนักของยูสเซอร์ FI ทำให้พี่จี๊ดไม่อาจเพิกเฉย “คุณไวท์อยากถามอะไรจี๊ดเหรอคะ”
“คุณถามได้ทุกเรื่องนะไวท์
แต่ได้ยินที่ผมบอกเมื่อกี้ใช่ไหมว่าตอนกินข้าว เราจะไม่คุยเรื่องงานกัน” โอ๊ยลุง ไม่ยุ่งสักเรื่องจะได้ไหม
คุณไวท์พยักหน้ารับรู้ก่อนเข้าประเด็น
“ คุณจี๊ดคิดยังไงกับความรักในที่ทำงานครับ”
“เอ่อ”
พี่จี๊ดดูอึ้งไป ในขณะที่อีตาคุณเซ็นทำตาวาวโรจน์ ก่อนจะนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คล้ายกับชอบใจคำถามที่เพิ่งได้ยินเอามาก
ๆ
“ว่าไงครับคุณจี๊ด”
“เรื่องนี้จี๊ดขอไม่ออกความเห็นได้ไหมคะ”
“นะครับ
นิดนึง”
อ้าวไวท์
ไม่กดดันพี่จี๊ดสิไวท์ กรุณาเหลือที่ให้เจ้านายผมยืนบ้าง
“ขอเวลาจี๊ดไปคิดคำตอบก่อนได้ไหมคะ
พอดีจี๊ดไม่ถนัดเรื่องนี้จริง ๆ ” พี่จี๊ดยิ้มเซียว ๆ เหตุที่แกดูกระอักกระอ่วน
ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นลูกค้าหรอก แต่นอกจากเรื่องงานแล้ว นายผมแทบไม่คุยเล่นเรื่อยเปื่อยแม้จะกับใครก็ตาม
“งั้นผมเปลี่ยนคำถามใหม่ก็ได้ครับ”
ผมล่ะอยากลากคอคุณพันเลิศไปถามตัวต่อตัวเสียจริง
ๆ ว่าก่อนมานี่ แกแอบติดสินบนลูกน้องไปเท่าไร ทำไมคุณไวท์ถึงกัดพี่จี๊ดไม่ปล่อยยิ่งกว่าหมาหวงกระดูก ผมเห็นท่าไม่ดีจึงกวาดตามองไปทั่วเพื่อหาตัวช่วยรุ่นพี่
แต่ทันทีที่เผลอสบตากับคนนั่งตรงข้าม ผมก็แสร้งดันกรอบแว่นขึ้นแล้วเสมองพื้นเพราะเข้าหน้าอีกฝ่ายไม่ติด
เอ่อ
พี่จี๊ดช่วยเหลือตัวเองไปก่อนนะครับ
“ทีมคุณจี๊ดนี่มีใครหัวใจยังว่างบ้างไหมครับ”
ผมว่าไม่ใช่แค่ไอ้ตัวหัวหน้าแล้วแหละที่กระเหี้ยนกระหือรือผิดปกติ
เพราะทันทีที่คุณไวท์ถามจบ ยูสเซอร์เกือบทั้งโต๊ะก็พากันเงี่ยหูรอฟังคำตอบโดยพร้อมเพรียง
นี่จ้องจะกินคอนซัลท์แทนขนมหวานล้างปากกันอยู่เหรอครับถึงได้ดูกระหายแรงเบอร์นี้
“ถ้าไม่นับคุณเตที่เพิ่งสละโสดไป
ที่เหลือก็น่าจะยังไม่มีแฟนนะคะ” พี่จี๊ดปรายตามองผมครู่หนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มปลอบขวัญอย่างรู้กัน
“งั้นคุณจี๊ดจะว่าอะไรไหมครับถ้าหลังจบโปรเจค
หนุ่มโสดสาวโสดทีมคุณจี๊ดจะมีแฟนกันหมด”
“ทำไมไวท์
คุณแอบชอบใครแถว ๆ นี้เหรอ” คุณพันเลิศแทรกขึ้นพร้อมกับส่งสายตามีเลศนัยให้พี่จี๊ด
ฝ่ายหัวหน้าผมคงมัวแต่โล่งอกที่ไม่ต้องตอบคำถามจนลืมรำคาญตาลุงข้าง ๆ ตัวไปเสียสนิท
“เปล่าครับ” พูดจบไวท์ก็ยิ้มอาย
ๆ แล้วชายตามองผมแปลก ๆ จนผมขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง... เดี๋ยวนะไวท์ นี่เพื่อนไง
เพื่อนกันกินกันเองไม่ได้หรอก มันผิดผี
“คุณเซ็นครับ”
อยู่ ๆ เสียงที่ผมไม่อยากได้ยินที่สุดก็ดังขึ้น แถมอีตาลุงหัวโต๊ะดันขานรับแฟนเก่าผมเสียอีก
“ว่าไงครับคุณปุริม”
คุณพันเลิศหรือคุณเซ็นสุดที่รักของเหล่าลูกน้องรวบช้อนแล้วเอนหลังพิงพนักอย่างสบายใจ
“ผมเองก็มีคำถามอยากจะถามคุณเซ็นเหมือนกันครับ”
ถึงผมจะยังไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของอดีตคนรักคืออะไร แต่พนันได้เลยว่าคนเห็นแก่ตัวอย่างพี่บูมไม่มีทางทำอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทนหรอก
“เอ้า เชิญ ๆ
คุณอยากถามอะไรก็เชิญได้เลยครับ ถ้าตอบได้ผมยินดีตอบ”
“แล้วถ้าบอสตอบไม่ได้ล่ะคะ”
นั่นเสียงคุณแก้ว เลขาส่วนตัวหมายเลขหนึ่งของตาลุงคาสโนว่าเขาล่ะ
“ก็ถ้าคำถามมันยากมาก
ๆ เดี๋ยวผมให้คุณหนาวไม่ก็คุณปิ๊กช่วยตอบแทนแล้วกัน สองคนนั้นเขาเด็กหน้าห้อง”
ท่าทางคนในบริษัทนี้จะสนิทสนมกลมเกลียวกันใช้ได้ เพราะกระทั่งคุณพันเลิศผู้เป็นเจ้าของยังพูดจาเล่นหัวกับลูกน้องอย่างไม่ถือตัวเลยสักนิด
“โห บอสกับคุณจงรักษ์เป็นเด็กเรียนเหรอคะ”
สิ้นเสียงโหวกเหวกของคุณโอ้เอ้ ยูสเซอร์หลักแผนก HR พนักงานคนอื่น ๆ ในโต๊ะก็พร้อมใจกันกวาดสายตาไปจับจ้องผู้ถูกพาดพิงทั้งสองอย่างวาดหวัง
ในขณะที่เจ้าของคำถามกลับแอบมองล้อเลียนคุณเซียงผู้เป็นรุ่นพี่ในทีมเดียวกันกับลุงไซด์ไลน์จนอีกฝ่ายหน้าแดง
อ่า คงไม่ใช่แค่ผมเสียแล้วล่ะที่ตกหลุมเสน่ห์ของพี่หนาวเข้าอย่างจัง
แต่ก่อนที่ท่าน
HR Director จะโต้ตอบ
อีตาลุงหัวโต๊ะก็จัดการปาดหน้าเค้กเสียเรียบแปล้ “เปล่า หนาวกับปิ๊กมันสายตาสั้น
ฮ่า ๆๆๆ ” หลังปล่อยมุกห้าบาทสิบบาทได้สมดังใจ เจ้าตัวก็ระเบิดหัวเราะอย่างอร่อยเอร็ดก่อนจะเปลี่ยนเป็นตีหน้าเคร่งขรึมเมื่อได้สติ
“โทษที สรุปเมื่อกี้คุณปุริมอยากจะถามอะไรผมนะครับ”
“ถ้าเกิดพวกผมแอบปลื้มลูกน้องคุณเซ็น
คุณเซ็นจะมีปัญหาไหมครับ”
“เฮ้ยคุณปุริม
นี่คุณแอบเล็งลูกน้องคนไหนของผมอยู่หรือเปล่าครับเนี่ย” แหม
ผมล่ะอยากเอาส้อมจิ้มตาพราวระยับของอีตาคุณพันเลิศเสียจริง ๆ ไอ้จิ้งจอกเฒ่าเอ๊ย
พอเห็นว่ามีประโยชน์ทับซ้อนเข้าหน่อยนี่กระดิกหางริก ๆ เชียวนะ
ว่าแต่ใครกัน คือ ‘พวกผม’ ที่ไอ้พี่บูมมันพาดพิง
ใช่พวกคอนซัลท์ของ
Smart หรือเปล่า
“มันก็ขึ้นอยู่กับคำตอบของคุณเซ็นนั่นแหละครับ”
แม้จะจงใจไม่มองหน้าแฟนเก่าเพราะนึกรังเกียจ แต่เท่าที่ดูจากสีหน้าแป้นแล้นของคุณพันเลิศแล้ว
ผมก็ชักใจไม่ดี
“หึ ๆๆ
ถ้างานไม่เสียผมก็ไม่มีปัญหา เพราะงั้นถ้าคุณชอบใคร นอกเวลางานคุณก็เดินหน้าจีบได้เลย
ผมสนับสนุนเต็มที่ ผมชอบให้คนรักกัน” โอ๊ย ผมล่ะอยากจะจับตาคุณพันเลิศมาเขย่า ๆ
แล้วตบเรียกสติเสียจริง ๆ แต่แล้วเสียงวี้ดว้ายชอบอกชอบใจที่ดังระงมทั่วไปทั้งโต๊ะก็ทำให้ผมเปลี่ยนใจในบัดดล
ผมว่าผมควรตบพนักงานบริษัทนี้เรียงตัวเลยดีกว่า
เผื่อว่าพอได้สติ พวกยูสเซอร์จะได้โฟกัสกับการทำงานมากกว่าเอาเวลาไปหมกมุ่นอยู่กับเรื่องรัก
ๆ ใคร่ ๆ จนไม่เป็นอันทำอะไรนอกจากอวดรวยเปย์หญิงไปวัน ๆ เหมือนท่านประธานหน้าม่อ
“แล้วนี่คุณจะบอกผมได้หรือยังว่าคุณแอบชอบใครอยู่”
คุณพันเลิศยิ้มมุมปากทำหน้าเจ้าเล่ห์ “คิดเสียว่าตอนนี้เรานั่งคุยกันแค่สองคนก็ได้
พวกลูกน้องผมเขาไม่เอาไปพูดที่ไหนหรอก ผมเทรนมาดี”
“หึ ๆๆ ไม่ใช่ผมหรอกครับ
ผมแค่ถามแทนคนอื่นในทีมเฉย ๆ ”
“อ้าวแล้วกัน
พูดแบบนี้คุณปุริมไม่กลัวสาว ๆ ทีมผมจะอกหักกันหมดเหรอครับ... ผมพูดถูกใช่ไหมคุณดาว”
พอถูกเรียกชื่อ
ยูสเซอร์ MM (ระบบการจัดการวัตถุดิบ)
ก็สะดุ้งสุดตัวก่อนจะหลับหูหลับตาตอบเสียงดังฟังชัด “ถูกค่ะ... เอ้ยบอส! บอสก็รู้ว่าหนูบ้าจี้ ยังจะแกล้งหนูอีก!” อาการขวยเขินจนหน้าแดงจัดของคุณดาวเรียกเสียงหัวเราะของทุก
ๆ คนได้ชะงัด แต่แทนที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา อีตาคุณพันเลิศกลับลากทุกคนกลับเข้าสู่วังวนอันตรายอีกจนได้
“ใจคอคุณปุริมจะไม่ใบ้หน่อยเหรอครับว่าเพื่อนคุณที่ว่าน่ะคนไหน”
“จะดีเหรอครับ”
อยู่ ๆ ผมก็รู้สึกถึงน้ำหนักสายตาที่ทอดเหนือร่าง ไอ้พี่บูมมันกำลังจ้องผมอย่างเอาเป็นเอาตาย
เป็นบ้าอะไร จะมองทำไมนักหนา
หรือว่า คนที่มันกำลังพูดถึงจะเป็นผม?!
อารามตกใจ
ผมจึงหันไปถลึงตาจ้องหน้าท่าน HR Director เพื่อส่งสัญญาณเตือนแก่ผู้ร่วมประสบภัย
แต่อีกฝ่ายกลับนั่งก้มหน้าก้มตาไถมือถืออย่างไม่เดือดร้อน โอ๊ยพ่อฤาษี ออกจากฌานทีเถอะ
อย่างน้อย ๆ มาช่วยเบรคหัวหน้าตัวเองสักนิดก็ยังดี
“ดีสิครับ” ปฏิกิริยาตอบสนองของคุณคิมหันต์นั้นไม่มี
แต่ของคุณพันเลิศกลับเข้าขั้นดีเยี่ยม
“อย่าเลยครับ ผมกลัวว่าถ้าผมบอกไปจะทำให้ทุกคนตกใจเปล่า
ๆ อีกอย่างผมกับเขาก็ไม่เชิงเป็นเพื่อนกันเสียทีเดียว” ไอ้พี่บูมแสยะยิ้มพลางปรายตามองเยาะ
แม้จะโกรธจนตัวสั่น แต่การร้อนตัวตอบโต้เท่ากับยืดอกรับคำครหาโต้ง ๆ ผมจึงนั่งหลับตาสูดลมหายใจเข้าสุดปอดพลางภาวนาให้อดีตคนรักรู้จักแยกแยะเรื่องส่วนตัวออกจากงานได้ เพราะอนาคตของบริษัทพี่จี๊ดฝากไว้กับโปรเจคนี้อย่างแท้จริง แต่ก็นั่นแหละ ลองว่าอีกฝ่ายทำร้ายจิตใจคนที่จงรักภักดีกับมันมาตลอดสามปีได้อย่างเลือดเย็น ก็อย่าหวังให้ยากเลยว่ามันจะเห็นหัวคนอื่นมากไปกว่าความสะใจของตัวเอง
“เอาล่ะครับ ในเมื่อคุณเซ็นอยากรู้
ผมจะบอกใบ้ให้นิดนึงก็ได้ว่าจริง ๆ แล้ว คอนซัลท์คนนี้ไม่ได้แค่แอบปลื้มลูกน้องของคุณเซ็นหรอกครับ
แต่เขาน่ะคบหากันเป็นแฟนแบบลับ ๆ มาได้สักพักแล้วต่างหาก”
“หา จริงเหรอครับ” คำพูดพล่อย ๆ เพียงประโยคเดียวทำให้บรรดาผู้ร่วมโต๊ะอาหารส่วนใหญ่แอบสอดส่ายสายตามองหาคนหลุกหลิกจนผิดสังเกต
ทำยังไงดี? ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี?
หรือการจุ่มหน้าลงหม้อต้มยำจะเป็นทางออกเดียวที่เหลืออยู่จริง
ๆ ?
“แต่ถ้าให้ผมพูดแทนพวกเขามันคงดูน่าเกลียด ทำไมคุณพันเลิศไม่ลองถามเจ้าตัวเอาเองล่ะครับ...
จริงไหมครับคุณคิมหันต์ คุณทิวัตถ์” ผมคงมัวแต่มโนสภาพศพตัวเองหลังโดนข่า
ตะไคร้ ใบมะกรูดจะอุดจมูกจนขาดใจตาย จึงเพิ่งสำนึกรู้ตัวเอาตอนนี้ว่าอดีตคนรักได้ทำเรื่องเลวร้ายที่สุดลงไปเสียแล้ว
หลังจากไอ้พี่บูมพูดจบ ยูสเซอร์บางส่วนออกอาการช็อกจนหน้าถอดสี
ส่วนบางคนก็หันไปมองหน้าคุณคิ้มหันต์สลับกับผมพลางอ้าปากพะงาบ ๆ เหมือนรับไม่ได้ ในขณะที่ผมเองก็พยายามเอ่ยคำขอโทษลุงไซด์ไลน์ผ่านดวงตาแม้ในใจจะอยากระเบิดดตัวตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด
และแล้วก็เป็นคุณพันเลิศที่ถามแทนใจใครหลาย
ๆ คน “จริงเหรอวะหนาว มึงกับคุณทูคบกันอยู่จริง ๆ น่ะเหรอ”
ผมนั่งก้มหน้าพยายามปลุกปลอบตัวเองไม่ให้สั่น
แต่ความอดสูที่เอ่อท้นในใจกลับทำให้ขอบตาผมร้อนผ่าว
เป็นเพราะผมแท้ ๆ พี่หนาวเลยพลอยตกที่นั่งลำบากไปด้วย
ทว่าในความละอายนั้นเอง ผมกลับไม่อยากให้อีกฝ่ายยอมรับทุก ๆ คำกล่าว เพราะหากเขาปฏิเสธ
ความฉิบหายในรูปแฟนเก่าจะกลับเข้ามาครอบงำชีวิตผมในบัดดล
แต่ไม่ว่าสุดท้ายเขาจะกลายเป็นอีกคนที่ฉีกหน้าผมจนไม่เหลือชิ้นดี
ผมก็ว่ามันแฟร์แหละ
ก็แหม... โดนหาว่าเป็นเกย์ต่อหน้าลูกน้องเป็นสิบ
ใครไม่โกรธก็บ้าแล้ว
“ผมไม่จำเป็นต้องรายงานความสัมพันธ์ของผมกับคนอื่น” แทนที่จะหันไปตอบคำถามตาลุงหัวโต๊ะ
HR Director กลับผินหน้ามองอดีตคนรักของผมอย่างจงใจ ก่อนจะตัดบทด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“ผมอิ่มแล้ว ขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะครับ” สิ้นเสียง ลุงไซด์ไลน์ก็เดินตัวปลิวจากไปโดยไม่รั้งรอ
โอ้โห ฉากจบเฉียบมาก เฉียบจนผมอยากจะร้องไห้...
ฮือ แล้วผมล่ะ ผมจะเอาตัวรอดยังไงดี?
“เฮ่ยไอ้หนาว เดี๋ยวดิวะ กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”
“เอ่อ คุณเซ็นคะ ถ้าคุณเซ็นไม่ว่าอะไร พวกเราขอตัวก่อนนะคะ
พอดีติดรถคุณหนาวมา เดี๋ยวจะไม่มีรถกลับออฟฟิศ” คุณมิ้มหัวโจกทีมยูสเซอร์ HR
เป็นคนแรกที่ไหวตัวได้ ก่อนที่คุณเซียงกับคุณโอ้เอ้จะกุลีกุจอหยิบข้าวของติดมือแล้ววิ่งกระหืดกระหอบตามหลังคุณมิ้มไปอย่างรวดเร็ว
“พี่มิ้มรอพวกหนูด้วย”
“อ้าวเฮ่ย ดูสิ อยู่เฉย ๆ ก็ยกขบวนกลับกันทั้งแผนก” คุณพันเลิศบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะหันไปถามความเห็นของผู้รอดชีวิตที่เหลือ
“แล้วอย่างนี้พวกเราจะเอาไงกันต่อ กลับกันเลยไหม”
“กลับเลยก็ดีค่ะ จี๊ดอยากไปทำงานแล้ว”
“ครับ ๆ กลับเลยก็ได้ครับ” ในเมื่อผู้หญิงที่ท่านประธานหมายตามีบัญชาเช่นนี้
มีหรือที่ใครจะกล้าขัดใจ แต่ผมรู้ว่าที่หัวหน้าชิงแสดงความเห็นแบบทันควันเพราะแกคงอยากกลับไปสังคายนาปัญหาระหว่างผมกับไอ้พี่บูมให้จบสิ้นกันเสียที
••••••
“มันเป็นอะไรมากไหมครับหมอ” ทันทีที่นายสัตวแพทย์ละมือจากก้อนสีดำบนโต๊ะตรวจ
คเชนทร์ก็ถามไถ่อย่างเป็นกังวล
“เท่าที่ตรวจดู
ผมคิดว่าก่อนหน้านี้แมวคุณอาจไปกินอะไรที่ไม่สะอาด ร่างกายเลยรับเชื้อแบคทีเรียเข้าไป
เดี๋ยวผมจะฉีดยาฆ่าเชื้อให้ก่อนแล้วกลับไปดูอาการที่บ้านสักสามวัน ถ้าเป็นแบคทีเรียธรรมดาแมวคุณก็จะอาการดีขึ้นตามลำดับเองครับ”
แม้ใจอยากจะแย้งหมอว่าเจ้าแมวหน้ากากตาขวางที่แรกตนเผลอเข้าใจว่าตัวสีดำปลอดตัวนี้ไม่ใช่สมบัติส่วนตัว
แต่อากัปกิริยาพร้อมส่งแขกอย่างโจ่งแจ้งของนายสัตวแพทย์นั่นแหละที่ทำให้คเชนทร์ไพล่คิดถึงเรื่องสำคัญกว่าทันที
“เอ่อ หมอครับ คือ ผมขอฝากแมวไว้ก่อนได้ไหมครับ เดี๋ยวอีกสักพักผมค่อยมารับ”
ชายหนุ่มอ้อมแอ้ม
“ฝากแมว?” แพทย์เจ้าของไข้เลิกคิ้วมองเจ้าของแมวงง
ๆ
“...คือ... ตอนนั้นผมตกใจกลัวมันจะตาย เลยลืมกระเป๋าตังค์ทิ้งไว้ที่บ้าน”
หลังจากคเชนทร์บุ้ยใบ้ไปที่ตัวต้นเรื่อง เจ้าเหมียวหน้าแปลกก็ร้อง ‘แง้ว’ เบา ๆ คล้ายกำลังยืดอกรับผิด
ท่าทางเกรงอกเกรงใจระคนเป็นห่วงสัตว์เลี้ยงจากใจจริงทำให้นายสัตวแพทย์อดเอ็นดูเจ้าของแมวหน้ากากไม่ได้
“เอาอย่างนี้แล้วกันครับ เดี๋ยวผมขับรถไปส่งคุณกับแมวที่บ้าน แล้วคุณค่อยจ่ายเงินผมตอนนั้นก็ได้ครับ”
“อย่าเลยครับหมอ ผมไปเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวก็มา
สัญญาเลยครับว่าจะกลับมารับมันจริง ๆ ไม่เบี้ยวแน่นอน”
ว่าที่เจ้าของร้านดอกไม้ปฏิเสธเป็นพัลวัน
“ผมเชื่อครับ แต่ผมกำลังจะออกเวร เห็นเมื่อกี้คุณบอกว่าบ้านคุณอยู่แถวตลาดใช่ไหมครับ
เดี๋ยวผมก็จะขับผ่านทางนั้นเหมือนกัน เพราะงั้นคุณก็กลับไปพร้อมผมนี่แหละ ขากลับคุณจะได้ไม่ต้องอุ้มแมวขึ้นแท็กซี่คนเดียว”
.
.
.
.
“ขอบคุณมากนะครับหมอ จริง ๆ หมอไม่น่าต้องลำบากเลย” ครึ่งชั่วโมงให้หลัง
คเชนทร์ก็เดินออกมาส่งนายสัตวแพทย์ตรงลานจอดรถเอกชนที่อยู่ใกล้ ๆ
เหตุที่ชายหนุ่มจำใจพึ่งพาอีกฝ่ายใช่เพราะเกิดจนคำพูดต่อรองเอาดื้อ
ๆ หากแต่เพราะทันทีที่เจ้าหน้าที่ธุรการประจำคลินิกจัดการเอกสารการเงินแล้วเสร็จ
นายสัตวแพทย์ก็รวบรัดจ่ายเงินแทนคเชนทร์ หนำซ้ำยังขันอาสาอุ้มผู้ป่วยนำหน้าเจ้าของแมวไปที่รถตัวเองโดยไม่ถามไถ่
“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี ถ้าอาการน้องยังไม่ดีขึ้น
โทรหาผมได้ตลอดเวลานะครับ” ไม่ทันขาดคำ เจ้าของประโยคก็ยื่นนามบัตรส่งให้พร้อมรอยยิ้มแฝงความนัย
คงจะจริงที่ผีมักจะมองเห็นผีด้วยกัน เพราะคเชนทร์รู้เท่าทันว่าเบื้องหลังน้ำใจไมตรีกับสีหน้ากรุ้มกริ่มของนายสัตวแพทย์นั้นซุกซ่อนอะไรเอาไว้
ซึ่งแม้เขาจะไม่ได้คิดเลยเถิดกับอีกฝ่ายเกินไปกว่าสัตวแพทย์เจ้าของไข้กับเจ้าของแมว
(จำเป็น) แต่ประสบการณ์อันโชกโชนในแวดวงนางโชว์กว่ายี่สิบห้าปีทำให้คเชนทร์ยินดีรับนามบัตรใบนั้นเก็บไว้เพราะไม่อยากตัดรอนอีกฝ่ายแบบซึ่งหน้า
“ขอบคุณมากนะครับ”
ตราบใดที่เจ้าแมวยังอยู่รอดปลอดภัย ว่าที่เจ้าของร้านดอกไม้ก็ตั้งใจเป็นแม่นมั่นว่าตนจะไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้เริ่มต้นสานสัมพันธ์
ด้วยชายหนุ่มปักใจเชื่อว่ารักแท้และรักเดียวไม่มีวันเกิดขึ้นกับกะเทยหลบในวัยสี่สิบสองอย่างเขาแน่นอน
••• TBC •••
นี่ก็ตอนสามเข้าไปแล้ว
เริ่มมีใครเห็นเค้าลางความรักของลุงไซด์ไลน์กับนายทูบ้างยังคะ (ทุกคนเงียบกริบ
5555)
สารภาพเลยว่าเนื้อหาในตอนนี้นี่แหละค่ะคือที่มาของชื่อนิยาย
แต่ถึงพวกเราจะรู้จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของลุงกับทูแล้วก็ตาม
ความวายป่วงทั้งหลายก็ยังมีให้รออ่านอีกเป็นกระบุงโกยเลยนะคะ
ติดตามกันไปเรื่อย ๆ
น้า และถ้าชอบไม่ชอบยังไง
อย่าลืมเม้นท์หรือหวีดในทวิตแล้วติดแท็ก
#ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก ด้วยนะคะ ^^