Monday, January 29, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#03|| 29.01.2018

#03

อยากจะคุยยังไม่กล้าเลย ขนาดเราเคยเป็นเสือปืนไว
แต่กับคนนี้ไม่รู้เป็นไง เจอะทีไรกลับเกร็งจนชา
เจอะเธอกี่ครั้งก็ยังปอด ๆ คิดแล้วมันปอด ๆ ต้องถอยทุกครั้งเลย
เจอกี่ครั้งไม่วายปอด ๆ คิดว่าคงจะจอดงานนี้แน่ ๆ เลย
ปอด ปอด - Boyscout

…………………………………………………………………………………………………………


ตำแหน่งของผมคือที่ปรึกษาด้านระบบงานบุคคล หรือที่เรียกกันติดปากด้วยคำทับศัพท์ว่า ‘HR คอนซัลท์
หน้าที่หลักตามธรรมชาติของคอนซัลท์ในสายงานนี้ คือ การบริการให้คำปรึกษา แนะนำ ออกแบบระบบจัดเก็บข้อมูลเพื่อออกรายงานสำคัญ ๆ และอำนวยความสะดวกในการทำงานให้แก่ลูกค้า (หรือที่เรียกง่าย ๆ อีกเหมือนกันว่า ยูสเซอร์) ตามแต่รายละเอียดการว่าจ้างภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนด

เมื่อสืบสาววงจรชีวิตของคอนซัลท์ให้ลึกลงไป จะพบว่า ทันทีที่โปรเจคเริ่มต้นขึ้น บรรดาคอนซัลท์ผู้มีผลงานเข้าตา PM (Project Manager หรือ ผู้จัดการโครงการ) ก็จะพากันอพยพถิ่นฐานไปตั้งรกรากชั่วคราวตามทำเลต่าง ๆ ที่ลูกค้าเห็นชอบ

สำหรับโปรเจคล่าสุดที่พี่จี๊ดแกไปฉกมาได้หมาด ๆ นี้ สถานที่สิงสถิตแห่งใหม่ของพวกเราเหล่าคอนซัลท์ คือ ออฟฟิศหน้าตาทันสมัยสุดไฉไลบนชั้นแปดและเก้าของตึกสำนักงานกลางย่านธุรกิจที่ค่าเช่าแพงเสียจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่า กำไรปี ๆ นึงของบริษัทผลิตเครื่องดื่มชูกำลังน้องใหม่มันดีขนาดนี้เชียวหรือ

ไม่แปลกหากในวันแรกของโปรเจค สิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ จะทำให้อะไร ๆ ไม่เป็นใจนัก

เป็นต้นว่า...

การที่ลุงไซด์ไลน์ ผู้มีชื่อเล่นว่าหนาว และชื่อจริงว่าคิมหันต์ที่เคยถูกผมอ้อยใส่จัง ๆ เมื่อวานซืนคนนั้นจะกลายเป็น HR Director ผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการเซ็นอนุมัติเอกสารส่งมอบต่าง ๆ ที่ทีมผมจัดทำ ซึ่งในตอนนี้ ท่านผู้อำนวยการฝ่ายบุคคลก็กำลังนั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตรงข้ามผมโดยมีหม้อต้มยำกับปลากะพงทอดน้ำปลากั้นกลาง

“คุณหนาวคะ ปลาสำลีเผาค่ะ”
“ขอบคุณครับคุณมิ้ม”
“บอสทานเยอะ ๆ นะคะ พักนี้บอสดูซูบ ๆ ”
“แหมพี่เซียง พี่เซียงเป็นห่วงบอสก็ยอมรับมาเหอะ”
“บ้าเหรอเอ้! พูดอะไรก็ไม่รู้ เพ้อเจ้อ”
“แน่ะ ทำซึนเนาะคนเรา”

ลำพังจับพลัดจับผลูต้องมาทำงานขึ้นตรงกับลุงไซด์ไลน์คงยังเศร้าชีวิตไม่พอ เพราะทันทีที่ประชุมเสร็จ อีตาเจ้าของโปรเจคก็ดันเสนอหน้าขอเลี้ยงข้าวกลางวันผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนโดยอ้างว่าเป็นกิจกรรมละลายพฤติกรรมแบบซอฟท์ ๆ ไปอีก

ซอฟท์กับผีสิ!
ใครไม่เป็นผมไม่มีวันรู้หรอกว่าที่เห็นยังชูคอนั่งยิ้มอยู่ได้ไม่ใช่เพราะไม่รู้สึกรู้สา แต่ที่จริงแล้วคือเกร็งมาก เกร็งจนแอบจิกต้นขามาตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าลุงไซด์ไลน์เป็นท่าน HR Director แล้ว

“คุณทูลองชิมผัดขี้เมาดูนะครับ กุ้งเด้งสู้ฟันมาก”

“ขอบคุณครับ” ผมยกมุมปากส่งยิ้มการค้าให้หนุ่มหน้าขาวที่เพิ่งตักกับข้าวให้แบบพอเป็นพิธี

“ถ้าอยากกินอะไรฝั่งนี้อีกบอกได้นะครับ เดี๋ยวผมตักให้”

“ครับ ขอบคุณมากนะครับ”

ถ้าจำไม่ผิด เขาน่าจะเป็นยูสเซอร์ระบบ FI ชื่อคุณไวท์ ผมนึกขอบคุณไวท์อยู่ในใจที่สามารถปาดหน้าเค้กไอ้พี่บูมแล้วแทรกตัวเข้ามานั่งประกบผมได้ทันการณ์ อย่างน้อย ๆ มื้อนี้ผมก็ไม่ต้องระวังศึกสองทางให้สติแตกไปเปล่า ๆ

ถึงอย่างนั้นช่วงเวลาแห่งความสงบสุขกลับสั้นใจหาย ไม่ทันไร บทสนทนาบนโต๊ะอาหารหลังจากนั้นก็เชิญชวนให้ผมนึกอยากเอาหน้าจุ่มหม้อต้มยำแล้วปล่อยให้น้ำแกงสูงระดับอุ้งตีนหมาคร่าวิญญาณเสียให้รู้แล้วรู้รอด

“คุณจี๊ดครับ” คุณไวท์ละความสนใจจากผมหันไปยิงคำถามใส่รุ่นพี่ที่โดนตาลุงคาสโนว่าลากไปนั่งประดับบารมีตรงสุดปลายโต๊ะ เดือดร้อนให้แกต้องชะโงกหน้ามองหาเจ้าของเสียงเรียกจนทั้งสองกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนไปในที่สุด

“คะ”

“มีอะไรเหรอไวท์ หรือคุณอยากสั่งอะไรเพิ่ม เดี๋ยวผมขอเมนูให้” จะมีสักครั้งไหมที่คุณพันเลิศจะไม่อวดรวยโชว์หญิงจนน่าหมั่นไส้ ผมเห็นตั้งแต่นั่งกินข้าวด้วยกัน พี่จี๊ดแกแอบกลอกตามองบนบ่อย ๆ จนผมกลัวใจว่าลูกตาดำแกจะผลุบหายเข้าก้านสมองไปเสียก่อน

“โห แค่นี้ก็แทบจะกินไม่หมดแล้วครับคุณเซ็น ขืนสั่งมาเพิ่มอีก พวกเราคงได้กลิ้งกลับออฟฟิศกันพอดี”

“ฮ่า ๆๆ อ้าวเหรอ แล้วเมื่อกี้ไวท์เรียกคุณจี๊ดทำไมล่ะ คุณมีอะไรกับคุณจี๊ดหรือเปล่า” ดูเหมือนว่าตาลุงหัวโต๊ะจะทนได้ยินใครขานชื่อลูกพี่ผมลอย ๆ ไม่ได้ เพราะลงท้ายพ่อคุณเป็นต้องออกตัวล้อฟรีขอมีเอี่ยวไปเสียทุกรอบ

แต่คือลุงครับ คุณไวท์เขาไม่ได้จะคุยกับลุงไง

“พอดีผมมีเรื่องอยากถามหัวหน้าทีมคอนซัลท์น่ะครับ” ไวท์พูดแล้วก็เม้มปากเหลือบมองหน้าพี่จี๊ดแบบกล้า ๆ กลัว ๆ

ท่าทางเหมือนคนกำลังชั่งใจอย่างหนักของยูสเซอร์
FI ทำให้พี่จี๊ดไม่อาจเพิกเฉย “คุณไวท์อยากถามอะไรจี๊ดเหรอคะ”

“คุณถามได้ทุกเรื่องนะไวท์ แต่ได้ยินที่ผมบอกเมื่อกี้ใช่ไหมว่าตอนกินข้าว เราจะไม่คุยเรื่องงานกัน” โอ๊ยลุง ไม่ยุ่งสักเรื่องจะได้ไหม

คุณไวท์พยักหน้ารับรู้ก่อนเข้าประเด็น “ คุณจี๊ดคิดยังไงกับความรักในที่ทำงานครับ”

“เอ่อ” พี่จี๊ดดูอึ้งไป ในขณะที่อีตาคุณเซ็นทำตาวาวโรจน์ ก่อนจะนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คล้ายกับชอบใจคำถามที่เพิ่งได้ยินเอามาก ๆ

“ว่าไงครับคุณจี๊ด”    

“เรื่องนี้จี๊ดขอไม่ออกความเห็นได้ไหมคะ”

“นะครับ นิดนึง”

อ้าวไวท์ ไม่กดดันพี่จี๊ดสิไวท์ กรุณาเหลือที่ให้เจ้านายผมยืนบ้าง

“ขอเวลาจี๊ดไปคิดคำตอบก่อนได้ไหมคะ พอดีจี๊ดไม่ถนัดเรื่องนี้จริง ๆ ” พี่จี๊ดยิ้มเซียว ๆ เหตุที่แกดูกระอักกระอ่วน ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นลูกค้าหรอก แต่นอกจากเรื่องงานแล้ว นายผมแทบไม่คุยเล่นเรื่อยเปื่อยแม้จะกับใครก็ตาม

“งั้นผมเปลี่ยนคำถามใหม่ก็ได้ครับ”

ผมล่ะอยากลากคอคุณพันเลิศไปถามตัวต่อตัวเสียจริง ๆ ว่าก่อนมานี่ แกแอบติดสินบนลูกน้องไปเท่าไร ทำไมคุณไวท์ถึงกัดพี่จี๊ดไม่ปล่อยยิ่งกว่าหมาหวงกระดูก ผมเห็นท่าไม่ดีจึงกวาดตามองไปทั่วเพื่อหาตัวช่วยรุ่นพี่ แต่ทันทีที่เผลอสบตากับคนนั่งตรงข้าม ผมก็แสร้งดันกรอบแว่นขึ้นแล้วเสมองพื้นเพราะเข้าหน้าอีกฝ่ายไม่ติด

เอ่อ พี่จี๊ดช่วยเหลือตัวเองไปก่อนนะครับ

“ทีมคุณจี๊ดนี่มีใครหัวใจยังว่างบ้างไหมครับ”

ผมว่าไม่ใช่แค่ไอ้ตัวหัวหน้าแล้วแหละที่กระเหี้ยนกระหือรือผิดปกติ เพราะทันทีที่คุณไวท์ถามจบ ยูสเซอร์เกือบทั้งโต๊ะก็พากันเงี่ยหูรอฟังคำตอบโดยพร้อมเพรียง นี่จ้องจะกินคอนซัลท์แทนขนมหวานล้างปากกันอยู่เหรอครับถึงได้ดูกระหายแรงเบอร์นี้

“ถ้าไม่นับคุณเตที่เพิ่งสละโสดไป ที่เหลือก็น่าจะยังไม่มีแฟนนะคะ” พี่จี๊ดปรายตามองผมครู่หนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มปลอบขวัญอย่างรู้กัน  

“งั้นคุณจี๊ดจะว่าอะไรไหมครับถ้าหลังจบโปรเจค หนุ่มโสดสาวโสดทีมคุณจี๊ดจะมีแฟนกันหมด”

“ทำไมไวท์ คุณแอบชอบใครแถว ๆ นี้เหรอ” คุณพันเลิศแทรกขึ้นพร้อมกับส่งสายตามีเลศนัยให้พี่จี๊ด ฝ่ายหัวหน้าผมคงมัวแต่โล่งอกที่ไม่ต้องตอบคำถามจนลืมรำคาญตาลุงข้าง ๆ ตัวไปเสียสนิท

“เปล่าครับ” พูดจบไวท์ก็ยิ้มอาย ๆ แล้วชายตามองผมแปลก ๆ จนผมขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง... เดี๋ยวนะไวท์ นี่เพื่อนไง เพื่อนกันกินกันเองไม่ได้หรอก มันผิดผี

“คุณเซ็นครับ” อยู่ ๆ เสียงที่ผมไม่อยากได้ยินที่สุดก็ดังขึ้น แถมอีตาลุงหัวโต๊ะดันขานรับแฟนเก่าผมเสียอีก

“ว่าไงครับคุณปุริม” คุณพันเลิศหรือคุณเซ็นสุดที่รักของเหล่าลูกน้องรวบช้อนแล้วเอนหลังพิงพนักอย่างสบายใจ

“ผมเองก็มีคำถามอยากจะถามคุณเซ็นเหมือนกันครับ” ถึงผมจะยังไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของอดีตคนรักคืออะไร แต่พนันได้เลยว่าคนเห็นแก่ตัวอย่างพี่บูมไม่มีทางทำอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทนหรอก

“เอ้า เชิญ ๆ คุณอยากถามอะไรก็เชิญได้เลยครับ ถ้าตอบได้ผมยินดีตอบ”

“แล้วถ้าบอสตอบไม่ได้ล่ะคะ” นั่นเสียงคุณแก้ว เลขาส่วนตัวหมายเลขหนึ่งของตาลุงคาสโนว่าเขาล่ะ

“ก็ถ้าคำถามมันยากมาก ๆ เดี๋ยวผมให้คุณหนาวไม่ก็คุณปิ๊กช่วยตอบแทนแล้วกัน สองคนนั้นเขาเด็กหน้าห้อง” ท่าทางคนในบริษัทนี้จะสนิทสนมกลมเกลียวกันใช้ได้ เพราะกระทั่งคุณพันเลิศผู้เป็นเจ้าของยังพูดจาเล่นหัวกับลูกน้องอย่างไม่ถือตัวเลยสักนิด

“โห บอสกับคุณจงรักษ์เป็นเด็กเรียนเหรอคะ” สิ้นเสียงโหวกเหวกของคุณโอ้เอ้ ยูสเซอร์หลักแผนก HR พนักงานคนอื่น ๆ ในโต๊ะก็พร้อมใจกันกวาดสายตาไปจับจ้องผู้ถูกพาดพิงทั้งสองอย่างวาดหวัง ในขณะที่เจ้าของคำถามกลับแอบมองล้อเลียนคุณเซียงผู้เป็นรุ่นพี่ในทีมเดียวกันกับลุงไซด์ไลน์จนอีกฝ่ายหน้าแดง

อ่า คงไม่ใช่แค่ผมเสียแล้วล่ะที่ตกหลุมเสน่ห์ของพี่หนาวเข้าอย่างจัง

แต่ก่อนที่ท่าน HR Director จะโต้ตอบ อีตาลุงหัวโต๊ะก็จัดการปาดหน้าเค้กเสียเรียบแปล้ “เปล่า หนาวกับปิ๊กมันสายตาสั้น ฮ่า ๆๆๆ ” หลังปล่อยมุกห้าบาทสิบบาทได้สมดังใจ เจ้าตัวก็ระเบิดหัวเราะอย่างอร่อยเอร็ดก่อนจะเปลี่ยนเป็นตีหน้าเคร่งขรึมเมื่อได้สติ “โทษที สรุปเมื่อกี้คุณปุริมอยากจะถามอะไรผมนะครับ”  

“ถ้าเกิดพวกผมแอบปลื้มลูกน้องคุณเซ็น คุณเซ็นจะมีปัญหาไหมครับ”

“เฮ้ยคุณปุริม นี่คุณแอบเล็งลูกน้องคนไหนของผมอยู่หรือเปล่าครับเนี่ย” แหม ผมล่ะอยากเอาส้อมจิ้มตาพราวระยับของอีตาคุณพันเลิศเสียจริง ๆ ไอ้จิ้งจอกเฒ่าเอ๊ย พอเห็นว่ามีประโยชน์ทับซ้อนเข้าหน่อยนี่กระดิกหางริก ๆ เชียวนะ

ว่าแต่ใครกัน คือพวกผม ที่ไอ้พี่บูมมันพาดพิง
ใช่พวกคอนซัลท์ของ Smart หรือเปล่า 

“มันก็ขึ้นอยู่กับคำตอบของคุณเซ็นนั่นแหละครับ” แม้จะจงใจไม่มองหน้าแฟนเก่าเพราะนึกรังเกียจ แต่เท่าที่ดูจากสีหน้าแป้นแล้นของคุณพันเลิศแล้ว ผมก็ชักใจไม่ดี

“หึ ๆๆ ถ้างานไม่เสียผมก็ไม่มีปัญหา เพราะงั้นถ้าคุณชอบใคร นอกเวลางานคุณก็เดินหน้าจีบได้เลย ผมสนับสนุนเต็มที่ ผมชอบให้คนรักกัน” โอ๊ย ผมล่ะอยากจะจับตาคุณพันเลิศมาเขย่า ๆ แล้วตบเรียกสติเสียจริง ๆ แต่แล้วเสียงวี้ดว้ายชอบอกชอบใจที่ดังระงมทั่วไปทั้งโต๊ะก็ทำให้ผมเปลี่ยนใจในบัดดล

ผมว่าผมควรตบพนักงานบริษัทนี้เรียงตัวเลยดีกว่า เผื่อว่าพอได้สติ พวกยูสเซอร์จะได้โฟกัสกับการทำงานมากกว่าเอาเวลาไปหมกมุ่นอยู่กับเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ จนไม่เป็นอันทำอะไรนอกจากอวดรวยเปย์หญิงไปวัน ๆ เหมือนท่านประธานหน้าม่อ

“แล้วนี่คุณจะบอกผมได้หรือยังว่าคุณแอบชอบใครอยู่” คุณพันเลิศยิ้มมุมปากทำหน้าเจ้าเล่ห์ “คิดเสียว่าตอนนี้เรานั่งคุยกันแค่สองคนก็ได้ พวกลูกน้องผมเขาไม่เอาไปพูดที่ไหนหรอก ผมเทรนมาดี” 

“หึ ๆๆ ไม่ใช่ผมหรอกครับ ผมแค่ถามแทนคนอื่นในทีมเฉย ๆ ”

“อ้าวแล้วกัน พูดแบบนี้คุณปุริมไม่กลัวสาว ๆ ทีมผมจะอกหักกันหมดเหรอครับ... ผมพูดถูกใช่ไหมคุณดาว”

พอถูกเรียกชื่อ ยูสเซอร์ MM (ระบบการจัดการวัตถุดิบ) ก็สะดุ้งสุดตัวก่อนจะหลับหูหลับตาตอบเสียงดังฟังชัด  “ถูกค่ะ... เอ้ยบอส! บอสก็รู้ว่าหนูบ้าจี้ ยังจะแกล้งหนูอีก!” อาการขวยเขินจนหน้าแดงจัดของคุณดาวเรียกเสียงหัวเราะของทุก ๆ คนได้ชะงัด แต่แทนที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา อีตาคุณพันเลิศกลับลากทุกคนกลับเข้าสู่วังวนอันตรายอีกจนได้

“ใจคอคุณปุริมจะไม่ใบ้หน่อยเหรอครับว่าเพื่อนคุณที่ว่าน่ะคนไหน”   

“จะดีเหรอครับ” อยู่ ๆ ผมก็รู้สึกถึงน้ำหนักสายตาที่ทอดเหนือร่าง ไอ้พี่บูมมันกำลังจ้องผมอย่างเอาเป็นเอาตาย  เป็นบ้าอะไร จะมองทำไมนักหนา  

หรือว่า คนที่มันกำลังพูดถึงจะเป็นผม?!  

อารามตกใจ ผมจึงหันไปถลึงตาจ้องหน้าท่าน HR Director เพื่อส่งสัญญาณเตือนแก่ผู้ร่วมประสบภัย แต่อีกฝ่ายกลับนั่งก้มหน้าก้มตาไถมือถืออย่างไม่เดือดร้อน โอ๊ยพ่อฤาษี ออกจากฌานทีเถอะ อย่างน้อย ๆ มาช่วยเบรคหัวหน้าตัวเองสักนิดก็ยังดี

“ดีสิครับ” ปฏิกิริยาตอบสนองของคุณคิมหันต์นั้นไม่มี แต่ของคุณพันเลิศกลับเข้าขั้นดีเยี่ยม  

อย่าเลยครับ ผมกลัวว่าถ้าผมบอกไปจะทำให้ทุกคนตกใจเปล่า ๆ อีกอย่างผมกับเขาก็ไม่เชิงเป็นเพื่อนกันเสียทีเดียวไอ้พี่บูมแสยะยิ้มพลางปรายตามองเยาะ

แม้จะโกรธจนตัวสั่น แต่การร้อนตัวตอบโต้เท่ากับยืดอกรับคำครหาโต้ง ๆ ผมจึงนั่งหลับตาสูดลมหายใจเข้าสุดปอดพลางภาวนาให้อดีตคนรักรู้จักแยกแยะเรื่องส่วนตัวออกจากงานได้ เพราะอนาคตของบริษัทพี่จี๊ดฝากไว้กับโปรเจคนี้อย่างแท้จริง  แต่ก็นั่นแหละ ลองว่าอีกฝ่ายทำร้ายจิตใจคนที่จงรักภักดีกับมันมาตลอดสามปีได้อย่างเลือดเย็น ก็อย่าหวังให้ยากเลยว่ามันจะเห็นหัวคนอื่นมากไปกว่าความสะใจของตัวเอง

เอาล่ะครับ ในเมื่อคุณเซ็นอยากรู้ ผมจะบอกใบ้ให้นิดนึงก็ได้ว่าจริง ๆ แล้ว คอนซัลท์คนนี้ไม่ได้แค่แอบปลื้มลูกน้องของคุณเซ็นหรอกครับ แต่เขาน่ะคบหากันเป็นแฟนแบบลับ ๆ มาได้สักพักแล้วต่างหาก

หา จริงเหรอครับคำพูดพล่อย ๆ เพียงประโยคเดียวทำให้บรรดาผู้ร่วมโต๊ะอาหารส่วนใหญ่แอบสอดส่ายสายตามองหาคนหลุกหลิกจนผิดสังเกต

ทำยังไงดี? ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี?
หรือการจุ่มหน้าลงหม้อต้มยำจะเป็นทางออกเดียวที่เหลืออยู่จริง ๆ ?

แต่ถ้าให้ผมพูดแทนพวกเขามันคงดูน่าเกลียด ทำไมคุณพันเลิศไม่ลองถามเจ้าตัวเอาเองล่ะครับ... จริงไหมครับคุณคิมหันต์ คุณทิวัตถ์ผมคงมัวแต่มโนสภาพศพตัวเองหลังโดนข่า ตะไคร้ ใบมะกรูดจะอุดจมูกจนขาดใจตาย จึงเพิ่งสำนึกรู้ตัวเอาตอนนี้ว่าอดีตคนรักได้ทำเรื่องเลวร้ายที่สุดลงไปเสียแล้ว

หลังจากไอ้พี่บูมพูดจบ ยูสเซอร์บางส่วนออกอาการช็อกจนหน้าถอดสี ส่วนบางคนก็หันไปมองหน้าคุณคิ้มหันต์สลับกับผมพลางอ้าปากพะงาบ ๆ เหมือนรับไม่ได้ ในขณะที่ผมเองก็พยายามเอ่ยคำขอโทษลุงไซด์ไลน์ผ่านดวงตาแม้ในใจจะอยากระเบิดดตัวตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด

และแล้วก็เป็นคุณพันเลิศที่ถามแทนใจใครหลาย ๆ คน จริงเหรอวะหนาว มึงกับคุณทูคบกันอยู่จริง ๆ น่ะเหรอ

ผมนั่งก้มหน้าพยายามปลุกปลอบตัวเองไม่ให้สั่น แต่ความอดสูที่เอ่อท้นในใจกลับทำให้ขอบตาผมร้อนผ่าว
เป็นเพราะผมแท้ ๆ พี่หนาวเลยพลอยตกที่นั่งลำบากไปด้วย ทว่าในความละอายนั้นเอง ผมกลับไม่อยากให้อีกฝ่ายยอมรับทุก ๆ คำกล่าว เพราะหากเขาปฏิเสธ ความฉิบหายในรูปแฟนเก่าจะกลับเข้ามาครอบงำชีวิตผมในบัดดล

แต่ไม่ว่าสุดท้ายเขาจะกลายเป็นอีกคนที่ฉีกหน้าผมจนไม่เหลือชิ้นดี ผมก็ว่ามันแฟร์แหละ
ก็แหม... โดนหาว่าเป็นเกย์ต่อหน้าลูกน้องเป็นสิบ ใครไม่โกรธก็บ้าแล้ว

“ผมไม่จำเป็นต้องรายงานความสัมพันธ์ของผมกับคนอื่นแทนที่จะหันไปตอบคำถามตาลุงหัวโต๊ะ HR Director กลับผินหน้ามองอดีตคนรักของผมอย่างจงใจ ก่อนจะตัดบทด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ผมอิ่มแล้ว ขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะครับสิ้นเสียง ลุงไซด์ไลน์ก็เดินตัวปลิวจากไปโดยไม่รั้งรอ  

โอ้โห ฉากจบเฉียบมาก เฉียบจนผมอยากจะร้องไห้...
ฮือ แล้วผมล่ะ ผมจะเอาตัวรอดยังไงดี?  

เฮ่ยไอ้หนาว เดี๋ยวดิวะ กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน

เอ่อ คุณเซ็นคะ ถ้าคุณเซ็นไม่ว่าอะไร พวกเราขอตัวก่อนนะคะ พอดีติดรถคุณหนาวมา เดี๋ยวจะไม่มีรถกลับออฟฟิศ” คุณมิ้มหัวโจกทีมยูสเซอร์ HR เป็นคนแรกที่ไหวตัวได้ ก่อนที่คุณเซียงกับคุณโอ้เอ้จะกุลีกุจอหยิบข้าวของติดมือแล้ววิ่งกระหืดกระหอบตามหลังคุณมิ้มไปอย่างรวดเร็ว

“พี่มิ้มรอพวกหนูด้วย

อ้าวเฮ่ย ดูสิ อยู่เฉย ๆ ก็ยกขบวนกลับกันทั้งแผนก” คุณพันเลิศบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะหันไปถามความเห็นของผู้รอดชีวิตที่เหลือ “แล้วอย่างนี้พวกเราจะเอาไงกันต่อ กลับกันเลยไหม”

“กลับเลยก็ดีค่ะ จี๊ดอยากไปทำงานแล้ว”

“ครับ ๆ กลับเลยก็ได้ครับ” ในเมื่อผู้หญิงที่ท่านประธานหมายตามีบัญชาเช่นนี้ มีหรือที่ใครจะกล้าขัดใจ แต่ผมรู้ว่าที่หัวหน้าชิงแสดงความเห็นแบบทันควันเพราะแกคงอยากกลับไปสังคายนาปัญหาระหว่างผมกับไอ้พี่บูมให้จบสิ้นกันเสียที  

 ••••••

“มันเป็นอะไรมากไหมครับหมอ” ทันทีที่นายสัตวแพทย์ละมือจากก้อนสีดำบนโต๊ะตรวจ คเชนทร์ก็ถามไถ่อย่างเป็นกังวล
“เท่าที่ตรวจดู ผมคิดว่าก่อนหน้านี้แมวคุณอาจไปกินอะไรที่ไม่สะอาด ร่างกายเลยรับเชื้อแบคทีเรียเข้าไป เดี๋ยวผมจะฉีดยาฆ่าเชื้อให้ก่อนแล้วกลับไปดูอาการที่บ้านสักสามวัน ถ้าเป็นแบคทีเรียธรรมดาแมวคุณก็จะอาการดีขึ้นตามลำดับเองครับ”
แม้ใจอยากจะแย้งหมอว่าเจ้าแมวหน้ากากตาขวางที่แรกตนเผลอเข้าใจว่าตัวสีดำปลอดตัวนี้ไม่ใช่สมบัติส่วนตัว แต่อากัปกิริยาพร้อมส่งแขกอย่างโจ่งแจ้งของนายสัตวแพทย์นั่นแหละที่ทำให้คเชนทร์ไพล่คิดถึงเรื่องสำคัญกว่าทันที “เอ่อ หมอครับ คือ ผมขอฝากแมวไว้ก่อนได้ไหมครับ เดี๋ยวอีกสักพักผมค่อยมารับ” ชายหนุ่มอ้อมแอ้ม  

“ฝากแมว?” แพทย์เจ้าของไข้เลิกคิ้วมองเจ้าของแมวงง ๆ

“...คือ... ตอนนั้นผมตกใจกลัวมันจะตาย เลยลืมกระเป๋าตังค์ทิ้งไว้ที่บ้าน” หลังจากคเชนทร์บุ้ยใบ้ไปที่ตัวต้นเรื่อง เจ้าเหมียวหน้าแปลกก็ร้อง แง้ว เบา ๆ คล้ายกำลังยืดอกรับผิด

ท่าทางเกรงอกเกรงใจระคนเป็นห่วงสัตว์เลี้ยงจากใจจริงทำให้นายสัตวแพทย์อดเอ็นดูเจ้าของแมวหน้ากากไม่ได้ “เอาอย่างนี้แล้วกันครับ เดี๋ยวผมขับรถไปส่งคุณกับแมวที่บ้าน แล้วคุณค่อยจ่ายเงินผมตอนนั้นก็ได้ครับ”

“อย่าเลยครับหมอ ผมไปเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวก็มา สัญญาเลยครับว่าจะกลับมารับมันจริง ๆ ไม่เบี้ยวแน่นอน” ว่าที่เจ้าของร้านดอกไม้ปฏิเสธเป็นพัลวัน

“ผมเชื่อครับ แต่ผมกำลังจะออกเวร เห็นเมื่อกี้คุณบอกว่าบ้านคุณอยู่แถวตลาดใช่ไหมครับ เดี๋ยวผมก็จะขับผ่านทางนั้นเหมือนกัน เพราะงั้นคุณก็กลับไปพร้อมผมนี่แหละ ขากลับคุณจะได้ไม่ต้องอุ้มแมวขึ้นแท็กซี่คนเดียว”
.
.
.
.
“ขอบคุณมากนะครับหมอ จริง ๆ หมอไม่น่าต้องลำบากเลย” ครึ่งชั่วโมงให้หลัง คเชนทร์ก็เดินออกมาส่งนายสัตวแพทย์ตรงลานจอดรถเอกชนที่อยู่ใกล้ ๆ

เหตุที่ชายหนุ่มจำใจพึ่งพาอีกฝ่ายใช่เพราะเกิดจนคำพูดต่อรองเอาดื้อ ๆ หากแต่เพราะทันทีที่เจ้าหน้าที่ธุรการประจำคลินิกจัดการเอกสารการเงินแล้วเสร็จ นายสัตวแพทย์ก็รวบรัดจ่ายเงินแทนคเชนทร์ หนำซ้ำยังขันอาสาอุ้มผู้ป่วยนำหน้าเจ้าของแมวไปที่รถตัวเองโดยไม่ถามไถ่  

“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี ถ้าอาการน้องยังไม่ดีขึ้น โทรหาผมได้ตลอดเวลานะครับ” ไม่ทันขาดคำ เจ้าของประโยคก็ยื่นนามบัตรส่งให้พร้อมรอยยิ้มแฝงความนัย  

คงจะจริงที่ผีมักจะมองเห็นผีด้วยกัน เพราะคเชนทร์รู้เท่าทันว่าเบื้องหลังน้ำใจไมตรีกับสีหน้ากรุ้มกริ่มของนายสัตวแพทย์นั้นซุกซ่อนอะไรเอาไว้ ซึ่งแม้เขาจะไม่ได้คิดเลยเถิดกับอีกฝ่ายเกินไปกว่าสัตวแพทย์เจ้าของไข้กับเจ้าของแมว (จำเป็น) แต่ประสบการณ์อันโชกโชนในแวดวงนางโชว์กว่ายี่สิบห้าปีทำให้คเชนทร์ยินดีรับนามบัตรใบนั้นเก็บไว้เพราะไม่อยากตัดรอนอีกฝ่ายแบบซึ่งหน้า

“ขอบคุณมากนะครับ”

ตราบใดที่เจ้าแมวยังอยู่รอดปลอดภัย ว่าที่เจ้าของร้านดอกไม้ก็ตั้งใจเป็นแม่นมั่นว่าตนจะไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้เริ่มต้นสานสัมพันธ์ ด้วยชายหนุ่มปักใจเชื่อว่ารักแท้และรักเดียวไม่มีวันเกิดขึ้นกับกะเทยหลบในวัยสี่สิบสองอย่างเขาแน่นอน


••• TBC ••


นี่ก็ตอนสามเข้าไปแล้ว
เริ่มมีใครเห็นเค้าลางความรักของลุงไซด์ไลน์กับนายทูบ้างยังคะ (ทุกคนเงียบกริบ 5555)
สารภาพเลยว่าเนื้อหาในตอนนี้นี่แหละค่ะคือที่มาของชื่อนิยาย
แต่ถึงพวกเราจะรู้จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของลุงกับทูแล้วก็ตาม
ความวายป่วงทั้งหลายก็ยังมีให้รออ่านอีกเป็นกระบุงโกยเลยนะคะ
ติดตามกันไปเรื่อย ๆ น้า และถ้าชอบไม่ชอบยังไง
อย่าลืมเม้นท์หรือหวีดในทวิตแล้วติดแท็ก #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก ด้วยนะคะ ^^






Monday, January 22, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#02|| 22.01.2018



#02


ได้แต่ฝันหวาน ได้แต่เพ้อไป ว่าหัวใจแอบรักใครคนหนึ่ง
เขาดูคมเข้ม บาดใจรักตรึง ฝันรำพึงฝากรอยซึ้งใจ
หลับก็ฝันหวาน ตื่นยังเพ้อครวญ รักคอยกวนให้ใจฝันเรื่อยไป
ถ้าได้พบหน้าหากได้ชิดใกล้ ฝันคงไม่เป็นเพียงแต่ฝันไป
ฝันฝันหวาน - ผุสชา โทณะวณิก


…………………………………………………………………………………………………………


“ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ผมขออนุญาตขับไปห้าง xxx นะครับ”

หลังจากรถติดไฟแดงได้สักพัก สารถีแปลกหน้าก็ทำลายความเงียบภายในห้องโดยสารลง ผมเอียงคอมองเขางง ๆ เพราะถ้าจะไปห้างที่ว่า ทำไมเขาถึงไม่นั่งรถไฟฟ้าไปล่ะ ใกล้นิดเดียวเองแถมรถยังไม่ติดอีกต่างหาก

คนข้าง ๆ คงอ่านสายตาผมออก  เขาจึงอมยิ้มก่อนตอบ “ขามารถติดมาก ผมเลยแวะจอดรถไว้ที่นั่นแล้วต่อวินไปหาคุณ จริง ๆ ผมกะจะนั่งบีทีเอสกลับไปเอารถ แต่พอเห็นคุณมีเรื่อง ผมก็ห่วง กลัวคุณโมโหจนขับรถชนใครเข้า”

“เมื่อกี้ผมดูแย่มากเลยเหรอ” ผมนิ่วหน้าเพราะไม่คิดว่าตัวเองจะสติหลุดจนทำให้คนอื่นพลอยเดือดร้อนไปด้วย    

เขาส่ายหัวแล้วทอดสายตามองเหม่อคล้ายกำลังครุ่นคิด “ถ้าผมไม่เข้าไป เขาคงต่อยคุณ”

ผมนิ่งฟังแล้วทอดถอนใจ คู่อื่นเลิกกัน ผมเห็นเขายังกลับมาคุยเล่น กลับมาคบค้าทำธุรกิจด้วยกันได้ แต่ไอ้พี่บูมนี่ยังไง หรือใจคอมันจะไม่อยากเป็นแม้กระทั่งรุ่นพี่ที่ผมเคารพฝีมือ

เฮ่อ ถ้าผมกับมันไม่ทำงานที่เดียวกัน  เรื่องทั้งหมดคงง่ายกว่านี้

“ถ้าคุณมีเรื่องทุกข์ร้อนอยากหาที่ระบาย คุณคุยกับผมได้นะ” คงเป็นเพราะสายตาคู่นั้นฟ้องว่าเจ้าตัวเป็นห่วงผมจากใจจริง ผมจึงสูญเสียความยับยั้งชั่งใจที่ควรมีต่อคนแปลกหน้าไปโดยสิ้นเชิง

“คุณว่าผมโง่ไหม ผมคบกับเขามาสามปี แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าเขามีแฟนอยู่แล้วทั้งคน” พูดไปก็ได้แต่ยิ้มเยาะตัวตนที่ใสซื่อในวันวาน ทำไมตอนนั้นผมถึงได้โง่ล้ำลึกขนาดนั้นก็ไม่รู้

“เขาทำไม่ดีกับคุณ แล้วทำไมคุณต้องว่าตัวเองด้วยล่ะครับ” พูดจบ เขาก็เลิกคิ้วแล้วเหลือบมองผมเหมือนจะชี้ประเด็นก่อนจะเคลื่อนรถรักษาระยะโดยไม่ส่อเค้าหงุดหงิดกับรถติดช่วงบ่ายวันเสาร์สิ้นเดือนเลยสักนิด “ถ้าสามปีที่ผ่านมาคุณไม่เคยระแคะระคายเรื่องใครอีกคน แสดงว่าเขาคงทำแบบนี้มาจนชำนาญ คุณไม่ผิดหรอกครับที่รู้ไม่ทันเขา”

“หึ รู้ไม่ทันหรือโง่มันก็ค่าเท่ากันแหละคุณ” ผมเบ้หน้าเมื่อหวนนึกถึงความหลังอันเจ็บปวด “ถ้าเป็นคนอื่นคงเฉลียวใจตั้งแต่แฟนหายหัวไปเที่ยวแบ็คแพ็คทีละสองสามอาทิตย์แต่โทรหาได้แค่วันละครั้ง ครั้งละไม่กี่นาทีแล้วล่ะ แต่ที่น่าเจ็บใจที่สุดคืออะไรรู้ไหมคุณ อยู่ดี ๆ ไอ้คนที่ควรจะเป็นชู้ดันเสือกเป็นหลวง ผมเลยกลายเป็นคนมาทีหลังเฉยเลย”

“คุณพูดอย่างกับว่าถ้าคุณมาก่อน คุณจะรับได้งั้นแหละ” เขายิ้มมุมปากอีกแล้ว พูดแบบนั้นแล้วยิ้ม ต้องการอะไรกันแน่นะ  

“บ้าเหรอคุณ จะก่อนจะหลังผมก็ไม่เอาด้วยหรอก ถ้าคบกับผมแล้วขอให้ผมไว้ใจ ขอให้ผมให้อิสรภาพ เขาก็ควรจะตอบแทนผมด้วยความซื่อสัตย์รักเดียวใจเดียวเหมือนกันสิ” กว่าจะนึกออกว่าไอ้ประกายวิบวับในดวงตาของเขาเมื่อครู่แปลว่าอะไร ผมก็โดนเขาแหย่จนพล่ามเป็นก๊อกแตก

“เท่าที่ฟัง ผมว่าคุณใจกว้างน่าดู เป็นผม ผมคงไม่ปล่อยแฟนไปไหนคนเดียวนาน ๆ หรอกครับ” เขาเอ่ยเรียบ ๆ ไม่เหลือแววล้อเล่น

“ใช่มะ! จะหาแฟนดี ๆ แบบผมได้จากที่ไหนอีก” ผมเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดปากยกหางตัวเองไปเต็ม ๆ ก็ตอนที่เห็นเขากลั้นขำ จนตัวสั่น บ้าจริง เผลอทำตัวน่าขายหน้าออกไปอีกแล้ว

ให้ตายเหอะ ผมแม่งโคตรไม่คูลเลยว่ะ

“นั่นสิครับ” ถึงเขาจะไม่หลุดหัวเราะออกมาโต้ง ๆ แต่สายตากรุ้มกริ่มไม่เลิกนั่นก็ทำให้ผมหน้าร้อน หัวใจเต้นตึกตักได้อยู่ดี

“...อือ ก็นั่นแหละ...” พูดแล้วก็เสยผมแก้เก้อพลางเสมองข้างทางเพราะวางหน้าไม่ถูก นั่นจึงทำให้ผมทันสังเกตเห็นรปภ.ของห้างใหญ่ตรงหัวมุมแยกเดินส่ายอาด ๆ ออกมากั้นทางเพื่อระบายรถออก ถ้าหนึ่งในนั้นคือรถของผม ผมคงกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เพราะยังคงติดแหงกอยู่ที่เดิม ผมจึงแอบปลื้มที่เพื่อนร่วมทางยังไม่มีทีท่าอึดอัดกับบทสนทนาน่าเบื่อของเรา

“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าเขามีแฟนอีกคน” เขาดึงเบรกมือก่อนจะเลื่อนเปลี่ยนเป็นเกียร์ว่างแล้วหันหน้ามารอฟังคำตอบ

“ทุกทีที่มันขอไปเที่ยวแบ็คแพ็คกับเพื่อน ผมจะกลับไปอยู่บ้าน แต่เผอิญรอบนี้ผมลืมของสำคัญไว้ที่คอนโดก็เลยแวะเข้าไปเอา” บาดแผลของผมยังสด พอรู้ว่ามีคนพร้อมรับฟัง ผมก็พล่ามเรื่องซ้ำซากที่เฟมกับรุ้งได้ยินจนเหม็นเบื่ออย่างเคียดแค้น  “หึ แทนที่จะได้ของ ที่ไหนได้ ผมกลับโดนมันเซอร์ไพรส์ด้วยการพาสจ๊วตมานัวกันบนเตียงที่ผมนอนอยู่ทุกคืน”

“แสดงว่าคุณไม่เคยกลับไปที่คอนโดตอนเขาไม่อยู่เลยเหรอ”

“อืม... แต่มันก็ไม่เคยพากันมากกที่ห้องเหมือนกัน ครั้งนั้นเป็นครั้งแรก” ทั้ง ๆ ที่เล่าเรื่องนี้เป็นพัน ๆ รอบได้ แต่ทำไมผมกลับไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองโง่น้อยลงเลยวะ

“แล้วคุณรู้รายละเอียดพวกนี้ได้ยังไง” เขาเอนหลังพิงประตูพลางจับจ้องผมไม่วางตา ทว่าการเปลี่ยนอิริยาบถเพียงเล็กน้อยกลับทำให้กลิ่นน้ำหอมของเขาฟุ้งกระจายจนใจผมเต้นผิดจังหวะ 

“มันบอก” อยู่ ๆ ผมก็รู้สึกไม่กล้าสู้สายตาคู่สนทนาขึ้นมาดื้อ ๆ  โอ๊ย จะประหม่าหรือจะอับอายก็เอาให้สุดสักทางเถอะวะไอ้ทู!

“หืม... เขาบอกคุณ?”

ที่สุดแล้ว สีหน้าแปลกใจระคนเวทนาของเขาก็ทำให้ความละอายชนะไปขาดลอย ผมพยักหน้าจ๋อย ๆ พลางอ้อมแอ้มสารภาพ “วันนั้นพอจับได้ว่ามันมีคนอื่น แทนที่ผมจะได้บอกเลิกมันให้เป็นเรื่องเป็นราว ผมกลับต้องนั่งฟังแฟนมันขอโทษขอโพยที่ทำผมเสียใจ ก่อนจะลำดับความสัมพันธ์อันยาวนานเหนียวแน่นของพวกมันให้ฟังเป็นฉาก ๆ หนำซ้ำก่อนกลับนะคุณ แฟนมันยังมีหน้าพูดจาไกล่เกลี่ยให้ผมคืนดีกับไอ้ชั่วนั่นอีกอ่ะ... บ้าเนอะ ทั้งผม ทั้งพวกมันสองคน”

ผมเผลอเข้าใจว่าที่เขานิ่งไปเป็นเพราะกำลังอึ้ง แต่ที่จริงคือเขาเห็นสัญญาณไฟเขียวจึงต้องรีบปลดเบรกมือแล้วออกรถ ไม่อย่างนั้นเราสองคนคงจะได้ชื่นชมไฟแดงแยกนี้เป็นรอบที่สี่ พอรถเลี้ยวพ้นแยก คนข้างตัวผมก็เปรยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ถึงเราจะไม่รู้จักกัน แต่ผมดีใจนะที่คุณตัดสินใจเลิกกับเขา”

“เฮ่อ ถ้าวันนั้นผมเลิกกับมันสำเร็จจริง ๆ วันนี้เราจะเจอกันเหรอครับ” ภาพเหตุการณ์ตรงลานจอดรถทำผมถอนหายใจแล้วบึนปากอย่างเซ็ง ๆ  

“หึ ๆ นั่นสินะ” เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะตีไฟเลี้ยว หักพวงมาลัยตรงเข้าสู่ซอยซึ่งเป็นที่ตั้งของจุดหมายปลายทาง “แล้วนี่คุณจะทำไงต่อ เขาจะยอมปล่อยคุณไปดี ๆ ไหมครับ”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผมยอมรับอย่างท้อแท้ ยิ่งหลังเกิดเรื่อง ผมก็ยิ่งประมาทไม่ได้ แต่เพราะเป็นพวกเจ็บแล้วจำฝังใจ ฉะนั้นต่อให้ไอ้พี่บูมจะคลานกลับมากอดเข่าผมร้องห่มร้องไห้ ก็อย่าหวังเลยว่าจะผมจะใจอ่อน “ช่างมันเถอะ หัวเด็ดตีนขาดยังไงผมก็จะไม่กลับไปคบกับมัน แต่ถ้ามันยังพูดไม่รู้เรื่อง ผมก็ยังมีคุณอยู่ทั้งคน จริงไหมครับ”

“ผมนึกว่าคุณจะไม่พอใจที่ผมเล่นไม่สมบทบาทเสียอีก” แม้หางเสียงเขาจะเจือด้วยอารมณ์ขัน แต่แววตานั่นกลับฉายแววกระอักกระอ่วนคล้ายมีเรื่องคับข้องใจ ผมเลยรีบปลอบประโลม

“ใครบอก คุณน่ะเล่นเป็นแฟนผมได้เนียนสุด ๆ ”

คนถูกชมยิ้มรับหากแต่ไม่เอ่ยอะไร ผมจึงอาศัยจังหวะว่างของบทสนทนาพินิจรอยกรีดจาง ๆ ตรงหางตาที่มักจะโผล่ออกมาทักทายเวลาอีกฝ่ายคลี่ยิ้มเต็มใบ เฮ่อ คนอะไรน้อ หล่อโลกไม่ยุติธรรม หล่อไม่เพลี่ยงพล้ำ หล่อขนาดตีนกายังทำอะไรไม่ได้เลยอ่ะ คิดดู

“แต่ถ้าแฟนเก่าจะยังตื๊อทูไม่เลิก... ทูคงต้องขอฝากเนื้อฝากตัวกับพี่หนาวยาว ๆ เลยนะครับ” ผมคงจะไม่รู้สึกผิดบาปมากนักหากเมื่อกี้ไม่เผลอใช้เสียงสอง ช้อนตามองอ้อนคู่สนทนาไปสามทีถ้วน โดยที่ภายในหัวฉายภาพตัวเองลั่นไก Cash Cannon ยิงแบงค์พันใส่พี่หนาวในชุดวันเกิดแบบไม่ยั้ง

“ขอโทษจริง ๆ ครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าผมจะมาเจอคุณได้อีกหรือเปล่า”

“อ่ะ... เอ่อ... เหรอครับ” แหม พี่เล่นตอบมาแบบนี้ ผมก็หน้าแหกเท่านั้นสิครับ

“ผมไม่ได้รังเกียจที่จะเป็นแฟนคุณนะครับ แต่ช่วงนี้ผมไม่ค่อยว่าง” ฟังเผิน ๆ เหมือนจะดี แต่ไม่เลย

“อย่าคิดมากสิครับ เมื่อกี้ผมพูดเล่น  จริง ๆ ผมตั้งใจว่าจะลองเปิดใจลองคบคนใหม่ดูเร็ว ๆ นี้แหละ” ผมโกหกเพราะไม่อยากดูสิ้นไร้ไม้ตอกจนเกินไปนัก

ใช่ จริง ๆ จิตใจผมบริสุทธิ์ ผมแค่ใช้ลุงไซด์ไลน์เป็นข้ออ้างตัดขาดกับไอ้เหี้ยพี่บูมก็เท่านั้น
ลึก ๆ แล้วผมไม่ได้คิดจะใช้เงินฟาดหัวแล้วเคลมตาลุงนี่เลยสักนิด
ไม่เจอก็ไม่เจอสิ ไม่เจอแล้วไง... ใครแคร์

“ถ้าอย่างนั้นผมจะเอาใจช่วยให้เขายอมเลิกกับคุณเร็ว ๆ นะครับ” รู้ตัวอีกที รถผมก็ค่อยๆ ชะลอความเร็วก่อนจะหยุดตรงหน้าซองจอดหนึ่งตรงชั้นใต้ดินของอีกหนึ่งห้างหรูในละแวกใกล้ ๆ กัน

“ขอบคุณมากนะครับที่มาส่ง” ผมยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วตั้งท่าพร้อมดีดตัวออกจากรถอย่างกระฉับกระเฉง ผมจึงทำได้แค่แสร้งยิ้มรับทั้งที่ข้างในกำลังรู้สึกเสียเซลฟ์เอามาก ๆ  

“ผมต่างหากล่ะครับที่ต้องขอบคุณ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี ถ้ายังไงผมขอตัวเลยนะครับ” ผมปราดลงจากรถเมื่อเห็นอีกฝ่ายเลื่อนมือไปเปิดประตูฝั่งคนขับ

“โชคดีนะครับ” เพื่อนเที่ยววัยดึกหยุดยืนส่งผมอยู่ตรงข้าง ๆ รถ เขารอจนแน่ใจว่าผมรัดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย เมื่อนั้นจึงคลี่ยิ้มบาง ๆ พลางเอ่ยทิ้งท้ายอย่างรู้งาน “คุณต้องหาแฟนใหม่ได้เร็ว ๆ นี้แน่ ๆ ครับ”

ฟังแล้วปากผมก็คันยิบ ๆ อยากจะถามสวนไปว่า ถ้าผมบอกว่า ผมชอบพี่มากจนอยากให้เราเป็นแฟนกันเดี๋ยวนี้เลย พี่จะยอมไหมครับ แต่ในความเป็นจริงผมกลับทำได้แค่ขับรถจากมาอย่างหมดอาลัยตายอยากพร้อมกับแหกปากร้องเพลงคนไม่จำเป็นเหมือนผีบ้าอยู่ในใจ

 ••••••

“พี่จี๊ดหวัดดีครับ” ผมยกมือไหว้รุ่นพี่ที่เพิ่งหอบของลงจากรถ

“มาเช้าจังทู ขับมาไม่ยากใช่ไหม” ผมส่ายหัว อีกฝ่ายเองก็ไม่ได้เดือดร้อนกับคำตอบเพราะมัวแต่จัดระเบียบสายกระเป๋าสะพายบนไหล่ขณะตั้งท่าจะออกเดิน แต่แล้วอยู่ ๆ พี่จี๊ดกลับชะงักงันก่อนจะเอี้ยวตัวหันไปกดรีโมทล็อครถตัวเองอีกครั้ง “ออกจากบ้านกี่โมงเนี่ย”

“หกโมงครับ พอลงทางด่วน ผมก็วิ่งเลาะมาทาง local road เลยถึงเร็ว” ใจผมนึกอยากช่วยพี่จี๊ดถือกระเป๋าคอมฯ ใบโต แต่ลำพังไอ้ที่อยู่ในมือตัวเองก็หนักพอดู ผมจึงเดินช้า ๆ เพื่อให้เรียวขาบนส้นสูงแหลมปรี๊ดของอีกฝ่ายก้าวตามได้ทัน“แล้วพี่จี๊ดล่ะครับ ออกจากบ้านกี่โมง”

“เรื่องนั้นไว้ทีหลัง  พี่ว่าตอนนี้เราเอาของขึ้นไปเก็บกันก่อนเถอะ เดี๋ยวต้องเสียเวลาแลกบัตรอีก” ผมเกือบจะไม่คิดอะไรแล้วเชียว แต่สีหน้าลำบากใจของพี่จี๊ดตอนเอ่ยประโยคหลังจากนั้นก็ทำให้ผมเสียวสันหลังอย่างไรบอกไม่ถูก

“ทู เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ”
.
.
.
.
“ทูอ่านเมลเมื่อวานที่พี่ส่งให้แล้วใช่ไหม” พี่จี๊ดเปิดประเด็นทันทีที่ผมวางจานข้าวราดแกงลงบนโต๊ะ บรรยากาศเคร่งเครียดกดดันที่เกิดขึ้นฉับพลันทำให้ผมจำใจต้องทรุดตัวลงนั่งหากแต่ยังไม่วายแอบปักหมุดร้านกาแฟไว้ในใจล่วงหน้า

“ครับ” ผมพยักหน้ารับพลางนึกถึงเนื้อหาหลัก ๆ ที่อีกฝ่ายระบุในอีเมลฉบับดังกล่าว “สรุปว่าโปรเจคนี้พี่ฟี่ทำ PYM (ระบบเงินเดือน) กับ TM (ระบบเวลา) แล้วผมทำที่เหลือใช่ไหมครับ”

“ใช่ แต่พวกเอกสารหรืออะไรง่าย ๆ ทูให้ยีนส์ลองหัดทำก็ได้นะ” แม้ฐานะเจ้านายจะทำให้พี่จี๊ดมีอำนาจในการตัดสินใจเต็มร้อย แต่ทุกครั้งแกมักจะซักถามความคิดเห็นของลูกน้องก่อนวางแผนงานขั้นสุดท้ายเสมอ “พี่จะให้ยีนส์ช่วยทูกับฟี่ โปรเจคหน้าน้องจะได้ช่วยงานเราสองคนได้มากขึ้น”

“ครับ” ผมรับคำแกน ๆ เพราะแอบตงิดใจว่าเรื่องงานไม่ใช่หัวข้อที่พี่จี๊ดอยากคุย

“โปรเจคนี้บูมทำ FI (ระบบการเงิน) นะ ทูไม่มีปัญหาใช่ไหม” นี่คงเป็นเหตุผลที่พี่จี๊ดสลับตัวผมกับพี่ฟี่เอานาทีสุดท้าย เพราะระบบเงินเดือน (PYM) มันหนีระบบการเงินไปไม่พ้นน่ะสิ

ว่าแต่ ทำไมอยู่ ๆ พี่จี๊ดถึงพูดแบบนี้ล่ะ
หรือว่าแกจะรู้?!

“ครับ” หน้าผมหดเหลือสองนิ้วเพราะไม่คิดว่าเรื่องส่วนตัวจะดังกระฉ่อนไปถึงหูเจ้านาย

หลังจากโดนเบิกเนตรเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ใจผมคิดแค่ว่า ต่อต้องให้ทำงานที่เดียวกันต่อไป แต่ถ้าผมกับแฟนเก่ารับผิดชอบลูกค้าคนละเจ้า ดูแลกันคนละโปรเจค แผลอกหักก็ไม่น่าจะอักเสบร้ายแรง ที่ไหนได้ นอกจากไอ้พี่บูมจะไม่ยอมปล่อยผมไปตามยถากรรมแล้ว มันยังตามมาจองเวรผมถึงที่เสียอีก

“มีปัญหาอะไรก็บอกพี่ ไม่ก็บอกฟี่นะทู อย่าเก็บไว้คนเดียว... ทูบอกพวกพี่ได้ทุกเรื่องนะ” สายตาเป็นห่วงที่ฉายแววหนักใจของรุ่นพี่ยืนยันได้ดีว่าแกคงรับรู้ปัญหาส่วนตัวของผมแบบหมดเปลือก ไม่รู้ว่าพี่จี๊ดโดนวอแวเบอร์ไหน แกถึงได้ยอมเสี่ยงถอนตัวไอ้ชั่วนั่นออกจากอีกโปรเจคก่อนเวลาส่งมอบตั้งเกือบเดือน 

“ครับ” ผมไม่กล้าสู้หน้าคู่สนทนาขณะทั้งที่ขอบตาร้อนผ่าว ผมรู้สึกอับอายพี่จี๊ดจับใจที่ทำให้แกต้องพลอยลำบากไปอีกคน

“เดี๋ยวพี่จะคุยกับบูมมันอีกที โปรเจคนี้เป็นโปรเจคแรกที่บริษัทเราเหมาทั้งหมด พี่เลยไม่อยากให้พวกเราพลาดเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง... เข้าใจที่พี่พูดใช่ไหมทู”  

“ครับ” ผมรวบช้อนทั้ง ๆ ที่เพิ่งกินข้าวไปได้ไม่กี่คำ แค่นึกถึงหน้าตาทุเรศ ๆ กับคำพูดเห็นแก่ตัวของไอ้พี่บูม ผมก็รู้สึกผะอืดผะอมเต็มที

 ••••••

“ไปทู... ยีนส์ ไปเตรียมตัวได้แล้ว”

“พี่ฟี่เขาเรียกพวกเราไปไหนเหรอพี่ทู” หลังจากหัวหน้าทีมของผมก้าวฉับ ๆ จากไป น้องน้อยจบใหม่ก็ยื่นหน้ามากระซิบถามผมอย่างงง ๆ ผมเลยช่วยสงเคราะห์อีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู

“เสาร์อาทิตย์น่ะเคยเช็กเมลบ้างไหมเรา หรือว่าเอาแต่เล่นเกม” คนฟังส่ายหัวดิกจ้องผมตาแป๋ว สงสัยบ่ายนี้ผมคงต้องเรียกยีนส์มาสอนเรื่องการติดตามข่าวสารการงานให้ทันโลกเสียหน่อยแล้ว “อีกสิบนาทีมีประชุม Kick-off โปรเจค”

“หนูต้องเข้าด้วยเหรอพี่” น้องมันทำหน้าเหลอหลาพลางชี้นิ้วเข้าหาตัว

“อืม... ก็เข้าไปนั่งดูไง จะได้รู้ว่าข้างในเขาคุยอะไรกัน ต่อไปจะได้ไม่เด๋อ” ผมพับฝาคอมแล้วหยิบสมุดโน้ต ก่อนจะพยักหน้าเรียกน้องนุชสุดท้องให้เดินตามกันผ่านโต๊ะทำงานของพนักงานในบริษัทลูกค้าไปยังห้องประชุมที่มีพี่ฟี่กับพี่จี๊ดยืนคอยท่า

สายตานับสิบคู่ที่จ้องมองตามเราสองคนกับเสียงซุบซิบหนักเบาเป็นระยะ ๆ คงทำให้ยีนส์ประหม่า เด็กน้อยเลยมัวแต่ก้มหน้าก้มตาสับขาฉับ ๆ จนไม่ทันสังเกตว่าตัวผมหยุดยืนปักหลักเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นเมื่อน้องทิ้งตัวเข้าใส่โดยไม่ระวัง ผมเลยเซแซ่ด ๆ ไปกระแทกไหล่ของพี่จี๊ดที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ อีกทอดหนึ่ง

“เฮ่ย?!
“ว้าย!

ทว่าก่อนที่ผมกับพี่จี๊ดจะโชว์ล้มหมู่เป็นขวัญตาแก่ลูกค้าเจ้าใหม่ ท่อนแขนแข็งแรงก็พาดเข้ามาพยุงร่างเอียงกระเท่ของเราสองคนเอาไว้ได้ทันท่วงที “ตื่นเต้นที่จะได้เจอลูกค้าจนแข้งขาอ่อนเลยเหรอครับ ขืนล้มไปตอนนี้คงได้ขายหน้ากันหมดพอดีนะพี่จี๊ด”

“ขอบใจนะบูม แต่แกจะหล่อกว่านี้มากถ้าผ่าหมาออกจากปากซักที” พี่จี๊ดเพียงปรายหางตามองสั่ง ไอ้พี่บูมก็ยอมปล่อยมือจากเราสองคนแต่โดยดี เจ้านายผมจัดทรงตัวเองเพียงชั่วอึดใจก่อนจะหันไปพยักหน้าให้คนอื่น ๆ ในทีมที่เพิ่งตามมาสมทบ ส่วนตัวผม ผมเลือกที่จะไม่พูดอะไรขณะค่อย ๆ ถอยไปยืนอีกฝั่งโดยอาศัยรุ่นน้องเป็นเกราะกำบังชั่วคราว   

“พี่จี๊ดคะ ห้องพร้อมแล้วค่ะ” พี่ฟี่ที่เพิ่งเดินออกมาพร้อมกับตัวแทนแผนกบุคคลของลูกค้าผายมือเชิญทุก ๆ คนเข้าห้องประชุม

จังหวะที่กำลังจะก้าวตามพี่จี๊ดเข้าด้านใน ไอ้พี่บูมกลับรั้งตัวผมไว้ก่อนจะแสยะยิ้มเต๊ะท่าแล้วยื่นหน้าเข้าใกล้  ผมจึงรีบผงะหนีจนเกือบหงายหลัง “เย็นนี้กลับบ้านกับพี่นะทู”

“ไม่” สิ้นเสียงผมก็กระทืบเท้าเหยียบตีนมันอย่างจังก่อนจะนวยนาดเข้าไปนั่งข้าง ๆ พี่ฟี่ด้วยมาดผู้ชนะ
หึ ถ้าออกตัวแรงขนาดนี้แล้วยังจะทู่ซี้ตีมึนใส่ผมไม่เลิก  ไอ้พี่บูมก็ควรร่างพินัยกรรมรอไว้แต่เนิ่น ๆ เพราะผมจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว
.
.
.
.
“พี่จี๊ดเป็นอะไรวะทู เช้านี้แกดูอยู่ไม่สุขไงไม่รู้นะพี่ว่า”

“ยังไงเหรอพี่” ระหว่างนั่งรอลูกค้าเข้าประชุม ผมแอบดีใจที่พี่ฟี่หันมาชวนผมเมาท์ฆ่าเวลา เพราะผมเริ่มจะรำคาญสายตาอาฆาตแค้นของที่ปรึกษาระบบ FI มากขึ้นทุกที... แหม เสียดาย สงสัยดอกเมื่อกี้จะเบาไปหน่อย

“นั่นไง ดูดิ ๆ ” ไม่พูดเปล่า พี่ฟี่ยังชี้ชวนให้ดูเจ้านายที่กำลังวุ่นวายกับการจัดตำแหน่งการวางข้าวของส่วนตัวจำนวนเพียงหยิบมืออย่างไม่รู้จักจบสิ้น ดีนะที่ลูกค้าส่วนใหญ่กำลังคุยกันน้ำลายแตกฟอง ไม่งั้นใคร ๆ คงจับได้พอดีว่าพี่จี๊ดแกกำลังลน

“เออ จริงด้วยว่ะพี่”

“เห็นแมะ พี่บอกแล้ว” เมื่ออาการผิดปกติของคนนั่งหัวแถวประจักษ์แก่สายตา พวกผมก็เริ่มอภิปรายไปตามปัญญาเท่าหางอึ่งหูอ้น

“หรือพี่จี๊ดจะกำลังตื่นเต้นวะพี่ โปรเจคนี้นอกจากแกต้องดูภาพรวมทั้งหมดแล้ว แกยังต้องดีลกับตัวท็อปฝั่งลูกค้าอีก แถมพวกคอนซัลท์ที่ Smart ส่งมาช่วยก็ดูจะคุมยากอยู่... ป่ะวะ” ผมจ้องพี่จี๊ดตาไม่วางพลางเดาสุ่มไปเรื่อย รายนี้ถ้าเหล้า (ปริมาณมาก) ไม่เข้าปาก เจ้าตัวไม่มีทางแย้มพรายเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังง่าย ๆ หรอก  

“ไม่รู้ดิ แกเครียดเปล่าวะทู”

“เครียดอะไร เทพอย่างพี่จี๊ดอ่ะนะจะเครียด... หรือจะเป็นวันนั้นของเดือนวะพี่” ข้อสงสัยของผมมีอันต้องตกไปเมื่อชายผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นกลางกรอบประตู

มาดหนุ่มใหญ่ใจดีของชายปริศนาผู้นั้นไม่ได้ชี้ชัดว่าเขาเป็นใคร แต่ทันทีที่เขาก้าวเข้ามาร่วมวง เหล่าลูกค้าที่เคยกระจายกำลังส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวตามมุมต่าง ๆ ก็จัดสรรที่นั่งได้อย่างลงตัวภายในชั่วพริบตา นี่ยังไม่นับคนที่เดินล้อมหน้าล้อมหลังที่คอยจัดแจงทุกอย่างให้พ่อคุณอีกอย่างน้อยสองอัตรานั่นอีกนะ

อ่า ถ้าให้เดา ผมว่าคนนี้ล่ะมั้งที่จ่ายเงินจ้างพวกผมมาทำโปรเจค

“สวัสดีครับคุณจี๊ด มารอผมนานไหมครับ” พูดจบเขาก็คลี่ยิ้มหยาดเยิ้มใส่พี่จี๊ดรัว ๆ  อื้อหือ แค่พูดมาประโยคเดียว ผมก็สรุปได้เดี๋ยวนั้นเลยว่า ตาลุงนี่ต้องหมายตาหัวหน้าผมอยู่แน่ ๆ เจอคนเข้าหาโต้ง ๆ แบบนี้ ถ้าพี่จี๊ดจะลุกลี้ลุกลน ผมว่าก็ไม่แปลก

“สวัสดีค่ะคุณพันเลิศ” พี่จี๊ดคลี่ยิ้มบางก่อนจะยกมือไหว้อีกฝ่ายอย่างชวนมอง “จี๊ดกับทีมเพิ่งมาถึงก่อนคุณพันเลิศไม่นานเองค่ะ” ไม่ว่าลึก ๆ แล้วแกจะคิดอย่างไรกับตาคาสโนว่านี่ก็ตาม แต่หัวหน้าทีมฝั่งคอนซัลท์อย่างพวกเราก็สามารถวางตัวได้น่าชื่นชมสมกับเป็นมืออาชีพเสมอ

คนกระเป๋าหนักยิ้มกรุ้มกริ่มขณะกวาดตามองพี่จี๊ดอย่างพึงพอใจก่อนจะหันกลับมาทำหน้าเอาการเอางานออกสื่อ “เอาล่ะครับ เรามาเริ่มประชุมกันเลยดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลากันทั้งสองฝ่าย” พอพูดจบ ตาคาสโนว่าก็ทิ้งตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ประธานตรงหัวโต๊ะอย่างคุ้นเคย

“บอสคะ คุณจงรักษ์กับคุณคิมหันต์ยังไม่เข้ามาเลยค่ะ”

“เออ นั่นสิ ถึงว่าเก้าอี้ข้าง ๆ ผมยังว่าง” เสียงหัวเราะแก้เก้อของคุณพันเลิศยังไม่ทันจาง ประตูห้องประชุมก็ถูกกระชากเปิดอย่างแรงก่อนที่คนด้านนอกจะก้าวฉับ ๆ เข้ามาแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม “พูดถึงก็มาเลยนะคุณจงรักษ์ แล้วคุณคิมหันต์ล่ะอยู่ไหน”

คนมาใหม่ส่งสายตาดุ ๆ ลอดแว่นให้คุณพันเลิศพอเป็นพิธี จากนั้นจึงพยักพเยิดไปทางด้านหลังตนเอง “ก็เข้ามาพร้อมผมนี่แหละ”

“เอาล่ะ ยังขาดใครอีกไหมครับ”

เฮ่ย!!

 เมื่อได้เห็นคุณคิมหันต์เต็มสองตา เสียงเจื้อยแจ้วของคุณพันเลิศก็ลอยผ่านหูผมไปเสียเฉย ๆ  
ผมจะไม่เดือดร้อนเลยหากผู้ชายที่เพิ่งหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ คุณจงรักษ์ไม่ได้มีหน้าตาถอดแบบมาจากลุงไซด์ไลน์คนเมื่อบ่ายวันก่อนราวกับหล่อด้วยพิมพ์เดียว

คุณคิมหันต์ คือ พี่หนาว?
โอ๊ย ทำไมโลกมันกลมขนาดนี้วะ?!

 ••••••


อีกห้าวัน... อีกแค่ห้าวันเท่านั้น ตัวเลขบอกวันบนปฏิทินตั้งโต๊ะที่ถูกวางทิ้งผิดที่ผิดทางทำให้หัวสมองของคเชนทร์เฝ้าคิดวนเวียนถึงความฝันที่กำลังจะกลายเป็นจริงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ชายหนุ่มเหลียวมองไปรอบตัวด้วยพลางรู้สึกฉงนปนทึ่งกับสภาพความเปลี่ยนแปลงของสถานที่ ๆ ตนเรียกขานว่าบ้านหลังใหม่ อีกไม่นาน เขาจะกลายเป็นเจ้าของร้านดอกไม้เต็มตัว แต่ก่อนที่ร้านจะเปิดให้บริการได้นั้น ชายหนุ่มคงต้องรีบเนรมิตห้องแถวชั้นล่างที่ช่างเพิ่งแบ่งสัดส่วนและต่อเติมเสร็จไปหมาด ๆ ให้กลับมาสะอาดเอี่ยมอ่องเป็นยองใยให้ได้เสียก่อน

ว่าแต่ เขาควรจัดการเศษขยะชิ้นใหญ่ที่ผู้เช่าคนก่อนทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าอย่างไรดี
จำไม่ได้ว่าเมื่อวันก่อนที่ออกไปซื้อของใช้เพิ่มเติม เขาได้ซื้อเชือกฟางกับถุงดำใบใหญ่ติดมือมาบ้างไหมนะ

คเชนทร์คิดพลางเดินไปเปิดประตูหลังบ้านด้วยตั้งใจจะหาสิ่งที่หมายตารวมถึงหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดอื่น ๆ แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะได้ลงมือทำตามตั้งใจ เขากลับได้ยินเสียงครางแผ่ว ๆ ของแมวตัวหนึ่งดังขึ้นหลังกำแพงลังกระดาษขนาดใหญ่เทินสูงจรดเพดานซึ่งล้วนแล้วแต่อัดแน่นด้วยข้าวของที่รอการจัดเก็บ

“หืม?” เสียงแมวที่ไหน ความสงสัยทำให้คเชนทร์รีบยกกล่องที่กองสุมกันจนสูงเทียมเพดานออกเพื่อตามหาต้นตอของเสียง ชายหนุ่มไม่ทันจะเหนื่อยดี ก้อนสีดำทรงกลม ๆ ที่ขดหลบมุมอยู่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า  

“แอบช่างเข้ามาหรือไง” เขาชะโงกหน้าลงก้มมองแมวตัวนั้นอยู่นานสองนาน อาการสงบนิ่ง ไม่แยแสอะไรของมันทำให้คเชนทร์นึกหมั่นเขี้ยว

“แน่ะ พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย หยิ่งหรือไงเจ้าเหมียว” ทั้ง ๆ ที่โดนเขาทำเสียงดังใส่ในระยะเผาขน แต่ก้อนสีดำกลับยังไม่วิ่งหนี

“แปลกจริง เอ หรือจะไม่สบาย” ราวกับรู้ภาษา จู่ ๆ เจ้าแมวที่คเชนทร์ยังไม่ทันเห็นหน้าค่าตาก็ส่งเสียงร้องออกมาเบา ๆ ก่อนที่มันจะสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

“เฮ่ย! ห้ามตายนะ ทำใจดี ๆ เอาไว้ เดี๋ยวจะพาไปหาหมอ!” คเชนทร์ร้องเสียงหลงพลางล้วงผ้าขนหนูในกล่องใกล้ ๆ มือขึ้นมาห่อก้อนขนสีดำนั่นเอาไว้ ก่อนจะอุ้มมันแนบอกแล้ววิ่งพรวดพราดออกไปโดยไม่ทันฉุกคิดว่า คลินิกรักษาสัตว์ที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากร้านดอกไม้ราว ๆ สามป้ายรถเมล์เป็นอย่างต่ำ


••• TBC ••


และแล้ว นายตำรวจนอกเครื่องแบบก็เผยตัวอย่างเอิกเริก
(เดี๋ยว! มันใช่ที่ไหนเล่า! อย่างมากตาลุงหนาวก็สลับขั้วมาเป็นลูกค้าของทูเท่านั้นแหละ)
เรามารอดูกันต่อไปดีกว่าค่ะว่า ตอนหน้า หนูทูของแม่ป้าจะเจอกับเรื่องป่วง ๆ อะไรบ้าง

ส่วนแท็กสำหรับหวีดเรื่องนี้คือ #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก
ชอบไม่ชอบยังไง ได้โปรดเมนท์ความในใจทิ้งไว้ให้เราอ่านบ้างเถอะนะคะ พลีสสสส
(ว่าด้วยเรื่องแท็ก เราขอยกความดีความชอบทั้งหมดให้คุณ alternative ไปเลยค่ะ ขอบคุณนะค้า!)
เจอกันวันจันทร์หน้าค่ะ สัญญาว่าจะไม่มาเซอร์ไพรส์ก่อนเวลาอีกแล้วค่ะ แหะ ๆ  


 หมายเหตุ: เผื่อใครนึกไม่ออก Cash Cannon หน้าตาแบบในรูปด้านล่างนี้แหละค่ะ