ตอนจบของงานวิ่งห้าขาประเพณีมาแล้วนะคะ
ซึ่งจะเป็นตอนที่ความรู้สึกของหนุ่มๆแต่ละคู่จะชัดเจนขื้นอีกเยอะ
ตอนนี้ค่อนข้างจะเข้มข้นด้วยเนื้อหาไปสักหน่อย...หวังว่าคงจะไม่เหงาหงอยเสียงฮาไปเสียก่อนเนอะ
ตอนนี้ก็ยาวมากค่ะ
(ได้ข่าวว่าตัดตอนมาแล้วนี่นา...แล้วนี่มันอะไร?!!)
เอาเป็นว่ามาเจอกันวันเสาร์ดีกว่าค่ะ
จะพยายามเข็นตอนที่ขำกว่านี้มาให้ได้อ่านกันนะคะ
(สัญญาไปเรื่อยเปื่อยทั้งๆที่ไม่มีสต็อคอีกต่อไปแล้ว
กร๊ากกกกกก!...
เอาใจช่วยเราด้วยเน้อ!!!)
รักคนอ่านทุกท่านมากค่ะ
หากรักชอบ
หรืออยากติติงประการใด...ทิ้งข้อความไว้หน้าไมค์ได้เลยนะคะ ^^
Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ
The 15th
Blessing
ห้าขาประเพณี...
คนนั้น คนโน้น คนนี้...ทำไมมีแต่ปัญหา?!
((เอาล่ะค่ะ...
มาถึงฐานที่ห้าซึ่งเป็นฐานสุดท้ายกันแล้วนะคะ
ฐานนี้เราลดดีกรีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าลงมาเป็นการยืนพักนิ่งๆแข่งกันดีกว่า
))
“...กู...อ่ะเฮือก....กูจะไม่เชื่อน้ำยาทีมสันฯห่านี่อีกแล้ว...
...พ่องตาย!! ไหนบอกว่าเล่นได้หนึ่งในสามของแต่ละฐานแล้วจะข้ามเกมได้ยังไงวะ...แฮ่ก...ไอ้สัด!!!...
.
...เข้าฐานไหนแม่งก็บอกให้เอาสิทธิไปใช้ข้างหน้า...
...นี่กูเข้าแม่งครบห้าฐานแล้ว
กูจะต้องเอาสิทธิไปส่งชิงโชคก่อนหรือไง ถึงจะได้ใช้สิทธิข้ามเกม?...
.
.
...ไอ้พวกห่า! หลอกกูให้เล่นจนเหนื่อยชัดๆ!!...
...สัจจะแม่งไม่มีในหมู่สภานักศึกษาจริงๆ!” กังฟูเจียดเรี่ยวแรงที่พอมีเหลือมาใช้บ่นระบายความวิบากยากเข็ญของเกมในแต่ละฐานซึ่งหนักหนายิ่งกว่าปีไหนๆที่เขาเคยประสบพบพานมาก่อน
ความรวดร้าวทรมานจากการโดนไอ้ร่างหมี
กับไอ้เด็กยักษ์หัวจุกคิวพีลากถูลู่ถูกังไปยังฐานโน้นฐานนี้ เพื่อเล่นเกมห่าๆพร้อมพวกมันด้วยสปีดสูงส่งเกินสมรรถภาพร่างกายจะต้านทาน
พาลให้เขานึกไปถึงเสียงเล่าลือเมื่อนานมาแล้วอย่างช่วยไม่ได้...
ด้วงเคยเล่าให้ฟังว่า
พวกสภานักศึกษามีความแค้นแสนสาหัสกับรุ่นพี่ของทั้งสองคณะมายาวนาน
พวกมันจึงขันอาสาเฮโลกันมาเป็นส่วนกลางให้งานวิ่งห้าขาเต็กเกียร์แบบไม่มีลังเลเลยสักครั้ง
แถมพวกมันยังส่งผ่านความเชื่อผิดๆจากรุ่นสู่รุ่นอีกต่างหาก
โดยเฉพาะปีนี้
ที่สโมสรนักศึกษาประจำคณะสถาปัตย์กับวิศวะได้งบส่วนกลางมาจัดงานออกร้านเยอะกว่าสภาฯ
พวกมันเลยจัดกิจกรรมที่มีความเข้มข้นเต็มอัตราเอาไว้รับรองความสามัคคีของพวกเขาทั้งสองคณะอย่างสาสม...
แหม
เขาล่ะเหนื่อยจนไม่อยากจะชมพวกแม่งจนออกนอกหน้า...
...ไอ้พวกสภาฯสันขวานเอ๊ย!
ฝ่ายเต๋อร่างหมีก็อดเบาใจไม่ได้
หลังจากเสียงบ่นหงุงหงิงดังแว่วออกมาจากเจ้าของริมฝีปากแดงน่ามองคู่นั้น
เพราะกังฟูเงียบไปนานตั้งแต่พวกเขาออกจากฐานล่าสุด
ทว่าการบ่นสั้นๆด้วยเสียงเบาๆเท่านี้...ฟังดูไม่สมศักดิ์ศรีฟูซิลล่าแต่ประการใด...
แล้วเหตุไฉนที่เพื่อนร่วมทีมอย่างเขาจึงควรละเลยการรักษาภาพลักษณ์อันดีงามของคนตัวเล็กไปเสียล่ะ?!
“หึ! บ่นได้เป็นไอพ่นจนกูหูแฉะไปข้าง
แสดงว่าหายเหนื่อยจนสร่างแล้วสิมึง?” ...แหน่ะมีส่งสายตาอาฆาตมาดร้าย
สงสัยจะชอบให้เขาคอยกระตุ้นมากเลยสินะ
“ไอ้เหี้ยเต๋อ...นี่มึงใช้ตาหรืออะไรมอง?
...แฮ่ก แฮ่ก...
.
...คนเหนื่อยจะตายห่า
ยังจะมาแซวให้โกรธเพิ่มขึ้นไปอีก...ไอ้สัดหมาหน้าชราปัญญาควายเอ๊ย!!” กังฟูด่าไอ้ตัวโตหน้าทะเล้นสุดแรง...
แม่งเอ๊ย! คนยิ่งยั๊วะๆไอ้พวกสภาฯสัดหมาอยู่
เสือกจะมาแหย่แบบไม่ดูตามาตาเรืออีก!!
แต่ก่อนที่พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยจะได้เทศน์มหาชาติต่ออีกกัณฑ์
ผ้าขนหนูผืนเล็ก
หอมๆนุ่มๆ ผ่านการชุบน้ำเย็นและบิดจนหมาดก็ลอยมาโปะลงบนใบหน้าขึ้นสีแดงด้วยความร้อนของเจ้าของร่างเล็กขี้บ่นแบบทันควัน
“เฮ่อ! พอมีแรงแค่นี้ล่ะเอาใหญ่เลยนะ...
.
.
...ฮื่ม
อยู่นิ่งๆก่อนสิ...
...ดิ้นอย่างนี้จะหายเหนื่อยได้ยังไงห๊ะไอ้เตี้ยเอ๊ย!!” หนุ่มร่างหมีเจ้าของผ้าเย็นดับร้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง
พลางขยับมือเลื่อนผืนผ้าซับเบาๆไปทั่วใบหน้าเล็กๆของอีกฝ่ายที่ไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือเท่าที่ควร...
ดีเท่าไรแล้วที่กังฟูไม่แหกปากโวยวายจนไอ้หน้าหล่อผมยาวมันวิ่งมาแหกอกเขาเอาเสียก่อน
กว่าจะไล้ผ้าไปทั่วใบหน้าของคนตัวเล็กที่ขยันกระดุกกระดิกหนีดีเหลือเกิน...ก็เล่นเอาเต๋อเหงื่อตก
ถึงอย่างนั้น...ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็พอใจกับความคืบหน้าระหว่างเขากับกังฟูอยู่ไม่น้อย...
แค่อีกฝ่ายยอมปล่อยให้เช็ดหน้าเช็ดตาตามใจชอบโดยไม่ก่อความเดือดร้อนอื่นๆตามมา
เต๋อก็ถือว่าเหตุการณ์ครั้งนี้พิเศษควรค่าแก่การจารึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของชีวิตเป็นยิ่งนัก
ไม่ต้องห่วง...
หัวใจของฝ่ายที่ได้รับการปรนนิบัตรพัดวี เต้นถี่ด้วยจังหวะรุมบ้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กระนั้น...สิ่งที่ทำให้เจ้าตัวพะวงจนต้องหลบสายตาคมของเต๋อไปอีกข้างก็คือ
ท่าทางไม่ให้ความร่วมมือเมื่อครู่นี้
ดูไม่กระดี๊กระด๊า หรือให้ท่ามากไปใช่ไหม?...
เพราะนอกจากคนในครอบครัวแล้ว
ยังไม่เคยมีใครเอาใจใส่ดูแลเขาออกนอกหน้าโดยไม่ต้องร้องขอแบบที่เต๋อทำมาก่อน
กังฟูจึงไม่รู้ว่า
ตนเองควรแสดงปฏิกิริยาแบบไหนเพื่อให้เหมาะสมกับความรู้สึกที่ว่า ‘ไม่ได้รังเกียจ แต่เครียดเพราะทำตัวหวานๆไม่เก่ง’
(( และเกมที่เราจะเล่นร่วมกัน
คือ ยืนให้มั่น เพราะมันเสียวมาก!!
โดยเราจะมีอุปกรณ์ในการเล่นเกมให้แต่ละทีมเป็นกระดาษหนังสือพิมพ์คู่หนึ่งค่ะ
เห็นไหมคะ...
ว่าง่ายและสบายขนาดไหน
ทีมใดยืนเกาะกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่นบนกระดาษที่หดขนาดลงทีละครึ้งได้นานที่สุดสามทีมแรก
โดยไม่ล้ม และไม่มีอวัยวะส่วนใดแตะพื้นผิวที่ไม่ใช่กระดาษก่อนเวลาที่พวกเรากำหนดให้
พวกเราจะแจกคะแนนแจ็ตพ็อตให้ไปเลยค่า))
หนุ่มผมยาวสุดอาภัพที่โดนสองหนุ่มเพื่อนซี้ลากมานั่งยังอีกฟากก็ขาดการติดต่อกับโลกของกังฟูและเต๋อไปโดยปริยาย
การเฝ้าประกบข้างกายด้วงแบบไม่มีช่องว่างทางกายภาพของทั้งฌานและสกล
ทำให้รุ่นพี่วิศวะจดจ่ออยู่กับเกมที่จะเล่นโดยไม่ทันได้เห็นภาพบาดตาบาดใจเมื่อครู่
“นี่มันเกมอะไรเนี่ยะ
ใครมันจะไปเล่นได้?” ด้วงรำพึงรำพันกับตัวเองด้วยไม่อยากจะเชื่อประกาศจากสันทนาการกลางประจำฐานสุดท้าย...ใครไปขุดเกมนี้มาจากที่ไหน?
ทำไมสองปีก่อนถึงไม่เคยเล่น? แล้วกังฟูล่ะ...กังฟูจะเป็นอย่างไรบ้างถ้าต้องเล่นเกมนี้กับเต๋อ?!
ถึงอย่างนั้น...ไม่ว่าด้วงจะรู้สึกแบบไหน...ร้อนรนปานใด หากคนใกล้ชิดคือสกลแล้วล่ะก็
ความตายคงเป็นทางออกที่ง่ายกว่าโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดรอบสอง
เนื่องจากไอ้รุ่นน้องหน้าแว่นคนนี้...ไม่เคยมีความเห็นอกเห็นใจเผื่อแผ่ให้กับใครหน้าไหนที่ไม่สนิทด้วย...
อาห์...เขาซวยเองแหละที่จับได้มันเป็นเพื่อนร่วมทีม
“แหม
คุณพี่ด้วงครับ พวกเรามันก็ผู้ชายทั้งนั้น...
.
...คุณพี่ด้วงจะไปหวั่นอะไรกับอีแค่ยืนเบียดกันบนกระดาษขนาดเล็กๆ
จริงไหมครับพี่ฌาน?”
สกลหันไปถามฌานหน้าระรี่น การได้แกล้งคนอื่นช่วยทำให้หนุ่มหน้าแว่นแสนเกรียนยังคงยืนหยัดอยู่ได้โดยไม่เป็นลมไปเสียก่อน
“หึ! คุณพี่ด้วงคงอยากจะเปลี่ยนทีมไปเล่นเกมนี้กับคนอื่นล่ะมั้ง
เลยขาดกำลังใจจนงอแงไม่อยากจะเล่นอะไรเด็กๆแบบนี้” หากวันนี้สกลทำหน้าที่เป็นตัวชง
หน้าที่ของแฝดพี่คงจะหนีไม่พ้นตัวตบ... แถมตบแต่ละครั้งยังชวนให้คนถูกกระแนะกระแหนอย่างด้วงอยากจะสลบไปให้พ้นๆเสียก็ดี
“คุณพี่ด้วงครับ”
สกลเจื้อยแจ้วเจรจาต่อโดยไม่เปิดโอกาสให้ด้วงได้ปฏิเสธ “น้องสกลคงนอนตายตาไม่หลับ
หากห้าห้าสี่ของเราไม่สามารถรักษาสถิติหนึ่งในสามทีมแรกของการแข่งเกมสุดท้ายนี้เอาไว้ได้...
.
...ขอได้โปรดเห็นใจและให้ความร่วมมือกับน้องสกลแต่โดยดีเถอะนะครับ...
...น้องสกลอยากได้รางวัลติดมือกลับไปเยอะๆ
น้องสกลจะได้เอาเหรียญรางวัลไปประดับข้างฝาแทนปฏิทินลีโอของเมื่อห้าปีที่แล้วอ่ะครับ”
สกลเอ่ยอย่างอ้อล้อ พอๆกับสายตาออดอ้อนที่วอนให้ประเคนมะเหงกให้สักดอก
ใครเลยจะบอกได้ว่าสุดท้าย
ไอ้เด็กหน้าแว่นนี่จะมาไม้นี้...
แต่ถึงไอ้เด็กสองคนนี่จะไม่เอ่ยปากขอความร่วมมือจากเขาอย่างเมื่อครู่
ชายหนุ่มคงไม่มีทางต่อสู้แรงของชายร่างยักษ์ทั้งสองซึ่งจองจำขาซ้ายและขวาของเขาเอาไว้เป็นตัวประกันได้อยู่ดี...
วันนี้ช่างไม่ใช่วันของเขาเสียจริงๆ
(( เหลืออยู่แค่สี่ทีมที่ยังคงต่อสู้กันแบบไม่มีใครยอมใคร
เพราะฉะนั้นอย่าให้ต้องเสียเวลา...
เราให้พวกเขาพับกระดาษให้เหลือครึ่งหนึ่งของเอห้าแล้วมายืนกันเลยดีกว่าค่ะ))
หลังจากเกมสุดท้ายดำเนินมาอย่างดุเดือดได้ระยะหนึ่ง
แผ่นกระดาษหนังสือพิมพ์ก็หดลงเหลือจึ๋งเดียวชวนเสียวไส้
ในฐานะที่เต๋อเป็นศูนย์กลาง
จึงรับตำแหน่งกำกับทิศทางการเล่นมาตั้งแต่แรกเริ่ม
เมื่อเห็นพื้นที่ทรงตัวเป็นแผ่นกระดาษเล็กขนาดฝ่ามือ
ชายหนุ่มร่างหมีจึงออกคำสั่งอีกครั้งอย่างรวดเร็ว...
“เตี้ย
มึงมาปีนหลังกูนี่ ส่วนไอ้หัวจุกมึงยืนเอาปลายเท้าสับหว่างกับขากู...มึงยืนขาเดียวได้ใช่ไหม?”
ฌอนพยักหน้าเนือยๆแทนคำตอบ แฝดน้องรู้ว่าต่อให้ทุกคนฝีมือห่วยแค่ไหน...สุดท้ายแล้ว
ทีมของพวกเขาก็จะติดหนึ่งในสามอยู่ดี เพราะน้องพลายไม่มีทางยอมให้พ่อฟูสุดที่รักเหนื่อยฟรีแน่ๆ
“ทำไมกูต้องขี่หลังมึงด้วยไอ้สัดเต๋อ”
กังฟูแหวใส่เต๋อเพราะไม่พอใจกับคำสั่งล่าสุด
“หนอย! แค่ปล่อยให้กำหนดซ้ายขวาไม่กี่ตา อย่านึกนะว่ากูจะยอมไต่ขึ้นหลังมึงง่ายๆ...
.
...ได้คืบจะเอาศอกไม่มีใครเกินเลยนะไอ้ควายกระหายอำนาจ!!” ชายหนุ่มร่างเล็กเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะโดยพื้นฐานนิสัย
กังฟูไม่ชอบถูกใครบังคับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...เมื่อเรื่องที่ถูกมัดมือชกที่ว่า ทำให้ต้องเสียหน้าในสายตาคนหมู่มาก
“เออ!... มึงอยากจะแพ้ไอ้สองทีมนั้นก็แล้วแต่มึงเหอะ...
.
.
...ถ้าพวกไอ้สกลแม่งมาหัวเราะเยาะใส่หน้าเอาทีหลัง...
...ก็คิดซะว่าช่างแม่งแล้วกันเนอะไอ้เหี้ยเตี้ย”
เต๋อประชดประชันด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจต่างไปจากทุกครั้ง ก็ให้มันรู้กันไปสิว่ากังฟูจะทนอับอายหลังจากแพ้เกมปัญญาอ่อนพวกนี้ได้จริงๆ
หากถามหนุ่มร่างหมี...
สาเหตุที่เขาเจ้ากี้เจ้าการโน่นนี่ไม่ใช่เพราะเดือดร้อนกับชัยชนะเหมือนใครๆ
และถ้าต้องปล่อยมือให้คนอื่นมาเป็นกุนซือให้กับทีมจริงๆ
เขาคงยิ่งชอบใจ...เพราะจะได้เหนื่อยน้อยลงเป็นเงาตามตัว
แต่เพราะกลัวเหลือเกินว่า
หากไม่เจาะจงรายละเอียดว่าใครควรทำอะไร หรือทำแบบไหน
เดี๋ยวไอ้เด็กแฝดหัวจุกจะได้มายืนบดเบียดร่างกายแล้วหายใจรดเนื้ออ่อนของกังฟู
ให้เขายืนดูจนอกแตกตายกันพอดี
“แม่ง!!” กังฟูกระทืบเท้าปึงปังก่อนจะหันหลังแล้วยืนกอดอกด้วยความไม่พอใจคล้ายจะบอยคอตไอ้หมีควายเจ้าความคิด...
ร่างเล็กหงุดหงิดไปกันใหญ่เพราะหลงนึกภาพตัวเองขี่หลังเต๋อ แล้วดันเผลอหัวใจกระตุก
“เอ้าเร็ว! ขึ้นมา
จะเริ่มเล่นแล้วอย่าชักช้าไอ้เตี้ย! อยากโดนไอ้พวกห้าห้าสี่มันหยามเอาหรือไง?”
เต๋อย่อตัวนั่งยองๆกับพื้น
ฝ่ายที่ถูกกดดันด้วยข้อเสนอที่ไม่อาจทำใจยอมรับได้ง่ายๆ
ยืนมองหนุ่มร่างหมีนิ่งๆคล้ายกำลังชั่งใจ
สายตาของทั้งสองห้ำหั่นกันโดยไม่มีใครยอมใครอยู่ครู่หนึ่ง...แต่สุดท้ายก็เป็นกังฟูที่ยอมเสียฟอร์มอ้อมแอ้มออกมาก่อน
“ก็ขามันคล้องกันอยู่อย่างนี้
จะให้กูปีนขึ้นไปขี่หน้าท้องมึงหรือไง?” พอพูดจบ...กังฟูก็ก้มหน้างุดเพื่อหลบสายตาอีกฝ่ายที่เลิกคิ้วมองด้วยความตกตะลึง
ในเมื่อกังฟูยอมลดการ์ดลงถึงขนาดนี้...เต๋อจึงปิดปากเงียบกริบด้วยความยินดี
ก่อนที่จะตบแผ่นหลังตัวเองเบาๆเพื่อเชื้อเชิญคนตัวเล็กอย่างเป็นทางการ
“ขึ้นมาเถอะน่า
รับรองเชือกคล้องขาไม่หลุดหรอก” ในที่สุด...กังฟูก็ยอมทำตามคำบอกของร่างสูงโดยง่าย
ด้วยไม่อยากให้ทั้งหมดเสียเวลาไปกว่านี้ แถบอีลาสติกที่คล้องขาถูกเต๋อร่างหมีร่นขึ้นมาตามข้อเท้าของอีกฝ่ายที่ยกสูงขึ้นตามตัว
หลังจากที่ร่างเล็กอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะเจาะพอดี...
ก็ไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมาจากปากของสองหนุ่มรุ่นพี่ประจำทีมนี้ให้รำคาญหูอีกเลย
ซึ่งหากกำจัดเสียงรบกวนอื่นๆออกจนหมดสิ้น
เราคงได้ยินเสียงหัวใจสองดวงแข่งกันเต้นด้วยจังหวะรวดเร็วเป็นแน่
ณ
อีกฟากหนึ่งของการแข่งขันอันระทึกใจรอบนี้
ชายร่างสูงใหญ่สามคนกำลังตะเกียกตะกายทรงตัวให้อยู่บนแผ่นกระดาษใบน้อยที่พื้นกันอย่างขมักเขม้น
“สกล...อย่าเหยียบเท้าพี่!!” ด้วงเอ็ดเด็กหน้าแว่นผู้เขย่งปลายเท้าด้วยอาการอยู่ไม่สุขเนื่องจากไร้ทักษะทางการกีฬายิ่งกว่าผู้ใด
ความรู้สึกหนักอกหนักใจของหนุ่มผมยาวทบทวีคูณขึ้นอีกหลายเท่านับตั้งแต่รุ่นน้องต่างคณะทั้งสองใช้กลยุทธยืนประกบหน้าหลังโดยมีตัวเขาสอดเป็นไส้กลางอยู่ด้านใน...ก็แบบแซนวิชนั่นแหละ...
อะไรจะชีวิตแย่ได้ขนาดนี้วะ?!
“คุณพี่ด้วงกอดเอวผมได้นะครับ...น่าน
ขยับมาใกล้ๆอีกนิด” สกลที่สอดขาทั้งสองข้างเข้าประกบสับหว่างล็อคเข้ากับขาด้วงเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระเส่า
แต่นั่นไม่ได้ทำให้หนุ่มรุ่นพี่ตระหนกได้เท่ากับสัมผัสแนบแน่นตรงช่วงเอวที่ไม่คลายไปไหน
“นี่คุณ! ปล่อยเอวผมสิ!!” หนุ่มผมยาวสะบัดหน้ากลับไปต่อว่าร่างสูงใหญ่ที่ยืนซ้อนแผ่นหลังของเขาอยู่
“เปล่า...นั่นมือสกล
ผมอยู่ของผมเฉยๆ”
แฝดพี่ส่ายหัวดิกเพื่อยืนยันการปฏิเสธรัวๆ...ถ้าไม่กลัวว่าทีมจะเพลี่ยงพล้ำแพ้พ่าย
ฌานคงได้ชูมือทั้งสองขึ้นมาเป็นหลักฐานประกอบคำให้การไปแล้ว
“ขอโทษครับคุณพี่ด้วง
คุณพี่อย่าหวงพื้นที่ว่างช่วงเอวเลยนะครับ...ขอน้องสกลจับเพื่อทรงตัวสักครู่...
.
...อาห์...เอวของคุณพี่ด้วงคอดจัง
ชอบออกกำลังกายเหรอครับ?” อยู่ๆตัวต้นเหตุของการถกเถียงของสองหนุ่ม ก็กระซิบข้างหูหนุ่มรุ่นพี่ด้วยโดยไม่ลืมยิ้มกรุ้มกริ่มแถมให้
จนด้วงอดขนลุกแล้วพลั้งปากดุออกไปไม่ได้
“จับอย่างเดียว
ไม่ต้องพูดมาก!!” ท่าทางแปลกประหลาดเกิดคาดเดาของเด็กแว่น
ทำเอาด้วงสวดบทแผ่เมตตาให้ตัวเองอยู่พักใหญ่ โดยที่ชายหนุ่มรุ่นพี่ไม่ได้เฉลียวใจแม้แต่น้อยว่า
ท่าทางก้อร่อก้อติกของสกล คือ กลยุทธเบี่ยงความสนใจด้วงให้ออกห่างจากกังฟูโดยเด็ดขาด
ซึ่งสมุนเลวทั้งสองต่างหัวร่องอหายด้วยความถูกอกถูกใจอยู่ข้างในแบบไร้เสียง
“ไอ้น้อง
หันไปข้างหลังแล้วเขย่งปลายเท้าจิกกระดาษเอาไว้แต่อย่าให้ตัวมาโดนแฟนพี่...
.
...แล้วก็
เขย่งให้มันนิ่งๆล่ะ...ห้ามแพ้เด็ดขาดรู้ไหม?”
เก็กสั่งพลางจับไหล่ทั้งสองข้างของน้องตัวแถมให้บิดหันหลังให้ตัวเอง พอกำจัดส่วนเกินออกไปได้ดั่งใจ...อดีตเดือนมหาลัยก็หันมาจัดการกับคนข้างขวามือด้วยความนุ่มนวลผิดกันแบบเลือกปฏิบัติชัดๆ
“บูบู้ครับ
มานี่มะ” พ่อรูปหล่อสองมาตรฐานอ้าวงแขนออกกว้าง
พลางใช้มือข้างหนึ่งดึงข้อมือผอมๆของชายกลางจนร่างแกร็นเซถลาเข้ากระทบเข้ากับแผ่นอกแน่นๆด้วยความนุ่มนวลชวนเสียตัว
แล้วจึงอาศัยความกดดันของสถานการณ์ผนวกกับอาการหน้ามึน
รวบเอวของอีกฝ่ายให้ประชิดแนบสนิทกับลำตัวเพื่อประคองให้พวกเขาทั้งคู่ยงโย่ยงหยกอยู่บนปลายเท้าที่แตะลงบนกระดาษแผ่นเล็กๆเพียงหมิ่นเหม่ร่วมกับน้องตัวแถมได้อย่างมั่นคง
“...อ่า....พี่หมี...อือออ...
ทำแบบนี้...เอ่อ...จะดีเหรอครับ?...” บ๊วยที่เหวอจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
ยกมือทั้งสองข้างขึ้นยันแผ่นอกแน่นๆของแฟนจำเป็นเอาไว้พลางเอนตัวออกห่างจากอีกฝ่ายแบบอัตโนมัติ
ลองเขาไม่ขืนตัวเองดูสิ...มีหวังป่านนี้คงโดนอีกฝ่ายสูบทะลุเข้าไปสำรวจตับไตไส้อ่อนถึงไหนๆกันพอดี
“ได้ยังไงกันบูบู้
เฮียก็อยู่ข้างๆเนี่ยะ บูบู้จะไม่สู้ได้ยังไงกันล่ะ?” หนุ่มรูปหล่อหน้าตายเอ็ดอีกฝ่ายพอเป็นพิธี
ก่อนจะชี้โพรงให้กระรอก “ถ้าบูบู้ยืนเขย่งปลายเท้าแล้วเมื่อย
บูบูทิ้งน้ำหนักตัวลงมาได้เลยนะครับ” ...ซึ่งคนพูดคิดเองเออเองว่า
หากกระรอกทำเมินข้อเสนออันหอมหวานที่เขาโปรยล่อ พ่อเจ้าประคุณนี่แหละที่จะขอใช้จังหวะชุลมุนล่วงเกินอีกฝ่ายให้หนำใจเสียหน่อย
“เอ่อ...ครับ
ได้ครับ” บ๊วยรับคำอย่างอ้ำอึ้ง นี่ขนาดเตรียมใจว่าอาจจะมีการถึงเนื้อถึงตัวกับอดีตเดือนมหาลัยมาตั้งแต่ตอนประชุมวางแผนแล้วนะ
แต่พ่อพระเอกจะข้ามขั้นตอนเร็วเกินไปหน่อยไหม?... คือ ไม่ใช่อะไร...แค่ชายกลางหายใจไม่ทัน
(( เอาล่ะค่ะ...ตอนนี้ทุกทีมยืนบนกระดาษแล้วนะคะ
เรามาเริ่มนับถอยหลังกันเลยดีกว่าค่ะ
จะได้รู้ว่าทีมไหนเป็นผู้ชนะของรอบนี้เสียที...
.
...สิบ...เก้า...))
ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว...
เป็นสำนวนที่อธิบายอาการสำลักความสุขจนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของอดีตเดือนมหาลัยได้
เหมาะเจาะที่สุด
เพราะแม้จะระรื่นหน้าชื่นตาบานกับการโอบกอดกับบ๊วยเป็นครั้งแรกต่อหน้าธารกำนัล
ทว่าน้ำเปรี้ยวที่ดันขึ้นมาจนล้นคอหอย
ซึ่งคอยจะพ่นทะลักผ่านปากและจมูกตั้งแต่วินาทีแรกๆของการสัมผัสร่างกายอีกฝ่าย...กลับไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก
ยิ่งในช่วงแรกของการเล่นเกมซึ่งเข้มข้นแบบนี้ด้วยแล้วล่ะก็
เก็กจึงพยายามดูดน้ำลายจากทุกอณูในช่องปากเพื่อเจือจางรสเปรี้ยวปร่า โดยไม่ลืมตั้งองศา...เอียงใบหน้า
และเบี่ยงร่างกายเล็กน้อยให้อยู่ในพิกัดทางภูมิศาสตร์อันปลอดภัยต่อคน สัตว์ สิ่งของ
เผื่อว่าของที่เพิ่งย่อยเมื่อเช้าจะอยากปล่อยตัวพุ่งหลาวออกจากปากโดยไม่บอกกล่าวกันเสียก่อน
กระนั้น...การขยุกขยิกตัวของอดีตเดือนมหาลัยกลับทำให้คนตัวเล็กกว่าไม่ค่อยจะสบายใจนัก...
ก็นะ
เล่นยืนหันหน้าเข้าหากันโดยไร้ช่องว่างช่วงกลางลำตัวแบบที่อีกฝ่ายแค่หายใจแรงๆใส่...หัวใจก็สั่น
แล้วจะนับประสาอะไรกับการเคลื่อนไหวไปมาจนผิวกายใต้เนื้อผ้าเสียดสี
จนมีประจุไฟฟ้าแล่นแปล๊บปล๊าบให้วาบหวิวในอกแบบที่กำลังเป็นอยู่นี่กันล่ะ
“ฮื่ออออ
พี่หมี... พี่หมีอยู่นิ่งๆสิครับ” ชายกลางอ้อนวอนด้วยเสียงเบาหวิว แต่นั่นกลับทำให้คนฟังรู้สึกสยิวไปเสียนี่
(ปู๊ดดดดดดด...ปุ๊ด ปุ๊ด ปุ๊ด ปุ๊ด...)
หึ! และแล้วมันก็ตามมาเช็คอินจนได้...
...ไอ้พรงามไส้เอ๊ยยยย!!!
(...ปุ๋ง! ...)
แหน่ะ! ยังมีหน้ามาขยี้ตบท้ายให้ชายหนุ่มรูปงามต้องชีช้ำอีกดอก
อดีตเดือนมหาลัยปวดตับเพราะการสับขาหลอกอย่างเหนือชั้นของพรอันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อไทรทอง...
ไอ้ที่ตั้งท่ามาเสียดิบดีแต่แรกว่างวดนี้น้ำย่อยน่าจะหลั่งไหลชวนให้สยดสยอง
กลับกลายเป็นการผายลมยิงสลุตดังกึกก้องราวกับเสียงรัวกลองเชิดสิงโต
“เฮ๊ยไอ้น้อง! ยืนดีๆดิวะ แล้วก็อย่าตื่นเต้นจนตดดังขนาดนี้
มันเสียมารยาทเข้าใจไหม?” ในเมื่อหาตัวเลือกที่ดีกว่านี้ไม่ได้ อดีตเดือนมหาลัยจึงอาศัยน้องตัวแถมเป็นโล่ห์กำบังความผิดแก้ขัดไปก่อน
ใครเลยจะคิดว่าคนหน้าตาดี...จะมีจิตใจสูงส่งถึงเพียงนี้?!! เห็นทีจะไว้ใจกันเพราะระดับความล้ำหน้าของรูปกายภายนอกไม่ได้อีกต่อไปแล้ว!!!
“...ผม...” น้องตัวแถมผู้ถูกพาดพิงอย่างเสียๆหายๆหันมาแหงะมองรุ่นพี่ทั้งสองอย่างกระอักกระอ่วนชวนให้สงสาร
อ่านจากสีหน้าไม่มีทางสู้แล้ว...เด็กเต็กปีหนึ่งคนนี้คือแพะกลับชาติมาเกิด เพื่อให้ราชาแห่งพงไพร(เดียวกัน)ผู้มีดีกรีตอแหลเป็นเลิศอย่างเก็กโขกสับชัดๆ
“เอ๊ะยังไง?! ผู้ใหญ่บอกแล้วยังจะเถียงอีก...
.
...ยืนเงียบๆไปเลยไป
ตั้งใจเล่นเกมหน่อยดิ” อาศัยว่าพลิ้วและไวกว่า...อดีตเดือนมหาลัยเลยส่งสายตาเชือดเฉือนเหมือนจะฉีกเด็กสถาปัตย์ปีหนึ่งให้ขาดเป็นริ้วๆเพื่อปิดปากน้องตัวแถมไม่ให้กล้าหือ...ซึ่งก็ถือว่าได้ผลดีทีเดียว
“ครับ
ครับ”
((...หก...ห้า...สี่...))
(ปู๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!)
ถ้าไม่ติดว่ากำลังรักษาฟอร์มต่อหน้าคนร่างเล็กกว่า
เก็กคงทรุดตัวลง...จิกทึ้งหนังหัวตัวเองพลางดีดดิ้นอย่างทุรนทุราย
ความวัวยังไม่ทันหาย...แล้วทำไมความควายต้องรีบเข้ามาแทรกด้วยวะเนี่ยะ?!!!
“พี่หมีครับ”
บ๊วยเรียกเจ้าของอ้อมกอดชื้นเหงื่อเบาๆ “...ก่อนหน้านี้....ก็ของพี่หมีใช่ไหมครับ?”
ประโยคคำถามแสนสั้นที่ถูกถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงเรียบๆของชายกลาง
ฟังคาดคั้นชอบกล
“...”
อดีตเดือนมหาลัยที่จนต่อหลักฐานถึงกับต้องรับประทานจุดไข่ปลาเป็นอาหารว่าง
พลางหลบสายตาอีกฝ่ายก่อนจะไพล่ไปมองท้องฟ้าเอาดื้อๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ
ตอนกินวิบากเมื่อกี๊...พี่หมีกินโค้กกินขนมไปตั้งเยอะ... เค้าเข้าใจ” บ๊วยรีบอธิบายตามที่เข้าใจ
เพื่อไม่ให้ชายหนุ่มรูปงามตีความไปเป็นอย่างอื่น เขาไม่มีปัญหากับอาการผายลมดังฟังเร้าใจของอดีตเดือนมหาลัย...ทั้งยังจดจำเอาไว้ว่า
หนุ่มหล่อที่ตนหลงรัก มักจะตดถี่...แถมตดแต่ละที ยังมีดีที่เสียงคำรามอีกต่างหาก
เป็นเพราะบ๊วยไม่ได้แสดงออกว่ารังเกียจรังงอนตนเองตามที่หวาดกลัวไปล่วงหน้า
ธันวาเลยยอมสารภาพความจริงจนได้
“อืม...ก็คงอย่างนั้นแหละ”
“หึ
หึ... ทีหลังก็อย่าเที่ยวไปยัดข้อหาให้คนอื่นอีกนะครับ...
.
...ทำแบบนั้น
ไม่น่ารักเลยนะ...รู้ไหมครับพี่หมี?” ด้วยความนุ่มนวลของเนื้อเสียง ที่ส่งมาพร้อมกับรอยยิ้มพิมพ์ใจของบ๊วย
ช่วยให้คำตำหนิ กลายเป็นการแสดงความห่วงใยไปในพริบตา...จะมีใครอยากให้คนอื่นพูดจาว่าร้ายคนที่ตัวเองรักได้ลงคอ
“บูบู้โอเคเหรอที่เค้าตดดังน่าอายแบบนี้?”
อดีตเดือนมหาลัยกลั้นใจถาม เพราะเมื่อคิดตามหลักความจริง...การถูกแฟนกระหน่ำระเบิดตดใส่ในที่สาธารณะไม่ใช่เรื่องน่าตลก ที่มันน่าวิตกยิ่งไปกว่านั้น...คือ
ทั้งสองยังอยู่ในช่วงแรกทำความรู้จักกันด้วยนี่น่ะสิ แล้วถ้าเขามีข้อเสียน่าอับอายอย่างนี้...เจ้าของร่างเล็กในอ้อมแขน
จะให้คะแนนลบกับเขาสักเท่าไรกันล่ะ?
“โธ่! นี่มันเรื่องเล็กน้อยเองพี่หมี...
.
...คนหน้าตาไม่ดีก็ตดดังครับ”
พอเห็นคนพูดที่ยิ้มทั้งปากทั้งตา ความกังวลแทบบ้าเพราะเสียงตดฟ้าผ่า...ดูน่าปัญญาอ่อนไปในทันที
“ก็จริงเนอะบูบู้เนอะ
เหอะ เหอะ เหอะ” อดีตเดือนมหาลัยคิดตาม ก่อนจะหลุดปากหัวเราะด้วยความสบายใจ ฝ่ายที่เฝ้ามองปฏิกิริยาของเก็กโดยไม่คลาดสายตาก็สำทับเข้าให้อีกระลอก
“คราวหน้า...พี่หมีต้องกล้าทำกล้ารับนะครับ”
“ถ้าบูบู้รับได้
เค้าก็จะไม่ปิดบังอีกต่อไปครับพ้ม!!” เก็กรับคำอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงร่าเริงเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ความเข้าใจและยอมรับได้ของแฟนในนาม ทำให้อดีตเดือนมหาลัยเริ่มจะมั่นใจว่า ตนเองไม่น่าจะนกเพราะผลข้างเคียงจากพรของเจ้าพ่อไทรทองอีกแล้ว จากนี้ไป...จะตดสะเทือนจนเรือนไหว
หรือเรอยาวราวกับเสียงหวูดรถไฟ ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของบ๊วยได้แน่ๆ
(ปู๋ววววววววววววววว!)
“แหะ
แหะ” อดีตเดือนมหาลัยได้แต่ยิ้มแหยๆส่งให้ชายกลางที่กลั้นหัวเราจนตัวสั่นเพราะเอฟเฟคสุดพิสดารเหลือหลายของสายลมวัดใจเฮือกเมื่อครู่
((..สอง...หนึ่ง..
และแล้วเราก็ได้ผู้ชนะสามทีมสุดท้ายแล้วค่ะ
อุ้ยตาย! ไม่น่าเชื่อนะคะว่า หมายเลขทีมของผู้ชนะทั้งสามจะเรียงกันสวยงามขนาดนี้...
พวกเราช่วยกันปรบมือให้กับทีมทั้งสามด้วยค่า!!))
ทันทีที่หลุดพ้นจากพันธนาการในรูปอ้อมกอดของทั้งสองหนุ่มแห่งทีมห้าห้าสี่
รุ่นพี่ผมยาวก็ตั้งท่าจะออกตัวไปหากังฟูที่เพลียจนผล็อยหลับคาแผ่นหลังของหนุ่มร่างหมีไปได้พักใหญ่
ถึงอย่างนั้น
ผู้ที่เสียรู้ให้กับสกลและฌานมาตั้งแต่แรกออกตัวอย่างเขา
จะเอาอะไรมาต่อกรกับสมุนตัวเก๋าทั้งสองขององค์เทวบุตรได้
ระหว่างที่ด้วงกำลังว้าวุ่นใจกับภาพบาดตา
แฝดพี่หันไปพยักหน้าให้สัญญาณกับเพื่อนรักหน้าแว่นทันที
จากนั้น...เด็กสถาปัตย์ทั้งสองก็ออกแรงลากขาเดินด้วยความเร็วสูง
ด้วยหวังจะพุ่งตัวผ่านเข้าเส้นชัยอย่างสวยงามตามลำดับที่สกลหมายมั่นเอาไว้
นั่นจึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้...
หากไส้ในผู้ไม่อาจมีปากเสียงอะไรอย่างด้วง
จะต้องจ้วงฝีเท้าไปด้านหน้าพร้อมๆกับเพื่อนร่วมทีมทั้งซ้ายและขวาผู้บ้าพลัง
ก็ตัวเองดันพูดให้สองหนุ่มฟังก่อนการแข่งขันเองนี่ว่า
อยากรีบกลับไปนอนผึ่งพุงที่ห้อง
ลูกสมุนทั้งสองแห่งเจ้าพ่อห่อไหล่
จึงอยากจะสนองความต้องการให้หนุ่มรุ่นพี่ผู้แสนดี ได้ในสิ่งที่ปรารถนา
หมดเวลาของการเอ้อระเหยชมนกชมไม้
ต่อไปคือการแข่งขันเพื่อช่วงชิงรางวัลใหญ่สำหรับห้าสิบอันดับแรกแล้ว!!!
หลังจากชะเง้อคอเฝ้ามองหาเงาของกังฟูอยู่หลังเส้นชัยอยู่เกือบชั่วโมง
ทีมซึ่งประกอบด้วยหนุ่มหล่อผูกหัวจุก
กับร่างกายใหญ่หนาที่มีลูกลิงตัวเล็กใส่หมวกปิดหน้าปิดตาเรียบร้อยหลับคาหลังอยู่ก็ค่อยๆคืบคลานผ่านเข้าเส้นชัยจนได้
คนรอด้วยความร้อนอกร้อนใจก็วิ่งเข้าไปชาร์จลูกทีมที่หลับอยู่ของเต๋อโดยไม่รอช้า
“ส่งฟูมาให้เรา”
แม้จะเป็นการขอร้องแกมบังคับ แต่เมื่อคำพูดถูกประดับด้วยใบหน้าไล่แขกของด้วง...ก็ทำให้เต๋ออดนึกถึงหมาหวงเจ้าของขึ้นมาไม่ได้...
หนอย...แค่อยู่ห่างกันไม่กี่ชั่วโมงมันยังชักสีหน้าเหมือนใกล้จะตาย
ไว้วันไหนจะแอบลักพากังฟูไปซ่อนให้หายหัวไปสักสามสี่เดือน
คงจะสะเทือนกล่องดวงใจของไอ้หล่อได้ดีพิลึก
“กูก็ไม่ได้ห้ามอะไรมึงนี่”
ความหงุดหงิดที่พวยพุ่งขึ้นมาทันทีที่คิดว่าต้องคืนกังฟูไปสู่อ้อมอกของคนฉวยโอกาส คือแรงผลักดันให้เจ้าของร่างหมีตวาดอดีตเพื่อนด้วยท่าทียียวนกวนประสาทเป็นที่สุด
“นายมัน!!” ...ด้วงขึ้นเสียงด้วยทนไม่ไหวกับท่าทีไม่น่าไว้ใจของเต๋อ
วันนี้เขาตั้งจะฉะกับอีกฝ่ายให้รู้เรื่องกันไปเสียที แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะจับอารมณ์ของเขาได้เป็นอย่างดี
“ก็เอาเซ่...
ถ้าอยากให้มันตื่นนัก ก็พูดกันให้รู้เรื่องไปเลย” ชายหนุ่มต่างคณะลอยหน้าลอยตาพูดจาท้าทายโดยไม่คิดจะปล่อยมือที่ช้อนร่างเล็กๆบนแผ่นหลังสักวินาที
ทั้งสองต่างก็รู้ดีว่า...หากกังฟูได้รับรู้ความจริงทุกอย่าง
เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่ออย่างด้วง
ย่อมต้องแบกรับความเสียหายจากอาการเสียใจและผิดหวัง รุนแรงกว่าเต๋อ...ที่เข้าหาพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยแบบไม่มีหมกเม็ดมาตั้งแต่แรก
“.....ฮึ่ม!!...” ด้วงถอนหายใจฮึดฮัด ก่อนจะเข้าไปช้อนตัวกังฟูที่หลับสนิทด้วยความเหนื่อยอ่อนออกจากแผ่นหลังซึ่งอาบโขกไปด้วยเหงื่อของเต๋ออย่างเบามือ
หนุ่มผมยาวอุ้มร่างเล็กเอาไว้แนบอกระหว่างเดินกลับไปที่รถ โดยไม่สนใจสายตาคมของคนเบื้องหลังที่มองทั้งสองไม่วางจนร่างสูงเดินลับหายไป
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
และแล้วก็ถึงเวลาของงานเลี้ยงและคอนเสิร์ตช่วงเย็น
เหล่านักศึกษาของทั้งสองคณะ พร้อมด้วยบรรดาอาสาสมัครจากส่วนกลางที่ตรากตรำกับการแข่งขันอันหฤโหดมาเกือบทั้งวัน
ก็กลับมารวมตัวกันในสภาพหล่อสวยแบบจัดเต็ม
เหล่าสมุนเลวที่ออกตัวกันปาวๆว่าไม่ค่อยเห่องานเลี้ยงและแสงสีเสียงสักเท่าไร
ก็อาศัยจังหวะที่คนยังบางตา...คว้าเอาที่นั่งวิวแจ่มด้านหน้ามาไว้ในครอบครองก่อนที่ตะวันจะตกดินเสียด้วยซ้ำ
“ไงไอ้แว่น ห้าห้าสี่ของมึงเข้าที่เท่าไร?” เต๋อที่เพิ่งตามมาสมทบกับห้าสมุนเลวร้องทักตัวแทนทีมบ้านใกล้เรือนเคียง ทั้งที่ยังไม่ทันจะหย่อนก้นลงนั่งร่วมโต๊ะ
“สามสิบเอ็ดครับพี่...
ห้าห้าสี่ สุดยอดไปเล้ยยยย!!” สกลตะโกนก้องด้วยท่าทางหยิ่งผยองพองขนจนน่าหมั่นไส้
ทว่านั่นกลับยังไม่สาแก่ใจของหนุ่มหน้าแว่น ที่วินาทีนี้ขึ้นหม้อเสียเหลือเกิน
“ได้ข่าวว่าห้าห้าสามปวกเปียก
แบบที่เรียกว่าอ่อนจนหนอนยังคลานเร็วกว่าเลยนี่ครับ” พ่อมหาฯของกลุ่มปรายตาพลางเชิดหน้าเยาะเย้ยรุ่นพี่ร่างหมี
กับเพื่อนร่วมทีมอีกคนโดยไม่ให้น้อยหน้ากัน ซึ่งเบื้องหลังของการปีนเกลียวน่าเหนี่ยวใส่ของสกล...เป็นเพราะสมาชิกร่างเล็กอีกคนยังไม่โผล่มาตีหน้าเหี้ยมให้พวกเขาเจียมตัวเสียที
“หึ! ถ้าทีมกูไม่มีไอ้เหี้ยเตี้ย
คงดีกว่านี้” แม้เต๋อจะยอมรับสภาพกลายๆ แต่ก็ไม่วายจะป้ายความผิดให้คนอื่นอยู่ดี
ถึงอย่างนั้น
บทสนทนาระหว่างเต๋อกกับเหล่าสมุนเลวทั้งห้าก็มีอันต้องสิ้นสุดทันควันเมื่อหนุ่มร่างหมีเหลือบไปเห็นกังฟูกับด้วงเดินอาดๆมายังโต๊ะที่พวกเขานั่งอยู่
“ตัวห่าอะไรก็ไม่รู้ ตายยากฉิบหาย” เต๋อลอบกัดอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้าย
แล้วจึงหันไปกำชับชายกลางให้ระวังตัว “บ๊วย
มีอะไรเรียกกู”
“ครับ
ครับ” บ๊วยไม่ได้แค่รับปากพี่รหัสเท่านั้น หากแต่ยังแอบส่งสายตาหาอดีตเดือนมหาลัยที่นั่งข้างๆให้เตรียมพร้อม
ทางฝั่งคนรอจังหวะแทะโลมแฟนจำเป็นจนใจแทบขาด
ก็ปราดเข้าคลอเคลียอีกฝ่ายแบบสั่งได้ราวกับมีใครแตะโดนสวิตช์
บรรยากาศอี๋อ๋อหยอกล้อกันของสองหนุ่มโดยไม่สนคนทั้งโลก
ทำให้พี่ชายหน้าหวานกระแทกตัวลงนั่งยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่โดยไม่ต้องให้ใครเชื้อเชิญ
ถึงจะโมโหขึ้นตา...ทว่ากังฟูกลับไม่ลืมกระชากแขนเพื่อนรักที่ปรากฏกายในคราบหญิงสาวเต็มยศให้นั่งข้างๆกัน
“บูบู้อาบน้ำแล้วสบายตัวขึ้นไหมครับ?”
เก็กเปิดประเด็นล่อพี่ชายให้กระวนกระวายนั่งไม่ติด และมันคงจะไม่ผิดอะไรหากเขาจะยื่นหน้าเข้าไปคุยใกล้ๆกับหน้าของแฟนในนามเมื่อทั้งหมดนั่งอยู่ท่ามกลางเสียงอึกทึกคึกโครม
“ดีขึ้นมากเลยครับ
แล้วพี่หมีล่ะ เหนื่อยมากไหม? อยากกินอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวเค้าไปตักมาให้ดีกว่า” บ๊วยจำเป็นต้องยื่นหน้าเข้าใกล้ใบหน้าของแฟนจอมปลอมเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะได้ยินสิ่งที่เขาต้องการจะบอก
แต่ชายกลางเกือบพูดอะไรไม่ออกเพราะ ณ ขณะนี้...ดวงหน้าหล่อเหลาที่เขาเฝ้าฝันถึงทุกค่ำคืน
อยู่ห่างจากปลายจมูกไปไม่ถึงคืบดี...
ฝ่ายดีตเดือนมหาลัยกลับนึกชอบอกชอบใจกับบรรยากาศในตอนนี้เสียเหลือเกิน
เพราะเสียงยิ่งดังมากขึ้นเท่าไร
เขากับบ๊วยก็จะได้เข้าใกล้กันมากขึ้นเท่านั้น
แล้วโอกาสที่อวัยวะบนใบหน้าจะเผลอแตะโดนกัน...ย่อมจะมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
แต่การนัวเนียระหว่างสองหนุ่มกลับถึงคราวต้องยุติลงเพียงเท่านั้น
เมื่อชายหนุ่มร่างเล็กหน้าหวานที่พาลติดอันดับโลก
เริ่มจะโขกสับว่าที่น้องสะใภ้โดยให้อารมณ์คุณหญิงแม่แซะพจมานอย่างไรอย่างนั้น
“ไอ้บูบู้
กูอยากกินแหนมข้อไก่ ไข่ปลาหมึก ส้มตำน้ำตกซกเล็ก บะหมี่เกี๊ยวปูหมูแดง
ข้าวขาหมูเอาแต่คากิกับหนัง กระเพาะปลาไม่เอาเส้นหมี่ ยำมาม่าเพิ่มตีนไก่
แล้วก็ผัดไทยกุ้งสด มึงช่วยไปเอามาให้กูหน่อย” หลังจากเสร็จสมอารมณ์หมาย กังฟูก็นั่งส่ายปลายเท้ากระดิกไปมาเพื่อก่อกวนสายตาของผู้พบเห็นด้วยความสะใจ
“สั่งเยอะขนาดนี้
เฮียฟูจะกินหมดเหรอครับ?”
บ๊วยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
ฟังจากออเดอร์ยาวเหยียดเมื่อครู่...ดูจากปริมาณแล้วน่าจะสูสีกับจำนวนชนิดอาหารในงานโต๊ะจีนลิงสามพระกาฬมากกว่านำมารับประทานเพื่อประทังความหิว
“ช่างหัวกู
มึงแค่ต้องไปเอามา... หรือว่าอยากมีเรื่องห๊ะไอ้บูบู้?” กังฟูที่ตัวเล็กกว่าอาศัยความเถื่อนถ่อยเข้าข่ม
“ครับ
ครับ รอเดี๋ยวนะครับเฮียฟู เดี๋ยวผมไปเอามาให้” บ๊วยรับคำแล้วผละจากโต๊ะไปโดยไม่ปริปากบ่น
แต่คนเดือดเนื้อร้อนใจที่สุดกลับกลายเป็นอดีตเดือนมหาลัยซึ่งไม่พอใจกับท่าทางวางก้ามของพี่ชายตนเองเป็นอย่างยิ่ง
“บูบู้
เดี๋ยวเค้าไปช่วย!”
เก็กหยัดตัวขึ้นยืนพลางตะโกนเรียกรั้งแฟนในนามเอาไว้ แต่ยังไม่ทันที่ก้นปอดๆของยอดชายจะลอยพ้นจากเก้าอี้...เสียงแผดก้องของพี่ชายตัวดีก็ดังขึ้น
“ไอ้เหี้ยเก็ก
มึงนั่งลงเดี๋ยวนี้!!” กังฟูถลึงตาจิกมองน้องชายอย่างไร้ปรานี
เมื่อพี่ชายล้ำเส้นก่อน...
อีกฝ่ายก็อาศัยความหน้าด้านเป็นเกราะกำบัง แล้วตั้งป้อมประสานสายตาต่อสู้หาผู้แพ้ผู้ชนะทันที
ซึ่งสถานการณ์ความบาดหมางตรงหน้าทำเอาผู้ร่วมโต๊ะที่เหลือพากันนั่งเอี้ยมเฟี้ยมอย่างเจียมตัวด้วยกลัวลูกหลง
ก่อนการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างพี่น้องจะบานปลายกลายเป็นศึกสายเลือด...
เต๋อกลับออกโรงยื่นมือเข้าช่วยเหลืออดีตเดือนมหาลัยผู้ว้าวุ่นใจได้ว่องไวจนน่าชื่นชม
“ไอ้เก็ก! มึงรีบตามไปช่วยบ๊วย! เดี๋ยวทางนี้กูจัดการเอง” อดีตเดือนมหาลัยส่งสายตาขอบคุณไปให้พี่รหัสของบ๊วย
ก่อนออกวิ่งตามแฟนในนามของตัวเองไปอย่างรวดเร็ว
“ไอ้เหี้ยเต๋อ!!” กังฟูที่โมโหจนหน้ามืดเผลอดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้เพื่อชี้หน้าอีกฝ่าย
“ฟู
เราไปนั่งโต๊ะอื่นกันดีไหม?” ด้วงเสนอแนะทางเลือกอื่นให้เพื่อนรักเพราะชักจะอดรนทนไม่ได้กับกลยุทธเรียกร้องความสนใจแบบแนบเนียนจนกังฟูไม่นึกเอะใจของคู่แข่งหัวใจอย่างเต๋อ
แต่ขึ้นชื่อว่าดื้อดึงไม่มีใครเกิน...คนตัวเล็กจึงเมินแล้วบอกปัดทางเลือกของด้วงอย่างไร้เยื่อใย
“ไม่!!! ใครอยากย้ายย้ายไป
กูจะอยู่จิกหัวใช้ไอ้บูบู้แม่งให้เหนื่อยตายไปเลย!!”
ระหว่างหยุดยืนสอดส่ายสายตามองหาร่างผอมบางของแฟนปลอมๆที่คลาดกันไปไม่ถึงนาที
เสียงใสๆของคนคุ้นเคยที่ดังอยู่ใกล้ๆตามด้วยสัมผัสเบาๆตรงต้นแขน
ทำให้อดีตเดือนมหาลัยจำใจต้องหันไปหาอีกฝ่ายอย่างไม่มีทางเลือก
“เก็ก!” คนที่เอ่ยปากร้องเรียกเก็กเอาไว้มีสีหน้าดีใจอย่างปิดไม่มิด
ธันวาเลื่อนสายตาพินิจร่างเล็กตรงหน้าอย่างละเอียดละอออีกครั้งหลังจากห่างหายกันไปเกือบปี
ชายหนุ่มร่างเล็กคนนี้
มีเนื้อมีหนังมากกว่าผู้เป็นเจ้าของฉายาชายกลาง...ทว่ากลับดูบอบบางน่าทนุถนอมหาใดเปรียบ
ใบหน้าสวยหมดจดนั่นก็ดูดีเกินหน้าความงามสะกดสายตาของพี่ชายตัวเอง
ขนาดไม่ต้องเพ่งยังบอกได้ว่า กังฟูดูแมนกว่าอีกฝ่ายอยู่หลายโยชน์...
จะแปลกอะไร
หากที่ผ่านมา...ชายหนุ่มเจ้าของนามว่าอคิราผู้นี้ จะมีศักดิ์เป็นเจ้าของหัวใจ...ผู้ทำให้เขาหลงใหลในความงดงามที่ว่าแบบไม่ลืมหูลืมตามาตลอดหลายปีที่ผันผ่าน...
แต่นั่น...ก็เป็นเพียงเรื่องในอดีตที่คงจะไม่หวนกลับคืน
“อ้าวอิ๊ก
มาคนเดียวเหรอ?” อดีตเดือนมหาลัยชักแขนที่ถูกเกาะกุมกลับมาวางแนบข้างลำตัว พลางมองหาร่างๆผอมบางหัวฟูๆของใครคนหนึ่งท่ามกลางหมู่นักศึกษาหลายร้อยคน
ที่พร้อมใจกันออกเดินหาอาหารว่อนไปทั่ว โดยชายหนุ่มไม่คิดจะรักษามารยาทประสาคู่สนทนาที่ดีแม้แต่น้อย
“อิ๊กขอคุยกับเก็กหน่อยได้ไหม?”
อคิราพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกเจ็บจี๊ดตรงกลางใจเมื่อสัมผัสได้ถึงความหมางเมินเหินห่างของอดีตคนรักอย่างเห็นได้ชัด
“อืม...เอาสิ”
เก็กยังไม่วางตาจากการไล่สายตาหาบ๊วยให้เจอ...
ชายหนุ่มนึกหงุดหงิดตัวเองไม่หายที่เผลอเล่นเกมจ้องตาท้าทายกังฟูนานไปหน่อย
เขาไม่นึกเลยว่า...แค่ปล่อยบ๊วยให้เดินหายเข้าสู่คลื่นฝูงชนไปก่อนตัวเองไม่ถึงนาที
จะมีเรื่องยุ่งยากตามมาแบบนี้...
แบบที่ปรากฏในรูปของคนตรงหน้า
ซึ่งเมื่อมองจากแววตาและสีหน้าแล้ว ก็รู้ว่าการเจรจาแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ก็ไม่อาจจัดการเรื่องระหว่างเขากับอีกฝ่ายให้สำเร็จเสร็จสิ้นไปโดยง่ายดายแน่ๆ
“เก็กคบกับคนนั้นแล้วเหรอ?”
อิ๊กพยายามบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่นจนฟังไม่รู้เรื่อง
“อืม
ใช่” อดีตเดือนมหาลัยรับคำง่ายๆ เขาไม่กระดากปากหรือกระดากหัวใจอีกต่อไปเมื่อต้องยอมรับซึ่งซึ่งหน้าว่าตนเองเป็นอะไรกับบ๊วย
“เก็กรักเค้ามากใช่ไหม? รักเค้ามากกว่าเราอีกเหรอ?...
.
...เก็กรักเค้าตั้งแต่เมื่อไร?...
...ทำไม?...ทำไมถึงรักเขาล่ะเก็ก?”
อดีตเดือนบริหารเอ่ยคำถามด้วยน้ำเสียงครางเครือ...
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คำถามเหล่านี้หลุดออกจากริมฝีปากอวบอิ่มน่าจูบของเขา
ทว่าเมื่อเด็กสถาปัตย์ผู้มาใหม่ถูกรวมอยู่ในชีวิตของคนคุ้นเคย...
จากที่คิดว่าทำใจได้จนรู้สึกเฉยๆกับคนรักเก่า
เลยกลายเป็นต้องเจ็บปวดและโศกเศร้าขึ้นมาอีกครั้ง...
ความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนอกหักเป็นบ้าเป็นหลังทั้งที่เวลาล่วงเลยมาเป็นปี
ทำให้อคิรารู้สึกแปลกใจกับอาการผีเข้าผีออกของตัวเองไม่น้อย
“..........” เพราะรู้ตัวดีว่าไม่อาจคลุกคลีกับความรู้สึก
หรือแม้แต่เอ่ยพาดพิงถึง ‘ความรัก’ ได้ อีกทั้งเจ้าตัวไม่พร้อมจะขายตัวเองทอดตลาดให้ใครหัวเราะเยาะใส่ อดีตเดือนมหาลัยจึงปล่อยให้อีกฝ่ายเติมคำในช่องว่างแทนความนัยที่เขาไม่อาจแตะต้อง
ซึ่งแน่นอน...สำหรับคนถูกทิ้งโดยไร้เยื่อใย คงไม่วิ่งเข้าใส่กลุ่มคำตอบที่จะช่วยทำให้หัวใจสว่างไสวเป็นแน่แท้
“ตลอดเวลาที่คบกัน
อิ๊กทำผิดอะไรเหรอเก็ก?...
.
...ทำไมล่ะเก็ก...ทำไมเก็กทำกับอิ๊กแบบนี้?”
คนเสียใจโผตัวเข้ากอดร่างหนาของแฟนเก่าทั้งน้ำตา... ทว่าอนุสติในใจอิ๊กกลับทุ่มเถียงกันจนสับสนวุ่นวายว่า
กับเรื่องเก่าๆของคนรักที่ไม่เห็นค่า ทำให้เขาก่อดราม่าจนน่าอับอายแบบนี้ได้อย่างไร?!!
“เปล่า...
อิ๊กไม่ผิด ปัญหามันอยู่ที่ตัวเก็กเอง” อดีตเดือนมหาลัยทั้งตกใจ และเริ่มจะรู้สึกไม่ปกติขึ้นมาตามลำดับ
เก็กพยายามแกะแขนทั้งสองข้างของร่างบางให้หลุดพ้นตัว แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะกลายร่างเป็นตุ๊กแกไปเรียบร้อย...แล้วอย่างนี้เขาไม่ต้องคอยให้ฟ้าผ่าลงมาก่อนหรือ
ถึงจะเอามือทั้งสองข้างของอิ๊กออกจากตัวได้?!
“เรากลับมาคบกันได้ไหมเก็ก?
เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม? อิ๊กอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเก็กนะ” ถ้อยคำอ้อนวอนด้วยความอาลัยพรั่งพรูออกจากริมฝีปากของอิ๊กราวกับมีใครป้อนข้อมูลสั่งการ...นานเท่าไรแล้วที่เขาเลิกคิดเรื่องกลับมาคบหากับอีกฝ่าย?!
“อิ๊ก...
อิ๊กฟังเก็กให้ดีๆนะ...
.
...เก็กยังบอกเหตุผลที่เราเลิกกันให้อิ๊กฟังตอนนี้ไม่ได้...
เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเรา มันต้องใช้เวลาสักพัก...
...ถ้าอิ๊กอยากรู้ว่าเหตุผลที่ทำให้เราเลิกกันเป็นเพราะอะไรจริงๆ...
...เก็กก็อยากให้อิ๊กอดใจรออีกไม่นาน...
...รับรองว่าพอถึงวันนั้น
เก็กจะบอกความจริงทุกอย่างให้อิ๊กรู้เป็นคนแรกเลยล่ะ” อดีตเดือนมหาลัยชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมให้แฟนเก่ายอมปล่อยเขาให้เป็นอิสระ
ซึ่งชายหนุ่มไม่ได้พาดพิงถึงเรื่องใดๆที่ไม่อาจเปิดเผยได้ตามข้อตกลงร่วมกันระหว่างเหล่าสมุนเลวกับเจ้าพ่อทั้งสององค์ บอกตรงๆ...ตอนนี้เขาเอาแต่พะวงอยู่กับการตามหาบ๊วยให้เจอมากกว่าเรื่องอื่นใด
“ได้...อิ๊กรอได้
อิ๊กจะรอ แต่ระหว่างนั้น...ขออิ๊กกลับมาอยู่ข้างๆเก็กได้ไหม? นะ...นะเก็กนะ” คนพูดหลับหูหลับตากอดคนตัวสูงสง่าเอาไว้แน่น
ในขณะคนเป็นแฟนเก่าก็เอาแต่ดิ้นรนให้หลุดพ้นจากวงแขนเหนียวแน่นของอีกฝ่าย พลางสอดส่ายสายตามองหาบ๊วยโดยไม่หยุดหย่อน...
.
.
...เหตุการณ์หลังจากนั้นเหมือนกับเรื่องตลกร้าย
ซึ่งหากใครเจอกับตัวเองคงจะขำไม่ออก...
...ใครกันจะคิดว่า...
คนที่อยากจะเจอหน้าที่สุด จะเดินเข้าสู่กรอบสายตาในเวลาคับขันและพัวพันเช่นนี้
และที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นเห็นจะเป็น
เมื่อบ๊วยเดินเข้ามาใกล้และเห็นความเป็นไปที่เกิดขึ้นตรงหน้า...
ร่างเล็กกลับหมุนตัว
แล้วก้าวขาวิ่งหนีไปพร้อมกับแววตาเจ็บปวดอย่างที่สุด...
...งานงอกแล้วเห็นไหมไอ้เก็ก?!!!
“บูบู้!” อดีตเดือนคณะตะโกนเรียกแฟนกำมะลอของตัวเองเสียดังลั่น พลันใช้ฝ่ามือยันร่างแบบบางของอิ๊กไปให้พ้นทาง
แล้วกระโจนตามแผ่นหลังเล็กๆของบ๊วยไปโดยไม่คิดจะปล่อยให้คลาดสายตาอีกต่อไป... ชายหนุ่มใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ก็สามารถฉวยคว้าหัวไหล่ของบ๊วยเอาไว้ได้
“บูบู้ครับ
รอเค้าด้วย” เพียงหมุนเบาๆ ร่างบางๆก็หันกลับมาประจันหน้ากับตนตามต้องการ...แต่สายตาสุกใสคู่นั้น
กลับมองผ่านเขาไปโดยไม่ใยดี และนี่เป็นเพียงอาการเริ่มต้นของความน้อยใจของอีกฝ่ายที่ค่อยๆแง้มพรายออกมาให้อดีตเดือนมหาลัยได้รับทราบ
“พี่หมีไปคุยกับคุณอิ๊กเถอะ
เดี๋ยวเค้าจะรอนาน” ชายกลางที่ยังอึ้งกับภาพแสดงความรักของทั้งสองหนุ่มเอ่ยอย่างเลื่อนลอย...นั่นปะไร
น้อยใจแน่ๆ
“ไม่เป็นไรครับ
เค้าคุยเสร็จแล้ว... มา! เดี๋ยวเค้าไปช่วยถือ...
.
...ของกินเยอะแยะแบบนี้
จะปล่อยบูบู้ไปคนเดียวได้ยังไง...
...เดี๋ยวเฮียฟูก็สงสัยพอดี” เป็นเพราะอดีตเดือนมหาลัยประจบเอาใจโดยไม่แบไต๋เสียทีเดียว
ใจคนฟังเลยทั้งฟูทั้งเหี่ยวไปพร้อมๆกัน... แต่สิ่งที่เป็น ณ
เวลานี้...ยังก็ดีกว่าที่จะปล่อยให้ธันวากลับไปหาคนเก่าแบบเมื่อครู่ตั้งไม่รู้กี่เท่า
“อืมๆ
ไปสิ เฮียฟูกับคนอื่นจะได้ไม่ต้องรอนาน เดี๋ยวจะหิวจนเป็นลมกันไปเสียก่อน” บ๊วยพยักหน้าตอบรับหลังจากสติกลับเข้าร่าง
เขาจะต้องหัดใจกว้างให้มากกว่านี้ เนื่องจากทั้งหมดนี่
ไม่ใช่ภารกิจเพื่อตัวเขา...หากแต่เป็นการคืนช่วงเวลาแห่งความสุขให้กับคนตรงหน้า
และเขาต้องไม่ลืมว่า...ธันวาจะกลับไปหาคุณอิ๊กเมื่อล้างพรของเจ้าพ่อไทรทองได้
“ไอ้บูบู้แม่งไปตายที่ไหนวะ?...
หรือว่ามันกับไอ้เก็กจะแอบหนีไปจู๋จี๋กัน” กังฟูเปรยเสียงดัง
แต่ยังไม่ทันที่ใครจะโต้ตอบ...คนตัวเล็กก็สรุปความด้วยตัวเองเสร็จสรรพ
“ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ...
...สัดหมาเอ๊ย!! ถึงว่าสิ พอกูจิกหัวใช้...ไอ้บูบู้ถึงได้ยอมกูง่ายๆโดยไม่มีข้อโต้แย้ง...
...ไอ้เด็กบูบู้แม่งมารยาสาไถยไม่มีใครเกินจริงๆ!!...
.
.
...ไปด้วง! ไปตามไอ้เก็กกับไอ้เด็กหน้าจืดกัน!!” กังฟูฉวยข้อมือของเพื่อนรักให้ลุกขึ้นตามตัวเองที่ตั้งท่าพร้อมวิ่ง
แต่เสียงร้องห้ามจริงจังของรุ่นน้องหน้าแว่นทำให้ชายหนุ่มทั้งสองชะงักค้างกลางอากาศ
“คุณพี่ด้วงครับ
รอก่อนครับ... เดี๋ยวทีมเราต้องไปรับรางวัลกับทั่นประธานครับ” สกลจำเป็นต้องเตือนความจำของสมาชิกร่วมทีมรุ่นพี่ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า...ผู้ชนะห้าสิบทีมแรก จะต้องเข้ารับเกียรติบัตรเป็นที่ระลึก
“งั้นเดี๋ยวมึงตามกูไปแล้วกัน...
เสร็จแล้วมึงค่อยโทรมา / เดี๋ยวฟู!!!” กว่าที่ด้วงจะทัดทาน คนตัวเล็กที่ลนลานเพราะการหายตัวของน้องชายกับแฟนหน้าจืดก็วิ่งฝ่าดงโต๊ะจัดเลี้ยงหายเข้าไปในคลื่นมหาชนจนมองไม่เห็นเงา
ทำเอาหนุ่มผมยาวถึงกับถอนใจพลางกระแทกตัวใส่พนักเก้าอี้อย่างรุนแรง
“อ้าวพี่เต๋อ! พี่เต๋อจะไปไหนครับ? ไม่ดูห้าห้าสี่ขึ้นไปรับรางวัลกับทั่นประธานบนเวทีก่อนเหรอ?”
หนุ่มหน้าแว่นร้องทักรุ่นพี่ร่างหมีที่ลุกออกจากโต๊ะไปด้วยท่าทางร้อนรน...ชักจะไม่เหลือคนอยู่ร่วมแสดงความยินดีกับห้าห้าสี่อันเกรียงไกรของเขามากเท่าที่ควรจะเป็นเสียแล้วสิ
“อ่อ...เอ้อ
กู...กูปวดเยี่ยว ไปนะ!! มีไรโทรเรียกกูแล้วกัน” เต๋อเอ่ยลวกๆ ก่อนจะหายตัวไปอีกคน
“พี่ฌานครับ
ผมว่า...เราต้องบอกให้บ๊วยพาพี่รหัสไปตรวจร่างกายประจำปีที่โรงพยาบาลสัตว์หน่อยแล้วล่ะครับ...
.
...อาการแรกเริ่มยังหนักขนาดฉี่นานจนต้องโทรตาม
ขืนปล่อยโรคนี้ให้ลุกลาม...
...เดี๋ยวจะหามไปส่งพี่ๆสัต(ว)แพทย์ไม่ไหวเอานะครับ”
สกลเผารุ่นพี่ร่วมขณะอย่างเมามัน ซึ่งนั่นทำให้ด้วงรู้สึกไม่สบายใจ เพราะแค่เพื่อนรักหายไป...ใจเขาก็ห่วงจะแย่
แต่ที่น่าหนักใจ คือ ท่าทางลุกลี้ลุกลนของเต๋อเมื่อครู่
ที่ดูก็รู้ว่าจงใจปลีกตัวไปตามหากังฟูแน่ๆ
“หึ
หึ หึ” แฝดพี่หัวเราะชอบใจกับความคืบหน้าของแผนการ และความอลหม่านของผู้คนที่รายล้อมรอบตัว
“เหี้ยเตี้ย...
มึงจะไปไหน?” เต๋อกระชากร่างของกังฟูเข้าหาตัวหลังจากข้อมือเล็กๆถูกเขาตรึงเอาไว้เมื่อครู่
คนที่โดนจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวหันกลับมาแยกเขี้ยวใส่แล้วด่าไล่ทันที
“ไอ้สัดเต๋อ
ตามมาทำไมเนี่ย? ปล่อย!! กูจะไปตามน้องกู”
“น้องมึงแม่งโตจนหมาเลียก้นไม่ถึงแล้วนะไอ้เตี้ย...
...ไม่ต้องออกไปเที่ยววิ่งไล่ตามหรอก
อีกเดี๋ยวมันก็กลับมาหามึงเองน่ะแหละ” เต๋ออธิบายตามความเข้าใจ
ชายหนุ่มไม่เห็นด้วยกับการตามตูดน้องชายตัวเองต้อยๆ
เพื่อคอยขับไล่ไสส่งผู้ชายที่มีจิตปฏิพัทธ์กับอดีตเดือนมหาลัยจนหัวไม่ได้วางหางไม่ได้เว้นอย่างที่กังฟูกำลังเป็นอยู่
เพราะลำพังแค่ได้เฝ้าดู...เขาก็อดรู้สึกเป็นห่วงคนตัวเล็กกว่าขึ้นมาไม่ได้
“ปล่อย!! มึงจะพากูไปไหน?” กังฟูตะคอกถามคนที่ลากเขาให้ออกเดินไปยังทิศทางตรงกันข้ามโดยไม่บอกกล่าว
ความกังวลใจเรื่องที่หมายดูจะไม่สำคัญเท่าไร
หากเทียบกับมือไม้ของอีกฝ่ายที่ยังไม่คลายออกจากข้อมือของเขาเสียที
สัมผัสของคนร่างสูงใหญ่...ทำให้ความคิดของเขากระเจิดกระเจิงจนยุ่งเหยิงไปหมด
“หิวไม่ใช่เหรอ?”
กว่าเต๋อจะรู้ตัวว่าเผลอหลุดปากถามร่างเล็กด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเจือความเป็นห่วง ก็เมื่ออีกฝ่ายที่เดินตาม
เอ๋อจนก้าวขาไม่ออกก่อนนั่นแหละ หนุ่มร่างหมีจึงรีบปรับท่าทีก่อนที่อีกฝ่ายจะผิดสังเกต
“แดกข้าวกัน...
.
...ไป!...
...เร็วดิ๊!!...
...เดี๋ยวก็หิวตายหรอก
หรือมึงป๊อดเลยไม่กล้าไปแดกข้าวกับกูสองคน?” คนพูดท้าทายกังฟูด้วยหน้าตายียวนกวนประสาท
คำปรามาสที่เพิ่งผ่านหูทำให้กังฟูหลงกลจนลืมเสียงอ่อนเสียงหวานก่อนหน้าของอีกฝ่ายไปชั่วคราว
“อย่านึกว่ากูไม่กล้านะไอ้เหี้ยเต๋อ...
.
...เฮอะ! กินก็กิน คนอย่างกูเคยกลัวมึงที่ไหน?” กังฟูแสยะพลางส่งสีหน้าไม่ยั่นกับการลูบคมใดๆของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
แต่ไม่บ่อยนัก...ที่การกินข้าวเย็น จะทำให้พี่ชายตัวเล็กของอดีตเดือนมหาลัยใจเต้นเป็นบ้าเป็นหลังได้เท่ากับครั้งนี้
แค่ได้ยินกังฟูตบปากรับคำก็ทำให้เต๋ออิ่มเอมทั้งที่ยังไม่ได้กินอะไร...
ในที่สุดเขาก็ได้กินข้าวกับอีกฝ่ายสองคนเสียที
อย่างน้อยๆวันนี้ก็ถือว่า...ความสัมพันธ์ของเขากับกังฟูดูจะคืบหน้ามากกว่าที่แอบหวังเอาไว้
คิดได้ดังนั้น...ชายหนุ่มร่างหมีจึงเดินจูงมืออริตัวน้อยปรี่เข้าไปสอยของกินทั้งหลายแหล่โดยไม่แชเชือน
หลังจากการต่อสายหากังฟูเป็นครั้งที่ครึ่งร้อยล้มเหลวไม่เป็นท่า
นิ้วมือเรียวสวยดั่งลำเทียนของชายหนุ่มผมยาวในเสื้อและกางเกงสีพาสเทลก็กระดกน้ำสีอำพันลงคอรวดเดียวหมดแก้ว
ซึ่งนั่นชวนให้คนที่นั่งจ้องมองมาโดยตลอดอดเป็นห่วงในสวัสดิภาพของอดีตเพื่อนร่วมทีมไม่ได้
“คุณพี่ด้วงครับ...
ใจเย็นๆเถอะครับพี่...
.
...น้องสกลร่วมแสดงความยินดีกับห้าห้าสี่ด้วยสปีดเร็วเท่าพี่ไม่ไหวหรอกครับ”
หนุ่มหน้าแว่นที่นั่งคลึงแก้วพลาสติกในมืออยู่นานสองนานหันไปแสดงความเป็นห่วงเป็นใย
โดยหวังให้อีกฝ่ายชะลอการรับแอลกอฮอล์เข้าร่างกายให้ช้าลง ทว่า...คงไม่เป็นผล
เพราะคนฟังยังไม่หยุดกรอกเหล้าเข้าลำคอด้วยความเร็วพอๆกับการดื่มน้ำเปล่า
“พี่ฌานครับ...
ช่วยห้ามคุณพี่ด้วงหน่อยสิครับ คุณพี่ด้วงกินเหล้าฉลองเยอะเกินไปแล้วครับ” สกลหันไปขอความช่วยเหลือจากแฝดพี่
ผู้ที่น่าจะมีวิธีในการกำราบอีกฝ่ายให้ผ่อนฝีเท้าลงได้บ้าง
“ปล่อยไปเถอะสกล
น้ำเชี่ยวขนาดนี้ เราอย่าเอาเรือไปขวาง” แฝดพี่ที่กำลังรื่นรมย์กับบรรยากาศในงานตอบด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ฌานแยกแยะได้ว่าคนอยากเมากับคนเรียกร้องความสนใจแตกต่างกันตรงไหน...ซึ่งไม่ว่าดูอย่างไร
รุ่นพี่ต่างคณะคนนี้ก็น่าจะเป็นอย่างหลัง ซึ่งการกินเหล้าไม่ยั้ง...อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการบังหน้าที่ต้องอาศัยความเมามายเป็นข้ออ้างแหงๆ
“แล้วฌอนไปไหนอ่ะครับพี่ฌาน?”
สกลที่เอาแต่ตื่นเต้นกับการได้ขึ้นไปรับรางวัล เพิ่งจะนึกสงสัยเอาตอนที่แฝดน้องหายตัวไปได้ราวๆเกือบชั่วโมง
แต่นั่นกลับไม่น่าตกใจเท่ากับท่าทางผ่อนคลายของชายหนุ่มผู้เป็นพี่ที่จับจ้องการแสดงจินตลีลาบนเวทีด้วยสายตาแวววาวราวกับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
“ไม่รู้เหมือนกัน ไปหาอะไรกินมั้ง...เห็นหายไปพร้อมๆกับคู่รักนั่นแหละ”
ฌานตอบแบบขอไปที
“อ้าว! แล้วคุณพี่ด้วงล่ะครับ? เฮ่ย! หายตัวไปไหนแล้ว?” หนุ่มหน้าแว่นร้องเสียงหลงเมื่อคนเมาหายตัวไปจากม่านสายตา
นี่มันอะไร?...ทำไมคืนนี้ใครๆถึงไม่มาอยู่เป็นสักขีพยานให้กับความสำเร็จของห้าห้าสี่ที่เขารักโดยพร้อมเพรียงกันล่ะ?!!
“ช่างเถอะ...
เดี๋ยวพอหาเฮียฟูกับพี่เต๋อเจอ ก็คลำทางกลับมาได้เองน่ะแหละ”
ฌานปลอบเพื่อนรักส่งส่ง พ่อหนุ่มยังคงไม่วางตาจากระบำของเหล่าเด็กอนุบาลตัวน้อยๆที่เหล่าคนจัดงานแอบไปเต๊าะเด็กครุฯปีท้ายๆให้ช่วยเป็นธุระจัดการ
“พี่ฌาน
สกล... แล้วคนอื่นไปไหนกันหมดล่ะ?” บ๊วยที่เพิ่งกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับของกินที่แทบถือไม่หวาดไม่ไหวโพล่งถามเพื่อนทั้งสองด้วยสีหน้าประหลาดใจ...แล้วใครจะจัดการของกินบานเบือเหล่านี้กัน?!
“คุณกรกฏโมโหหิวจนรีบออกไปหากินกันตามประสาตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว...
.
.
...ส่วนพี่เต๋อก็ลาไปฉี่
หายไปนานแบบนี้ ดีไม่ดีคงลากอะไรไปกินในห้องน้ำด้วยกันแล้วล่ะมั้ง...
...คุณพี่ด้วง
กับฌอน... ใช้วิชานินจาโคงะหายสาปสูญไปนานจนเพื่อนจำหน้าไม่ได้แล้วครับ” คำอธิบายของสกลทำให้คนฟังอย่างเก็กและบ๊วยได้แต่มองหน้ากันงงๆ
ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ตัดสินใจนั่งลงจัดการกับอาหารกองพะเนินตรงหน้าไปเรื่อยเปื่อยหลังจากที่เหนื่อยกับการเข้าแถวรออาหารตามรายการของกังฟูจนครบตามสั่ง
หลังจากนั้น...การแสดงบนเวทีและคอนเสิร์ตก็ทำให้พวกเขาทั้งสี่มีความสุขจนลืมไปเลยว่า
เพื่อน..หรือรุ่นพี่คนไหน หายหัวไปจากงานนี้แล้วบ้าง
เมื่อเหตุการณ์ชวนสับสนที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อหัวค่ำผ่านพ้นไป
อดีตเดือนบริหารก็แอบหลบมานั่งสงบสติอารมณ์ตรงม้านั่งข้างๆบ่อปลาคาร์พซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบริเวณจัดงานสักเท่าไร
เขากำลังใคร่ครวญถึงบทสนทนา
และท่าทีอ่อนแอจนน่ารำคาญของตัวเองที่เผลอตัวแสดงต่อหน้าแฟนเก่าด้วยความไม่เข้าใจ
อิ๊กสามารถพูดได้เต็มปากว่า
หลังจากเลิกกันมาเกือบปี...
ขณะนี้
เขาไม่มีความรู้สึกใดๆหลงเหลือให้อดีตเดือนมหาลัยอีกต่อไป พูดง่ายๆก็คือ... หากบังเอิญอีกฝ่ายเดินผ่านหน้า
ตัวเขาก็สามารถพูดคุยกับเก็กได้โดยไม่เจ็บปวดหัวใจ หรืออาลัยอาวรณ์จนต้องกลับมานอนจมน้ำตาเหมือนเมื่อช่วงแรกๆ
กระนั้น...การกระทำและคำพูดของเขาช่วงไม่กี่วันมานี่
ช่างขัดกับความรู้สึกภายในอย่างสิ้นเชิง
อคิรารู้สึกสูญเสียความเป็นตัวเองเป็นพักๆ
โดยเฉพาะเวลาที่เห็นอดีตคนรักอยู่กับแฟนใหม่
เมื่อนั้นเขาจะแสดงออกว่ายังอยากได้ตำแหน่งแฟนเก็กแบบแทบขาดใจอยู่ไม่วางวาย...คล้ายๆกับโดนอะไรเข้าสิง
ตกลงเขาเป็นอะไร?
ทำไมอยู่ๆถึงอยากได้เก็กจนตัวสั่น... ทั้งๆที่หมอนั่นกลายเป็นแค่อดีตที่เขาโละให้เซียงกงไปตั้งแต่ปีที่แล้ว...ทำไมนะ?!!
ความสันโดษที่อดีตเดือนบริหารปรารถนา
กลับอยู่เป็นเพื่อนเขาเพียงไม่นาน...
เพราะอยู่ๆร่างสูงและหนาเท่าฝาบ้านของใครคนหนึ่งก็เดินมานั่งลงข้างๆอย่างถือวิสาสะ...
อะไรจะไร้มารยาทได้ขนาดนี้?!
“นายอีกแล้วเหรอ?”
อิ๊กเอ่ยทักชายหนุ่มผู้ที่เขาไม่รู้จัก แต่มักจะบังเอิญโผล่มาในเวลาที่เขามีเรื่องต้องครุ่นคิดเสมอ...
นี่ก็ครั้งที่สองเข้าไปแล้ว
“พี่พลายไม่อยากให้คนน่ารักนั่งเศร้าอยู่คนเดียว...
ขอพี่พลายนั่งด้วยสักพักแล้วกันนะขอรับ” หลังจากต้องทนเห็นคนตรงหน้าซึมเศร้าซ้ำแล้วซ้ำ
พลายซึ่งเฝ้ารอให้ความว้าวุ่นใจไหลบ่าท่วมขีดจำกัดที่รับได้ของร่างกายแฝดน้อง ก็ย่องกลับเข้ามาครองร่างของฌอนเอาไว้
แล้วจึงอาศัยจังหวะนี้ทำความรู้จักกับ ‘คนน่ารัก’ อีกครั้งโดยไม่รับฟังเสียงประท้วงของแฝดผู้น้องที่กู่ร้องก้องอกเพื่อขอร่างคืนไม่ขาดปาก
“..........”
อิ๊กถึงกับพูดไม่ออก
เพราะไม่ว่าจะฟังคำพูดคำจาของอีกฝ่ายสักกี่ครั้ง
อคิราก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับในสำบัดสำนวนของชายหนุ่มผู้นั่งข้างๆไม่ได้อยู่ดี...
ลึกๆแล้วก็อยากจะหันไปถามอีกฝ่ายให้รู้กันไปว่า...
เกิดผิดสมัย
สมองไม่ปกติ หรือว่าตอนเด็กๆนึกอุตริเอาหัวไปโขกหนังสือพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นเล่นบ่อยๆ?
ทำไมถึงพูด
‘ขอร้ง ขอรับ’ ได้จ้อยๆ โดยไม่รู้สึกแปลกประหลาดใจสักนิด?!!
“นี่ขอรับ...
พี่พลายให้ในครัวจัดมาฝาก รับของว่างเสียหน่อยนะขอรับ...จะได้ไม่หิว” พลายยื่นกระทงข้าวเกรียบปากหม้อกับสาคูพร้อมผักเคียงที่จัดอย่างสวยงามให้กับอีกฝ่ายที่ยังดูงงๆและไม่พูดจาโต้ตอบใดๆ
เจ้าตัวทำท่าบุ้ยใบ้ให้ผู้รับลงมือจัดการของว่างหน้าตาเย้ายวนโดยเร็วด้วยไม่อยากให้เสียรสชาติเพราะถูกปล่อยให้เย็นชืด
แฝดน้องที่ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ชมอยู่ภายในร่างของตนเอง
แอบลุ้นตัวโก่งด้วยความกังวลเป็นอย่างยิ่งว่า ‘คนน่ารัก’ ของเขาทั้งคู่ จะไม่พอใจแล้วเดินหนีไปเหมือนการพบกันครั้งแรกหรือไม่...
เพราะคราวนี้ เขากับน้องพลายไม่ได้ทำหน้าที่เป็นแค่ ‘คนนั่งข้างๆ’ อย่างที่ตั้งใจ หลังจากยื่นกระทงใบตองเล็กๆให้อีกฝ่ายไปเมื่อครู่
.
.
.
.
.
.
.
.
“ขอบใจนะ”
อิ๊กยิ้มน้อยๆตบท้ายคำขอบคุณให้กับชายหนุ่มสุดประหลาดที่เขาก็ไม่รู้จักมักจี่มาก่อน
แล้วจึงลองชิมของว่างที่ยังคงร้อนและหอมกรุ่นด้วยความเต็มอกเต็มใจ...
อย่างน้อยๆ
การมีใครสักคนเป็นห่วงเป็นใยเราบ้างในยามที่เราสับสน
บรรยากาศหม่นๆก็ดูจะสดใสขึ้นมาได้อีกเยอะทีเดียว
“อิ่มฉิบหาย
สบายกระเป๋า!” คนพูดดูดขี้ฟันดังแจ๊บๆ
แต่เศษอาหารที่ดื้อด้านเกินรับมือทำให้ชายหนุ่มกรีดธนบัตรสีเทาใบใหม่จนคมกริบแล้วหยิบมาใช้แทนไม้แคะฟัน
“ไอ้คนไม่มีมารยาท”
กังฟูที่เดินอยู่ข้างๆถึงกับทำหน้าตารังเกียจเดียดฉันท์อีกฝ่าย ค่าที่กักขฬะเกินหน้าเกินตาผู้ใดที่เขาเคยวิสาสะด้วย
แถมยังจะมีหน้ามาอวดรวยด้วยการใช้แบงค์พัน...หึ! ไอ้เศรษฐีไม่มีกำพืดเอ๊ย!!
แต่อย่าหวังว่าคำด่าเบาะๆเพียงแค่นี้จะย่ำยีบีฑาอุราพองโตของเต๋อได้
เพราะหลังจากอาหารมื้อใหญ่ใต้แสงนีออนกับคนที่ตนหมายตาจบลง
ชายหนุ่มร่างหมีก็รู้สึกยินดีปรีดาหาใดเปรียบ
“...(เอิ๊กกกกกกกกกกกกกก!)....” ชายหนุ่มร่างหมีกลับมิได้นำพาแถมยังกล้าเรอใส่หน้าอีกฝ่ายเสียยกใหญ่...
ในใจเต๋อคิดเพียงอย่างเดียวว่า ใบหน้าของกังฟูยามตกอกตกใจ หรือไม่เห็นดีเห็นงามด้วยนี่ก็ดูตลกดี
หนุ่มสถาปัตย์เลยรวบรวมอากัปกิริยาที่ไม่สมควรทำเหล่านี้
มาแสดงต่อหน้าคนตัวเล็กด้วยความเต็มอกเต็มใจ
“ไอ้สัดเต๋อ!!!.....
กังฟูต้องพลอยหักห้ามคำด่าตามท่าทีระวังภัยแบบฉับพลันของเต๋อ
เมื่อเงี่ยหูฟังด้วยความตั้งใจ เขาก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังมีปากเสียงกันดังอยู่ไม่ห่าง
พอรู้ตัวอีกที...เขาก็ถูกคนข้างๆลากให้เดินตามหลังเข้าไปใกล้เสียงทะเลาะวิวาทนั้นทันที
“มึงเป็นอะไรของมึงอีกเนี่ยะ?
จะพากูไปไหน?” คนตัวเล็กแหวใส่เพราะไม่เข้าใจสถานการณ์ แน่ล่ะ...เพราะเขาตัวสูงแค่ไหล่ของอีกฝ่าย
เขาจะมองเห็นได้ไกลสักแค่ไหนกันเชียว
“รีบเดินเหอะน่า...
ไม่ห่วงเพื่อนมึงเหรอไง?” เต๋อไม่อธิบาย...ทว่าคำพูดทิ้งท้ายกลับให้กังฟูต้องซอยเท้าตามด้วยความงุนงง
“เฮ่ย
ปล่อย!”
ร่างสูงที่เดินนำหน้าใช้เสียงนำไปก่อน เพื่อให้ฝ่ายที่กำลังตะลุมบอนทำร้ายร่างที่เพิ่งไหลลงไปนอนกองกับพื้นยุติการกระทำทั้งหมด
กังฟูที่เพิ่งเห็นภาพตรงหน้าก็ถลาเข้าใส่กลุ่มผู้ชายสามสี่คนที่ยืนล้อมร่างสูงใหญ่ซึ่งนอนหมอบอยู่กับพื้น
“ด้วง!!” กังฟูร้องเรียกเพื่อนที่ยังติดอยู่กลางวงของชายหนุ่มที่พวกเขาไม่รู้จัก“พวกมึงปล่อยเพื่อนกูเดี๋ยวนี้นะ!!”
คนตัวเล็กถลกแขนเสื้อปราดเข้าหาคนร้ายตรงหน้าโดยไม่เสียเวลาสักวินาที
“ปล่อย! มึงไม่รู้หรือไงว่างานนี้เค้าห้ามมีเรื่อง...
แต่ถ้าอยากนัก ตัวตัวกับกูก็ได้” เต๋อรีบเดินตามเข้าไปขวางร่างเล็กของกังฟู
ก่อนจะข่มขู่พวกนั้นให้รู้ถึงนรกที่รออยู่หากพวกมันไม่ให้ความร่วมมือ...
ขนาดตัวที่ต่างกัน กับใบหน้าถมึงทึงจนน่าหวั่นทำให้ชายหนุ่มเหล่านั้นล่าถอย เข้าใจว่าคงไม่มีใครอยากแลกกับชายหน้าถ่อยร่างหมีเพื่อเจ็บตัวฟรีๆหรอก
“ด้วง!! ด้วง!!” กังฟูช้อนร่างเพื่อนรักที่นอนแบ็บอยู่กับลานจอดรถขึ้นมาหนุนตักพลางลูบหน้าลูบตาพร้อมกับร้องเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยความตกอกตกใจอย่างที่ไม่เคยเป็น
เพราะตลอดมา...เขาไม่เคยปล่อยให้ทั้งน้องชาย หรือด้วงโดนใครดูถูก เหยียดหยาม หรือหาเรื่องแล้วเดินลอยชายหายหน้าไปโดยไม่โดนต่อยหน้าหงายมาก่อน
“.....อือออออ....
ฟู ฟูไปไหนมา เราตามหาตั้งนานแหน่ะ” คนพูดที่ดูจะเมามายมากกว่าถูกทำร้ายถามเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้
“ด้วง...ทำไมถึงแดกเหล้าจนเมาเป็นหมาแบบนี้วะ?”
กังฟูถึงกับส่ายหัวอย่างอ่อนใจให้กับเพื่อนที่เมาจนหมดสภาพ ชายหนุ่มร่างเล็กถึงกับจนคำด่า
เขาเอาแต่นั่งลูบหน้าลูบตาเพื่อนรักให้กลับมาได้สติโดยเร็ว เต๋อร่างหมีที่ยืนมองเพื่อนรักทั้งสองอยู่ครู่ใหญ่จึงตัดสินใจแทนให้เสร็จสรรพ
“มึงไปขับรถเลย เดี๋ยวกูอุ้มมันเอง” เต๋อยื่นกุญแจรถของตัวเองที่จอดอยู่ตรงซองด้านหน้าส่งให้กังฟูก่อนจะพยุงร่างด้วงขึ้นมาจากพื้น “แดกเหล้าไม่ดูหนังหน้าเลยไอ้ห่าด้วงหนิ” เขาก่นด่าคนเมาไปตลอดทาง
ค่าที่ต้องทั้งลากทั้งพยุงร่างหนาซึ่งไม่ต่างจากตนเองเท่าไรขึ้นบันไดสามชั้น เพื่อไปส่งยังห้องพักประจำมหาวิทยาลัยที่ทั้งสองหนุ่มใช้ต่างที่ซุกหัวนอน
“ให้กูช่วยอะไรหรือเปล่า?”
เต๋อที่เก้ๆกังๆเอ่ยถามกังฟูที่ทำโน่นทำนี่ไม่มีหยุดพักตั้งแต่พวกเขาทั้งหมดมาถึงห้อง
“ไม่ต้องหรอก...
มึงกลับไปเถอะ เดี๋ยวกูดูมันเอง” ร่างเล็กที่นั่งอยู่บนเตียงชั้นล่างตอบพลางเอาผ้าชุบน้ำหมาดเช็ดไปตามใบหน้าของเพื่อนรักที่นอนแผ่หลังจากพ่ายแพ้ให้กับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์อย่างหมดรูป
“กูไปนะ” เต๋อร่ำลาด้วยหวังว่าคนตัวเล็กจะหันกลับมามองหน้าตัวเองสักครั้งให้ชื่นใจ
ทว่า...สิ่งที่หวังเอาไว้ ไม่เกิดขึ้นจริง เพราะกังฟูยังคงหันหลังให้เขาเหมือนเดิม
“ไม่ขอบใจกันหน่อยเหรอ?”
เต๋อตั้งใจกวนโมโหอีกฝ่ายเพื่อเรียกร้องความสนใจแบบที่ชอบทำ แต่มันกลับไม่น่าขำเมื่อคนตัวเล็กยังเห็นคนเมาสำคัญกว่าตัวเอง
“จะไปเมื่อไรก็ล็อคห้องให้กูด้วยแล้วกัน”
กังฟูยังคงวุ่นวายกับใบหน้าของสุดหล่อที่นอนหลับตาพริ้มไม่มีสิ้นสุด จนคนมองชักจะฉุดอารมณ์คุกรุ่นด้วยความไม่พอใจเอาไว้ไม่อยู่
“ไปแล้วนะ” น้ำเสียงของหนุ่มร่างหมีเบาลงตามระยะทางที่เขาเดินหันหลังให้สองหนุ่มที่จมอยู่ในโลกส่วนตัว
เต๋อต้องหักห้ามใจหันหลังให้ร่างเล็กที่เริ่มจะโวยวายใส่อารมณ์กับคนตัวใหญ่ที่ไม่ให้ความร่วมมือผิดจากเมื่อครู่...
...ประตูหน้าห้องปิดลงพร้อมกับความรู้สึกหน่วงในอก
เมื่อเต๋อเข้าใจแล้วว่า
ตัวเองยังห่างชั้นกับคนสำคัญอย่างด้วงอยู่มากนัก
“ด้วง!
โธ่โว้ย...
ใครใช้ให้มึงแดกเหล้าเยอะแบบนี้...
.
...ดูดิ๊
ลำบากกูฉิบหาย...
...
มึงอยู่เฉยๆดิวะ
จะปล่อยให้แม่งนอนเน่าก็ไม่ได้... เหม็นเหล้าฉิบหายเลยสัด!” กังฟูบ่นอุบ
แต่ก็ไม่หยุดทำความสะอาดเนื้อตัวให้เพื่อนรัก
“อือออออออ” คนเมาครางอย่างสุขสมเมื่อผ้าผืนน้อยลากผ่านลำคอลงไปตามแนวกระดุมเสื้อเชิ้ตที่คนตัวเล็กเพิ่งปลดให้
“ฟู.... ฟู.....ฟูหายไปไหนมา...” สองมือของคนเมาไล่คว้าเอาร่างของเพื่อนรักที่นั่งอยู่ข้างๆเข้ามากอดเสียเต็มรัก
“ไอ้สัด!
ปล่อยซี่!!....
.
...กูอยู่นี่แล้ว...
มึงจะกอดกูหาพระแสงอะไรวะ?...ปล่อยยยยยยย!!!” ร่างเล็กพยายามดิ้นขลุกขลักเพื่อให้หลุดจากอ้อมแขนแข็งแกร่งของคนไร้สติ
แต่ดูเหมือนว่ายิ่งขยับตัว คนเมาก็ยิ่งมั่วยิ่งมึนเกินคาดเดา
“ฟู....
ฟู....” สิ้นเสียงเรียกหาเพื่อนรัก คนเมาพลิกตัวขึ้นแล้วกดร่างเล็กให้นอนหงายบนฟูกด้วยความรวดเร็ว
ก่อนจะประทับริมจุมพิตลงบนกลีบปากงามสีกุหลาบของอีกฝ่ายโดยไม่ปล่อยให้ตั้งตัว สัมผัสอ่อนนุ่มที่ร้างลามาแสนนาน
ทำให้ชายหนุ่มรุกล้ำก้าวล่วงอาณาเขตอันแสนหวานเข้าชิมสายธารด้านในอันชุ่มฉ่ำอย่างเปรมปรีดิ์
ปลายลิ้นของร่างสูงเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเรียวเล็กของอีกฝ่ายคล้ายจะโอ้โลมปฏิโลมชักชวนให้กังฟูโอนอ่อนและยอมตามใจชายหนุ่มให้ถึงที่สุด
ทว่า...งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราฉันใด
ความตายย่อมมาเยือนเพื่อนผู้เมามายไม่เป็นผู้เป็นคนโดยพลันฉันนั้นเอง
กังฟูที่หายตกใจจนตั้งสติได้
ยกฝ่าเท้าขึ้นมาประทับเข้าตรงหน้าท้องของคนเมา แล้วจึงออกแรงยันสุดปลายขา
จนร่างสูงใหญ่ของด้วงถลาตกจากเตียงไปนอนเดี้ยงอยู่กับพื้น
“โอ๊ยยยยย!” นั่นคือเสียงสุดท้ายที่คนเมาร้องออกมาให้ได้ยิน
ก่อนจะสิ้นสติไปในที่สุด
“ไอ้เหี้ยด้วง!!...ไอ้ตุ๊ดห่า ไอ้บ้า! ไอ้ฉวยโอกาส... เอาจูบแรกกูคืนมานะ!!”กังฟูทึ้งหัวตัวเองซ้ำๆเมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้เพื่อนรักต้องเสียหลักลงไปนอนกองกับพื้น
“แม่ง แม่ง แม่ง แม่ง!!!” แม้ปากจะต่อว่าอีกฝ่ายสารพัด แต่ด้วยความเป็นห่วงสวัสดิภาพของเพื่อนเพียงคนเดียว
กังฟูก็แอบเดินเฉี่ยวไปสำรวจความเสียหายของด้วงอยู่พักใหญ่
“สัดนี่เมาแล้วหื่น...คืนนี้มึงนอนจูบพื้นให้หายเสี้ยนไปเลยไป!” ร่างเล็กโยนผ้านวมผืนใหญ่ของเจ้าตัวทับลงไปบนร่างที่นอนยิ้มพลางไสตัวไปทั่วพื้นห้องอย่างไม่ใยดี
“ไอ้บ้าเอ๊ย!
จูบแรกกู....ฮื่อออออ!!!” ชายหนุ่มร่างเล็กหลุดปากสบถลั่นทันทีที่เผลอตัวจ้องริมฝีปากของอีกฝ่ายอยู่นาน
จากนั้นกังฟูก็วิ่งถูริมฝีปากตัวเองพล่านไปทั่วห้องเพราะความรู้สึกวาบหวามยามถูกจูบย้อนกลับมาทำให้หน้าเห่อร้อนจนไม่อาจมองหน้าคนเมาได้อีกต่อไป
สุดท้าย...ร่างเล็กก็ตัดสินใจคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าไปหลบในห้องน้ำเพื่อทำความสะอาดร่างกายอยู่นานสองนาน
หลังจากประตูห้องน้ำถูกปิดลงดังปัง...
ร่างสูงใหญ่ที่นอนกลิ้งเกลือกอยู่กับพื้นก็ผงกหัวขึ้นมองบานประตูห้องน้ำด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขใจ
คนที่ลืมเลือนความสำคัญของตัวเองไปชั่วคราวอย่างด้วง
ก็กลับมามีเรี่ยวแรงเหมือนใหม่ หลังจากสัมผัสอีกฝ่ายมอบให้โดยไม่รู้ตัวนั้น หาใช่ความรังเกียจเดียดฉันท์อย่างที่นึกกลัว
Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ