เย่ๆๆ
และแล้วเรื่องรักโรคจิตเรื่องนี้ก็ดำเนินมาถึงตอนสุดท้ายจนได้
เราแอบไปเขียนทิ้งท้ายถึงที่มาของเรื่องนี้เอาไว้ด้านล่างนะคะ
หากใครต้องการทราบที่มาของแรงจูงใจ
ก็ตามไปอ่านกันได้เลยค่ะ ^^
เดี๋ยวเราจะดอดเข้ามาแก้คำผิดอีกทีนะคะ
(วันนี้ปั่นอย่างเดียวก็แทบไม่ทันแล้ว แหะ แหะ)
◘------------------------------------------------------------------------------------◘
#13
ตลอดมา...ผมรังเกียจนิสัยขี้ขลาดตาขาวของตัวเองเป็นที่สุด
เพราะทุกครั้งที่ประสบปัญหารูปแบบไหน...
ไม่ว่าใหญ่ เล็ก หนักหรือเบาปานใด
สิ่งเดียวที่คนอย่างผมทำได้
มีเพียงการหลบหลีกปัญหา และผลพวงทั้งหมดไปจนกว่าใครต่อใครจะไม่ใส่ใจกับมัน
เมื่อนั้น
ผมจึงจะค่อยๆโผล่หัวออกมาจากรูหลืบที่ใช้กำบังกาย
เพื่อกลับมาใช้ชีวิตตามปกติเหมือนเดิมราวกับไม่เคยมีเรื่องเลวร้ายใดๆเกิดชึ้นมาก่อน
หนนี้ก็ไม่ต่างกัน...
เพราะเท่าที่จำได้
เหตุการณ์ลอบเข้าไปในบ้านร้างหลังใหญ่แล้วได้แอบไปเห็นเรื่องไม่สมควรนั้น
ทำให้ผมจำต้องดำรงชีวิตอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ
โดยไม่พาตัวเองไปไหนนอกจากบ้าน และมหาวิทยาลัยเท่านั้น...
เพิ่งจะรู้สึกโชคดีที่ตอนนี้ตกงาน
ไม่อย่างนั้นผมคงจะเป็นกังวลกับผลของเหตุการณ์คืนนั้นยิ่งไปกว่านี้แน่ๆ
‘...จ้า...’
สุ้มเสียงที่คุ้นเคยเอ่ยเรียกผมที่จัดแจงนอนคู้ตัวอยู่ในห้องนอนที่ปิดไฟจนมืดสนิท
ตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อหัวค่ำคืนนั้น
หลังจากหมดชั่วโมงเรียน...ผมก็มักจะปิดบ้านและกบดานอยู่คนเดียวอย่างเงียบเชียบ
ทว่าเสียงเรียกของพี่หรั่งที่ฟังราวกับเจ้าของเสียงกำลังยืนอยู่ใกล้ๆผมแบบเมื่อครู่
มีที่มาจากไหน?!!
ผมหันรีหันขวางแล้วหันมองไปรอบๆห้องนอนที่ไร้แสงไฟ
จนเมื่อสายตากวาดไปกระทบยังมุมหนึ่งของบ้าน
ร่างใสๆที่มองทะลุได้ของพี่หรั่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา
ผมไม่ได้ตกใจกับสิ่งที่เห็นมากไปกว่าสภาพโดยรวมของพี่ชายผมที่ดูไม่สู้ดีนัก...
ร่างกายของพี่หรั่งซูบเซียวผิดเป็นคนละคนจนผมสามารถมองเห็นโครงร่างของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
ดวงตาที่เคยฉายแววสดใส
กลับปูดโปนจนน่ากลัวเพราะเบ้าตาหลุบลึกแนบไปตามรูปกะโหลก
ผมยาวระต้นคอที่เคยพลิ้วสลวยเกาะกันเป็นแท่งและลีบแบนลู่ติดหนังศรีษะ
สิ่งที่ตำตาต่อหน้านั้น
ทำให้ผมจำต้องโต้ตอบกับอีกฝ่ายเพื่อให้แน่ใจว่า กายผอมที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกตรงหน้า...
ใช่พี่ชายของผมจริงๆหรือไม่
‘พี่หรั่ง?!’
‘พี่มาลาน่ะ’
เจ้าของร่างโปร่งแสงรับคำด้วยประโยคบอกเล่าฟังเศร้าสร้อยจนผมอดเป็นห่วงไม่ได้
‘พี่หรั่งจะไปไหน?’
‘พี่ต้องไปแล้วล่ะ
ดูแลตัวเองให้ดีๆนะ”
‘เดี๋ยวก่อนสิพี่หรั่ง!’
‘ไอ้หมาดื้อ
อย่าร้องไห้สิ...เดี๋ยววันหนึ่งข้างหน้า เราสองคนจะได้เจอหน้ากันอีกครั้ง เชื่อพี่สิ’
‘พี่หรั่ง
พี่หรั่ง...พี่หรั่งอย่าเพิ่งไปเลยนะ อยู่กับจ้าก่อนนะพี่หรั่ง!!’
ร่างของพี่หรั่งที่หายลับไปกับตาคือสาเหตุที่ทำให้ผมสะดุ้งตื่น
แปลกจริง...ทั้งที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่หรั่งมาสั่งเสียผมในฝัน
แต่ผมกลับรู้สึกวูบโหวงในอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
มันคล้ายกับว่าวิญญาณของพี่หรั่งกำลังจะลาจากโลกใบนี้ไปจริงๆ...
แต่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?
หรือเพราะผมผล็อยหลับไประหว่างช่วงพระอาทิตย์ทับตา
ความอ่อนล้าเลยเล่นตลกกับสมองผม
ทำให้หวนนึกถึงพี่หรั่งอีกครั้ง ทั้งที่อีกฝ่ายตายไปตั้งแต่เมื่อสองเดือนที่แล้ว
ผมเหลือบมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนตรงหัวเตียงแล้วก็ต้องตกใจ...
เพราะอีกไม่กี่นาที
วันสุดสัปดาห์วันที่สองก็จะผลัดเปลี่ยนเป็นวันจันทร์อีกครั้ง
ผมหลับไปนานขนาดนี้เชียวหรือ?
แล้วพี่กัลป์ล่ะ?
พี่กัลป์ไปไหน?
หลังจากตรวจดูจนแน่ใจว่าพี่กัลป์ไม่ได้นั่งทำงาน
หรือเผลองีบอยู่ตรงมุมไหนของชั้นสอง
ผมก็ค่อยๆเดินย่องลงบันไดอย่างเงียบเชียบด้วยไม่อยากรบกวนสมาชิกคนอื่นๆของบ้านในเวลาดึกสงัดเช่นนี้
ก่อนจะก้าวลงเหยียบพื้นกระเบื้องหินอ่อนของชั้นล่าง
เสียงพูดคุยโทรศัพท์ของพี่กัลป์กับใครคนหนึ่งก็ลอยมากระทบโสต
“อืม...ถ้าได้จังหวะก็จัดการไปเลย
ไม่ต้องรอผม...
...ส่วนเงินสดก้อนนั้นผมยกให้
คิดเสียว่าเป็นสินน้ำใจเล็กๆน้อยๆแล้วกันครับ...
.
...
ขอบคุณมากครับ คุณช่วยผมได้เยอะเลยล่ะ...
...ครับ ครับ
ไว้ผมจะรอฟังข่าวดีนะครับ”
พอได้ยินบทสนทนารอบดึกของพี่กัลป์เมื่อครู่
ก็ทำให้ผมไพล่คิดไปถึงสายเรียกเข้าตอนเที่ยงคืน
จากที่เคยโทรเข้าเครื่องผมทุกคืนต่อเนื่องกันเป็นเวลาหลายสัปดาห์
แต่หลังจากที่ผมย้ายมาอยู่กับพี่กัลป์...เบอร์ของพี่หรั่งก็ไม่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ของผมอีกเลย
จะประจวบเหมาะกับความฝันเมื่อครู่เกินไปหรือเปล่า?
“ตื่นแล้วเหรอครับเด็กดีของพี่
หิวไหม? อยากให้พี่อุ่นอะไรให้กินหรือเปล่า?” พี่กัลป์ยิ้มให้ก่อนจะเดินเข้ามาหาผมแล้วกอดผมเอาไว้หลวมๆ...
ผมชอบเหลือเกินเวลาพี่กัลป์กอดผมเอาไว้แบบนี้
“ไม่เป็นไรครับพี่กัลป์
จ้านอนจนอิ่ม ไม่หิวแล้วล่ะครับ” ถ้าจะให้ผมกินตอนนี้ ผมคงนอนไม่หลับแน่ๆ
หัวคิ้วขมวดเป็นปมบนใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาของพี่กัลป์ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ “พี่กัลป์ทำอะไรอยู่เหรอครับ?”
“อ๋อ...พี่เพิ่งให้อาหารปลาเสร็จน่ะครับ
กำลังจะขึ้นไป...ไม่นอนต่อแล้วเหรอครับคนเก่งของพี่?” แม้จะให้คำตอบกับผมแล้วก็ตาม
แต่สายตาของพี่กัลป์ที่ทอดไปยังตู้ปลากลับดูขุ่นยิ่งไปกว่าเดิม... หรือจะมีใครแอบไปทำอะไรกับตู้ปลาสุดหวงของพี่กัลป์กันนะ?
“จ้ารอกลับขึ้นไปนอนพร้อมพี่กัลป์ครับ”
ผมตอบตามความจริง...หวังว่าคำตอบของผมจะช่วยทำให้พี่กัลป์อารมณ์ดีขึ้นได้บ้าง ซึ่งสัมผัสหนักๆพร้อมลมหายใจร้อนๆของอีกฝ่ายที่กดลงบนแก้มของผมนั้นบอกได้ดีว่า
พี่กัลป์น่าจะคลายใจจากเรื่องหนักหนาได้บ้างแล้ว
“(ฟอดดดดด)
น่ารักจริงแฟนใครเนี่ยะ... ไปครับ ไปนอนกันเถอะ” พี่กัลป์พูดพลางพาผมเดินกลับไปยังบันได
“เออนี่จ้า วันนี้มีใครมาให้อาหารปลาแทนพี่หรือเปล่าครับ?”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ
ถ้าไม่ใช่นมปิ่นหรือพี่นุ...จ้าว่าอาจจะเป็นพี่รักษ์ก็ได้...
.
...ทำไมเหรอครับ?
ปลามันอิ่มจนไม่ยอมกินอาหารที่พี่กัลป์ใส่ให้เหรอ?” ผมมารู้ตัวอีกทีว่าแอบก็ขยี้ก็ตอนที่พี่กัลป์เอื้อมมาจับมือผมไปกุมเอาไว้เพื่อห้าม
“วันนี้เจ้ารักษ์มาที่นี่เหรอครับ?”
ดูท่าว่าคนถามน่าจะงุนงงกับคำบอกเล่าของผมอยู่ไม่น้อย...
หรือจะเป็นไปได้ว่าพี่รักษ์กับนมปิ่นไม่ได้บอกพี่กัลป์ให้รู้เรื่องเมื่อบ่ายวันนี้กันนะ?
คงไม่เป็นไรหรอกมั้งหากผมจะเป็นคนบอกกับพี่กัลป์เสียเอง
“ครับ
มาแป๊บเดียวตอนที่พี่กัลป์ออกไปหาอาต๋องน่ะครับ”
“สงสัยจะเป็นเจ้ารักษ์ล่ะมั้ง
ที่มาให้อาหารปลาแทนพี่” พี่กัลป์สรุปง่ายๆ
แต่ก็ไม่วายพูดขู่บุคคลที่สามด้วยน้ำเสียงดุดันฟังทีเล่นทีจริง “คอยดูนะ ถ้าปลาพี่เป็นอะไรไปสักตัว
พี่จะส่งใบเสร็จไปเก็บค่าใช้จ่ายกับมันให้จนกรอบเลยเชียว”
“หึ
หึ หึ...พี่กัลป์ใจร้ายจัง” ผมเลยหยอกอีกฝ่ายกลับไปเพราะไม่อยากให้พี่กัลป์คิดมาก
กระนั้น...ผมกลับต้องเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำรับกรรมไปเต็มๆ
เพราะแทนที่คนร้ายที่แตะต้องตู้ปลาของพี่กัลป์จะได้รับโทษ
แต่พี่กัลป์กลับวกเข้ามาฉวยโอกาสกับผมเสียได้
“ไหน! ใครว่าพี่ใจร้าย?
เดี๋ยวพี่จะใจร้ายให้ดูเดี๋ยวนี้แหละ”
เข่าผมแทบทรุดเมื่อเจ้าของประโยคเมื่อครู่ฝังปลายจมูกลงสูดดมแรงๆตรงซอกคอของผมโดยไม่บอกกล่าว
ยังดีที่พี่กัลป์กอดผมเอาไว้แน่น
ไม่อย่างนั้นผมคงลงไปกองกับพื้นเป็นที่เรียบร้อย
“ฮื่ออออ
ไม่เอาครับ... จ้าง่วงแล้ว” ผมพยายามต่อรองด้วยรู้สึกได้ว่า สัมผัสที่ยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องมาจนถึงบัดนี้
สื่อถึงอารมณ์วาบหวามของดำกฤษณาพาให้ร่างกายอ่อนไหวมากเพียงไร
“คนใจร้ายอย่างพี่ไม่ฟังใครห้ามหรอกครับ”
สายตาคมปลาบแฝงความนัยที่พี่กัลป์ประสานเข้าในดวงตาผมชวนให้รู้สึกเห่อร้อนไปทั้งหน้า
ผมรู้ดีว่าพี่กัลป์กำลังหวังอะไรจากผมอยู่ “หึ หึ! รับรอง หลังจากนี้จ้าจะไม่กล้าหาว่าพี่ใจร้ายอีกเลย”
“ฮื่ออออออออออ
พี่กัลป์ พรุ่งนี้เราต้องไปมหาลัยกันแต่เช้านะครับ” ผมเอี้ยวตัวหลบใบหน้าคมของอีกฝ่ายไปอีกทางพลางเตือนสติพี่กัลป์ก่อนที่เราทั้งสองจะเลยเถิดจนกู่ไม่กลับ
กระนั้น...คนตัวโตก็ยังไม่ละความพยายามอยู่ดี
“งั้นรอบเดียวก็ได้...
นะ นะ... พี่อยากกอดจ้า อยากจะรักจ้าจะตายอยู่แล้ว... นะครับ เห็นใจพี่เถอะ”
น้ำเสียง
หน้าตา และท่าทางออดอ้อนของพี่กัลป์ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ใจผมอ่อนยวบ
ทว่าความรู้สึกของการได้เป็นคนสำคัญ
และเป็นที่ปรารถนาของใครสักคนต่างหาก
ที่ทำให้ผมยินยอมพร้อมใจสื่อภาษารักกับอีกฝ่ายด้วยร่างกายของผมอีกครั้ง
“.......ก็ได้ครับ
รอบเดียวนะ.......”
หลังจากที่ผมกับพี่กัลป์ตกลงคบกัน...
ก่อนหลับตานอนทุกครั้ง
ผมมักจะภาวนากับตัวเองเสมอ
ขอให้ความสุขจากรักครั้งนี้คงอยู่กับผมไปจนวันสุดท้ายของชีวิต
และผมจะทำทุกๆอย่าง
เพื่อให้ความปรารถนานั้นเป็นจริง
◘------------------------------------------------------------------------------------◘
มือหนากดหยุดภาพเคลื่อนไหวบนจอคอมพิวเตอร์เอาไว้ราวกับต้องการจดจำรายละเอียดทั้งหมดเป็นครั้งสุดท้าย
พลางชื่นชมความรอบคอบของตัวเองอีกครั้ง
ที่ติดตั้งกล้องวงจรปิดเอาไว้ทั่วทุกมุมของบ้านอีกหลังซึ่งเป็นสถานที่เล่นสนุกที่เขาโปรดปราน
ไม่ใช่เพราะหวั่นพวกขโมยกระจอก...
แต่เพื่อความปลอดภัย และเพื่อรักษาหน้าตา ชื่อเสียงของครอบครัว
เพราะเมื่อคิดจะทำชั่ว...
คนที่อยู่ในที่สว่างท่ามกลางสายตาจับจ้องของคนอื่นอย่างเขา ต้องไม่พลาด
ใครเลยจะรู้ว่า...
วันหนึ่ง กล้องวงจรปิดที่เขาใช้เก็บภาพรอบๆบ้าน
รวมทั้งภาพเคลื่อนไหวทุกๆมุมมองของห้องนอน
จะบันทึกภาพสิ่งสวยงามล้ำค่าที่เขาปรารถนามาตลอดเอาไว้ได้...
เด็กหนุ่มร่างบางเจ้าของท่าทางหวาดหวั่น...
อัญมณีน้ำงามที่อ่อนหวานจนอยากปกป้อง
ยกย่องให้ขึ้นมายืนเคียงคู่กับตัวเขา และยังควรค่ากับการมอบความรักให้
และสิ่งที่สำคัญเหนืออื่นใดเห็นจะเป็น...ความบริสุทธิ์จนน่าทำลายของอีกฝ่าย
ที่ทำให้เขากระหายอยากอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ชายหนุ่มเรียกคำสั่งกำจัดไฟล์วิดิโอของการร่วมรักกับเหยื่อรายที่เขาจำไม่ได้ไฟล์นั้นขึ้นมา
แล้วจึงกดยืนยันโดยไม่รอรี
โดยไม่สนใจว่าระบบปฏิบัติการณ์ยังคงวุ่นอยู่กับการลบคลิปสังวาสเก่าๆของปีก่อนๆ
จนเครื่องเริ่มจะร้อนเพราะทำงานหนักเกินเหตุ
แม้นี่จะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาตัดใจทำลายไฟล์ภาพเคลื่อนไหวที่เคยคลั่งไคล้เข้าขั้นสะสมมานานหลายปี...
แต่เพื่อไม่ให้มีหลักฐานใดๆเกี่ยวกับประวัติอันด่างพร้อยของตนติดตามมาหลอกหลอน
และสั่นคลอนความเชื่อมั่นที่เด็กดีมอบให้...การหักใจจากคอลเลคชันส่วนตัวเหล่านี้จึงกลายเป็นเรื่องไม่ยากนัก
ทว่านอกเหนือไปจากการลงมือลบความทรงจำของอดีตที่อาจบ่อนทำลายความรักในปัจจุบันของเขาไปให้สิ้นซากแล้ว
ยังเหลือพวกปรสิตที่คอยติดตามเด็กดีของเขาเป็นเงาอีกหลายตัว...
ทั้งไอ้ตัวโลภที่ทำร้ายร่างกาย
และรีดไถอนาคตของเด็กดีไปถลุงใช้จนแทบไม่มีเหลือ
ทั้งไอ้ชู้ที่อยู่ๆก็โผล่เข้ามาเสนอหน้า
และดูเหมือนว่ามันจะรนหาที่ก่อนเวลาอันควร
รวมถึงไอ้ตัวดีที่อยากรู้อยากเห็น
และอยากทำเล่นบทฮีโร่แบบไม่เข้าท่า
อีกไม่นาน
เขาคงต้องลงมือกำจัดพวกมันไปให้พ้นหูพ้นตา...
เพื่อที่เด็กดีของเขาจะได้พร้อมกับการก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโลกส่วนตัวที่เขาเตรียมเอาไว้ต้อนรับ
โดยไม่คิดจะหนีออกไปสู่โลกอันโหดร้ายข้างนอกอีกเลย
◘------------------------------------------------------------------------------------◘
ร่างบางแสร้งทำนอนนิ่งทั้งที่รู้สึกตัวตื่นได้สักพักใหญ่ๆ
หลังจากได้ยินเสียงสั่นของมือถือส่วนตัวของกัลป์
เหตุแรกที่ทำให้รุ่งรวียังคงนอนอยู่โดยไม่ต้องกุลีกุจอรีบลุกไปเตรียมตัว
เนื่องมาจากช่วงเช้าของวัน อาจารย์ประกาศงดการเรียนการสอน
และอีกเหตุผล
คงเป็นเพราะความไม่ชอบมาพากลบางอย่างที่แฟนหนุ่มเริ่มแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจน
ภายหลังจากที่ทั้งสองมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันได้เพียงไม่นาน
เหตุการณ์ที่เด่นชัดที่สุด
คงไม่พ้นการคุยโทรศัพท์ติดพันกับผู้ชายคนอื่นทั้งที่ยังใช้เวลาอยู่กับเขา
ที่สำคัญ...คนปลายสายยังสามารถทำให้กัลป์ปิดบังรายละเอียด
รวมทั้งแอบหลบไปสนทนาด้วยอยู่เป็นนานสองนาน
พอตัวเขาเลียบๆเคียงๆไต่ถาม
อีกฝ่ายก็เฉไฉบ่ายเบี่ยง แถมยังดูลุกลี้ลุกลนเหมือนคนมีชนักปักหลัง
หรือจะเป็นเพราะ
อาจารย์หนุ่มเริ่มจะเบื่อหน่ายกับเพศรสที่ไม่เร้าใจระหว่างที่มีอะไรกับเขากันนะ?!
“...
.
.
.
...แค่นี้ก่อนแล้วกัน
เดี๋ยวผมออกไป”
‘พี่กัลป์จะออกไปไหน?’
‘พี่กัลป์จะไปหาคนอื่นอย่างนั้นเหรอ?’
‘ไม่จริง!!...
.
...พี่กัลป์เบื่อจ้าแล้วอย่างนั้นเหรอ?’
ร่างสูงที่เพิ่งวางสายเดินผละจากระเบียงกลับเข้ามาโน้มตัวจ้องมองใบหน้าของจ้าอยู่ครู่หนึ่ง
พลางถอนหายใจแผ่วๆคล้ายกับเบาใจที่เห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนอนหลับอยู่
จากนั้น...กัลป์ก็เดินหายลับเข้าห้องน้ำไปเตรียมตัวให้พร้อม
แล้วจึงออกจากบ้านไปหลังจากรับสายดังกล่าวได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี
เมื่อคล้อยหลังแฟนหนุ่มไปเพียงไม่กี่นาที
รุ่งรวีที่ฝืนแกล้งนอนหลับทั้งที่อกกลัดหนองอยู่เป็นเวลานานจึงลุกขึ้นฉวยของใช้จำเป็นติดมือไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะกระโดดแผล็วออกจากบ้านไปจับแท็กซีเพื่อสะกดรอยแฟนหนุ่มไม่ให้คลาดสายตา
หลังจากโชเฟอร์สามารถขับตามประกบรถหรูของกัลป์ในระยะตามที่รุ่งรวีพอใจ
ความรู้สึกร้อนรุ่มเพราะลมเพชรหึงอาละวาด
ทำให้จ้าพลอยนึกถึงเรื่องอื่นๆที่ทำให้ตนรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาดื้อๆ
ซึ่งเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เขาประสบเมื่อช่วงบ่ายของวันวาน
นับเป็นหัวข้อหลักที่ก่อกวนสติเขาให้ฟุ้งจนเกินควบคุม
จากเดิมที่เขาตกลงกับกัลป์
เด็กหนุ่มเข้าใจว่า เมื่อตนจงใจบิดพลิ้วนัดหมายที่โรงอาหารประจำคณะ
จ้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องพบเจอเด็กวิศวะคนที่
‘มัน’ ส่งมาอีกต่อไป
แต่แล้วกลับกลายเป็นว่า จังหวะที่รุ่งรวีมารอกัลป์เพื่อเดินทางกลับบ้านพร้อมกันเหมือนทุกที
คู่กรณีกลับเดินสวนออกมาจากห้องทำงานของอาจารย์หนุ่ม
แรกเลย
รุ่งรวีเข้าใจว่าตนเองตาฝาด... ทว่าองค์ประกอบทางกายภาพของอีกฝ่ายที่เขาตั้งใจแอบมองยามเดินผ่านกันนั้น
ย้ำชัดว่า
นิสิตในชุดช็อปสีเลือดหมูผู้ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องแฟนหนุ่มของตน คือคนของ ‘มัน’ ...
ใช่คนที่คุยกับเขาเมื่อวันศุกร์ที่แล้วอย่างแน่นอน
ทันทีที่รุ่งรวีสบโอกาสอยู่กับกัลป์เพียงลำพัง
เด็กหนุ่มจึงไม่คิดจะระงับความสงสัยเอาไว้อีกต่อไป
เขาระดมคำถามใส่กัลป์เสียยกใหญ่ด้วยอยากรู้ว่า
ก่อนหน้าที่ตัวเขาจะเข้ามายังห้องทำงานแห่งนี้... คนน่าสงสัยผู้นั้นเข้ามาพบกัลป์ด้วยจุดประสงค์ใดกันแน่?
ดูเหมือนว่า
กัลปพฤกษ์ไม่อาจรับมือกับการปรากฏกายก่อนเวลาของจ้าได้ดีเท่าใดนัก
แต่หลังจากใช้เวลาตั้งตัวเพียงไม่นาน
แฟนหมาดๆของเขาก็ประคองสติและรักษาอาการตามปกติได้อีกครั้ง...
อาจารย์หนุ่มรีบอธิบายเรื่องทั้งหมดให้เจ้าของนัยน์ตาโศกเข้าใจถึงเหตุจำเป็นที่ตนเรียกเด็กวิศวะคนดังกล่าวมาพูดคุยด้วยถึงห้องทำงานส่วนตัวโดยละเอียด
และกระจ่างแจ้งผิดกับท่าทีอึกอักจนดูผิดสังเกตในช่วงต้นที่เขาทวงถามถึงเหตุผลจากแฟนหนุ่ม
จากคำบอกเล่าของกัลป์
เด็กวิศวะผู้นั้นคือคนเดียวกันกับนิสิตที่อาจารย์หนุ่มเคยสงสัยว่า เป็นคนที่คอยแอบติดตามความเคลื่อนไหวของจ้าตั้งแต่ช่วงแรกๆที่อาจารย์หนุ่มเข้ามาทำความรู้จักกับตัวเขาหลังจากหรั่งตาย
แม้ตอนแรกจะยังไม่แน่ใจ
แต่หลังจากได้เห็นนิสิตต้องสงสัยอยู่ไม่ห่างกายจ้าหลายต่อหลายครั้ง
กัลป์จึงลองเสี่ยงเรียกอีกฝ่ายมาเลียบๆเคียงๆหาเบาะแส
แต่เมื่อฝ่ายนั้นแสดงท่าทีหลุกหลิกจนผิดสังเกต
แฟนหนุ่มของเขาจึงใช้อำนาจของความเป็นครูในการคาดคั้นหาความจริงตามลางสังหรณ์ส่วนตัว
และแล้วในท้ายที่สุด อาจารย์หนุ่มก็ได้ล่วงรู้ว่า เด็กวิศวะผู้นั้น
คือหน้าม้าที่กลุ่มคนร้ายซึ่งอยู่เบื้องหลังการทำร้ายจ้าส่งมาทาบทามตัวเขาจริงๆ
ทันทีที่ความจริงปรากฏ
ความโกรธก็เข้าครอบงำจนทำให้กัลป์เผลอตัวข่มขู่อีกฝ่ายให้เลิกรังควาญ
และหยุดคุกคามการดำเนินชีวิตของเขาจ้าเสียที
ไม่อย่างนั้นเด็กวิศวะผู้นั้นจะโดนภาคทัณฑ์ หรืออาจจะโดนรีไทร์ด้วยความผิดทางวินัยซึ่งกัลป์พร้อมจะเป็นพยานให้กับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
แม้จะได้ยินคำยืนยันจากปากกัลป์อย่างดิบดี
ทว่าหลังจากที่คิดวนเวียนถึงเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
รุ่งรวีก็ยังไม่อาจสงบจิตสงบใจได้อย่างที่ควรจะเป็น
อะไรบางอย่างบอกเขาว่า...
‘มัน’กำลังไม่พอใจกับการกระทำของตัวเขากับแฟนหนุ่มรุ่นพี่สักเป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งหากสังหรณ์ของเขาไม่ผิดพลาด
อีกไม่ช้า ‘มัน’น่าจะออกมาเคลื่อนไหว ออกมาให้บทเรียนสั่งสอนเขาทั้งคู่จนเข็ดหลาบไม่ต่างจากเรื่องเมื่อครั้งนั้นอย่างแน่นอน
◘------------------------------------------------------------------------------------◘
ผมชื่อรัฐภาคย์
หรือที่ใครๆต่างก็เรียกว่าเบิร์ด
ที่ผมแนะนำตัวให้พวกคุณรู้จัก
ไม่ใช่เพราะผมอยากจะเล่าเรื่องส่วนตัวอะไรให้พวกคุณฟังหรอก
แต่เรื่องที่ผมอยากเล่า
มันเป็นเรื่องราวสุดประหลาดของเพื่อนสนิดของผมคนหนึ่ง คนที่มันหายตัวไปโดยที่ใครๆต่างก็พูดกันว่ามันตายไปแล้วทั้งที่เหตุผลดังกล่าวดูไม่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงสักเท่าไรในความคิดของผม
เพื่อนของผมคนนั้นมันมีชื่อว่า
‘หรั่ง’
ชื่อเล่นง่ายๆที่ตั้งตามหน้าตาที่บ่งบอกยี่ห้อว่า
ตัวมันสืบเชื้อสายครึ่งหนึ่งมาจากพวกฝรั่งตาน้ำข้าวนั่นแหละ
เรื่องแปลกประหลาดของไอ้หรั่งเกิดขึ้นในช่วงเย็นวันหนึ่ง
วันนั้น
ไอ้หรั่งโทรมาหาผมบอกว่า ให้ช่วยไปเจรจายืดเวลาจ่ายหนี้ก้อนล่าสุดกับโต๊ะบอลให้ด้วย
เพราะภายในวันสองวันนี้
มันจะเข้าไปคุยกับอาจารย์กัลป์...แอดไวเซอร์ของมัน เพื่อหาทางหาเงินแสนกว่ามาใช้หนี้ให้สำเร็จ
น้ำเสียงมั่นใจเกินร้อยของมัน
กับคนที่มันเลือกเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาทำให้ผมรู้สึกตงิดๆ
เพราะก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน
ไอ้เพื่อนตัวดีมันยังนั่งร้องไห้เพราะไม่มีปัญญาหาเงินมาใช้หนี้โต๊ะบอลอยู่เลย
แต่ก็นั่นแหละ...
ผมมันไม่ใช่พวกเซ้าซี้หาเหตุผลอะไรให้มากมาย เพราะรับรู้มาโดยตลอดว่า
ไอ้หรั่งไม่เคยปริปากบอกเรื่องภาระหนี้สินกับตายาย
หรือน้องชายข้างบ้านที่มันรักประหนึ่งน้องแท้ๆที่ชื่อจ้าเพราะไม่อยากให้พวกเขาเหล่านั้นลำบากใจ
จนผ่านไปสองวัน
ผมก็ได้ข่าวจากพี่ที่โต๊ะบอลบอกว่า ไอ้หรั่งมันใช้หนี้จนหมดไม่เหลือค้างบัญชี
บอกตรงๆ
ตอนนั้นผมยังไม่เอะใจถึงความผิดปกติใดๆ ออกจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่มันทำได้อย่างที่คุยเอาไว้
แถมยังตั้งตาหาจังหวะนัดมันออกมาวัดดวงกันอีกครั้งในนัดล้างตาของทีมฟุตบอลสุดที่รักรอบถัดไปเสียดิบดี
แต่โอกาสที่ผมหมายตา...กลับมาไม่ถึง
เพราะไม่กี่วันให้หลัง...ผมดันต้องไปเจอหน้าไอ้หรั่งอีกครั้งในงานศพของมันเอง
บอกตรงๆ
ครั้งแรกที่ผมรู้ว่าไอ้หรั่งตายเพราะหัวใจวาย ผมถึงกับทำอะไรไม่ถูก
คิดไม่ถึงจริงๆว่าคนบาปหนาที่แข็งแรงยิ่งกว่าวัวควายอย่างมัน
จะต้องมาตายด้วยโรคเกี่ยวกับหัวใจทั้งที่อายุยังน้อยแบบนี้
แต่บังเอิญว่าผมแอบได้ยินชาวบ้านในงานซุบซิบกันถึงสาเหตุการตายที่แท้จริงซึ่งเกี่ยวโยงกับอิทธิพลของพวกโต๊ะบอล
ก็ทำให้ผมแปลกใจจนอยากจะหาคำอธิบาย
โชคดีว่าในงาน...น้องชายของมันที่ชื่อว่าจ้าก็มาช่วยงานด้วย
เดิมที
ผมกับเด็กจ้าน่ะไม่เคยได้คุยกันมาก่อนหรอก เพราะนอกจากไอ้หรั่งมันจะหวงน้องคนนี้หนักหนาแล้ว
มันยังสั่งไม่ให้ผมเข้าไปทำความรู้จักกับอีกฝ่าย
แม้ผมจะได้เห็นหน้าค่าตาของเด็กจ้าผ่านๆมาหลายต่อหลายครั้งก็ตาม
เพราะมันห้ามผมด้วยเหตุผลที่ว่า
เด็กจ้าไม่ควรมาแปดเปื้อนกับโลกโสมมของผมกับมัน...
ถึงอย่างนั้น
ต่อให้มันไม่ห้าม...แต่ความที่ผมไม่ชอบยุ่งเรื่องของใคร ผมจึงไม่เคยสนใจเด็กจ้ามาตั้งแต่ช่วงแรกอยู่แล้ว
ตั้งแต่ในงานศพ
ผมพยายามหาจังหวะพูดคุยกับเด็กจ้าอยู่ตลอด และจังหวะเดียวที่ผมพอจะเข้าไปคุยกับน้องไอ้หรั่งได้
ดันเป็นช่วงเวลาที่อาจารย์ที่ปรึกษาของไอ้หรั่งทำทีเดินเข้าไปหาเด็กจ้าด้วยเหมือนกัน...
ไม่รู้เพราะอะไร
แต่เมื่อไรก็ตามที่ผมเห็นหน้าอาจารย์กัลป์กับรอยยิ้มของแก
ผมเป็นต้องรู้สึกกลัวจนสะท้านไปทั้งตัว...
ซึ่งในงานวันนั้น
บางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวของอาจารย์กัลป์
ทำให้ผมต้องรีบหลบกลับบ้านเพื่อไปตั้งหลักแทบไม่ทัน
หลังจากงานศพของไอ้หรั่ง
ผมก็พยายามหาโอกาสเข้าหาเด็กจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่เคยประสบผล
เพราะนอกจากอีกฝ่ายจะแสดงท่าทางหวาดกลัวทุกๆคนที่อยู่แวดล้อมจนคนกระด้างแบบผมยังสัมผัสได้แล้ว
ยังมีคนอื่นเข้ามาขัดขวางการประชิดตัวเด็กจ้าอยู่เสมอ
ไม่ว่าจะนายตำรวจที่มารับมาส่งเด็กนั่นอยู่ช่วงหนึ่ง
รวมทั้งอาจารย์ที่ปรึกษาของไอ้หรั่ง
ที่ตามประกบเด็กจ้าแจยิ่งกว่าอะไร และนั่นจึงทำให้ผมไม่อาจเข้าใกล้น้องชายของไอ้หรั่งเพื่อสอบถามความจริงเกี่ยวกับการตายของเพื่อนรักได้สักครั้ง
ในเมื่อผมไม่อาจจะติดต่อกับเด็กจ้าได้
ผมเลยอาศัยถามโต๊ะบอลดูอีกทาง
ซึ่งสิ่งที่ผมรับรู้จากเจ้ามือทำให้ผมยิ่งมืดแปดด้านไปกันใหญ่
เพราะคนที่มาพร้อมกับเงินก้อนโตไม่ใช่ตัวมัน
หากแต่เป็นชายหนุ่มภูมิฐานดูมีการศึกษาท่าทางร่ำรวย
พูดจาดี แต่มีรังสีอำมหิตแบบที่นังเลงโต๊ะบอลไม่กล้าหือด้วย
แต่แล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ความพยายามในการเข้าหาเด็กจ้าของผมก็ลุล่วงได้ในท้ายที่สุด
ทว่าหากผมรู้มาก่อนว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น
ผมคงไม่อยากหาคำตอบเกี่ยวกับการตายของหรั่งอีกต่อไป
และต้นเหตุของความเลวร้ายที่ว่า
ก็มาปรากฏตัวในรูปของการพบปะกับอาจารย์ที่ปรึกษาของไอ้หรั่งแบบตัวต่อตัวตั้งแต่เมื่อวานช่วงบ่าย
ที่ไม่ได้ข้อสรุปใดๆ
จนส่งผลให้ผมต้องขับรถออกมาพบกับอีกฝ่ายแต่เช้า
ตามคำร้องขอของอาจารย์กัลป์
ซึ่งส่วนที่น่ารำคาญของการนัดหมายในวันนี้เห็นจะเป็น
จุดนัดหมายแรกที่ผมเป็นคนกำหนดถูกอีกฝ่ายเปลี่ยนกลางคัน
เพราะอาจารย์ดันอ้างว่าไม่คุ้นเส้นทาง
และหลงมานานเกือบชั่วโมง นั่นจึงทำให้ผมต้องยอมขับรถไปยังสถานที่แห่งหนึ่งในย่านห่างไกลที่ผมไม่เคยไปมาก่อน
ตามคำบอกของผู้ที่กำความลับทั้งหมดเกี่ยวกับการตายของหรั่งเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว
◘------------------------------------------------------------------------------------◘
‘ที่นี่คือที่ไหน?’
‘แล้วผมมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?’
‘เฮ้ย! แล้วทำไมผมถึงขยับตัวไม่ได้?...
.
...ถูกมัดอย่างนั้นหรอกเหรอ?...
...อูย!! แล้วทำไมถึงปวดหัวแบบนี้วะ?!’
หลังจากสำรวจห้องนอนโล่งๆไร้เฟอร์นิเจอร์ที่ผมถูกมัดเข้ากับขาเตียง
พร้อมกับเหลือบตามมองสภาพน่าอนาถของตัวเอง
ผมก็เดาได้ทันทีว่าผมโดนจับตัวมาขังเอาไว้เป็นแน่
แต่เพื่อให้แน่ใจถึงระดับความตึงเครียดของสถานการณ์
รวมทั้งประเมินทางหนีทีไล่ได้อย่างเหมาะสม
ผมจึงเค้นหัวสมองตื้อๆให้รีบทำงาน
โดยเริ่มจากทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่ผมจะรู้สึกตัวในสภาพแบบนี้ดูอีกครั้ง
ผมจำได้ว่า
เมื่อวานตอนสายๆผมบังเอิญได้อ่านแฟ้มคดีฆาตกรรมศพไร้ญาติศพหนึ่งที่เพิ่งรับแจ้งได้ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง
โดยสำนวนและข้อมูลในที่เกิดเหตุสรุปสั้นๆแบบให้พอทำนายอนาคตได้ว่า
ชายผู้นี้น่าจะตายเปล่าและคดีคงจะปิดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นการเอาคืนของเจ้ามือบ่อนซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลคับฟ้า
ประมาณว่าตำรวจจำเป็นต้องยอมหลับตาข้างหนึ่งให้บ้างหากเรื่องนั้นไม่ได้อยู่ในความสนใจของสื่อ
แต่เมื่อพลิกไปเปิดดูสภาพศพของผู้ตายที่ถูกรวบรวมเอาไว้ด้านท้ายของแฟ้ม
ก็ทำให้ผมรู้สึกใจหายขึ้นมาทันที...
เพราะชายคนดังกล่าว
คือลุงจอมของจ้า... เด็กหนุ่มที่ผมหลงรักเพียงข้างเดียวมาตั้งแต่แรกสบตาเศร้าๆของเขา
ผมไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายกับคดีนี้ได้
เนื่องจากเมื่อลองอ่านทวนรายละเอียดของคดีดูอีกครั้ง ก็พบว่า
คดีนี้อยู่ในความดูแลของน้าต๋อง
ผู้ใหญ่ที่ใครๆในสถานีต่างเชื่อถือในฝีมืออันเฉียบขาดและไม่มีใครกล้าตั้งข้อสงสัยกับการสืบสวนสอบสวนของแกเลยสักครั้ง
ในเมื่อไม่อาจให้ความช่วยเหลือในด้านรูปคดี ผมจึงเบนความสนใจทั้งหมดไปที่ญาติเพียงคนเดียวของลุงจอมทันที
แต่เพราะเรื่องเศษฟันเมื่อวันก่อนและสังหรณ์แปลกๆ
ผมจึงตัดสินใจว่าจะไปรอเจอจ้าเพื่อบอกข่าวร้ายที่บ้านพี่กัลป์
โดยกะเวลาไปถึงให้เร็วกว่าเวลากลับบ้านตามปกติของพี่กัลป์นิดหน่อย...
เพราะอย่างน้อยๆ ผมจะได้ถือโอกาสสำรวจรอบๆบ้านพี่กัลป์โดยละเอียดดูอีกครั้งระหว่างที่เจ้าของบ้านยังกลับมาไม่ถึง
ผมใช้เวลาไมนานบนท้องถนนเพื่อเดินทางมายังบ้านหลังงามของพี่กัลป์
บ้านที่ผมเคยคิดว่ามันปลอดภัยที่สุด
และก็จริงดังคาด...
ในบ้านยังมีแค่นมปิ่นทำงานง่วนอยู่ในครัว ผมจึงเดินหาร่องรอย
และหลักฐานที่บ่งชี้ถึงความผิดปกติใดๆก็ตามตรงภายนอกของตัวบ้านดูเสียเลย
เรือนหลังย่อมสำหรับเก็บเครื่องมือของนุคือสิ่งแรกที่สะดุดตาผมมากที่สุด
เมื่อแน่ใจว่าคนสวนไม่ได้อยู่แถวนั้น
ผมก็แอบหลบเข้าไปด้านในเรือนหลังทึบหลังนั้นทันที
แต่การจัดสรรพื้นที่ด้านในกลับทำให้ผมต้องประหลาดใจ
เพราะเมื่อประเมินจากด้านนอก
ผมเข้าใจว่า พื้นที่ส่วนใหญ่ภายในของโรงเรือน จะเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องมือสำหรับใช้ตกแต่งดูแลและทำความสะอาดบ้านหลังนี้
ทว่าในความเป็นจริงหลังบานประตูเรือนหลังนี้
ด้านในกลับถูกกั้นด้วยผนังเพื่อเหลือใช้เป็นพื้นที่เก็บเครื่องมือใช้สอยของนุ
เพียงไม่กี่ตารางเมตรเท่านั้น
คำถามที่ผุดขึ้นในใจผมหลังจากได้เห็นสภาพที่แท้จริงของเรือนหลังนั้นก็คือ
แล้วพื้นที่หลังผนังนั่นล่ะ...เอาไว้ใช้ทำอะไร?
แต่ความสงสัยของผมกลับมาพร้อมกับคำตอบ
เมื่อสุดท้าย...ผมก็สังเกตเห็นว่า
แผ่นยิปซั่มที่ดูเผินๆคล้ายกับผนังห้องแผ่นหนึ่งเผยออ้าออก
และเมื่อเดินเข้าไปใกล้...แผ่นยิปซั่มดังกล่าว
ที่แท้คือประตูบานกระแทกที่อาศัยฝีมือบิวท์อินเนี๊ยบๆทำให้ดูกลมกลืนเป็นพื้นเดียวกับฝาห้องได้อย่างแนบเนียน
ความสงสัยทำให้ผมสาวเท้าก้าวเข้าด้านใน
ด้วยต้องการพิสูจน์ให้แน่ใจว่า สิ่งที่รอผมอยู่ด้านหลังบานประตูกลบานนี้
ไม่ใช่ภาพเดียวกับจินตนาการด้านมืดที่ผมมักจะมองเห็นทุกครั้งที่รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง
หลังบานประตูคือความมืดมดอนธการไร้จุดสิ้นสุด
ผมจึงต้องอาศัยแสงไฟจากหน้าจอมือถือเพื่อคลำหาแผงสวิตช์ไฟให้เจอ
โชคไม่ดี
ที่ดันมีสายเข้าแทรกมาเสียก่อน...
ครั้นจะตัดสายทิ้ง
ผมก็ดันทำไม่ได้ เพราะหมายเลขที่โทรเข้านั้น เป็นเบอร์ตรงจากแล็ปนิติเวชที่ผมเอาซากฟัน
กับศพปลาไปส่งให้พิสูจน์ซากอาหารในท้องปลาให้แน่ใจดูอีกรอบ ผมเลยกดรับสายและอาศัยฝ่ามือคลำไปตามผนังเรียบๆแทน
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้สนทนากับคนปลายสายให้เข้าใจเนื้อหาที่ผมอยากรู้มากที่สุด
ผมก็รู้สึกปวดตรงท้ายทอยราวกับโดนของแข็งกระแทกเข้าอย่างจัง
จนผมไม่อาจมองสิ่งใดนอกไปจากความมืดมิด
จากนั้น...สติของผมก็หลุดลอยไปในไม่ช้า
จนผมมารู้สึกตัวอีกครั้งภายในห้องโล่งว่างห้องนี้
ซึ่งหากประสาทสัมผัสของผมยังไม่ผิดเพี้ยนไป
เสียงฝีเท้าที่ดังมาจากด้านนอก
บอกกับผมว่า
กำลังมีคนมากกว่าหนึ่งกำลังเดินบันไดมายังห้องที่ผมถูกจับตัวอยู่...
และผมควรจะหาทางต่อสู้และเอาตัวรอดจากเหตุการณ์คับขันในครั้งนี้โดยเร็วที่สุด
◘------------------------------------------------------------------------------------◘
“อาจารย์พาผมมาที่นี่ทำไม?”
เบิร์ดหันไปถามกัลป์ทันทีที่ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องนอนของบ้านร้างหลังหนึ่ง
ซึ่งภายในห้องว่างเปล่าห้องนั้น
มีร่างของผู้ชายอีกคนโดนปิดปาก และมัดมือและเท้าเข้ากับขาเตียง
นิสิตวิศวะยังไม่เข้าใจถึงความต้องการของอาจารย์หนุ่มที่หลอกล่อให้เขาต้องลากสังขารถ่อมาไกลถึงที่นี่
แต่อีกฝ่าย...กลับรอแค่จังหวะดีๆเท่านั้น
ซึ่งมันจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีหลังจากนี้
“นายอยากรู้ความจริงทั้งหมดไม่ใช่เหรอว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดที่นายสงสัย”
กัลป์หลอกล่อด้วยการชี้นิ้วไปยังร่างกำยำที่นอนนิ่งอยู่กับพื้น “นั่นยังไงล่ะ...ตัวการที่ทำร้ายเพื่อนนาย...และทำลายทุกอย่าง!!”
เด็กหนุ่มเบือนหน้ากลับไปมองยังร่างที่ถูกมัดเอาไว้อีกครั้งด้วยความตั้งใจ
แต่เมื่อสังเกตเห็นคราบเลือดบนที่แห้งกรังเปรอะเสื้อยืดสีขาวที่ดูคล้ายกับเสื้อตัวในที่ตำรวจนิยมใส่
ใจของเบิร์ดก็เริ่มลังเล
“ผมไม่เชื่อหรอก!!” เด็กหนุ่มเถียงทันควัน
เพราะคนที่นอนอยู่ตรงนั้น ดูเหมือนเหยื่อมากกว่าคนร้ายเป็นไหนๆ ซึ่งคำตอบที่แสดงออกถึงการไม่เชื่อฟังดังกล่าว
ทำให้ร่างกายสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านหลังเกิดบันดาลโทสะขึ้นมาทันที
“ไม่เชื่อเหรอ?
งั้นนายก็เป็นเด็กไม่ดีล่ะสินะ”
กัลป์อาศัยจังหวะที่เด็กหนุ่มยืนหันหลังให้โผเข้าไปรวบกดอีกฝ่ายให้นอนคว่ำหน้าแนบกับพื้น
มือทั้งสองของเบิร์ดถูกจับไพล่หลังแล้วล็อคเอาไว้ด้วยน้ำหนักของทั้งร่างกัลป์ทับลงไปอีกที
ชายหนุ่มผู้ชำนาญการเข่นฆ่ามากกว่าใครๆในห้องนั้นรวมกัน
ใช้นิ้วมือข้างที่ว่างดันปลอกเข็มฉีดยาที่เพิ่งหยิบออกจากกระเป๋าเสื้อออก แล้วจึงจรดปลายเข็มลงตรงเส้นเลือดตรงลำคอของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่กี่อึดใจ เด็กหนุ่มก็นิ่งไป ก่อนจะหมดลมหายใจไปในที่สุด
จังหวะที่กัลป์วัดชีพจรและลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเบิร์ดอยู่นั้น
คือช่วงเวลาเดียวกันกับช่วงที่มือของรักษ์เป็นอิสระ
ทว่าภายหลังจากที่ตำรวจหนุ่มเริ่มขยับตัวท่อนบนได้สักพัก
เขาก็รู้ว่า...ความปวดหน่วงจากบาดแผลตรงท้ายทอย
ไม่น่าหวาดหวั่นเท่ากับอาการขยับตัวได้อย่างเชื่องช้าในเวลาคับขันเช่นนี้...
เห็นทีว่าเขาคงจะโดนยากดประสาทจำพวกหนึ่งเล่นงานจนร่างกายหนักจนยากเกินเคลื่อนไหว
ก่อนที่รักษ์จะได้เอื้อมลงไปปลดเชือกที่ปลายเท้า
ตำรวจหนุ่มก็ถูกของแข็งตบลงตรงข้างขมับจนตาพร่า
และกว่าที่เหยื่อจะรู้ตัวว่าตกอยู่ในภาวะแห่งความเป็นและความตาย
เพชรฆาตผู้เป็นพี่ชาย ก็ส่องปลายกระบอกปืนมายังหน้าอกด้านซ้ายของรักษ์เข้าให้แล้ว
ชั่ววินาทีสุดท้ายของผู้เป็นน้อง...
รักษ์ก็ได้ล่วงรู้ว่า
พี่ชายที่เขาเฝ้าชื่นชมและบูชามาโดยตลอด เป็นเพียงตัวตนหนึ่งที่เขารู้จักเท่านั้น
ส่วน
‘มัน’ ที่กำลังยิ้มร่าขณะเห็นเลือดไหลบ่าออกจากแผลตรงหน้าอกของเขา คือร่างอวตารของปีศาจที่พรากทุกอย่างไปจากเขา
ทั้งชีวิต...และหัวใจ
ก่อนที่โลกจะดับหายไปตลอดกาล...
รักษ์ฝันเห็นใบหน้านวลละเอียดของรุ่งรวี
◘------------------------------------------------------------------------------------◘
ร่างบางที่นั่งขดอยู่บนลานหน้าบ้านกอดปลอบตัวเองที่สั่นงันงกด้วยความหวาดกลัวหาใดเปรียบ
หลังจากได้รู้ว่าสถานที่ซึ่งเด็กวิศวะต้องสงสัย
กับคนรักของเขามุ่งหน้าเข้าไปไม่ใช่สถานที่อื่นใด
หากแต่เป็นบ้านหลังที่
‘มัน’ กับเขาและหรั่งเคยมีประสบการณ์ร่วมกันมาก่อน แม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ก็ตาม
ทว่าความกลัวจากเหตุการณ์เลวร้ายในอดีตกลับถูกพัดให้ลอยหายไปทันทีที่เสียงปืนนัดหนึ่งดังขึ้นมาจากชั้นสองของบ้าน
จ้ารอให้ร่างกายที่เพิ่งสะดุ้งสุดตัวเพราะเสียงกัมปนาทเมื่อครู่คลายความตกใจลง
แล้วจึงค่อยๆตะเกียกตะกายหยัดยืนขึ้นอีกครั้ง
ก่อนจะก้าวย่างอย่างช้าๆเข้าไปในบ้าน... ขึ้นไปยังห้องๆเดียวที่เขารู้จักเป็นอย่างดี
เพื่อเข้าไปช่วยคนรักของเขาให้ปลอดภัยจากความร้ายกาจของ
‘มัน’
แต่ทันทีที่บานประตูบานนั้นเปิดออกด้วยน้ำมือของเขาเอง
ร่างแน่นิ่งของเด็กวิศวะต้องสงสัยกับนายตำรวจหนุ่มผู้ที่เขาคุ้นตาที่กองอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องก็ทำให้จ้าร้องถามกัลป์
ที่ดูจะเลื่อนลอยผิดปกติด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“พี่กัลป์!! นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ?”
จ้าพูดพลางเข้าไปกอดร่างของกัลป์ที่นั่งนิ่งอยู่บนพื้น
ก่อนจะปัดปืนในมือข้างหนึ่งของกัลป์ให้พ้นไป ทันทีที่รับรู้ได้ถึงสัมผัสอันอ่อนโยนของเด็กหนุ่ม ร่างที่ไม่ไหวติงเมื่อครู่ก่อนก็กลับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง...แต่ก็ยังไม่ปกตินัก
“จ้า...
ช่วยพี่ด้วยจ้า!!” กัลป์อ้อนวอนอีกฝ่ายอย่างน่าสงสาร
ร่างหนาของเขาสั่นเทิ้มคล้ายกับคนที่เพิ่งประสบกับเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงที่สุดในชีวิตมาหมาดๆ
“พี่กัลป์
พี่กัลป์เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?...
.
...แล้วทำไมพี่รักษ์
กับ...คนๆนั้นถึงเป็นแบบนี้?” จ้าเหลือบมองสภาพห้องและศพทั้งสองด้วยความตกใจระคนหวาดหวั่น...
คงไม่มีใครคาดหวังว่าจะต้องมาเห็นการนองเลือด หรือการเสียชีวิตของคนรู้จักต่อหน้าต่อตาแบบที่เขากำลังเผชิญอยู่นี่เป็นแน่
“พี่ขับรถตามรัฐภาคย์มา
แล้วก็มาเจอรักษ์ที่ห้องนี่...
.
...พอเห็นว่าพี่มาด้วย
สองคนนั้นก็เริ่มด่ากันสาดเสียเทเสีย...
...รักษ์กลายเป็นอีกคนที่ไม่ใช่น้องชายที่พี่เคยรู้จัก...
...รักษ์หาว่ารัฐภาคย์จงใจจะเปิดโปงตัวเอง
รักษ์เลยฉีดยาอะไรก็ไม่รู้ให้เด็กคนนั้น...
...พี่กลัว
พี่เลยคิดจะหนี แต่รักษ์ก็เข้ามาทำร้ายพี่ เพราะไม่คิดจะปล่อยพี่ให้กลับไปหาจ้า...
.
...รักษ์บอกพี่ว่า
พี่สมควรตายเพราะพี่มายุ่งกับเด็กดีของมัน
แล้วมันก็เล่าให้พี่ฟังว่ามันทำอะไรกับจ้าบ้าง...
...แล้วมันก็ชักปืนออกมาจะยิงพี่
พี่...พี่ไม่ได้ตั้งใจ พี่แค่ต้องสู้เพื่อป้องกันตัวเองเพราะพี่อยากกลับไปหาจ้า”
กัลป์อธิบายรัวเร็วจนแทบฟังไม่ทัน
ประกายความหวาดหวั่น
ความวิตก และความสับสนยังคงฉายชัดในแววตาของชายหนุ่ม
คำบอกเล่ากับสภาพน่าสงสารของแฟนหนุ่มทำให้จ้าถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก...
ไม่อยากจะเชื่อ ที่แท้พี่รักษ์คือ ‘มัน’ อย่างนั้นเองหรอกหรือ?!
แต่ข้อสงสัยนั้นกลับไม่สำคัญอีกต่อไป
เพราะน้ำเสียงเครือ และหยาดน้ำตาใสๆที่ไหลลงอาบแก้มของคนรัก
ทำให้จ้าปักใจเชื่อคำบอกเล่าของกัลป์โดยง่าย
“จ้า...
พี่ฆ่าคน...
.
...พี่ฆ่าน้องชายด้วยมือของพี่เอง”
อาจารย์หนุ่มร้องไห้พลางกอดรุ่งรวีเอาไว้ในอ้อมอกอย่างรักใคร่ ทว่าอาการสะอื้นจนอกไหวของกัลป์ทำให้จ้าอดกลัวไม่ได้ว่า...นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาทั้งคู่จะได้อยู่ด้วยกัน
“พี่จะมอบตัวกับตำรวจ...
จ้ารอพี่นะ จ้ารอพี่ได้ไหม?” กัลป์อ้อนวอนขอคำสัญญาจากเด็กหนุ่มด้วยน้ำตาทว่ายังไม่ยอมคลายอ้อมแขนจากร่างบอบบางแม้แต่องคุลี
การตัดสินใจของกัลป์ทำให้จ้าเจ็บปวดราวกับโดนใครเอาไฟฟ้าสักหมื่นโวลต์ช็อตเข้าที่ขั้วหัวใจ
ทำไมคนดีๆอย่างเขาและกัลป์จะต้องมาทนรับกรรมที่พวกเขาไม่ได้ก่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า?
เรื่องอะไรที่คนรักของเขาต้องชดใช้ความผิดที่เกิดจากตัณหาและความต้องการอันวิปริตของ
‘มัน’ ด้วยล่ะ?
การตายของคนชั่วอย่าง
‘มัน’ คือเรื่องที่ควรจะเกิดอย่างที่สุดไม่ใช่หรือ?
“ไม่เอา!!! จ้าไม่ยอม!!” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงแข็ง...
ไม่ว่าอย่างไร
เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้กัลป์ต้องตกนรกเพราะความผิดของคนอื่นอย่างแน่นอน แต่กัลป์กลับไม่โอนอ่อนแม้แต่น้อย
“ไม่ได้หรอกจ้า
พี่ทำผิด พี่ก็ต้องยอมรับความผิดของพี่” ชายหนุ่มแย้งทั้งน้ำตา
ความรู้สึกรวดร้าวใจเมื่อต้องทนเห็นคนรักร้องไห้หลังจากเหตุสุดวิสัยเพียงเพื่อต้องการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด
ความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาของเขาทั้งสอง
กอปรกับพื้นนิสัยหนีปัญหาเป็นทุนเดิมของเด็กหนุ่ม ผลักดันให้ความคิดด้านมืดของรุ่งรวีตกผลึกได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ
“เดี๋ยวครับพี่กัลป์
พี่กัลป์ตั้งสติแล้วฟังจ้าให้ดีๆนะครับ...
.
...ถ้าเราหนีไปตอนนี้
ก็คงไม่มีใครรู้เรื่องที่เกิดขึ้น...
...กว่าที่ตำรวจจะมา
เราอาจจะหนีไปที่ไกลๆแล้วก็ได้...
...ไปเถอะครับ
เราหนีกันเถอะ หนีเสียตั้งแต่ตอนนี้...
...จ้าสัญญาว่าจ้าจะไม่บอกใคร
ความลับนี้จะตายไปกับจ้า
แค่นี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่นอกจากเราสองคนเท่านั้น”
จากสีหน้า
ท่าทางและน้ำเสียงของจ้าเมื่อครู่ บอกให้กัลป์รู้ได้ว่า คนพูดจริงจังกับทางออกที่เพิ่งพูดมามากแค่ไหน
แต่ชายหนุ่มอยากจะแน่ใจว่า
รุ่งรวีจะยึดถือสัญญาปากเปล่าฉบับนี้โดยไม่คิดเปลี่ยนใจในภายหลัง
“จ้า...แต่ว่า”
ชายหนุ่มแสดงอาการลังเลกับทางเลือกที่จ้าเสนอ ทว่าเด็กหนุ่มกลับไม่ปล่อยเวลาให้ทั้งคู่ตกอยู่ในความเสี่ยงท่ามกลางที่เกิดเหตุอีกต่อไป
“ไปครับ
ไปกับจ้า” พูดจบ ร่างบางก็ยืนขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะส่งมือมาให้อาจารย์หนุ่มเกาะกุม
“แต่”
ชายหนุ่มยังแสดงอาการสองจิตสองใจ และปล่อยให้ฝ่ามือของจ้าลอยคว้างอยู่กลางอากาศโดยไม่คิดไขว่คว้า
กัลป์กำลังทดสอบความแน่วแน่ไม่สั่นคลอนโดยง่ายของคนรัก
เขาต้องแน่ใจว่าจ้าเชื่อในสิ่งที่เขาพูดจนหมดใจ...
การล้างสมองที่ดี
คือการทำให้เป้าหมายสร้างชุดความเชื่อที่เราต้องการขึ้นในมโนสำนึกภายในด้วยตัวเอง
และหากครั้งนี้
เขาล้างสมองจ้าได้สำเร็จจริงๆ หลังจากนี้...ต่อให้เขาพูดเรื่องอะไร จ้าก็จะปักใจเชื่อโดยไม่ยั้งคิดอีกเลย
“คนชั่วอย่างมัน
ก็สมควรแล้วล่ะครับที่ต้องมาเจอจุดจบแบบนี้” รุ่งรวีเอ่ยอย่างไม่ยี่หระพลางโน้มตัวลงมาดึงมือของกัลป์แล้วจึงออกแรงฉุดให้ชายหนุ่มลุกตาม
“แต่...พี่...
ชายหนุ่มหยั่งเชิงเป็นครั้งสุดท้าย
ประตูแห่งโลกใบน้อยที่ภายในจะมีแต่เขากับรุ่งรวีกำลังเปิดอ้ารอให้เด็กหนุ่มกระโจนเข้าไปด้วยความปรารถนาของเจ้าตัว
แน่นอนว่า...
ประตูบานนี้ถูกสร้างมาเพื่อใช้เป็นทางเข้าเพียงอย่างเดียว
ซี่งรุ่งรวีก็เลือกที่จะก้าวสู่โลกบิดเบี้ยวอีกใบที่กัลป์มอบให้ด้วยความตั้งใจของตัวเอง
“ไปกันเถอะครับพี่กัลป์ จ้าไม่อยากอยู่โดยไม่มีพี่กัลป์เคียงข้างอีกต่อไป...
...หลังจากวันนี้
เราสองคนจะหนีความวุ่นวายไปอยู่ที่ไกลๆกันสองคนดีไหมครับ?”
เด็กหนุ่มกระชับมือหนาของกัลป์เอาไว้แน่นพลางส่งยิ้มน่ามองให้โดยไม่ใส่ใจสภาพแวดล้อมอันน่าหดหู่โดยรอบ
“ไปครับพี่กัลป์!!”
เจ้าของนัยน์ตาโศกเอ่ยด้วยน้ำเสียงฮึกเหิมพลางบีบมืออาจารย์หนุ่มเบาๆคล้ายกับต้องการส่งผ่านความเข้มแข็งไปปลอบประโลมหัวใจอันเปราะบางของคนรักให้กลับมาสดใสได้ดังเดิม...ขอแค่มีกัลป์อยู่เคียงข้าง
ต่อให้ต้องอยู่ในขุมนรกล่างสุดแบบไม่มีวันได้ผุดได้เกิด...จ้าก็แน่ใจว่าตัวเองจะมีความสุขอย่างที่สุด
กลางดึกคืนนั้นหลังจากกัลป์กล่อมเด็กดีของเขาเข้านอนเป็นที่เรียบร้อย
ชายหนุ่มก็ต่อสายโทรออกไปยังเบอร์ของน้าต๋องเพื่อร้องขอให้อีกฝ่ายช่วยจัดการ
‘เก็บกวาด’ เป็นครั้งสุดท้าย
จะมีสักกี่คนให้ความสนใจกับข่าวไฟไหม้บ้านชานเมืองหลังใหญ่ในกรอบเล็กๆของหน้าหนังสือพิมพ์ที่ไม่มีสื่อเจ้าไหนสนใจตีไข่ใส่สี
เพราะคดีดังกล่าวได้รับการสรุปสั้นๆว่า เป็นเหตุไฟไหม้ที่เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร
ซึ่งไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้ใด เพราะภายในบ้านไม่มีผู้อยู่อาศัย
และเจ้าของบ้านกลายเป็นบุคคลหายสาปสูญตามกฏหมายไปเมื่อหลายปีก่อน
◘------------------------------------ The End ------------------------------------◘
คุยปิดท้ายเรื่องเสียหน่อย
จริงๆ
เรื่องนี้เราตั้งใจเขียนเพราะอยากให้พระเอกเป็นคนเลวค่ะ
เพราะเราคิดอยู่เสมอว่าอยากให้พระเอกนิยายมีข้อเสียเยอะๆผิดขนบของพระเอกทั่วๆไป
ซึ่งเราตั้งใจให้ไม่เน้นแก่นอื่นใดนอกจากความรักแบบโรคจิตล้วนๆ
ฮ่า ฮ่า ฮ่า
กัลป์คือเหยื่อของความต้องการของผู้ใหญ่ที่บิดเบี้ยวไปโดยไม่รู้ตัว
แต่ด้วยเพราะคนเราต่างก็โหยหาความรัก
แรงผลักดันดังกล่าวจึงทำให้กัลป์ไขว่คว้าคนๆนั้นมาโดยตลอดค่ะ
แต่เพราะความกลัว
และประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้กัลป์รู้แต่เพียงว่า
ความรักที่เขาตามหา
คือการครอบคองแบบเบ็ดเสร็จเท่านั้น
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการทำลายจ้า
เพื่อสร้างสิ่งสวยงามล้ำค่าเป็นที่สุดให้เกิดขึ้นค่ะ
ขอโทษด้วยนะคะหากเนื้อหาจะไม่สมจริง
หรือไม่มีประเด็นและข้อคิดสอนใจใดๆ
รวมทั้งอาจจะมีข้อผิดพลาดในหลายๆจุด
หากท่านใดมีข้อเสนอแนะ
เราก็พร้อมจะน้อบรับเพื่อปรับปรุงการเขียนให้ดียิ่งๆขึ้นไปค่ะ
จนกว่าจะพบกันใหม่ในเรื่องดาร์คเรื่องหน้านะคะ
(ภาวนาให้เรายังคงดาร์คออกต่อไปเนอะ
^^)