Saturday, June 6, 2015

Ħ บน บาน ศาล รัก Ħ The 9th Blessing || 07.06.2015



ตอนนี้ยาวอีกแล้วค่า... ขอโทษนะค้า

หากเจอคำผิด หรือเนื้อเรื่องแปร่งๆ บอกได้เลยนะคะ แล้วเราจะตามมาแก้ไขอีกที
พร้อมอ่านคำติชมของพวกคุณๆอย่างเต็มที่ค่ะ รักคนอ่านทุกๆท่านเหมือนเคยค่า ^^



Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ



The 09th Blessing
ช่วยบีบมือของฉัน... และบอกว่า หนังผีมันสยองไป’ T[]T



“เจ้าพ่อห่อไหล่  เจ้าพ่อไทรทองครับ”  บ๊วยส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังเทวบุตรทั้งสอง ทว่าชายหนุ่มกลับได้รับการส่ายหน้าโดยพร้อมเพรียงแทนคำตอบ  เมื่อไร้ซึ่งที่พึ่งหลักแสนศักดิ์สิทธิ์ บ๊วยจึงหันไปจ้องหน้าแฝดพี่ด้วยสายตาออดอ้อนราวกับลูกหมาขอขนม ก่อนจะหยั่งท่าทีดูอีกครั้ง “พี่ฌานนนนน... ทำแบบนี้จะดีเหรอ?”

“เอาน่าบ๊วย กัดฟันเดี๋ยวเดียว...แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง เชื่อข้า” เจ้าพ่อห่อไหล่หายตัวแล้วมาโผล่ใกล้ๆกับบ๊วยระหว่างพูดปลอบประโลม ชายหนุ่มมองหน้ารุ่นพี่ผู้กำลังหลับไหลไร้สติตรงหน้า สลับกับใบมีดโกนแบบพับที่อยู่ในมือ

“...เอ่อ...มันโอเคแน่เหรอครับ? นี่มันเรื่องใหญ่นะครับเจ้าพ่อ” จนถึงตอนนี้...บ๊วยก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี จนโฮลี่ฮิปสเตอร์ต้องออกโรงกระตุ้นขวัญและกำลังใจของชายหนุ่มไม่ต่างจากเมื่อสองนาทีที่แล้ว

“บ๊วย เจ้าลองมองไปรอบๆแล้วบอกข้าทีสิว่า... ระหว่างตัวเจ้ากับเจ้าแฝดพี่ที่ยังมีสติครบถ้วนทุกประการ...
...ข้ายังจะพอฝากความหวังให้ใครลงมือทำการนี้ได้อีก?...
.
.
...เจ้าแว่นก็พับไปตั้งแต่หัวค่ำแล้ว ส่วนเจ้าแฝดน้องก็หลับลึกเกินจะปลุก” เจ้าพ่อห่อไหล่ให้เหตุผลจนบ๊วยเริ่มโอนเอียง ทว่าอยู่ๆ... ชายหนุ่มกลับฉุกคิดได้...

จริงสิ...พี่ฌานก็ยังยืนตาใสอยู่ตรงนี้อีกคนนี่นา...
เรื่องอะไรที่เขาต้องเป็นฝ่ายลงมือทำงานสกปรกในครั้งนี้ด้วย?!

บ๊วยส่งสายตารบเร้าไปยังแฝดพี่ด้วยความตั้งใจ กระหน่ำตามด้วยพลังทำลายล้างหนักหนากว่าที่เคย
แต่มีหรือที่คนกลางๆบารมีระดับล่างโหลดโคตรต่ำอย่างบ๊วยจะทำให้ฌานระทวยได้

“พี่ฌานมือหนักว่ะ สงสัยถ้าทำจริงๆ ไอ้พี่เต๋อมันต้องสร่างเมามาวิ่งไล่เตะพี่ฌานจนตูดบานก่อนแน่ๆ...
.
.
...เป็นบ๊วยน่ะแหละดีแล้ว...
...นะ...คิดเสียว่าทำเพื่อไอ้เก็กมัน ไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังอีกแล้วล่ะ” ฌานชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อหว่านล้อมเพื่อนตัวเล็กของตน ตบท้ายด้วยคาถาศักดิ์สิทธิ์ชื่อว่า ธันวา  อันมีอานุภาพสูงส่งยิ่งกว่าคาถาใดๆในโลก

“ครับๆ ก็ได้ครับพี่ฌาน” บ๊วยรับปากส่งๆ แล้วจึงค่อยๆวางมือลงตรงตำแหน่งซึ่งไม่ห่างจากหนังศรีษะของพี่รหัสตนเองมากนัก  แม้ระยะคมมีดกับโคนผมแทบจะสัมผัสกันอยู่รอมร่อ...ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ยังไม่หันหลัง...ยังไม่ถอดใจ

“แต่จริงๆพวกเราก็ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้นะครับ...
.
...ผมว่า แค่เราลองขอร้องให้พี่เต๋อไปตัดผมตัดเผ้า โกนหนวดโกนเคราดีๆ...
...พี่เต๋ออาจจะยอมให้ความร่วมมือมากกว่าที่พวกเรากังวลกันไปล่วงหน้าก็ได้นะครับ” เขาหวังว่าเหตุผลของตัวเองจะมีน้ำหนักมากพอจนสามารถเปลี่ยนใจฌานและเทวบุตรทั้งสององค์ได้ในนาทีสุดท้าย


ทว่าในจังหวะที่ชายหนุ่มกำลังเฝ้ารอคำตอบจากใครก็ได้อย่างใจจดใจจ่อนั้นเอง
หัวลุ่นๆของเทวบุตรสุดชิคก็ดันโผล่ขึ้นตรงหน้าบ๊วยในระยะเผาขนโดยไม่มีใครคาดฝัน ก่อนกระชากเสียงถามอย่างทีเล่นทีจริง


จริงเหรอ?!! เฉพาะส่วนหัวของเจ้าพ่อไทรทองล่องลอยไม่ห่างจากปลายจมูกของบ๊วยเท่าใดนัก

เหวออออออออ!!!! “ ชายหนุ่มตกใจจนเผลอร้องเสียงหลง พลางกระถดตัวถอยหลังทันที เมื่อตั้งตัวได้บ๊วยก็ร่ายบทสวดยาวเหยียดด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจนัก

“เจ้าพ่อไทรทองโผล่มาแบบนี้ได้ยังไงกันครับ ผมตกอกตกใจหมด!!...
.
...เสียงเรียกเข้าก็มี...
...ทีหลังอย่าทำอย่างนี้อีกนะครับ...
...ดีนะเนี่ยะ ที่มีดไม่บาดหน้าพี่เต๋อไปเสียก่อน” ท่าทางตะบึงตะบอนประกอบการเอ็ดอึงของมนุษย์หนุ่มตัวเล็กนับเป็นสิ่งชวนหัวของบุตรแห่งเทพมากกว่าเรื่องที่ควรเก็บมาใส่ใจ นั่นจึงยิ่งทำให้ชายกลางไม่สบอารมณ์ไปกันใหญ่...

ทว่าเมื่อบ๊วยเหลือบไปเห็นสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องของฌาน อารมณ์ขุ่นมัวของชายหนุ่มก็หายวับไปกับตา...
เพราะเพื่อนทุกคนรู้จักใบหน้าแบบนี้ของแฝดพี่เป็นอย่างดี...
.
.
...ตื่ง ตื่ง....
...มีเวื่องแว้วววววว!!


“พี่ฌานว่า...เท่าที่ดูสารรูปของพี่เต๋อตอนนี้  บางทีการโดนมีดโกนบาดจนหน้าเหวิ่งก็อาจจะดีกว่าก็ได้นะ” เมื่อพูดจบ ฌานก็พยักเพยิดให้บ๊วยก้มลงดูฝีมือตัวเอง ที่ฝากเอาไว้ตรงกลางกระหม่อมของคนเมาอย่างเหมาะเหม็ง ราวกับตั้งใจเล็งมาเป็นอย่างดี ”บ๊วยก็คิดเหมือนพี่ฌานใช่ไหม? หึ หึ หึ”

เย้ยยยย!!! ซวยแล้ววว!...
.
...ผมพี่เต๋อแหว่งเป็นปื้นเลย เห็นหนังหัววงเบ้อเร่อด้วย...
...ฮืออออออ...ตายแน่บ๊วย ทำไงดี?!!!!”  ฌานตบไหล่เพื่อนสนิทตัวเล็กปุๆ ก่อนจะบรรจงจัดองศาใบหน้าของเต๋อหัวแหว่งผู้เมาพับไม่รู้เรื่องให้เอียงพร้อมรับใบมีด

“หมดห่วงเรื่องผมไปได้หนึ่งอย่าง ทีนี้ก็เหลือแต่คางกับแก้มนี่แหละ” ฌานพูดพลางจับมือบ๊วยให้จรดใบมีดประกบเข้ากับองค์ประกอบตั้งต้นที่หลับตาพริ้มรอท่าอยู่ก่อนแล้ว  แววตาของแฝดพี่เป็นประกายวามวาวราวกับพ่อพาลูกชายไปสนามเด็กเล่นแถวบ้านเป็นครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น

“เอาเลยบ๊วย วาดตีฟให้วิจิตรเต็มที่ แต่พี่ฌานขอสว่างๆนี๊ดนึง ปล่อยครึ้มๆแล้วมันดูอึมครึมทำหน้าหมองเกินไปหน่อยว่ะ” แฝดพี่เอ่ยสบายๆคล้ายกับอนุญาตให้เพื่อนละเลงใบมีดลงบนใบหน้าพี่รหัสตนเอง... แต่มันใช่เหรอ?!!

“เฮ่อออออ...
...ทำไมต้องเหลือแค่ผมกับพี่ฌานที่มีสติครบถ้วนด้วยนะ...
...ถ้าพี่เต๋อรู้เรื่องนี้  มีหวังพี่เต๋อต้องแช่งชักหักกระดูกผมจนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดไปอีกสิบชาติ...
...ดูสิเนี่ยะ แกอุตส่าห์ไว้ของแกมาเป็นปีๆ  พี่ฌานกับเจ้าพ่อเล่นมากดดันให้ผมตัดผม โกนหนวดแกให้เว้าๆแหว่งๆแบบนี้...
.
.
... เห็นทีผมต้องถูกตัดออกจากสายรหัสแน่ๆเลยครับ” บ๊วยบ่นกระปอดกระแปด แต่ก็บ้าจี้กะรูปทรงและทิศทางในการโกนเคราของพี่รหัสตัวเองเอาไว้คร่าวๆอยู่ในใจ  

“เจ้าบ๊วย... ถ้าเจ้าอยากได้ลูกเสือ เจ้าก็ต้องเข้าถ้ำเสือเป็นธรรมดา ถ้าพวกเราไม่ช่วยกันปรับปรุงรูปโฉมโนมพรรณของพี่รหัสเจ้าให้ดูดีจนไม่ขัดสายตาคนมอง แล้วเมื่อไรเจ้ากังฟูจะสนใจเจ้าหนุ่มเต๋อนี่เสียทีล่ะ?” เจ้าพ่อไทรทองร่วมผสมโรงโน้มน้าวจิตใจของบ๊วยอย่างออกนอกหน้า  

“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง หรือกลัวว่าพี่รหัสเจ้าจะโกรธเคืองเจ้าด้วยเรื่องแค่นี้หรอก...
.
...คนเมาจนขาดสติน่ะ ทำอะไรไม่คาดฝันได้ตั้งมากมาย” เจ้าพ่อไทรทองย้ำมาอีกคำรบ  


ยิ่งฟัง... ชายหนุ่มตัวเล็กก็ยิ่งสะกิดใจว่า...
การตุ้งแช่เฉพาะส่วนหัวของเทวบุตรสุดชิคเมื่อครู่ จะต้องเป็นความร่วมมือระหว่างแฝดพี่กับเจ้าพ่อองค์นี้เป็นแน่


“หึ หึ หึ...ใช่บ๊วย วางใจเถอะ พี่ฌานกับเจ้าพ่อทั้งสองน่ะ วางแผนเรื่องนี้กันมาอย่างรัดกุมที่สุดแล้วล่ะ” ฌานยังไม่หยุดทำสีหน้าเจ้าเล่ห์ชวนให้ขนอ่อนตามตัวของบ๊วยลุกเกรียว


ไหนๆเรื่องมันก็เลยเถิดมาถึงขั้นนี้แล้ว...
ผู้รับเคราะห์อย่างบ๊วยก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาโกนขนบนใบหน้าพี่รหัสให้ดูทุเรศลูกนัยน์ตา...แบบที่ทำให้เจ้าตัวรีบถลาเข้าร้านตัดผมเพื่อกำจัดความรุงรังทั้งหลายให้หมดไปในทันที


“เอ่อ เจ้าพ่อไทรทองครับ นอกจากทรงผมและหน้าตาแล้ว พวกเรายังเหลืออะไรที่ต้องรีบทำอีกบ้างล่ะครับ?” แฝดพี่เปิดประเด็นถัดไปทันที ชายหนุ่มหวังจะอาศัยจังหวะนี้ จัดการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกของพี่รหัสคู่บุญของบ๊วยให้ได้มากที่สุด

เจ้าพ่อไทรทองหายตัวแว่บไปยืนยิ้มข้างๆโต๊ะซึ่งมีสมุดบันทึกปกหนังเล่มเล็กๆกับปากกาวางทิ้งเอาไว้ ทำให้แฝดพี่เดินตามไปเพื่อหยิบโน๊ตบุคเล่มดังกล่าวขึ้นมากรีดเปิดแล้วกวาดสายตาผ่านๆอย่างพินิจพิเคราะห์  ระหว่างนั้น...เทวบุตรสุดชิคก็อธิบายที่มาที่ไปของสมุดให้ฌานฟังไปพร้อมๆกัน


“พ่อฌาน... ที่เจ้ากำลังอ่านอยู่นั่นเป็นสมุดบันทึกของเจ้าสกล...
.
...เมื่อวานข้าใช้ให้มันไปหาข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะของชายหนุ่มที่น่าปรารถนาในสายตาผู้ชายด้วยกันมา...
...เห็นมันจดเอาไว้เยอะแยะเชียว...
...ไม่แน่ว่า...เนื้อความเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์กับพวกเราบ้างก็ได้”

“คุณลักษณะอันยอดเยี่ยมของฝ่ายรุกที่ดึงดูดชายหนุ่มหน้าสวยให้ติดกับ อ้างอิงจากนิยายวายแนะนำประจำเล้าฯ” ฌานขมวดคิ้วเป็นปมขณะอ่านหัวข้อที่เขียนอยู่ท่ามกลางรูปยอดมนุษย์ กับประโยคเท่ห์ๆของเหล่าฮีโร่ทั้งหลายซึ่งถูกเขียนปะปนไว้จนแทบแยกแยะเนื้อหาออกจากกันไม่ได้


แฝดพี่อดทึ่งในวิสัยทัศน์อันล้ำหน้า ที่มาพร้อมตรรกะวายป่วงของเพื่อนสนิทคนนี้ไม่ได้...
นี่สกลมันเลือกเพศให้พี่เต๋อ กับพี่ไอ้เก็กเสร็จสรรพเลยเหรอวะ?...
แล้วเอาข้อมูลมาจากนิยายเนี่ยะนะ... จะดีเหรอ?


“ว่ายังไงบ้างล่ะครับพี่ฌาน... ที่สกลเขียนน่ะ” บ๊วยละสายตาจากผลงานชิ้นเอกปลายคางพี่รหัส เพื่อรอคำตอบของแฝดพี่ด้วยใจระทึก... ชายหนุ่มไม่รู้ว่า เขาจะถูกบีบบังคับให้ทำอะไรร้ายแรงกับร่างกายของเต๋ออีกหรือไม่...คืนนี้ยังอีกยาวไกลนัก

“ข้อแรก...ต้องดูดีและโดดเด่นเกินหน้ามดปลวกทั่วๆไป...
.
...ถ้าเบ้าหน้าไม่ส่ง...
...เป็นได้แค่องค์มหาปลวกก็ยังดี” สุดท้ายก็เป็นเทวบุตรสุดชิคที่อ่านข้อความแรกในสมุดซึ่งแฝดพี่เปิดค้างอยู่   

“แล้วมันยังไงล่ะคุณ?... เจ้าแว่นนี่ก็เหลือกิน  วกไปวนมาแท้ๆเชียว” เจ้าพ่อห่อไหล่พึมพำด้วยความขัดใจ

“สกลคงแค่อยากจะบอกว่าต้องหน้าตาดีมากๆน่ะครับ” บ๊วยรีบอธิบายและแก้ตัวแทนหนุ่มหน้าแว่น แฝดพี่เบือนหน้ามองพี่รหัสเพื่อนที่นอนคอพับคออ่อนอยู่บนตั่งตัวใหญ่ในห้องรับแขก

“เรื่องนั้นไม่น่าใช่ปัญหา...
.
...มองกันดีๆ หน้าตาพี่เต๋อนี่ก็พอถูไถนะครับ...
...รับรองเลยว่า  ถ้าแกจัดการไถหัวเตียน และทำหน้าให้เกลี้ยงเกลานวลเนียนกว่านี้สักหน่อย พระสังข์น่าจะถูกปล่อยตัวออกมาให้ยลโฉมแทนซมพลาเจ้าเงาะป่าก็เป็นได้ครับ” คำพูดฌานฟังดูมีน้ำหนักอย่างไม่น่าเชื่อ กระทั่งบ๊วย...ยังสามารถมองเห็นความหล่อที่ซ่อนเร้นอย่างลึกล้ำของเต๋อเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รู้จักกับพี่รหัสของตนมาเกือบสองปี

“ข้อสอง...ต้องรวยมหันต์ รวยจนน่าหมั่นไส้ คนอะไรรวยได้รวยดีอย่างกับเป็นยี่ปั้วส่งยา” เจ้าพ่อไทรทองเปิดประเด็นใหม่โดยไม่รั้งรอ

“ถ้าเรื่องฐานะ... เจ้าพ่อเลิกห่วงได้เลยครับ...
.
...พี่เต๋อนี่รวยขัดกับใบหน้าและท่าทางสถุนๆของแกมาก  ครอบครัวพี่เต๋อรวยติดอันดับต้นๆของประเทศเลยนะครับ” ฌานตอบข้อสงสัยของทุกคนได้อย่างเบ็ดเสร็จ

“ข้อต่อไปล่ะพี่ฌาน?” บ๊วยถามต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ถ้าจะให้ดูรวยใหญ่โตแต่ไม่โหลจนซ้ำใคร ไม่ควรให้ขี่เบนซ์ บีเอ็ม หรือรถซุปเปอร์คาร์เฝือๆ...
...เพราะฝ่ายรุกเรื่องไหนๆก็มาแนวนี้กันหมด...
.
.
...แต่น่าแปลก  หลังจากศึกษานิยายในเล้าฯมาระดับหนึ่ง...
...พบว่า...
...เก้าสิบเปอร์เซนต์ของฝ่ายรับ กลับมีอาการจู๋ติดเบาะแทบทั้งสิ้น...
...เห็นพระเอกขี่รถแพงๆเป็นไม่ได้ ต้องปรี่เข้าไปถวายตัวกันหมด... 
...แน่จริง ก็ขี่ไม้กวาดนิมบัส 2015 แบบแฮรี่ พอตเตอร์สิวะ ทั้งโคตรเท่ห์ แถมยังคูลดูมีคาถากว่ากันเป็นไหนๆ...
.
.
...เอ่อ ผมว่าพวกเราคงพึ่งพาโน๊ตของสกลไม่ได้แล้วล่ะครับเจ้าพ่อ ข้อความที่เหลือมันดูไม่น่าเชื่อถืออย่างไรก็ไม่รู้”  

“ในเมื่อสมุดเล่มนี้ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เอาอย่างนี้...พวกเรามาหารือถึงสิ่งที่เจ้าเต๋อควรเร่งปรับปรุงดีไหม?” เจ้าพ่อห่อไหล่เอ่ยชวนให้ทุกคนช่วยกันระดมความเห็น เทวบุตรสุดชิคผู้คอยหาโอกาสใกล้ชิดกับอีกฝ่ายอยู่ตลอดจึงแว่บไปปรากฏกายใกล้ๆกับโฮลี่ฮิปสเตอร์เพื่อป้อยอทันที  

“อู๊ยยยย เห็นด้วยที่สุดเลยครับเบ๊บ... เบ๊บนี่ทั้งเก่ง ทั้งฉลาดไม่ผิดไปจากที่บันยันคิดเอาไว้จริงๆ” พูดจบ เจ้าพ่อไทรทองก็แอบลูบแผ่นหลังของเจ้าพ่อห่อไหล่เบาๆอย่างสนุกมือ   แฝดพี่นึกเสียดายที่สกลชิงเมาไปเสียก่อน ไม่อย่างนั้นเพื่อนหน้าแว่นคงช่วยเกรียนจนเทวบุตรสุดชิคไม่ทำตัวประเจิดประเจ้อขนาดนี้

“พี่เต๋อเป็นคนเซอร์มากครับเจ้าพ่อ... คือ แกไม่ค่อยจะดูแลตัวเองสักเท่าไร” ชายกลางผู้กำลังครุ่นคิดถึงคุณสมบัติด้านลบของพี่รหัสตนรีบเปิดฉาก แฝดพี่หรี่ตามองเพื่อนตัวเล็กก่อนจะขัดขึ้นทันควัน

“บ๊วย... อย่าช่วยพี่รหัสสร้างภาพ...
.
...คืออย่างนี้ครับเจ้าพ่อ ไอ้พี่เต๋อเนี่ยะ มันเป็นพวกเกรอะกรังทั้งนิสัย หน้าตา และการกระทำ...
...สิ่งแรกที่มันควรเปลี่ยนแปลงให้เร็วที่สุดคงเป็นเรื่องความสะอาด เพราะถ้าให้เปลี่ยนนิสัยในชั่วข้ามคืน ผมว่าพี่ไอ้เก็กจะกลัวเอาได้นะครับ”

“ก็จริง...ถ้าทำแบบนั้น นายกังฟูน่าจะรับไม่ได้ไปกันใหญ่” เจ้าพ่อห่อไหล่เห็นดีเห็นงาม

“ผมว่า ผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกของพี่เต๋อยังไม่น่าเป็นห่วงสักเท่าไรหรอกครับ...
...ไม่แน่ ความกรังของแกอาจจะเป็นเสน่ห์มัดใจจนพี่ไอ้เก็กเผลอติดกับก็เป็นได้...
.
.
...สิ่งที่พวกเราควรให้ความสำคัญมากที่สุดในตอนนี้ก็คือ ความเนียนของคู่รักบังหน้าบ๊วยเก็กนี่ต่างหาก... 
...ขนาดผมไม่ได้นั่งทางในส่องอนาคต ผมยังฟันธงได้เลยว่า...หากพี่ไอ้เก็กสิ้นท่าไม่สามารถยืมมือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆมาช่วยได้  เฮียกังฟูจะต้องมาคอยตามประกบไอ้เก็กแบบไม่ยอมให้คลาดสายตา แถมราวีบ๊วยด้วยอีกขนานแน่ๆครับ” ฌานสรุป

“นั่นสินะ...
...ถ้าเจ้ากับนายเก็กถูกจับได้ การจะเริ่มต้นล้างพรกันใหม่อีกครั้งคงจะยิ่งเป็นเรื่องยาก...
.
...เพราะฉะนั้น เจ้าจะต้องพยายามทำให้ดีที่สุดนะบ๊วย” เจ้าพ่อห่อไหล่กำชับกับชายหนุ่มตัวเล็ก... บ๊วยผู้รับบทหนักจึงรับคำด้วยอาการจำนนจนแต้มอย่างที่สุด

“คร....ครับเจ้าพ่อ  ผมจะพยายาม”




ช่วงรุ่งสาง...
บ๊วยเผลอตกใจตื่นเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนลอยลมฝ่าเสียงหรีดหริ่งเรไรที่ออกมาชิมน้ำค้างยามเช้า...  

เสียงฟังคล้ายหมีติดบ่วงบอกให้ชายหนุ่มรู้ว่า...
พี่รหัสผมแหว่ง เคราเหวิ่งของตนคงจะตื่นเต็มตาและเห็นหน้าตัวเองในกระจกเป็นที่เรียบร้อย
ไม่อย่างนั้น...อีกฝ่ายคงไม่กู่ก้องด้วยน้ำเสียงตกใจหลังได้เห็นภาพลักษณ์สุดแสนไฉไลของตัวเองตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้


“ไอ้เหี้ยแว่นนนนนนนนนน เพราะมึงตัวเดียว เพราะมื้งงงงงงงงงงงง!!!!!


Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ



<< พร้อมหรือยังบ๊วย? เป้าหมายใกล้เข้ามาแล้วนะ <<


เจ้าพ่อห่อไหล่ชูป้ายไฟอันเป็นอุปกรณ์ที่เทวบุตรเลือกใช้ยามไม่ต้องการให้คู่สนทนาเปล่งเสียงพอดีระดับสายตาของบ๊วย
ฝ่ายชายหนุ่มร่างเล็กก็แสร้งทำเป็นยืนเต๊ะท่าพิงขอบชานระหว่างทอดสายตาชมนกชมไม้ไปเรื่อย ทั้งที่ท่าทาง รวมทั้งตำแหน่งในการยืนของเขา...ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกกำหนดมาแล้วแต่ต้น


เจ้าพ่อครับ...
...เจ้าพ่อจะให้ผมพูดคนเดียวได้ยังไง...
...ผมไม่ได้บ้านะครับ!!!


<< ไว้ใจข้าเถอะ เจ้าไม่ต้องบ้าพูดคนเดียวแน่ หึ หึ <<


สีหน้าของเทวบุตรดูมีลับลมคมในจนบ๊วยชักใจไม่ดี
ทว่าเขากลับพะวักพะวนได้ไม่นาน เพราะความตื่นเต้นเกินต้านทานกลบความรู้สึกอื่นๆจนหมดสิ้น...
เขารู้ว่าประโยคของเจ้าพ่อห่อไหล่มีความหมายอย่างไร และถ้าสิ่งที่เขาหวังเอาไว้ไม่ผิดไปจากความจริง... แปลว่าเขากำลังจะได้คุยโทรศัพท์กับชายในฝันเป็นครั้งแรก


 ( Rrrrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrrrr  Rrrrrrrrrrrrrr)


<< รีบรับสายสิ ผู้ชายของเจ้าโทรมาแล้ว!! <<
เจ้าพ่อห่อไหล่กระหยิ่มยิ้มย่อง


เจ้าพ่อไทรทองอยู่กับเก็กเหรอครับ?!!


<< ปราดเปรื่อง!!  อ้อ! เจ้าต้องไม่ลืมว่า เจ้ากำลังคุยกับคนรักของเจ้าอยู่นะ... ออดอ้อนธันวาให้มากๆล่ะ<<


ชายหนุ่มพยักหน้าน้อยๆแทนการรับคำก่อนจะกดรับสายปลายทางด้วยความรวดเร็ว
วินาทีหลังจากนี้... เขาจะต้องทำหน้าที่เป็นแฟนปลอมๆของอดีตเดือนมหาวิทยาลัยให้แนบเนียนที่สุด
ซึ่งบทพิสูจน์แรก กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้


((มอร์นิ่งครับบูบู้ เมื่อคืนเค้าฝันถึงบูบู้ด้วยนะ))

“ฮัลโหล... เก็กเหรอ  บ๊วยคิดถึงเก็กจังเลย”

((กำลังจะไปกินกับเฮียนี่แหละครับ แล้วบูบู้ล่ะ...หม่ำๆอะไรหรือยังเอ่ย?))

“โอ๊ย!! บ๊วยปวดหัวมากเลย สงสัยเมื่อคืนนอนเยอะไปหน่อย... บ้า! บ๊วยไม่ได้เมาจริงๆนะ เก็กไม่เชื่อเหรอ?”

((โธ่บูบู้ครับ เมื่อคืนเค้าง่วงนอนไปหน่อย เค้าเลยเผลอหลับไปก่อนจนไม่ทันตอบไลน์บูบู้... ไม่เอาน่า บูบู้อย่างอนเค้าสิครับ))

“แล้ววันนี้เก็กจะออกมาเจอบ๊วยได้ไหม? บ๊วยอยากดูหนังแล้วก็กินข้าวกับบ๊วยก่อนกลับมอน่ะ... น้า นะเก็กน้า”

((บูบู้ครับ บูบู้ต้องเข้าใจเค้านะ...
...เค้ายังบอกเฮียเรื่องของเราตอนนี้ไม่ได้... ก็ไหนเราตกลงกันแล้วไงว่า บูบู้จะให้เวลาเค้าคุยกับเฮียเรื่องนี้...
...มีเหตุผลหน่อยสิครับบูบู้... บูบู้อย่าทำแบบนี้สิครับ บูบู้ก็รู้ว่าเค้าอยู่โดยไม่มีบูบู้ไม่ได้...
.
...โอ๋ๆ อย่างอนเค้าน้า เดี๋ยวหน้าหงิกแล้วแฟนไม่รักไม่รู้ด้วย...
...เอางี้แล้วกัน เดี๋ยวเค้าไปรอบูบู้ที่เดิมของเรานะครับ วันนี้เค้าจะพาบูบู้ไปดูหนัง แล้วก็ช็อปปิ้งให้สนุกไปเลยดีไหมครับบูบู้?))

“ดีจังเลย! งั้นเดี๋ยวเจอกันที่เดิมนะเก็ก แต่เก็กต้องอย่าไปบอกให้เฮียฟูรู้ล่ะว่าวันนี้เราสองคนจะไปไหนกัน ไม่อย่างนั้น เฮียฟูต้องตามมาอีกแน่ๆ”

((ครับบูบู้ กินเสร็จแล้วเค้าจะรีบไปหาบูบู้เลย... ไม่ต้องห่วงหรอกครับบูบู้ วันนี้เฮียไม่ว่างครับ...
.
.
...คร๊าบ แฟนใครก็ไม่รู้ น่ารักจริงๆเลย อย่าให้เจอหน้านะ เค้าจะสั่งสอนให้รู้สึกว่าอย่ามาท้าทายเค้าแบบนี้อีก...
...หึ หึ หึ...บายครับ เดี๋ยวเจอกันครับบูบู้))

“แล้วเจอกันนะครับเก็ก” บ๊วยลอบถอนหายใจเบาๆ เขาหวังว่าพี่รหัสที่กำลังแอบฟังบทสนทนาเมื่อครู่ด้วยความตั้งใจตรงหลังเสาต้นโน้นจะได้ยินทุกสิ่งที่เขาเอ่ยอย่างชัดเจน


<< เก่งมากบ๊วย เจ้ายอดเยี่ยมมาก!!! เจ้าเต๋อเชื่อคำพูดของเจ้าโดยไม่นึกกังขาเลยเชียวล่ะ <<


เจ้าพ่ออย่าชมผมเลยครับ... เมื่อกี๊ผมเกือบเอาตัวไม่รอดแน่ะ!...
.
.
...ขนาดผมกับเก็กคุยกันคนละเรื่อง...
...เก็กยังพูดอะไรออกมาก็ไม่รู้ ฟังแล้วจั๊กจี้หูชะมัดเลย


<< อ้าว! เมื่อกี๊เจ้าไม่ได้ชอบหรอกเหรอ? ข้าเห็นเจ้าเขินบิดไปบิดมาด้วยนะ<<


ไม่หรอกครับ...
...เจ้าพ่อก็รู้นี่ครับ ทั้งหมดนี่น่ะ...มันเป็นแค่การแสดง


เสียงป็อบอัพของไลน์ดังแจ้งเตือนถึงข้อความเข้าใหม่
ความสนใจและสายตาของเด็กหนุ่มจึงถูกดึงไปยังหน้าจอมือถือที่เพิ่งกดวางทันที
รอยยิ้มน้อยๆจุดขึ้นบนดวงหน้าเล็กๆของบ๊วยเพียงไม่นาน
ก่อนที่เจ้าตัวจะเงยหน้าขึ้นมององค์เทวบุตรอีกครั้งด้วยสายตาขอโทษขอโพยหลังจากทำตัวเสียมารยาทไปเต็มๆ


<< ข้าไปก่อนดีกว่า... ดูเหมือนเจ้าจะต้องการเวลาเป็นส่วนตัวนะ <<  ป็อบ!’





GEG



GEG:
บ๊วย... เราควรตกลงกันเรื่องสรรพนามเสียหน่อยนะ 08.04 AM READ

นั่นสิ...เมื่อกี๊เกือบไม่รอดแน่ะ
แต่ไอ้บูบู้ๆเค้าๆนี่มันไม่เลี่ยนไปหน่อยเหรอ?  READ 08.05 AM
GEG:
แบบนี้แหละ ดูน่าเชื่อดี...
หรือบ๊วยไม่คิดว่า เจ้าพ่อห่อไหล่ กับเจ้าพ่อไทรทองเป็นอะไรกัน? 08.06 AM READ

เออใช่...ลืมนึกไปเลย
ใช่ๆ เบ๊บอย่างนั้น เบ๊บอย่างนี้ตลอดเวลา
น่ารักดีเนอะ หึ หึ READ 08.07 AM

GEG:
งั้นก็เรียกเราว่าบูบู้ แล้วก็เรียกแทนตัวเองว่าเค้าตั้งแต่วันนี้ไปเลยนะ 08.08 AM READ

เอาจริงเหรอ? READ 08.08 AM

GEG:
จริงสิ เราก็จะเรียกบ๊วยแบบนั้นเหมือนกัน...
จะเรียกให้ติดปากตลอดเวลาเลยด้วย ไม่งั้นเฮียฟูจับได้พอดี 08.09 AM READ

ก็ได้ แต่ขอเปลี่ยนเป็นพี่หมีได้ไหม
แบบว่าตัวนายใหญ่เหมือนพี่หมีน่ะ READ 08.09 AM

GEG:
ตามใจบูบู้เถอะ...เรียกไม่เหมือนกันก็ดี จะได้ดูสมจริงหน่อย 08.10 AM READ


งั้นเดี๋ยวเจอกัน พวกเจ้าพ่อกับพี่เต๋อจะตามไปทีหลัง READ 08.10 AM


GEG:
ได้ครับบูบู้ เดี๋ยวเค้าจะรีบไปรอนะ 08.11 AM READ


เออนี่เก็ก READ 08.13 AM
เอ๊ย!...โทษๆ READ 08.13 AM
พี่หมี อย่าลืมเปลี่ยนชื่อเค้าที่พี่หมีเม็มไว้ในเครื่องด้วยนะ READ 08.14 AM
เผื่อเฮียฟูรับสายเค้าแทนพี่หมีไง READ 08.15 AM


GEG:
อืม อืม...บูบู้นี่รอบคอบเนอะ ^_^ 08.17 AM READ

เดี๋ยวเที่ยงกว่าๆเจอกันนะพี่หมี >_< READ 08.18 AM



Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ



“ฟู... นี่ฟูกำลังจะไปไหนน่ะ?” ด้วงถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนเมื่อเห็นว่าคนขับตะบี้ตะบันปาดซ้ายป่ายขวาจนน่าหวาดเสียว ทั้งที่ในซอยบ้านฟูมีรถราวิ่งขวั่กไขว่เต็มไปหมด

“มึงเงียบเหอะน่า กูกำลังใช้สมาธิอยู่ไม่เห็นเรอะ?” คนขับร่างเล็กกำลังหัวเสียติดหมัดเนื่องจากรถคันหน้ายึกยักและ แล่นช้าจนเต่าแทบจะคลานตามไปกัดยางได้รอมร่อ  สีหน้าและแววตาเอาเรื่องของกังฟูที่ใกล้จะปะทุเป็นความหงุดหงิดขั้นติดระเบิดปรมาณูทำให้ด้วงต้องร้องถามหาสาเหตุของความงุ่นง่านฉับพลันนั้นทันที

“แล้วฟูกำลังดูอะไรอยู่ล่ะ? ทำไมไม่มองถนนข้างหน้า? แล้วนี่ไม่ไปทำบุญสะเดาะเคราะห์แล้วหรือไง?”

“ด้วง...ถ้ามึงจะไปกับกู มึงช่วยหุบปากแล้วช่วยกูมองตามไอ้แท็กซี่คันหน้าไม่ให้คลาดสายตาหน่อยได้ไหมวะ?” ฟูเห่าใส่เพื่อนสนิทแบบไม่ใยดี โดยไม่ละสายตาจากรถแท็กซีสีชมพูแปร๋นคันถัดไปข้างหน้าราวๆห้าช่วงตัวรถแม้แต่น้อย

“ทำไมล่ะ?” ด้วงเลยพลอยต้องมองตามรถต้องสงสัยคันนั้นอย่างเสียไม่ได้ไปอีกคน

“มึงไม่ถามสักคำจะได้ไหมวะด้วง คนยิ่งกำลังรีบๆ (ปี๊นนน!! ปี๊น! ปิ๊น...ปี๊นนนนนนนนน!!!)”  กังฟูบีบแตรด่าพ่อรถแต่งคันที่เพิ่งแซงซ้ายปาดเข้ามาอย่างกะทันหัน  “ไอ้รถเหี้ยนี่ก็เหลือเกิน มึงจะรีบไปตายนักหรือไง? แม่งงงง!!!” ชายหนุ่มเบี่ยงเลนออกไปวิ่งไหล่ทางเพื่อร่นระยะห่างระหว่างรถของเขากับแท็กซีสีชมพูเจ้าปัญหา เมื่อเห็นแววตาขึงขังของเพื่อนรัก ด้วงก็ตระหนักได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น... เพราะมีเพียงไม่กี่อย่างที่ทำให้กังฟูบ้าดีเดือดแบบนี้ได้ในชั่วพริบตา

“อย่าบอกนะว่าแท็กซีคันนั้นคือคันที่เก็กขึ้น?!! ใช่ไหมด้วง?... ใช่จริงๆใช่ไหม?” ด้วงคาดคั้น สองมือของชายหนุ่มกุมสายคาดของเข็มขัดนิรภัยเอาไว้แน่น ปลายเท้าจิกลงกับพรมใต้ฝ่าเท้าด้วยความกลัวจนลืมตัว  

“เออ! รู้แล้วก็ช่วยกูดูแม่งทีเหอะวะ...
.
...น้องกูแม่งให้ทิปคนขับเยอะนักหรือไงวะ แม่งถึงได้ดริฟท์ทิ้งโค้งอย่างกับจะสลัดกูให้หลุดอย่างนั้นแหละ” กังฟูบ่นแท็กซีคันที่เก็กโดยสารอยู่เป็นวรรคเป็นเวร... ก็จริง เพราะลีลาการขับขี่ของคนขับแท็กซีคันนั้นช่างฉวัดเฉวียนน่าเวียนหัวเสียเหลือเกิน

“ฟูใจเย็นๆ ค่อยๆขับ... เรากลัว” ด้วงขอความเห็นใจจากเพื่อนรัก...ตอนนี้ชายหนุ่มเปลี่ยนหลักยึดมาเป็นหูจับด้านบนฝั่งคนนั่งเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย

“เชื่อมือกูเหอะน่า อย่าสะดิ้งให้มากนักเลยด้วง” กังฟูพ่นคำออกมาพร้อมกับอารมณ์ที่ร้อนจนเกือบแตะจุดเดือดเต็มที

“เฮ่อ ฟูก็เป็นเสียอย่างนี้ทุกทีสิน่า” หนุ่มนุ่มนิ่มได้แต่บ่นกับตัวเองเบาๆระหว่างนั่งขืนตัวไม่ให้โงนเงนไปตามวงล้อรถที่สะบัดไปมาตามวงเลี้ยวห้วนโหด กับความเร็วเหี้ยมระห่ำของเพื่อนตัวเล็ก





หลังจากทุกคนกินวางมือจากข้าวเช้าตอนใกล้สิบเอ็ดโมง สกลที่ออกไปคุยโทรศัพท์อยู่นานสองนานก็วิ่งหน้าตาตื่นกลับเข้ามาในครัว พลางโหวกเหวกเรียกร้องความสนใจของชายหนุ่มทั้งโต๊ะ

“พี่ฌาน...แย่แล้ว!!

“มีอะไรเหรอสกล?” เจ้าของบ้านถามเพื่อนรักนิ่งๆ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่อาจสงบตามได้

“เมื่อกี๊บ๊วยเพิ่งโทรมาปรึกษาว่าจะทำไงดี” หนุ่มหน้าแว่นเว้นวรรคยาวเพื่อหยุดพักหายใจก่อนจะระรัวลิ้นอธิบายต่อ  ชื่อที่เพิ่งได้ยินทำให้เต๋อกับฌอนวางมือจากจานผลไม้รวมแล้วตั้งใจฟังอย่างเต็มที่

“คืองี้ครับพี่ฌาน... ก่อนหน้าโทรมาหาผม บ๊วยมันโทรคุยกับคุณธันวา คุณธันวาบอกว่ารู้สึกเหมือนกำลังโดนตาม คิดว่าคนสะกดรอยน่าจะเป็นเฮียฟู... ปล่อยไว้แบบนี้ บ๊วยต้องแย่แน่ๆเลยครับพี่ฌาน” หนุ่มหน้าแว่นเขย่าแขนแฝดพี่อย่างแรง อาการลนของเพื่อนรักน้องรหัสทำให้เต๋อเสนอทางแก้ปัญหาข้อนี้ หลังจากใช้เวลาไตร่ตรองแค่เพียงไม่นาน

“จะยากอะไรวะ พวกเราทั้งหมดก็รีบตามไปช่วยบ๊วยสิ” พูดจบ เต๋อก็ลุกขึ้นจากโต๊ะด้วยท่าทางพร้อมจะดีดตัวออกจากบ้านฌานเต็มแก่

“พี่เต๋อ พี่เต๋อ หายแฮงค์แล้วเหรอครับ ไหนเมื่อเช้าบอกว่าอยากจะนอนจนถึงเย็นแล้วค่อยกลับมอไงพี่?” ฌอนถามเรียบๆ แต่สายตาว่างเปล่าของแฝดน้องทำให้รุ่นพี่รู้ในทันทีว่าคนพูดไม่ได้ใส่ใจสวัสดิภาพของตนอย่างปากว่า... เขารู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกำลังตีรวนกวนตีนเขาอยู่เสียมากกว่า และนั่นทำให้ชายร่างหมีอารมณ์ขึ้นแบบฉุดไม่อยู่

“ไอ้แฝดน้อง มึงไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี” เต๋อชี้หน้าฌอนอย่างเอาเรื่อง  “แล้วมึงก็อย่าได้คิดเอาจุกน้ำพุออกจากหัวเชียวนะ ไม่งั้นกูจะเอาน้ำแฟ้บแช่เกงในใช้แล้วสิบสี่วันไปพรมใส่ของๆมึงทุกสิ่งอันจนทั่ว ทีนี้ล่ะมึง...กลิ่นหอมหึ่งซึ่งสกัดตรงจากง่ามดากกูก็จะอยู่คู่ตัวมึงไปจนวันตาย...
.
.
...อ้อ! ขอร้องอย่าเรียกพี่พลายออกมาวัดกับกู  เพราะลูกกรอกไม่มีวันสู้ขี้กลากกับสังคังพันปีของกูได้!!


เต๋อยังไม่ลดนิ้วมือที่ชี้หน้าของแฝดน้องลง
ฝ่ายฌอนที่โดนรุ่นพี่บังคับให้ผูกผมจุกมาตั้งแต่เช้า ก็ส่งยิ้มมุมปากกลับไปให้พี่รหัสบ๊วยแบบไม่สะท้าน
เมื่อหน่วยแรกเข้าโจมตีเหยื่อรุ่นพี่ผู้หัวเดียวกระเทียมลีบ มีหรือที่หน่วยซ้ำแซะแหวะแผลอย่างสกลจะปล่อยให้เต๋อลอยนวลไปง่ายๆ


“หามิได้ครับพี่เต๋อ...
.
...พี่พลายเป็นกุมารทองของฌอนครับ ไม่ใช่ลูกกรอกแต่อย่างใด ขอได้โปรดทำความเข้าใจเสียใหม่ให้ถูกต้องด้วย...
...แล้วสังคังหรือโสมคนครับพี่?...เลี้ยงกันทีข้ามปีข้ามชาติ พี่กะจะรวยทางลัดสแครชเกล็ดถวายจิ๋นซีแทนตัวยาอายุวัฒนะหรือไงครับ?”

“มึงก็อีกตัวนะไอ้เหี้ยแว่น กูยังไม่ได้ชำระความกับมึงเลย” เป้าหมายในการชี้หนนี้เปลี่ยนมาประทับลงบนหน้าแว่นๆของสกลอย่างไม่มีละเว้น  

“เมื่อคืนตอนกูเมาเป็นหมา มึงใช่ไหม...ที่กล้าท้าให้กูไถหัวไถเคราจนแหว่งเป็นแปลงให้ชะโดมาตีอยู่ได้ทั้งคืน?” เต๋อรำพึงรำพันด้วยน้ำเสียงโหดอำมหิต


จนถึงตอนนี้... แม้ภาพลักษณ์ภายนอกของเต๋อจะเปลี่ยนแปลงไปจนใครๆต่างจำไม่ได้ ด้วยผมทรงสกินเฮด และหนวดเคราที่ถูกโกนออกจนหน้าเกลี้ยงใส  ทว่าชายหนุ่มยังจำเงาสะท้อนของตัวเองที่เห็นเมื่อเช้าได้ติดตา

เขามั่นใจว่า ไม่มีใครลืมภาพกลางกระหม่อมของตัวเองว่างเว้าเป็นเบ้าโบ๋ได้ลง...
และคงไม่มีใครปลงได้ เมื่อไรขนตามคางและแก้มถูกบากปาดเว้นเป็นช่องถี่ๆ ที่มองเผินๆนึกว่าท้องร่องสวนผลไม้... 
และที่น่าสลดใจยิ่งไปกว่านั้น...
ไม่มีใครจะชีช้ำไปกว่าตัวเขา เมื่อรู้ว่าฝ่ามือซึ่งกำของกลางสร้างตำหนิให้กับหัวและหน้าของตัวเองเอาไว้แน่นนั้น คือฝ่ามือของเจ้าของหนวดเครารกครึ้มผู้นั้น... หาใช่ใครอื่น


“หลอกกูมาเล่นเป็นประกิตเพื่อระบายความหงุดหงิดให้ไอ้พี่พลายยังไม่พอ ยังล่อซะกูต้องโกนหัวโกนหูจนจะไม่เหลือขนสักเส้นอยู่แล้วเนี่ยะ มึงเคยเห็นหัวกูมั่งไหมไอ้สัดกล?!!”  เต๋อบริภาษอย่างเหลือจะเอ่ย ชื่อจริงของสกล... เลยได้รับการอัพเกรดให้หรูหราตามไปด้วย  นอกจากจะไม่สะเทือน...หนุ่มหน้าแว่นก็แสล๋นตอบโต้รุ่นพี่อย่างไม่นึกยี่หระ

“เห็นสิครับพี่ ตอนนี้ผมก็จ้องอยู่ เพราะผมรู้ว่าจ้องหัวแม่เท้าพี่ระหว่างที่เราคุยกันมันคงไม่เหมาะ...
.
...ผมไม่นึกเลยนะครับว่า พอพี่อาบน้ำตัดขนฝนเล็บออกแล้ว พี่จะหล่องามหน้าได้มากขนาดนี้...
...ผมก็เพิ่งจะรู้นี่แหละครับว่า ตัวตนที่แท้จริงของพี่เต๋อก็คือ...เต๋อ ทีละหมัด สัดกูงง น้องชายที่ถูกสาปส่งให้พลัดพรากของ พี่ตุ้ย ธีรภัทร์ สัจจกุลนั่นเอง เงง เงง เงง เงง” สกลผายมือพร้อมสะบัดปลายนิ้วไปยังเก้าอี้ที่เต๋อนั่งอยู่ประหนึ่งกำลังแนะนำดาวเด่นให้เป็นที่รู้จัก

ไอ้เหี้ยแว่น!! ร้อนวิชานักนะมึง... มา! เดี๋ยวกูจะช่วยส่งมึงไปถึงหน้าประตูนรกด้วยตีนสกปรกๆของกูเอง! เต๋อผุดลุกขึ้นทันที แต่เจ้าบ้านกลับกระชากเบรคทัดทานพี่รหัสเพื่อนสนิทเอาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวครับพี่เต๋อ พี่ช่วยตั้งสติซักวินาทีก็ดีนะครับ...
...เรื่องที่พี่เต๋ออยากจะเอาเลือดสกลผู้สามานย์มาล้างเท้านั้น  ผมกับน้องชายขอยืนยันว่าพร้อมสนับสนุน...
.
...แต่เห็นทีว่า วันนี้มีเรื่องใหญ่กว่านั้นให้พี่เต๋อต้องคิดถึง...
...พี่เต๋อคงไม่ใจดำพอจะปล่อยให้พี่ไอ้เก็กถลกหนังหัวน้องรหัสตัวเองมารองนั่งได้หรอกมั้งครับ”

“ฮึ่มมมมม! พวกมึงแต่ละตัวนี่นะ” เต๋อชี้หน้าเพื่อนสนิทน้องรหัสเรียงตัว “ไม่น่าเลย!!... คนดีๆอย่างไอ้บ๊วยไม่น่าหลวมตัวมาคบพวกมึงเป็นเพื่อนเลยจริงๆ” พี่รหัสร่างหมีถึงกับส่ายหัวให้กับความอนาถาของน้องรัก พลางส่งสายตาอาฆาตให้ไอ้เด็กยักษ์ทั้งสามอย่างทั่วถึง

“ไปกันเถอะครับพี่เต๋อ” ฌานลุกขึ้นแล้วแตะหลังศอกของเต๋อเพื่อดันให้ออกฝ่ายออกเดิน


สัมผัสนั้นทำให้ชายหนุ่มรุ่นพี่ถึงกับขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง...
หากไม่ติดว่ายำเกรงอำนาจเหนือการคาดเดาของแฝดคนโต เต๋อร่างหมีแทบอยากจะกองอยู่ตรงนั้นจนกว่าเรี่ยวแรงที่หดหายไปหลังสัมผัสแผ่วจะฟื้นคืน  ในเมื่อไม่มีทางเลือก...เขาจึงกัดฟันละล่ำละลักสั่ง


“เอ้า พวกมึงก็นำไปสิ รถพวกมึงไม่ใช่เรอะ?”


Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ



((ฮัลโหล...มึงเจอเก็กยังด้วง?)) เสียงห้าวเล็กๆปลายสายดังกระชากอยู่ข้างหูด้วง  ชายหนุ่มหน้าสวยถูกคนขับปล่อยลงตรงหน้าห้างเพื่อให้เกาะติดน้องชายในระหว่างเจ้าตัววนหาที่จอดรถ

ใจเย็นๆหน่อยสิฟู ให้เราทิ้งระยะบ้าง...เดี๋ยวเก็กก็จับได้พอดีหรอก ด้วงอุทธรณ์อีกฝ่ายที่พูดจาราวกับกำลังยืนจิกเขาอยู่ข้างๆ  หนุ่มผมยาวรักษาระยะห่างได้เป็นอย่างดีเพราะในตอนนี้เขาสามารถมองเห็นทั้งเก็กและเด็กหนุ่มอีกคนได้อย่างชัดเจนโดยฝ่ายนั้นไม่ทันรู้ตัว

((แล้วสรุปว่า ตอนนี้มึงเจอน้องกูหรือยัง? เจอ หรือ ยังไม่เจอ?)) ไม่ใช่แค่น้ำเสียงของฟูที่ร้อนรน ดูเหมือนการขับขี่ของอีกฝ่ายจะเร่งเร้าไม่แพ้กัน เพราะด้วงได้ยินเสียงแตรยาวดังลอดหูโทรศัพท์มาพร้อมกันด้วย

“เจอแล้ว และก็เจออีกคนแล้วด้วย” ด้วงรีบตอบเพื่อลดความกังวลของอีกฝ่าย

((เหรอ? หน้าตาท่าทางเป็นไง?)) คนปลายสายดูจะกระตือรือล้นกับหัวข้อนี้เป็นพิเศษ

“เอ่อ... คือ...เรา เราไม่รู้จะบอกยังไงดี” ด้วงอึกอักกับภาพที่เห็น ชายหนุ่มคนที่กำลังยิ้มและหัวเราะอย่างสดใสให้เก็ก...ดูต่างจากสเป็คดั้งเดิมของน้องห้องตนแบบลิบลับ

((ทำไม? ไอ้เด็กนั่นมันดีจนมึงไม่มีคำมาอธิบายเลยเหรอ?)) กังฟูกระแนะกระแหน ตามด้วยย้ำแตรหนักๆอีกหลายครั้ง ด้วงชักสงสัยว่า สถานการณ์บนตึกจอดรถเป็นเช่นไร...และเหตุใดเพื่อนรักถึงออกอาวุธบ่อยขนาดนี้

“เปล่า...เราแค่แปลกใจว่า เก็กไม่น่าจะชอบแบบนี้” ชายหนุ่มรุ่นพี่ตอบเพื่อนหลังจากใคร่ครวญมาเป็นอย่างดีแล้ว แต่นั่นกลับทำให้กังฟูเข้าใจผิดไปในทิศทางตรงกันข้าม

((ผู้หญิงเหรอ????!!)) น้ำเสียงของกังฟูฟังดูตื่นเต้น จนด้วงต้องรีบดับดวงไฟแห่งความหวังลมๆแล้งๆของเพื่อนรักแต่เนิ่นๆ

“เสียใจด้วยนะ น้องคนนั้นเป็นผู้ชายน่ะ...
.
...คือ น้องเค้าดูยังไงก็ไม่เหมือนกับอิ๊กสักนิดเดียว ถึงรูปร่างจะใกล้เคียงกัน...แต่หน้าตากับสไตล์นี่ผิดกันแบบสุดขั้ว”


กระทั่งถึงขณะนี้ ด้วงยังไม่เห็นว่าเด็กหนุ่มตัวเล็กที่นั่งตัวติดกับเก็กมีอะไรเทียบเคียงกับแฟนเก่าน้องชายฟูได้แม้แต่น้อย...
เด็กคนนั้นออกจะธรรมดาๆและไม่น่าสนใจเสียด้วยซ้ำ  
หากระหว่างทางฟูไม่ได้เล่าให้เขาฟังว่า แอบได้ยินเก็กคุยโทรศัพท์เมื่อเช้า จนรู้ว่าน้องชายมีนัดกับแฟนใหม่  
ภาพที่ด้วงเห็นตรงหน้าต้องทำให้ชายหนุ่มเข้าใจไปว่า เก็กนัดเพื่อนสนิททั่วๆไปมาดูหนังฆ่าเวลาก่อนกลับมหาลัยเป็นแน่  


((ยังไงวะด้วง? แม่งมีสามตา สองจมูก ออกลูกเป็นไข่หรือไง?))  กังฟูอดทนรอคอยได้ไม่ดีนัก... ใจจริงเขาอยากทำหน้าที่ของด้วงใจจะขาด  ครั้นจะไล่เพื่อนให้ผลัดมาขับรถขึ้นลานจอดเอาตอนนาทีสุดท้าย ก็ดูทุเรศและเอาเปรียบด้วงเกินไป

“เฮ่อ ฟู...ฟูจะฟังเราดีๆไหม? หรือจะรอมาดูด้วยตาตัวเอง?” ด้วงเอ่ยเนือยๆ ชายหนุ่มได้แต่สะท้อนใจว่า... ตนเองไม่เคยมีค่าพอให้กังฟูตื่นเต้นเป็นเดือดเป็นร้อนได้เท่ากับน้องชายของอีกฝ่ายเลยสักครั้ง

((เออๆ ก็เล่ามาซะทีดิวะ ยึกๆยักๆอยู่นั่น...มึงอยากให้กูอกแตกตายก่อนหาที่จอดรถได้หรือไงวะด้วง?)) คนพูดตบแตรยาวอีกครั้ง... ในที่สุดด้วงก็เข้าใจว่า การบีบแตรของเพื่อนรักคือการระบายความหงุดหงิดของอีกฝ่ายนั่นเอง ชายหนุ่มผู้เฝ้าดูสถานการณ์ตรงหน้าโรงหนังจึงอธิบายเท่าที่ตนพอจะทำได้  

“น้องเค้าดูเป็นคนธรรมดาๆน่ะ...
.
...ไม่มีจุดเด่น ไม่ดึงดูดสายตา ผิดกับอิ๊กลิบลับ แต่ท่าทางจะนิสัยดี แล้วก็ยิ้มเก่งมาก” ด้วงพูดตามจริง... เขาว่า รอยยิ้มของเด็กคนนั้นมองเพลินและชวนให้เบิกบานใจดีไม่น้อย

((โห! นี่มึงได้โดนซื้อไปแล้วหรือเปล่าเนี่ยะ... บอกข้อดีแม่งได้เป็นฉากๆ...
.
...กูไม่เชื่อหรอกว่าแม่งเป็นคนดี...
...เกย์ที่ไหนแม่งก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ ตลบแตลง...ปลิ้นปล้อน แถมยังชอบหลอกลวงอีกตังหาก...
...กูไม่มีทางยอมให้น้องกูตกเป็นเหยื่อเหมือนกูแน่ๆ)) ฟูร่ายยาวด้วยน้ำเสียงชิงชังฟังชัดเจน ด้วงรู้ดีว่า...คนพูดเจ็บปวดรวดร้าวเสียจนต้องพูดจาให้ร้ายคนอื่น แลกกับการปกป้องตัวตนที่อ่อนแอและเปราะบางของเขาเอาไว้  

“ฟู เรื่องมันก็นานมาแล้ว...ฟูยังไม่ลืมมันไปอีกเหรอ?...
...ฟูจะจำมันไปทำไม? เรื่องพวกนั้นมันทำให้ฟูเจ็บปวดไปเปล่าๆนะ...
.
.
...อีกอย่าง...
...ถ้าว่ากันด้วยบทบาทหน้าที่ ระหว่างคนของเรากับเด็กคนนั้น...
...เก็กมันเป็นฝ่ายได้เปรียบเห็นๆ คนเสียหายน่ะ...น้องคนนั้นเต็มๆเลยนะฟู” ด้วงออกความเห็นตามที่ตนเข้าใจ... แน่ล่ะ เขารู้ดีว่าเก็กเป็นรุกมาตั้งแต่ตอนเรียนมอปลาย  ก็มีแต่พี่ชายมันนั่นแหละที่หลับหูหลับตาเชื่อเรื่องปิดบังที่น้องชายสรรหามากล่อมจนไม่เคยมองเห็นความจริง  

((หยุด!!! พอเลยด้วง มึงไม่ได้มาออกหน้ารับแทนน้องกู หรือไอ้เด็กนั่น...กูไม่อยากฟัง!!)) เสียงแตรดังขึ้นอีกครั้ง... ด้วงนึกสงสารคนอื่นๆที่ใช้ลานจอดรถในยามนี้เสียจริงๆ   ชายหนุ่มจึงตัดบทห้วนๆทันทีไม่ต่างจากอีกฝ่าย

“เราก็จะพอแล้วเหมือนกัน”

((เฮ๊ยด้วง!!! มึงโกรธเหรอ?  กูไม่ได้ตั้งใจนะเว่ย... มึงก็รู้ว่าปากกูแม่งเหี้ย ขอโทษนะด้วง... อย่าโกรธเราเลยนะ)) คนปลายสายเอ่ยเสียงอ่อย ชายหนุ่มจึงเฉลยเหตุที่ทำให้เขาต้องตัดบท

“เปล่า...เราไม่ได้โกรธ เราแค่กำลังจะเดินไปซื้อตั๋วหนัง ฟูบอกว่าอยากนั่งติดกับเก็กไม่ใช่เหรอ?” เขาเดินตามชายหนุ่มทั้งสองไปต่อแถวช่องขายตั๋วเดียวกันกับทั้งคู่

((ใช่ๆ มึงต้องซื้อที่ติดกับเก็กมันให้ได้นะ ไม่งั้นกูอาละวาดโรงหนังแตกแน่))

“รู้แล้วล่ะน่า... ถือสายรอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวขอเราเช็คกับพนักงานขายตั๋วก่อน” โชคดีที่ระหว่างการซื้อตั๋ว เก็กและเด็กคนนั้นไม่ได้สนใจโลกภายนอกเท่าใดนัก ไม่อย่างนั้น... น้องห้องคงเห็นหน้าของเขาแบบเต็มๆ

((เออๆ ดีๆ กูก็เพิ่งได้ที่จอดรถเนี่ยะ))


ด้วงอ้างกับพนักงานขายตั๋วว่าเป็นเพื่อนกับชายหนุ่มทั้งสองคนก่อนหน้า...ตั้งใจมาเซอร์ไพรส์วันเกิดให้หนึ่งในสองหนุ่ม
พนักงานจึงเปิดรายการซื้อล่าสุดของน้องห้องเขาขึ้นมาให้โดยไม่ลังเล
แต่เมื่อพนักงานเอ่ยทวนชื่อภาพยนตร์ที่น้องห้องกับแฟนเลือกดู ด้วงก็ถึงกับสะดุด


“ฟู...คือ...เอ่อ...” ด้วงกรอกเสียงลงโทรศัพท์ด้วยความไม่แน่ใจ

((อะไรด้วง?! อ้ำๆอึ้งๆให้ได้ถ้วยหรือไง?...ทำไม? ไม่มีที่แล้วเหรอ? หนังใหม่จนคนดูแม่งเต็มโรงเลยเหรอวะ?)) ฟูด่ากราด

“เปล่า... แต่ด้วงจะดูแน่เหรอ? เราว่าหนังเรื่องนี้มันไม่น่าจะสนุกเท่าไรมั้ง แถมยังเป็นทรีดีอีกตังหาก” กระทั่งชื่อหนัง ด้วงยังไม่กล้าเอ่ยให้เพื่อนรักได้ยิน เพราะกังฟูคงจะช็อกตาตั้งไปเสียก่อน

((โห่ ด้วง...มึงจะอะไรนักหนากะอีแค่ซื้อตั๋วหนังว้าาาาา...
.
...มึงก็รู้หนิว่ากูไม่ได้จะเข้าไปดูหนัง...
...ต่อให้เป็นสารคดีขี้ตีนอะไรก็ใช้ได้หมดแหละ ขอแค่ให้ได้นั่งข้างๆไอ้เก็กเป็นพอ...มึงจบนะ?!)) คนปลายสายรวบรัดตัดความ... ในเมื่อกังฟูแน่ใจ ด้วงก็พร้อมจะทำตามความประสงค์ของอีกฝ่ายโดยไม่มีข้อแม้ไม่ต่างจากทุกที

“อือๆ ได้ๆ มีที่นั่งข้างๆที่เก็กซื้อไปพอดี” ชายหนุ่มผมยาวหันไปยืนยันการซื้อบัตรดูหนังกับพนักงานด้วยภาษากาย

“ได้ตั๋วแล้วล่ะ...
...อีกยี่สิบนาทีหนังเริ่ม จะให้เราซื้ออะไรเข้าไปเผื่อให้เคี้ยวแก้เครียดไหม? ป็อบคอร์น เลย์ ไส้กรอก...เอาหรือเปล่าฟู?” ด้วงถามเพื่อนรักด้วยความเป็นห่วง แต่ฟูปฏิเสธหนักแน่น

((ไม่ต้องหรอก เนื้อเรื่องหนังแม่งไม่ได้แดกกูหรอก...
.
...เพราะกูคงไม่มีอารมณ์สนใจอะไรที่สนุกน้อยกว่าการจองล้างจองผลาญแฟนใหม่ไอ้เก็กให้เข็ดหลาบแน่ๆ หึ หึ หึ))

“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นแล้วกัน”


ด้วงไม่แน่ใจว่า วันนี้...จะมีใครรอหัวเราะทีหลังด้วยเสียงที่ดังกว่าเสียงหัวเราะเหี้ยมๆของกังฟูเมื่อครู่หรือไม่
แต่ที่ชายหนุ่มแน่ๆใจก็คือ  คืนนี้...เขาจะเป็นอีกคนที่ได้หัวเราะก้องในใจ หลังจากเพื่อนรักย้ายตัวลงจากเตียงชั้นสอง มานอนขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขาตลอดทั้งคืน  


((ห๊ะ?! เมื่อกี๊มึงว่าไงนะด้วง? อีกทีซิ)) เสียงแหวของกังฟูทำให้ด้วงอมยิ้ม... เขาชอบใจที่ได้แกล้งคนตัวเล็กกว่าให้เดือดร้อน... ไม่รู้ว่าป่านนี้จะทำหน้าตาน่ารักแค่ไหนกันนะ ด้วยความที่อยากเห็นหน้าอีกฝ่ายโดยเร็ว...เขาจึงโกหกเพื่อเร่งฟูทางอ้อม

“เราบอกว่า ก็ขอให้รีบมาแล้วกัน... เพราะสองคนนั้นเดินเข้าโรงไปแล้ว”  เขานั่งมองสองหนุ่มที่ยังนั่งกระหนุงกระหนิงกันอยู่ตรงหน้าทางเข้าโรงหนังโดยไม่มีทีท่าเดือดเนื้อร้อนใจ และแล้วคนปลายสายก็พูดในสิ่งที่เขาอยากได้ยินมากที่สุด ก่อนจะตัดสายปล่อยให้ด้วงนั่งอมยิ้มเป็นบ้าอยู่คนเดียว

((มึงรอกูที่หน้าโรงนั่นแหละ เดี๋ยวกูจะรีบเหาะไปเลย))







“บ๊วยฝากตั๋วเอาไว้ที่เคาน์เตอร์ซื้อบัตรแล้วนะครับ พี่เต๋อเข้าไปรับได้เลย เดี๋ยวพวกผมจอดรถแล้วจะตามเข้าไป” ฌานร้องสั่งเต๋อที่เตรียมตัวจะกระโดดลงจากรถตรงหน้าห้าง

“พี่เต๋อ... ฝากบ๊วยด้วยนะครับ อย่าให้คุณกรกฏนั่งใกล้บ๊วยได้ ไม่งั้นเพื่อนผมต้องดูหนังไม่เป็นสุขแน่” สกลกำชับพี่รหัสเพื่อนรักอีกคำรบ

“เออน่า... พวกมึงเห็นกูปัญญาอ่อนนักหรือไง?...
.
...สัดแว่นนี่!! ไม่เขียนชื่อติดต่อใส่กระเป๋าให้กูด้วยเลยล่ะ เผื่อกูพลัดหลงกลับบ้านไม่ถูก!” เต๋อแดกดันเพื่อนสนิทน้องรหัสอีกครั้งเพื่อความสาแก่ใจ  

“พี่เต๋อไปเถอะครับ เดี๋ยวจะไม่ทันหนังเข้า... หรือจะให้น้องพลายตามไปส่งดี?” แฝดน้องในทรงจุกคิวพีก็ร้องเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นๆ พร้อมกับส่งยิ้มชวนยะเยือกไปให้เต๋อเป็นของแถม แม้หนุ่มรุ่นพี่จะเมาเป็นหมา แต่ความจำเกี่ยวกับน้องพลายของเขายังดีเยี่ยม

“พอเลยมึง! เดี๋ยวแม่งสั่งกูลิปซิงค์บทพระเจ้าตาอีก” พูดจบเต๋อก็กระโดดลงจากรถไปทันทีโดยไม่รอให้ใครทักท้วง

ทันทีที่เต๋อลงจากรถไป คนขับก็เอ่ยกับกายละเอียดของเจ้าพ่อทั้งสองที่สถิตอยู่ตรงช่วงท้ายของรถ


“เจ้าพ่อครับ...
...รบกวนเจ้าพ่อล่วงหน้าไปก่อนเลยนะครับ”

“พวกเจ้าไม่ต้องห่วง...
.
...มหรสพงวดนี้...
...ข้าอัญเชิญญาติพี่น้องผู้ห่างหายมาสังสรรค์กันให้เพียบ รับรอง...พี่ชายเจ้าเก็กจะต้องประทับใจแน่ๆ” เจ้าพ่อไทรทองถือโอกาสชี้แจงผลงาน  แน่ล่ะ...นอกจากพวกเขาทั้งหมดแล้ว ย่อมจะไม่มีใครหน้าไหนดูหนังรอบนี้ได้อีก หลังจากแฝดพี่โทรขอให้หนึ่งในลูกศิษย์ผู้มีอิทธิพลกว้างขวางช่วยปิดโรงหนังให้เป็นการพิเศษ

“จะไปกันรึยังล่ะคุณ เดี๋ยวพระภูมิท่านจะรอนาน  ป็อบ!’” เจ้าพ่อห่อไหล่ทำหน้าเอือมระอาเต็มแก่ก่อนจะหายตัวไปต่อหน้าต่อตาทุกคน

“ครับเบ๊บ... ไปแล้วครับ...
.
...ข้าไปก่อนนะ เดี๋ยวแฟนงอน อิอิ  เฮ่ลโหล่ว โหม่วโต๊ว!!!’

“ผมเพิ่งรู้นะครับว่าเจ้าพ่อห่อไหล่กับเจ้าพ่อไทรทองไปแอบกระชับความสัมพันธ์กันมาแล้ว...
.
...น่าสงสารเจ้าพ่อไทรทองจัง ยังไม่ทันไรก็ออกลายกลัวเมียเสียแล้ว” ข้อสังเกตของสกลทำให้สองแฝดอมยิ้ม


Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ


“ฟู... นี่ฟูแต่งตัวอะไรของฟูเนี่ยะ?...
.
...เพี้ยนไปแล้วเหรอ?” ด้วงร้องทักเพื่อนรักทันทีที่เห็นอีกฝ่ายปรากฏกายในเสื้อผ้าฮิปฮอปจัดเต็ม... เพราะการแต่งกายแบบนี้ยิ่งทำให้คนตัวเล็กยิ่งดูแปลกประหลาดและผิดที่ผิดทางไปกันใหญ่

“ช่างกูเหอน่า   ส่วนนี่... แว่นตากับหมวกของมึง ใส่ซะ...ไอ้เก็กมันจะได้จำมึงไม่ได้...
.
...ดีนะวันนี้มึงไม่ได้แต่งหญิงจัดเต็มมา ไม่งั้นมึงต้องดูตลกแน่ๆเลยว่ะ” ด้วงจำใจรับแว่นสายตากรอบหนากับหมวกแก็ปมาสวมอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่ลืมจะดึงชายเสื้อเชิ้ตให้ออกนอกกางเกงยีนส์เพื่อให้รับกับพร็อพทั้งสองชิ้น

“เราว่าแค่เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ไม่ได้ช่วยให้เก็กจำฟูไม่ได้หรอกนะ” เมื่อด้วงได้พิจารณาสภาพของกังฟูดีๆ เขาสรุปได้ในทันทีว่า ออกจะเป็นการแต่งกายที่เรียกร้องความสนใจมากกว่าจะดูกลมกลืนกับคนทั่วๆไปเสียด้วยซ้ำ... ไม่น่าเชื่อว่าเสื้อกับกางเกงตัวหลวมโคร่งจะทำให้ฟูน่ามองไปอีกแบบ

“พูดมากว่ะ ไป...ไป...เข้าโรงหนังซะที เพลงสรรเสริญจบแล้วมึง” พอเห็นว่าเพื่อนปลอมตัวเสร็จแล้ว กังฟูก็ยื่นมือไปให้ด้วงตามความเคยชินดังเช่นทุกครั้งที่ทั้งคู่ต้องเข้าสู่พื้นที่มืดมิดไร้แสงไฟ  ร่างสูงจึงเปลี่ยนมาเดินนำหน้าเพื่อลากคนตัวเล็กกว่าให้ก้าวตามโดยแอบยิ้มกว้างกับตัวเองไปด้วย

“หนังใหม่เหรอวะด้วง? ทำไมคนเต็มโรงงี้วะ?” ฟูนึกสงสัยหลังจากเดินผ่านแถวเก้าอี้ที่เต็มไปด้วยผู้คน

“ไม่นะ น้องที่ขายตั๋วบอกว่าเรื่องนี้จะออกโรงอาทิตย์หน้าอยู่แล้ว...
.
.
...แปลกจัง สงสัยเป็นหนังกระแสปากต่อปากของพวกคนพันทิปล่ะมั้ง...
...ถึงแล้ว แถวนี้แหละ” ด้วงหยุดตรงทางเดินเพื่อชี้ให้ด้วงดูที่นั่งซึ่งว่างอยู่เพียงสองตัว  ฝ่ายฟูซึ่งเห็นบ๊วยนั่งติดกับเก้าอี้คู่ฝั่งว่างก็มัดมือชกทันที

“หึ! เดี๋ยวกูเข้าไปก่อน”

“ฟู... ให้เรานั่งติดน้องเขาเถอะนะ ฟูอย่าไปกวนน้องเขาเลย” ด้วงรั้งแขนของเพื่อนเอาไว้ก่อนจะพยายามให้เหตุผล เพราะเขารู้ว่า หากปล่อยให้ฟูทำตามใจ... หนังรอบนี้จะต้องจบลงด้วยความวุ่นวายอย่างแน่นอน

“ด้วง... อย่าหือ  หรือมึงอยากให้กูอาละวาด?” ฟูหันไปมองด้วงตาเขียวปั้ด จนหนุ่มตัวโตต้องยอมลงให้อีกครั้ง

“อ่ะ อ่ะ... เข้าไปสิ หนังจะเริ่มแล้ว... เดี๋ยวคนอื่นจะว่าเอา” ร่างเล็กเดินนำร่างสูงผ่านผู้ชมคนอื่นเข้าไปยังที่นั่งซึ่งสำรองไว้ จังหวะที่เท้าเล็กๆกำลังจะลงน้ำหนักเป็นก้าวสุดท้าย กังฟูจงใจเหยียบขยี้ปลายเท้าบ๊วยซึ่งนั่งเก้าอี้ถัดไปทางขวาของเขา นั่นจึงทำให้หนุ่มรุ่นน้องต่างคณะเจ็บจนสะดุ้ง

“ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ พอดีมองไม่ค่อยเห็นทาง” ฟูแสร้งขอโทษขอโพยคนที่นั่งอยู่ก่อน แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มร่างเล็กจะดื่มด่ำกับความสะใจแรก เสียงงุ้งงิ้งของน้องชายตัวเองที่นั่งถัดออกไปก็ดังเข้าโสตเสียก่อน

“บูบู้ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” หางตาของฟูเหลือบไปเห็นมือไม้ของน้องชายตัวเองกำลังวุ่นวายกับการโอบกอดชายหนุ่มที่นั่งข้างๆเขาเป็นพัลวัน

“เค้าไม่เป็นไรครับ เค้าแค่สะดุ้งหนังตัวอย่างน่ะ” บ๊วยโกหกเพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลาย ในขณะที่กังฟูมองว่าเป็นการเสแสร้งแกล้งทำเพื่อเรียกร้องความสนใจจากน้องชายตัวเอง...ซึ่งใช้ได้ผลกับเก็กอย่างไม่น่าเชื่อ...


“เปลี่ยนที่นั่งกับเค้าไหม? ให้เค้านั่งตรงโน้นแทนดีไหมครับ? ดูเหมือนที่นั่งของบูบู้จะนั่งไม่ค่อยสบายเลยนะ”

“ไม่ต้องหรอกพี่หมี... เค้านั่งได้ครับ”


...ไอ้เด็กนี่มันมารยาล้านห้าเล่มเกวียนจริงๆ...
.
.
นั่นคือสิ่งที่กังฟูตัดสินจากภาพที่มองผ่านสายตาอคติ
น้ำหนักจากฝ่าเท้าเล็กๆของตัวเขาจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดได้สักแค่ไหนกันเชียว...
คำพูดและท่าทางแอ๊บสำออยของเด็กหนุ่มที่นั่งข้างๆช่างทำให้เขาหงุดหงิดจนแทบจะพ่นไฟ


“บูบู้... กินป็อบคอร์นก่อนนะครับ...... อะ อะ อ้ามมมม”  กังฟูตาแทบเหลือกเมื่อเห็นน้องชายบรรจงป้อนข้าวโพดคั่วเข้าปากของไอ้เด็กที่นั่งคั่นกลางระหว่างเขากับไอ้น้องบ้า

“หวานจังเลยพี่หมี” บ๊วยตอบอ้อมแอ้มตามบทที่ได้ตกลงกับเก็กเอาไว้ล่วงหน้า ทั้งที่ภายในใจชายหนุ่มรู้สึกกระดากอายจนแทบจะมุดหน้าหนีทุกคนให้รู้แล้วรู้รอด

“แปลกจังครับ...
...เค้าซื้อป็อบคอร์นรสเค็มแท้ๆ ทำไมถึงหวานได้ก็ไม่รู้...
.
...สงสัยต้องเป็นเพราะตอนที่ป้อนบูบู้แล้วความรักของเค้าติดมือไปด้วยล่ะมั้งครับ มันถึงได้หวานแบบนั้น” เก็กยังประคองบทแฟนที่ดีเอาไว้ได้อย่างคงเส้นคงวา ทว่าประโยคนี้กลับทำให้ความอดทนของกังฟูขาดสะบั้น

“นี่คุณ หัดเกรงใจคนอื่นซะบ้างสิ คนจะดูหนังไม่เห็นรึไง!!” เขาตะโกนข้ามเบาะไปด่าน้องชายปัญญาอ่อนของตัวเองด้วยความเหลืออด

“ผมขอโทษด้วยครับ พวกเราไม่ได้ตั้งใจทำเสียงดัง” บ๊วยหันไปขอโทษกังฟูเสียงอ่อย

“ไปขอโทษเขาทำไมล่ะครับบูบู้... เราไม่ได้คุยกันเสียงดังเสียหน่อย อีกอย่าง...หนังก็ยังไม่ฉายเลย” เก็กยังคงไม่หลุดบทจนน่ามอบตุ๊กตาทองให้เสียจริงๆ  ด้วงที่นั่งเงียบระหว่างเงี่ยหูฟังเรื่องทั้งหมดมาตั้งแต่ต้น ถึงกับสะกิดแขนเพื่อนรักแล้วกระซิบปรามอีกฝ่ายไม่ให้ทำเกินกว่าเหตุ

“ฟู... ไปพูดแบบนั้นทำไม? เดี๋ยวเก็กก็รู้พอดีหรอกว่าฟูเป็นใครน่ะ”

“ก็กูรำคาญนี่หว่า!! ไอ้เก็กแม่งก็บ้า...บู้บู้ บี้บี้อะไรกันอยู่ได้... เสนียดรูหูชิบหาย” ยิ่งคิดถึงเสียงอ้อนๆ กับคำพูดคำจาออดอ้อนของน้องชายตัวเอง ชายหนุ่มตัวเล็กก็ยิ่งขนลุกเพราะรับไม่ได้  กังฟูเลยเริ่มแผนการก่อกวนถัดไปทันที


เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากเกิดแรงสั่นสะเทือนเป็นจังหวะส่งผลทำลายล้างความสงบสุขในการดูหนัง
ด้วงก็ต้องส่งเสียงห้ามเพื่อนรักของตนออกมาอีกครั้ง


“ฟู อย่านั่งกระดิกขาซี่ มันเป็นมารยาทที่ไม่ดีนะ”

“ช่างหัวกู!...  
.
...ดูซิว่าไอ้เด็กนี่มันจะทนดูหนังทั้งๆที่เก้าอี้สั่นแบบนี้ไปได้อีกนานไหม?”


กังฟูสมใจ เพราะขนาดเพื่อนรักที่นั่งห่างออกไปทางซ้ายมือ ยังรับรู้ได้ถึงแรงสั่นของขาข้างขวาของตัวเอง...  
แน่นอน...คนที่นั่งติดกับจุดศูนย์กลางแรงสั่นสะเทือนอย่างไอ้เด็กบู้บี้นี่ย่อมต้องเดือดร้อนหนักหนากว่าด้วงหลายเท่า  
จากนั้นกังฟูก็งัดเอาความน่ารำคาญลำดับต้นๆสำหรับคนชอบดูหนังออกมาใช้อย่างต่อเนื่องทันที
แล้วก็เป็นด้วงที่ทนไม่ได้


“ฟู ปิดมือถือเถอะ มันแสบตา เราดูหนังไม่รู้เรื่องแล้วเนี่ย”

“ไม่! กูจะเล่น... ใครจะทำไม?!” จังหวะที่ฟูหันไปกระซิบกระซาบข้างหูเพื่อนรักอย่างไม่แยแส ร่างหมีๆของผู้ชายตัวใหญ่ก็ค่อยๆฝ่าผู้ชมทางฝั่งขวาของหน้าจอเข้ามายังที่นั่งซึ่งว่างอยู่เป็นตัวสุดท้ายของแถว เต๋อลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยกับชายหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่ก่อนให้โยกย้ายแม้หน้าตั๋วของเขาจะไม่ได้ระบุเลขที่นั่งใดๆในแถวนี้เลยก็ตาม


“คุณครับ คุณนั่งผิดที่ครับ...นั่นที่ผม” เต๋อทวงเก้าอี้จนคู่รักกำมะลอยอมย้ายเปลี่ยนให้


ความรำคาญหลังจากการขยับเขยื้อนจากที่นั่งฝั่งขวามือตัวเอง ทำให้กังฟูตั้งท่าจะหันมาจิกกัดเด็กที่นั่งข้างๆอย่างเต็มที่
ทว่าร่างหมีๆที่ดูคุ้นตาเหลือเกินทำให้เขาหลุดปากด่าเสียงดังไม่ต่างจากอีกฝ่ายที่ซ้อมตกใจมาล่วงหน้าหลายต่อหลายครั้ง
  

“มึง?!!!

“เอ๊า! ไอ้เหี้ยเตี้ย?!!

(กรี๊ดดดดดดดดดดด!!!!)


“กรี๊ดอะไรนักหนาวะสัด!!


เสียงกรีดร้องดังลั่นโรงทำให้ฟูละจากการห้ำหั่นสายตากับคู่อริตลอดกาลเพื่อไปมองหน้าจอ
ซึ่งภาพของผีสาวผมยาวหน้าเละที่พุ่งเข้าหน้าด้วยฝีมือของแว่นสามมิติก็ทำให้เขาตกใจจนทำอะไรไม่ถูก


เหี้ย!!!


แค่ผีสาวในจอจ้องตากับเขานิ่งๆยังน่ากลัวไม่พอ  อยู่ๆบรรยากาศในโรงหนังก็ทำให้กังฟูรู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมาทันที
สุดท้าย ชายหนุ่มก็พ่ายต่อความหวาดกลัวจนนั่งตัวแข็งเป็นหิน...

น่าสงสารร่างบางเหลือเกินที่ต้องเกิดมาพร้อมความกลัวผีอย่างที่สุด
ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับวิญญาณทั้งจริงและปลอมเมื่อไร... ชายหนุ่มเป็นต้องได้ค้างแข็งอยู่กับที่เพราะกลัวจนไม่อาจขยับเขยื้อนตัวได้อีกเลย


“ดะ ดะ ดะ ด้วง...หนะ หนะ หนังเรื่องนี้มัน มัน มัน...”

Paranormal Activity 3D ภาค 45 น่ะ... นั่นแหละ ที่เราไม่กล้าบอกฟูตั้งแต่ก่อนซื้อตั๋ว... ฟูไหวไหม?” ด้วงถามอย่างเห็นอกเห็นใจ แต่ชายหนุ่มกลับภาวนาให้ฟูรั้นจนไม่คิดออกไปจากโรงหนังก่อนเวลา

“โอ๋ โอ๋...บูบู้ ไม่ต้องกลัวนะครับ ถ้าตอนไหนผีออกมา...
.
...บูบู้มาซุกอกเค้าก็ได้นะ ผีไม่กล้ามาทำอะไรบูบู้ที่อยู่ในอ้อมแขนของเค้าหรอก”

“อะ อะ เออ...กะ กะ กูไม่เป็นไร กูสบายดี” และแล้วเสียงอ้อนๆของเก็กซึ่งดังขึ้นอย่างเหมาะเจาะพอดีก็ทำให้คำขอของด้วงสัมฤทธิ์ผลทันตา

“ไหวแน่นะ?” เนื่องจากฟูยังนั่งคอแข็งมองหน้าจอไม่หันไปไหน ด้วงจึงลอบยิ้มด้วยความดีใจได้โดยไม่ต้องเกรงว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัว


  
สุดท้ายเจ้าของพลังงานที่ทำให้เกิดความหนาวสะท้านในโรงหนังเมื่อครู่ก็ตามเข้ามาสมทบจนได้
แฝดหนุ่มทั้งสองกับสกลตามเข้ามานั่งตรงที่ว่างแถวหลังในตำแหน่งที่เห็นห้าหนุ่มข้างหน้าได้อย่างชัดเจน


“อ่ะโห! ไอดอลทั้งสองของผมนี่เก่งจังเลยนะครับ มีเวลาเตรียมการแค่คืนเดียว แต่ท่านยังสามารถไปเกณฑ์วิญญาณฮิปปี้มานั่งเสียเต็มโรงเลย  อบอุ่นสุดๆ” สกลชื่นชมเจ้าพ่อทั้งสองด้วยสายตาแวววาว

“งานนี้พี่ไอ้เก็กไม่รอดแน่ หึ หึ” แฝดพี่สำทับ

“อ้าว แล้วนั่นน้องพลายจะไปไหนล่ะครับ?” สกลร้องทักน้องพลายที่ลอยไปหากังฟูด้วยสีหน้าดีใจสุดๆ... หรือว่ากุมารทองจะเกี่ยวดองกับรุ่นพี่ร่างเล็กต่างคณะกันหนอ?  

“หึ! ไปหาเฮียฟูล่ะมั้ง เห็นเพ้อหาพ่อฟูตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว สงสัยจะติดใจพ่อฟูเอามากๆ” คำตอบของฌอนช่วยยืนยันความเข้าใจของสกลได้เป็นอย่างดี

“แล้วนี่ฌอนจะไม่เป็นอะไรเหรอครับ?” สกลอดเป็นห่วงแฝดน้องไม่ได้ ยิ่งในเวลาที่มีวิญญาณมากมายเต็มไปหมดแบบนี้

“ไม่หรอก พี่ฌานกับเจ้าพ่ออยู่... พวกเขาไม่กล้ามายืมร่างเราหรอก” ฌอนตอบนิ่งๆ จริงๆเขาไม่ได้จิตอ่อนถึงขนาดกลายเป็นภาชนะสาธารณะที่วิญญาณตนไหนนึกอยากจะใช้ก็ได้ ต้องรอให้เขาอ่อนแอ เจ็บปวด อ่อนไหว หรือขาดสติก่อนนั่นแหละ...ค่อยมานึกเป็นห่วงกันอีกที

“ชู่ววว์ เงียบเถอะสกล พี่ฌานจะดูหนัง” แฝดพี่ปรามเพื่อนหน้าแว่นช่างซัก ในขณะที่สกลกลับไม่เข้าใจคำพูดของฌาน...เพราะสำหรับเขา จะมีอะไรน่าดูไปกว่าวิญญาณมากมายหลายรูปแบบที่ชวนมองกว่าภาพหลอกๆในหนังตั้งเยอะ



น้องพลายที่ลอยล้อมหน้าล้อมหลังพ่อทั้งสาม ก็ถือโอกาสช่วยพ่อในอนาคตของตนให้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นทันที
เด็กวิเศษเป่าลมเย็นๆใส่หน้ากังฟูในจังหวะเดียวกับที่ผีสาวปรากฏตัวกลางหน้าจออีกครั้ง
ด้วยความตกใจ การตอบสนองของร่างกายแบบอัตโนมัติทำให้ฝ่ามือเล็กๆของกังฟูคว้าเอาฝ่ามือของคนนั่งข้างๆทั้งสองฝั่ง
เอาไว้แล้วจิกลงไปแน่นๆ

เมื่อรู้ว่าคนตัวเล็กกว่าคว้ามือตัวเองไปกุมเอาไว้  หัวใจของเต๋อก็วูบไหวด้วยความตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...
ชายหนุ่มจำได้ว่าอีกฝ่ายกลัวผีมาตั้งแต่เด็ก แต่เพราะความดื้อดึงอยากเอาชนะน้องชายตัวเอง จึงฝืนทำในสิ่งที่ไม่ชอบ
และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ชายร่างหมีค่อยๆสอดนิ้วเข้าประสานกับฝ่ามือเล็กๆนั้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะบีบมือเป็นจังหวะคล้ายกับปลอบให้อีกฝ่ายอุ่นใจ

ไม่ต่างกับหนุ่มผมยาวที่นั่งอมยิ้มทั้งที่หน้าจอฉายภาพสุดระทึกอยู่คาตา  เขานึกขอบคุณเก็กกับแฟนเหลือเกินที่เลือกหนังเรื่องนี้ เพราะนอกจากจะได้ใช้จับมือกับฟูตลอดเวลา... หลังจากออกจากโรงหนังไป  อีกฝ่ายก็จะพึ่งพาอาศัยเขาอย่างเต็มที่... ซึ่งความรู้สึกของการได้เป็นที่พึ่งของคนที่ตนรัก คือสิ่งที่เขาโหยหาจากฟูมาโดยตลอด



“พี่ฌาน ฌอน...ดูสิครับ คุณกรกฏจับมือพี่เต๋อไม่ปล่อยเลย...
.
...แหน่ะ แหน่ะ พี่เต๋อกุมมือตอบด้วยอ่ะครับ เสือผู้ชายผิดกับระดับความกรังมากๆ” สกลรายงานสดความคืบหน้าแผนการทันทีที่เห็นมือของสองหนุ่มประสานสอดกันอย่างแนบแน่น จนแฝดพี่ที่ละสายตาจากผีปลอมหน้าจอเพื่อมองตามถึงกับปรารภด้วยความพึงพอใจอย่างที่สุด

“หึ หึ หึ คิดถูกจริงๆที่เริ่มต้นด้วยวิธีนี้”






ไม่ใช่เต๋อเท่านั้น ที่รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้จบเร็วเกินไป...
ด้วง บ๊วย พี่พลาย แฝดพี่ และเจ้าพ่อไทรทองต่างก็เสียดายช่วงเวลาสองชั่วโมงในโรงหนังมืดๆนั่นเหลือเกิน
เพราะนั่นหมายความว่า เวลาแห่งความสุขของพวกเขากำลังจะหมดลงแล้ว


แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อพวกเขาต้องกลับสู่โลกแห่งความจริงในอีกไม่กี่นาทีหลังจากนี้
เต๋อจำใจปล่อยมือฟูทันทีที่คู่รักจอมปลอมลุกออกจากโรงไป
ในขณะที่กังฟูกับด้วงต้องอยู่รอออกเป็นคู่สุดท้าย ด้วยไม่ต้องการให้เก็กกับแฟนจับได้ถึงแผนการสะกดรอยของพวกเขา
และเหตุผลที่สำคัญเหนืออื่นใด...เป็นเพราะชายหนุ่มตัวเล็กแข้งขาอ่อนจนลุกไม่ไหวนี่แหละ


“ฟู จะตามต่อไหม?” ด้วงถามทันทีที่ผู้ชมคนสุดท้ายเดินออกจากโรงหนัง  เพื่อนรักที่นั่งหน้าซีดจมอยู่ในเบาะตอบด้วยสีหน้าอ่อนระโหย

“ไม่ล่ะ กลับมอเลยเหอะ... มึงขับนะ”

“ได้... หิวหรือเปล่า?” หนุ่มผมยาวถามไถ่กังฟูด้วยความเป็นห่วง ทว่าร่างเล็กส่ายหน้าทันทีแล้วพูดช้าๆเหมือนคนหมดแรง

“ไม่หิว... อยากนอนมากกว่า” ...แน่ล่ะ สองชั่วโมงที่ต้องนั่งประจัญหน้ากับความหวาดกลัวที่สุดในชีวิต ได้สูบพลังของเขาไปเสียเกลี้ยงไม่เหลือหลอ

“ไป งั้นเดี๋ยวเราพากลับไปนอนที่หอนะ” ด้วงตามใจหนุ่มตัวเล็กกว่าโดยไม่คิดขัด  


จังหวะที่เขาส่ายหัวอย่างอ่อนใจให้กับการรนหาที่ของเพื่อนรัก... หางตาเขาดันเหลือบไปเห็นร่างโปร่งแสงของผู้หญิงผมยาวคนหนึ่งลอยผ่านม่านโรงหนังออกประตูไป  ชายหนุ่มจึงยื่นมือส่งไปให้เพื่อนตัวน้อยแล้วพยุงอีกฝ่ายเดินออกจากโรงหนังทันที... คงไม่ดีแน่หากฟูเป็นคนเห็นภาพเมื่อกี๊ด้วยตัวเอง  





เต๋อที่อ้างกับสมุนเลวทั้งสามของเจ้าพ่อว่าต้องการถ่ายหนักอย่างกะทันหัน  ยืนมองคนตัวเล็กเดินจับมือกับด้วงไม่ปล่อยตั้งแต่ออกจากโรงหนังจนลับสายตาไป...

เขาตอบตัวเองไม่ได้ว่า เพราะอะไร...เขาถึงไม่ชอบใจภาพที่เห็นเอาเสียเลย...
หรือจะเป็นเพราะมือข้างนั้น คือมือข้างที่มีร่องรอยของตัวเขาประทับอยู่?
หรือเพราะว่าคนที่เดินคู่กับหนุ่มตัวเล็กไม่ใช่เขา?


“ป๊ะป๋า... รอบนี้ต่อให้แดดดี๊ไปก่อนเถอะครับ เอาไว้ป๊ะป๋ารู้ใจตัวเองเมื่อไร... น้องพลายจะช่วยดันป๊ะป๋าเต็มที่เลย” กุมารทองซึ่งรั้งท้ายเป็นเพื่อนป๊ะป๋าของตัวเอง เอ่ยปลอบชายหนุ่มอย่างเข้าอกเข้าใจ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางได้ยินข้อความของตนก็ตาม




Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ


No comments:

Post a Comment