ภาคต่อของงานวัดมาแล้วค่ะ
ขอให้อ่านอย่างมีความสุขนะคะ
^^
ชอบไม่ชอบประการใด
ฝากความในใจเอาไว้ได้เลย
รักคนอ่านทุกท่านเหมือนเดิมค่ะ
Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ
The 11th
Blessing
เพลิดเพลินเคยเดินด้วยกัน
แทะไหมฝันดูรถไต่ถัง
หยอกเย้าบนชิงช้าสวรรค์
ถ่ายรูปคู่กันขนมจีนข้างทาง – ภาคสอง
“โว๊ะ!... มีรำวงด้วยเหรอวะ?! งานวัดที่นี่แม่งแจ่มสัดสัดว้อยยยย!!!” เต๋อเป่าปาก ก่อนพูดเสียงดังด้วยความถูกอกถูกใจ
เมื่อเห็นว่าเวทีริมน้ำที่กลุ่มน้องรหัสนำมานั้นเป็นสถานที่จัดกิจกรรมย้อนวันวานที่น่ารักมากกิจกรรมหนึ่ง...
หากไม่นับว่า
สาวรำวงเกือบทั้งเวที...ควรได้รับการเชิดชูให้เป็นสมบัติประจำชาติอันล้ำค่าที่ผ่านกาลเวลามาหลายสิบลมหนาว
มากกว่าปล่อยให้มานั่งหง่าวรอมาลัยในชุดกระโปรงสีส้มสะท้อนแสงแสบทรวงซึ่งออกแบบให้ด้านบนวอมแวมล่อสายตา
ส่วนกระโปรงด้านล่างก็บานเสียจนกางเกงขาสั้นเสมอเข่าด้านในแพลมออกมาจั๊กจี้หัวใจคนมองได้ถึงเพียงนี้
“ฉิบหายล่ะ! ไอ้พวกนั้นมันขึ้นไปทำอะไรกันบนเวทีวะ?”
กังฟูสบถเมื่อเห็นกลุ่มชายหนุ่มที่ตัวเองเฝ้าตามติดประหนึ่งหิดบนแผ่นหลังขึ้นไปยืนประจำที่เป็นหย่อมๆยังมุมต่างๆของเวที
“เอ๊า...
ก็นั่นมันเวทีสาวรำวง พวกมันคงจะขึ้นไปตั้งวงเล่นไฮโลกันหรอกนะ...แหม่! ถามมาได้...ไม่รู้จักยั้งคิด!” ความรู้สึกกระชุ่มกระชวยที่ได้เอาตัวไปผูกติดกับกังฟูเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก
ทำให้เต๋อร่างหมีกลับมายียวนกวนประสาทกังฟูแบบท็อปฟอร์มได้อีกคราว
กังฟูที่ดูจะลังเลอยู่มากตั้งแต่เห็นเวทีรำวงยกพื้นสูงเด่นเป็นสง่าล่อสายตาผู้คนมากมาย
กลับตัดสินใจแบบเด็ดขาดได้ทันที
เมื่อเหลือบไปเห็นเก็กกับบ๊วยยืนจับมืออยู่คู่กัน หลังจากอดีตเดือนมหาลัยยัดเงินสินบนจำนวนไม่น้อยและหมากพลูพร้อมปูนแดงจำนวนหนึ่ง
ตบท้ายด้วยการกราบไหว้อ้อนวอนสาวรำวงของทั้งคู่เสียยกใหญ่
“ไปด้วง! ไปวัดกับพวกแม่งดูสักรอบ” กังฟูที่กลั้นใจรวบรวมความกล้าเพียงชั่วพริบตาเอ่ยชวนเพื่อนรักให้ขึ้นไปเสียหน้าร่วมกันทันที
เมื่อด้วงได้เห็นร่างเล็กๆของคนที่ตนแอบรักก้าวฉับๆขึ้นบันไดไปซื้อคูปองแถมพวกมาลัยอย่างมุ่งมั่น
นั่นถึงกับทำให้ชายหนุ่มผมยาวผู้สงบเสงี่ยมเรี่ยมเร้เรไรและไม่ค่อยพูดเสียอาการพาลจะเป็นลมให้ได้
“เฮ่ย! ฟู!... เอาจริงเหรอ?”
“ไงกะเทย...
หรือมึงป๊อด?” เต๋อส่งสายตาดูหมิ่นไปให้ชายหนุ่มผมยาวที่ยังยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่พิกัดเดิม
วินาทีนี้...การท้าทายของใครคงไม่ได้ผลกับด้วงเท่ากับคำที่หลุดจากปากของเต๋ออีกแล้ว...
เขาจะยอมแพ้ความใจกล้าหน้าด้านของคู่แข่งหัวใจ...คนที่กล้าแย่งจูบริมฝีปากน้ำลายเยิ้มของเด็กชายกังฟูเมื่อครั้งเรียนอยู่อนุบาลสามผู้นี้ไม่ได้อีกเป็นอันขาด!!
ด้วงไม่ตอบโต้
หากแต่เดินผ่านหน้าเต๋อตามฟูขึ้นเวทีไปด้วยท่วงท่าสง่างามตามความเคยชิน
ส่วนกังฟู
ก็ไปจูงสาวรำวงคนหนึ่งที่ยังดูสดใสไร้วี่แววว่าจะเป็นลมตรงช่วงกลางเพลงให้มายืนเบียดข้างๆคู่ของเก็กกับบ๊วย
จากนั้น
ชายหนุ่มร่างเล็กก็ถูกประกบด้านหลังด้วยคู่ของด้วงอีกที ซึ่งนั่นไม่ผิดไปจากที่เต๋อคาดเอาไว้ล่วงหน้าแม้แต่น้อย
กระนั้น...เมื่อเสียงเพลงประจำรอบยังไม่เริ่มต้น...
ทุกอย่างๆยังเปลี่ยนแปลงพลิกผันได้เสมอ
จังหวะที่เสียงดนตรีเร่งเร้าช่วงต้นเพลงกำลังจะเริ่มเล่น
เต๋อร่างหมีก็เข้าไปจูงสาวรำวงผู้เป็นคู่ของกังฟูไปคืนไว้บนหิ้ง
แล้วจึงยื่นหน้ามาสิงเป็นคู่เต้นให้คนตัวเล็กแทนสาวรำวงรุ่นป้าที่ตนเพิ่งกำจัดให้พ้นหูพ้นตาไปเมี่อครู่แหม่บๆนี่เอง
“อ้าวเฮ่ย...
นั่นผู้หญิงของกู มึงจะทำอะไร?!!” ฟูประท้วงตาตั้ง ทว่ายังหยุดเต้นหยุดเดินเพื่อฟาดงวงฟาดงาใส่เต๋อไมได้
ด้วยเพราะคนทั้งวงกำลังเคลื่อนไหวไปข้างหน้าตามจังหวะเพลงอันคึกคัก “ป้าครับ! เดี๋ยวก่อนครับ!! อยู่เต้นกับผมก่อน!!” คนตัวเล็กหน้าตาเหรอหรากวักมือร้องเรียกสาวรำวงที่เดินกลับไปนั่งพักเหนื่อยยังที่นั่งดั้งเดิมเป็นที่เรียบร้อย
“เรียกพวกน้องเค้าว่าป้า
เดี๋ยวมึงก็ได้ตายคาเวทีหรอก” เต๋อที่เต้นเหมือนคนเมาหากแต่เข้าจังหวะอย่างยอดเยี่ยมยื่นหน้าเข้ามากระซิบกระซาบใกล้ๆอีกฝ่ายด้วยความตั้งใจ
ฝ่ามือเล็กๆตามขนาดตัวของหนุ่มคู่เต้นก็กดประทับเข้าให้ในตำแหน่งกึ่งกลางใบหน้าหมีๆของเต๋ออย่างพอดีเป๊ะ
ก่อนออกแรงดันให้หงายห่างระหว่างที่เจ้าตัวก่นด่าหมีควายผู้ไร้ยางอายอย่างบ้าคลั่ง
“ไอ้สัดเต๋อ! ไอ้คนจัญไร!!...ไอ้หน้าแก่แต่เด็ก!!! น้องห่าอะไร...สาวรำวงพวกเนี้ยะน่ะ น้องๆยายมึงได้แล้วมั้ง!!” เสียงโหวกเหวกโวยวายของกังฟูทำให้สาวรำวงรุ่นล้ำกว่าแม่ไปหลายช่วงตัวหันขวับมาส่งสายตาประหัตประหารใส่สองหนุ่มโดยพร้อมเพรียงกัน...
สำหรับหญิงสาวแล้ว เรื่องอายุ ความงาม และ ความพ่วงพี...เป็นอะไรที่ซับซ้อนและอ่อนไหวต่อความรู้สึกโดยแท้
“อุ๊บ!!! อ่อย อ่าอาอ๋างอู!! (ปล่อย อย่ามาขวางกู!) / มึงนี่น้า ถึงไม่รัดตัวกลัวตาย ก็เสียดายชีวิตหน่อยเหอะว้า...
อีกอย่าง กูไม่ได้มาขวาง แต่กูมาเต้น”
เต๋อถือโอกาสรวบคนตัวเล็กเข้ามากอดแล้วเอามือปิดปากกังฟูเอาไว้แน่นโดยไม่ทันได้คิดหน้าคิดหลัง
ฝั่งด้วงที่โดนสาวรำวงมากหน้าเข้ามาโรมรันพันตูอยู่รอบทิศ
อันเป็นผลผลิตแห่งคาถาหญิงรักหญิงหลงชั่วขยิบตาของเจ้าพ่อไทรทอง ก็ยังสลัดตัวเองไม่พ้นจากมือกาวติดแน่นทนของเหล่าป้าๆ
จนไม่เหลือเวลาว่างมาช่วยเพื่อนรักให้รอดพ้นจากสถานการณ์คับขันได้
พี่จะทำบุญ ก่อทุน ไว้ตามน้องชาติหน้า
ชาตินี้พี่ต้องลา ก่อนหนา น้องจ๋าคนดี
ก่อนลาน้องจ๋า น้องจ๋าจงได้ปราณี
ขอหอมซักที เถิดคนดี ก่อนพี่จะจากไป
“ไอ้อัดเอ๋อ!! อ่อยยยยยยยยย!!!!! (ไอ้สัดเต๋อ! ปล่อยยยยยยยยย!)” กังฟูได้แต่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมอกของชายหนุ่มร่างหมีโดยไม่มีทีท่าว่าจะใช้กำลังตอบโต้...
การที่โดนอีกฝ่ายกอดเอาไว้ทั้งตัวเป็นครั้งแรก ทำให้เรี่ยวแรงที่จะแยกตัวเป็นอิสระของชายหนุ่มร่างเล็กหดหายไปไหนหมดก็ไม่รู้
“ปล่อยก็ได้...แหม่
ทำอย่างกะกูอยากจับนักแหละ” เต๋อรีบปล่อยคนตัวเล็กกว่าทันทีที่รู้สึกว่าทำเกินกว่าเหตุ...
แต่ลึกๆ เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าแอบเสียดายโอกาสงามๆหนนี้ไม่น้อย
จังหวะที่ทั้งสองผละจากกัน
ก็พอดีกับที่ร่างสูงหนาของด้วงถลาเข้ามาแทรกตรงกลางระหว่างสองหนุ่มแบบเหมาะเจาะ
แต่ความพยายามของด้วงกลับสิ้นสุดลงบัดเดี๋ยวนั้น
เพราะอภินิหารของคาถามหาเสน่ห์ความยาวตลอดหนึ่งช่วงเพลงของเทวบุตรสุดชิค ทำให้สาวๆรุ่นลายคราม...ตามติดด้วงมาเป็นพรวนจนกระบวนเต้นรำเสียไปหมด
“ไอ้เหี้ย!! หลบ!” กังฟูอาศัยจังหวะชุลมุนวิ่งเข้าไปแทรกคู่รักที่เซิ้งกันแบบซอฟท์ๆขัดกับเสียงดนตรีแปดหลอดจนคนตัวเล็กอยากเหวี่ยงลำโพงใส่
แต่สุดท้ายชายผู้เป็นพี่ของอดีตเดือนมหาลัยก็โดนสมุนเลวคนแล้วคนเล่าซึ่งมัวเมาอยู่กับการฟ้อนรำหน้าคว่ำหน้าหงายบูชาผีฟ้าไล่ต้อนให้อยู่ห่างจากทั้งเก็กและบ๊วยซ้ำแล้วซ้ำอีก
ผู้คนที่เฝ้ามองการเต้นรำในรอบนี้ต่างรู้สึกฉงนในใจเมื่อได้เห็นความโกลาหลอลหม่านที่เกิดขึ้นบนเวที...
...ทั้งชายหนุ่มผมยาวหน้าตาดีที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยสาวรำวงรุ่นแม่แต่แต่งตัวด้วยชุดสีเจ็บ
จนทั้งหมดไม่เป็นอันเต้น
...ชายหนุ่มสองคนที่เดินจูงมือเข้าจังหวะแบบนิ่มๆ
เพราะมัวแต่แลกเปลี่ยนสายตาหยาดเยิ้มกับรอยยิ้มให้กันและกันอยู่นั่น
...กับอีกคู่
ที่ร่างหมีๆเอาแต่ยักแย่ยักยันพันหน้าอ้อมหลังคนตัวเล็กกว่าแบบเรื้อนๆ เหมือนพวกขี้เมารำแปๆหน้าขบวนแห่นาคอย่างไรอย่างนั้น และที่จะขาดเสียไม่ได้ คือ...ชายหนุ่มอีกสามคนที่เซิ้งแซ่ดๆม้วนหน้าม้วนหลังเปะปะไปทั่วทั้งเวทีแบบไม่มีใครยอมใคร
“เหนื่อยสัดหมา!!!” กังฟูยืนปาดเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาตามกรอบหน้าพลางกระพือคอเสื้อเพื่อเรียกลม
“ฟู...
ไหวไหม?” ด้วงที่สภาพเยินผิดมาดตามปกติถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ระหว่างแอบไล่นิ้วติดกระดุมกางเกงยีนส์ที่หลุดออกจากรังดุมตั้งแต่เมื่อไร...เขาก็ระบุไม่ได้ชัดนัก
“พวกแม่งไปแอบแดกม้ากันมาหรือไง...ทำไมถึงได้คึกเป็นผีบ้ากันแบบนี้วะ?”
กังฟูเอ่ยพาดพิงถึงกลุ่มเด็กเต็กที่เต้นตามเพลงอย่างกับโดนยาสั่งตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วงจึงสอดส่ายสายตามองหาชายหนุ่มกลุ่มนั้นแทนเพื่อนที่กำลังยืนเหนื่อยแบบนอยด์ๆ
ก่อนจะร้องเรียกความสนใจของกังฟูผู้หันหลังให้โลกโดยสิ้นเชิงด้วยน้ำเสียงตื่นๆ
“ฟู...ไปเร็ว!!! เดี๋ยวตามเก็กไม่ทันกันพอดี”
“ห๊ะ?! เก็กมันไปต่ออีกแล้วเหรอ?” พอรู้ว่าน้องชายตัวดีแอบหนีไปที่อื่นโดยไม่รอ
กังฟูก็ถึงกับร้องออกมาอย่างท้อแท้... สรุปว่าเป็นเขาหรือไอ้เด็กสองคนนั่นกันแน่ ที่กำลังโดนปั่นหัวอย่างไม่มีหยุดหย่อน?!!!
“อืม...
ไปโน่นแล้วล่ะ” ด้วงรับคำเซ็งๆ เพราะตั้งแต่หัวค่ำจวบจนตอนนี้... ความพยายามในการกีดกันคนอื่นให้ออกห่างจากกังฟูดูจะล้มเหลวแบบไม่คาดฝันทั้งสิ้น
เต๋อเดินยิ้มๆกลับเข้ามาหาสองหนุ่มผู้พ่ายแพ้ให้กับสมรภูมิแห่งดนตรีสามช่าเมื่อครู่จนหมดรูป
“หึ
หึ หึ... อ่วมเลยสิพวกมึง...
.
...อ่ะนี่แดกซะ
กูอุตส่าห์มีน้ำใจเดินไปซื้อมาให้” พูดจบ น้ำเย็นสองขวดก็ถูกยัดใส่มือของทั้งด้วงและกังฟูอย่างไม่มีพิธีรีตรอง
“ขอบใจนะเต๋อ”
ด้วงพูดด้วยความซาบซึ้งในความเอาใจใส่ของอีกฝ่าย เพราะน้ำขวดนี้ช่วยชุบชีวิตของชายหนุ่มผมยาวให้กลับคืนมาอีกครั้งได้อย่างไม่น่าเชื่อ...
แต่คนฟังกลับใช้มันเป็นเครื่องมือทำร้ายเพื่อนรักของตัวเองโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
“แล้วมึงล่ะเตี้ย...
รู้จักขอบใจคนอื่นบ้างไหม? หรือว่าดีแต่ใช้กำลัง?” เต๋อแสยะ
“เฮอะ! ขอบใจนะไอ้ขี้ทวง!!” กังฟูประชดเสียงแข็ง...
น่าแปลกที่มันไม่ได้ทำให้เต๋อกระอักเลือดหรือเดือดร้อนอย่างที่เคย
เต๋อร่างหมีกลับยิ้มร่าหน้าบานเป็นจานดาวเทียม ก่อนจะเร่งทั้งสองหนุ่มให้เคลื่อนพลตามกลุ่มไปเสียที
“เอ้า
เดินเร็วๆสิ เดี๋ยวน้องพี่หมีกับน้องบูบู้จะแอบไปสวีทกันสองต่อสองไม่รู้น้า” เต๋อยิ้มยั่วทิ้งท้ายก่อนจะเดินนำเพื่อนซี้ทั้งสองไปยังที่หมายใหม่
ซึ่งไอ้เด็กแว่นแอบดอดมาบอกเอาไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อเพลงรำวงจบลงแบบหมาดๆ
“พวกมันไปทางไหน?!!” หูของกังฟูกระดิกทันทีหลังจากได้ยินชื่อปัญญาอ่อนทั้งสอง
ชายหนุ่มจึงตะคอกถามด้วง...จนเพื่อนรักต้องลากให้ออกเดินพร้อมกับบุ้ยใบ้นำหน้าไป
เพื่อช่วยให้คนใจร้อนได้พอมีเบาะแส
“โน่น! เพิ่งเดินเข้าไปในนั้นน่ะ เราเห็นหลังพวกนั้นไวๆ”
“ห๊ะ?!!! ในนั้นน่ะเหรอ?” คนตัวเล็กตะโกนเสียงดังอย่างไม่อายเมื่อรู้ว่าเพิงข้างหน้า
คือ สถานที่ซึ่งเขาไม่มีวันเฉียดกรายเข้าใกล้ ถัดลงมาจากป่าช้า ห้องดับจิต และบ้านผีสิงที่ฮิตๆทั้งหลาย
“หึ
หึ หึ... มึงป๊อดอ่ะเด้ไอ้เตี้ย...
.
...ไอ้เก็กน้องมึงนี่ฉลาดนะ
เข้าใจหาที่สวีทกับแฟนสองต่อสอง สงสัยมันจะรู้ว่าพี่ชายแม่งตาขาวเกินกว่าจะเข้าไปจับแยก...
...จะบอกอะไรให้นะ
ไอ้บ๊วยน้องรหัสกูน่ะ...มันเป็นพวกขวัญอ่อนอย่างที่สุดเสียด้วย...
.
.
...ไม่อยากจะนึกเลยว่า
ถ้าบ๊วยมันเกิดตกใจขึ้นมามากๆ น้องมึงจะฉวยโอกาสทำบัดสีบัดเถลิงใส่น้องกูไปถึงไหนๆ...
...ว่าแล้วก็เข้าไปแอบดูหนังสดดีกว่า”
เต๋อพยายามหลอกล่อให้กังฟูโมโหจนลืมกลัว
แล้วหน้ามืดตามัวเดินเข้าไปด้านในพร้อมๆกับตนเอง
ซึ่งแม้ว่าบ้านผีสิงตามงานวัดจะเป็นการจัดฉากตุ้งแช่ไว้แหย่เด็ก...
แต่หนนี้
กังฟูกลับไม่มีความกล้าพอจะรวบรวมแรงโทสะให้เอาชนะความกลัวอย่างที่สุดของตนได้
“เออ...ดี! มึงเข้าไปเลย!...
.
...แล้วถ้ามึงเห็นว่าสองคนนั้นทำอะไรกัน
มึงโทรออกมาบอกด้วย กูจะตามเข้าไปแหกอกพวกมันเอง” กังฟูสั่งความหลังจากกำหนดหน้าที่ของตัวเองได้แล้ว...
เขายอมป๊อดต่อหน้าไอ้หมีอริเก่าเพื่อจะได้ยืนปักหลักอย่างปลอดภัยอยู่ตรงนี้จนกว่าน้องชายกับไอ้เด็กบูบู้นั่นจะถูกเต๋อลากคอออกมา
อย่างน้อยก็ดีกว่าหลับหูหลับตาเดินฝ่าความมืดอันน่าหวาดกลัวตามน้องชายเข้าไปก่อเรื่องด้านใน
“แล้วถ้ากูโทรมาแล้วโกหกล่ะ...
...อย่างนี้มึงไม่ต้องฝ่าดงผีเข้าไปเสียเที่ยวฟรีๆหรอกเหรอ?...
.
...กล้าๆหน่อยดี้
ไหนๆก็โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงแล้ว มึงจะกลัวอะไรกับไอ้ผีหลอกเด็กตามงานวัดพวกนี้วะ?...
...เหอะ!!
โทษที...กูลืมไปว่า...มึงมันอ่อน!”
เต๋อพยายามสับขาหลอกเป็นครั้งสุดท้าย...
หากกังฟูเปลี่ยนใจ
เขาสัญญากับตัวเองว่า จะอยู่ข้างๆคนตัวเล็กกว่าโดยไม่ยอมห่างไปไหนเหมือนเมื่อบ่ายวันนั้นในอดีตนานมาแล้ว
ถึงคำพูดถากถางของเต๋อจะไม่ทำให้กังฟูฮึดสู้
แต่เพราะไม่เชื่อคำพูดของคู่แค้นแสนชาติแม้สักประโยค
ด้วงจึงต้องตกที่นั้งลำบากแทนกังฟูอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ด้วง...
กูขอแต่งตั้งมึงให้เข้าไปเป็นตัวแทนกู เพราะฉะนั้น...มึงเข้าไปพร้อมมันดิ๊!” ชายหนุ่มหวงและเป็นห่วงน้องชายอย่างที่สุด
แต่ความกลัวที่อาจฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็นกลับรั้งเขาไว้ให้ต้องกลายเป็นฝ่ายเฝ้ารอด้วยใจร้อนรน
“เอาอย่างนั้นจริงๆเหรอฟู?
ฟูอยู่คนเดียวได้จริงๆนะ?” ด้วงถามย้ำอีกครั้ง
เพราะเขายินดีจะทำตามบัญชาของกังฟูอย่างไม่มีข้อแม้
ติดตรงแค่เป็นห่วงอีกฝ่ายที่ต้องถูกทิ้งเอาไว้คนเดียวหน้าบ้านผีสิงที่ทั้งเปลี่ยวและวังเวงเช่นนี้
“เหอะน่า
กูจะรออยู่ข้างนอกนี่แหละ ตรงนี้คนเยอะแยะ...ไม่น่ากลัวเท่าข้างในนั้นหรอก” กังฟูรับรองกับเพื่อนรักด้วยการหลับหูหลับตาปลุกปลอบตัวเองไปพร้อมๆกัน
“อ๊ากกกกก!” เสียงแหกปากร้องด้วยความตกใจของผู้ชายหลายคนดังแว่วมาเข้าหูสามหนุ่มที่ยังคงตกลงใจไม่ได้
“เอ้า
กะเทย...จะไปไม่ไป?...
.
...หรือมึงจะรอให้น้องไอ้เหี้ยเตี้ยแม่งได้เสียกับน้องกูสักสามสี่รอบก่อน?...
...ก็ดีนะ
ถือว่าพวกมึงช่วยอุ้มสมให้พวกมันได้เอากันนอกสถานที่แบบไม่อายผีสางนางไม้” เมื่อได้ยินคำพูดเร่งเร้าของเต๋อ
กังฟูจึงรุนหลังด้วงให้เดินเข้าข้างในไปทันที
หลังจากทุกคนเดินลับเข้าบ้านผีสิงหลอกเด็กตรงส่วนท้ายๆของงานวัดไปเพียงไม่กี่นาที
กังฟูที่ยืนรอด้วยใจจดจ่ออยู่ข้างนอกก็เริ่มจะอยู่ไม่สุก
ชายหนุ่มนึกสยองในความเปลี่ยวเหงาของซุ้มบ้านผีสิงจนต้องไล่สายตามองฟ้ามองดินไปเรื่อยเปื่อย
จังหวะที่กวาดตามองต้นไม้ใหญ่ข้างบ้านผีสิงนั่นเอง
กังฟูก็รู้สึกเหมือนโดนพลังบางอย่างดึงดูดให้สายตาของเขาจับจ้องไปยังลำต้นอวบใหญ่ของไม้ต้นนั้นแบบไม่วาง
เพียงวูบเดียว...สายตาของเขาก็เปิดรับภาพของผู้หญิงผมยาวหน้าตาสะสวยห่มสไบสีทองโผล่ออกจากต้นไม้ผ่านเข้าคลองจักษุ
ก่อนที่เจ้าของเรือนร่างงามระหงจะผลุบหายไปในอากาศแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
เมื่อขยี้ตาจนแน่ใจว่าตนเองไม่ได้ตาฝาดกับภาพสั้นๆแค่ชั่วขณะจิต
ชายหนุ่มก็วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตผ่านเข้าประตูสองบานด้านหลังตามเพื่อนรักเข้าด้านในทันที...
.
.
.
เพราะตราบใดที่ข้างนอกไม่มีคนพลุกพล่าน
และคนอื่นๆที่รู้จักเดินวนอยู่ในบ้านผีสิงแห่งนี้...
ข้างนอกที่มีผีจริงๆสิงสถิตย์ต้นไม้อยู่
ย่อมอันตรายและโหดร้ายยิ่งกว่าด้านหลังประตูบ้านผีหลอกๆแน่ๆ
สุดท้ายช่วงขาสั้นๆทั้งสองของกังฟูก็หยุดนิ่งทันทีที่ก้าวล่วงเข้าเขตพื้นที่มืดสนิท
ชายหนุ่มตัวเล็กรีบกดมือถือต่อสายหาด้วงโดยพลัน
เพื่อหาตัวช่วยที่ไว้ใจ...ให้มาช่วยรับมือกับความกลัวสุดหูรูดของตน
“ด้วง...
มารับกูหน่อย กูรออยู่ตรงด้านในประตูทางเข้าบ้านผีสิง”
“รีบๆมานะ...
กูกลัว....ฮึก ฮึก...” เสียงอ้อนวอนเจือด้วยหางเสียงสะอื้น ทำให้คนปลายสายทุรนทุรายฝ่าความมืดเดินกลับทางเดิมเพื่อมารับเพื่อนรักของตัวเองทันที...
ตามมาห่างๆด้วยร่างหมีๆที่แอบฟังบทสนทนาทั้งหมดด้วยความตั้งใจ
“คุณ...
คุณทำให้เจ้ากังฟูกลัวขนาดนั้นได้ยังไงน่ะ?” เจ้าพ่อห่อไหล่ถามเจ้าพ่อไทรทองด้วยน้ำเสียงทึ่งจัด
แค่นั้นก็ทำให้เทวบุตรสุดชิคเชิดหน้าด้วยความภาคภูมิที่ทำให้อีกฝ่ายประทับใจในความสามารถอันหลากหลายของตนได้สำเร็จ
“หึ
หึ หึ... บันยันแค่ปรับคลื่นกระแสจิตของเจ้าหนุ่มนั่นให้ตรงกับคลื่นกระแสจิตของวิญญาณส่วนใหญ่ซึ่งสถิตย์อยู่
ณ ที่แห่งนี้แค่ชั่วคราวน่ะครับเบ๊บ...
.
...เคราะห์ดีนะครับ
ที่ตรงนี้ไม่ใช่สุสาน แถมยังมีนางทิพย์ประจำต้นตะเคียนใหญ่ปกปักรักษาอาณาเขตอยู่อีกต่างหาก...
...ไม่อย่างนั้นเจ้าหนุ่มนั่นคงคลุ้มคลั่งจนวิ่งตาตั้งเตลิดไปไหนต่อไหน
หลังจากได้เห็นวิญญาณเร่ร่อนมากหน้าหลายตาล่องลอยผ่านไปผ่านมาแบบจะจะอย่างเมื่อครู่”
เจ้าพ่อไทรทองอธิบายถึงหลักการของลูกเล่นที่ทำให้เจ้าพ่อห่อไหล่ชื่นชม
“เทพสายบู๊นี่ลูกเล่นเยอะจริง”
หากเจ้าพ่อห่อไหล่รู้ว่า การประชดประชันกลลวงอันแพรวพราวของเทพอีกองค์จะทำให้ตนเองเพลี่ยงพล้ำ...
องค์เทวบุตรคงปรับคำพูดเสียใหม่ให้ไร้ช่องโหว่ไปแล้ว
“หึ
หึ หึ... แต่เรื่องหัวใจบันยันไม่มีลูกเล่นอะไรเลยนะครับเบ๊บ...
.
...ซื่อๆโปร่งใส
แถมยังเข้าใจง่ายราวกับพระสูตรเวอร์ชันอนิเมะเลยเชียวแหละ” เจ้าพ่อไทรทองส่งสายตากระลิ้มกระเหลี่ยตอบแทนความน่ารักของโฮลี่ฮิปสเตอร์ยามเผลอไผล
ก่อนจะหายตัวไปลอยไหล่ชนไหล่ชวนให้เจ้าพ่อประจำมหาวิทยาลัยออกอาการวางตัวไม่ถูก
“ผมตามไปดูเจ้ากังฟูดีกว่า
ชักจะทนฟังเทวดาแถวนี้เพ้อเจ้อจับสาระไม่ได้เสียแล้วสิ” ว่าแล้วเจ้าพ่อห่อไหล่ก็หายตัวไปในชั่วพริบตา
แต่นั่นไม่ได้ทำให้เจ้าพ่อไทรทองสะเทือนสักกระผีก
“แหน่ะ!.. เมื่อก่อนจะหายตัวไปไหนนี่ไม่เคยบอก...
.
...เดี๋ยวนี้ล่ะออกตัวแรงชี้แจงพิกัดเรื่อยเลยนะครับเบ๊บ...
...แฟนใครน้า
ทำไมน่ารักแบบนี้ก็ไม่รู้ ฮิ ฮิ” เจ้าพ่อไทรทองเอ่ยกับตัวเองอย่างอารมณ์ดี
ก่อนที่จะหายตัวตามไปเฝ้าเจ้าพ่อห่อไหล่ด้วยความรักและหวงแหนไม่มีใครเกินอีกทอดหนึ่ง
ท่ามกลางความมืดสลัวจนมองไม่เห็นสิ่งใดกระทั่งแขนขาของตัวเอง
กังฟูกำลังต่อสู้กับความกลัวด้วยการยืนหลับตาอยู่นิ่งๆ...
เขารู้...หากเขาดื้อเพ่งมองฝ่าความมืดที่ห้องล้อมอยู่รอบๆ
เขาจะหวาดกลัวจนช่วยตัวเองไม่ได้อีกต่อไป
เพราะฉะนั้น...การหลับตาให้ภาพทุกอย่างหายไปจากม่านสายตา
น่าจะใช่การรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าที่ดีที่สุด
เสียงฝีเท้าหนักๆที่ดังเข้ามาใกล้ ช่วยให้คนฟังที่ยังยืนหลับตาใจชื้นขึ้นอีกโข
กังฟูรีบโบกมือถือซึ่งเปิดหน้าจอค้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อครู่เพื่อให้สัญญาณกับเพื่อนรักที่มาช่วยเหลือ
แต่แล้วกลับเป็นเต๋อ...ที่ไปถึงตัวของกังฟูก่อนด้วง
เพราะระหว่างทางเดินย้อนกลับมาตรงหน้าประตู
เจ้าพ่อห่อไหล่ได้วางหลุมพราง
บังคับให้หนุ่มผมยาวเดินหลงไปอีกทางโดยที่เจ้าตัวไม่อาจหลบเลี่ยง
“ด้วง! ด้วง!! ด้วงมาแล้วเหรอ? เราอยู่ตรงนี้... เราก้าวขาไม่ออกแล้ว” กังฟูกำลังอ่อนแอถึงขีดสุด...
เมื่อมองไม่เห็น สองแขนของเขาก็ไขว่คว้าเอาร่างหนาๆของคนที่เดินเข้ามาหาให้แนบใกล้ไม่ต่างกับการโผเข้าหาขอนไม้ใหญ่ที่ลอยน้ำมาช่วยชีวิตคนเรือแตก
เสียงหัวใจโครมครามของคนตัวใหญ่ที่เขากอดรัดอยู่ทำให้ชายหนุ่มผ่อนคลายความหวาดหวั่นได้อย่างน่าอัศจรรย์
“ไม่เป็นไรแล้วนะฟู...
ไม่เป็นไร
เราอยู่กับฟูแล้ว...ผีทำอะไรฟูไม่ได้หรอก” เต๋อเอ่ยปลอบอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนเหมือนเมื่อครั้งที่ทั้งคู่ยังเป็นเพียงเด็กน้อยวัยห้าขวบ
ขณะที่รวบร่างบางของกังฟูเข้าสู่อ้อมอกของตัวเองอีกครั้ง...
เต๋อรู้ตัวดีว่าสิ่งที่ตนเองกำลังทำนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุใด
เขาอยากกอดให้คนตัวเล็กลืมความกลัวไปให้หมด...
อยากกอดกังฟู
เพื่อให้คลายความห่างเหิน และเพื่อทนแทนเวลาอันเปลี่ยวเหงาที่เสียไปกว่าสิบปี...
เขาอยากกอดคนๆนี้
เพื่อลบล้างความเกลียดชังปลอมๆที่ตัวเขาสร้างขึ้นอำพรางความเสียใจหลังจากเหตุการณ์วันนั้น...
เวลานี้
เขาอยากกอด... อยากกอดกังฟูมากที่สุด
สำหรับอีกคนที่ยังไม่อาจใช้ประสาทสัมผัสในการมองเห็น...
เมื่อรู้แล้วว่าผู้ที่กลับมารับตนเองเป็นใคร
ชายหนุ่มตัวเล็กกลับไม่ได้ผลักไสอีกฝ่ายอย่างที่เคย
กังฟูผู้พ่ายแพ้ให้แก่ความกลัว
เผลอเปิดใจให้คนที่พึ่งพาได้มาโดยตลอดอย่างเต๋ออีกครั้งทั้งที่ไม่รู้ตัว
อ้อมกอดของอีกฝ่าย
ขับไล่เสียง ภาพ และสิ่งไม่พึงปรารถนาทั้งหลายให้มลายไปจนหมด...กระทั่งทิฐิของเขาก็ไม่เว้น
“ฮืออออออ เต๋อ....เรากลัว เรากลัว” กังฟูร้องสะอึกสะอื้นเหมือนเด็กๆ
จนเต๋อเผลอกดจูบเบาๆตรงกระหม่อมของคนตัวเล็กซ้ำๆพลางปลอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและอ่อนโยนตามนิสัยที่แท้จริง
“ชู่ว์...หลับตาเอาไว้นะ
เดี๋ยวเราจะพาฟูออกไปข้างนอกเอง” เต๋อโอบวงแขนกระชับเข้ากับเอวสอบของร่างเล็ก
ก่อนจะพาเดินฝ่าความมืดที่แสนอบอุ่นกลับสู่โลกภายนอก ชายหนุ่มร่างหมีแอบหวังว่า...ทุกๆอย่างหลังจากคืนนี้
จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกว่าอดีตที่เคยเป็น
แม้จะเดินพ้นประตูทางออกจนได้ยินเสียงร้องทักของน้องๆที่ดังเกรียวกราวไม่ห่างหู
กังฟูก็ยังไม่ยอมลืมตาหรือหาทางออกจากวงแขนแข็งแรงของอีกฝ่าย
ด้วงจึงต้องเป็นฝ่ายปรี่เข้าหา แล้วแยกสองคนออกจากกัน ก่อนจะตระกองกอดร่างอ่อนแรงของกังฟูผู้ตื่นตกใจเอาไว้แนบอกตัวเองทันที
“ฟู
เราเข้าไปตามหาฟูหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่เจอ... ฟูไปหลบอยู่ตรงไหนมา?”
ด้วงถามเพื่อนรักที่ยืนเอนตัวพิงอกตัวเองด้วยความสับสนระคนหงุดหงิด...
ทำไมทุกอย่างจึงผิดแผนไปหมดแบบนี้นะ?!!
“ไม่รู้เหมือนกัน
กูไม่ทันได้มอง” กังฟูตอบเอื่อยๆ... เรื่องน่าหวาดเสียวเมื่อครู่ทำเขาเหนื่อยรากเลือดยิ่งกว่ารำวงแบบเมดเล่ย์สองชั่วโมงติดเสียอีก
“เอาเถอะ...
ฟูไม่เป็นไรก็ดีแล้ว...
.
...เดินไหวไหม?
อยากให้เราช่วยพยุงหรือเปล่า?” ด้วงตัดบทเพราะไม่มีเหตุผลใดๆให้เขาจี้กังฟูในสภาพจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่แบบนี้
“ไม่ต้องหรอก...
เมื่อกี๊กูยังไม่ทันเห็นอะไร” กังฟูตอบพลางหย่อนตัวลงนั่งตรงม้าหินตัวหนึ่งท่ามกลางวงล้อมของชายหนุ่มที่เหลือ
“เฮียฟู...
เฮียไม่ไหวเฮียก็ไปนั่งพักก่อนได้นะครับ...
.
...เดี๋ยวเก็กไปเล่นชิงช้าสวรรค์กับบูบู้เสร็จแล้วเราค่อยไปกินข้าว
แล้วกลับมอพร้อมกัน” เก็กที่ดูไม่เดือดร้อนกับความเป็นความตายของพี่ชายเท่าไรนักกล่าวด้วยสีหน้าระรื่นชื่นบาน
อดีตเดือนมหาลัยรู้ดีว่า...คำพูดเหล่านั้น
ไม่ต่างกับฟืนชั้นดีที่ทำให้กองไฟแห่งความเกลียดชังปล่อยพลังมาขับเคลื่อนให้ร่างเล็กๆของพี่ชายลุกขึ้นสู้ยิบตาตามเจตนารมณ์ดั้งเดิมอีกครั้ง
“กูไหว...
กูจะไปนั่งชิงช้าสวรรค์ด้วย!!” กังฟูประกาศกร้าว... ต่อให้โดนผีสางทำร้ายจนม่อยกระรอก
เขาก็จะไม่ยอมแสดงความอ่อนแอใดๆให้ไอ้เด็กบูบู้หน้าจืดแอบเอาเรื่องของเขาไปหัวเราะเยาะลับหลังแน่ๆ
“เอางั้นก็ได้...
เฮียค่อยๆเดินตามไปแล้วกันนะครับ...
.
...ไปครับบูบู้”
เก็กเดินโอบบ๊วยออกไปทันทีที่ได้ยินคำยืนยันหนักแน่นจากทิฐิของพี่ชาย อดีตเดือนมหาลัยเตือนตัวเองว่า...นี่ไม่ใช่เวลามาพะวงถึงสภาพจิตใจของเป้าหมายร่วมสายเลือดผู้โหดร้ายกับหัวใจและความรู้สึกของเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“พี่หมี...
วันนี้เราเลิกแผนกันก่อนดีไหม? เฮียฟูดูอาการไม่ดีเลยนะ” บ๊วยพยายามต่อรองด้วยเห็นแก่กังฟูที่ยังนั่งหน้าซีดเซียวอย่างไร้เรี่ยวแรงเดินตามเหมือนเมื่อหัวค่ำ
“บูบู้ครับ
บูบู้ต้องเข้าใจนะว่าเรายกเลิกแผนกลางคันเพราะรู้สึกเห็นใจเฮียฟูไมได้...
.
.
...คิดดูสิครับ
กว่าบูบู้จะหลอกล่อเฮียฟูออกมาจากห้อง...
...กว่าทางแฝดกับสกลจะมัดมือชกพี่เต๋อมาด้วยได้
พวกเราต้องเหนื่อยกันมากขนาดไหน บูบู้ลืมไปแล้วหรือไงครับ...
.
...งานนี้
แม้พวกเราจะพร้อมใจกันทำเพื่อล้างพรให้ตัวเค้า...
...แต่บูบู้ก็อย่าลืมสิว่า
แผนของพวกเราก็เป็นการช่วยให้เฮียฟูหวั่นไหวจนยอมเปิดใจให้พี่เต๋อด้วยเหมือนกัน...
...เพราะฉะนั้น
บูบู้ก็คิดเสียว่าวินวินกันทั้งสองฝ่ายดีกว่าไหมครับ?” แม้ปากจะปลอบให้อีกฝ่ายร่วมดำเนินแผนการโดยไม่ไหวหวั่น
แต่ในใจเก็กกลับรู้สึกยินดีที่คนที่เขาเดินโอบมีน้ำใจกับพี่ชายที่ทำตัวร้ายกาจใส่บ๊วยมาตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้ากัน
“แต่หน้าเฮียฟูซีดมากเลยนะพี่หมี...
.
...ถามจริงๆ
พี่หมีไม่สงสารเฮียฟูบ้างเลยเหรอ?” บ๊วยถามต่อหลังจากยังไม่เห็นเงาของพี่ชายอีกฝ่ายเดินตามมาประกบ
“บูบู้ครับ
เมื่อกี๊บูบู้ไม่เห็นเหรอครับว่า พี่เต๋อเดินกอดเฮียฟูออกมาจากบ้านผีสิง...
.
...กอดกันกลมดิกเลยนะครับ
ไม่ใช่แค่จับมือ จูงแขนหรือทำอย่างอื่นที่เบสิคกว่านี้” เก็กย้ำภาพที่ทำให้ทุกคนตื่นตะลึงไปจนถึงอ้าปากค้างอย่างกับว่ามองเห็นโลกมีพระอาทิตย์สามดวงประดับฟากฟ้าช่วงกลางวันอย่างไรอย่างนั้น
“ก็เห็น
แต่พวกเราทำกับเฮียฟูรุนแรงไปหรือเปล่า?...
.
...เมื่อตอนบ่ายก็ครั้งนึง
แล้วยังจะมาซ้ำแผลเดิมที่นี่อีก เฮียฟูจะรับไม่ไหวเอานะ” บ๊วยยังคงไม่เลิกราง่ายๆ
เรื่องความเป็นความตายของคนอื่น...โดยเฉพาะคนสำคัญของเก็ก ทำให้เขาไม่อาจนิ่งนอนใจวางตัวเฉยเมยอยู่ได้
“บูบู้เชื่อเค้าสิ...
...ถ้าเฮียฟูยังเดินตามจองล้างจองผลาญต้องการจะแยกเราสองคนออกจากกันเป็นผีชัตเตอร์ได้แบบนี้...
.
...แสดงว่าสภาพของเฮียฟูยังดีอยู่...
...บูบู้รู้ไหม
เฮียฟูน่ะ...ตายยากกว่าแมงสาบอีกนะ” เก็กพยายามหว่านล้อมด้วยถ้อยคำสัพยอกหยอกเอินให้อีกฝ่ายยิ้มได้...
แต่มันกลับกลายเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ!!
“พี่หมี! พี่หมีพูดอย่างนี้ได้ยังไง?...
.
...นั่นน่ะพี่ชายแท้ๆของพี่หมีเลยนะ...
...แล้วดูเปรียบเทียบเข้าสิ
เดี๋ยวเถอะ!” บ๊วยตำหนิด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก หากแต่สายตา
คำพูด และการแสดงออกโดยรวมทั้งหมดนั้น ทำให้อดีตเดือนมหาลัยปั่นป่วนในหัวใจจนแผลอก้าวเท้าลงบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยระเบิดแสวงเครื่องซึ่งถูกฝังเอาไว้อย่างกระจัดกระจายโดยไร้คำเตือนทันที
“เดี๋ยวเถอะทำไม?
บูบู้จะทำอะไรเค้าได้... หืมมมม?.....อุ๊ก!”
น้ำเปรี้ยวอันเป็นสัญญาณบอกว่าการหลอกตัวเองของชายหนุ่มได้จบเห่ลงแล้ว
ถูกเก็กกลืนลงคอไปด้วยความยากเย็น...
หากปล่อยเอาไว้แบบนี้
เห็นทีว่าจะไม่ดีแน่...
แต่เขาจะทำอย่างไรได้
ในเมื่อแผนการใหญ่ยังไม่สำเร็จ...
ส่วนตัวเขาเอง
ก็ชักไม่อยากอยู่ห่างจากแฟนปลอมๆคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆเสียแล้วสิ
“พี่หมี...
พี่หมีเป็นอะไร?” บ๊วยถามด้วยสีหน้าตกใจ มือผอมแห้งหากแต่นุ่มผิดคาดแตะเบาๆตรงหน้าผากของเขาอย่างลืมตัว...
นี่คงจะเป็นห่วงเขามากเสียจนไม่ทันได้ระวังตัวเลยสินะ
“....ปละ
ปละ...เปล่า เค้าแค่เพลียน่ะ... ตอนก่อนมาถึงโรงหนังเผลอเดินตากแดดนานไปหน่อย” เก็กรีบโกหก
เขาไม่มีทางยอมเผยความลับอีกด้านของพรจากเจ้าพ่อไทรทองให้บ๊วยรู้แน่...
การดูแย่ในสายตาคนตัวเล็กเพราะอาการผิดปกติของร่างกายแบบที่ควบคุมตัวเองไม่ได้
ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการสักนิด
“พักก่อนไหม?
เดี๋ยวเอาไว้ค่อยเล่นก็ได้นะ” ฝ่ามือถูกเลื่อนจากหน้าผากของเขา
ย้ายไปกระตุกข้อมือเบาๆแทนการเรียกร้องความสนใจ สีหน้าเป็นห่วงจริงจังของบ๊วยทำให้เก็กอดชอบใจไม่ได้
“ไม่ต้องหรอก
ไว้รอไปพักทีเดียวในชิงช้าสวรรค์เลยแล้วกัน...
.
...บูบู้อย่าทำหน้าตกใจอย่างนั้นสิครับ
เดี๋ยวเฮียฟูจะจับสังเกตได้นะ” อดีตเดือนมหาลัยเตือนแฟนจำเป็นของเขาไม่ให้เป็นห่วงจนหลุดบทบาท
“งั้นระหว่างรอคิวชิงช้าสวรรค์
ถ้าพี่หมียืนไม่ไหว พี่หมีจะพิงเค้าไว้ก็ได้นะ” บ๊วยเสนอตัวด้วยยังไม่วางใจในสวัสดิภาพของอีกฝ่าย
ไหนๆก็ตัวติดกันกับเก็กมาหลายชั่วโมง...ยอมเป็นเบาะให้คนป่วยเสียหน่อย คงไม่แปลกอะไร
“ครับ...
ขอบคุณครับ” เก็กตอบด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจของคนตัวเล ็ก
“มาเร็วครับพี่ฌาน
ฌอน... พวกเรามาขึ้นชิงช้าสวรรค์ร่วมกัน ชาติหน้าจะได้เกิดมานั่งชิงช้าสวรรค์ด้วยกันอีก”
สกลที่ออกเดินทิ้งห่างล่วงหน้าไปยังชิงช้าสวรรค์ร้องเรียกเพื่อนแฝดเหมือนเด็กๆ
“สกล...
...พี่ฌานถามจริงๆเถอะ
ที่สกลบอกว่าสกลชอบเข้าวัดน่ะ...
.
...จริงๆแล้ว
สกลเข้าไปขโมยมะม่วง หรือเข้าไปแอบจับปลาสวายในเขตอภัยทานกันแน่?...
...ทำไมอะไรๆมันถึงได้ฟังดูพิกลพิการไปหมดแบบนี้วะ?”
แฝดพี่ที่เดินตามมาอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามด้วยความสงสัยในตรรกะแปลกๆของเพื่อนรักสุดเกรียน
“แหม่
พี่ฌานครับ...
.
...พี่ฌานอย่าเอาการกระทำตามวิสัยอันเป็นธรรมชาติของตัวเองมาตัดสินตัวผมอย่างนั้นสิครับ...
...ใครเขาจะไปทำชั่วช้าให้ฟ้าผ่าตายได้ง่ายๆแบบที่พี่ฌานชอบทำกันล่ะเอ้อ”
สกลเหยียดยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าชวนให้กระแทกฝ่าเท้าเข้าสัมผัสอย่างที่สุด
“ลองเปลี่ยนเป็นขโมยสมเด็จนางพญาที่พี่ชายหวงนักหวงหนายังจะใกล้เคียงความเป็นจริงกว่าตั้งเยอะใช่ไหมล่ะสกล?”
แฝดน้องผู้ที่ยังดูดีแม้มีหัวจุกน้ำพุอยู่บนหัวชงประเด็นอ่อนไหวต่อความรู้สึกของพี่ชายขึ้นมาทันที
ฌานถลึงตาใส่เพื่อนหน้าแว่นที่ทำทีแบ่งรับแบ่งสู้แบบเฟคๆ
“โธ่พี่ฌาน!...
...พี่ฌานอย่าทำหน้าจะกินเลือดกินเนื้อผมอย่างนั้นสิครับ...
.
...เมื่อคืนตอนเมาหลับ
หลวงพ่อท่านมาเข้าฝันผม...
...ท่านบอกว่าให้ผมพาท่านกลับมาด้วยกันเพราะอยู่ที่นั่นเสียงมันดังเจี๊ยวจ๊าวจนท่านชักจะไม่ไหว...
...ไหนจะลูกรักลูกยม
กุมารทอง ลูกกรอก ท่านไม่เคยไปเข้าฝันบอกเหรอครับว่าตำหนักพี่ฌานน่ะ
นานวันยิ่งเหมือนเนอสเซอรี่มากกว่าที่ปฏิบัติธรรม... ผมเลยจำใจพาท่านกลับมาด้วยอย่างเสียไม่ได้”
สกลแยกเขี้ยวอธิบายด้วยเหตุผลข้างๆคูๆที่ผู้ฟังไม่อยากได้ยิน
“อทินนา
เวรมณี...
...ศีลข้อที่สอง...
.
...ถ้าเจ้าของไม่นั่งจ้อง
ก็หยิบได้ใช่ไหมแว่น?” ฌานกดเสียงต่ำระหว่างเอ่ยถามเพื่อนรักอย่างช้าๆและชัดถ้อยชัดคำ...
เขาจะไม่โกรธจนเผลอฆ่าสัตว์สองเท้าแลกกับสมเด็จนางพญาแน่ๆ... ถ้ายังหักห้ามใจไหว
“อุ๊ย! ชิงช้ามาแล้ว ผมขอประเดิมขึ้นไปทดสอบความแข็งแรงของการรับน้ำหนักผู้ใหญ่ให้พวกเราทุกคนก่อนนะครับ”
สกลกระโดดแผล็วเข้าไปในชิงช้าตัวแรกที่จอด โดยปาดหน้าเค้กเก็กกับบ๊วยไปเรียบร้อย คู่รักจอมปลอมที่หันมาเห็นสายตาทำลายล้างของแฝดพี่ถึงกับพร้อมใจกันย้ายไปยืนรอคิวตรงท้ายแถว
แล้วปล่อยให้เพื่อนๆพี่ๆคนอื่นๆแซงคิวล่วงหน้าได้ตามสะดวก
“น้องชาย...
สรุปว่าแว่นมันเอาหลวงพ่อติดมือกลับมอมาหรือเปล่า?”
แฝดพี่หันไปถามคนหน้าเหมือนกันที่ยืนอยู่ข้างๆ คำตอบของน้องแฝดที่คลานตามกันออกมาจากท้องแม่
ทำให้ชายหนุ่มเกือบล้มหน้าหงาย
“เปล่าครับ...
...พี่ชายเสียรู้สกลแล้วล่ะ
หึ หึ...
.
...ไปกันเถอะครับ
ชิงช้ามาแล้ว” สองหนุ่มฝาแฝดเดินเข้าไปในกระเช้าเล็กๆของชิงช้า ฌานไม่รู้จะด่าใครก่อนดีระหว่างน้องชายตัวเอง
หรือเพื่อนหน้าแว่นที่รวมหัวกันดัดหลังเขาจนได้
“ไอ้เหี้ยเต๋อ...
ทำไมมึงถึงไม่ไปขึ้นชิงช้าตัวเดียวกันกับไอ้เด็กแว่นนั่นวะ?” กังฟูพยายามข่มความอายที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆด้วยการกรรโชกถามคนร่างหมีที่ยืนต่อแถวรอชิงช้าสวรรค์แบบแทบจะหายใจรดต้นคอ
“กูจะอยู่รออุ้มมึงเข้าชิงช้าตามประสาทาสที่ดีไง...
ไม่ชอบเหรอ?” เต๋อเลิกคิ้วยิ้มยียวนพลางจ้องหน้ากังฟู... รู้อยู่หรอกว่าอีกฝ่ายคงอับอายสายตาคนอื่นหลังหลุดออกจากบ้านผีสิง
แต่จะให้ทำอย่างไร... ก็ใจมันอยากแหย่คนตัวเล็กให้หน้าร้อนตัวแดงๆอีกสักรอบนี่นา
“สัดเหอะ!! ใครขอ?” กังฟูทำปากขมุบขมิบเหมือนจะบ่นอริตลอดกาลอยู่คนเดียวให้หายแค้น...
ทั้งที่เมื่อก่อน แมนๆอย่างเขาเคยยืนติ๋มๆให้ชายอื่นมาทำหน้ากระลิ้มกระเหลี่ยใส่ที่ไหนกัน
เมื่อชิงช้าตัวถัดไปจอดตรงหน้าสามหนุ่มรุ่นพี่
ด้วงก็เข้าไปนั่งรอฟูอยู่ข้างในเพื่อกันไม่ให้เต๋อดอดเข้ามา
แต่จังหวะที่เต๋อจะจับตัวกังฟูยัดเข้ากระเช้าไปนั้น
ร่างเล็กก็อาศัยความกะทัดรัดหมุนตัวไปดันหลังเต๋อให้ถลำเข้าด้านในชิงช้าแทนตัวเอง
ก่อนจะบอกให้พนักงานเฝ้าเครื่องปล่อยกระเช้าขังผู้ชายร่างหมีสองคนขึ้นไปทันที
“มองอะไรกะเทย...
ไม่เคยเห็นหน้ากูแบบฟูลเอชดีเหรอไง?” เต๋อเปิดฉากฉะด้วงที่นั่งหน้าโหดใส่เขาตลอดเวลาตั้งแต่กระเช้าลอยเหนือขึ้นจากพื้นดินแบบผิดแผน
“เปล่า...
เราแค่อยากรู้ว่านายคิดอะไรกับฟูกันแน่? ทำไมอยู่ๆนายถึงได้มาคอยประกบฟูแจ
ทั้งๆที่นายกับฟูเกลียดขี้หน้ากันมาตลอด” ด้วงถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ท่าทางขึงขังของเขาในเวลานี้ ไม่เหลือเค้าของสาวประเภทสองผู้ตุ้งติ้งเหมือนหญิงสาวอีกต่อไป
“ถ้ามึงบอกว่ากูคอยตามติดกังฟู
แล้วสิ่งที่มึงทำล่ะด้วง... กูต้องเรียกว่าอะไร?...
.
...พะเน้าพะนอเอาอกเอาใจไอ้เตี้ยจนมันไม่เห็นหัวใครหน้าไหน...
...บำบัดความใคร่ให้ตัวเองด้วยการหาเศษหาเลยเพราะไอ้เตี้ยมันเสือกเป็นทองไม่รู้ร้อน...
...หรือรอช้อนตอนกังฟูมันพลาดพลั้งยั้งอารมณ์ไม่อยู่?”
เต๋อแดกดันจากสิ่งที่เห็น ซึ่งความรู้สึกและความต้องการลึกๆของอีกฝ่ายยิ่งดูชัดเจน
เมื่อด้วงพยายามขัดขวางไม่ให้เขาเข้าใกล้กับฟูได้อย่างใจมาค่อนคืน
“เรากับนายไม่เหมือนกัน!!” ด้วงตวาดกร้าว...
แน่ล่ะ...จะมีใครยอมทำทุกอย่างเพื่อกังฟูได้แบบเขากัน?
คนที่ไม่รู้อะไรอย่างเต๋อ...
อย่าเสนอหน้ามาตัดสินจะดีกว่า!!
“ก็เออสิวะ...
กูมันผู้ชายแท้ๆ ส่วนมึงน่ะไม่แน่จริง...ไอ้ชายกระโปรงดีแต่แอ๊บเอ๊ย!!” เต๋อยั่วโมโหด้วงเพื่อชิมลางดูอาการ
แต่ส่วนหนึ่ง...ก็เพราะความพาลด้วยนั่นแหละ
“เรายอมเป็นชายกระโปรง
หรืออะไรก็ได้... ขอแค่ให้เราได้อยู่ข้างๆฟูไปเรื่อยๆแบบที่นายทำไม่ได้ยังไงล่ะ!!” หนุ่มผมยาวตอกกลับจนเต๋อร่างหมีเจ็บจี๊ด
ทว่าชายหนุ่มผู้กรังแต่เปลือกกลับพูดจากลบเกลื่อนทันควัน
“นี่มึงกินฮอร์โมนเพศเมียมากไปหรือเปล่าวะด้วง?
สมองมึงถึงได้กลวงจนเพ้อเจ้อเป็นวรรคเป็นเวรอยู่แบบนี้น่ะ”
“การที่นายมองว่าเรื่องของเรากับฟูเป็นเรื่องเพ้อเจ้อนี่ก็ดีเหมือนกัน...
.
...เราจะได้สบายใจว่า
นายจะไม่มีวันกลืนน้ำลายแล้วเอาตัวเองมายุ่งกับเรื่องไร้สาระของเรากับฟู เพื่อรอเราเผลอแล้วดอดมาแย่งฟูไปจากเรายังไงล่ะ!!” ด้วงสำทับอย่างตรงไปตรงมาอีกครั้ง ด้วยหวังว่าเต๋อจะไม่เข้ามาวุ่นวายความรักของเขาอีกต่อไป
“หึ! ใครมันจะไปอยากได้ไอ้กังฟูหมาตื่นมาเป็นแฟนกันวะ?!...
...แจกฟรีแถมบุหรี่สองตัว...กูยังไม่ชัวร์เลยว่าจะมีใครเอาแม่งมาทำพันธุ์ให้อายุสั้นก่อนเวลาอันควรหรือเปล่า”
เต๋อเสตอบตรงข้ามกับความรู้สึก ก่อนจะสาธยายถึงสาเหตุที่หยิบยกขึ้นมากล่อมตัวเองแบบน็อนสต็อปเพื่อสั่งจิตใต้สำนึกให้เชื่อตามนั้น...ทั้งที่ก็รู้ว่ามันไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงสักนิดเดียว
“มึงรู้ไว้เลยนะว่าที่กูต้องอดทนเหม็นเบื่อหน้าไอ้กังฟูอยู่แบบนี้
ก็เพราะมันเสือกตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับความรักของน้องรหัสสุดประเสริฐของกู...ซึ่งกูยอมไม่ได้...
.
.
...ถึงชาตินี้ไอ้เหี้ยเตี้ยจะมักน้อย
ปล่อยให้กะเทยอย่างมึงเข้าสิงสู่จนดูน่าทุเรศ
กูก็ไม่สนหรอก...
...แต่กูไม่ได้บอกเสียหน่อยว่า
คนอย่างมันจะมีสิทธิมากำหนดทางเดินชีวิตของน้องมันได้แบบครบสูตร...
...ยิ่งคนที่น้องมันกำลังคบหาอยู่ด้วยเป็นบ๊วย...จะให้กูไม่ช่วยน้องกู
ก็คงไม่ได้เหมือนกัน...
...เพราะฉะนั้น...
ตราบใดที่ไอ้กังฟูไม่ยอมรามือจากความสัมพันธ์ของน้องมันกับน้องกู
กูก็จะอยู่เป็นก้างชิ้นโตคอยขวางคอมันเอง”
“แล้วเราจะคอยดูว่านายจะทำได้อย่างที่พูดจริงหรือเปล่า”
ด้วงที่ไม่ปักใจเชื่ออะไรง่ายๆพูดดักทางจนอีกฝ่ายนึกเสียใจทีหลัง ทว่าในเมื่อเต๋อยังรู้ไม่เท่าทันหัวใจตัวเอง...
ยามนั้นชายหน้าคมเข้มจึงตอบหนุ่มผมยาวหน้าหยกไปอย่างไม่นึกยี่หระ
“หึ! ก็เอาสิ”
กังฟูรอจังหวะที่ถึงตาของบ๊วยกับเก็กขึ้นชิงช้า
แอบแทรกกลางเข้ามานั่งรอด้านในพร้อมๆกับบ๊วย
จนเก็กต้องตามเข้ามาด้วยเพราะปล่อยให้พี่ชายอยู่ตามลำพังกับแฟนบังหน้าของเขาไม่ได้จริงๆ
“เฮียฟู
เฮียขึ้นมาทำไม? ชิงช้ามันรับน้ำหนักผู้ใหญ่ได้แค่สองคนเองนะ” เก็กประท้วงพลางส่งสายตาของความช่วยเหลือจากเจ้าพ่อทั้งสองที่ลอยละล่องประกบอยู่ด้านนอกกระเช้าอย่างใกล้ชิด
แต่กังฟูผู้ดื้อด้านก็มิได้นำพา
“เก็ก...
ถ้ามึงไม่อยากตกลงไปตายโหงตายห่า อย่าหือ!!!” ว่าแล้ว...กังฟูก็ข่มขวัญอีกฝ่ายด้วยการโยกตัวไปข้างหลังอย่างช้าๆแบบซ้ำๆเพื่อให้กระเช้าแกว่งต่องแต่งน่าหวาดเสียว
“โธ่เฮีย!! มีอะไรก็ค่อยๆพูดค่อยๆจ...
“หุบปาก...
อย่าริอ่านมาห้ามกู!!” กังฟูโยกกระเช้าแรงขึ้นเพื่อปิดปากให้เก็กยอมแพ้
อดีตเดือนมหาลัยได้แต่นั่งตัวลีบติดกับบ๊วยเพราะการเจรจาไม่เป็นผล พี่ชายคนโตของสุดหล่อจึงได้โอกาสหันไปเหยียดสายตามองไอ้เด็กบูบู้ที่ดูตระหนกไม่น้อยไปกว่าแฟนกำมะลอของตน
“เอาล่ะไอ้หน้าจืด...ตอบคำถามของกูมาเสียดีๆ
อย่าให้กูมีน้ำโห”
บ๊วยเหลือบมองสองเจ้าพ่อที่ลอยเยื้องไปทางด้านหลังของกังฟูข้างละองค์
โดยในมือของเทวบุตรทั้งสองต่างถือป้ายไฟช่วยใบ้คำตอบกันอย่างแข็งขัน
ทีนี้ก็เหลือแค่เลือกว่าจะใช้ช๊อยส์ไหนรับมือกับพี่ชายของเก็กดีล่ะสินะ
“คระ
คระ ครับ” บ๊วยรับปากเมื่อเห็นกองหนุนศักดิ์สิทธิ์อยู่กันพร้อมหน้าอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
ไม่เท่านั้น...ฝ่ามือใหญ่ที่กุมมือของเขาอยู่ของเก็ก ก็ช่วยปลอบประโลมให้ชายกลางสงบลงได้มาก
“มึงเริ่มคบกับน้องกูมานานเท่าไร?”
กังฟูเริ่มประเด็นสำคัญให้คุ้มค่ากับเวลาอันจำกัด บ๊วยเลือกตอบตามความจริงโดยไม่พึ่งพาข้อความจากป้ายไฟของเทวบุตรองค์ใดทั้งสิ้น
“เมื่ออาทิตย์ที่แล้วครับ”
“รู้จักกันได้ยังไง?”
กังฟูหรี่ตาจับผิดจนบ๊วยเริ่มประหม่า
“เอ่อ...
คือ ผมรู้จักพี่หมีฝ่ายเดียวก่อนน่ะครับ
แล้วก็เป็นผมอีกเหมือนกัน...ที่เข้าไปจีบพี่หมีก่อน” บ๊วยบอกตามตรงโดยละเรื่องของเจ้าพ่อทั้งสองออกไปจนหมดสิ้น
“แล้วไอ้เหี้ยเก็กก็เสือกเล่นด้วยง่ายๆเสียอย่างนั้น...
มันง่ายไปเปล่าวะ?!...
.
...น้องกูแม่งประสาทกลับถึงขนาดหลับตาคว้ามึงมาเป็นแฟน
โดยไม่หลอนสะพรึงกับหนังหน้ามึงแม้แต่นิดเดียวเนี่ยะนะ?!!”
ชายร่างเล็กตวัดหางตาไปมองเก็กอย่างไม่พอใจที่อีกฝ่ายหักหาญน้ำใจของคนเป็นพี่แบบเขาด้วยการทำในสิ่งที่กังฟูเกลียดที่สุด
ก่อนจะร่ายยาวอีกชุดใส่หน้าบ๊วยอย่างเจ็บแสบ
“สารภาพมาซะดีๆว่ามึงแอบไปลงนะหน้าทองของอาจารย์สำนักไหน
ถึงได้กล้าเผยอตัวเล่นของสูงอย่างไม่เจียมบอดี้เหมือนไม่มีใครสั่งใครสอนแบบนี้?”
กังฟูปิดท้ายด้วยคำพูดหนักๆอีกระลอกโดยไม่เปิดโอกาสให้บ๊วยได้ชี้แจง “รู้ตัวใช่ไหมว่าหน้าตามึงน่ะมันธรรมดา
แบบว่าต่างกับไอ้เก็กน้องกูราวฟ้ากับเหว?“
“รู้ครับ”
บ๊วยยอมรับตามความเป็นจริง... ทำไมเขาจะไม่รู้ ก็เห็นกันอยู่ตำตาว่าคนธรรมดาๆในทุกๆด้านแบบเขาไม่คู่ควรกับเก็กมากแค่ไหน
“รู้ตัวก็ดี!!...
.
...ก่อนที่มึงจะถลำลึกจนน้องชายกูสึกหรอไปมากกว่านี้...
...กูขอเตือนมึงด้วยความหวังดีว่า
ถ้ามึงยังขืนดื้อด้านฝืนคบกับมันต่อไป...
...มึงได้โดนออร่าไอ้เก็กกลบจนกลายเป็นคนมืดมนหม่นหมองแน่ๆ
และบอกเลยว่า...กูไม่มีวันปล่อยมึงให้เสวยสุขกับมันง่ายๆ...
.
.
...เพราะฉะนั้น...
...กูขอสั่งให้มึงเลิกคบกับมันเสียตั้งแต่วันนี้
ถือเสียว่าทำเพื่ออนาคตอันสดใสของตัวมึงเอง...
...ปล่อยน้องกูให้ก้าวหน้าแบบที่ไม่มีมึงมาคอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งเสียดีๆเถอะ”
ฟังไปฟังมา...บ๊วยก็เริ่มสับสนว่า
สิ่งที่พี่ชายของเก็กพูดนั้น...มันเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของตัวเขา
หรืออดีตเดือนมหาลัยกันแน่?!
“ขอโทษครับเฮียฟู...
...ผมคงยอมเลิกกับพี่หมีตามที่เฮียฟูขอไม่ได้หรอกครับ
เพราะผมรักพี่หมีจริงๆ...
.
...สิ่งเดียวที่จะทำให้ผมตัดใจจากพี่หมีได้
คือการที่พี่หมีไม่มีใจให้กับผมอีกต่อไป...
...ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ...
...ต่อให้เฮียออกปากรั้งผมไว้
ผมก็จะไม่อยู่ให้พี่หมีระคายสายตาหรอกครับ”
บ๊วยเมินป้ายไฟแล้วตอบอีกฝ่ายตามความเป็นจริง ซึ่งชายหนุ่มตั้งใจจะให้มันเกิดขึ้นทันทีหลังจากที่เหล่าสมุนเลวและเจ้าพ่อทั้งสองช่วยกันคืนความรู้สึกรักให้กับเก็กได้สำเร็จ
“ไอ้หน้าจืด...
มึงคงคิดสินะว่าถ้ามึงไม่ยอมถอย คนอื่นก็ต้องยอมอ่อยให้มึง...
.
...หึ! มึงลืมไปหรือเปล่าว่ากูเป็นใคร?...
...กูคือผู้ปกครองที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของไอ้เก็ก...
...นั่นก็หมายความว่า...กูสามารถสั่งห้ามไม่ให้มันมาคบกับมึง
เพราะกูมีสิทธิจะทำอะไรกับน้องกูก็ได้แล้วแต่กูจะพอใจ” กังฟูเลือกใช้ไม้แข็งเมื่อเห็นสายตามุ่งมั่นไม่สั่นคลอน
และความแน่วแน่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆของอีกฝ่ายที่ทำให้กลยุทธไม้อ่อน ถูกไอ้เด็กบูบู้หักลงในชั่วพริบตา
“ถึงเฮียฟูจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพี่หมี...
...แต่เฮียฟูครับ...
พี่หมีก็มีหัวจิตหัวใจไม่ต่างจากเฮียฟูเลยสักนิด...
.
...ผมแน่ใจว่า
พี่หมีต้องเสียใจมากแน่ๆ ถ้าเฮียฟูทำร้ายพี่หมีด้วยการช่วงชิงความรักของพี่หมีไปแบบนี้”
บ๊วยตั้งใจชิ่งกระทบเรื่องพรของเจ้าพ่อไทรทองเพื่อเตือนสติรุ่นพี่
แต่กังฟูกลับเข้าใจไปว่า ชายกลางผู้นี้กำลังกระทบกระแทกแดกดันตัวเองแบบสุภาพค่าที่สอดแส่เข้ามากีดกันความรักของทั้งสองคน
“หึ
หึ ไอ้หน้าจืด มึงนี่ปากดีกว่าที่กูคิดไปหลายขุมเลยนะ...
.
...ไหนมึงบอกกูอีกทีซิว่า
มึงเป็นใคร?...
...กูจะให้เกียรติจำชื่อไอ้คนที่มันกล้าปะทะฝีปากกับกูเอาไว้
ก่อนที่กูจะกำจัดไปให้พ้นๆทาง” กังฟูตั้งใจฟังด้วยจะจดจำชื่อของไอ้เด็กบูบู้นี่ไปจนตายโทษฐานที่มันกล้าเข้ามาแลกกับเขาโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
“ผมชื่อบ๊วย
เรียนสถาปัตย์ปีสองครับ...
.
...เอ่อ...
...ผมไม่ได้เก่งกล้าสามารถอะไรนักหรอกครับ
ผมแค่รักพี่หมีมากๆเฉยๆ” บ๊วยพูดนิ่งๆ ถึงความจริงจะทำให้เขาเจ็บปวดมากก็เถอะ
“พอ
พอ! แค่ฟังมึงสองคนคุยกันกูก็จะอ้วกออกมาเป็นโรงงานน้ำตาลอยู่แล้ว
อย่าให้กูต้องเลี่ยนมากไปกว่านี้เลยเหอะ” กังฟูยกมือขึ้นห้าม
เขามีภูมิต้านทานความหวานของทั้งสองหนุ่มต่ำเตี้ยเรี่ยพื้นเป็นที่สุด ประมาณว่าได้ยินขึ้นมาเมื่อไร...ก็อยากจะใช้เท้าทั้งสองถองเข้าที่กลางลำตัวของน้องชาย
และไอ้เด็กบูบู้จนสะบั้นกลางแบ่งร่างเป็นสองท่อนให้รู้แล้วรู้รอด
“เอาล่ะไอ้บ๊วยสถาปัตย์ปีสอง...
...ถ้ามึงไม่ยอมเลิกกับน้องชายกูเสียตั้งแต่วันนี้...
...กูรับรองเลยว่า
กูจะทำให้ความรักของพวกมึงมีแต่คราบน้ำตาแบบที่หาความสุขไม่เจอ
จนกว่าพวกมึงจะยอมเลิกกัน...
...เพราะฉะนั้น
บอกกูมา...ว่ามึงยังจะดึงดันคบต่อ หรือถอยห่างไปรอคนอื่นที่ไร้การจดจำและจืดจางพอพอกับคนอย่างมึงมากกว่าน้องชายกู?”
รุ่นพี่ตัวเล็กชี้หน้าถามเด็กหน้าจืด ท่าที่คุกคามของกังฟูไม่ได้ทำให้บ๊วยหวั่นกลัวแต่อย่างใด
“ผมรักพี่หมีครับ
และผมจะไม่มีวันเลิกกับพี่หมีด้วยเหตุผลที่ไม่เกี่ยวกับหัวใจของเราสองคนแน่ๆครับเฮียฟู”
ระหว่างที่นั่งฟังบ๊วยทวนคำตอบเดิมๆอีกครั้งเป็นรอบที่เท่าไรก็ไม่รู้
คนตัวโตที่นั่งข้างๆก็แอบดีใจจนต้องกลั้ยยิ้ม
เพราะทุกๆคำตอบที่ได้ยิน...ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าพ่อทั้งสองเสนอให้บ๊วยใช้เป็นแนวทางในการตอบข้อสอบมหาโหดของเฮียฟู...
ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด
นั่นก็หมายความว่า...
คนตัวเล็กที่นั่งเคียงบ่าเคียงไหล่เผชิญหน้าเฮียฟูอย่างมั่นคงคนนี้
จะต้องมีความรู้สึกดีๆให้เขาจริงๆ...
ซึ่งสิ่งนี้
ทำให้อดีตเดือนมหาลัย เปิดดวงตาเพื่อมองคนธรรมดาๆคนนี้อย่างละเอียดละออเป็นครั้งแรกหลังจากปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปตั้งเกือบอาทิตย์
“หึ! แล้วกูกับมึงจะได้เห็นดีกัน!!!” กังฟูยังไม่ลดมือที่ชี้หน้าอีกฝ่ายลง...
ส่วนน้องชายผู้อาภัพ ก็ไม่อาจกำจัดความรู้สึกผะอืดผะอมและแสบร้อนกลางอกเพราะน้ำเปรี้ยวไหลย้อนกลับได้อีกต่อไป
“เบ๊บครับ...
ไหนเบ๊บเคยบอกบันยันว่า บ๊วยไม่อยากพูดจาประหลาดๆชวนเลี่ยนให้พี่ชายของนายเก็กฟังไม่ใช่เหรอครับ?...
.
...แล้วทำไมคราวนี้บ๊วยถึงพูดปร๋อไม่ต้องรอบทจากเราทั้งสองตนเลยล่ะ?”
เจ้าพ่อไทรทองถามความเห็นของเจ้าพ่อห่อไหล่ด้วยความสงสัยในจิตใจอันเกินหยั่งของมนุษย์หนุ่มที่ชื่อบ๊วยคนนี้
ทว่าโฮลี่ฮิปสเตอร์กลับเผยวาทะอันสลับซับซ้อนให้เทวบุตรสุดชิคได้ฟังแทน
“หึ
หึ... พวกมนุษย์ก็แบบนี้แหละ... ปากกับใจไม่ตรงกัน”
เจ้าพ่อห่อไหล่ส่ายหัวพลางเหลือบมองบ๊วยด้วยสายตายอมรับนับถือ
เห็นทีว่าพรที่ริบหรี่ในทีแรกของชายกลางผู้นี้...จะเป็นจริงได้ไม่ยากต่างจากที่องค์เทวบุตรเคยเข้าใจเมื่อได้อ่านคำบนบานของเด็กหนุ่มเสียแล้วสิ
“เบ๊บครับ
กระเช้าตู้นั้นว่าง เราไปนั่งสร้างประสบการณ์งานวัดด้วยกันสักรอบสองรอบจะดีไหมเอ่ย?”
เจ้าพ่อไทรทองชักชวนเจ้าพ่อห่อไหล่ด้วยทุกๆองค์ประกอบที่องค์เทวบุตรจะนึกออก
สายตาเว้าวอน
ท่าทางเจียมตัวกึ่งมุ่งหวัง และรอยยิ้มน้อยๆปิดท้ายคำพูดน่าฟังเมื่อครู่
ทำให้เจ้าพ่อห่อไหล่หายตัวไปนั่งรอเทพผู้ออกปากชักชวนในกระเช้าสีม่วงทันที
โดยที่เผลอคิดด้วยความสุขอยู่ในมโนสำนึกของตนเพียงลำพัง
‘หึ! เทวบุตรองค์นี้...ก็ปากตรงกับใจจนเป็นอันตรายต่อหัวใจของเราเสียเหลือเกิน...
.
.
...เจ้าเทวดาบ๊องเอ๊ย...
...บ้า
บ้า บ้า บ้า บันยันบ้าที่สุด!!’
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
ขอบคุณเนื้อเพลง:
Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ
No comments:
Post a Comment