ตอนใหม่มาแล้วค่ะ....
คำเตือน
: ตอนนี้ก็ยาวอีกแล้วนะคะ
ฮ่า ฮ่า ฮ่า
และในเมื่อตอนนี้เป็นตอนเลขสวย
เราเลยหนีบเอาอีกหนึ่งหนุ่มมาแนะนำกันเสียเลย
ไม่ต้องเดานะคะ...น้องอิ๊กนั่นเอง
และหลังจากนี้...น้องอิ๊กจะตามติดแกงค์แปดหนุ่มแบบไม่วางตาเชียวค่ะ
บ๊ะ! อะไรมันจะตัวละครเยอะแยะมากมายได้ขนาดนี้!!
อย่าเพิ่งเหนื่อยไปก่อนนะคะ
เด็กๆอยากให้อยู่ติดตามกันไปเรื่อยๆ
(จับเด็กชายทั้งหลายมายืนเข้าแถวเพื่อส่งสายตาให้ทุกท่านปิ๊งๆ
ฮ่า ฮ่า ฮ่า – กล้านะ!!)
หากรักชอบไม่ชอบอย่างไร
ติติงได้หน้าไมค์ได้เสมอค่ะ เราพร้อมรับฟังสุดๆ
รักคนอ่านทุกท่านนะคะ
Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ
The 13th
Blessing
Love Poker: Four Kings
[Sing a Song & Sing Along]
รักหน้าตายของชายทั้งสี่ [ภาคร้องแรกแหกกระเชอ]
|| เต๋อ ♠ แค่ยอมรับ||
“ขอมอบเพลงนี้ให้กับบูบู้...
.
...พี่หมีสัญญาครับ
ว่าพี่หมีจะดูแลบูบู้เป็นอย่างดีตลอดไป”
ก็เป็นคนธรรมดา...ไม่พิเศษ ก็เป็นคนที่เดินดิน...อย่างคนทั่วไป
ไม่ได้ดี เกินกว่าคนไหน มีแค่ใจดวงเดียวให้เธอ
เมื่อเสียงร้องของเก็กประสานกับท่วงทำนองคุ้นหูที่แผดออกจากลำโพงใกล้แตกแหล่ไม่แตกแหล่ของร้านลาบเจ้าดังข้างมอ
ผมก็ตวัดสายตาเหลือบขึ้นมองเสี้ยวหน้าเล็กๆของกังฟูที่นั่งฝั่งตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว...
อีกแล้วเหรอ?
นี่ผมกำลังเป็นห่วงความรู้สึกของคนตัวเล็กหน้าขาวนิสัยก้าวร้าวอย่างร้ายกาจคนนี้อีกแล้วน่ะเหรอ?
หรือที่มอง...เพราะต้องคอยเตรียมรับมือกับสถานการณ์รุนแรงส่งผลต่อจิตใจที่อาจจะเกิดขึ้นกันแน่นะ?
ขอสารภาพอย่างไม่อาย...
ตอนแรกที่รู้ว่ากังฟูกลายร่างเป็นหมาบ้าเพราะเห็นน้องมันกุ๊กกิ๊กกับน้องรหัสผมต่อหน้าต่อตา
ผมกลับแอบรู้สึกดีใจ
ที่ในโลกนี้ยังพอมีใครช่วยผมฉุดให้ชีวิตมันตกต่ำไร้ซึ่งความผาสุกเพิ่มขึ้นได้อีกตั้งสองคน
สำหรับผมแล้ว...
ไอ้เก็กน้องชายกังฟูเปรียบเหมือนพระมาโปรดโดยแท้...
เพราะตั้งแต่มันเปิดตัวว่าเป็นแฟนกับบ๊วย
ไอ้เก็กก็ขยันโชว์หวานเร่งน้ำตาลในกระแสเลือดคนรอบข้างให้พุ่งปรี๊ดไม่ได้ขาด
แน่นอน...ความสวีทหวานของพวกมันสองคน
ไม่ต่างอะไรกับการทำเชษฐฆาตเร่งเร้าให้กังฟูดิ้นพราดๆอยู่เนืองๆ
คนนอกครอบครัวอย่างผมเลยสบโอกาสได้ชื่นชมหน้าหงิกๆปากบึนๆของไอ้ตัวเล็กบ่อยจนหนำใจ
หึ! สงสัยการออดอ้อนบ๊วยตรงข้างสนามบอลต่อหน้าประชาชีไม่ต่ำกว่ายี่สิบคนเมื่อตอนเย็นจะยังไม่สาแก่ใจมัน
เพราะหลังจากพวกเราทั้งหมดยกขโยงกันมาเทกระจาดร้านลาบประจำของเด็กวิดวะได้เพียงไม่นาน
ไอ้เก็กก็กระโดดขึ้นไปยืนถือไมค์จังก้า
ปล่อยให้ไฟสีชมพูลามเลียใบหน้าหล่อๆของมันเล่นโดยไม่สนเสียงร้องห้ามปรามของใครทั้งสิ้น
และก่อนที่ใครจะรู้ว่าไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมหน้าเกลี้ยงต้องการอะไร...
มันก็หยอดประโยคหวานรถน้ำตาลแหกโค้งเพื่อเปิดโปงความในใจถึงน้องรหัสผมก่อนที่เสียงดนตรีแปร่งๆจะดังกลบทุกสิ่ง
ยัง! เท่านั้นยังเลี่ยนไม่พอ... พ่อคุณยังส่งสายตาหยาดเยิ้มลามเลียใบหน้าจืดๆของน้องรหัสผมตลอดเวลาที่มันแหกปากร้องเพลง...
เอากับไอ้เก็กมันสิ
เคยคิดจะถามมันหลายทีว่า
ไอ้บ๊วยน้องรหัสผม...มีอะไรชวนให้ติดใจจนต้องจ้องมองไม่วางตาได้ขนาดนั้น?!
ถ้าลองเปลี่ยนให้บ๊วยมันเป็นเจ้าของดวงตาคมกลมสวย
เสริมด้วยใบหน้าหวานๆที่รับกับผมหยักศกนุ่มๆหอมๆ...แบบที่คนตรงหน้าผมมีครบทุกประการ...ก็ว่าไปอย่าง
ดวงตาใสๆของกังฟูจับจ้องใบหน้าคนร้อง
สลับกับหน้าน้องรหัสผมราวกับกำลังแช่งชักหักกระดูก
ไม่ก็กำลังขอให้ตกลูกเป็นกระต่ายอะไรทำนองนั้น
หลังมือขาวๆที่โดนแสงจากเวทีอาบจนเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อนทั้งสองข้าง
กำแน่นเสียจนเริ่มสั่นน้อยๆ
ร่างเล็กๆในช็อปสีกรมท่าไหวไปมาตามแรงกระเพื่อมของทรวงอกระหว่างเจ้าของร่างถอนหายใจฟึดฟัดซ้ำๆอยู่หลายรอบ
ไม่ต้องให้ใครบอก
ผมก็รู้ว่ากังฟูกำลังโกรธสุดๆ...
และนั่นคือโอกาสทองที่ผมจะตอกย้ำความเจ็บปวดของอีกฝ่ายให้พุ่งทะยานทะลุจักรวาลแอนโดรเมดาไปเลย
“ไอ้เก็กนี่มันหล่อไม่พอ
ยังจะร้องเพลงเพราะอีกต่างหาก...
.
...มึงก็คิดอย่างนั้นเหมือนกูใช่ไหมบ๊วย?”
ผมขอความเห็นน้องรหัส...
มั่นใจว่าถ้าเอ่ยปากชมแฟนมันดังๆให้โลกได้รับรู้
บ๊วยจะต้องยินดีและหน้าบานเป็นจานเชิงแน่ๆ ที่สำคัญ...ไม่มีอะไรมันส์ไปกว่าการได้เห็นสายตาอาฆาตมาดร้ายฉายชัดออกมาจากดวงตาน่ามองคู่นั้น
พร้อมๆกันกับที่เจ้าของดวงตากลมโตจะหันมามองหน้า และสบตากับผมอีกครั้ง
“เอ่อ...ครั
น้องรหัสผมละล่ำละลัก
บ๊วยดูลังเลไม่รู้จะทำอย่างไรดีให้ถูกใจใครหลายๆคน...
ผมเข้าใจมันนะ...คนหนึ่งก็พี่ตัว
อีกคนหนึ่งก็พี่ผัว แล้วอย่างนี้จะหวังให้คนอ่อนโยนอย่างมันลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองและว่าที่สามีได้อย่างไร
แถมอีกฝ่ายยังเป็นถึงหัวหน้าพรรคมาร ลองว่ากังฟูไม่โปรดปรานเสียอย่าง...มันก็จะคอยหาทางซ้ำให้ช้ำในตายเร็วขึ้นเท่านั้น
“หุบปากไปเลยไอ้สัดเต๋อ
ถ้ามึงนั่งเงียบๆไม่ได้ ก็ไปแดกหญ้าหน้าร้านโน่นไป๊!!”
ดูสิ...ดู ดูแต่ละคำที่หลุดออกมาจากปากมันสิ
นี่ถ้าอยู่กันแค่สองคน...
มันคงโดนผมจับมานั่งตักแล้วหวดก้นกลมๆแบบเต็มรักไปหลายรอบแล้ว!
แต่ก็นั่นแหละ...
ถึงจะวาดหวังไปไกลสักแค่ไหน
แต่ผมก็คงลงมือทำอย่างที่ใจปรารถนาไม่ได้ในทันที...
กับคนดื้อด้านและถือตัวเป็นใหญ่อย่างกังฟู การลอกคราบเปลี่ยนจุดยืนเอาตอนปี่ที่สิบกว่าๆ...ทั้งๆที่ผ่านมาต่างก็คอยแต่หาเรื่องด่าพ่อล่อแม่กันจนติดเป็นนิสัย
คงทำให้อีกฝ่ายเผ่นแน่บหนีหายไม่ต่างจากเมื่อก่อนแน่ๆ
ผมจึงตั้งใจจะรักษาคอนเซปต์เดิมไปเรื่อยๆจนกว่าจะสบโอกาสเหมาะๆ
ไว้รอให้มันคุ้นเคยกับการมีผมอยู่ใกล้ๆจนขาดผมไม่ได้
รอให้ผมสามารถเรียกร้องความสนใจทั้งหมดของมันได้เมื่อไร...
ผมจะทำให้มันร้องไห้ครวญครางเวลาต้องอยู่ห่างผมให้ได้เลย...คอยดูสิ!
“แหม! อยากฟังเพลงที่น้องมึงร้องจีบน้องกูให้ถนัดๆก็บอกกันดีๆก็ได้...
.
...อ่ะ
อ่ะ...เดี๋ยวกูเงียบให้เดี๋ยวนี้เลยละกัน มึงจะได้เกาะชายกางเกงซาบซึ้งตามน้องกูสู่สรวงสวรรค์ขั้นเจ็ดไปอีกคน”
“พ่องตาย
ไอ้จัญไรหมาเต๋อ!!!” กังฟูชี้หน้าด่าผมโดยไม่คิดใส่ใจไอ้เก็กกับบ๊วยอีกต่อไป... ค่อยยังชั่ว บ๊วยมันจะได้พักหายใจหายคอจากการระรานของคนตัวเล็กเสียบ้าง
“จุ๊
จุ๊ จุ๊ จุ๊ จุ๊ จุ๊ ถ้ามึงนั่งเงียบไม่ได้
ก็ไปซ้อมกระโดดเตะให้ถึงยอดหญ้าหน้าร้านก็ได้นะ หึ หึ หึ”
“ไอ้!!!”
ก่อนริมฝีปากบางๆสีแดงสดของมันจะผรุสวาทออกมาสรรเสริญผมให้ชุ่มชื่นหัวใจอีกครั้ง
ด้วงมันก็ชิงหันไปกระซิบอะไรใส่หูฟูก็ไม่รู้...
จากนั้น
แทนที่กังฟูมันจะด่าผมปาวๆราวกับผมไปล้อชื่อป๊าม้ามันแบบที่มันชอบทำเป็นประจำ
มันกลับนั่งหน้าคว่ำส่งค้อนวงเบิ้มมาประเดิม...ตามด้วยจิกตาด่าผมเงียบๆจนไอ้เก็กร้องเพลงจบนั่นแหละ
ไม่อยากจะบอกเลยว่า
ผมล่ะชอบเหลือเกินเวลาที่กังฟูจ้องหน้าผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออย่างเช่นตอนนี้
เพราะในแววตาสุกใสติดประกายเคียดแค้นของมัน
จะมีผมนั่งอยู่ในนั้นแค่เพียงคนเดียว
พอเห็นสายตาแบบนี้ทีไร
ก็นึกอยากจะเถือลิ้นหัวใจแถมเพิ่มให้มันไปด้วยจริงๆ
ก็เป็นเพียงคนๆหนึ่งไม่เลิศเลอ แค่บังเอิญมาเจอเธอ
แต่ไม่รู้ทำไม
ยิ่งใกล้กัน...ก็ยิ่งหวั่นไหว อยากค้นใจเธอดูสักครั้ง
เมื่อนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในวัยเด็กของผมที่มีร่วมกับทั้งกังฟูและด้วง
แม้วันเวลาเหล่านั้นจะผันผ่านมาเกินสิบปี
ทว่าผมก็ยังจดจำช่วงเวลาสั้นๆที่ผมใช้มันร่วมกับฟูและไอ้หล่อได้โดยไม่ลืมเลือน
แน่ล่ะ...
เพราะกังฟูกับพดด้วงเป็นเพื่อนสองคนแรก และสองคนสุดท้ายในชีวิตที่ผ่านมาของผม
ด้วยหน้าตา
รูปร่างและทุกๆอย่างของเด็กชายตัวเล็กที่น่ารักยิ่งกว่าเด็กผู้หญิงหลายคน ทำให้ผมสนใจกังฟูตั้งแต่แรกเห็น
หลังจากที่ผมได้เห็นรอยยิ้มกว้างๆ
ตามด้วยเสียงหัวเราะร่วนแสนอร่อยของอีกฝ่ายหลายต่อหลายครั้ง
ทำให้ความรู้สึกประทับใจในวันแรกพบ
พัฒนาเป็นความชื่นชอบแบบไม่มีเหตุผล...ไม่มีจุดจบ ได้ในระยะเวลาอันสั้น
จวบจนวันนี้...
ก็ยังไม่มีรอยยิ้มและความสดใสของใคร ทำให้หัวใจผมสั่นไหวอย่างรุนแรงได้เท่ากับรอยยิ้มของกังฟูยามที่เจ้าตัวมีความสุขหาใดเปรียบ
ณ
เวลานั้น...
ความไร้เดียงสาทำให้ผมเผลอคิดไปเองว่า
ช่วงเวลาดีๆที่เจ้าของรอยยิ้มแสนวิเศษยืนเคียงข้างกายจะไม่มีวันสิ้นสุด
แต่แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องน้ำชายบ่ายวันหนึ่ง...กลับทำให้เรื่องทั้งหมดกลับตาลปัตรไปเสียสิ้น...
หลังจากเกิดเหตุสลดใจในห้องน้ำ...กังฟูกับพดด้วงไม่ยอมให้ผมเข้าใกล้อีกเลย
สายตาว่างเปล่าที่อีกฝ่ายใช้มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าทำให้ผมเจ็บปวดและเสียศูนย์
ผมไม่เข้าใจว่าอะไรคือสาเหตุที่เพื่อนตัวน้อยตัดสินใจปล่อยให้ผมหวนคืนสู่โลกอันอ้างว้างอีกครั้ง...
.
...ผมทำอะไรผิด??!!
หลังจากทนแบกความสงสัยเอาไว้กับตัวนานหลายวัน
ผมก็หยิบยกเรื่องค้างคาใจนี้ไปปรึกษาคุณพ่อคุณแม่เพื่อหาทางแก้ไข
พวกท่านได้แต่ปลอบใจว่า...
เรื่องทั้งหมดคงเป็นแค่การเข้าใจผิด
เพราะสิ่งที่ผมทำ
คือสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เด็กห้าขวบคนหนึ่งคิดจะทำได้
พอได้ฟังสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่บอก
ผมจึงเลือกปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านทั้งสองอย่างเคร่งครัด...
ผมยอมถอยห่างจากเพื่อนตัวน้อย
เพื่อเว้นระยะให้อีกฝ่ายได้คิดใหม่ทำใหม่
พร้อมกับนับถอยหลังเฝ้ารอเวลาที่กังฟูจะยอมเปิดโอกาสให้ผมได้สานไมตรีกับเขาอีกสักครั้ง
ทว่า...กระทั่งจบชั้นอนุบาลสาม
ความเปลี่ยนแปลงใดๆกลับไม่มีให้เห็น
เมื่อความอดทนของผมถึงคราวสิ้นสุด...
ก็ถึงจุดที่ผมตัดสินใจลงมือทำบางอย่างโดยปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือสิ่งอื่น
เวลานั้น...ผมอยากให้กังฟูหันมาสนใจผม
เหมือนกับที่ผมสนใจในตัวเขาอยู่ตลอดไม่มีวายวางว่างเว้น
สุดท้ายผมก็ได้คำตอบว่า...ในเมื่อการทำความดี ไม่อาจทำลายสายตาว่างเปล่าของกังฟูยามมองผมให้สาปสูญไปได้...
การทำเรื่องเลวร้ายต่อหน้าเพื่อนคนนี้
อาจทำให้ช่องว่างระหว่างเราที่มีอยู่นั้นลดลงได้บ้าง...ไม่มากก็น้อย
ทันทีที่ได้ข้อสรุป...
ผมก็เริ่มทำตัวเรียกร้องความสนใจของฟูด้วยการหาเรื่องทะเลาะกับอีกฝ่ายทุกครั้งที่เจอหน้ากัน
และนั่น
ทำให้ท่าทีของเพื่อนตัวน้อยเปลี่ยนแปลงไปได้ดังคาด...
.
.
จากความว่างเปล่าในสายตา
กลายมาเป็นแววตาวาวโรจน์ด้วยเชื้อเพลิงที่เรียกว่าความเกลียดชัง...
หากรักไม่ได้
ก็อาศัยความรังเกียจเดียดฉันท์ผลักดันให้อีกฝ่ายชายตามองเราบ้างก็ยังดี
หากบังเอิญ ถ้าเธอต้องการใคร
หากวันใดถ้าเธอนั้นอ่อนแอ
ให้ฉันดูแลเธอ รักเธอได้ไหม
ให้ฉันเป็นเพื่อนเธอ เมื่อเธอเหงาใจ
ไม่ต้องกลัว จะไม่ไปไหน
จะไม่ทำให้เธอเจ็บอีกเหมือนเคย จะดูแลอย่างดี
‘พี่เต๋อครับ...
วันนี้พี่เต๋อนึกยังไงถึงใส่เสื้อสีชมพูมาเตะบอลอ่ะครับ?’
‘กูไม่ได้นึกไง... กูรีบ กูเลยหยิบเสื้อตัวนี้ติดมือมา...
.
...ทำไม?...เสื้อสีชมพูของกูมันไปตัดเย็บสอยตะเข็บกันบนหัวบิดรมารดามึงหรือไงไอ้สัดแว่น? เดือดร้อนอะไรเนี่ยไอ้ห่า?!!’
‘เปล่าหรอกครับ...
ผมก็แค่นึกว่าพี่เต๋อใส่สีชมพูมาเป็นคู่กับคุณกรกฏเสียอีก เห็นชอบคุยกัน...
ผมเลยนึกว่านัดกันมา’
‘มึงนี่ก็มโนแจ่มเหลือเกิน...
.
...แล้วกูบอกมึงว่าไง...
กูให้มึงเล่นเป็นโกลใช่ไหม? แล้วมึงมายืนทำซากตีฝีปากฝอยอะไรอยู่ตรงนี้?...
...โน่น! ไปเป็นโกลเดี๋ยวนี้เลยมึง วิดวะแม่งจะเขี่ยลูกอยู่แล้ว
โกลยังโบ๋อยู่เลยเหี้ยแว่น!!’
‘อ้าว! แล้วพี่เต๋อจะแอบก้มดูเสื้อตัวเองแล้วยิ้มหาอะไรอยู่ล่ะครับ...
.
...อยากให้ผมเล่นเป็นผู้รักษาประตูให้
พี่ก็พาผมกลับไปส่งที่โกลสักทีสิ...
...แหม่! น้องสกลเผลอเป็นไม่ได้
อาศัยจังหวะมโนจังเลยนะครับพี่เต๋อ’
ตลอดสองสามวันมานี่...ผมไม่รู้ว่าผมเผลอตัวทำอะไรผิดสังเกตลงไปบ้างหรือเปล่า
แต่ผมรู้ว่า
พวกไอ้ฌานมันกำลังหวังบางอย่างจากตัวผมอยู่แน่ๆ
และแม้จะรู้แก่ใจว่าการที่พวกมันสามคนคอยมาล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ไม่ห่าง
ไม่ใช่เรื่องเดือดร้อนของตัวผมแต่อย่างใด...
หลักใหญ่ใจความแล้ว...ก็ไม่พ้นเรื่องของน้องรหัสผมทั้งนั้น
ถึงอย่างนั้น
ท้ายที่สุด...ผมก็ยังยอมให้พวกมันลากผมไปโน่นไปมานี่ตามตารางสวีทของไอ้เก็กกับบ๊วยโดยไม่เคยบ่น
จนเมื่อคืน...
ไม่รู้อะไรเข้าสิง ผมเกิดดันเสนอตัวบอกบ๊วยมันไปว่า
ผมจะเป็นไม้กันหมากระเป๋าให้ไปเห่าไกลๆเส้นทางรักของมันกับแฟนเอง
หรือเหตุผลที่ผมสมยอมโดนพวกมันทั้งสามสนตะพายแต่โดยดี
เป็นเพราะทุกครั้งที่ผมตามรอยน้องรหัสตามข่าวกรองที่พวกมันจงใจคาบมาบอก
ทำให้ผมได้เจอหน้ากังฟูอยู่ร่ำไป
ซึ่งนั่นช่วยให้ความรู้สึกทั้งหลายที่เคยถูกฝังกลบเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน
ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาใหม่...ทำให้หัวใจผมเต้นตูมตามด้วยความมีชีวิตชีวาได้อีกครั้งกันแน่?!
‘เต๋อ... นายคิดอะไรกับฟูกันแน่? ’
‘...นายจะไม่มีวันกลืนน้ำลายตัวเองเพื่อมาแย่งฟู...’
พอได้เห็นกังฟูอยู่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวกับไอ้เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อโดยไม่นึกต่อต้านอย่างที่มักจะทำกับใครคนอื่น...
อาการผมก็ยิ่งแปลกไปกันใหญ่...
.
.
...ไม่ชอบ...
...ไม่พอใจ...
...เออ! ยอมรับก็ได้ว่าหึงไอ้หล่อเพราะหวงไอ้ตัวเล็กอยู่ไม่น้อย
นี่สถานะของผมมันง่อยขนาดที่ว่าเดินเข้าไปตั๊นหน้าพดด้วงเพื่อแยกกังฟูออกมาไม่ได้เชียวหรือ?!
ภาพไอ้หล่อจูงมือฟูเดินห่างออกไปหลายต่อหลายครั้ง
ทำให้ผมถามตัวเองว่า...
ผมยังจะฝืนทำตัวตรงข้ามกับความต้องการของตัวเองได้อีกนานแค่ไหน?...
ผมจะทนดูพดด้วงหาเศษหาเลยกับเจ้าของเรือนร่างบอบบางน่าทนุถนอมนั่นโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดหัวใจได้อย่างไร?
หรือมันใกล้ถึงเวลาที่ตัวตนกักขฬะชั่วช้าที่ผมสร้างขึ้นเพื่อกันให้ทุกคนห่างออกไป
ด้วยต้องการหลีกเลี่ยงความเสียใจ และความผิดหวังจากเหตุการณ์ในวัยเยาว์ ควรถูกพร่าผลาญทำลายลงให้สิ้นซากเสียที?!...
.
.
.
.
เพื่อแลกกับการมีฟูอยู่ข้างๆ
โดยไม่ต้องทำตัวเหินห่วงจากอีกฝ่ายเป็นครั้งที่สอง
ผมจำต้องกล่าวคำอำลากับไอ้เต๋อขากรังบังหน้า
แล้วลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงบรรยากาศในการอยู่ร่วมกันกับกังฟูในเร็ววันแล้วใช่ไหม?!!
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
|| ด้วง ♦ ตัดสินใจ||
หากว่าเธอยังลังเลไม่แน่ใจ ก็ปล่อยให้มันเป็นไป ให้ตัวฉันได้พิสูจน์
ว่ารักเธอ...มากสักแค่ไหน โปรดไว้ใจฉันดูสักครั้ง
เสียงนุ่มๆฟังสบายๆของเก็กฝ่ากระแสความคิดอันเชี่ยวกรากเข้ามาในหัวผมไม่ได้สักกระผีกริ้น
ภาพเมื่อตอนเย็นก่อนบอลนัดอุ่นเครื่องระหว่างคณะผมกับคณะเต๋อจะเริ่มขึ้นยังฉายวนเป็นลูปอยู่ในหัว
เต๋อในชุดเสื้อยืดกางเกงบอลสีสดใสมาดักรอฟูเพื่อขอคุยเรื่องที่ผมไม่อาจจะรู้ได้
โชคยังดีที่พอมีหลืบให้ผมยืนแอบฟังแอบดูสองคนนั่นคุยกันได้โดยที่ผมไม่ลำบากนัก
“อ่ะนี่
โทรศัพท์กับกระเป๋าตังค์มึง”
ผมเห็นเต๋อยื่นกระเป๋าตังค์กับมือถือของฟูคืนให้เจ้าตัว...แล้วเต๋อไปเอาของสำคัญพวกนี้มาจากที่ไหน?
ปกติฟูไม่เคยสะเพร่าวางของส่วนตัวทิ้งเอาไว้เรี่ยราด ถ้าบอกว่าเป็นผมที่ลืมเอาไว้...ยังน่าเชื่อมากกว่าอีก
“อ้าว!
แล้วมันไปอยู่กับมึงได้ยังไง?
มึงขโมยไปเหรอไอ้จัญไรเต๋อ?”
เสียดาย...มุมที่ผมยืนอยู่นี่เห็นแต่แผ่นหลังของฟูเท่านั้น
ผมเลยไม่รู้ว่าฟูทำหน้าแบบไหนออกไปให้เต๋อเห็นบ้าง แต่ไอ้ที่กำลังยืนเท้าเอวชี้หน้าอีกฝ่ายอยู่เหยงๆนี่...คงไม่ได้ทำหน้าดีๆใส่เต๋อแน่ๆ
แปลกจริง...ทำไมเต๋อถึงยังยิ้มอยู่ได้?
“โห! นี่ถ้าไม่เห็นกับตา
กูนึกว่ามึงใช้ตูดสำรอกคำพูดออกมานะเนี่ยะไอ้เหี้ยเตี้ย...
.
...มึงพูดจากับผู้มีพระคุณต่อกระเป๋าตังค์และมือถือมึงแบบนี้น่ะเหรอ?...
...จิตใจมึงนี่มันโสมมเกินเยียวยาแล้วล่ะไอ้เตี้ยเอ๊ย!!!”
พักหลังๆ
พอได้ฟังคำที่เต๋อใช้ตอบโต้ฟู
ไม่รู้ทำไมผมกลับไม่เคยเชื่อว่า
คำด่าทั้งหลายของเต๋อไม่ได้มีความหมายตามนั้นเลยสักครั้ง
อย่างประโยคเมื่อครู่นี้...
ผมเข้าใจว่าเต๋อกำลังเฉไฉเพราะไม่อยากบอกที่มาที่ไปของกระเป๋าตังค์และมือถือของฟูอยู่แน่ๆ
คนของผมเองก็ไม่น้อยหน้ากัน...
ฟูไม่เคยเอะใจถึงเจตนารมณ์ที่อีกฝ่ายแอบซ่อนเอาไว้ภายในเสียบ้างเลย...
ชอบปล่อยให้สถานการณ์พัดพาให้ล่องลอยไปมากกว่าจะใช้เหตุผลคัดกรองอยู่เรื่อยล่ะคนนี้...
ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่า
ไม่ควรเสียเวลาต่อปากต่อคำกับเต๋อให้ยืดยาวแท้ๆ แต่ทำไมยังยืนแช่ให้เต๋อมองอยู่อย่างนั้นด้วยก็ไม่รู้
“โคตรลำเลิกเลยว่ะ
ดีนะมึงแค่เก็บกระเป๋าตังค์กับมือถือกูได้...
.
...ลองถ้ามึงเก็บของสำคัญกว่านี้
กูมิต้องกราบไหว้มึงเช้าเย็นแทนเกจิอาจารย์ทั้งหลายเลยเหรอไงวะเนี่ยะ...
...ทวงบุญคุณฉิบหาย ทำอย่างกะพวกไม่เคยทำความดีอย่างนั้นแหล่ะ”
ตั้งแต่เมื่อไรกันนะที่เต๋อไม่สะทกสะท้านกับการจวกแบบไม่ไว้หน้าของฟูอย่างที่เจ้าตัวกำลังทำอยู่ตอนนี้?!
เมื่อก่อนแค่เห็นหน้ากันผ่านตาเป็นไม่ได้...ไม่ใครก็ใครต้องโดนอีกฝ่ายสงเคราะห์กำปั้นมาประทับเพื่อช่วยให้นอนหลับสบายไปแล้ว
“ไอ้เหี้ยเตี้ยเอ๊ย!! ปากมึงนี่นะ”
“ทำไม?!! ปากกูนี่มันทำไม?”
เต๋อลอยหน้าลอยตาพลางตอบโต้ด้วยการทำท่าเหมือนจะเอาเรื่อง
เท่านั้นไม่พอ...ศัตรูหัวใจของผมยังโน้มตัวเข้าหาฟูเสียใกล้คล้ายๆกับต้องการจะขู่...
แต่คนตัวเล็กกว่ากลับไม่คิดจะหลบ
อีกนิดเดียวนี่ฟูคงโดนหัวกลมๆของเต๋อซบเข้าตรงหัวไหล่แล้วนะนั่น!!!
ผมเสียอีก ที่ยืนเดือดปุดๆเพราะต้องหักห้ามใจไม่ถลาผ่ากลางววงเข้าไปแทรกแซงแบ่งระยะให้กับทั้งคู่...
ฟูนะฟู
ไม่คิดจะหวงเนื้อหวงตัวหน่อยเหรอ?
“ก็ไม่ทำไมหรอก...
.
...กู...กู...กูแค่จะบอกว่า
ปากดีๆแบบนี้ ระวังจะโดนขยี้ด้วยปากเข้าสักวัน!”
พอพูดประโยคตะกุกตะกักผิดไปจากมาดกวนๆตามปกติจบ
เต๋อก็เดินยิ้มเรี่ยราดออกไป...
ค่อยยังชั่ว
ที่เต๋อไม่ทำอะไรรุ่มร่ามกับฟูอย่างที่ผมกังวล...
.
.
.
แต่ผมรู้สึกโล่งหัวอกได้ไม่ถึงครึ่งนาที
คนตัวเล็กผู้เป็นสุดที่รักก็ขยี้ใจผมเสียหักแตกแหลกลาญ
“แน่สิโว้ย! ต่อไปข้างหน้า กูก็ต้องจูบปากกับเมียกูอยู่แล้วล่ะ...
.
...อ่ะโด่!!... มีปัญญาด่าได้แค่นี้เองเหรอไอ้ไอ้สัดเต๋อ อ่อนว่ะ!”
ตั้งแต่จังหวะที่ฟูหมุนตัวกลับเพื่อเดินย้อนกลับไปที่อัฐจันทร์
สถานที่ๆเรานัดเจอกันทันทีที่ฟูปลีกตัวออกมากับเต๋อ...
บนใบหน้าขาวใสหมดจดสะกดสายตายิ่งกว่าใครๆของฟู
ปรากฏรอยยิ้มน้อยๆประดับแน่นตรงมุมปากแบบที่หากไม่สังเกตก็แทบมองไม่เห็น...
รอยยิ้มบางๆหากสว่างไสวแบบนั้น
คือเครื่องประดับดวงหน้าราคาแพงหูฉี่ที่เจ้าของมักจะยกขึ้นมาใช้ในยามถูกใจ
หรือ ประดักประเดิดด้วยความขวยเขิน ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา
อาการที่ว่า...เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก...
หลักๆแล้ว... รอยยิ้มแบบนั้นไม่เคยเกิดขึ้นเพราะตัวผม
ที่แย่ไปกว่านั้น ดูเหมือนว่า...ความเสียใจของผม จะยังไม่สิ้นสุด
หากบังเอิญ ถ้าเธอต้องการใคร
หากวันใดถ้าเธอนั้นอ่อนแอ
“ฟู... ไม่ลงไปให้กำลังใจเก็กหน่อยเหรอ?
น้องจะลงเตะแล้วนะ” หลังจากหย่อนก้นลงนั่งข้างๆกัน ผมก็หันไปถามฟูที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านอะไรบางอย่างในมือถือด้วยสีหน้าตั้งอกตั้งใจไม่ต่างจากตอนที่อีกฝ่ายอ่านหนังสือเตรียมสอบ
คนตอบไม่คิดแม้แต่จะชายตามองหน้าผมระหว่างส่งเสียงอธิบายอย่างขอไปที
“เออๆ เดี๋ยวๆ
ขอกูเช็คไลน์แป๊บนึง” เสียงของคนตัวเล็กเงียบไปครู่เดียว
แล้วจึงอุทานเอ่ยชื่อที่ผมไม่อยากได้ยินมากที่สุดในเวลานี้ “ไอ้เหี้ยเต๋อ!!“
“แม่ง แอดไลน์กูมา...
แล้วนี่แม่งเขียนห่าอะไรมาก็ไม่รู้ ปัญญาอ่อนว่ะ!...
.
.
...หึ หึ หึ” ฟูอ่านข้อความในหน้าจอสลับกับปรายตามองเต๋อที่ยืนก้มหน้ายิ้มกับมือถือตัวเองอยู่ข้างสนามทั้งๆที่เพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆกำลังอบอุ่นร่างกายกันอย่างเข้มแข็ง...แต่การกระทำของคนอื่น
กลับชวนให้เจ็บปวดรวดร้าวได้น้อยกว่าคนของผมที่อมยิ้มชอบใจ
แม้จะเพิ่งพูดใส่อารมณ์ผสมคำด่าใส่อีกฝ่ายไปหยกๆก็ตาม
“กาก!!... ไอ้ควายยยยย!!!” ปากเปล่งถ้อยคำผรุสวาท แต่มือกลับพิมพ์ข้อความโต้ตอบอีกฝ่ายยิกๆ
นี่ยังไม่นับดวงตาสุกใสผิดปกตินั่นอีกนะ...
...จะอะไรกันนักหนา...
...เมื่อกี๊นี้ยังคุยกันไม่จบไม่สิ้นอีกเหรอ?!
...ไหนบอกว่าจะไม่ยุ่งกับฟู?
ไอ้ที่ทำอยู่นี่หมายความว่าจะไม่รักษาคำพูดใช่ไหมเต๋อ?!!
“อ้าว!
แล้วทำไมเก็กถึงยังไม่ลงไปในสนามอีกล่ะ...
.
...อ๋อ!
เดินไปพาน้องบ๊วยมานั่งตรงม้านั่งตัวสำรองข้างๆสนามนี่เอง”
ผมเปรยลอยๆเพื่อดึงความสนใจของฟูออกจากหน้าจอมือถือ...และจากเต๋อ
“ไหน?!!! ไปด้วง!! ไปหาเรื่องไอ้หน้าจืดนั่นกัน” ฟูหันรีหันขวางมองหาเป้าหมายผู้เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คนของผมยังไม่ยอมกลับห้องไปตั้งแต่เลิกเรียน
เมื่อสายตาโกรธจัดของฟูจับพิกัดของร่างกะทัดรัดของน้องบ๊วยกับเก็กได้...ฝ่ามือนุ่มที่คุ้นเคยก็ยื่นมาคว้าแขนผมให้ออกเดินไปพร้อมๆกัน...
.
.
...ขอโทษด้วยนะน้องบ๊วยกับเก็ก...
...แต่พี่จำเป็นจริงๆ
ให้ฉันดูแลเธอ รักเธอได้ไหม
ให้ฉันเป็นเพื่อนเธอ เมื่อเธอเหงาใจ
ไม่ต้องกลัว จะไม่ไปไหน
จะไม่ทำให้เธอเจ็บอีกเหมือนเคย จะดูแลอย่างดี
เหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่ในเวลานี้
นับว่าดีกว่าเมื่อตอนเย็นเยอะ
เพราะเก็กขยันทำโน่นทำนี่ให้ฟูไม่มีกะจิตกะใจต่อปากต่อคำกับเต๋อที่ขยันแหย่ดีเหลือเกิน
ไม่ได้การล่ะ...ผมต้องรีบทำให้ฟูยอมรับน้องบ๊วยให้ได้เร็วที่สุด
ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งไหน หรือใช้วิธีใดก็ตาม
เพื่อที่ฟูจะได้เป็นของผมแค่คนเดียวเหมือนเมื่อก่อน...
.
เพื่อที่ฟูจะไม่ใจอ่อนกับคนอื่น...
แม้คนๆนั้นจะเป็นเต๋อ
ผู้ชายที่มีทุกอย่างเทียบเทียมกับผมได้ทุกกระเบียดก็เถอะ
Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ
|| ไทเก็ก ♥ อยากรัก||
“ผมขอร้องเพลงนี้ให้กับน้องชายผมบ้างก็แล้วกันครับ”
แม้จะเป็นเวทีเล็กๆในร้านลาบบ้านๆแถวตลาดข้างๆมอ
แต่การขึ้นไปยืนเด่นเป็นเป้าสายตาต่อหน้าคนไม่รู้จักมากมายไม่ใช่นิสัยของเฮียฟูเลยสักนิด
ถึงอย่างนั้น...เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง
ทำให้เฮียฟูยอมยกเว้นเงื่อนไขในการไม่แสดงตัวในที่สาธารณะจนได้
สายตาเกรี้ยวกราดราวกับอยากสาดกระสุนอาก้าใส่ใครสักคนให้พรุนไปทั้งร่าง
แบบที่เฮียฟูใช้มองผมกับคนตัวเล็กข้างๆกายระหว่างร้องเพลงซึ่งเฮียอุตส่าห์อุทิศให้ผมด้วยอารมณ์คุ้มคลั่ง
อารมณ์โมโหจนอยากจะฆ่าคนของเฮียฟูทำผมเสียวสันหลังวาบเป็นพักๆ
ผมรู้ดีว่าเฮียฟูต้องการจะสื่ออะไร...
ก็ผมเองนี่แหละที่เป็นคนทำให้เฮียฟูอารมณ์ขึ้นได้มากขนาดนี้
ทางใดที่เธอจะมีความสุขกับเขา
ทางนั้นจะมีฉันคอยกั้นกลาง
เธอเป็นดอกไม้ ฉันจะเป็นขวากหนาม
อ่ะโห!.. อินเนอร์จัดหนักจัดเต็มไปไหมเฮีย?!
ผมรู้สึกเหมือนโดนวิด
ไฮเปอร์กระหน่ำทุ่มรั้วลวดหนามทั้งแผงใส่หน้า ตามด้วยยิงปืนตะปูตอกใส่แขนขารัวๆอย่างไรอย่างนั้น...นี่ขนาดมาเป็นเพลง
ผมยังสัมผัสได้ถึงรั้วลวดหนาม กับเศษแก้วปากฉลามที่ใช้ริมกำแพงวางขึ้นมาตงิดๆ...
เฮียฟูแม่งเก่งเรื่องข่มขวัญจริงๆว่ะ
ยอมรับเลย
ทิ่มแทง ให้เขาต้องปวดใจ
ให้เขาทิ้งเธอไป ให้เขาไม่รักเธอ
หลังเหตุการณ์เทกระจาดสาดนมชมพู
ต้นเหตุทำให้พี่เต๋อพี่ด้วงอวดบ็อกเซอร์ท้าทายสายตาฝูงชนกลางโรงอาหารเมื่อเช้า
ก็เพิ่งจะมีช่วงเย็นวันนี้นี่แหละ
ที่ผมและเหล่าสมุนเลวทั้งหลายถือโอกาสรวมตัวแบบพร้อมหน้าอีกครั้ง
คิดไปคิดมา...ไอ้ช่วงเวลาที่เรื่องยุ่งเหยิงของการล้างพรเจ้าพ่อไทรทองเกิดขึ้นเนี่ยะ
ช่างเหมาะเจาะพอดีเสียนี่กระไร
เพราะตลอดทั้งอาทิตย์นี้ไปจนถึงสุดสัปดาห์หลังวันลอยกระทงที่จะมาถึงช่วงอาทิตย์หน้า
ประเพณีเชื่อมความสามัคคีที่จัดขึ้นเป็นพิเศษระหว่างคณะผมกับคณะบ๊วย จะช่วยบังคับให้เราสองคนได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น
โดยที่ผมและเหล่าสมุนไม่ต้องรวมหัวหาข้ออ้าง หรือสร้างโอกาสให้ดูพร่ำเพรื่อเกินพอดี...จะได้ไม่มีใครจับสังเกตความผิดปกติของผมได้
ก็นะ...ไอ้ที่คิดแบบนี้ขึ้นมาได้มันก็มีสาเหตุซ่อนอยู่น่ะแหละ...
ยอมรับตรงๆเลยว่า...
หลังจากวันแรกที่เริ่มเล่นเป็นแฟนกับบ๊วยเป็นต้นมา
ผมแม่งพยายามกล่อมตัวเองให้เชื่ออยู่ตลอดว่า
สิ่งที่ผมแสดงออกเวลาอยู่กับบ๊วยเป็นเพียงการแสดงบังหน้าเท่านั้น...
โดยเฉพาะเวลาที่บ๊วย
หรือใครๆถามถึงเหตุผลที่ผมทำโน่นทำนี่เกินกว่าเหตุไปเยอะมาก...ผมก็อาศัยความเชื่อลวงๆข้อนี้พ่นผ่านลมปากอออกมาอธิบายมันไปเสียเลย
ที่พยายามคิดแบบนี้
ไม่ใช่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรนะ... แต่เพราะแม่งเริ่มรู้สึกตัวมาได้สักพักแล้วต่างหาก
ผมเลยแอบหวังลึกๆว่า
ถ้าคิดแบบนี้เสีย...จิตคงจะสั่งกายให้เชื่อว่า ผมยังไม่หวั่นไหวกับใครนะเว่ย
ออกจะเฉยมากด้วยซ้ำ
ไอ้ที่เห็นว่ายิ้ม
ที่เห็นว่าหัวเราะ หรือแอบแต๊ะอั๋งร่างกายอีกฝ่ายทั้งหลายแหล่... เป็นแค่บทบาทสมมติ
แถมยังไม่มีสักครั้งที่ผมจะหาโอกาสเจอกับบ๊วยนอกเหนือไปจากแผนการที่ทุกคนเห็นชอบ...
แต่พอกลับจากดูหนังเรื่องแรกด้วยกันบ่ายวันนั้น...
ต่อมตอแหลของผมก็เสือกชำรุดจนควรชำแหละทิ้งไปให้พ้นๆ
เพราะยิ่งได้อยู่ด้วยกัน
ได้เห็นธาตุแท้ของอีกฝ่ายผ่านเหตุการณ์วุ่นวายครั้งแล้วครั้งเล่า ผมก็ไม่รู้สึกหนักใจที่ต้องใช้เวลากับบ๊วยสองต่อสองอีกเลย
ทำไปทำมา...พักหลังๆนี่ ผมก็ออกจะแฮปปี้ดี๊ด๊ามากกว่าปกติเสียด้วยซ้ำ
และก็อย่างที่รู้...พอผมรู้สึกระริกระรี้เป็นกระดี่ได้น้ำเพราะจะได้ใช้เวลากับบ๊วยขึ้นมาเมื่อไร
ร่างกายเฮงซวยแม่งก็ส่อแววสร้างความขายขี้หน้าให้กับเจ้าของร่างอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยอยู่เป็นระยะๆขึ้นมาทันที
ตัวอย่างน่ะเหรอ...หึ! มีสิ...มีแน่ล่ะ
ก็เมื่อเช้าตอนที่บ๊วยซ้อนมอเตอร์ไซค์ผมเป็นครั้งแรกนั่นปะไร...
จังหวะที่รถกระชากเพราะลูกระนาดแบบต่อเนื่อง
ทำให้คนตัวเล็กไหลตามแรงเขย่าโผเข้ามากอดแผ่นหลังผมเอาไว้เต็มๆ
ไอ้ความรู้สึกข้างในอกผมมันก็เต้นตึ๊กๆตั๊กๆจั๊กจี้หัวใจดีอยู่หรอกนะ
แต่ใจผมแม่งยังไม่ทันจะฟูฟ่องป่องโป่ง...
ผลข้างเคียงจากพรเจ้าพ่อไทรทองก็ทำงามหน้าอย่างเร็วรี่ไม่ปล่อยให้ได้โกงฟินสักนิดสักหน่อย
ตลอดทางตั้งแต่หน้าหอยันโรงอาหารกลาง
ผมนี่ต้องนั่งหลังตรงเกร็งง่ามตูดให้ดูดติดเบาะมอเตอร์ไซค์จนกลายเป็นเนื้อเดียว เพื่อกักกันเสียงคำรามก้องจากช่องแคบไม่ให้เล็ดลอดออกมาเปรี้ยวทำลายล้างโมเมนท์ซ้อนมอเตอร์ไซค์ครั้งแรกใต้ร่มเงาไม้ช่วงสายวันหนึ่งของสองเราได้
แล้วที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆระหว่างที่ผมเตะบอลนัดอุ่นเครื่องกับทีมสถาปัตย์เมื่อตอนเย็นนั่นก็อีกรอบหนึ่ง
แรกวางแผน...ผมกับบ๊วยตกลงกันเอาไว้ว่า
เมื่อไรที่ไม่ได้อยู่ลำพัง เราต้องแสดงออกทางความรักอย่างเต็มที่
โดยทั้งผมและเขาจะทำทุกอย่างด้วยกันให้เหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้มีชีวิตอยู่บนโลก
ซึ่งผมจะเพิ่มลูกเล่นและรายละเอียดเล็กๆน้อยๆอะไรก็ได้
เพื่อให้เรากลายเป็นคู่รักหวานชื่นจนน่าหมั่นไส้ไปในที่สุด...
แน่นอน...ไหนๆก็ได้สิทธิจัดการทุกอย่างได้เต็มที่ทั้งที
ผมเลยขานรับนโยบายแฟนฟรียี่สิบสี่ชั่วโมงด้วยความเต็มอกเต็มใจ
เย็นที่ผ่านมา
ผมขอให้บ๊วยย้ายมานั่งดูผมซ้อมบอลอยู่ตรงม้านั่งตัวสำรองข้างสนาม
เพื่อที่คนตัวเล็กยิ้มสวยจะได้ช่วยบริการน้ำท่าและผ้าเย็นให้กับนักฟุตบอลทั้งสองทีม...
เอาจริงๆ
ก็คือ ผมอยากให้บ๊วยคอยดูแลผมไม่ห่าง กับเผื่อแผ่ความอาทรให้เหล่าสมุนเลวทั้งสามและพี่เต๋อบ้าง...คนละนิดคนละหน่อย
โดยการกระทำเช่นนี้
มีผลพลอยได้เป็นการตอกย้ำความเชื่อของเฮียฟู พี่ด้วง และพี่เต๋อให้หนักแน่นสมจริง
และไม่ละทิ้งโอกาสงามในการบอกอ้อมๆให้ไอ้พวกแอบที่แฝงตัวมาเล่นบอลเพื่อหวังเคลมผมเลิกหวังลมๆแล้งๆกันเสียที
“พี่หมี...
เหนื่อยมากไหม? ดื่มน้ำหน่อยนะ” บ๊วยยืนมองหน้าผมระหว่างกระดกน้ำเย็นในขวดลงคอ สองมือนุ่มนั่นกำผ้าขนหนูสำหรับเช็ดหน้าเอาไว้แน่น...
คงจะกำลังหาจังหวะเหมาะๆส่งให้ผมเช็ดเหงื่อแหงๆ แต่ผมล่ะสงสัยจริง...ใจคอบ๊วยไม่อยากจะลองเช็ดหน้าให้ผมดูหน่อยเหรอ?
“บูบู้ครับ...
แสบตาจังเลยครับ เมื่อกี๊เหงื่อเข้าตาเค้าอ่ะ...
.
...บูบู้ซับเหงื่อออกให้หน่อยได้ไหมครับ”
ไวเท่าความคิด...ผมแม่งก็แกล้งมือด้วนเสียเดี๋ยวนั้น
แหม...ถ้ายอมรับว่าเช็ดหน้าเองได้
ผมจะหาโอกาสที่ไหนมาแอบมองเวลาบ๊วยยิ้มน้อยๆตรงมุมปากด้วยความเขินล่ะครับ อาการเขินจริงเขินจังแบบไม่มีการตั้งท่า
หรือดัดอวัยวะบนใบหน้ามาก่อนแบบที่บ๊วยเผลอทำต่อหน้าผมบ่อยๆน่ะ
ไม่ได้หาดูกันง่ายๆนะครับ...ขนาดว่าเคยเห็นกับตามาหลายทีแล้วอย่าผมนี่ ยังอยากมีโอกาสชื่นชมอยู่ตลอดเลยเหอะ
“พี่หมีก็ก้มหน้าลงมาสิครับ
เค้าจะได้เช็ดเหงื่ออกให้”
จนตอนนี้...คนพูดก็ยังไม่กล้าสู้หน้าผมอยู่ดี
แต่ผมก็ไม่ว่าอะไรเขาหรอกนะครับ
เพราะหูแดงๆยิ้มหวานๆของบ๊วยนี่ทำผมชอบใจมากจริงๆ
เคยเป็นกันไหมครับเวลาที่เรารู้สึกดีกับใครมากๆ
เรามักจะอยากแกล้งให้คนๆนั้นเสียอาการจนกู่ไม่กลับด้วยน้ำมือของเราเอง
ผมเป็นนะ...
ขนาดไม่สมประกอบด้านความรู้สึก
ผมยังอยากแกล้งบ๊วยเลย...
คิดดูแล้วกันว่าคนที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ได้ทั้งที่ร่างกายไม่เอื้อ
จะนิสัยน่ารักเหลือเชื่อขนาดไหน
“ได้ครับผม...
ใกล้ขนาดนี้พอไหมครับบูบู้?” ผมตั้งใจกดใบหน้าต่ำลงมาใกล้กับอีกฝ่ายให้มากที่สุด ซึ่งนั่นทำให้ผมได้จ้องตากับอีกฝ่ายแบบจะจะเสียที
และเพื่อไม่ให้บ๊วยหนีไปมองทางอื่น...ผมเลยต้องดักทางเอาไว้เสียหน่อย
“บูบู้เช็ดหน้าให้เค้าทีสิครับ
แสบตาไปหมดแล้ว” พอคนตัวเล็กที่มองผ้าขนหนูที่ซับลงบนหน้า สลับกับมองตาผมยิ้มไม่หุบ...ผมก็ปริ่มในอารมณ์ตามไปเสียเฉยๆ
แต่ร่างกายผมเสือกไม่ปล่อยเลยตามเลยไปเสียนี่
(เอิ๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกก!)
“...เอ่อ...”
บ๊วยดูจะตกใจไม่น้อย... ก็แหงล่ะ โดนผมเรอใส่หน้าไปเต็มๆ ไอ้ผมก็ทำหน้าไม่ถูกเพราะไม่เคยพลาดถึงขนาดนี้เลยสักครั้ง...ไอ้พรห่าเอ๊ย! ทีนี้ล่ะไม่เคยจะบอกกล่าวกันล่วงหน้าเลยนะแม่ง!!!
“โทษทีนะบูบู้
เค้าไม่ได้ตั้งใจ พอดีลมมันตีขึ้นมาจากท้องกะทันหัน...ไม่ทันได้กลั้นเอาไว้” ผมไม่มีคำแก้ตัวใดๆ
ก็เล่นจับได้คาหนังคาเขาเสียขนาดนี้แล้วนี่หว่า
“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่หมี...
เค้าแค่ตกใจนิดหน่อย แต่เรื่องพวกนี้มันเรื่องธรรมดา... ใครๆก็เป็นกัน
อย่าคิดมากไปเลยครับ” สีหน้าจริงจังของบ๊วยทำให้ผมเชื่อว่าเรื่องพวกนี้จิ๊บจ๊อยสำหรับเขา...แต่แน่หรือเปล่าวะ?
“บูบู้ไม่ว่าเค้าทำตัวน่าเกลียดเหรอ?
เรอเสียงดังออกเสียขนาดนี้” ผมแซะเพื่อความแน่ใจ... บางคนรับไม่ได้จริงๆถ้าแฟนเรอใส่หน้า
หรือแอบคว้าตดมาให้ดม...ผมล่ะแอบกลัวใจบ๊วยไม่ได้
“พี่หมีก็คนปกติ...
เรื่องพวกนี้มันก็ต้องมีอยู่แล้ว...
.
...เค้าเองก็เรอ
ก็ตด...ของแบบนี้ห้ามกันได้ที่ไหน...
...แต่พี่หมีไม่เป็นไรแน่นะ...เรอดังแบบนั้น
ลมในกระเพาะเยอะไปหรือเปล่าครับ? ปวดท้องหรือเปล่าฮึ?” ไม่ติดใจเรื่องที่ผมเรอนั่นไม่เท่าไร...แต่อะไรจะเปลี่ยนเรื่องมาเป็นห่วงสุขภาพผมต่อได้ทันควันแบบนี้นะ....นี่มันสุดยอดแฟนขนานแท้
ทั้งคอยเอาอกเอาใจ แถมยังเป็นห่วงเป็นใยแบบจัดหนักอีกต่างหาก...น่ารักว่ะ แฟนผม!
“เค้าโอเคครับ
บูบู้ล่ะ... ทำโน่นทำนี่ไม่หยุดเลย เหนื่อยไหม?” พอเห็นเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดซึมล้อมกรอบหน้าของอีกฝ่าย
ทำให้ผมอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ แต่แหม...ไอ้จะให้ถามแบบไม่ส่งมือส่งไม้
เดี๋ยวคนอื่นจะพาลตำหนิได้ว่ารักกันไม่สมจริง ผมเลยวาดหลังมือไปปาดเม็ดเหงื่อข้างแก้มบ๊วยทิ้ง
ก่อนจะเสยผมที่ปรกหน้าให้พ้นหูพ้นตาไปสักนิดสักหน่อย
“ไม่ครับ...สนุกออก
อีกอย่างก็ได้ช่วยดูพวกพี่เต๋อ แฝด แล้วก็สกลด้วย...
.
...นานๆจะเห็นพวกนั้นบ่นกระปอดกระแปดสักที...
ตลกดีครับ” คนตัวเล็กอมยิ้มอีกแล้ว...ที่ชอบแอบมองหน้าผมแล้วรีบหลบตานี่ท่าจะแก้ไม่หาย
อย่ากระนั้นเลย...จัดไปอีกสักดอกก็แล้วกัน...เขินบ่อยๆเข้า เดี๋ยวก็ชิน
“ขอบคุณนะบูบู้
บูบู้ของเค้าเนี่ยะดีที่หนึ่งเลย” ผมขยับเข้าใกล้แล้วใช้สายตาเกี้ยวอีกฝ่ายดื้อๆ ถ้าจะไม่หือไม่อือก็เกินไปแล้วล่ะ
ซึ่งปฏิกิริยาของบ๊วยก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังแต่อย่างใด
เพราะพอคนตัวเล็กประสานสายตากับผม เขาก็ส่งยิ้มชวนมองมาทำให้ใจผมสั่นได้อีกครั้ง
( ปุ๊ดปุ๊ดปุ๊ดปุ๊ดปุ๊ด ปู๊ดดดดดดดด! ปุ๋งงงง!! )
...งานงอกแล้วมึงไอ้เก็ก...
...ตดดังระรัวนัวยิ่งกว่าประทัดที่จุดหลังเผากงเต็กงานเช็งเม้งเสียอีกไอ้เหี้ย!!
“ไอ้เหี้ยต๊อบ
ตดดังขนาดนี้มึงไปขี้เลยดีกว่าไหมวะ?” ผมชิงป้ายความผิดให้เพื่อนสนิทในกลุ่มที่นั่งเอ๋อมองดินมองฟ้าอยู่ข้างๆหลังจากวิ่งพล่านไล่ล้วงบอลจากอีกฝ่ายไปทั่วสนาม
“ห๊ะ?! เมื่อกี๊กูตดเหรอ?” ต๊อบถามด้วยสีหน้าตกอกตกใจ...
ใช่สิ! มึงน่ะแหละตด มึงไม่รู้ตัวหน่อยเหรอ?! แต่ก่อนที่ต๊อบมันจะไหวตัวทัน
ผมก็หันกลับไปชิ่งบ๊วยเพื่อตัดไฟแต่ต้นลม
“เค้าไปก่อนนะ
เดี๋ยวพักรอบหน้าแล้วเค้าจะมาหาใหม่...พี่หมีจะยิงประตูเพื่อบูบู้ให้ได้เลยครับ” ผมรีบผละห่างจากบ๊วยโดยไม่คิดละล้าละลัง
ขืนยังยืนเต๊ะท่าเต๊าะอีกฝ่ายอยู่ตรงนี้ มีหวังผมได้อับอายขายขี้หน้าไปกันใหญ่ แต่ใครล่ะจะไปคิดว่า...อีกคนกลับไม่ให้ความร่วมมือกับผมเอาเสียเลย
“สู้ๆนะครับพี่หมี
เค้าจะคอยเชียร์ให้เต็มที่เลย!!” บ๊วยป้องปากตะโกนพลางโบกไม้โบกมือส่งกำลังใจให้ผมแบบออกนอกหน้า
แถมยังยิ้มน่ารักจนอยากจะถลาเข้าไปกอดให้ผลุบหายเข้าไปในแผงอกแบบสุดๆ...
จุดนี้ผมว่า
คนอื่นอาจมองไม่เห็นออร่าพลังโมเอ้สิบแปดบวกของบ๊วยอย่างที่เนตรเทพของผมจับภาพได้
ให้ตาย!..พอเห็นเนื้อทองของอีกฝ่ายอย่างถ่องแท้
ผมก็ได้ข้อสรุปว่า สายน่ารักหลบในที่ภายนอกเหมือนพ่อแม่ให้มาน้อยแบบบ๊วยนี่
เอาเข้าจริง...ยิ่งมองก็ยิ่งเย้ายวนชวนให้ถลำลึกเกินถอนตัวยิ่งกว่าพวกคิวท์บอยซึ่งซึ่งหน้าเป็นล้านเท่า
(ปู๊ดดดดดดดดดดดดดด!)
“ไอ้เหี้ยต๊อบ!! มึงบอกพี่โก้ให้เปลี่ยนตัวมึงออกไปขี้เถ๊อะ
กูลำบากใจว่ะ” ไอ้ต๊อบโดนผมลอบกัดไปอีกดอกหลังจากเสียงตดของผมถล่มสมาธิของเพื่อนร่วมทีมโดยถ้วนทั่ว
“ไอ้เหี้ยเก็ก...กูไม่ได้โต๊ดดดดดดดด!!” ไอ้ต๊อบร้องขอความเป็นธรรมด้วยน้ำเสียงโหยหวนชวนให้สงสาร
หน้าตาเพื่อนรักผมแม่งฟ้องว่ากูโดนใส่ร้ายสุดๆ... ซวยไปนะมึง เสือกมายืนเอ๋ออยู่ข้างกูพอดี
ในขณะที่แผนการของเราก็เริ่มจะราบรื่นและดำเนินไปในทิศทางที่พวกเราทั้งหมดตั้งใจกันเอาไว้
แต่อาการของผมกลับชักจะหนักข้อจนน่าเป็นห่วงมากขึ้นเรื่อยๆ...
แม้ใจจะอยากอยู่ใกล้
ทำความรู้จักกับบ๊วยให้มาก...
ถึงอย่างนั้น
ผมกลับดันไม่อยากให้เขารับรู้ว่าผมมีจุดอ่อนแบบไหนเพราะกลัวว่าคนตัวเล็กจะรับไม่ได้...
ยิ่งไปกว่านั้น
ผมว่ามันเสียสถาบันรุกชั้นดี...ที่ต้องมายอมเสียฟอร์มกับขายหน้าด้วยข้อด้วยที่ไม่ใช่นิสัยส่วนตัวต่อหน้าต่อตาคนที่ตัวเองสนใจ
แล้วอย่างนี้...ผมควรทำอย่างไร?
ผมยังจะเหลือหนทางหลอกล่อหัวใจและร่างกายตัวเองด้วยวิธีไหนอีกบ้าง?
ทำอย่างไรผมถึงจะได้เห็นหน้าบ๊วย...ได้เห็นรอยยิ้มทุกๆแบบของเขาไปทุกๆวัน
โดยที่ไม่ต้องหวั่นว่า อาการของผมจะทำให้บ๊วยหวาดกลัวจนไม่อยากเห็นหน้าผมไปเสียก่อนที่พรของเฮียฟูจะถูกทำลายไป?
บ๊วยจะรอผมได้ไหม...
รอให้พรทั้งหลายมลายสูญ เพื่อให้เราสองคนได้ทำความรู้จักกันใหม่จากจุดเริ่มต้นอีกครั้ง?
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
|| ฌอน ♣ ใคร่ครวญ||
“เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับตู้คาราโอเกะตู้ใหม่แห่งร้านลาบยโสโอหังของเจ๊พิณ...
...เจ๊ใหญ่ผู้มีพระคุณแก่กระเพาะน้อยๆของเด็กๆนักศึกษาขาประจำทั้งหลาย...
...รวมทั้งลูกค้าใหม่หล่อใสอย่างพวกผม
โดยไม่คิดแบ่งแยกการบริการตามสภาวะหนังหน้า...
.
...ตัวแทนนักศึกษาคณะโหราพยากรณ์ศาสตร์ทั้งโต๊ะด้านหน้าเวที
ขอร้องเพลงปิดการแสดงเป็นรายการสุดท้าย ณ บัดนี้” สกลวิ่งลงจากเวทีเพื่อมาเตรียมความพร้อมกับผมและพี่เต๋อ
เหยื่อสองคนที่โดนลากมาเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดที่เพิ่งเกิดขึ้นหลังจากเฮียฟูร้องเพลงจบไปเมื่อครู่
“เอาล่ะครับทุกคน
ก่อนอินโทรฯเพลงนี้จะขึ้น พวกเราจะต้องยืนหันหลังให้คนดูนะครับ...
.
...หลังจากนั้น...ก็วาดลวดลายเต็มที่ได้เลย”
สกลนัดแนะด้วยสีหน้าจริงจัง... นี่แว่นหวังอะไร? อยากได้รางวัลศิลปินน้องใหม่แลกลาบก้อย
อ่อมไก่ ไข่มดแดงเจียวฟรีตลอดปีงั้นเหรอ?
“นี่มึงคิดดีแล้วใช่ไหมไอ้แว่น
ที่ลากกูกับไอ้แฝดน้องมาร้องเพลงห่านี่?”
พี่เต๋อถึงกับลูบหนังหัวแกรกๆเล่นระหว่างจี้ถามแว่น หึ!...พี่เต๋อก็วอนดีแท้ มีหรือที่คนอย่างสกลจะยืนนิ่งๆให้ใครมาลูบคมง่ายๆ
“แหม่...
พี่เต๋อครับ พูดไปผมก็เหนื่อยเปล่า เรื่องแบบนี้คนไม่มีสมองไม่มีทางเข้าใจหรอกครับ”
“ไอ้สัดกล! ล่อหมัดกูสักดอกเอาไหม?” พี่เต๋อโวยวายเสียงดังอย่างกับคนไม่คุ้นเคย...
นี่ไม่ใช่แผลแรกที่แว่นมันฝากเอาไว้ตามตัวของพี่เสียหน่อย...พี่เต๋อก็ทำนอยด์ไปได้
พอเห็นท่าทางฟึดฟัดของรุ่นพี่ตรงหน้า...ผมเลยแอบปรายตามองพี่ชายแล้วส่งสัญญาณให้เข้าปรามสองคนนี่อีกทอด
“เถอะครับพี่เต๋อ...
ผมอยากดูพี่เต๋อเต้น” พี่ชายแตะเบาๆตรงหลังศอกของพี่เต๋อ... หึ! เข่าอ่อนอีกแล้วสินะ คนอะไรจะพลังวัตรต่ำขัดกับหน้าตาและขนาดตัวแบบนี้
เห็นทีไรก็อดตลกไม่ได้สักที
“มาถึงขั้นนี้แล้ว
ขึ้นๆไปเถอะครับพี่เต๋อ...อย่าลีลาไปเลย ถือซะว่าแบ่งๆกันอาย” ผมสรุป...
เรื่องอับอายน่ะช่างมันเถอะ ถ้าพวกผมไม่ช่วยกันแก้ไขสถานการณ์ให้กลับมาเป็นปกติ...บ๊วยนั่นแหละที่จะลำบากใจที่สุด
“เออๆ
พวกมึงนี่นะ” พี่รหัสของบ๊วยรับปากส่งๆ...
พี่เต๋อก็ใจดีแบบนี้ตลอดแหละ ยิ่งถ้าเรื่องไหนเกี่ยวกับความสุขของบ๊วยด้วยแล้ว
พี่เต๋อเป็นต้องยื่นมือเข้ามาช่วยตลอดทั้งๆที่ปกติแกก็ไม่ค่อยจะสุงสิงกับใครสักเท่าไร
แว่นเลยได้ทีข่มพี่เต๋อเสียเต็มคราบแบบนี้อย่างไรล่ะ...
“เย่! ผมเป็นบัวชมพูนะ
ส่วนพี่เต๋อก็...เป็นมดทรีจี แล้วก็ให้ฌอนเป็นพิม ซาซ่า” แว่นดูดีใจเป็นพิเศษที่ใครๆยอมเล่นด้วย...
.
.
...หรือจริงๆแล้ว
ไม่ใช่แค่พี่เต๋อที่แว่นชอบข่ม...
...ผมกับพี่ชาย
แว่นมันก็แอบหมายตาหาทางกดให้ต่ำกว่าเอาไว้ด้วยเหมือนกัน?!!
...ไม่อย่างนั้นมันจะสั่งให้ผมเป็นพิม
ซาซ่า แบบที่ไม่เหลือบมองหนังหน้ากันก่อนแบบนี้เหรอ?!!!
เอ...ว่าแต่
เรื่องมันดำเนินมาถึงจุดหักเหจุดนี้ได้ยังไงกันนะ?
ทำไมผมต้องมาโคฟเวอร์ป็อบแองเจิ้ลส์ตามแว่น
ที่เต้นแรงใส่อารมณ์เยอะยิ่งกว่าต้นฉบับอยู่แบบนี้ด้วย?
หรือเหตุการณ์พิลึกพิลั่นที่เกิดขึ้นในเวลานี้
จะมีจุดเริ่มต้นมาจากช่วงเย็นที่สนามกีฬากลางก็ไม่รู้....
รักเจ้าเอ๋ยได้ยินว่าดีกับหัวใจ เจ้าอยู่ไหนเหตุใดไม่เคยมาทักทาย
ฉันคนนี้ยังเหงายังเหงาที่หัวใจ อั๊ย...ยั๊ย...ยา
รักเจ้าเอ๋ยไม่เคยได้เจอเลยข้องใจ เขาคนไหนคนไหนจะนำความรักมา
เขาคนไหนจะคอยมามองและจ้องตา แล้วพาให้เคลิ้มไป
“พี่ฌาน...
เอาจริงเหรอครับ?” ผมจ้องหน้าแว่นในเวลานี้ด้วยความทึ่ง...นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่แว่นแสดงอาการกระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด...
แว่นนี่มันคงคอนเซปต์ดีจริงๆ จะให้ทำอะไรสกลเคยไม่ว่า...ยกเว้นเรื่องกีฬาและออกแรง
“ก็เออสิ
นี่พี่ฌานเอาชุดเรอัล มาดริดที่ซื้อไว้นานแล้วมาเปลี่ยนลงเล่นโดยเฉพาะเลยนะ”...พี่ชายก็อีกคน
สบโอกาสเป็นไม่ได้ ต้องหาทางเล่นสนุกเหมือนคนทั่วๆไปคล้ายจะกักตุนช่วงเวลาของคนธรรมดาๆเอาไว้ชื่นชมอย่างนั้นแหละ
“แต่พวกเราไม่เคยเตะบอลกันเลยสักครั้งไม่ใช่เหรอครับ?” แว่นยังไม่วายจะถาม...พี่ชายเดินนำหน้าเข้าไปวอร์มในสนามแบบนี้
ไม่มีทางปล่อยแว่นให้ลอยนวลได้หรอก... ว่าแล้วผมก็เดินตามไปวอร์มด้วยดีกว่า
ไม่ได้เตะบอลนานแล้วเหมือนกัน
“มาเลย...มา! พวกมึงไม่ต้องยึกยักเพิ่มค่าตัว...
.
.
...วินาทีนี้...ขอแค่ร่างกายครบสามสิบสอง
มีหูมีหัว...
...ต่อให้เตะลูกไม่โดน
ต่อบอลไม่ได้...ยังไงพวกมึงทั้งหลายก็ต้องลงเล่นทั้งหมด” พี่เต๋อรับหน้าที่ลงดาบสุดท้ายทำลายความหวังของสกลจนหมดสิ้น
และแว่นคงจะดิ้นไปไหนไม่รอด เพราะงานไหนๆของคณะ พี่เต๋อไม่เคยอาสา...แต่พอเป็นกีฬาเท่านั้นแหละ
แกออกหน้ารับไปเต็มๆ อืม...แต่ก็ดูสมกันดีกับร่างหมีๆของแกแหละ
“พี่เต๋อครับ...
ผมเกรงว่าผมจะทำให้พี่เต๋อผิดหวังเอาได้นะครับ” แว่นโน้มน้าว... หึ! เวลาปกติเห็นดีแต่ข่มพี่เต๋อ พอทีนี้ยังจะกล้าเพ้อว่าพี่แกจะยอมอ่อนข้อให้ง่ายๆ...ฝันไปเถอะแว่น
“เอาเหอะน่าไอ้สัดแว่น...
ถ้ากูมีตัวเลือกมากกว่านี้ กูคงไม่รบกวนพวกมึงหรอก...
...มึงสามตัวไม่ต้องทำห่าอะไรเลย
กูแค่อยากได้คนมายืนปักหลักสองมุมคอยคุมไม่ให้กองหน้าพวกมันบุกเข้ามายิงประตู...
.
.
...กูไม่ห้าม...หากพวกมึงจะใช้คาถาอาคมหรือเรียกผีสางที่ไหนมาร่วมเล่นด้วย...
...ขอแค่ไม่เฮงซวยเสียจนถวายไข่ให้พวกมันตีแตกไปก็พอ
เข้าใจไหมไอ้แฝด?” พี่ชายพยักหน้าหงึกหงัก...ท่าจะตื่นเต้นเอามากๆ หึ! ไม่อยากจะบอกเลยว่า เมื่อคืนพี่ชายนอนหลับคาหนังสือกติกาการเล่นฟุตบอลสำหรับมือใหม่อยู่เลย
แล้วจะหวังอะไรกับพี่ชายกัน
“พี่ฌาน...
ผมขอถอนตั...
“ไอ้สัดแว่น....มึงไปเฝ้าโกล!” พี่เต๋อไม่รอให้แว่นโยกโย้ซื้อเวลา
แกเดินกลับมาจากเส้นกลางสนามเพื่อมาตามเพื่อนหน้าแว่นของผมโดยเฉพาะ...
แถมยังให้เกียรติสกลอย่างที่สุดด้วยการกระชากคอเสื้อบอลของเพื่อนผมแล้วลากร่างผอมๆของแว่นติดมือไปที่โกลฝั่งทีมเรา
“พี่ฌานนนนนนนน! ช่วยผมด้วยยยยย...
ผมเตะบอลไม่เป็นนนนนนนนนนนน!!” ในเมื่อสู้แรงพี่เต๋อไม่ได้ แว่นเลยถือโอกาสแหกปากร้องโวยวายเหมือนควายถูกเชือดแทนการประท้วงที่พี่เต๋อบังคับให้ต้องเล่นบอลทั้งที่มันไม่เต็มใจ
เขาว่ารักเปรียบได้ตั้งหลายอย่าง ถ้าพบสักครั้งคงจะเข้าใจ
ว่ารักเหมือนดวงตะวัน หรือรักเหมือนจันทร์เฉิดฉาย
ฮู...วี...ฮู้...วี้...ยา
รักเจ้าเอ๋ยจะรู้บ้างไหมว่าฉันรอ ใครกันหนอจะหวานจะซึ้งให้ฉันสั่น
ใครกันหนอจะมากระซิบว่ารักกัน อ๊า...อี...ยา...อี...ยา
“ไหนพี่ฌานบอกว่า
จะสกัดกองหน้าวิดวะเอาไว้ให้หมดไงครับ...
.
...แล้วทำไมผมถึงโดนลูกบอลอัดจนช้ำแบบนี้ล่ะครับ?”
แว่นบ่นกระปอดกระแปดตลอดช่วงพักครึ่ง หน้าที่มันนี่เหนื่อยไม่ได้ครึ่งของคนอื่นที่วิ่งไปทั่วสนามเลยสักนิด
“สกล...
พี่ฌานว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาบ่นนะ” พี่ชายหันไปส่งสายตาปรามแว่นที่กำลังจะอ้าปากเถียง
แล้วบุ้ยใบ้ให้ทุกคนเหลียวไปมองขอบสนามอันเป็นจุดสุดท้ายที่พี่ชายเพิ่งละสายตาจากมา
ผมกับสกลแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองกับภาพที่เห็น...
...เก็กมันทำท่าออดอ้อนเพื่อนตัวเล็กของผมอยู่ตรงม้านั่งนักกีฬาฝั่งมัน
ทั้งๆที่ตรงนั้นไม่มีแม้เงาของเฮียฟูประกบอยู่ข้างๆ
หรืออดีตเดือนมหาลัยจะมีใจให้เพื่อนของผมแล้วอย่างที่พี่ชายบอกเมื่อเช้าจริงๆ?
แล้ว
‘คนๆนั้น’ล่ะ?!...คนที่เก็กบอกว่าจะกลับไปหาถ้าล้างพรได้
เก็กมันเอา ‘คนๆนั้น’ ของมันไปไว้ไหน?
“แผนพี่ฌานนี่ได้ผลจริงๆเลยครับ
ในที่สุดบ๊วยก็ได้ใช้เวลากับคุณธันวาอย่างคนรักกันเสียที” แว่นพูดด้วยความดีใจ...
ผมก็ดีใจกับบ๊วยอยู่หรอกนะ ถ้าไม่ติดว่ายังสลัดเรื่องเก็กกับ ‘คนๆนั้น’ของมันไม่หลุดจากสมอง
“แต่ถ้าพวกเราล้างพรของเจ้าพ่อไทรทองได้สำเร็จ...
.
...บ๊วยจะไม่เจ็บปวด
ที่ต้องเห็นเก็กมันกลับไปคบกับแฟนเก่าหรอกเหรอครับพี่ชาย” ผมอดถามออกมาไม่ได้...
ไม่รู้ทำไม ผมเป็นห่วงทั้งบ๊วย ทั้ง‘คนๆนั้น’ขึ้นมาตงิดๆ
“หึ! ไม่ต้องห่วงไปหรอกน้องชาย...
.
...พี่ชายเชื่อว่า...ถ้าใครได้ลองเปิดใจให้ชายกลางของเราโดยไม่สนใจเรื่องรูปกายภายนอกเมื่อไร...
...รายไหนรายนั้นเป็นต้องได้เห็นสเน่ห์และความน่ารักของบ๊วยมันแน่ๆ”
ที่พี่ชายพูดมามันก็ถูก... ถ้าผมไม่ติดใจใครอยู่
บ๊วยอาจจะไม่ต้องเหนื่อยกับการวิ่งไล่ตามเก็กอย่างทุกวันนี้ก็ได้...
ใครใช้ให้บ๊วยนิสัยน่ารักกลบหน้าตาแบบนี้ล่ะ
“แต่อีกฝ่ายที่เก็กทิ้งมาเพราะอิทธิฤทธิ์ของเจ้าพ่อไทรทอง
เป็นถึงแฟนที่คบกันมาตั้งหลายปีเลยนะครับ”
ผมยังไม่วางใจแม้จะรู้ว่าพี่ชายไม่ได้พูดลอยๆ
เพราะนอกจากความมั่นใจ...พลังจากการนั่งทางในทุกๆเช้า
คงทำให้พี่ชายเห็นอะไรได้ไกลกว่ามนุษย์ทั่วๆไปอย่างผมหรือแว่นอยู่แล้ว
“ไม่รู้สิ
บางอย่างบอกพี่ฌานว่า ไอ้เก็กมันน่าจะโอนเอียงมาทางเพื่อนเรามากเสียจนมันอาจจะเปลี่ยนใจตอนท้ายก็ได้นะ”
ถ้าลองว่าพี่ชายพูดแบบนี้ ความเป็นไปได้เรื่องที่เก็กจะกลับไปหา ‘คนๆนั้น’ หลังจากล้างพรเจ้าพ่อไทรทองสำเร็จคงใกล้กับศูนย์...
แสดงว่าผมก็มีโอกาสแล้วสิ!
“ถ้าพี่ฌานว่าอย่างนั้น
พวกเราก็มาช่วยทำให้บูบู้อยู่คู่กับพี่หมีไปตลอดกันเถอะครับ” ไม่บ่อยนักที่แว่นจะพูดจาน่าฟังแบบนี้
พี่ชายผมเลยตบรางวัลให้ด้วยการชมเชยแบบไม่เอ่ยคำหวานตามประสา
“หึ
หึ หึ... คิดดี พูดดีผิดกับสันดานมากเลยสกล” ...กับแว่นนี่ชอบแหย่เสียจริงๆ
เดี๋ยวแว่นมันก็เลียปากเอาอีกหรอก
“พี่ฌานก็คิดแผนได้แยบยลให้ผลดีผิดกับคุณธรรมประจำใจอันต่ำเตี้ยเรี่ยราดเหมือนกันน่ะแหละครับ
อะเหอ เหอ เหอ” ...ยังไม่ทันขาดคำแว่นมันก็เอาเชียว
เฮ่อ! สองคนนี้นี่นะ...
เอ....หรือจะลองบนเจ้าพ่อไทรทองให้ช่วยทำให้พี่ชายกับแว่นปรองดองกันได้เสียทีดีไหม?
แล้วใครจะกดใครกันล่ะเนี่ย?
หึ หึ... สกลในชุดผ้ากันเปื้อน กับ พี่ชายใส่หูกระต่าย...คิดภาพตามแล้วก็ตลกดีแฮะ
”พ่อฌอนขอรับ....พ่อฌอนขอรับ”
”หืม
ว่ายังไงครับพลาย? นมสตรอเบอรี่ที่ฌอนชวนกินไปเมื่อกี๊ไม่พอเหรอ?”
”ไม่ใช่อย่างนั้นดอกขอรับ...
พอเสร็จธุระแล้ว พ่อฌอนรีบออกไปด้านหน้าร้านนะขอรับ...พี่พลายมีเรื่องด่วนจะหารือด้วยขอรับ”
”ครับๆ
รอฌอนเดี๋ยวเดียวนะ”
หัวใจนี้อยากรู้อยากรู้
รักเอยรักเอยรักอยู่แห่งไหน
ฉันคนนี้อยากรู้อยากรู้
รักเอยอยู่หนใด
รักเอยอยู่หนใด รักเอยอยู่หนใด
พอเพลงจบผมก็รีบดิ่งออกมาสูดอากาศข้างนอกตามเสียงเรียกร้องของน้องพลายที่กวนผมยิกๆตั้งแต่พวกเรามาถึงร้านนี้ได้ไม่นาน
น้องพลายก็ดูจะอยู่ไม่สุขต่างไปจากทุกวัน... เทียวแต่ผลุบๆโผล่ๆหายตัวไปมาจนผมชักจะปวดหัวขึ้นมานิดๆ
แต่เพราะน้องพลายไม่เคยเป็นแบบนี้
ผมเลยชักใจไม่ค่อยดี...
ขอแอบออกมาพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่า
สิ่งที่ทำให้น้องพลายห่วงหน้าพะวงหลังมาตลอดสองชั่วโมงคืออะไรกันแน่
”พลายครับ...
ฌอนมาแล้ว พลายอยากได้อะไร?”
”โน่นๆ
ดูโน่นสิขอรับพ่อฌอน”
”ไหนครับ?”
”ตรงซุ้มนั่นน่ะขอรับ มีคนน่ารักนั่งอยู่...
.
...พี่พลายชอบคนๆนั้นขอรับ...แต่คนน่ารักกำลังร้องไห้...
...พี่พลายอยากเข้าไปปลอบคนน่ารักให้หายดีขอรับ”
”น่ารักขนาดนั้นเลยเหรอครับพลาย?
ยังมีคนน่ารักกว่า
‘คนๆนั้น’ ได้อีกเหรอครับ?”
”พ่อฌอนรีบๆเดินสิขอรับ
คนน่ารักร้องไห้ตาบวมไปหมดแล้วนะขอรับ”
”อ๊ะ!... เป็น ‘คนๆนั้น’ เองน่ะเหรอ?... โธ่คุณ...คุณจะร้องไห้ทำไม?”
”คนน่ารักเสียใจที่เห็นเก็กกับบ๊วยมีความสุขขอรับ”
”นั่นสินะ...
ก็รักกันมาตั้งนานออกเสียขนาดนั้น ร้องไห้อย่างนี้ก็แสดงว่ายังทำใจไม่ได้ใช่ไหม?...
.
...เฮ่อออ...ขอผมซื้อต่อได้ไหม...น้ำตาคุณน่ะ?”
”ถ้าพ่อฌอนจะยืนดูคนน่ารักร้องไห้อยู่เฉยๆโดยไม่กระทำการใดเพื่อแก้ไข...
ขอพี่พลายพูดคุยกับคนน่ารักได้ไหมขอรับ?”
”เดี๋ยวก่อนสิพลาย!...อย่า!!...
.
...อย่าเข้ามาใช้ร่างฌอนพร่ำเพรื่อแบบนี้สิ!!...
...โธ่เว้ย!! ทำไมต้องเดือดเนื้อร้อนใจแทน ‘คนๆนั้น’ จนโดนพลายขโมยร่างไปง่ายๆแบบนี้ด้วยนะ?!!”
ไม่ทันแล้ว...
น้องพลายบังคับตัวผมให้นั่งลงตรงที่ว่างข้างๆร่างเล็กๆ บอบบางกว่าผู้ชายทั่วๆไป...
เรือนร่างที่ผมเฝ้ามองอยู่ห่างๆมาตั้งแต่แรกเข้ามหาลัย
หากไม่เคยกล้าเข้าไปทำความรู้จัก
“คนน่ารัก...อย่าร้องไห้ไปเลยนะขอรับ
ถ้ามีอะไรให้พี่พลายช่วย...ได้โปรดบอกพี่พลายมาได้เลยนะขอรับ” ผมมองดูตัวเองที่อยู่ภายใต้คำสั่งและความต้องการของน้องพลาย...
พอได้เห็นสายตาตัวเองยามเฝ้ามองใบหน้าหวานๆชุ่มโชกไปด้วยน้ำตาจากมุมของคนนอกอย่างในตอนนี้
ผมก็รู้ได้ทันทีว่า...น้องพลายกับผมแพ้ทาง
‘คนน่ารัก’ ของน้องพลายเสียราบคาบ
”พลาย...พลายไปทักเขาแบบนี้ได้ยังไง?
เราสองคนไม่ได้สนิทกับเขาขนาดจะพูดจาเล่นหัวแบบนี้ได้นะ”
”พลาย! คืนร่างให้ฌอนเถอะ!!!”
“...ฮึก...
ฮึก.... นายเป็นบ้าเหรอไง? ใครอยากคุยกับนายกัน?” คนอะไร...กระทั่งเสียงสะอื้นยังน่ารักเลย
แล้วอย่างนี้ผมจะทนดูเขาร้องไห้อยู่เฉยๆได้อย่างไรกัน?!
”เห็นไหมพลาย...คนน่ารักไม่ได้อยากคุยกับเราสองคนเสียหน่อย
คืนร่างให้ฌอนได้แล้ว!!”
”คนน่ารักกำลังเสียใจ
ย่อมต้องมีอาการพูดจาไม่รู้เรื่องแบบนี้แหละขอรับ...
...พ่อฌอนอย่างเพิ่งถอดใจไปก่อนสิขอรับ”
“อย่าพูดจาทำร้ายจิตใจผู้อื่นแบบนี้สิขอรับ
ไม่น่ารักเลยนะ” น้องพลายยังไม่หยุด...
แต่พูดแบบนั้นมันใช้ได้ที่ไหนกันเล่าเจ้าน้องพลายนี่!!!
“ช่างสิ! ถึงทำตัวน่ารักไป
เก็กก็ไม่สนใจอยู่ดี...
.
...ไม่อย่างนั้นจะไปคว้าเด็กเต็กหน้าจืดคนนั้นมาเป็นแฟนได้เหรอ?...
...ไม่อยากเป็นคนน่ารักแล้ว
ฮึก...ฮึก...
...ไม่อยากเป็นแล้ว”
คนน่ารักของน้องพลายรำพึงรำพันด้วยความขัดใจ ... ผมรู้ เขาไม่ชอบหรอกที่ต้องทนเห็นคนรักเก่ามีความสุขกับแฟนใหม่
ขนาดผมไม่ได้เป็นอะไรกับเขา...ผมยังไม่ชอบใจเวลาเห็นเขามีความสุขตอนอยู่กับเก็กเลย
”พลาย!!!.. คืนร่างให้ฌอนเดี๋ยวนี้นะ!”
”พี่พลายทำไม่ได้หรอกขอรับ
เพราะพ่อฌอนเองก็กำลังเสียใจแทนคนน่ารัก ถ้าพี่พลายยอมปล่อยร่างคืนให้พ่อฌอน เดี๋ยวพ่อฌอนก็ได้กลายเป็นภาชนะให้วิญญาณตนอื่นกันพอดี”
“แต่ช้าแต่...เขาแห่ยายมา มาถึงศาลา เขาวางยาย....
”พลาย!.. ร้องเพลงแบบนั้น
คนน่ารักจะไม่คิดว่าฌอนเป็นบ้าไปแล้วเหรอ? คืนร่างให้ฌอนเถอะ ฌอนขอล่ะ!!!”
“บ้า! นายมันบ้า! พวกนายมันก็บ้าเหมือนกันไปหมดนั่นแหละ!!” คนน่ารักของน้องพลายวิ่งหนีไปแล้ว...
เขาวิ่งไปพร้อมๆกับหัวใจผมที่ผูกติดเข้ากับปลายเท้าของเขาเมื่อกี๊นี้เอง
”อ้าว!! คนน่ารักไปเสียแล้ว... ไม่ชอบที่พี่พลายปลอบเหรอ? ทำไมล่ะ?”
”เฮ่ออออออ
แล้วแบบนี้ฌอนจะไม่ดูเป็นคนบ้าในสายตา ‘คนๆนั้น’ ไปแล้วหรอกเหรอ?!”
”พ่อฌอนขอรับ
พ่อฌอนขอรับ... พี่พลายเสียใจเป็นหนักหนา พ่อฌอนช่วยกรุณาพาพี่พลายกลับเข้าไปหาพ่อฟูหน่อยได้ไหมขอรับ?”
”ได้ๆ
ถ้างั้นคืนร่างให้ฌอนก่อน เดี๋ยวฌอนจะพาเข้าไปหาพ่อฟูนะ”
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
|| ไทรทอง ᴖᴥᴖ จีบ||
ใครเลยจะรู้ว่า
เสียงหวีดเสียดหูของไมค์ยามที่หันหน้าใส่ลำโพงตามความเคยชินที่มนุษย์เข้าใจนั้น
ความเป็นจริงแล้ว
กลับมีข้อความซ่อนอยู่...ซึ่งผู้ฟังต้องเป็นผู้ที่มีหูทิพย์เท่านั้นถึงจะล่วงรู้ใจความที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้อย่างแนบเนียน
“เบ๊บครับ...
วันนี้บันยันครึ้มอกครึ้มใจจนอยากจะมอบเพลงๆหนึ่งให้เบ๊บได้รู้ความนัยที่บันยันแอบซ่อนเอาไว้มานมนาน...
...หวังว่าเบ๊บจะยินดีรับฟังเพลงๆนี้ด้วยความตั้งใจนะครับ”
“แม้บันยันจะร้องเพลงไม่เก่ง
แต่บันยันก็รักเบ๊บหมดหัวใจ...
.
...และความรักของบันยันที่พร้อมจะมอบให้เบ๊บ...ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากใจเบ๊บสักนิด...
...ขอแค่เบ๊บคิดจะเปิดกล่องที่เก็บซ่อนดวงใจเพื่อรับเอาหัวใจดวงน้อยๆของบันยันไปเก็บรวมกันเอาไว้กับใจเบ๊บ...
...เมื่อนั้น...รักของเราจะได้อยู่คู่กันตราบนิจนิรันดร์เสียที...
...รักเบ๊บครับ”
ทันทีที่เสียงแหลมสูงจนต้องเบ้หน้าเมื่อได้ฟังสงบลง
ก็ถึงคราวที่เพลงไทยเดิมเพลงหนึ่งดังลอดลำโพงกลบทุกสรรพเสียงที่เคยอื้ออึงให้ถึงคราวแน่นิ่ง
เดือดร้อนถึงเจ๊พิณและผู้เป็นสามีต้องเดินหน้าตื่นออกมาแก้ไขแผงควบคุมเครื่องดนตรีกันจ้าละหวั่น...
เพราะในร้านเจ๊นั้น
ไม่เคยบันทึกเพลงเก่าแบบนี้เก็บเอาไว้ใกล้มือเพื่อเปิดขับกล่อมลูกค้าเลยสักเพลง
แค่เพียงเสียงเพลงเริ่มเล่นไปได้ท่อนเดียว...
ลูกค้าโต๊ะอื่นที่ไม่ใช่โต๊ะของแปดหนุ่มก็วางเงินค่าอาหารทิ้งไว้
แล้วค่อยๆเดินหลบออกไปทีละโต๊ะสองโต๊ะอย่างช้าๆ
เนื่องจากไม่มีใครอธิบายเหตุการณ์เพลงสุนทราภรณ์เล่นเอง
จนบรรยากาศในร้านเริ่มวังเวง ก่อนจะนิ่งสนิทและเงียบสงบลงในชั่วพริบตาได้สักคน
ลองคิดดูซิว่าใครรัก หลงคุณหลงด้วยใจภักดิ์...ด้วยความรักคุกรุ่น
ใครเขาเฝ้ารักบูชาตัวคุณ
หวังได้แนบชิดไออุ่น...ก็คุณไม่รู้หรือไร
แอบมองคุณทุกวัน
ได้แลเห็นกันเพียงนิดก็พลันชื่นใจ
รักคุณ...รักจริงรักยิ่งกว่าใคร
เขารักดังดวงใจไม่เคยคิดไปไกลห่าง
ส่วนลูกสมุนทั้งห้า...กลับทำได้แค่มองหน้ากันไปมาด้วยสายตาเอือมๆ
จากนั้นจึงพร้อมใจกันหันไปโกหกสามหนุ่มรุ่นพี่เป็นเสียงเดียวกันว่า
ไม่มีใครได้ยินเสียงประหลาดที่คลับคล้ายคลับคลาเพลงไทยสมัยก่อนเลยสักคน
นั่นจึงกลายเป็นเหตุผลให้กังฟูนั่งสงบปากสงบคำและไม่ตอบโต้หรือหาเรื่องกับผู้ใด
จนทั้งหมดแยกย้ายกันกลับหอ...
.
.
...ไม่ใช่เพราะชายหนุ่มร่างเล็กไม่ได้ยิน
หรือเชื่อคำพูดที่ห้าหนุ่มยืนยัน...
...แต่เพราะเขากลัวจนตัวสั่น
จึงไม่อาจขยับปากด่าใครได้อีกเลยต่างหากล่ะ
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
ขอบคุณเนื้อเพลง:
Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ
No comments:
Post a Comment