เนื่องจากตอนนี้ยาวแบบไม่น่าให้อภัย
เราขออนุญาตหักแบ่งเป็นสองท่อนนะคะ
ภาคต่อของเหตุการณ์วันนี้จะมาอัพให้อ่านกันวันอังคารค่ะ...
ภาคต่อของเหตุการณ์วันนี้จะมาอัพให้อ่านกันวันอังคารค่ะ...
ไม่ต้องรอนาน
แต่ก็ได้อารมณ์คิดถึงนิดๆหน่อยๆ จะได้ตื่นเต้นกันเนอะ
ยินดีต้อนรับนักอ่านหน้าใหม่ด้วยนะคะ
และขอมอบความรักให้แก่นักอ่านขาประจำทุกท่านค่ะ...
ขอให้อ่านเรื่องนี้ด้วยความสุขนะคะ
^^
รักชอบประการใด...ฝากความเห็นเอาไว้ได้เลยค่ะ
Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
||ประวัติความเป็นมาของ||
||ประเพณีเชื่อมความสามัคคี||
||วิศวะ & สถาปัตย์ฯ||
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อนึกถึงบรรยากาศนอกห้องเรียนภายในรั้วมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่
เรื่องสามัญที่รู้โดยทั่วไปประการหนึ่งซึ่งพบได้เกือบทุกหนแห่งคงหนีไม่พ้น การที่นักศึกษาซึ่งสังกัดในคณะยอดนิยมอันเป็นแหล่งรวมมนุษย์เพศชายวัยกำดัดจำนวนมาก
มักจะหาโอกาสชิงดีชิงเด่นเหนือนักศึกษาชายคณะอื่นอยู่เสมอ ไล่มาตั้งแต่เรื่องขี้ผงจำพวกมองหน้าแล้วไม่ถูกชะตา
ลากยาวมาถึงออกล่าหญิงทับพื้นที่กันโดยไม่ได้นัดหมาย
สุดท้ายก็ลามไปกระทบความรู้สึกแบบอุปทานหมู่
หลังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกำชัยได้ครองถ้วยกีฬาบางประเภท
อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กต่างคณะเขม่นใส่กันอย่างไร้สติ
คู่กรณีลำดับต้นๆที่เราๆท่านๆต่างยินยอมพร้อมใจโหวตให้เป็นไม้เบื่อไม้เมาตลอดกาลปาวสาน
โดยไม่ต้องเปิดป้ายขอคำใบ้ และไม่ต้องโทรศัพท์หาใครๆเพื่อเป็นตัวช่วย ได้แก่...คณะทั้งสองแห่งผองสมุนเลวทั้งห้า...
สถาปัตย์ฯ และวิศวะนั่นเอง
แต่ด้วยความชาญฉลาดของผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งนี้
ซึ่งยกย่องความสามัคคีเป็นหนึ่งในคุณธรรมประจำสถาบัน ผู้ใหญ่ทั้งหลายจึงได้ระดมสมองของเหล่าคณาจารย์ประจำสองคณะ
มาร่วมกันหาแนวทางสกัดกั้นปัญหาไม่ลงรอยกันของเด็กๆในปกครองมาตั้งแต่ยุคเริ่มแรกแตกหน่อบ่มเพาะชื่อเสียงอันดีงามของมหาวิทยาลัย สุดท้าย...กุศโลบายที่หมายสร้างน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างเด็กๆแห่งสองคณะใหญ่
ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน
กับอีโก้ข้นคลั่กก็ปรากฏตัวในรูปประเพณีเชื่อมความสามัคคีที่จัดขึ้นเป็นพิเศษระหว่างคณะ
ซึ่งจะประกอบไปด้วยสามกิจกรรมย่อยอันมีจุดประสงค์ปลีกย่อยแตกต่างกันออกไป
โดยกิจกรรมย่อยทั้งสามที่จะถูกจัดขึ้นทุกๆปีนับตั้งแต่ยุคบุกเบิกมหาวิทยาลัยเมื่อเกือบเจ็ดสิบปีที่แล้วนั้น
จะมีขึ้นทุกๆสองเสาร์ – อาทิตย์ก่อน
และหลังวันลอยกระทง เพื่อไม่ให้กระทบต่อการเรียนการสอนของนักศึกษาและอาจารย์ ด้วยเงื่อนไขที่ว่า
เด็กๆทุกคน...ทุกชั้นปีผู้มีเกียร์และหน้าจั่วประทับอยู่ในสายเลือด
ต้องได้เป็นส่วนหนึ่งของทุกกิจกรรมย่อยที่จะเกิดขึ้นภายใต้ประเพณีอันแยบยลนี้ ได้แก่...
...วิ่งห้าขาสามคนอลวนพี่เต็กน้องเกียร์...
กิจกรรมเบิกฤกษ์ที่มุ่งหมายให้เด็กๆจากทั้งสองคณะได้มีโอกาสถักทอความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันแบบถ้วนทั่วทุกตัวคนจากระดับเล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
โดยสภานักศึกษาประจำมหาวิทยาลัยจะเป็นโต้โผใหญ่ผู้ให้การสนับสนุนด้านสันทนาการ
สวัสดิการ รวมไปถึงการเตรียมงานทั้งหมดตั้งแต่การแข่งวิ่งช่วงเช้า
ไปจนถึงคอนเสิร์ตสังสรรค์เป็นการภายในช่วงเย็นย่ำค่ำคืน ประมาณว่า...ขอแค่หายเมาขี้ตาแล้วเอาตัวมาร่วมเล่นเกมอย่างเต็มที่
ก็จะมีดนตรี อาหารว่าง
อาหารกลางวันและดินเนอร์มื้อใหญ่ปิดท้ายแถมให้เป็นรางวัลกันฟรีๆ
...ลอยกระทงสุขสันต์ วิดวะออกร้าน ‘ถาปัตย์บริบาลสุข...
กิจกรรมระดมทุนเข้าสโมสรประจำทุกๆคณะในวิทยาเขต
ซึ่งกรรมการพิเศษจากส่วนกลางจะนำตัวเลขเงินได้ของเฉพาะสองคณะนี้มาเป็นตัวชี้วัดความสร้างสรรค์และความร่วมแรงร่วมใจภายในทีม เนื่องจากทางมหาวิทยาลัยเปิดกว้างให้คนนอก
รวมทั้งเด็กๆจากสถาบันการศึกษาอื่นๆในละแวกใกล้เคียงได้มาร่วมสนุกกันอย่างพร้อมหน้า...
นับเป็นงานออกร้านคืนวันลอยกระทงที่ใหญ่โตและสนุกสนานที่สุดในย่านไกลปืนเที่ยงแห่งนี้เลยก็ว่าได้
...แข่งบอลแข่งวาสนานั้นไซร้ ไร้ถ้วยชะเอิงเอย...
กิจกรรมปิดท้ายในเย็นวันอาทิตย์หลังลอยกระทง
อันเป็นโอกาสให้เหล่าเด็กชายได้ระบายฮอร์โมนเพศพ่ออย่างถูกต้องและเหมาะสม
โดยผู้ชนะจะไม่ได้รับรางวัลใหญ่ใดๆกลับไป นอกจากความภูมิใจ น้ำใจนักกีฬา
ความสนุกสนานเฮฮาของแสตนเชียร์ กับพาเรดขำขันที่สองคณะจะจับประเด็นร้อนมาล้อเลียน
ชิงไหวชิงพริบตอบโต้ซึ่งกันและกันเรียกเสียงฮือฮาจากคนในสนามได้เป็นอย่างดี ซึ่งกิจกรรมนี้ได้รับความนิยมล้นหลามจากชาวโซเชี่ยล
รวมทั้งสปอนเซอร์เจ้าใหญ่ๆในประเทศทั้งหลายแหล่ที่แห่กันมาสนับสนุนในรูปของเม็ดเงินมหาศาล
ซึ่งกิจกรรมย่อยสองรายการสุดท้าย
ถูกใช้เป็นตัวเร่งให้นักศึกษาแต่ละคณะงัดเอาของดีที่มีติดตัวออกมาแสดงให้อีกฝ่ายได้ประจักษ์อย่างถูกที่ถูกเวลาภายในเวลาอันจำกัด
และนั่นจะนำพาความยอมรับนับถือจากก้นบึ้งของจิตใจมาสู่เด็กๆจากอีกคณะได้โดยไม่มีความรุนแรงแฝงอยู่...
เพราะระหว่างช่วงเตรียมงาน
เด็กทั้งสองคณะจะเหนื่อยและตายไปเองก่อนจะได้พะบู๊กับอีกฝ่าย
ที่อุตส่าห์เกริ่นมาเนิ่นนานบานเบือเสียขนาดนี้...
ก็เพื่อให้ทุกท่านเข้าใจตรงกันถึงเหตุการณ์ใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเหล่าสมุนเลวทั้งห้า
และรุ่นพี่ทั้งสาม...
ฌาน ฌอน สกล บ๊วย กังฟู และด้วง...หกขุนกระบี่ไร้น้ำใจผู้ไม่เคยอาสาสานต่อหรือรับผิดชอบหน้าที่ใดๆอย่างเป็นกิจลักษณะ
ทว่ากลับไม่มีมนุษย์หน้าไหนบังอาจใส่ไคล้ให้ร้ายหรือทำลายด้วยลมปาก
นั่นอาจเป็นเพราะ...ไม่มีใครกล้าท้าทายฤทธาอภินิหารของขั้วอำนาจไสยศาสตร์มนตร์ดำจัดหนักภายใต้การนำของฝาแฝดพี่ฌานน้องฌอน อีกทั้งยังไม่เคยมีใครหากังฟูกับด้วงเจอหากทั้งสองไม่ต้องเข้าเรียน
เรื่องราวที่จะสอดแทรกเข้ามาระหว่างช่วงเวลาอันหนักหน่วงของการล้างพรให้อดีตเดือนมหาลัย
ผู้ชดใช้และกู้ศักดิ์ศรีให้แก่คนเหนือดวงทั้งหกด้วยการเป็นศูนย์หน้าตัวจริงของทีมฟุตบอลวิศวะ
ปะทะกัปตันทีมฟุตบอลอันอ่อนเปลี้ยของสถาปัตย์ฯอย่างโอปป้าเต๋อผู้กรังนำแต่ไม่ล้ำหน้า
จะนำมาซึ่งผลลัพธ์และความวุ่นวายแบบไหน...
คงต้องรอให้กิจกรรมแรกอุบัติขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้เสียก่อนล่ะมั้ง
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
The 14th
Blessing
ห้าขาประเพณี...
เพื่อนพ้องน้องพี่สามัคคี (ตรงไหน?)
(( ประกาศครั้งที่หนึ่ง...
ขอให้สมาชิกของแต่ละทีมมาตั้งแถวตามลำดับที่จัดเอาไว้ให้
ภายในครึ่งชั่วโมง
หากใครเบี้ยวหนีกลับหอไปนอน
จะได้รับการโจษขานจนชั่วลูกชั่วหลานว่า
‘อ่อน’
จนไม่เหลือหน้าย้อนกลับมาเรียนถาปัตย์
เรียนวิดวะให้อับอายสายรหัสได้อีก
เพราะฉะนั้น...
พ่อแม่พี่น้องชาวเต็กเกียร์ที่รักทั้งหลาย
อย่าอู้ครับ รีบมาเข้าแถวรับกรรมกันเสียดีๆ!!))
“ไอ้เหี้ยเต๋อ...
ทำไมมึงถึงเจ๋อมาอยู่ทีมเดียวกับกูได้เนี่ยะ?...
.
...มึงติดสินบนทีมสันฯแล้วแอบโกงฉลากหรือยังไง?”
กังฟูแหวใส่หนุ่มร่างหมีที่มายืนเสนอหน้าข้างๆกันหลังจากประกาศจากส่วนกลางจบลง
การได้มาเจอหน้าอีกฝ่ายใกล้ๆทั้งที่ไม่ได้เตรียมใจมาก่อน
ทำให้หัวใจอ่อนๆของหนุ่มตัวเล็กสั่นสะท้าน
ก็จะอะไรล่ะถ้าไม่ใช่เพราะตั้งแต่วันที่ได้โทรศัพท์คืนจากเต๋อ
กังฟูก็เผลอติดกับแผนชวนทะเลาะหาเรื่องต่อล้อต่อเถียงของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัวอยู่หลายชั่วโมงต่อวัน
ไม่สิ
อธิบายแบบนั้นคงจะไม่ถูกต้องนัก...
จริงๆต้องบอกว่า...ทั้งคู่หาเรื่องด่ากันผ่านตัวอักษรตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นลืมตายันก่อนนอนเลยต่างหาก
พอต้องมาเจอหน้าอีกฝ่ายหลังจากขุดความทรงจำเมื่อครั้งที่ยังต่อยตีกันไม่ได้ขาดมาจาระไนจนไม่เหลือซาก
กังฟูก็เกิดรู้สึกกระดากจนเกือบจะเข้าหน้าเต๋อไม่ติด
แต่ดูเหมือนหนุ่มร่างหมีจะไม่คิดแบบเดียวกันกับพี่ชายตัวเล็กของอดีตเดือนมหาลัย...
“อ้าวไอ้เหี้ยเตี้ย
ไหงพูดจาหมาๆเที่ยวกล่าวหาคนอื่นแบบนั้นล่ะวะ?...
...ก่อนจะหน้าแหกเพราะเห่าไม่รู้เรื่องรู้ราว
มึงช่วยลดความง่าวแล้วเบิ่งตาดูฉลากในมือกูเสียหน่อยดีไหม?...
.
.
...เป็นยังไง?...ชัดไหม?...
ห้าห้าสาม...
...หมายเลขอัปยศที่นำพาให้กูต้องมาเจอหน้าไอ้เตี้ยสุดทรามอย่างมึง
ทั้งๆที่กูไม่ได้รู้เรื่องห่าอะไรเลย” เต๋อที่วันนี้ใส่หมวกแก็ปปิดใบหน้าหล่อเหลาไปครึ่งหนึ่ง
ยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆที่มีตัวเลขเหมือนเลขสามตัวในฉลากของกังฟูเป๊ะๆให้อีกฝ่ายดู
แม้จะสบายอุราและเริงร่าเป็นพิเศษเมื่อพบว่า
ผู้ที่มายืนคอยท่าเขาอยู่ตรงจุดตั้งแถวใกล้ๆกับบริเวณปล่อยตัวนั้น
เป็นหนุ่มร่างเล็กที่เขาคอยหาโอกาสแกล้งให้โมโหผ่านตัวประโยคยอกย้อนค่อนแคะตลอดช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอหน้ากัน...
แต่ความหึงหวงกลับมีอานุภาพรุนแรงยิ่งกว่าความคิดถึงหลายเท่าตัว...
ระหว่างลอบชื่นชมใบหน้าเหลอหลาจนน่าเอ็นดูของคู่อริตลอดกาล
หนุ่มร่างหนาก็ยืนกอดอกปั้นหน้าถมึงทึงประหนึ่งยักษ์วัดแจ้ง แล้วจัดแจงส่งสายตาอาฆาตแค้นให้กับไอ้ตัวผู้ที่แอบดูคนตัวเล็กผิวขาวโอโม่หน้าตาโมเอ้ข้างๆอย่างไม่กลัวตาย...
นี่ถ้าเขาเผาไอ้พวกขี้เสือกรนหาที่ให้กลายเป็นจุณด้วยดวงตาได้
สถิติของคนตายคงเลยครึ่งของผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดไปแล้ว
“ซวยฉิบหาย...
.
...ลำพังไอ้เหี้ยเต๋อหน้าแก่ก็ทำกูก็แทบจะกระอักเลือดตายด้วยความอับอายเต็มที่แล้ว...
...ถ้าไอ้ตัวที่เหลือยังจะเป็นเด็กเต็ก...กูต้องได้ไปไหว้พระเก้าวัดเก้าจังหวัดเพื่อล้างเสนียดจัญไรให้พ้นตัวแหงๆ!!”กังฟูแสร้งแดกดันคนร่างหมีที่กระชับพื้นที่เข้าหาตัวเองมากขึ้นทีละนิด
จังหวะนี้...เต๋อคิดจะสร้างแลนด์มาร์กขับไล่ไอ้พวกเดนตายจากสายตาประหัตประหารเมื่อครู่ของเจ้าตัวไปให้พ้นหน้าโดยเด็ดขาด
เรื่องน่าแปลกก็คือ
นอกจากพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยจะไม่กระถดตัวหนีอีกฝ่ายไปไหน
ชายหนุ่มยังทำเฉไฉหันไปถามเพื่อนรักที่ยืนประกบอยู่อีกข้างโดยไม่คิดขัดขวางความตั้งใจของร่างสูง
ซึ่งตอนนี้โผล่มายืนซ้อนแนบชิดแผ่นหลังของตนจนสัมผัสได้ถึงไอร้อน และกลิ่นอาฟเตอร์เชฟอ่อนๆจากเรือนกายของอีกฝ่าย
“ด้วง!! มึงได้เลขอะไร?” คนถามยื่นหน้าไปส่องฉลากของเพื่อนรักที่ยืนหน้าหมองเหมือนคนท้องร่วงมาทั้งคืน
“เราได้ลำดับที่ห้าห้าสี่น่ะ
พลาดไปแค่เลขเดียวเอง... น่าเสียดายจัง”
อารามกลุ้มใจ...หนุ่มผมยาวจึงไม่ทันได้สังเกตความผิดปกติของตำแหน่งการยืนของเต๋อ
ด้วงเหวอไปไม่น้อยเมื่อสัญลักษณ์บอกจำนวนในฉลาก
คลาดจากเลขสามตัวของกังฟูไปแค่เพียงตัวเดียว...
.
.
ไม่จริงหรอก
ต่อให้เป็นเลขอื่น ชายหนุ่มผมยาวก็ช็อคอยู่ดี...
เพราะความฝันขั้นเลวสุดกำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาทั้งที่ยังลืมตากลางแดดอ่อนๆตอนเช้าตรู่แท้ๆ
กล่าวคือ...แทนที่จะได้แยกกังฟูออกจากเต๋ออย่างที่หมายมั่นเอาไว้
แต่เบอร์ที่ศัตรูหัวใจจับได้
ดันเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายทำทุกๆกิจกรรมร่วมกับกังฟูตลอดทั้งวัน
ถึงอย่างนั้น
ความอนาทรร้อนใจของด้วง...กลับไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคนทั้งโลก รวมไปถึงคนเหนือโลกอย่างสกล
คนเห็นผี
ที่ดูจะกระดี๊กระด๊าออกนอกหน้า
ตั้งแต่รู้ว่าสมาชิกผู้ร่วมทีมวิ่งห้าขาสามัคคีมีใครบ้าง
“จะเสียดายทำไมครับคุณพี่ด้วง...
...ผมว่าการที่คุณพี่ด้วงได้ร่วมทีมกับพวกผมเป็นเรื่องดีมากกว่าน่าเสียดายนะครับ...
...เพราะโอกาสที่คุณพี่ด้วงจะได้สัมผัสตัวตนของน้องสกลและพี่ฌานผู้หาญกล้าบารมีเหนือผืนนภาจรดโลกบาดาลอย่างใกล้ชิดแบบนี้
คงไม่มีตกลงมาใส่หน้าคุณพี่ด้วงบ่อยนัก...
.
...คุณพี่ด้วงคงจะยังไม่รู้สินะครับว่า
พ่อค้าของแปลกในสวนจตุจักรยังเคยคิดจะมาจับตัวพี่ฌานไปขายทอดต่อให้พิพิธภัณฑ์ริปลียส์เพื่อจัดแสดงมาแล้ว...เห็นไหมครับว่าพี่ฌานของผมนี่เพ็ดดีกรีระดับพรีเมี่ยมแค่ไหน”
สกลคุยโอ่ด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ผิดกับหน้านิ่งบ่งความรู้สึกไม่ได้ของแฝดพี่ผู้เสียหายที่ถูกพาดพิงในทางเสียๆหายๆ
“ที่พูดมานี่สรรเสริญพี่ฌานแน่ใช่ไหมครับ?...
.
...แล้วเพ็ดดีกรีนี่มันยังไง?...
...ถ้าไม่รีบตาย
รบกวนระวังคำพูดหน่อยนะครับแว่น” ฌานปรามเพื่อนหน้าแว่นแบบไม่จริงจังนัก
เนื่องจากชายหนุ่มกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศโดยรอบที่คึกคักเหลือกำลัง
ปีที่แล้วขณะที่ยังเป็นเฟรชชี่...แฝดพี่กลับต้องพลาดการร่วมเล่นเกมๆนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
หลังจากเด็กวิศวะที่จับฉลากได้เลขเดียวกับแฝดพี่ทั้งสองหน่อ
พร้อมใจกันกระโดดลงบ่อหน้ามหาลัย แล้วว่ายน้ำหายลับไปแบบไร้ร่องรอย... ชะรอยจะเป็นเพราะออร่าสยบมวลมนุษย์ให้หมอบกราบของชายหนุ่มผู้นี้แน่ทีเดียว
กลับกัน...แม้จะถูกแฝดพี่ติติงซึ่งซึ่งหน้า
แต่พ่อมหาฯกลับไม่นึกติดใจใส่อารมณ์อย่างทุกครั้ง
หนุ่มแว่นเว้นวรรคการเปล่างวาจาเพื่อสูดลมหายใจครู่หนึ่ง
แล้วจึงเอ่ยเสียงดังด้วยความผยองพองขนจนน่าถีบ
“เมื่อวิเคราะห์ดูหน่วยก้านของเราทั้งสามคนอย่างถี่ถ้วนแล้ว
น้องสกลบอกคุณพี่ด้วงได้เลยว่า...
.
...ห้าห้าสี่ของพวกเราจะต้องคว้าอันดับต้นๆของการแข่งขันครั้งนี้มาครอบครองได้แน่ๆ
อ่ะเหอ เหอ เหอ”
ด้วยเชื่อมั่นในศักยภาพของเพื่อนร่วมทีมทั้งสองที่จะร่วมทำการแข่งขันวิ่งห้าขาในปีนี้อย่างเต็มเปี่ยม
สกลจึงกล้าลุกขึ้นมาสลัดคราบพ่อมหาฯหน้าแว่นผู้สงบเสงี่ยม
เพื่อเตรียมสยายปีกผงาดกว้างอย่างไม่เห็นหัวผู้ใด
ความลำพองใจทำให้สกลเบ่งอกไก่แฟ่บๆ
กู่ก้องประกาศศักดาและท้าทายผู้ร่วมแข่งขันทีมอื่นๆกลายๆไปเมื่อครู่
ซึ่งจะว่าไป
ไอ้ท่าทางเหมือนเด็กผู้ชายท้าแข่งเยี่ยวไกลอวดกันแบบที่สกลทำอยู่นี่ ควรปล่อยให้ผ่านสายตาไปร้อยลี้พันลี้
มากกว่าจะเก็บเอามาใส่ใจให้รกสมอง... เว้นแต่คนที่ตอบสนอง
จะมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ไม่หนีจากผู้พูดสักเท่าไร...
.
.
...อ้าว! นายไม่คิดอย่างนั้นหรอกเหรอเต๋อ?!
“หึ! อย่ามาทำมาเป็นฝอยหน่อยเลยไอ้สัดแว่น ทีมกูน่ะแมนๆทั้งนั้น... จริงป่ะเหี้ยเตี้ย?”
เต๋อแสยะยิ้มพลางข่มกลับโดยลากเอากังฟูที่ยืนหน้าง้ำดำทะมึนเข้ามามีเอี่ยวด้วย... หนุ่มร่างหมีแอบเห็นว่าคนตัวเล็กดูหงุดหงิดติดลมบน
เลยหาทางแหย่เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายคิดลบจนหมดความอดทนไปเสียก่อน
“ใครทีมมึง?!! กูบอกเมื่อไรว่าจะยอมลดตัวไปผูกขาติดกับอุ้งตีนขนยุ่บของมึง?...
.
.
.อี๋!!! แค่นึกถึงกูก็แขยงจะแย่” พูดจบ เจ้าของริมฝีปากแดงฉ่ำน่าขย้ำก็ปรายตาลงมองขาของหนุ่มร่างหมี
แล้วกระเถิบหนีด้วยทำท่ารังเกียจอีกฝ่ายเสียเต็มประดา...ซึ่งท่าทางไว้ตัวแบบนี้ล่ะ
น่าแกล้งนัก!!!
“ธธธธธธธธโธ่! ขากูมันน่าโชว์มากกว่าขาไก่ไร้ข้อของมึงก็แล้วกัน...
.
.
...สาบาน...
...นี่มึงกำลังยืนชี้หน้ากูอยู่จริงๆใช่ป่ะ?!...
...รู้ใช่ไหมว่า
มันไร้มารยาทมาก หากจะด่ากราดคนอื่นจากมุมต่ำเรี่ยพื้นแบบนั้นน่ะ หึ หึ หึ” ระหว่างขอดเกล็ดกังฟูออกสื่อ
เต๋อก็แอบเหลือบดูขาตัวเองเทียบกับขาขาวเนียนไร้ขนที่โผล่พ้นกางเกงขาสั้นพอดีเข่าของอีกฝ่าย
โดยไม่ลืมนับเลขหลักหมื่นในใจ เพื่อตั้งสติไม่ให้จิตด้านมืดเตลิดไกลไปถึงภาพที่เคยเห็นในห้องน้ำโรงอาหารกลาง
ซึ่งสีหน้าโกรธจัดราวต้องการจะกัดทึ้งให้ร่างเต๋อแหลกเป็นเสี่ยงๆของกังฟูช่วยเบี่ยงความสนใจของชายหนุ่มร่างใหญ่กว่าได้เป็นอย่างดี
“ไอ้สัดเต๋อ! พ่อมึงตาย!!!” กังฟูคำรามก้อง
สองขาสั้นๆสาวกลับเข้าหาเต๋อที่ยืนทำหน้าเย้ยหยันด้วยความเมามันในหัวใจ
เมื่อฟูซิลล่าพร้อมจะดาหน้าเข้าถล่มเมืองให้ราพณาสูร
ก็ถึงคราวที่เหล่าสมุนแห่งเทพต้องออกทำหน้าที่พิทักษ์ความสงบให้กับโลกอีกครั้ง
นำทีมโดยควิกซิลแว่น...ผู้เป็นประหนึ่งแขนขวาหน้าชั่วประจำตัวพ่อมดขาวซารูฌานที่เห็นท่าไม่ดี
จึงออกอุบายสกัดดาวรุ่งไม่ให้ฟูซิลล่าเข้าปะทะตัวเมืองอย่างเร็วรี่สมกับเป็นเจ้าแห่งความปากไว
“เอ๊ะ!... ใครเห็นบ๊วยกับคุณธันวาผ่านไปผ่านมามั่งอ่ะครับ?”
สกลจงใจถามเสียงดังแล้วจึงเว้นช่องไฟเพื่อให้ความสนใจของทุกคนช่วยทำงาน
“ผมไม่เห็นสองคนนั่นขยับห่างกันไปไหน
ตั้งแต่ก่อนจับฉลากอันดับผูกขาเลยนะเนี่ย...
.
...พิโธ่พิถัง! ไม่รู้เพื่อนผมจะยังพอยั้งใจไม่ยอมให้คุณธันวาลากไปกินในน้ำได้ไหมนะ”
หนุ่มหน้าแว่นสวมบทบาทแม่ผู้ที่เพิ่งจะนึกเป็นห่วงเป็นใยในความปลอดภัยของลูกสาวที่หนีตามผู้ชายไปได้หลายปี
สุดท้าย...ละครดราม่าฉากนี้ก็ทำให้กังฟูเผลอตัวซึ้งตามจนได้
“ด้วง...มึงเห็นไอ้เก็กกับไอ้เด็กบูบู้ไหม?
พวกแม่งแอบไปอี๋อ๋อลับๆล่อๆกันอยู่ที่หลืบไหนวะ?” กังฟูโวยวายเสียงดังด้วยความหงุดหงิดที่มัวแต่คิดเรื่องตัวเองจนไม่เป็นอันกีดกันน้องชายให้อยู่ห่างจากไอ้เด็กบูบู้จอมมารยาขาวางแผน...
.
.
ไม่ได้การล่ะ
ขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้เห็นทีจะยิ่งแย่!!!!
เพื่อไม่ให้การอุทิศเวลาในการอ่านหนังสือพระเครื่อง
และแรงกายที่มีอยู่น้อยนิดตามขนาดตัวต้องสูญเปล่า
เขาจะต้องปรี่เข้าไปขัดขวางสองคนนั่นโดยไม่ยอมให้คลาดสายตาตลอดเกมปัญญาอ่อนของสองคณะในปีนี้ให้จงได้
“เรียกหาเก็กกับบูบู้เหรอเฮีย?”
ไม่ต้องรอให้ใครจุดธูปเรียก อยู่ๆไอ้รูปหล่อที่หายหน้าไปนานสองนานก็โผล่มายืนยิ้มแป้นตรงหน้ากังฟู
ราวกับแอบหลบอยู่ใต้แผ่นหญ้าเทียมตรงลานคอนกรีตข้างๆ โดยด้านหลังของเก็กคือบ๊วยที่อดีตเดือนมหาลัยใช้ตัวมาบังกั้นไว้
เพื่อไม่ให้คนตัวเล็กกว่าต้องยืนเผชิญหน้ากับพี่ชายของตนตรงๆ
“มึงหายไปไหนมา?”
คนเป็นพี่ใช้เวลาคาดคั้นน้องที่ตัวโตกว่าด้วยหน้าตาเอาเรื่องอยู่ไม่ถึงเสี้ยววินาที
ก่อนจะหันไปเปิดฉากจิกกัดบ๊วยที่ยังงงกับความไม่มั่นคงของกังฟูต่อทันที...
อย่างนี้สินะที่เขาบอกกันว่า เลือดข้นกว่าน้ำ
“ไอ้บูบู้
มึงแอบพาน้องกูไปทำมิดีมิร้ายที่ไหน...บอกมานะ!!” กังฟูตวัดสายตามองเหยียดบ๊วยตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่มีหรือที่พ่อพระเอกจะทนให้พี่ชายใจร้ายโขกสับแฟนในนามของตัวเองต่อหน้าต่อตาได้อย่างใจโดยไม่ทำอะไรสักอย่าง...
พักหลังๆ การปกป้องคนตัวเล็กกว่ามักจะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติแบบที่อดีตเดือนมหาลัยไม่ต้องอาศัยบท
“บูบู้ไม่ได้ทำอะไรเก็กหรอกเฮีย
เก็กต่างหากที่อยากทำบูบู้ใจแทบขาด แต่บูบู้ไม่อยากชิงสุกก่อนห่ามเลยห้ามเก็กไว้” สุดหล่อออกหน้ารับแทนแฟนกำมะลอด้วยการโกหกพกลมสั่งสมข่าวลือไปเรื่อย...
เรื่องปกป้องบ๊วยน่ะก็ใช่ แต่การทำให้พี่ชายหมั่นไส้ก็ขาดไปไม่ได้
“ไอ้เหี้ยเก็ก! มึงนี่นะ!!!” กังฟูปรี๊ดถึงขีดสุดจนหลุดชี้หน้าด่าน้องชายตัวเอง
“เก็กล้อเล่นน่ะเฮีย...เห็นเฮียเครียดๆเลยอยากให้อารมณ์ดี”
กังฟูตอบโต้น้องชายด้วยการจิกตาใส่ด้วยใจความว่า ‘ดีพ่อง!’ จนไอ้คนน้องหลุดยิ้ม “ที่หายไปเพราะเก็กพาบูบู้ไปตามหาสมาชิกอีกคนที่เหลือของทีมมาน่ะครับ” เก็กพยักเพยิดให้รุ่นน้องตัวแถมที่เขาดักได้ตรงทางเข้าก้าวออกมาแสดงตัวต่อหน้าทุกคน
ระหว่างนั้น...อดีตเดือนมหาลัยก็หันไปส่งยิ้มทรงเสน่ห์ให้บ๊วยด้วยความตั้งใจ
หาใช่เพื่อปั่นป่วนความรู้สึกของกังฟู
จากนั้นจึงปรายสายตาเหี้ยมเกรียมสลับไปจ้องหน้าหนุ่มน้อยท่าทางเด๋อด๋าที่ถูกทั้งสองตามหาจนเจอ
เขาอยากแน่ใจว่าไอ้เด็กนี่จะไม่เผลอเหลือบตามองบ๊วยที่ส่งยิ้มอย่างน่ารักน่าใคร่ให้ตัวเขาชื่นชม...
.
.
มิติลี้ลับที่ล่อลวงให้ชายหนุ่มหลงทางเข้าไปหลังจากเปิดใจมองบ๊วยดีๆ
ช่างมีเสน่ห์จนยากเกินถอนตัว...
จนชายหนุ่มนึกกลัวจนไม่อยากให้คนอื่นตามเข้ามาแย่งเนื้อชิ้นงามที่เพิ่งตามเจอชิ้นนี้ไปจากอก
เพราะคนหล่อที่ต้องนก...คือเรื่องตลกที่ร้ายกาจสุดๆ
“อย่าบอกนะว่าพวกมึงสองคนได้อยู่ด้วยกัน?!!” กังฟูเอ่ยขัดมโนภาพวาบหวามของเก็กด้วยน้ำเสียงติดฉิว
“ใช่เฮีย...
เนี่ยะ...เบอร์ห้าห้าห้าอ่ะ ทำไมเหรอ?” ชายหนุ่มทั้งสามคนซึ่งนำทีมโดยอดีตเดือนมหาลัยหงายฉลากของตนที่มีตัวเลขเหมือนกันทุกกระเบียดให้ทุกๆคนในที่นั้นดูโดยพร้อมเพรียง
เลขห้าที่เรียงต่อกันเป็นพรืดพาลทำให้กังฟูรู้สึกเหมือนโดนบ๊วยหัวเราะเยาะใส่ด้วยความสะใจ
“ไอ้สัด!! มึงต้องเส้นพวกทีมสันฯกันแน่ๆ ไม่งั้นมึงคงจับไม่ได้เลขเดียวกันอย่างนี้หรอก” รุ่นพี่ร่างเล็กฟาดงวงฟาดงา
...
...อะไรวะ?
ทำไมทุกอย่างมันลงตัวเหมือนหวยล็อค??!!
ทีมไอ้เก็กยิ่งแล้วใหญ่...เห็นหน้าสมาชิกแล้วชวนให้พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
กังฟูรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่างที่ไม่มีทางพิสูจน์ได้...
ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่เขาหยั่งไม่ถึงแอบซ่อนไว้แน่ๆ
“หรือพวกมึงจะเล่นของถูฉลากให้เลขออกมาตรงกัน?!” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเดาสุ่ม วาจาที่เปล่งโดยไร้ซึ่งเหตุผลหนุนนำ
พลอยทำให้หนุ่มหน้าแว่นอดยื่นปากมาเหน็บรุ่นพี่ร่างเล็กเบาๆไม่ได้ แม้จะรู้แก่ใจว่า...การปรามาสอีกฝ่าย
คือ หนทางแห่งความตายแบบเฉียบพลันก็เถอะ
“เอะอะก็ไสยศาสตร์ครองโลกตลอดศกอ่ะคนเนี้ยะ”
สกลจีบปากจีบคอพองามตามระดับความหมั่นไส้แบบไม่จริงจังนัก
“มึงว่าอะไรห๊ะไอ้สัดแว่น?”
กังฟูหันไปสวดภาณยักษ์ใส่หนุ่มหน้าแว่นทันทีเหมือนมีองค์ลงมาประทับ แต่ลีลาการต่อปากต่อคำอันเหนือชั้นที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นแรมปี
ทำให้ควิกซิลแว่นยืนหยัดต่อสู้กับฟูซิลล่าได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
“ปละ
ปละ เปล่าครับคุณกรกฏ...
...แต่ขอประทานโทษเถอะครับ...
...ด้วยความเคารพ
ว่างๆคุณกรกฏควรแวะไปปรึกษาจิตแพทย์เสียหน่อยนะครับ...
.
...ป๊าผมเคยบอกว่า
คนที่มีอาการหูแว่ว...คือคนที่ส่อแววว่าใกล้บ้าโดยไม่ต้องอาศัยหมามากัดเลยนะครับ”
สกลตอบหนุ่มรุ่นพี่ร่างเล็กด้วยการตีหน้าสลด...แต่นั่นกลับไม่ช่วยลดความรุนแรงของเนื้อหาที่เพิ่งเอ่ยได้แม้แต่นิดเดียว
ก่อนเรื่องทั้งหมดจะบานปลายไปเป็นการวางมวย
เจ้าพ่อไทรทองผู้เป็นตัวการของฉลากจัดตั้งตามแผนจัดทีมของเทวบุตรอีกองค์ผู้เป็นที่รัก
ก็เป่าหูโฆษกส่วนกลางให้กรอกเสียงประกาศออกหน้าไมค์เรียกความสนใจจากทั้งหมดได้อีกครั้ง...ดูเหมือนพลังของเจ้าพ่อจะถูกใช้ไปในทางที่ผิด
เพื่อช่วยชีวิตสกลให้รอดพ้นจากโทษประหารอย่างไรก็ไม่รู้
(( เอาล่ะครับ ขอให้แต่ละทีมมาตั้งแถวรอตามลำดับที่ตอนนี้เลยนะครับ
เดี๋ยวอีกสักครู่...สวัสดิการกลางจะเดินไปแจกผ้าผูกขาสมาชิกในทีมเอาไว้ด้วยกัน
หลังจากนั้น...แต่ละทีมต้องไม่ลืมว่า
แถบยางที่ใช้มัดขาของสมาชิกทั้งสามคนจะต้องไม่ขาดก่อนถึงเส้นชัย
และจะไม่มีสมาชิกคนไหนของทีม
ล้มหายตายจากไปก่อนการแตะเส้นชัย...
ก่อนออกสตาร์ทอยู่ท่าไหน...ตอนเข้าเส้นชัยก็ต้องอยู่ท่านั้นกับเพื่อนร่วมทีมหน้ามันคนเดิมนะครับ))
“อ่าวเฮ่ย! แล้วมึงมายืนเงียบๆอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไรไอ้หัวจุก?”
เต๋อสะดุ้งสุดตัวเมื่อหันไปอีกด้านแล้วเจอกับฌอนที่ยืนนิ่งๆไม่พูดไม่จาตั้งแต่ก่อนที่ทั้งฟูและเต๋อจะมายืนด่ากันปาวๆเสียอีก
“ผมก็อยู่ตรงนี้พร้อมๆกับพี่และคุณกังฟูน่ะแหละครับ...
อันดับที่ห้าห้าสามน่ะ”แฝดน้องยืนยันคำตอบด้วยการกางฉลากให้ทั้งเต๋อและฟูดู
พี่รหัสบ๊วยถึงกับกลั้นหัวเราจนร่างสั่นพลันชำเลืองมองหน้าของคนตัวเล็กที่โกรธจัดจนหน้าขึ้นสีแดง
“โอ๊ยยยยยย!!! ใครก็ได้ช่วยกูด้วย
ทำไมกูต้องซวยมหาซวยแบบนี้ด้วยวะสัดเอ๊ย!!!” กังฟูสบถลั่นให้กับชะตากรรมอันน่าขันของตัวเอง
“ฟู...ใจเย็นๆก่อนนะ
ฟูไม่ได้ซวยอยู่คนเดียวหรอก... ทางเราก็แย่ไม่แพ้กันเท่าไร” ด้วงพยายามปลอบใจเพื่อนรักด้วยการยกวิบากกรรมของตัวเองขึ้นมาเป็นกรณีศึกษา
เพราะดวงของเขาช่วงนี้นับว่าแย่กว่ากังฟูอยู่หลายเท่า...ลำพังแค่ต้องเอาตัวไปยืนข้างๆสกล
ก็ชวนให้หมองหม่นและรู้สึกสนใจในการทำอัตวินิบาตกรรมขึ้นมาเสียเฉยๆ แต่นั่นเทียบไม่ได้เลยกับการต้องวิ่งเคียงบ่าเคียงไหล่กับชายหนุ่มปลิ้นปล้อนไว้ใจไม่ได้อย่างฌอน
“เออๆ
กูเห็นใจทั้งตัวเองและทั้งมึงเลยด้วง
ยังไงมึงก็ต้องเอาตัวให้รอดนะ จะได้กลับห้องไปนอนผึ่งพุงกันเสียที
เบื่อหน้าไอ้เหี้ยนี่ฉิบหายแล้วว่ะ” คนพูดตัวเล็กปรายตามองเต๋อที่แสยะยิ้มอยู่ติดไหล่...ดูทรงแล้ว
คงจะไม่ขยับเขยื้อนไปไหนอีกนาน
“ไม่ต้องห่วงหรอกฟู
เราจะคอยประกบฟูไม่ห่างเลยล่ะ” สิ้นคำมั่นของด้วงที่เอ่ยกับกังฟู
สกลกับฌานที่แอบฟังบทสนทนาของสองเพื่อนรักมาโดยตลอดต่างลอบมองหน้าอีกฝ่าย พลางส่งสายตาชั่วร้ายเป็นการแลกเปลี่ยนความในใจ...
หึ! อยากกลับห้องเร็ว
แต่ก็อยากประกบเพื่อนรักไม่ห่าง
เห็นทีสองสมุนตัวเอ้ของเจ้าพ่อทั้งสองคงต้องช่วยเลือกหนทางให้กับด้วงโดยไม่ต้องร้องขอเสียแล้วสิ
ขณะที่เพื่อนรักทั้งสองกำลังแบ่งปันช่วงเวลาศาลาคนเศร้าเคล้าวงเวียนชีวิตให้กันและกันได้รับฟังอยู่นั้น
เสียงใสๆของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของร่างผอมเพรียวที่มาพร้อมกับหน้าตาน่ารักเกินกว่าผู้หญิงหลายคน
ก็ดังแว่วเข้าหูเหล่าสมุนเลวและรุ่นพี่ทั้งสามยืนรวมกลุ่มกันไม่ห่างไปไหน
“ริบบิ้นนี่เอาไว้ใช้เล่นเกมสุดท้ายนะครับ
ส่วนห่วงอีลาสติกห่วงใหญ่นี่ใช้สำหรับคล้องขาให้ติดกัน” เจ้าของเสียงใสอธิบายรายละเอียดของอุปกรณ์บังคับที่ใช้เล่นเกมในวันนี้ให้ทีมก่อนหน้าทีมของเหล่าสมุนเลวฟัง
ด้วงที่เห็นหน้าเจ้าของเสียงก็ส่งยิ้มให้อดีตน้องโรงเรียน ก่อนจะออกปากขออุปกรณ์จากรุ่นน้องหน้าหวานอดีตเดือนบริหารแทนทั้งสามทีม
“ขอบใจนะ
พี่ขอสามชุดได้ไหม...จะให้เพื่อนๆด้วยน่ะ” ใจด้วงอยากจะขอเผื่อแค่ทีมตัวเองกับกังฟู
แต่เพราะรู้ว่าเจ้าหน้าที่สวัสดิการกลางคนนี้คงไม่สบายใจแน่ๆ หากต้องเจอกับเก็กอยู่พร้อมหน้ากับแฟนใหม่
หนุ่มผมยาวจึงรวบรัดจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพในคราวเดียว
“ได้ครับพี่ด้วง...
นี่ครับ” อิ๊กยื่นชุดอุปกรณ์ให้ตามคำขอโดยไม่ลืมส่งยิ้มทักทายให้เพื่อนสนิทของพี่ชายแฟนเก่า
“อ่ะฟู
เราขอผ้ามาให้แล้ว... นี่...เก็ก...พี่ขอมาเผื่อทีมเราด้วย” ทั้งพี่และน้องอริยะตรัยรับซองอุปกรณ์ไปจากมือด้วง
“ขอบคุณครับพี่ด้วง”
คนเป็นน้องยกมือไหว้ก่อนรับของจากรุ่นพี่ร่วมห้องตามความเคยชิน
“เก็ก” อดีตเดือนบริหารอาศัยจังหวะที่เก็กเบือนหน้าจากด้วง
ทักทายคนรักเก่าเพื่อหวังดึงสายตาของชายหนุ่มรูปงามให้หันกลับไปมองเจ้าตัวที่ยังยืนนิ่งไม่ไปไหนแม้จะหมดหน้าที่กับผู้เข้าแข่งขันในบริเวณนี้แล้ว
บรรยากาศเย็นยะเยือกราวกับมีมือดีหย่อนขั้วโลกเหนือพร้อมพายุหิมะลูกใหญ่ใส่มาเป็นฉากหลังในชั่วพริบตา
นำพาความรู้สึกกระอักกระอ่วนมวนท้องมาสู่เหล่าสมุนเลวรุ่นดั้งเดิมกับชายหนุ่มรุ่นพี่ทั้งสามผู้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่พายุตั้งเค้าโดยไม่มีใครน้อยหน้าใคร
ทั้งหมดวาดสายตาไปกลับสลับตำแหน่งระหว่างอดีตเดือนทั้งสอง
และหนุ่มร่างจ๋องที่ดูจืดจางจนใกล้จะลางหายเข้าไปทุกที
ชายกลางในยามนี้...ตกอยู่ในภาวะกล้ำกลืนขื่นขมผสมวางตัวไม่ถูกอย่างสมบูรณ์แบบ
สถานะของผู้มาทีหลัง
พ่วงตำแหน่งแฟนบังหน้ากำลังค้ำคอหอย จนลมหายใจของชายหนุ่มบุญน้อยเกิดอาการติดขัด
หากไม่ได้อยู่ต่อหน้ากังฟู
เขาคงเดินหางลู่หูตกออกไปตั้งแต่ฝ่ายนั้นเดินเข้ากรอบสายตา...ไม่ต้องมายืนก้มหน้าเอาแต่นับจำนวนหญ้าเทียมอยู่เงียบๆคนเดียวแบบนี้
“อ้าวอิ๊ก...
ปีนี้สภาขอแรงบริหารมาเป็นทีมสวัสดิการเหรอ?” อดีตเดือนมหาลัยผู้เป็นตัวแปรสำคัญระหว่างสองหนุ่มยังคงเล่นตามบทบาทที่ตนเองได้รับได้อย่างไม่มีที่ติ
เก็กส่งรอยยิ้มการค้าประสาอดีตตัวแทนโปรโมทมหาวิทยาลัยปีที่แล้วไปให้อีกฝ่ายตบท้ายคำถามที่ไม่อาจโยงเข้าสู่เรื่องส่วนตัวใดๆได้
ทว่าผู้มีศักดิ์เป็นคนรักเก่ากลับเลือกทำตรงกันข้าม
“เปล่า
อิ๊กเข้ามาสมัครเอง...
.
...อิ๊กอยากมาช่วยงานคณะเก็กน่ะ”
อดีตเดือนบริหารทิ้งท้ายด้วยสายตาเจ็บปวดยามจ้องมองใบหน้าของแฟนเก่าที่ยืนอิงแอบคนรักใหม่...ชายหนุ่มผู้ที่ตนเพิ่งได้เห็นหน้าค่าตาเมื่อวานตอนหัวค่ำแต่กลับจำได้ขึ้นใจไม่มีวันลืมเลือน
สายตาของอิ๊กทำเรี่ยวแรงของบ๊วยหดหายไปดื้อๆ
ขาทั้งสองข้างสั่น และอ่อนแรงจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่
ชายกลางจึงเบนความสนใจทั้งหมดไปที่ริบบิ้นที่เพิ่งได้รับแจก สองมือแห้งๆวุ่นวายกับการคล้องริบบิ้นรอบคอก่อนจะผูกปลายทั้งสองด้านให้เป็นรูปโบว์
ลึกๆแล้ว...เขาแอบหวังให้กิจกรรมที่ทำอยู่นี้ช่วยทำให้เขาลืมไปว่าสถานการณ์ตรงหน้าตึงเครียดเพียงใด
อย่างไรก็ดี...
ดูเหมือนคนกลางอย่างเก็กจะจับสังเกตอารมณ์เศร้าหมองของร่างเล็กที่ยืนอยู่เบื้องหลังของเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์
อดีตเดือนมหาลัยจึงตัดบทโดยไม่สนใจสายตาเว้าวอนของอิ๊กที่เขาเห็นจนชินตาตลอดช่วงเวลาเกือบปีที่ผันผ่าน
ซึ่งเพิ่งจะมีช่วงไม่กี่เดือนหลังที่อีกฝ่ายเริ่มจะห่างหายไป
“อืม...
ขอบคุณนะ ไว้คุยกัน”
กระทั่งเก็กยังนึกแปลกใจในความเด็ดขาดไร้เยื่อใยของตัวเอง...
บทจะไม่รู้สึกอะไรกับใครสักคนอย่างอิ๊ก
เขาก็ดันไม่มีความรู้สึกยุกยิกในใจไม่ว่าจะบวกหรือลบ...ไม่ทุกๆอย่างจริงๆ
แต่บทจะหวั่นไหวหลังจากได้เจอบ๊วย...ไอ้อาการเฮงซวยทั้งหลาย
ก็เรียงแถวกันออกมาฟ้องจนต้องอับอายขายขี้หน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
เป็นเพราะเขาหวั่นไหวกับคนใหม่มาก เลยไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์คนเก่าอีกต่อไปอย่างนั้นหรือ?
“เอ่อ...
เก็กขออิ๊... ประโยคของอดีตเดือนบริหารขาดลงแบบห้วนๆเมื่อคนพูดเห็นว่า
คนฟังเพียงคนเดียวที่เขาต้องการคุยด้วยหันหลังกลับไปใส่ใจคนรักใหม่ของเขาเสียแล้ว...
เรื่องที่อีกฝ่ายหมดรัก
ตัวเขาก็ทำใจยอมรับความเปลี่ยนแปลงมาได้สักพัก
แต่พอเห็นอดีตเดือนมหาลัยมีความรักใหม่อีกครั้ง
ยังไม่นับว่าใส่ใจดูแล...มีแต่คนๆนั้นในสายตา
แถมดูท่าว่าจะเอ็นดูคนใหม่ดียิ่งกว่าที่เคยทำให้ตัวเอง
ร่างแบบบางก็รู้สึกเคว้งคว้างเหน็บหนาวจนเจ็บหน่วงไปทั้งอก
ไม่รู้เพราะเข้าใจสถานการณ์อย่างถ่องแท้
หรือเพราะแค่ไม่อยากกลายเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายไม่รู้จบบทใหม่
แต่นี่นับเป็นครั้งแรกที่เหล่าสมุนเลวกับรุ่นพี่ทั้งสามต่างสมัครสมานสามัคคีสงวนวาจา
โดยไม่มีใครกล้าเอื้อนเอ่ยประโยคใดๆ... กระทั่งสกลที่ปากไวกว่าใครเพื่อน
ยังสงบปากสงบคำได้อย่างไม่น่าเชื่อ
กระนั้น เมื่อเสียงพูดคุยของใครต่อใครหายไป...
กลับทำให้การพูดคุยเพียงแผ่วเบาของชายหนุ่มรูปหล่อดึงดูดความสนใจไปโดยปริยาย
“บูบู้ผูกได้หรือเปล่าครับ?
ไหนขอเค้าดูซิ...
.
...โบว์เบี้ยวแหน่ะ
อยู่นิ่งๆนะ เดี๋ยวเค้าจัดให้”
อดีตเดือนมหาลัยสาละวนกับการแกะริบบิ้นเพื่อผูกโบว์ให้กับคนตัวเล็กใหม่
เพราะของเดิมที่เจ้าตัวผูกเอาไว้...ใกล้เคียงกับเงื่อนขัดสมาธิมากกว่าโบว์
แค่การกระทำเล็กๆน้อยๆของอีกฝ่ายที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างเปิดเผย
ช่วยให้ชายกลางหายใจหายคอได้สะดวกยิ่งขึ้น ทว่าการกระทำเดียวกันนี้เอง...ดันกลายมาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาพาเสือหลับให้กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาวาดลวดลายให้เดือดร้อนกันทั่วหน้าได้อีกครั้ง
“ไอ้บูบู้
มึงง่อยเปลี้ยเสียขาหรือไง ถึงได้ต้องคอยให้น้องกูประคบประหงมเป็นลูกแหง่...
...ถ้าจะทำตัวง่อยเพื่ออ่อยน้องกูอยู่แบบนี้ มึงช่วยรีบจรลีหนีกลับไปนอนแดกนมแม่ที่บ้านไป๊!...
...คนอาไร๊...กะอีแค่ผูกโบว์ยังทำไม่ได้!...
.
...มานี่! เดี๋ยวกูช่วยสงเคราะห์เอาริบบิ้นรัดคอมึงให้เอง”
ร่างเล็กๆของกังฟูที่ตั้งท่าจะเดินไปกระชากบ๊วยให้ออกห่างจากน้องชายตัวเอง ดีดเงิบหงายไปทางด้านหลังจนหนุ่มร่างหมีต้องรีบเข้ามาประคองเอาไว้
ในขณะที่ด้วงขยับตัวไปไหนไม่ได้เพราะขาทั้งสองข้างถูกผูกอยู่หว่างกลางประกบซ้ายและขวาด้วยขาของสกลกับแฝดพี่
“โอ๊ยยยย! ไอ้เหี้ยหน้าแก่...ปล่อยขากูเดี๋ยวนี้นะ!!” กังฟูด่ากราดเมื่อเหลือบลงไปเห็นแถบยางยืดสีเจ็บคล้องเข้าที่ข้อเท้าให้ผูกติดเข้ากับข้อเท้าของเต๋อตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“มึงก็ลุกขึ้นยืนก่อนสิเตี้ย
กูจะได้เคลียร์ห่วงที่ขามึงให้” ชายผู้เป็นต้นเหตุที่ทำให้กังฟูเสียศูนย์ยืนกดใบหน้าจ้องมองคนตัวเล็กกว่าด้วยสายตาวาววามกึ่งหยามในที...ตราบใดที่ขาทั้งสองยังผูกกันอยู่แบบนี้
เต๋อจะไม่มีทางปล่อยให้คนตัวเล็กกว่าหลงสายตาไปก่อเรื่องวุ่นวายได้อย่างที่เจ้าตัวปรารถนาแน่นอน
“ไอ้เหี้ยเต๋อ! ไอ้หมีควายหน้าชรา...
.
...ไอ้
ไอ้ ไอ้บ้าฟอซซิลล้านปี! นี่กูยืนขาแข็งอยู่ตั้งนานแล้วสัด!! โธ่โว้ยยยย!!” กังฟูใช้อวัยวะที่ยังเป็นอิสระต่างอาวุธทำลายล้างแก้วหูบางๆของเพื่อนร่วมโลกอย่างไม่นึกเหน็ดเหนื่อย
โดยเต๋อกับเหล่าสมุนเลวที่เหลือทำเป็นยืนรับลมเอื่อยๆ ปล่อยให้คำพูดเสียดหูของรุ่นพี่ร่างเล็กล่องลอยผ่านตัวไปด้วยความไม่ใส่ใจนัก
ความโกลาหลอลหม่านที่กังฟูเป็นผู้สรรสร้างไม่อาจรบกวนโหมดจมปลักในความทุกข์ของอดีตเดือนบริหารได้
สายตาละห้อยของเรือนร่างบอบบางน่าทนุถนอมยังคงจับจ้องคู่รักใหม่โดยไม่ร้างลาไปไหน...
ในขณะเดียวกัน
ชายหนุ่มผูกหัวจุกที่ยืนอยู่ห่างออกไป พร้อมด้วยเด็กชายหน้าตาจิ้มลิ้มรูปทองซึ่งลอยอยู่ไม่ห่างกายสูงใหญ่น่ามองนั้น... ต่างพากันจับจ้องดวงหน้าหวานปนโศกของคนอกหักด้วยสายตาอ่อนแรงพลางทอดถอนใจโดยไร้ถ้อยคำ
Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ
“อย่าให้กูรู้นะว่าใครเป็นคนต้นคิดไอ้เกมเหี้ยนี่...
.
...กูทนเล่นมาสามปี...
...แม่ง! ทรมานไม่ต่างกันสักรอบ” กังฟูบ่นกระปอดกระแปดระหว่างลากขาทั้งสองข้างให้สัมพันธ์กับจังหวะที่ตกลงกันไว้กับอีกสองหนุ่มตั้งแต่ก่อนออกตัว
ขืนเดินมั่วซั่ว...คงได้ล้มหัวหกก้นขวิดกันตั้งแต่ยังก้าวขาไม่พ้นเส้น
นับว่าเป็นโชคของกังฟูที่เต๋ออาสาเดินตรงกลางให้
ไม่อย่างนั้น....ขาหนีบของเขาจะต้องฉีกขาดจนอาจเสียเลือดตายได้
เพราะแค่เทียบความยาวช่วงขากับสองหนุ่มร่างใหญ่
ไอ้ตะเกียบคู่ที่ป๊ากับม้าต่อติดจากตูดลงมาตั้งแต่ยังอยู่ในท้อง
ไม่ทำให้เขามั่นใจสักนิดว่าจะจ้ำตามควายป่าทั้งสองทันได้...
ถ้าเปลี่ยนเป็นขี่คอไอ้หมีควายเต๋อแล้วให้มันหามไป...คงไวกว่าหลายเท่า
“เยอะนะเหี้ยเตี้ย
กินแรงกูกับไอ้หัวจุกเสียขนาดนี้มึงยังกล้ามีปากเสียงอีกเหรอ...
.
...ขาแม่งก็สั้นจนกูแทบจะต้องกระเตงมึงเดินมาจะครึ่งทางอยู่แล้วเนี่ยะ...
...ช่วยอย่ามาทำให้ทีมกูเปลี้ยก่อนเข้าเส้นชัยได้ไหมวะ?”
ด้วยสรีระและขนาดตัวของกังฟูที่เล็กกว่าเขากับไอ้แฝดน้องเป็นไหนๆ แถมยังแอบรู้มาว่า...อีกฝ่ายไม่ถนัดเรื่องการออกกำลังกายหนักมากนัก
เต๋อจึงหันไปแซะตามหน้าที่เพื่อเรียกให้ไฟสปิริตของอีกฝ่ายลุกโชนขึ้นอีกครั้ง...ซึ่งแน่นอน
ผลตอบรับของมันย่อมจะไม่ต่างไปจากทุกที
“ไอ้สัด! บ่นเป็นหมีควายกินหญ้าเลยนะมึง!!! แม่ง... หางเสียงของร่างเล็กก็จะถูกกลืนหายลงคอหลังจากกังฟูตั้งหน้าตั้งตาเดินให้ได้ระยะไปสักพัก...
เมื่อนั้น เต๋อก็จะรอทัก รอกระทุ้งด้วยคำพูดเจ็บแสบเพื่อเร่งทั้งฝีเท้าและฝีปากของอีกฝ่ายให้กลับมาสู้ใหม่ได้อีกครั้ง
อีกครั้ง และอีกครั้ง
ฝ่ายสกลซึ่งวางแผนกวนประสาทหนุ่มผมยาวผู้ไม่ละพยายามตั้งแต่ออกสตาร์ท
ก็ประสานกำลังกับแฝดพี่ด้วยกลยุทธเดินรั้งท้าย หมายจะลอกเลียนความเร็วของหอยทากพิการให้สำเร็จ
ในขณะที่ด้วงน้ำตาแทบเล็ดเมื่อไม่อาจลากขาของตัวเองและชายหนุ่มอีกสองคนให้จ้ำตามทีมของกังฟูให้ทันได้
“คุณพี่ด้วงครับ
จริงอยู่ที่ผมเปรยว่าห้าห้าสี่ของพวกเราจะเข้าเส้นชัยในอันดับต้นๆ...
...แต่พวกผมก็ไม่ได้กระหายชัยชนะ
มากไปกว่าได้ดื่มด่ำความสุขของช่วงเวลาคุณภาพที่เราสามคนจะใช้ไปด้วยกันตลอดระยะเวลาของการแข่งขันเกมในวันนี้หรอกนะครับ...เพราะฉะนั้น
ไม่ต้องรีบสับขาเดินเป็นยูเซน โบลต์ใส่เฝือกก็ได้...
.
.
...ปล่อยตัวปล่อยใจ
แล้วค่อยๆออกเดินพลางชื่นชมความงดงามของสุมทุมพุ่มไม้สองข้างทางให้ผ่อนคลาย...
...แล้วรอให้พี่ฌานใช้พลังจิตปลิดชีวิตคู่แข่งจนล้มหายตายจากไปทีละทีมสองทีม...
...ถึงตอนนั้น
พวกเราก็ชนะกันได้แบบสบายแฮ โดยไม่ต้องแคร์ว่าจะเสืยเหงื่อซักหยดแล้วล่ะครับ” สกลพูดยกเมฆคล้ายกับปลอบใจรุ่นพี่ผมยาว ซึ่งคำพูดฟังไม่เข้ากับสายตาแพรวพราวและสีหน้าเจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างแรง
ฌานที่เดินด้วยสปีดเต่าอยู่อีกฟากจึงเอ่ยผสมโรงอย่างมันปากตามหนุ่มหน้าแว่นไปอีกคน
“ถ้าคุณเดือดเนื้อร้อนใจเพราะอะไรบางอย่าง
ก็เดินลากขานำไปก่อนได้เลย...
.
...พวกผมจะเดินตามอยู่เฉยๆแบบนี้แหละ”
ไม่พูดเปล่า แฝดพี่กลับลากขาให้ก้าวช้าลงยิ่งไปกว่าเก่าเสียอย่างนั้น นั่นจึงทำให้ขบวนสามหนุ่มร่างหนาหน้ากระดานค่อยๆคลานผ่านแต่ละหลักมิลลิเมตรไปอย่างอ้อยอิ่ง
“พวกนายนี่มัน!!!” ด้วงบ่นอย่างหัวเสีย การติดแหง็กอยู่ตรงกลางระหว่างก้อนอับเฉายักษ์ทั้งสองที่จ้องแต่จะก่อปัญหาไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถาเลยสักนิด...
ลองถ้ากติกาเป็นการเดินแข่งประเภทเดี่ยว เขาคงไม่รู้สึกห่อเหี่ยวใจมากขนาดนี้แน่ๆ
“บูบู้ครับ
บูบู้เดินไหวไหม... เดี๋ยวก็ถึงฐานแรกแล้ว อดใจหน่อยนะครับ” อดีตเดือนมหาลัยที่อาสาเดินคั่นกลาง
หันไปให้กำลังใจร่างเล็กที่เดินอยู่ด้านขวาของตนโดยไม่ปริปากบ่น หลังจากพวกเขาทั้งหมดเร่งฝีเท้าทิ้งห่างทีมห้าห้าสี่มานิดหน่อย
ตามที่ตกลงกันเอาไว้
แผนการของเหล่าสมุนเลวในวันนี้ก็คือ
ทีมของเขาจะต้องคอยรักษาระยะห่างจากทีมของกังฟูเอาไว้ให้ไม่ใกล้..ทว่าไม่ไกลจนเกินไปนัก
ไม่อย่างนั้นกังฟูจะพลาดช็อตกุ๊กกิ๊กทั้งหลายระหว่างคู่รักคู่ใหม่แค่ในนามไปอย่างน่าเสียดายทีเดียว
ส่วนทีมของแฝดพี่กับสกล...ทั้งคู่มีอิสระเต็มที่ในการควบคุมให้ด้วงอยู่ห่างจากกังฟูให้ได้มากที่สุด
และทีมที่สมุนหัวกุดอย่างฌอน
มีหน้าที่แค่ต้องเอาตัวรอดจากสงครามระหว่างกังฟูและพี่รหัสบ๊วย เพื่อกลับมาช่วยแผนการช่วงเย็นให้ลุล่วงพร้อมกับร่างกายที่ครบสามสิบสองเท่านั้นเอง
“ครับพี่หมี”
บ๊วยตอบพลางยิ้มให้กับร่างสูงที่โอบประคองตัวเขาเอาไว้ไม่ห่างตั้งแต่ประกบส่วนล่างเอาไว้ด้วยกัน...
ถึงครั้งนี้จะเป็นการถูกอีกฝ่ายสัมผัสร่างกายอย่างแนบแน่นและยาวนานที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นระหว่างสองหนุ่ม
แต่เหตุผลที่ว่า ‘มันเป็นงาน’ ก็ช่วยทำให้เขาควบคุมหัวใจตัวเองไม่ให้เต้นแรงจนส่งเสียงดังเกินไปได้เป็นอย่างดี
“เอ่อ...
พวกพี่เป็นแฟนกันเหรอครับ?” ความสนิทสนมกลมเกลียวกันระหว่างสองหนุ่มรุ่นพี่ที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่
‘แค่เพื่อน’ ทำให้น้องตัวแถมผู้ที่อดีตเดือนมหาลัยแทบไม่ใส่ใจอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้
คำถามที่เด็กหนุ่มรุ่นน้องแปลกหน้าเพิ่งเอื้อนเอ่ยออกมา
ฟังรื่นหูเก็กอย่างไม่น่าเชื่อ
ชายหนุ่มรูปงามจึงหันไปไขความกระจ่างให้เด็กน้อยฟังด้วยน้ำเสียงปรานีกว่าทุกครั้ง
นับตั้งแต่เริ่มคุยกันเมื่อเช้า
“ครับน้อง...
เราอยู่เต็กปีหนึ่งเหรอ? อย่าอู้ล่ะ เดี๋ยวแฟนพี่เหนื่อย” เมื่อหมดธุระในการยืนยันความเป็นเจ้าของคนตัวเล็กกว่าที่เดินอยู่ด้านขวาของตัวเองแล้ว
เก็กก็หันไปอ้อล้อขอคะแนนนิยมจากบ๊วยอีกครั้งร่างสูงไม่ลืมเอาตัวบังใบหน้ายิ้มแย้มของคู่สนทนาไม่ให้ไอ้เด็กเต็กปีหนึ่งขี้สงสัยได้มองเห็นง่ายๆ
“บูบู้ครับ
เมื่อยไหม... เดี๋ยวเข้าเส้นชัยแล้วเค้าจะนวดให้นะ” คำสัญญาของอดีตเดือนมหาลัยไม่ใช่การพูดพล่อยๆเพื่ออ่อยเหยื่อพี่ชาย
หากแต่นายธันวาหมายความตามที่ว่ามาจริงๆ
“ไม่เป็นไรครับพี่หมี...
เดี๋ยวให้เค้านวดให้ดีกว่า พี่หมีน่ะเหนื่อยกว่าเค้าเยอะเลยนะ...ดูซิเนี่ย
เหงื่อออกเต็มตัวไปหมดแล้ว” บ๊วยรับอารมณ์ต่ออย่างไม่มีสะดุดด้วยความเป็นห่วงร่างสูงกว่าที่ต้องชะลอฝีเท้ารอเขาอยู่หลายครั้ง
ทั้งที่พวกเขาทั้งหมดเกือบจะตามทีมของพี่รหัสกับเฮียฟูได้อยู่หลายหนแล้วเชียว
อนิจจา...ชายกลางผู้แสนดีกลับไม่นึกเอะใจสักนิดเลยว่า...
ไอ้คนฟังหน้าหล่อมันหวังไกลไปถึงไหนต่อไหนจนใกล้จะกลับตัวไม่ได้อยู่แล้ว
กระนั้น...หูทั้งสองข้างของไอ้พี่ชายจอมหวงที่กำลังย่ำตามหมีควาย
และแฝดคิวพีอยู่ข้างหน้านั้น
กลับจับกระแสเสียงออดอ้อนออเซาะกันของสองหนุ่มด้านหลังได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ๋ว
สองขาสั้นๆที่เคยก้าวย่างอย่างต่อเนื่องและดุดัน
ถึงกับชะงักงันไปดื้อๆ
จากนั้น
เจ้าของร่างเล็กราวเด็กมอต้นก็หมุนตัวหันหลังกลับเพื่อพุ่งเป้าเข้าทำลายคู่วายที่ตนชิงชังให้พังพินาศในบัดดล
แต่ดูเหมือนกังฟูจะลืมอะไรไปสักอย่าง...ที่ค่อนข้างสำคัญ
“เอ๊า!! ไอ้เหี้ยเตี้ย มึงจะเดินกลับไปไหน๊?!! เขาให้เดินไปข้างหน้า
ไม่ใช่เดินถอยหลัง” เต๋อไม่ได้เอ่ยปากรั้งร่างเล็กแค่ทางวาจาเพียงอย่างเดียว
เพราะขาข้างที่เหนี่ยวทั้งสองหนุ่มเอาไว้ด้วยกันก็ปักหลักอยู่กับที่โดยไม่เคลื่อนย้ายไปไหนสักองคุลี
“ปล่อยกู! กูจะไปเตะไอ้บูบู้หน้าจืดให้หายสำออย!!!” ฟูซิลล่าพ่นไฟใส่เต๋อ...ทว่าการอาละวาดด้วยลมปาก
ไม่อาจฝากรอยแผลใดๆให้ระคายหนังหน้าทนไฟและน้ำลายของอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย
“หึ! อย่าหวังเลยมึง!” หนุ่มร่างหมีดับฝันของกังฟูทันควัน “ไอ้หัวจุก
ตรึงกำลังเอาไว้...อย่าปล่อยให้ไอ้เตี้ยหมาตื่นมันเดินกลับไปได้!!!/ เฮ่ออออออออออ” เต๋อร้องสั่งแฝดน้องที่ยืนไว้อาลัยให้สมาชิกรุ่นใหญ่ทั้งสองด้วยการถอนหายใจยาว
“พวกนายตั้งใจเดินกันหน่อยสิ
ไม่เห็นเหรอว่าเรากำลังรั้งท้ายอยู่เนี่ย?!!” ด้วงที่เห็นกังฟูดิ้นเร่าๆอยู่ไกลๆพยายามเร่งสองหนุ่มที่แทบไม่ขยับกายไปไหนให้ออกเดินเหมือนกับชาวบ้านชาวช่องเสียที
ถึงจะไม่ได้ตีคู่กับทีมของกังฟู...ก็ดีกว่าอยู่ท้ายขบวนแบบในตอนนี้มากนัก
“พี่ฌานครับ...
นี่มันกีฬาเชื่อมสามัคคีประสาอะไร?...
.
...ทำไมคุณพี่ด้วงจากคณะวิศวะฯถึงกล้าแตกคอกับพวกเราสถาปัตย์ตั้งแต่ก่อนเข้าฐานแรกเลยล่ะครับ?”
สกลลอยหน้าลอยตาถามแฝดพี่ที่เดินยิ้มพลางปรายตามองหนุ่มผมยาวตรงกลางที่กำลังว้าวุ่นใจไม่มีใครเกิน
“หึ
หึ...พี่ฌานก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะสกล...
.
.
...หรือไอ้ที่คุณพี่ด้วงเขาบอกว่ารั้งท้าย...
...เป็นเพราะไล่ทำคะแนนตามใครไม่ทันอย่างนั้นหรือเปล่าวะ
หึ หึ หึ” คำพูดของฌานทำเอาด้วงสะอึก... ใช่
เขาเดือดเนื้อร้อนใจเพราะต้องทนเห็นปลาย่างที่เฝ้าทนุถนอมกล่อมเกลี้ยงมาเป็นเวลานาน
ถูกไอ้แมวหมีคาบไปดอมดมต่อหน้าต่อตา
((ขอต้อนรับทุกท่านสู่ฐานกิจกรรมที่หนึ่งนะครับ
ฐานนี้เอาใจพี่เต็กน้องเกียร์ที่ต้องตื่นแต่เช้า
ทางทีมสันฯใจดีอย่างพวกเราเลยจัดเกมเพื่อให้เพื่อนพ้องน้องพี่ได้อิ่มหมีพีมันและสุขสันต์ไปในคราวเดียว))
ทันทีที่กลุ่มของเต๋อตบเท้าเข้ามายืนหลบไอร้อนอยู่ตรงเงาของต้นไม้ใหญ่อันเป็นที่ตั้งของฐานแรกในกิจกรรมเช้าวันนี้
คำพูดแดกดันเกินจริงไปมากโขของเต๋อก็ถูกส่งไปให้ร่างเล็กที่ยืนเหนื่อยเป็นหมาหอบแดดอยู่ข้างๆตัว
“เฮ่อออออ
ในที่สุดก็มาถึงด่านแรกเสียที เดินกรังด์ปรีซ์ยังไม่เหนื่อยเท่าแบกไอ้เตี้ยอย่างเมื่อกี๊เลยมั้ง”
แม้จะได้ยินคำพูดกระทบกระแทกเต็มสองหู แต่ฟูซิลล่าที่ยอมตายดีกว่าโดนหยามกลับไม่เหลือเรี่ยวแรงจะใช้ต่อปากต่อได้อีกต่อไป
“สัด! (แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก)”...คำด่าสั้นๆตามด้วยเสียงหอบหายใจถี่ๆคือรางวัลที่เต๋อได้รับสำหรับความพยายาม
ชายหนุ่มร่างหมีจึงถอดหมวกแก็ปที่ตนใส่อยู่...สวมลงบนหัวทุยๆของคนตัวเล็กกว่าเพื่อบรรเทาความร้อนจากไอแดดยามสายให้อีกฝ่ายโดยไม่พูดจาสักคำ
แต่ผลของการกระทำเพียงเล็กน้อยดังกล่าว...
กลับมากพอจะทำให้คนตัวเล็กเลี่ยงหลบสายตาคมของหนุ่มสถาปัตย์
เพื่อก้มมองปลายเท้าตัวเองพลางแอบฟังเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำอย่างเงียบๆได้นานสองนานทีเดียว
((และจะมีเกมอะไรที่ทั้งอิ่ม ทั้งสนุก
ได้มากเท่ากับเกมกินวิบาก
บาก บาก บาก...
และเพื่อให้ยิ่งท้าทาย
เราจะขอให้แต่ละทีมเอาแขนมาคล้องคอเพื่อนคนข้างๆระหว่างเล่นเกม
จำเอาไว้ว่า
แขนที่พาดคออยู่นั้น จะต้องไม่ตกลงข้างตัวนะครับ
คนที่จะจับสิ่งของต่างๆเข้าปากได้
คือคนด้านซายและขวาเท่านั้น
ส่วนคนกลางผู้เป็นคนสำคัญ...ก็วิ่งและกินมันไปให้ไวที่สุดเท่านั้นเอง
เอาล่ะครับ
เชิญทั้งสิบทีมของกลุ่มนี้เข้าประจำที่เพื่อเตรียมตัวออกวิ่งได้เลย
ทีมไหนกินได้เร็ว กินได้ไวติดสามทีมแรก
เราแจกคะแนนพิเศษที่สามารถใช้ข้ามฐานหฤโหดอื่นๆให้ไปเลย!!!))
“ไอ้เหี้ยเต๋อ...
แดกให้เต็มที่เลยนะ กูไม่อยากเข้าฐานเยอะ” กังฟูที่หูผึ่งทันทีที่ได้เรื่องยินสิทธิพิเศษของผู้ชนะ
หันไปสั่งอริร่างหมีอย่างลืมความอายไปชั่วขณะ ก่อนจะปรายตามองหน้าแฝดน้อง แล้วยื่นข้อเสนอแนะในการเล่นเกมอย่างถูกวิธีให้แก่ฌอนโดยไม่นึกหวงห้าม “ส่วนมึงไอ้เด็กจุก...ถ้าเหนื่อยจนกินไม่ไหว ให้เคี้ยวหยาบๆแล้วพ่นใส่หน้าไอ้เหี้ยเต๋อได้เลย...
กูอนุญาต!!”
เมื่อได้ยินสิ่งที่คนตัวเล็กลืมตัวหลุดปากพูดออกมา
เต๋อถึงกับต้องเบือนหน้าหันไปทางอื่นเพื่อซ่อนอาการยิ้มจนหน้าแป้น...
.
.
.
เดี๋ยวนะ...เมื่อกี๊ใครอนุญาตอะไร?
แล้วทำไมไอ้ตัวเล็กถึงมีสิทธิอนุญาตให้คนอื่นมาทำร้ายเขาได้?...
พูดอย่างนี้คนอื่นจะไม่เข้าใจว่า
เขากับเจ้าของคำพูดแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเมื่อกี๊มีอะไรลึกซึ้งต่อกันพอดีหรือ?!
ขนาดยังไม่ได้เป็นแฟน...
ยังพูดจาราวกับถือสิทธิในตัวเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติแบบนี้
ถ้าลองได้มี ‘กันและกัน’ เมื่อไร สงสัยกังฟูคงได้กลายเป็นจงอางหวงไข่นายเต๋อแหงๆ
ส่วนอีกสองทีมที่ยืนถัดออกไปไม่ไกลนักก็กำลังปรึกษากันอย่างหน้าดำคร่ำเคร่งไม่แพ้หนุ่มๆกลุ่มแรก
“คุณพี่ด้วง
พี่ฌาน...ด่านหนมโก๋กะโค๊กผมขอผ่านได้ไหมครับ?”
สกลเปิดปากเรียกความสนใจของทั้งสองหนุ่มด้วยสีหน้าจริงจังผิดไปจากปกติ ด้วงเห็นแล้วก็ใจไม่ดีเพราะเผลอคิดไปว่าหนุ่มหน้าแว่นอาจมีปัญหาทำนองว่ากินทั้งสองสิ่งไม่ได้ด้วยมีอันตรายต่อชีวิต
“ทำไมล่ะ?”
หนุ่มผมยาวสงสัย
“ป๊าบอกว่ากินหนมโก๋กับโค้กมากๆเดี๋ยวจะอิ่มเอาได้น่ะครับ”
พอได้รับฟังคำเฉลยของรุ่นน้องหน้าแว่น...ด้วงก็นึกอยากบอกลาไอ้บ้าสองตัวนี่แล้วหนีไปสัมผัสกับโลกแห่งความตายขึ้นมาอีกครั้ง...
.
...คราวหน้าเขาจะระวังตัวให้มากกว่านี้
“นี่ไอ้น้องปีหนึ่ง...
กินให้เร็วๆล่ะ อย่ามาทำตัวเกะกะให้เป็นภาระแฟนพี่...เข้าใจ๋?” อดีตเดือนมหาลัยที่ตั้งตนเป็นใหญ่ด้วยอาศัยขนาดตัวเข้าข่ม
กำชับกับเด็กปีหนึ่งผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เสียงเข้ม... เก็กต้องการกำราบไอ้เด็กอ่อนด๋อยคนนี้ให้ไม่กระด้างกระเดื่อง
เพราะถ้าน้องเชื่องและทำความต้องการของเขาได้มากเท่าไร
บ๊วยก็จะเหนื่อยน้องลงมากขึ้นเท่านั้น
((ทุกทีมเข้าใจกติกาดีแล้วนะครับ...
...พร้อมกันหรือยังเอ่ย...
...เอาล่ะ! ถ้าพร้อมแล้ว...
...เรามานับถอยหลังไปพร้อมๆกันเดี๋ยวนี้เลยดีกว่า... ))
“ไอ้สัดเต๋อ
ไอ้หัวจุก สุดหล่อกังฟู......สู้ตายว้อยยย!!! / ไอ้เตี้ย...ต้องยืนก่อนวิ่งนะเว่ย!! /
ห้าห้าสี่สู้!...เฮ่ย์!!! (ทั้งหมดที่ว่ามา...ดูเหมือนว่าจะเป็นเสียงของสกลล้วนๆ) /
ให้ว่องเลยไอ้น้อง...เฮ่ย! ก้มหน้าลงไป!! อย่ามาจ้องแฟนพี่! /พี่หมี...อย่าขู่น้องสิครับ!!”
เสียงตะโกนที่ฟังไม่ได้ศัพท์ดังออกมาจากปากของสมาชิกทั้งสามทีม
ที่ดูขึงขังและเอาจริงเอาจังกับการแข่งขัยเป็นที่สุด
แม้พวกเขาจะมีปัญหาความไม่สงบภายในก่อนจะตบเท้าย่างกรายเข้าสู่ฐานแรก
แต่รางวัลล่อใจอันหอมหวานที่รออยู่หลังเส้นชัย...กลับทำให้คำว่าสามัคคีผุดผ่านกะโหลกหนาๆขึ้นมาปรากฏในหัวสมองของแต่ละคนเป็นครั้งแรกอย่างน่าอัศจรรย์ใจหาใดเปรียบ...
นี่สินะที่เขาว่า การกีฬาสร้างสามัคคี
(( ...ห้า...สี่...สาม...สอง...(ปรี๊ดดดดดดดดด!!) ))
Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ
No comments:
Post a Comment