Friday, June 19, 2015

◘ ชั่ว...ฟ้า ดินสลาย ◘ #08 || 19.06.2015


#08




หลังจากถอยรถเข้าซองตรงที่จอดชั่วคราวของคณะครุศาสตร์เป็นที่เรียบร้อย
รักษ์อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายยังหลับไหล กวาดสายตาไปตามร่างบางที่นอนหลับคอพับคออ่อนอยู่ตรงเบาะข้างคนขับ
เช้านี้เป็นเช้าที่สี่ที่จ้าผล็อยหลับทันทีที่ถูกลากถูกจูงให้มานั่งจุมปุ๊กเป็นตุ๊กตาหน้ารถของเขา


“จ้า...
.
...จ้าครับ ตื่นเถอะ” ตำรวจหนุ่มวางฝ่ามือลงบนหัวไหล่ เขย่าเบาๆเพื่อปลุกให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นเพื่อไต่ถามสารทุกข์สุขดิบด้วยความเป็นห่วง

“เอ่อ... ครับ ถึงแล้วเหรอครับพี่รักษ์?” รุ่งรวีหยัดตัวทิ้งน้ำหนักลงบนสะโพกพลางขยี้ตา

“เพิ่งถึงเมื่อกี๊เอง... ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวพี่เดินไปส่ง” รักษ์ตั้งท่าจะดับเครื่อง แต่เสียงเบาๆแฝงความเกรงใจของเด็กหนุ่มกลับรั้งตัวเขาให้ชะงัก

“ไม่ต้องเดินไปส่งหรอกครับ เดี๋ยวจ้าเดินไปเองได้... ขอบคุณนะครับที่มาส่ง” รุ่งรวีไหว้ขอบคุณตำรวจหนุ่มไม่ต่างไปจากทุกๆวันเพื่อแสดงความซาบซึ้งในน้ำใจของผู้กองหนุ่ม รักษ์ยื่นมือไปแตะข้อศอกของนิสิตหนุ่ม

“จ้า...คุยกับพี่ก่อนได้ไหมครับ?... พอดีพี่มีเรื่องจะบอก”

“ครับ?” เสียงออดอ้อนนุ่มๆของรักษ์ ไม่ทำให้เด็กหนุ่มรีบกลืนคำปฏิเสธลงคอได้ไวเท่ากับสีหน้าวิงวอนที่ฉายชัดบนใบหน้าของตำรวจหนุ่มนอกเครื่องแบบ “ได้ครับ... พี่รักษ์มีอะไรเหรอครับ?”

“ตั้งแต่อาทิตย์หน้าเป็นต้นไป พี่จะว่างมารับจ้าตอนเย็นเหมือนช่วงแรกๆแล้วนะครับ เลิกเรียนแล้ว จ้านั่งรอพี่ที่คณะนะ...
.
...แล้วเราค่อยกลับบ้านพร้อมกัน  ตกลงไหมครับจ้า?” รอยยิ้มกว้างของรักษ์คือผลจากการเผลอใจวาดหวังไกลไปถึงช่วงหลังเลิกงานของอาทิตย์หน้า...

แม้จะไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน แต่นั่นก็หมายความว่า...
เขาจะได้เจอหน้าเด็กหนุ่มให้หายคิดถึง มากกว่าแค่แอบสุขกับการลอบมองใบหน้ายามหลับของอีกฝ่ายอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้


“เอ่อ...
.
...คงไม่ได้หรอกครับพี่รักษ์” จ้าอึกอัก...ดวงตาโศกกลอกไปมาโดยไร้จุดพัก

“อ้าว! ทำไมล่ะจ้า? จ้ามีเรียนชดเชย ต้องทำรายงาน...หรืออ่านหนังสือสอบเหรอครับ?” รักษ์จี้ถามเร็วรัว... จ้าไม่ว่าง? นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร...ในเมื่อวิชาสุดท้ายตามตารางเรียนเทอมนี้ของเด็กหนุ่มเสร็จสิ้นไม่เกินห้าโมงเย็นนี่นา

“เปล่าครับ จ้าต้องไปทำงานพิเศษตอนเย็นน่ะครับ” เด็กหนุ่มจำใจยอมรับทั้งที่เขาตั้งใจจะไม่บอกอีกฝ่ายให้ต้องมาคอยเป็นห่วงด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง จำพวก...การใช้เวลาว่างในแต่ละวันของเขา

“จ้าเริ่มทำงานพิเศษตั้งแต่เมื่อไรกันครับ? คุยกันอยู่ทุกคืน...ใจคอไม่คิดจะบอกพี่หน่อยให้รู้หน่อยเหรอ?” ตำรวจหนุ่มตัดพ้อด้วยท่าทีไม่จริงจังนัก...ผิดกับความรู้สึกน้อยใจรุนแรงที่บีบรัดจนในอกหวิวไหวไปหมด

“จ้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดพี่รักษ์นะครับ...
...พอดีจ้าเพิ่งเริ่มงานเมื่อไม่กี่วันก่อน แล้วงานมันก็ยังไม่แน่นอน...
.
...จ้าเลยไม่ได้บอกให้พี่รักษ์รู้” รุ่งรวีตั้งใจปดทั้งเรื่องวันเริ่มงาน และสถานะของงานที่เขากำลังทำอยู่... งานที่กัลป์เสนอให้ ดูจะเป็นงานถาวรยิ่งไปกว่างานไหนๆที่เขาเคยทำมาก่อน

“หึ หึ! ไม่เห็นต้องทำหน้าเครียดแบบนั้นเลยจ้า” รักษ์ทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนทันทีที่เห็นอาการไม่สบายใจของรุ่งรวี  

“ที่พี่ถาม เพราะว่าพี่แค่แปลกใจเฉยๆ ไม่ได้จะต่อว่า...
.
...ว้า... แล้วอย่างนี้พี่จะได้เจอหน้าจ้าตอนไหนกันล่ะเนี่ยะ...
...ถ้าจ้าต้องทำงานตอนเย็นจริงๆ งั้น...เอางี้ไหม... จ้าให้พี่ไปรับที่ทำงานแล้วไปส่งบ้านแทนดีไหมครับ?” รักษ์ยังไม่ละความพยายาม ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆต่อวัน  แต่อย่างน้อยๆ เขากับจ้าก็จะได้ร่วมโต๊ะกินข้าวเย็นด้วยกัน และเขาจะเป็นคนสุดท้ายที่ได้ส่งเด็กหนุ่มเข้าบ้าน

“อย่าดีกว่าครับ จ้าไม่รู้ว่าแต่ละวัน งานจะเสร็จกี่โมง ไม่อยากให้พี่รักษ์ต้องคอยนาน” เด็กหนุ่มบอกปัดด้วยไม่อยากสร้างความลำบากใจให้แก่นายจ้างและผู้กองหนุ่ม

“งานอะไรเหรอจ้า...ทำไมเวลาเลิกงานถึงไม่แน่นอนเลยล่ะ? เอ่อ...โทษที พี่ถามได้ใช่ไหมครับ?” การรักษาระยะห่างอย่างสุภาพของรักษ์ทำให้จ้ายอมเปิดปาก

“จ้ารับจ้างทำความสะอาดตามบ้านน่ะครับ”

“อ๋อ...อืม อย่างนี้นี่เอง เข้าใจล่ะ...
...ก็จริงเนอะ... ถ้าวันนั้นบ้านสกปรกมาก ก็ต้องใช้เวลาทำมากกว่าปกติอยู่แล้ว...
.
...งั้นไม่เป็นไรครับ...
...พี่จะแลกเวรกับเพื่อน พี่จะได้มาส่งจ้าที่มหาลัยเหมือนเดิมดีกว่า อย่างน้อยๆเราจะได้เจอหน้ากันทุกวัน...
...ตกลงตามนี้นะครับ” ตำรวจหนุ่มรีบสรุปก่อนที่อีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ พลางไล่นึกรายชื่อเพื่อนหรือรุ่นน้องที่ตนสามารถขอแลกเวรเข้าทำงานตามตารางที่ต้องผลัดเปลี่ยนกะทันหันอยู่ยกใหญ่  แต่แล้วคำถามตะกุกตะกักของจ้าก็ดึงความสนใจทั้งหมดของเขาไปที่เจ้าตัวได้ทันที 

“เอ่อ... พี่รักษ์จะไม่ลำบากเหรอครับ? จ้าเกรงใจ” ...จนป่านนี้เจ้าตัวเล็กยังสงวนท่าทีและรักษาระยะห่างไม่ต่างจากวันแรกที่รู้จักกันไม่มีผิด  หรือว่าท่าทีของเขาจะยังไม่โจ่งแจ้งมากพอ?!

“ปล่อยเรื่องนั้นให้พี่จัดการเองเถอะครับ... สรุปว่าจ้าตกลงแล้วนะ” ตำรวจหนุ่มรวบรัดตัดความจนรุ่งรวีต้องยินยอมตามความต้องการของอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้

“คระ..ครับ ก็ได้ครับ”


เมื่อเรื่องแรกได้ข้อสรุป
รักษ์ก็ไม่ปล่อยให้เวลาให้เปล่าประโยชน์
เขายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องการคำอธิบายจากอีกฝ่าย... ก็ท่าทางอิดโรยอดหลับอดนอนของรุ่งรวีนั่นปะไร
เด็กหนุ่มมีเรื่องไม่สบายใจอะไร ทำไมจึงปล่อยตัวให้โทรมจนน่าเป็นห่วงได้มากขนานี้... สาเหตุจะใช่ลุงบังเกิดเกล้าผู้นั้นหรือเปล่า?


“จ้าครับ”

“ครับ?” ดวงตาโศกชำเลืองมองหน้าคมของตำรวจหนุ่มที่จับจ้องใบหน้าเขาไม่วาง

“ตอนกลางคืนยังคิดมากเรื่องหรั่งอยู่อีกหรือเปล่าครับ?” จ้าไม่รับรู้ถึงความเป็นห่วงในน้ำเสียงของรักษ์ เพราะใจความทำให้ใจเด็กหนุ่มกระตุกวูบ

“พี่รักษ์ถามทำไมครับ?” เด็กหนุ่มถามเสียงกระด้าง

“พี่ว่าจ้าดูไม่ค่อยสดชื่นเหมือนคนไม่ค่อยได้พักผ่อนน่ะ... ดูตาโรยๆชอบกล” รักษ์ออกความเห็นตามความเป็นจริง

“จ้าไม่เป็นอะไรครับ  แค่อ่านหนังสือดึกไปหน่อย” รุ่งรวียังคงเก็บงำความลับเรื่องของหรั่งเอาไว้กับตัวโดยไม่คิดจะปริปากบอกใคร

“อย่างนั้นเหรอ... แต่ถ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจ บอกพี่ได้เลยนะ” รักษ์ยืนยันคำมั่น แต่คำสัญญานั้น...เหมือนจะปลิวตามลมไปโดยไม่กระทบหูอีกฝ่าย เพราะรุ่งรวีร้อนรนเสียจนไม่อาจรั้งรออยู่ในห้องโดยสารได้อีกสักวินาที

“ครับ...จ้าไปเรียนก่อนนะครับ หวัดดีครับพี่รักษ์” ก่อนเด็กหนุ่มจะผลุนผลันลงจากรถไป รักษ์ก็ไม่ลืมกำชับอีกฝ่ายถึงเรื่องสำคัญต่อหัวใจอีกเรื่อง

“ไว้คืนนี้พี่โทรหานะครับ”

“ครับ” ผู้กองหนุ่มทอดสายตาตามแผ่นหลังบางของจ้าที่วิ่งลับตาไปอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดแม้แต่จะหันหลังกลับมามอ รักษ์ได้แต่ครุ่นคิดถึงคำตอบแบบขอไปทีของอีกฝ่าย...


โหมอ่านหนังสือจนขอบตาคล้ำเป็นแพนด้า... พอขึ้นรถมา..ก็หลับทันทีอย่างนั้นน่ะเหรอ?


ทั้งที่ได้ฟังคำตอบออกจากปากของคนตัวเล็กด้วยตัวเอง
ถึงอย่างนั้น...ทำไมเขาถึงยังรู้สึกเป็นห่วงอีกฝ่ายอย่างประหลาดแบบนี้อยู่อีกล่ะ? 
เพราะสายตาหลุกหลิก น้ำเสียงกระอึกกระอัก กับท่าทีพร้อมจะหลบหลีกทุกเมื่อนั่นใช่ไหม...
ที่เป็นตัวการใหญ่ทำให้เขายังหวั่นใจไม่หาย?!


แต่ก็นั่นแหละ...เขาจะวางใจหายห่วงได้อย่างไร 
ในเมื่อ...ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา...แค่กระโดดขึ้นรถได้สักพัก อีกฝ่ายก็หลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องรู้ราว

พอขับมาส่งถึงหน้าคณะ...
เจ้าตัวเล็กที่ยังงัวเงียตั้งลำไม่ถูกก็นั่งงงอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะฉวยกระเป๋ากับหนังสือออกตัววิ่งตื๋อขึ้นตึกไปแบบไร้สติ  

ทุกคืนที่โทรไปหา... จ้าก็เอาแต่ถอนหายใจกรอกใส่ข้างหู ถามอะไรก็ได้แต่ตอบรับหรือปฏิเสธสั้นๆ
พอเจอหน้าตอนเช้าของอีกวัน กลับดูเหนื่อยเหมือนกรำงานหนักมาทั้งคืนทั้งๆที่เพิ่งตื่นนอนแท้ๆ...


ถึงวันนี้จ้าจะยังไม่ยอมบอกก็ไม่เป็นไร...
เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยลองพยายามตะล่อมถามใหม่อีกทีก็แล้วกัน 
หวังว่าเจ้าตัวเล็กของเขาจะยังปลอดภัยและไม่เป็นอะไรไปเสียก่อนนะ


------------------------------------------------------------------------------------


“อ่ะนี่จ๊ะ” เมื่อเห็นของทั้งหมดที่เจ้าหน้าที่ธุรการประจำภาควิชาของกัลป์ยื่นให้ รุ่งรวีก็ไม่อาจเก็บคำถามคาใจเกี่ยวกับซองจดหมายสีขาวซองใหม่เอาไว้ได้

“เอ่อ...ทั้งหมดนี่ของผมเหรอครับ?!

 “จ๊ะ...กุญแจห้องทำงานอาจารย์กัลป์กับซองจดหมายของวันนี้...
.
...เด็กสมัยนี้นี่น่ารักเนอะ กลับมาเขียนจดหมายหากันเหมือนเมื่อก่อน... ย้อนยุคสุดๆ” เจ้าหน้าที่สาวตั้งข้อสังเกตตามประสาคนอารมณ์ดี

“พี่แก้วครับ.. ใครฝากจดหมายมาให้ผมเหรอครับ?” ในที่สุดโอกาสที่เด็กหนุ่มจะได้ถามถึงที่มาของซองจดหมายก็มาถึง เขาภาวนาในใจไม่ให้คำตอบเป็นไปตามที่ตนเองแอบคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้า

“อ้าว! เราไม่รู้จักน้องคนนั้นเหรอ? พี่ก็นึกว่าเรากับน้องวิศวะคนนั้นเขียนจดหมายคุยเล่นกันเสียอีก เห็นปิดผนึกซองมาเสียเรียบร้อยเชียว” รุ่งรวีแทบจะลมจับเมื่อสิ่งที่ได้ยินไม่ผิดแผกไปจากสิ่งที่คาดหมายแม้แต่น้อย... เด็กวิศวะคนนั้น ต้องเป็นคนที่ มัน ส่งมาแน่ๆ

สายตาสงสัยออกหน้าออกตาของเจ้าหน้าที่ธุรการบังคับให้จ้าต้องคิดหาคำตอบเพื่อแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน...
เพราะถึงอย่างไร เขาคงป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือจากใครหน้าไหนได้แน่ๆ

“อ๋อ...เอ่อ... เอ้อ คือผมเขียนจดหมายคุยเล่นกับเพื่อนหลายคนน่ะครับ เลยไม่รู้ว่ารอบนี้เป็นของใคร” รุ่งรวีตอบส่งๆ หวังให้หัวข้อนี้ตกไปโดยเร็ว

“อุ๊ยตาย! น่ารักสุดๆ... เอาเป็นว่า หลังจากนี้...พี่จะเก็บซองจดหมายของเราเอาไว้ให้อย่างดีเลยนะจ๊ะ”

“ครับ ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มรับอย่างกระชับก่อนจะปลีกตัวหลบเข้าในห้องทำงานของกัลป์ทันที



เมื่อแน่ใจว่าปลอดสายตาของคนอื่น  มือผอมซีดก็ค่อยๆฉีกซองแล้วดึงเอากระดาษที่พับทบไว้ด้านในออกมา...
แรกสัมผัส... ความรู้สึกที่ต้องโดนผิว บอกจ้าว่า...สิ่งที่อยู่ด้านใน เป็นวัตถุเดียวกันที่นอนรออยู่ด้านในซองเมื่อวาน
มันคงส่งรูปอัปยศอีกใบมาให้เขาเพื่อเตือนความจำแน่ๆ

ทว่าเมื่อคลี่แผ่นกระดาษที่กรีดพับ...
คราวนี้กลับเป็นรูปตอนที่ตัวเขากับหรั่งกำลังปีนรั้วออกจากบ้าน...
หลังจากที่แอบหลบออกจากห้องนอนของบ้านร้างหลังนั้นได้สำเร็จ

แม้ภาพในมือจะเป็นเพียงภาพขาวดำไม่คมชัดเท่ากับภาพภายในห้องนอน
หากแต่ความจำของเด็กหนุ่ม ก็ปลุกให้ความจำเกี่ยวกับช่วงดึกสงัดของคืนนั้นกลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง...



หัวค่ำคืนนั้น...
หรั่งในชุดดำดูทะมัดทะแมงตามความชอบส่วนตัว
เข้ามาตามเด็กหนุ่มถึงที่บ้านเพื่อชักชวนกันออกไปนั่งรถเล่น...
จ้าไม่อิดออดด้วยรู้ดีว่า อีกฝ่ายต้องการทดสอบสมรรถนะมอเตอร์ไซค์คันใหม่ที่เจ้าตัวเพิ่งดาวน์มาได้ไม่กี่วันเหมือนกับทุกที

รุ่งรวีนั่งชื่นชมรอยสักรูปปีกขนาดใหญ่ตรงหัวไหล่ด้านหลังที่โผล่พ้นเสื้อกล้ามสีดำของหนุ่มรุ่นพี่โดยไม่ทันได้เฉลียวใจว่า
สถานที่ปลายทางของผู้ขับขี่ไม่ใช่ที่เดิมๆที่สองพี่น้องชอบแวะไปใช้เวลานั่งเล่นกันเหมือนอย่างเคย
หรั่งบอกว่า ปีกคู่นี้...จะนำพาให้เขาโบยบินไปสู้อิสระที่แสนไกล  ซึ่งมันจะเปิดโอกาสให้เขาได้เห็นโลกที่กว้างใหญ่กว่าสังคมเล็กๆภายในชุมชนแออัด

ทันทีที่เครื่องยนต์ดับลงและเทียบจอดในสุมทุมพุ่มไม้รกๆพุ่มหนึ่ง จ้าก็เริ่มใจไม่ดี...
เพราะที่ๆเขาทั้งสองกำลังยืนอยู่นี่ เป็นพื้นที่รกร้าง...มีเพียงบ้านหลังขนาดกลางๆหลังหนึ่งตั้งอยู่เท่านั้น  
เด็กหนุ่มร้องถามรุ่นพี่ด้วยความร้อนใจถึงเหตุผลของการมาลองรถในสถานที่ห่างไกลผู้คนจนน่ากลัว
เมื่อคนเป็นพี่เผยให้รู้ว่า... ตั้งใจจะมาสำรวจด้านในของบ้านร้างหลังนี้ให้ทั่วๆเสียหน่อย
เพราะเจ้าตัวเคยขี่รถผ่านหลายที...แต่กลับไม่มีวี่แววของเจ้าของบ้านเข้าอยู่อาศัย  

หลังจากแต่ละคนทุ่มเถียงกันด้วยเหตุผลของตนอยู่พักใหญ่
ท่าทีไม่หวั่นไหวสั่นคลอนของจ้า  ทำให้หรั่งตัดสินใจปีนรั้วเข้าไปในบ้านหลังนั้นทันทีโดยไม่รับฟังเสียงทักท้วง  

แต่ด้วยความเป็นห่วงพี่ชายต่างสายเลือด ผู้เป็นคนสำคัญเพียงคนเดียว
อีกทั้งยังเชื่อมั่นว่า ตนเองน่าจะโน้มน้าวอีกฝ่ายให้เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายได้
รุ่งรวีจึงรีบปีนตามเข้าบ้านหลังนั้นไปด้วยความทุลักทุเล...

โดยที่เขาไม่มีโอกาสรู้เลยว่า...
ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า...
มันจะกลับมาที่บ้านหลังนี้พร้อมกับเหยื่อที่ มัน พึงใจ เพื่อจะใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ระบายความใคร่...
และระบายความเครียดที่สะสมมาเป็นระยะเวลานานผ่านการทำลายผู้ชายคนอื่นให้ป่นปี้เป็นผุยผง
ใครเลยจะรู้ว่า การตัดสินใจพลาดเพียงหนเดียว...จะนำพาให้พวกเขาไปข้องเกี่ยวกับบุคคลที่อันตรายยิ่งกว่าที่ใครจะคาดคิด



ขณะที่ภาพความทรงจำกำลังไหลบ่ากลับเข้าสู่สมองของเด็กหนุ่ม
เสียงเตือนของอนุสติก็กูตะโกนกระชากให้เขากลับมาสู่โลกแห่งปัจจุบันกาลอีกครั้ง


ไม่! จิตใจของเขายังไม่พร้อม...
เขายังไม่อยากหวนนึกถึง มัน...


แม้คืนนั้น... เขาจะไม่เห็นหน้า มันสักครั้ง เหมือนอย่างที่หรั่งเห็นแอบเห็นแล้วก็เถอะ
แต่ความจริงอันเป็นต้นเหตุของเรื่องเลวร้ายที่พลิกผันชีวิตอันสงบสุขของเขาทั้งคู่ให้กลับตาลปัตรนั่น ก็เลวร้ายเกินกว่าจะทำใจยอมรับได้ภายในคราวเดียว






กัลป์ดีดตัวออกจากห้องเลคเชอร์ภายในอาคารเรียนรวมเพื่อกลับไปยังคณะโดยเร็วที่สุด
เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ช่วงขายาวๆของเขานำร่างสมส่วนน่ามองเดินขึ้นคณะไปยังลิฟท์ตรงหัวมุมตึก
จังหวะที่เขาจะเอื้อมมือไปกดลิฟท์นั้นเอง หางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นเด็กวิศวะคนหนึ่งที่ตนคุ้นหน้าทว่าห่างหายไปภายหลังจากการตายของมานะ เด็กหนุ่มที่อยู่ในการดูแลของตัวเขา...

ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นรัฐภาคย์ นิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ปีสามเดินลงบันไดคณะเขาด้วยท่าทางมีพิรุธ
เสี้ยวหน้าด้านข้างของนิสิตหนุ่มผู้นี้  กระตุ้นให้เขาระลึกได้ว่า
พักหลังๆมานี่...เขามักจะบังเอิญเจอหน้าอีกฝ่ายบ่อยๆ...
บ่อยเสียจนเขาแอบตั้งข้อสังเกต เพราะทุกๆครั้งที่เจอหน้ากัน จ้าจะป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆนั้นด้วยเสมอ...
.
.
.
จ้า...อย่างนั้นเหรอ?!
ใช่! จ้าต้องมารอกลับไปทำความสะอาดบ้านพร้อมเขานี่นา...
แสดงว่าจ้าเองก็ต้องอยู่ที่ด้านบนของตึกนี้เหมือนกัน!!!!
.
.
...รัฐภาคย์...กับ จ้า...
...หรือว่า?!!!!!


วินาทีนั้น...กัลปพฤกษ์ไม่อาจอดทนรอลิฟท์ได้อีกต่อไป
ชายหนุ่มวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นบันไดไปยังชั้นสี่... บริเวณที่กันไว้สำหรับอาจารย์ประจำภาคใช้ตระเตรียมการเรียนการสอน
กัลป์วิ่งผ่านพนักงานธุรการประจำภาคที่ส่งเสียงทักทายเขาอย่างร่าเริงดังเช่นทุกที  
อาจารย์หนุ่มที่ทิ้งมาดสุขุมเพื่อวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต หวังเพียงอย่างเดียวว่าเขาจะต้องไปช่วยจ้าให้ทัน...



และเมื่อบานประตูห้องพักอาจารย์เปิดขึ้น...
ภาพของเด็กหนุ่มที่นั่งคู้ตัวอยู่กับพื้นพลางสะอึกสะอื้นร้องไห้ ก็ทำให้เขารีบปิดประตูก่อนจะถลาเข้าไปหาร่างเล็กกว่าทันที


“จ้า!! คุณเป็นอะไร? ใครทำอะไรคุณ?”  กัลป์ถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงอย่างที่สุด

“...ฮึก...” เด็กหนุ่มที่ตกใจกับการปรากฏตัวแบบกะทันหันของผู้เป็นเจ้าของพื้นที่รีบปาดน้ำตา แล้วตอบอย่างตะกุกตะกัก “เปล่าครับอาจารย์... แค่ผงเข้าตานิดหน่อยน่ะครับ ไม่มีอะไรจริงๆครับอาจารย์กัลป์”  จ้าฝืนยิ้มส่งให้อีกฝ่ายหวังจะให้คนเป็นผู้ใหญ่คลายใจ ทว่ากลับไม่ได้ผล

“คุณโอเคจริงๆรึเปล่า? ไหวไหมจ้า?” ฝ่ามือใหญ่ประคองต้นแขนเซียวเอาไวอย่างเบามือแล้วเขย่าน้อยๆระหว่างที่ถ้อยคำทั้งหลายไหลผ่านริมฝีปากรูปกระจับของอาจารย์หนุ่ม

“ผมไม่เป็นอะไรจริงๆครับ”

“อย่างนั้นเหรอ... ไม่ได้มีใครมาหาเรื่องคุณแน่ๆนะ?...
.
...แต่หน้าคุณดูซีดจัง...
...นอนพอหรือเปล่า? รึว่าป่วย? กินข้าวหรือยังเนี่ย?” กัลป์ยังไม่หยุดซักไซ้ เวลาที่เป็นห่วงใคร...ชายหนุ่มมักจะถามอีกฝ่ายเยอะแยะจนอีกฝ่ายตั้งตัวตอบอย่างไม่หวาดไม่ไหวเสมอ

“หึ หึ หึ...อาจารย์กัลป์ครับ ไม่ต้องห่วงผมขนาดนั้นก็ได้ครับ...
...ตั้งแต่มาถึงที่นี่ ผมก็นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องของอาจารย์กัลป์ตลอดเวลา จะมีใครเข้ามาทำอะไรผมได้ล่ะครับอาจารย์...
.
...ถ้าไม่นับพี่แก้ว อาจารย์กัลป์ก็เป็นคนแรกที่ผมเจอที่นี่แหละครับ” กัลป์ลอบถอนหายใจทันทีที่ได้ฟังคำอธิบายตามจริงของเด็กหนุ่ม เขาโล่งอกไปได้หนึ่งเปลาะที่สังหรณ์ของเขา... เรื่องที่รัฐภาคย์แอบมาเจอหน้าจ้า ไม่เป็นความจริง

“ถ้าอย่างนั้น เราไปกันเถอะ เดี๋ยววันนี้ ผมต้องกวนคุณให้ทำห้องนอนให้ผมหน่อยนะ... ห้องผมไม่ได้ทำความสะอาดนานแล้วล่ะ”

“ครับ ได้ครับอาจารย์” ทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากห้องพักอาจารย์ไป โดยในครั้งนี้...กัลป์ได้มีโอกาสแก้ตัวกับเจ้าหน้าที่ธุรการผู้โอภาปราศรัยด้วยการอำลาอีกฝ่ายทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มที่สดใสไม่แพ้กัน


------------------------------------------------------------------------------------


“คุณกัลป์คะ... คุณกัลป์!

“มีอะไรเหรอครับนม?” ชายหนุ่มละสายตาจากคอมพิวเตอร์เพื่อเทความสนใจทั้งหมดให้กับหญิงวัยกลางคนผู้เป็นดั่งมารดาคนที่สองซึ่งมีทีท่าร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด

“นมขอแรงคุณกัลป์มาช่วยดูน้องจ้าหน่อยค่ะ น้องเป็นลมล้มไปเมื่อกี๊นี้เอง“ ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นทันทีที่ได้ยินสิ่งที่นมปิ่นบอกถ้าไม่ติดว่าเขายังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน... เขาคงจะปรี่ไปอุ้มมาเก็บไว้ใกล้ๆตัวเสียเดี๋ยวนี้


มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
ในเมื่อตอนที่นั่งกินข้าวด้วยกัน จนถึงเมื่อชั่วโมงที่แล้ว... สีหน้าท่าทางของเด็กหนุ่มก็ยังดูดีอยู่เลย  


“ครับ... ได้ครับ น้องอยู่ที่ไหนครับ?”

“ในครัวค่ะ รีบไปกันเถอะค่ะ ป้าเป็นห่วงน้อง... หน้าน้องซี๊ดซีดค่ะ”

“ครับ ครับ” ทั้งสองรีบรุดไปยังจุดพักที่ผู้อาวุโสอ้างอิง เพียงอึดใจ...ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าบ้านก็อุ้มร่างเล็กพากลับขึ้นบันไดมานอนลงบนเตียงในห้องนอนใหญ่ของตนเอง

“นมปิ่นครับ...
.
...เดี๋ยวกัลป์รบกวนนมปิ่นเช็ดตัวเช็ดหน้าให้น้องหน่อยนะครับ กัลป์จะไปเตรียมยาให้น้องก่อน” ชายหนุ่มเอ่ยพลางก้าวเดินมุ่งออกประตูไป ทว่าสายตากลับไม่ละห่างจากร่างบางที่ยังนอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง... นั่นจึงทำให้ขายาวๆของเขา กระแทกเข้ากับขอบประตูที่เปิดคาไว้อย่างจัง จนเจ้าตัวไม่อาจกลั้นเสียงร้องเอาไว้ได้ “โอ๊ย!

“โธ่ คุณกัลป์ของนม...
...เงอะๆงะๆแบบนั้น เมื่อไรน้องจะได้กินยาล่ะคะ?...
...คุณกัลป์มานั่งนี่ค่ะ... ให้นมไปเตรียมยากับน้ำให้น้องดีกว่านะคะ...
.
...ส่วนคุณกัลป์ มาเช็ดตัวให้น้องแล้วกันค่ะ...
...ทำเป็นใช่ไหมคะ?” นมปิ่นจ้องมองหน้าชายหนุ่มด้วยสายตาเอ็นดูไม่ผิดไปจากเมื่อครั้งที่กัลป์ยังเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ ที่หล่อนถามชายหนุ่ม...หาใช่เพราะไม่ไว้ใจหากจะปล่อยจ้าเอาไว้ในความดูแลของกัลป์ หากแต่เพื่อกระตุ้นให้เจ้าบ้านตั้งสติก่อนจะปรนนิบัตรพัดวีเด็กหนุ่มให้กลับฟื้นคืนสู่สภาพปกติได้อีกครั้ง

“ครับนม”

“นมฝากน้องด้วยนะคะ... อย่าซุ่มซ่ามจนทำน้องเจ็บไปก่อนนะคะคุณกัลป์”

“ครับ ไม่ต้องห่วงครับนมปิ่น” ชายหนุ่มรับคำด้วยสีหน้าหนักใจไม่น้อย


ทันทีที่นมปิ่นคล้อยหลังไป ชายหนุ่มก็ต้องเผชิญกับความลำบากใจเป็นล้นพ้น...
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มือทั้งสองข้างของเขาสั่นเกินควบคุม...
การปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวให้กับร่างบางที่นอนหายใจสม่ำเสมออยู่บนเตียง กลายเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าสิ่งใดที่ชายหนุ่มเคยกระทำ

ตั้งท่า รวบรวมสติได้ไม่นานเท่าไร...
เสียงอึกทึกคึกคักของหัวใจก็ทำกัลป์เปลี่ยนเป้าหมายจากการไล้ผ้าหมาดไปตามร่างกายของรุ่งรวี
มาเป็นการซับผ้าขนหนูไปตามใบหน้า และส่วนอื่นๆที่โผล่พ้นเสื้อออกมาเท่านั้น
นับว่าชายหนุ่มยังโชคดี เพราะผู้ช่วยชีวิตสุดแสนจะใจดีเดินยิ้มกลับเข้ามาในห้องพร้อมของใช้จำเป็นทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว


“นมมาพอดีเลย...
...ฝากนมดูน้องต่อทีนะครับ ผมเตรียมเสื้อผ้าชุดเล็กๆเอาไว้ให้น้องเปลี่ยนแล้ว...
...เดี๋ยวคืนนี้ให้น้องนอนห้องกัลป์แล้วกันครับ...
.
...เดี๋ยวกัลป์ขอตัวก่อนนะครับนม......เอ่อ...คือ...คือ...”


ชายหนุ่มสั่งความยืดยาวด้วยใบหน้าขึ้นสีแดงอย่างเห็นได้ชัด
ผู้อาวุโสกว่ายิ้มให้ด้วยความเอ็นดูกับอาการขวยเขินเกินควบคุมของอีกฝ่ายที่ไม่อาจพบเห็นได้บ่อยนัก
หล่อนรู้ดีว่าบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลมีรสนิยมทางเพศแบบใด...

ซึ่งนี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจปลีกตัวออกมาจากบ้านใหญ่
คุณชายของหล่อนไม่ต้องการสร้างความลำบากใจให้แก่บิดากับภรรยาใหม่ หากจะลงหลักปักฐานกับใครสักคน...
ซึ่งหล่อนเดาว่า ช่วงเวลาแห่งความสุขของกัลป์นั้น คงจะมาถึงในอีกไม่นานหลังจากนี้


“ค่ะ ค่ะ...ได้ค่ะ คุณกัลป์ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวป้าเช็ดตัวให้น้องเอง” นมปิ่นรับคำเป็นมั่นเหมาะ หากไม่ลืมถามเจ้านายน้อยๆด้วยความเป็นห่วง “แล้วคุณกัลป์จะไปนอนไหนล่ะคะคืนนี้?”

“เดี๋ยวกัลป์ไปนอนห้องเล็กครับ น้องจะได้นอนสบายๆ...
.
...ฝากน้องด้วยนะครับ” คนที่เดินเท่าไรก็ยังก้าวไปไม่พ้นประตูกำชับนมปิ่นที่กำลังกุลีกุจอปลดกระดุมเสื้อให้ร่างเล็ก จนอีกฝ่ายต้องวางมือเพื่อตอบรับชายหนุ่มอย่างเสียไม่ได้... หล่อนอดอ่อนใจกับคนขี้หวงขี้ห่วงคนนี้ไม่ได้จริงๆ  

“ค่า ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกค่ะ คนสำคัญของคุณกัลป์ทั้งที...นมจะดูแลไม่ให้ยุงไต่ไรตอมได้สักตัวเลยค่ะ”

“ขอบคุณครับนม” กัลป์ยกมือไหว้ผู้อาวุโส แล้วจึงยอมผละออกไปยืนสูดลมหายใจลึกๆเพื่อปรับอารมณ์ให้เป็นปกติตรงทางเดินหน้าห้อง... 


เขาจะทำอย่างไรกับภาพผิวกายขาวละเอียดของจ้าที่เพิ่งเห็นไปเมื่อครู่ดีล่ะ?...  
ดูท่าแล้ว...สมองของเขาน่าจะประมวลผล และแอบบันทึกเก็บเอาไว้ในส่วนความจำถาวร ซึ่งสามารถย้อนกลับมาเล่นใหม่ ทำร้ายหัวใจให้เตลิดแบบไม่ดูเวล่ำเวลาแน่ๆ...

แค่เห็นเนื้อตัวของน้องแค่เพียงเดี๋ยวเดียว... เขายังรู้สึกร้อนรุ่มจนว้าวุ่นไปหมด
ถ้าอีกฝ่ายยอมรับความรู้สึกที่เขามีเมื่อไร เขาจะไม่ดีใจจนตายไปเลยหรอกหรือ?






ก่อนเข้านอนคืนนั้น...
ร่างสูงค่อยๆหมุนลูกบิดประตูด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด ก่อนจะค่อยๆเดินด้วยปลายเท้าเข้ามาหยุดอยู่ตรงข้างๆเตียง
ชายหนุ่มพินิจใบหน้านวลใต้แสงโคมไฟหัวเตียงที่เปิดทิ้งไว้เพื่อกันไม่ให้ร่างเล็กตกใจหากเผลอตื่นขึ้นกลางดึก

รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นตรงมุมปากของใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพสร้าง เมื่อเจ้าตัวระลึกได้ว่า...
คนตัวเล็กกำลังนอนหลับสบาย อยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับที่ตนใช้ห่มนอนอยู่ทุกค่ำคืน...

จะดีแค่ไหนกัน หากที่ว่างข้างๆเรือนร่างบอบบางของจ้า ถูกเติมเต็มด้วยความอบอุ่นจากกายเขา?
สิ่งที่เขาต้องทำในเวลานี้ คืออดทนรอจนกว่าอีกฝ่ายยอมเปิดใจให้กับเขาร้อยเปอร์เซนต์เท่านั้น

ขณะกำลังเพริดไปในวิมานกลางอากาศ...
เสียงสั่นต่ำสม่ำเสมอที่ฟ้องการทำงานของโทรศัพท์มือถือ เร่งเร้าให้กัลป์ควานหาเจ้าเครื่องมือที่อาจก่อกวนฝันหวานของร่างเล็กทันที หลังจากลงมือค้นกระเป๋าสะพายประจำตัวเด็กหนุ่มอยู่สักพัก แสงวาบวาวบนหน้าปัดที่ก้นถุง ทำให้เขาตัดสินใจรับสายโดยไม่ทันได้อ่านรายชื่อเจ้าของหมายเลข


“ฮัลโหล?” กัลป์ถือวิสาสะรับสาย ทว่าปลายทางกลับเว้นช่องไฟด้วยการเงียบใส่เอาดื้อๆ...


ในไม่มีคนต้องการคุยกับจ้าตามที่เขาเข้าใจ และเพื่อป้องกันไม่ให้โลกภายนอกรบกวนการพักผ่อนของคนตัวเล็ก...
ชายหนุ่มจึงกดตัดสายแล้วปิดเครื่องทันที

หวังว่าคืนนี้...
ร่างเล็กจะนอนหลับสบายในสถานที่ส่วนตัวซึ่งเขาไม่เคยอนุญาตให้ผู้ใดเข้ามากล้ำกลายอย่างใกล้ชิด...
ดังที่จ้าได้รับสิทธิโดยสิเน่หาแม้เจ้าตัวไม่เคยร้องขอก็ตาม


------------------------------------------------------------------------------------



เด็กหนุ่มกระพริบตาถี่ๆเมื่อแสงจากภายนอกส่องเข้ามาแทงสายตาจนไม่อาจขืนหลับได้อีกต่อไป
แต่เมื่อเหลียวมองไปรอบตัว  สภาพห้องที่แตกต่างจากห้องนอนขนาดย่อมของตัวเองราวฟ้ากับเหว
ก็ทำให้รุ่งรวีรู้ในทันทีว่า... ห้องๆนี้ คือ สถานที่สุดท้ายซึ่งเขาได้รับมอบหมายให้เข้ามาทำความสะอาดเมื่อช่วงหัวค่ำของวันวาน  


“อ้าวน้องจ้า... นมกำลังจะเข้ามาปลุกพอดี รู้สึกยังไงบ้างคะ? ปวดหัวหรือเปล่า?” เสียงทักทายไต่ถามของนมปิ่นที่เพิ่งเดินหอบข้าวของติดไม้ติดมือมาหลายชิ้นทำให้เขารู้ว่า การนอนค้างในห้องอาจารย์กัลป์ของตัวเอง...ไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิด แล้วสาเหตุล่ะ...คืออะไร?

“ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับนมปิ่น?”

“หลังจากทำห้องคุณกัลป์เสร็จ น้องจ้าก็เป็นลมล้มพับอยู่ตรงหน้าห้องเก็บของ...
...นมเลยไปขอให้คุณกัลป์มาช่วยอุ้มน้องจ้าขึ้นมานอนที่ห้องเธอนี่แหละค่ะ” นมปิ่นอธิบายพลางแขวนเสื้อผ้าไว้ตรงหน้าตู้

“แล้วอาจารย์กัลป์ล่ะครับนมปิ่น อาจารย์กัลป์ไปไหนเหรอครับ?” เขาอดละอายใจไม่ได้ที่เผลอเป็นลมจนผู้ใหญ่และนายจ้างหัวปั่นไปกันหมด

“เธอไปนอนห้องรับรองแขกค่ะ เธออยากให้น้องจ้านอนให้สบายๆน่ะค่ะ” นมปิ่นตอบตามความเป็นจริงโดยละรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่างที่อาจทำให้เด็กหนุ่มตั้งแง่รังเกียจรังงอนนายน้อยของหล่อนเอาไว้

“น้องจ้าอาบน้ำแต่งตัวเถอะค่ะ จะได้ลงไปกินข้าวเช้าพร้อมคุณกัลป์... ป่านนี้เธอคงตื่นแล้วล่ะค่ะ...
.
...เสื้อผ้าน้องจ้า นมแขวนไว้ตรงหน้าตู้แล้วนะคะ...
...ซักรีดให้เรียบร้อยแล้วค่ะ หอมสะอาดเหมือนใหม่ ใส่ไปเรียนได้เลยค่ะ”หล่อนว่าพลางชี้ทางไปห้องน้ำ และย้ำเรื่องตำแหน่งของเสื้อผ้าและอุปกรณ์จำเป็นต่างๆให้เด็กหนุ่มตามประสาเจ้าบ้านที่ดี

“ขอบพระคุณมากครับนมปิ่น... เพราะผมแท้ๆ นมปิ่นกับอาจารย์กัลป์เลยต้องพลอยลำบากไปกันหมด” จ้ายกมือไหว้ท่วมหัวท่วมหู เขากระดากจนแทบไม่อยากจะมองหน้าใครในบ้านหลังนี้แบบเต็มๆตาอีกแล้ว

“อย่าพูดอย่างนั้นให้คุณกัลป์เธอได้ยินเชียวนะคะ ไม่งั้นคุณกัลป์ของนมต้องเสียใจมากแน่ๆ” นมปิ่นเอ็ดเบาๆ เธอแน่ใจว่า..ถ้อยคำของเด็กหนุ่มสามารถบ่อนทำลายกำลังใจของนายน้อยของบ้านได้แน่ๆ

“ทำไมล่ะครับ?”

“เอาไว้น้องจ้าไปถามคุณกัลป์เธอเองดีกว่าค่ะ...
.
...นมขอตัวไปเตรียมมื้อเช้าก่อนนะคะ”  เรื่องละเอียดอ่อนทำนองนี้ ให้เจ้าตัวเป็นคนคลี่คลายให้เด็กหนุ่มฟังคงดีกว่า ปล่อยให้คนนอกอย่างหล่อนเข้าไปก้าวก่าย

“ครับ ขอบพระคุณนมปิ่นมากๆครับ”


จ้าใช้เวลาจัดการตัวเองเพียงไม่นาน
จากนั้นจึงเดินลงมาสมทบกับกัลป์ที่โต๊ะอาหารตามที่ผู้อาวุโสได้แจงเอาไว้ล่วงหน้า
อาจารย์หนุ่มเอ่ยปากชักชวนแขกให้ร่วมโต๊ะกินข้าว ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้อ้าปากขอโทษขอโพยกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนไม่เป็นอันทำอะไรกันไปทั้งสองคน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า...กัลป์จะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปโดยไม่สะสางหรือแก้ไขให้ถูกจุด


“ตอนนี้คุณรู้สึกดีขึ้นหรือยังจ้า? อาการเป็นยังไงบ้าง?” กัลป์ถามร่างเล็กที่นั่งข้างๆทันทีที่ชายหนุ่มออกรถมุ่งหน้าไปยังมหาวิทยาลัยของทั้งคู่ เด็กหนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบตามความเคยชิน... การไม่เปิดเผยเรื่องส่วนตัวหรือความรู้สึกให้กับคนที่ตนไม่รู้จักขนาดยอมไว้เนื้อเชื่อใจ คือสิ่งที่รุ่งรวีมักจะทำจนติดเป็นนิสัย  

“เอ่อ... ผมปกติดีครับอาจารย์”

“ปกติที่ไหนกันจ้า!!  ใครเขาเป็นลมกันง่ายๆแบบคุณกัน?” กัลป์ขึ้นเสียง หากไม่ติดว่าเขาต้องบังคับพวงมาลัยต่อสู้กับบรรดารถรามากมายเต็มท้องถนน เขาจะเทียบจอดข้างทางเพื่อพูดคุยกับอีกฝ่ายให้รู้เรื่อง

“....เอ่อ....” เด็กหนุ่มอ้ำอึ้ง ความกดดันที่ลอยเอื่อยๆไปทั่วห้องโดยสารบอกให้จ้ารู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมรามือง่ายๆหากไม่ได้คำตอบที่ถูกใจ

“ผมเคยบอกใช่ไหมว่า มีเรื่องอะไรให้บอกผม...
...แล้วนี่ทำไมถึงฝืนตัวเองจนเป็นลมเป็นแล้งไปแบบนี้?”... จริงดังที่เด็กหนุ่มรู้สึก... กัลป์ยังไม่ยอมลดราวาศอก คงเป็นเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเขามากเกินกว่าจะยอมดูดายปล่อยให้คลี่คลายไปเองได้ล่ะมั้ง

“คือ...ผมไม่คิดว่าตัวเองจะอ่อนแอขนาดเป็นลมไปง่ายๆน่ะครับ” คำตอบของเด็กหนุ่มทำให้กัลป์หงุดหงิดได้ในชั่วพริบตา ใครกันจะไม่ใส่ใจในสุขภาพของตัวเองได้มากขนาดเด็กคนนี้... นี่จ้าเคยห่วงตัวเองบ้างไหม?!

“จ้า! คุณคิดแบบนี้ได้ยังไง?!!...
.
...ลองคิดดูสิว่า ถ้าคุณไม่ได้ทำงานที่บ้านผม...ไปทำงานกับคนอื่น หรือเมื่อคืนตอนที่คุณเป็นลม...
...คุณเกิดเดินอยู่ข้างถนน ป่านนี้ลุงคุณไม่ต้องรอรับโทรศัพท์จากตำรวจหรือโรงพยาบาลแทนเหรอไงคุณ?”

ชายหนุ่มบ่นไม่ไว้หน้า
แค่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นอะไรไปโดยที่เขาไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ กัลป์ก็แทบคลั่ง...
แล้วถ้าคนเป็นลุงเกิดรู้เรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ ลุงของจ้าจะเศร้าขนาดไหนกัน?  


คำพูดของกัลป์ทำให้เด็กหนุ่มฉุกคิดอะไรได้ “อ๊ะ! จริงด้วยครับ... ขอโทษนะครับอาจารย์กัลป์... ขอผมเช็คโทรศัพท์แป็บนึง เผื่อเมื่อคืนลุงจะโทรมาตาม” พอเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของคนตัวเล็กผ่านหางตา อาจารย์หนุ่มจึงรีบออกตัวเพื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความผิดกึ่งหนึ่งที่เขาเป็นผู้ร่วมกระทำโดยเจตนาและปรารถนาดีที่มีต่ออีกฝ่ายอย่างเต็มเปี่ยม

“เออ...ผมลืมบอกคุณไป...
.
...เมื่อคืนผมถือวิสาสะปิดโทรศัพท์ของคุณเพราะอยากให้คุณได้พักผ่อนเต็มที่...
...ขอโทษด้วยที่เอาแต่ห่วงคุณจนลืมไปเลยว่าทางผมยังไม่บอกผู้ปกครองคุณเรื่องที่กักตัวคุณเอาไว้ที่บ้านทั้งคืน”

“ไม่เป็นไรหรอกครับอาจารย์”  ที่เด็กหนุ่มสามารถพูดจาปลอบใจอีกฝ่ายได้คงเป็นเพราะ เมื่อเปิดเครื่อง...นอกจากหมายเลขของรักษ์กับอีกสายตอนเที่ยงคืน... ก็ไม่มีเบอร์ใครอื่นโทรมาฝากสายเอาไว้ในส่วนของสายที่ไม่ได้รับอีก “เดี๋ยวเอาไว้กลับบ้านเย็นนี้ผมค่อยอธิบายให้ลุงฟังอีกที”...ถ้าลุงจะยอมออกจากบ่อนเพื่อกลับมานอนบ้านสักคืนสองคืนน่ะนะ

“อย่างนั้นเหรอ...
...แต่ถ้าลุงคุณไม่เข้าใจ จะให้ผมไปอธิบายทุกอย่างให้ลุงของคุณฟังด้วยตัวเองก็ได้นะ ผมยินดี...
...ไหนๆผมเองนี่แหละ ที่เป็นคนทำให้คุณไม่ได้กลับบ้านทั้งคืน” กัลป์อาสาด้วยความเต็มใจ

“อาจารย์กัลป์ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกครับ...
.
...ลุงผมใจดี รับรองเลยว่าถ้าลุงได้ฟังเหตุผล ลุงคงไม่ว่าอะไรผมแน่ๆครับ” เด็กหนุ่มโกหกซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อรักษาหน้าตาให้กับลุงผู้อุปการะเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็กๆ

“งั้นก็ดี” ชายหนุ่มตัดบท ก่อนจะวกเข้าเรื่องสำคัญที่ถูกแทรกเมื่อครู่ใหญ่ๆก่อนหน้า “เออ... ว่าแต่คุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่าคุณไปทำอีท่าไหน ทำไมถึงได้ปล่อยให้ตัวเองเป็นลมได้?” ชายหนุ่มอาศัยจังหวะไฟเหลืองชะลอรถก่อนจะหยุดรอสัญญาณไฟแดงตรงแยกที่ติดยาวเป็นหางว่าวเพื่อเบือนหน้าไปส่งสายตากดดันให้คนที่นั่งข้างๆ

“....เอ่อ.....คือ...”

“เรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้ คุณห้ามโกหกผมเด็ดขาดนะจ้า!” กัลป์ขู่ด้วยสีหน้าจริงจัง... ถ้าจะบอกว่าดุจ้า ก็คงจะไม่ผิด

“คือ...ผมไม่ได้นอนมาเกือบๆสี่คืนแล้วครับ” เด็กหนุ่มแย้มพราย

“แล้วคุณมัวแต่ทำอะไรอยู่ ทำไมถึงไม่ยอมหลับยอมนอน?! อ่านหนังสือเตรียมสอบเหรอ?”

“เปล่าครับ...
...ผม...
.
...ผมนอนไม่หลับครับอาจารย์กัลป์” คนร้ายเริ่มจะกลับใจและยอมให้การสารภาพแต่โดยดี ทั้งที่หากเป็นคนอื่น... ต่อให้หลอกล่อ หรือเอาน้ำเย็นเข้าลูบ จ้าคงจะไม่ให้ความร่วมมือขนาดนี้

“เป็นเด็กเป็นเล็กแท้ๆ มีเรื่องกลุ้มใจอะไรนักหนา? คิดอะไรอยู่ถึงได้ฝืนไม่นอนจนร่างกายทนไม่ไหวแบบนี้?” อาจารย์หนุ่มจ้องมองเจ้าของแววตาโศกที่บัดนี้ไหวระริกไปมาไม่อยู่สุข ก่อนจะตีความหน้าตาหมองๆของอีกฝ่ายออกมาในรูปของคำถาม ตามความรู้สึกที่เขารับรู้

“มันเรื่องใหญ่มากเลยเหรอจ้า หรือคุณไม่อยากบอกผม?” น้ำเสียงท้อแท้ของชายหนุ่มทำให้หัวใจรุ่งรวีเหลวเป็นขี้ผึ้งโดนไฟ จากที่ตั้งใจว่าจะนั่งเฉยๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายเหนื่อยและยอมรามือไปเอง เด็กหนุ่มกลับตัดสินใจทำตรงข้ามความตั้งใจแรกของตนโดยสิ้นเชิง

“อาจารย์กัลป์ครับ ผมขออะไรอย่างได้ไหมครับ?”  กัลป์ละสายตาจากตัวเลขนับถอยหลังตรงสี่แยกเพื่อหันมาพยักหน้าเร็วๆให้เด็กหนุ่มก่อนจะหันกลับไปจดจ้องกับการจราจรอันคับคั่งอีกครั้ง ชายหนุ่มปล่อยให้โสตประสาททำหน้าที่รับฟังถ้อยคำของอีกฝ่ายแทน  

“ถ้าอาจารย์ได้ยินเรื่องที่ผมจะเล่าให้อาจารย์ฟัง... อาจารย์อย่าหาว่าผมบ้านะครับ” เด็กหนุ่มออกตัวเพราะรู้ว่าเรื่องแบบนี้สุดแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล และคงไม่ผิดอะไร...หากอีกฝ่ายจะมองว่าเขาเสียสติไปคนเดียว

“หึ หึ...นี่จ้า ผมไม่ได้เป็นพวกชอบทึกทักหรือยัดเยียดอาการผิดปกติทางจิตให้ใครไปเรื่อยเปื่อยนะ...
...อีกอย่าง...คุณยังไม่ทันเล่าให้ผมฟังเลย คุณจะรู้ได้ยังไงว่าข้อสรุปของผมมันเป็นยังไง?...
.
...เล่ามาเถอะ เล่ามาให้หมด แล้วผมจะบอกคุณเองว่าผมคิดอะไร...
...แต่ผมสัญญา  ผมจะไม่หาว่าคุณบ้าแน่นอน”  อาจารย์หนุ่มเอ่ยอย่างอารมณ์ดี อย่างน้อยๆเขาก็ทำให้คนนั่งข้างๆยอมเปิดเผยอะไรบางอย่างให้ฟังได้มากกว่าเมื่อก่อนเยอะทีเดียว

“ก็ได้ครับ” กัลป์ส่งยิ้มให้อีกฝ่ายแทนการให้กำลังใจ เมื่อเห็นดังนั้น...เด็กหนุ่มจึงยอมเผยถึงเรื่องอึดอัดขัดใจให้คนโตกว่าฟัง

“อาจารย์จะทำยังไงถ้าอาจารย์ได้รับโทรศัพท์จากคนที่ตายไปแล้วเหรอครับ?” คราวนี้กลับกลายเป็นจ้าที่จับจ้องใบหน้าของกัลป์ไม่วาง... เขาอยากแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่แสดงสีหน้าดูถูกดูแคลนสมมติฐานอันโง่เขลาที่เขาสรุปได้เมื่อหลายคืนก่อน

“หืมมมม?... เมื่อกี๊คุณว่าอะไรนะจ้า?” อาจารย์หนุ่มไม่ได้หูเฝื่อน หากแต่คำถามที่เพิ่งเอื้อนเอ่ย...เป็นการกระตุ้นรุ่งรวีให้ช่วยย้ำความอีกครั้ง

“สี่คืนแล้วครับที่เบอร์ของพี่หรั่งโทรเข้าเครื่องผม” จ้าพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นฟังชัดเจนจนอีกฝ่ายไม่ได้ถาม หากแต่อุทานด้วยไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ง่ายนัก

“มันจะเป็นไปได้ไง?!

“มันเป็นไปได้ครับ” จ้ายื่นโทรศัพท์ที่มีเบอร์หรั่งมิสคอลอยู่หลายรายการให้กัลป์ดู...  ซึ่งล่าสุด...ก็ไม่พ้นเมื่อคืนนี่เอง

“เฮ่ย!...ผมไม่เชื่อหรอกว่าคนที่โทรเข้าเครื่องคุณจะเป็นมานะจริงๆ!!” จ้าทำหน้ายุ่งเหมือนจะขัดใจไม่น้อย... เขาไม่น่าเล่าเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายฟังเลยจริงๆ  ซึ่งอาจารย์หนุ่มผู้ละเอียดละออก็สามารถจับอาการดังกล่าวของเด็กหนุ่มได้อย่างไม่มีตกหล่น

“ก่อนเสีย มานะอาจจะทำโทรศัพท์หาย หรือมือถืออาจจะโดนขโมยไป...
...อาจจะมีไอ้โรคจิตที่ไหนใช้เบอร์ของมานะโทรมาก่อกวนคุณก็ได้...
.
...ผมว่า เรื่องทั้งหมดคงไม่ใช่เรื่องลี้ลับ หรืออธิบายด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้อย่างที่คุณเข้าใจหรอกมั้ง” กัลป์พยายามยกเหตุผลและความเป็นไปได้ต่างๆมารองรับเรื่องไม่ปกติที่เกิดขึ้นกับจ้าตามพื้นนิสัยนักวิทยาศาสตร์อย่างเขา

“แล้วอาจารย์จะให้ผมเข้าใจว่ายังไงล่ะครับ ในเมื่อเบอร์ของพี่หรั่งโทรเข้าเครื่องผมทุกๆวันตอนเที่ยงคืน...
.
...กระทั่งเมื่อคืน ก็ยังไม่เว้น...
...โชคดีที่อาจารย์กรุณาปิดเครื่องให้ผม ไม่อย่างนั้น...ผมคงไม่ได้นอนติดต่อกันเป็นคืนที่ห้าแน่ๆ” จ้าไล่ต้อนให้คนโตกว่าจนมุมเพื่อที่สุดท้าย กัลป์จะได้ช่วยยืนยันอีกแรงว่า ข้อสรุปเพียงประการเดียวของเขามีน้ำหนักมากพอ...และเขาไม่ได้บ้าบอเข้าใจผิดไปเองคนเดียว

“ผมไม่เชื่อหรอกว่าวิญญาณจะทำอะไรแบบนั้นได้ ในเมื่อเรายังบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวิญญาณมีอยู่จริงหรือไม่” เด็กหนุ่มมุ่ยหน้าหนักยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับแอบตวัดสายตาตัดพ้ออีกฝ่าย 


แต่อย่าได้หวังว่า...ไอ้สายตา คิดแล้วเชียวว่าต้องไม่เชื่อกันที่รุ่งรวีพยายามปกปิดนั้น
จะเล็ดรอดไปจากคนความรู้สึกไวอย่างกัลป์ได้เป็นอันขาด  


“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิจ้า ถึงที่มาของเบอร์โทรนี้จะไม่ทำให้ผมปักใจ แต่ใครบอกกันล่ะว่าผมไม่เชื่อคุณ...
.
...ก็เห็นอยู่จะจะว่าเบอร์ของมานะโทรเข้าเครื่องคุณจริงๆ...
...แต่ที่ผมไม่คิดว่าเป็นฝีมือของสิ่งที่เรามองไม่เห็น เพราะส่วนตัวผมไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องลี้ลับที่มันพิสูจน์ไม่ได้” กัลป์อธิบายอย่างใจเย็น เขาไม่เห็นประโยชน์หากต้องนั่งเถียงกับอีกฝ่ายให้อารมณ์ขึ้นกันไปทั้งสองคน

“............” จ้ายังคงนิ่วหน้า

“จ้าครับ... จ้ามีเหตุผลหน่อยดีไหมเอ่ย?” กัลป์หว่านล้อมเสียงอ่อนเสียงหวาน

“จ้าลองคิดตามผมดูแบบง่ายๆเลยนะ...
.
...ผีที่ไหนจะเอามือที่ไหนมากดเบอร์โทรออกหาจ้าได้ในเมื่อร่างกายของมานะก็ถูกเผาไปหมดแล้ว” หน้านิ่งๆแต่สายตาคัดค้านหัวชนฝาอย่างไม่ลดละทำให้กัลป์ลอบถอนหายใจ แต่ชายหนุ่มยังไม่ท้อถอย เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาคงปล่อยปละละเลยเรื่องนี้ไปไม่ได้

“ผมว่าน่าจะเป็นฝีมือของคนมากกว่า...
.
...จ้า...
...คุณมีปัญหากับใครหรือเปล่า?...
...พวกนั้นยังหาเรื่องคุณอยู่ใช่ไหม? พวกนั้นอาจจะเก็บโทรศัพท์ของมานะเอาไว้กับตัวก็ได้นะ” กัลป์สรุปตามความเข้าใจจากหลักการและเหตุผลทีเขานึกออก แต่นั่นกลับทำให้เด็กหนุ่มร้อนรนเหมือนโดนไฟสุมรอบๆตัว

“ไม่มีครับ ไม่มีจริงๆ...เพราะไม่มีนี่ยังไงล่ะครับ ผมถึงได้คิดว่าเป็นวิญญาณของพี่หรั่งที่ยังห่วงแน่ๆที่โทรหาผม”


จ้ารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ยอมเล่าเรื่องนี้ให้กัลป์ฟัง
เพราะสุดท้าย เรื่องทั้งหมดก็วกกลับเข้ามาหาตัวเขาอย่างไม่มีข้อสงสัย
และทุกๆถ้อยคำของอาจารย์หนุ่ม ก็เหมือนกับกระแสน้ำอันรุนแรงซึ่งพัดกรรโชกตลบความจริงที่ถูกถ่วงให้จมยังก้นบึ้งของความรู้สึก ให้กลับเกยตื้นขึ้นมากองเป็นซากเหม็นหึ่งให้ตัวเขาต้องอับอายโดยไร้ที่หลบซ่อน

ความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นภายหลังจากข้อสันนิษฐานล่าสุดของกัลป์
ถูกทำลายลงภายในพริบตาเมื่อลำโพงมือถือเครื่องเก่าของจ้าแผดเสียงเรียกเข้าอย่างต่อเนื่อง


 (Rrrrrrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrrrrrrrrr)


เด็กหนุ่มหันไปส่งสายตาขออนุญาตเจ้าของรถเมื่อเห็นความจำเป็นที่ต้องรับสาย
ด้วยเพราะรู้แก่ใจว่า คนปลายทางเฝ้าเพียรโทรหาตนหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่สี่ทุ่มของเมื่อคืน  
กัลป์พยักหน้าคล้ายเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูดคุยกับคนที่รอสายอยู่ได้ตามต้องการ


“สวัสดีครับ” จ้างุบงิบ

((จ้า! จ้าเป็นอะไรหรือเปล่าครับ? แล้วนี่จ้าอยู่ไหน? ทำไมเมื่อคืนไม่รับสายพี่?...
.
...ปิดมือถือทำไมครับ? ที่บ้านมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?)) น้ำเสียงร้อนรนของอีกฝ่ายดังก้องห้องโดยสารรถยุโรปคันแพงจนคนขับยังได้ยินถ้อยคำอย่างชัดเจน

“พี่รักษ์ครับ จ้าไม่ได้เป็นอะไรครับ... แต่ตอนนี้จ้าไม่สะดวกคุยครับ” เด็กหนุ่มพยายามรักษามารยาทโดยการไม่คุยโทรศัพท์พร่ำเพรื่อ

((....เหรอ.....  งั้นเดี๋ยวอีกชั่วโมงพี่โทรหานะครับ)) คนปลายสายเสียงอ่อนลงทันทีที่โดนปฏิเสธการพูดคุยแทบจะทันควัน แต่มีหรือที่เขาจะถอดใจไปง่ายๆทั้งที่ยังไม่ได้ลองหยั่งความรู้สึกของจ้าดูสักตั้ง  ((อย่าปิดมือถืออีกนะครับ พี่เป็นห่วง))

“ครับ...แค่นี้นะครับ” เด็กหนุ่มรีบกดตัดสายทิ้งทันทีโดยไม่สนใจความรู้สึกของคนปลายสายแม้แต่น้อย

“ที่บ้านโทรมาเหรอ?” กัลป์แสร้งถามหลังจากเห็นว่าเด็กหนุ่มเก็บมือถือลงกระเป๋าแล้ว

“เอ่อ... เปล่าครับอาจารย์...
.
...คือ...
...พี่ที่ผมเคยเล่าให้ฟังน่ะครับ พอดีพี่เขาติดต่อผมไม่ได้เขาเลยเป็นห่วงผมมาก” จ้าจนคำพูด ได้แต่ตอบกัลป์ไปตามที่สมองพอจะนึกออก

“แสดงว่าคุณต้องสนิทกับเขามากจริงๆนะเนี่ยะ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เป็นเดือดเป็นร้อนเพราะติดต่อคุณไม่ได้แบบนี้” กัลป์สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ และเพื่อสะกดกลั้นความหึงหวงที่ก่อตัวอยู่ภายใน

“คงอย่างนั้นล่ะมั้งครับ” จ้าตอบแกนๆ ซึ่งท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ของเขานั้น ทำให้คนขับปล่อยให้เจ้าของนัยน์ตาโศกได้นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปลำพังโดยไม่คิดจะซักถามอะไรให้มากความอีก


ความเงียบแบบเฉียบพลันของอาจารย์หนุ่ม ทำให้รุ่งรวีเสตามองข้างถนนเพราะวางตัวไม่ถูก
ใจนึงเขาก็อดหงุดหงิดตัวเองไม่ได้ที่เผลอเปิดเสียงโทรศัพท์จนมันทำลายบรรยากาศการสนทนากับอาจารย์หนุ่ม...
ทั้งๆที่คนๆนี้ ขยันสร้างความประทับใจให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะภายหลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน...

การที่ได้ตื่นขึ้นในห้องนอนของคนที่น่าปลื้มมากๆอย่างอาจารย์กัลป์ โดยมารู้ภายหลังว่า เจ้าของห้องยินดีสละความสะดวกสบายให้อย่างเต็มใจนั้น ทำให้เขาอดหัวใจพองฟูด้วยความตื้นตันในน้ำใจและความปรารถนาดีของอีกฝ่ายไม่ได้

แต่อีกใจ...เขาก็อดดีใจไม่ได้ที่รักษ์โทรเข้าเครื่องได้ถูกจังหวะพอดี
เพราะหัวข้อร้อนแรงที่เขาไม่ต้องการพูดถึงหรือขุดคุ้ย ถูกพับลงไปโดยไม่มีใครพูดถึงให้ต้องรู้สึกอับอายอีกต่อไปแล้ว... อย่างน้อยๆก็จนระหว่างทางไปมหาวิทยาลัยวันนี้ก็แล้วกัน





ขณะเดียวกันนั้นเอง...
ตำรวจหนุ่มก็โยนมือถือของตัวเองทิ้งยังเบาะข้างคนขับซึ่งว่างเปล่าไร้เงาของคนร่างเล็กผิดไปจากทุกเช้า
ไม่ได้การล่ะ สงสัยเขาจะประมาทเกินไป...

จริงสินะ...หากเขาที่เจอหน้าจ้าเพียงไม่นาน ยังสนใจในตัวเด็กหนุ่มได้ไม่ยาก
นับประสาอะไรกับคนอื่นที่อาจจะรู้จักกับจ้ามาก่อนเขา
หลังจากนี้ รักษ์ควรต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เด็กหนุ่มหันมาสนใจตัวเขาในแบบที่หวังเอาไว้เสียที


------------------------------------------------------------------------------------


ปลายนิ้วแกร่งประทับสัมผัสรัวเร็วลงบนแป้นคีย์บอร์ด
นิ้วทั้งห้าเคลื่อนไหวโดยไร้การสะดุดจากตัวอักษรหนึ่งกระโดดไปยังสระและวรรณยุกต์ตัวแล้วตัวเล่า

ทว่าจนตอนนี้  ข้อความสั้นๆที่คนพิมพ์ตั้งใจจะสื่อเพื่อสร้างกระแสแบบไม่เจาะจงนั้น กลับยังไม่ได้ดั่งใจเสียที
จึงไม่แปลกอะไรหากเขาจะเสียเวลาพิมพ์สลับกับกดปุ่มลบ ตัด เฉือนข้อความอยู่เป็นเวลานาน...
ก็ตั้งแต่ไหนแต่ไร งานละเอียดอ่อนจำพวกขีดๆเขียนๆไม่เหมาะกับเขาเท่ากับการทำลายล้างและสร้างเสียงร้องอย่างเจ็บปวดอยู่แล้วนี่นา


ถึงอย่างนั้น... สำนวนที่ว่า  ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ยังคงพิสูจน์ความอมตะของตัวมันเองได้เสมอ
เพราะสุดท้ายแล้ว ข้อความไม่ถึงสามประโยคที่ผ่านการกลั่นกรองเพื่อยั่วยุความอยาก หากแต่ไม่เปิดเผยข้อมูลจนเกินไป
ก็ถูกกดโพสต์ลงหน้ากระดานซุบซิบของบอร์ดยอดนิยมที่ครองใจนิสิตกว่าค่อนมหาวิทยาลัยทันที


 ‘เรื่องคริสน่ะเก่าแล้ว... ลีลาเด็ดจริงต้องหนุ่มครุยม่วงปีสอง


ชายหนุ่มนั่งอมยิ้มอย่างภูมิอกภูมิใจกับผลงานครั้งใหม่ของตนเองเสียเหลือเกิน
ลองว่าฉาวโฉ่เหม็นเน่าออกเสียขนาดนี้...
คงไม่เหลือไอ้หน้าไหนแวะเวียนเข้ามาเกาะแข้งเกาะขาปกป้องดูแลเด็กดีของเขาอีกแน่ๆ
คิดพลางก็เดินออกจากอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ข้างๆคณะวิศวกรรมศาสตร์ด้วยความสบายอกสบายใจทันที...

ต้องรีบหน่อยแล้วล่ะ เพราะอีกเดี๋ยวต้องเอาจดหมายแทนความระลึกถึงฉบับใหม่ไปฝากส่ง
เด็กดีของเขาจะได้รับของขวัญประจำวันไปอ่าน เพื่อตอกย้ำความสัมพันธ์อันเนบแน่นระหว่างกันและกันให้ยิ่งตราตรึงเข้าไปถึงกลางใจของอีกฝ่ายได้ในที่สุด


------------------------------------------------------------------------------------


ร่างซีดเซียวผอมบางไม่เหลือเค้าสุขภาพดีของเด็กหนุ่มเลือดผสมนอนแผ่แน่นิ่งเหม่อมองเพดานสีหม่นโดยไม่อินังขังขอบกับการล่วงผ่านของกาลเวลา

ภายในห้องเล็กๆซึ่งจองจำตัวเขาเอาไว้นั้น  
เวลา...กลายเป็นสิ่งไม่สำคัญไปเสียแล้ว...
ในห้วงคำนึงของเขา... จดจ่อก็แต่เพียงความรู้สึกเบาสบายที่ไหลเวียนซาบซ่านไปทั่วสรรพางค์ที่เกิดขึ้นชั่วปลายเข็มที่มัน ยัดเยียดต่างรางวัล...


การปล่อยตัวให้ลอยละล่องอยู่ท่ามกลางปุยเมฆสีลูกกวาดในจินตนาการ
กลายเป็นความสุขยิ่งใหญ่ที่ทำให้สติสัมปชัญญะของเด็กหนุ่มเลือนลางจางหาย

เขาไม่สนโลก ไม่สนด้วยซ้ำว่าใครจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร...
กระทั่งอิสรภาพ และอัตตาอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวตนที่เขาเคยเป็น... ตัวตนที่เขาและคนรอบข้างเคยภูมิใจ


ภายหลังจากน้ำใสๆภายในไซริงค์หลอดแรกถูกฉีดเข้าสู่ร่างกายของเขา...
ตัวยาวิเศษนั้นก็กลายมาเป็นปัจจัยเดียวที่หล่อเลี้ยงชีวิตและเกราะคุ้มครองตัวเขาจากความเจ็บปวดรอบกาย...
ยาที่ มันจงใจใช้เป็นเครื่องมือควบคุมตัวตนเขาเอาไว้กับมันอย่างเบ็ดเสร็จ
ยาที่ทำให้เขาลืมความเจ็บปวดของร่างกายที่ได้รับไม่เว้นแต่ละวัน...


แน่นอน...
อาการเจ็บปวดจากกล้ามเนื้อหูรูดส่วนปลายทวารหนักฉีกขาดและอักเสบอย่างสาหัสที่ มัน ฝากเอาไว้ด้วยความรุนแรง เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา  ถูกมองข้ามไปด้วยไม่สลักสำคัญต่อชีวิตของเด็กหนุ่มนับจากนี้แต่อย่างใด





------------------------------------------- TBC -----------------------------------------


No comments:

Post a Comment