#09
(Rrrrrrrrrrrrrrrr
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrr)
เมื่อเห็นว่าหมายเลขที่โทรเข้าเป็นสายของกัลป์
เจ้าของร่างผอมบางที่เผลอปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในห้วงความทุกข์มาพักใหญ่
ก็รีบสูดน้ำมูก
กลั้นเสียงสะอื้นแล้วจึงกดรับสายโดยเร็วด้วยไม่อยากให้คนปลายสายรอนาน
“ฮะ...ฮะ..ฮัลโหล”
((จ้า!
ทำไมกลับเข้าบ้านแล้วถึงไม่ยิงเข้าเครื่องผม?...
...คุณไม่รู้หรือว่าคนรอน่ะห่วงแค่ไหน?...
.
...หรือที่เงียบหายไป
เพราะคุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?))
เสียงนุ่มทุ้มของชายหนุ่มปลายสายฟังตื่นตกใจกว่าทุกที...
ความเป็นห่วงทำให้เขาเผลอตำหนิเด็กหนุ่มเสียยกใหญ่
ก็จริงดังที่อาจารย์หนุ่มต่อว่า
จ้าไม่ได้โทรหากัลป์ทันทีที่กลับเข้าบ้านตามข้อตกลงที่อาจารย์หนุ่มร้องขอเอาไว้
แต่ครั้งนี้...
ไม่เกิดจากความตั้งใจ หลงลืม หรือเลินเล่อเหมือนสองสามวันแรก...
ถ้าลองเป็นอาจารย์กัลป์มาเจอเหตุการณ์เดียวกับเรื่องที่เขาเพิ่งเจอ...
อาจารย์ก็คงไม่มีกะจิตกะใจโทรหาใครเหมือนกัน
“...ฮึก...ปละ
ปละ..เปล่าครับอาจารย์กัลป์ ผมปกติดี” แม้จะสั่งให้ตัวเองกล้ำกลืนความเศร้าโศกมาก่อนหน้า
ทว่าเสียงที่กรอกผ่านโทรศัพท์ของจ้ากลับฟังครางเครือจนคนฟังจับสังเกตได้ไม่ยากนัก
((ทำไมเสียงคุณอู้อี้แบบนี้ล่ะ?...
...นี่คุณร้องไห้อยู่เหรอ?...
...จ้า! บอกผมสิ คุณเป็นอะไร? ใครทำอะไรคุณ?...
.
.
...หรือลุงคุณทำโทษคุณที่คุณไม่กลับบ้านเมื่อคืน?...
...ใช่ไหมจ้า?
บอกผมมาสิว่าใช่หรือเปล่า?)) น้ำเสียงของกัลป์ฟังร้อนรนยิ่งกว่าเก่า ไม่ต้องป่าวประกาศให้ยุ่งยาก...คนฟังก็ตระหนักได้ว่า
ผู้มีศักดิ์เป็นอาจารย์และนายจ้างเป็นห่วงตนเองมากเพียงใด
รุ่งรวีไม่คิดว่าตัวเองจะอ่อนแอได้มากถึงเพียงนี้...
ขนาดที่ว่า
แค่ได้ฟังน้ำเสียที่แฝงไปด้วยความอาทรและห่วงใยของอีกฝ่าย
น้ำตาก็ไหลเป็นสายออกมาราวกับเปิดวาล์ว
ครั้นจะมานึกเสียใจที่กดรับสายตามมารยาทเอาตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้วสิ
“....เฮ่อออออ....”
เพราะจนปัญญา ไม่รู้จะอธิบายความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเบื้องหลังบานประตูสังกะสีเก่าๆของบ้านที่ซุกหัวนอนมาตั้งแต่เล็กๆให้อีกฝ่ายรับฟังอย่างไรดี
รุ่งรวีจึงเลือกการถอนหายใจกับตัวเองแทนคำตอบ...
วันนี้ลุงกลับมารอเจอหน้าเขาตั้งแต่บ่าย แกตั้งใจจะมาชำระความกับเขาด้วยสองข้อหา...
กล่าวคือ...ไม่อยู่รอเจอหน้าเพื่อเอาเงินที่หาได้ให้ลุงไปต่อทุน
และสองอันเป็นผลพวงมาจากข้อหาแรก
นั่นคือ...เมื่อคืน
เด็กหนุ่มทำให้แกต้องบากหน้าไปขอยืมเงินเพื่อนบ้านเพื่อเอาไปเล่นแก้ขัด
ซึ่งนอกจากจะไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว
ยังทำให้แกต้องอับอายขายหน้าเพื่อนบ้านจนไม่กล้าออกไปสู้หน้าใคร
ผลสุดท้าย...
เงินค่าจ้างทำความสะอาดก้อนแรกที่กัลป์เพิ่งจ่ายให้แก่เด็กหนุ่มเมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา
ก็ถูกแกคว้าติดมือไปใช้คืนให้เจ้ามือในบ่อน
เพื่อจะได้ยืมก้อนใหม่มาถอนทุนในคืนนี้...
โดยที่ลุงไม่ลืมขอบอกขอบใจในความกตัญญูของเขาด้วยหลังมือและฝ่าเท้าที่ซัดไม่ยั้งตั้งแต่ประตูหน้าบ้านยังปิดไม่สนิท
((โอ๊ยตายแล้วจ้า!! ผมควรทำยังไงดี? ให้ผมไปหาตอนนี้เลยไหม?...
.
...นะ...ผมอยากคุยกับลุงของคุณให้รู้เรื่อง
ผมไม่อยากให้ลุงคุณเข้าใจผิดไปมากกว่านี้))
การไม่ตอบรับหรือปฏิเสธของเด็กหนุ่มทำให้กัลป์เข้าใจผิด
เขาจึงรีบเสนอตัวเข้ามารับผิดชอบเรื่องทั้งหมดโดยไม่รีรอ...
หากนั่นจะทำให้ลุงของจ้าสบายใจ ไปพร้อมๆกับเปิดโอกาสให้เขาได้ดูอาการของคนที่เขาเป็นห่วงมากที่สุดแล้วล่ะก็
ต่อให้ชายหนุ่มต้องแต่งตัวและออกจากบ้านเอาตอนดึกป่านนี้
เขาก็ยินดีทำโดยไม่อิดออด
“....ฮึก....
อาจารย์กัลป์ไม่ต้องมาหรอกครับ
ลุงผมหลับไปแล้ว” จ้าโกหกเพื่อความสบายใจของอีกฝ่าย ก่อนจะให้รายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อปฏิเสธข้อเสนอของอีกฝ่ายแบบอ้อมๆ
“อีกอย่าง
ลุงก็ไม่ได้ดุอะไรมาก...
...ลุงแค่ทำโทษผมตามความผิดแค่นิดหน่อยเท่านั้นแหละครับ...
.
...ถ้าผมไม่ทำแบบนี้อีก
ลุงแกก็ไม่ดุไม่ตีหรอกครับ...ฮึก” คำพูดเมื่อครู่ของอาจารย์หนุ่มทำให้รุ่งรวีถึงกับน้ำตารื้น...
ตั้งแต่เสียพี่ชายสุดที่รักอย่างหรั่งไป กัลป์คือคนแรกที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองยังคงมีความสำคัญ
((โธ่จ้า! แล้วคุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า? ต้องไปหาหมอไหม?
ผมขับพาคุณไปส่งโรงพยาบาลได้นะ)) ชายหนุ่มปลายสายยังคงไม่วางใจ
“ผมไม่เป็นไรครับอาจารย์กัลป์
ไม่ต้องไปหาหมอหรอก...
.
...อาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วงผมไปหรอกครับ...
...เรื่องเมื่อคืนนี้...ผมสมควรโดนลุงลงโทษจริงๆ
แต่ลุงไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุหรอกครับ...อาจารย์กัลป์สบายใจได้” รุ่งรวียังคงให้เหตุผลกับอาจารย์หนุ่มตามที่ตั้งใจเอาไว้โดยไม่เผลอหลุดบท
((ผมเป็นห่วงคุณจังเลยจ้า
ผมไม่อยากให้คุณรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นคนเดียวเลยจริงๆ))
คำพูดของกัลป์เข้าหูซ้าย
ทะลุออกทางหูขวาทันทีที่รุ่งรวีได้ยินสัญญาณแจ้งเตือนสายเรียกซ้อน...
ชายหนุ่มไม่ต้องดูหน้าจอ...ก็รู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเจ้าของสายเรียกเข้าในเวลานี้เป็นใคร
เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่...
เที่ยงคืนของคืนที่หก...
กับสายเรียกเข้าจากหมายเลขของคนตาย และเขาต้องรู้ให้ได้ว่าพี่ชายของเขาต้องการอะไร
“อาจารย์กัลป์ครับ...ผมขอวางสายก่อนนะครับ”
จ้าตัดบทห้วนๆ ซึ่งมันทำให้กัลป์ประหลาดใจไปพร้อมๆกับฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง
((ทำไมล่ะจ้า?...
อย่าบอกนะว่า?!))
คำตอบของรุ่งรวีขาดหายไปหลังจากเด็กหนุ่มตัดสายของอีกฝ่ายทิ้งแบบไร้เยื่อใย
เพื่อสลับสายแล้วจึงส่งเสียงทักทายปลายสายที่ใช้เบอร์คนตายโทรมาหาเขา...
“ฮัลโหล”
คืนนี้ผิดไปจากครั้งที่แล้วที่เขาตัดสินใจรับโทรศัพท์จากหรั่ง
พี่ชายของเขาไม่ได้ตัดสายเพื่อส่งข้อความใดๆเข้ามาหา
ทว่าเด็กหนุ่มกลับได้ยินความเงียบสะท้อนกลับมาอยู่พักใหญ่...
จ้าชั่งใจ...
เขาควรวางสาย หรือรอให้แน่ใจว่า พี่ชายที่ตายไปเดือนกว่าแล้ว...มีสิ่งใดที่อยากบอกให้เขารู้กันแน่?
ก่อนที่อนุสติซึ่งเอนเอียงตามเหตุผลของกัลป์ที่แย้งเขาจังจังเมื่อเช้า
จะกล่อมให้เขากดตัดสาย
จ้าก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความทุรนทุรายของพี่ชายที่เคารพรักอย่างที่สุดดังเข้าหู
((..........อ๊ากกกกกกกกกกกกกก!!!!........))
“พี่หรั่ง!!!!!
พี่หรั่งเป็นอะไร?....พี่หรั่งครับ....พี่หรั่ง!!!!!!!”
ความตกใจ หรือ สับสนคงไม่อาจใช้บรรยายความรู้สึกที่ท่วมท้นในอกของจ้ายามนี้ได้
ทว่า...เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น
เสียงปลายสายของหรั่งที่ฟังชอบกลอย่างไรไม่รู้
ก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาโดยพลัน
((....อ๊ะห์.....อ๊ะห์....อ๊าห์.......ฮ๊าาาา....
จ้า.......อ๊ะห์.....จ้า.......
....ฮื่ออออออออ....
จ้า!!!......อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก.........
เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร...
ปลายนิ้วเรียวเซียวซีดของจ้าก็กดตัดสายของพี่ชายโดยไม่ต้องรอให้ใครสั่ง
สุ้มเสียงที่สะท้อนความกระสันอยากตามสันดานดิบของมนุษย์ที่เพิ่งได้ยินไปนั้น
ทำลายทำนบน้ำตาที่กั้นเอาไว้ตั้งแต่เมื่อตอนคุยกับอาจารย์หนุ่มให้พังทลายลงในพริบตา
“โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ!!!!” จ้าร้องไห้ราวกับโลกนี้ล่มสลายลงตรงหน้า...
.
.
ลำพังแค่เกิดมาเป็นเศษชีวิตที่ไม่มีค่ามากไปกว่าเครื่องผลิตแบงค์ให้ลุง
ก็หนักหนาพอแล้ว...
ทำไมเขายังต้องมาพบเจอเรื่องบ้าๆที่หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้อย่างครั้งนี้ด้วยก็ไม่รู้?!!
(Rrrrrrrrrrrrrrrr
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrr)
ความน้อยอกน้อยใจในโชคชะตา
และความสับสน ปนกระดากจากสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
ทำให้เด็กหนุ่มไม่ใส่ใจจะรับสายกัลป์ตามมารยาทอีกแล้ว
อาจารย์หนุ่มไม่ได้เซ้าซี้
หากแต่ส่งข้อความใหม่เพื่อบอกให้รุ่งรวีรับรู้ว่า
พรุ่งนี้เขาต้องออกไปสัมมนานอกสถานที่
ขอให้รุ่งรวีล่วงหน้าไปรอเขาแถวๆซองจอดรถประจำตัวตรงชั้นสามของตึกคณะต้นสังกัดเวลาหกโมงเย็น
โดยไม่ต้องแวะขึ้นไปรอบนห้องเหมือนทุกที
เด็กหนุ่มอ่านข้อความเข้าใหม่พลางถอนหายใจ
ดีเหมือนกัน...ไม่ต้องไปรออาจารย์กัลป์
ก็คงไม่ต้องรับซอง...เหมือนอย่างวันนี้
คิดแล้วก็เหลือบมองซองจดหมายสีขาวที่เพิ่งได้มาตอนเย็น
ซึ่งยังไม่มีร่องรอยของการเปิดผนึก...
จ้าเอนตัวลงนอนราบกับเบาะที่นอนเก่าๆแล้วปล่อยให้น้ำตาที่ยังค้างคาอยู่ภายใน
ไหลรินเป็นสายโดยไร้เสียงสะอื้น
สุดท้าย...
ความเหนื่อยล้าสะสมตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาก็กล่อมให้จ้าผล็อยหลับไปทั้งน้ำตา
โดยไม่ได้แตะต้องซองสีขาวที่เพิ่งได้รับแต่อย่างใด...
ซึ่งภายหลัง ซองๆนี้ก็ถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับเปิดอ่านนับแต่นั้น
น่าเสียดายที่จ้ากลับไม่มีโอกาสได้รู้ว่า
เนื้อหาด้านใน...คือคำสั่งเสียของหรั่ง
ซึ่งเจ้าตัวเขียนแยกจากฉบับที่ส่งไปให้ตากับยาย
เนื่องจากตั้งใจจะส่งให้จ้าเป็นพิเศษ
ใจความว่าด้วยคำขอโทษครั้งสุดท้าย...ที่เจ้าตัวไม่มีโอกาสได้บอกให้น้องได้ยินด้วยตัวของเขาเอง
“หึ
หึ! แค่เสียงครางยังทนฟังไม่ได้เลยเหรอเด็กดีของพี่?”
มือหนาโยนมือถือเครื่องที่ไม่ใช่ของตนเองลงบนเตียงโดยไม่หยุดการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด
เสียงเพลงภาษาที่สามที่เนื้อหาไร้ความหมายเร่งเร้าให้ผู้กระทำกระแทกส่วนกลางของร่างกายท่อนล่างเข้าหาร่างผอมบางจนเห็นกระดูกชัดเจนที่ถูกขึงพรืดอีกครั้งเพื่อการนี้อย่างไร้ปรานี
“....อ๊าาาาาาาาาาาาห์
.....ฮื้ออออออออออออออออออออออ.....” ร่างผอมเซียวกรีดร้องด้วยความสุขสมระคนเจ็บปวด จากนั้นจึงกระตุกแรงๆอยู่หลายครั้ง
ก่อนฟุบลงกับที่นอนเพื่อกลายร่างเป็นเป้านิ่งให้ชายหนุ่มผู้เปรียบเสมือนเจ้าชีวิตล่วงเกินได้อย่างใจ
ความหิวกระหายในรสกามาทำให้เจ้าของร่างสมชายชาตรีโถมแรงทั้งหมดที่มี
สาดความต้องการซัดลงกับร่างไม่ไหวติงไร้การตอบสนองตามสัญชาตญาณดิบจนพอใจ
“....ฮื่มมมมม......ฮ่าห์.....”
สุ้มเสียงสุดท้ายของการปลดปล่อยดังขึ้นคล้ายกับการฉลองความสำเร็จ...
กระนั้น...แม้ร่างกายจะสุขสม
หากแต่มันห่างไกลจากคำว่าอิ่มเอมมากนัก เพราะร่างที่พังพาบกับที่นอนไม่ใช้ของรัก...
ทว่าเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง
ที่บังเอิญว่าใช้ขัดตาทัพไปก่อนได้
“ถึงกับสลบเลยเหรอ?...
.
...เฮ่อ...นายนี่ช่างไม่มีน้ำอดน้ำทนเลยนะ
สู้เด็กดีของฉันก็ไม่ได้” ชายหนุ่มถอนตัวออกจากร่างไร้สติบนเตียงอย่างไม่อาลัยอาวรณ์
จากนั้นจึงเดินไปหยิบผ้าสะอาดกับอ่างน้ำมาวางใกล้ๆมือเพื่อเช็ดตัวและทำความสะอาดคราบไคลให้กับหมากสำคัญตัวนี้ของเขา
“อดทนอีกแค่ไม่นานหรอก
เมื่อไรที่เด็กดีกลับมาหาฉัน...ฉันจะปล่อยนายไปในที่ๆนายควรจะไปเสียที” ชายหนุ่มปรารภให้เจ้าของรอยสักที่เขาใช้ต่างเครื่องบำบัดความใคร่ได้ฟังระหว่างเช็ดตัว
เมื่อเขาพอใจกับสภาพสะอาดสะอ้านเหมือนใหม่ของหมากตัวดังกล่าว...
เขาก็ไม่ลืมตบรางวัลให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีของคนที่นอนสลบ
ด้วยการปลดเชือกที่ขึงทั้งมือและเท้าออกให้
พร้อมทั้งฉีดน้ำใสๆหนึ่งไซริงค์ให้อีกฝ่ายโดยไม่ต้องอ้อนวอนร้อง...
เท่านี้คงจะพอต่อชีวิตให้อยู่ต่อไปได้อีกวัน
จากนั้นชายหนุ่มก็เอื้อมไปเก็บมือถือเครื่องสำคัญบนเตียงมาใส่กระเป๋าชุดคลุม
ปิดเพลง แล้วจึงเดินออกจากห้องสี่เหลี่ยมไร้หน้าต่างห้องนั้นเพื่อกลับไปนอนด้วยความกระปรี้กระเปร่าเบาไปทั้งร่าง
◘------------------------------------------------------------------------------------◘
“จ้า...หน้าไปโดนอะไรมา?
ใครทำอะไรจ้า?” รักษ์ถามจ้าเมื่อเหลือบไปเห็นหางคิ้วบวมเป่งของอีกฝ่าย ในจังหวะที่เจ้าตัวเผลอเอี้ยวเสี้ยวหน้าตามร่างขณะคาดเข็มขัดนิรภัยหลังจากออกรถได้ไม่นาน
“เอ่อ...
จ้าเดินชนมุมตู้ครับ พอดีลุงเปิดทิ้งไว้ จ้าหันหน้าเร็วไปคิ้วเลยชนเอาพอดี” ...แน่นอน
นั่นคือคำโกหกที่เด็กหนุ่มเตรียมเอาไว้อธิบายกับทุกคนที่สนใจใบหน้าบวมช้ำของเขา
“เหรอ?
ชนตู้อย่างนั้นเหรอ?” ผู้กองหนุ่มเลิกคิ้วขณะถามย้ำ
แต่คำตอบของเด็กหนุ่มก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
“ครับ”
เด็กหนุ่มตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยผิดปกติ จนทำให้รักษ์มั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวพันกับลุงจอมของจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เรื่องนี้ละเอียดอ่อนเกินไป...เขาจึงไม่คิดจะซักไซ้ให้มากความ
“วันนี้จะนอนเลยก็ได้นะ
พี่เพิ่งได้เอ็มพีสามเพลงแจ๊ซใหม่ๆมา จ้าน่าจะนอนหลับสบาย” คนขับปรับแอร์ให้เย็นกำลังดี...อาศัยจังหวะที่รถชะลอตัวเอื้อมไปหยิบหมอนกับผ้าห่มผืนเล็กๆยื่นส่งให้คนนั่งข้างๆ
ที่จำใจรับเครื่องนอนปิกนิกที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกมาจากรักษ์ซึ่งหันกลับไปสนใจถนนตรงหน้าเป็นที่เรียบร้อย
“ขอโทษนะครับพี่รักษ์” จ้ายกมือไหว้อีกฝ่ายด้วยความรู้สึกผิด
แต่คนฟังกลับยืนยันความตั้งใจเดิมไม่ต่างไปจากทุกที
“จะขอโทษที่ทำไม...พี่บอกจ้าแล้วใช่ไหมว่าพี่เต็มใจทำทุกอย่างเพื่อให้จ้ามีความสุข” รักษ์เอื้อมมือไปเปิดเพลงชุดที่เจ้าตัวเพิ่งจะโฆษณาให้เด็กหนุ่มได้รู้จักไปเมื่อครู่ “เออนี่จ้า...พี่ถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?”...เขาหวังว่าท่วงทำนองเบาๆหวานๆจะช่วยทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลายจนยอมเปิดปากอธิบายเรื่องเมื่อวานให้หายคาใจเสียที
“หืม?
พี่รักษ์อยากรู้อะไรเหรอครับ?” จ้าที่เริ่มจะเอนตัวน้อยๆไปตามเบาะถามตาปรอย
“เมื่อวานตอนเช้า
ที่พี่โทรหา...จ้าอยู่ไหนเหรอครับ?” ...ตำรวจหนุ่มภาวนาให้สิ่งที่เขากลัวที่สุดไม่เป็นจริง
ขออย่าให้มีใครไปรับจ้าเลย!!
“เอ่อ...จ้าอยู่บนรถน่ะครับ
คือ...ลุงบ้านข้างๆที่เป็นคนขับแท็กซีแกออกจากบ้านพอดี
แกเลยบอกให้จ้าติดรถไปด้วยกัน จ้าเลยไม่กล้าคุยโทรศัพท์กับใครในรถ
เกรงใจแกน่ะครับ” รุ่งรวีโกหกโดยไม่เสียเวลาคิด...เขาไม่อยากเล่าเรื่องของกัลป์ให้ใครฟัง
ไม่อยากให้ใครรู้ว่ากัลป์ได้กลายเป็นคนสำคัญในชีวิตเขาภายในระยะเวลาไม่นาน
“อย่างนี้นี่เอง...ต่อไปอย่าปิดมือถืออีกนะจ้า
พี่เป็นห่วง...กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับจ้า แล้วพี่จะไปหา...ไปช่วยไม่ทัน” แค่ไม่ได้ยินสิ่งที่กลัว...รักษ์ก็ปักใจเชื่อคำลวงของจ้าอย่างไม่มีข้อสงสัย
เขาเกือบจะได้ถามคำถามถัดไปอยู่แล้วเชียว
หากอยู่ๆจ้าจะไม่ทำท่าทางแปลกๆพร้อมกับส่งเสียงร้องเหมือนเช้าแรกที่โรงพยาบาลหลังจากเด็กหนุ่มฟื้นคืนสติ
ทว่าคราวนี้...ทุกอย่างเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับอินโทรของเพลงใหม่ในไฟล์เอ็มพีสามเล่นได้ไม่นาน
“....อืออออออ........อือออออออ........อาาาาาาาาา..........อืออออออออออ.............”
“จ้า!!! จ้าเป็นอะไร????!!! จ้า!!!!” รักษ์ถามอีกฝ่ายพลางเปิดไฟฉุกเฉินเพื่อขอทาง ก่อนจะจอดรถข้างๆฟุตบาท
“.......................อืออออออออออออออออออออ.........................”
รุ่งรวีขดตัวเป็นก้อนกลมก่อนจะยกมือทั้งสองขึ้นมาปิดฟูเอาไว้แน่นไม่ต่างกับตอนที่รักษ์เห็นก่อนเด็กหนุ่มจะโดนเหล่าพยาบาลมัดมือมัดเท้าและฉีดยาคลายเครียด
“.......................อืออออออออออออ..............อืออออออออออออออออออออออออ................”
เด็กหนุ่มเริ่มโยกตัวไปมา ซึ่งนั่นทำให้รักษ์ยิ่งตกใจทำอะไรไม่ถูกไปกันใหญ่
“จ้า!!! จ้าครับ จ้า!!! ไม่เป็นอะไรนะ! พี่อยู่ที่แล้ว!!!!” เพราะตกใจจนลืมคำเตือนของเพื่อนสนิทอย่างโอ๊ตไปในพริบตา
ตำรวจหนุ่มจึงโน้มตัวเข้าหาร่างเล็กที่ขดตัวจนกลมดิกเพื่อจะกอดปลอบไม่ให้ร่างผ่ายผอมของจ้าโยกไหวหนักไปกว่านี้
ทว่านั้นกลับยิ่งทำให้อีกฝ่ายตระหนกตกใจจนออกอาการผิดปกติไปกันใหญ่
“.......อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!.........” จ้ากรีดร้องสุดเสียงพลางกดฝ่ามือแนบกับหูมากยิ่งขึ้น
ร่างเล็กๆดิ้นรนอย่างน่าเวทนาเพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากรอยสัมผัสของตำรวจหนุ่ม
เมื่อเห็นท่าปิดหูแน่นของจ้า...รักษ์จึงลองปิดเพลงที่เล่นอยู่แล้วนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ครู่ใหญ่
ก่อนจะลองเรียกสติของอีกฝ่ายเบาๆอีกครั้ง
“จ้าครับ...จ้าฟังพี่นะ
นี่พี่รักษ์เองนะครับ” พอเห็นจ้ามีท่าทีผ่อนคลายลงจากเดิมอยู่มากโข
รักษ์ก็ค่อยๆเอื้อมมือไปแตะต้นแขนของเด็กหนุ่มดูอีกครั้ง
ซึ่งคราวนี้...อีกฝ่ายกลับไม่ดิ้นรน หรือส่งเสียงหวีดร้องขัดขืน เมื่อเห็นผลดังนั้น...รักษ์จึงออกแรงอุ้มคนตัวเบาเป็นนุ่นให้ลอยข้ามเบาะ
มานั่งเหนือตักแล้วกอดปลอบใจทันที
“............อือออออออออออออ.............”
“ไม่เป็นไรแล้วนะจ้า
ไม่มีใครทำอะไรจ้าได้แล้วนะครับ....ไม่ร้องไห้แล้วนะ” รักษ์กอดพลางพูดปลอบเสียงอ่อนเสียงหวาน
“...........อือออออออ.........อือออออออ..........”
“ชู่ว์! ไม่ร้องแล้วนะครับ พี่รักษ์อยู่กับจ้าแล้วนะ” ปลายนิ้วของผู้กองหนุ่มปาดหยาดน้ำตาของจ้าออกจากแก้มอย่างเบามือ
เขาปล่อยให้ร่างเล็กนอนนิ่งๆอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่โดยทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน
สุดท้าย...ชายหนุ่มก็ต้องอุ้มร่างของจ้าให้เอนลงนอนตรงเบาะข้างคนขับอีกครั้งก่อนจะออกรถเพื่อพาอีกฝ่ายไปส่งที่มหาวิทยาลัย
หลังจากเจ้าของนัยน์ตาโศกผู้กุมหัวใจของเขาเอาไว้เผลอหลับไปทั้งน้ำตา
รักษ์ตั้งใจว่า
หลังจากเลิกงานวันนี้ เขาจะต้องหาทางลัดคิวเข้าพบคุณหมอโอ๊ตให้ได้
เพราะไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าอาการแปลกๆของจ้าที่เขาเพิ่งเห็นกับตาตัวเองเมื่อครู่
อย่างน้อยๆ
เขาก็รู้เพิ่มเติมขึ้นมาอีกอย่างแล้วว่า จ้ามีปฏิกิริยาตอบสนองด้านลบกับเพลงที่เพิ่งได้ยินไป...
.
.
...La
Vie en Rose เหรอ?...
...ทำไมล่ะ?
◘------------------------------------------------------------------------------------◘
หลังจากเหตุการณ์เมื่อเช้าในรถของรักษ์
รุ่งรวีก็รู้สึกว่าวันนี้...ช่างไม่ใช่วันของเขาเอาเสียเลย
เพราะนอกจากจะเรียนไม่รู้เรื่องแล้ว
ตลอดเวลาที่เขาอยู่ในห้องเรียน
เขารู้สึกเหมือนว่า เขากลายเป็นเป้าสายตาของคนทั้งห้องไปแล้ว
แรกๆ
เขาก็ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติแต่อย่างใด
แต่พอนั่งเรียนไป...เขากลับรับรู้ได้ว่ามีสายตาหลายสิบคู่ผลัดกันเฝ้ามองมายังทิศทางที่เขานั่งเรียนอยู่
โดยเฉพาะเวลาที่ตัวเขาเดินผ่านเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆ
เขามักจะเห็นใครต่อใครพากันจ้องมาที่เขาเขม็ง
แต่เมื่อพอหันกลับไปมองยังทิศทางที่เขารู้สึก...คนพวกนั้นกลับหลบตา
ไม่ก็ก้มหน้าก้มตาซุบซิบกันทันที...
.
.
...มันเกิดอะไรชึ้นกันแน่?!!
“นายๆ”
“.....” จ้าไม่ได้ตอบรับเสียงเรียกโดยไม่เจาะจงที่เพิ่งได้ยินไปเมื่อครู่
เขากลับไปสนใจข้าวในจานตรงหน้าอีกครั้งพลางบอกตัวเองว่าหูแว่ว
“นายนั่นแหละ...เราเรียกนายอยู่
หูไม่ดีเหรอ?” คราวนี้เจ้าของเสียงโผล่มายืนข้างๆพร้อมกับส่งรอยยิ้มแปลกๆให้...
จ้ามั่นใจว่าตนเองไม่เคยรู้จักนิสิตชายคนตรงหน้านี้มาก่อน
อาจจะเคยเห็นหน้า..แต่ไม่รู้จักมักจี่เป็นการส่วนตัวแน่ๆ
“...เอ่อ...
คุณเรียกผมเหรอครับ?” จ้าเผลอหรี่ตาถามอีกฝ่ายด้วยไม่แน่ใจว่าเขาใช่คนที่ต้องประสงค์
“ก็เออสิ!” คนแปลกหน้ารับคำด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดราวกับคุยกันคนละภาษา...
นี่เขากับคนตรงหน้าสนิทกันขนาดนี้เชียวหรือ?
“มีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ?”
“นายรู้ไหมว่าคนๆนั้นเป็นใคร?”
อยู่ๆนิสิตหนุ่มนิรนามก็ถามเขาขึ้นมาโต้งๆโดยไม่มีบริบทบอกใบ้...แล้วอย่างนี้เขาจะต่อบทสนทนานี้ได้อย่างไร
หากไม่ใช่คำถามขอความกระจ่างจากอีกฝ่าย
“คนๆนั้น?
คนไหนเหรอครับ? คุณพูดเรื่องอะไรอยู่...ผมไม่เข้าใจ”
“อ้าว! นี่ยังไม่รู้หรอกเหรอ...ข่าวออกจะดัง” ถึงจะฟังคล้ายคำตำหนิ
แต่สีหน้าของอีกฝ่ายกลับดูชอบอกชอบใจที่ได้เป็นผู้เผยแพร่ข่าวนี้ให้คนที่ไม่รู้ประสีประสาได้รับทราบ
นิสิตหนุ่มนิรนามกุลีกุจอเปิดมือถือแล้วยื่นเนื้อความให้จ้าอ่านพลางสาธยายอย่างฉะฉาน
“นี่ไง... มีคนไปปล่อยข่าวในบอร์ดซุบซิบของมหาลัย... บอกว่ามีเด็กปีสองคณะเราโดนเหมือนพี่คริสโดนน่ะ”
ดวงตาโศกเบิกโพลงมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อได้อ่านข้อความดังกล่าวซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง
โชคยังดีที่อีกฝ่ายไม่รู้ว่า...สีหน้ายามตกใจของเขาเป็นเช่นไร
“สรุปอ่านแล้วรู้ไหมว่าคนๆนั้นเป็นใคร...
รู้จักใครที่น่าจะเข้าข่ายบ้างหรือเปล่า?”
“ไม่นี่ครับ...ผม
ผมไม่รู้หรอก” จ้าปดทันควัน
“ว้า! งั้นไม่เป็นไร ขอบใจนะ...กินข้าวให้อร่อยล่ะ” เมื่อจ้าไม่ใช่คนที่จะให้คำตอบของคำถามนี้ได้
นิสิตชายคนเมื่อครู่ก็เดินผละจากโต๊ะเขา จากนั้นก็เข้าไปทาบทามนิสิตที่นั่งอยู่ในโรงอาหารประจำคณะฯโต๊ะอื่นๆทันที
ซึ่งหนนี้...ดูเหมือนว่าเขาจะเจอคู่สนทนาที่ถูกใจ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างใช้เวลาพูดคุยกันอยู่นาน
ภาพนั้นทำให้จ้าลุกออกจากโรงอาหารโดยไม่คิดแตะต้องอาหารกลางวันแม้สักคำ...
.
.
...‘มัน’ กำลังจะมา!!!
ความกังวลใจของจ้าทวีความรุนแรงขึ้นตามลำดับ...
ช่วงบ่าย
ไม่มีเสียงบรรยายหรือตัวหนังสือบนหน้าจอตัวใดไหลผ่านเข้าหัวเข้าหูของเขาสักตัว
สมองของเขาเอาแต่คิดถึงข้อความที่มือดีแอบโพสต์ลงบอร์ดซุบซิบของมหาวิทยาลัย...
ยิ่งคิดวนเวียนไปมามากเท่าไร
ใจเขาก็ยิ่งวิตก
อาการของเขาหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
เพราะเขาไม่อาจสงบใจให้ไม่ฟุ้งซ่านยามที่ต้องเดินผ่านคนกลุ่มใหญ่...
รุ่งรวีเก็บเอาทุกๆอิริยาบท
ทุกๆความเคลื่อนไหวของผู้คนโดยรอบเอามาคิดเป็นตุเป็นตะอยู่คนเดียว
ยิ่งเวลาได้ยินใครกระซิบกระซาบอยู่ใกล้ๆ
ใจก็พาลจะคิดไปว่า...คนเหล่านั้น กำลังขุดคุ้ยเรื่องของเราเอามาพูดคุยกันสนุกปากเหมือนคราวเคราะห์ของพี่คริส
เมื่อรู้สึกว่าตัวเองนั่งไม่ติดที่อีกต่อไป
รุ่งรวีจึงตัดสินใจโดดเรียนคาบสุดท้ายเพื่อหลบไปพักหายใจหายคอที่ห้องสมุดกลางทันที...
หวังว่าเรื่องของเขา
คงไม่ตามไปเป็นประเด็นใหญ่ถึงใจกลางหอสมุดประจำมหาวิทยาลัยหรอกนะ
พอร่างกายที่เหนื่อยล้ามาเจอเข้ากับอากาศเย็นๆและความเงียบของห้องสมุด
จ้าจึงเผลอไผลหลับไปอย่างไม่ยากนัก
แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปไวเสมอ
เพราะคล้อยหลังเพียงหลักชั่วโมง....เสียงคนคุยกันอยู่ไม่ไกล ทำให้เขาไม่อาจข่มตานอนได้อีกแล้ว
“แล้วนี่มีใครรู้หรือยังว่าเด็กครุฯปีสองคนไหนที่โดนแอบถ่ายเหมือนพี่คริส?”
“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ...
แต่เห็นพวกนักสืบบอร์ดสาวไปแล้วก็เจอว่าเลขไอพีเป็นเครื่องในอินเตอร์เน็ตคาเฟ่แถวๆวิดวะ
สงสัยจะเป็นเรื่องผัวเมียตีกัน แล้วฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอาคลิปมาขู่แหงๆ”
“กูแม่งโคตรอยากรู้เลยว่ะว่าเป็นใคร...เล่นโปรยหัวว่าลีลาแจ่มกว่าพี่คริส...
.
...ชักอยากจะเห็นหน้าเสียแล้วสิ
จะได้รู้ว่าแจ่มกว่ากันซักแค่ไหนเชียว”
“ไอ้สัด! มึงนี่ก็ม่อไม่เลือกฉิบหาย”
“เอ๊า! ได้ฟรีใครจะไม่เอากันวะ...
ถึงจะหลวมไปหน่อย แต่คงสอยไม่ยากแล้วเหอะ”
จ้าทนฟังบทสนทนาบทนี้จนจบไม่ได้
เด็กหนุ่มรีบหลบออกมาด้วยจิตใจที่ว้าวุ่นยิ่งกว่าเก่า....
ข่าวนี้แพร่สะพัดไปไวมากกว่าที่เขาเข้าใจ...
มันไม่ใช่เรื่องภายในคณะ หากแต่มันเป็นเรื่องใหญ่ระดับมหาวิทยาลัย
แล้วอย่างนี้เขาจะไปหลบข่าวได้ที่ไหน?
ใครที่จะไม่พูดเรื่องส่วนตัวทำนองนี้ให้กับคนอื่นรู้?...ใครจะช่วยเก็บความลับของเขาเอาไว้ตลอดกาล?!!
“น้องจ้า...วันนี้หน้าซีดๆนะคะ มีอะไรหรือเปล่าเอ่ย?” เจ้าหน้าที่ธุรการทักทายเด็กหนุ่มผู้ช่วยอาจารย์ประจำภาควิชาที่เธอสังกัดด้วยรอยยิ้มไม่ต่างไปจากทุกครั้งที่เจอหน้าอีกฝ่าย
จ้ายกมือไหว้แก้วอย่างมีสัมมาคารวะ
“ผมคงรีบเดินมากไปหน่อย
หน้าก็เลยอาจจะดูซีดน่ะครับ...
.
...พี่แก้วครับ
ไม่ทราบอาจารย์กัลป์ฝากกุญแจไว้หรือเปล่าครับ?” ความจริงไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่เขาต้องใช้เพื่อแลกกุญแจเข้าห้องทำงานของกัลป์...
สถานที่หลบภัยที่เขานึกขึ้นได้ในนาทีสุดท้ายก่อนจะหมดอาลัยตายอยากไปเสียก่อน
“จ๊ะ...อาจารย์กัลป์แกเอามาวางทิ้งไว้ทุกๆวันก่อนแกจะออกไปไหนๆน่ะ”
เจ้าหน้าที่ธุรการผู้ร่าเริงอธิบายพลางหยิบข้าวของทั้งหมดที่มีคนฝากเอาไว้ให้เด็กหนุ่มแล้วยื่นให้พร้อมคำอธิบายพอเป็นพิธี
“แล้วก็นี่จ๊ะ จดหมายน้อยของวันนี้”
“ขอบคุณครับ” จ้ายกมือไหว้ขอบคุณผู้มีอาวุโสกว่าอีกครั้ง
แล้วจึงเดินตัวปลิวเข้าไปหลบในห้องทำงานของกัลป์โดยเร็ว
หลังจากมั่นใจว่าทางสะดวก
เด็กหนุ่มก็ฉีกซองเพื่อดูรูปล่าสุดที่ ‘มัน’ ส่งมาให้
ซึ่งภาพนี้
ทำให้จ้าตกใจจนแทบสิ้นสติ...
เพราะมันเป็นภาพขาวดำของตัวเขาขณะนอนสลบไสลในสภาพเปลือยเปล่าทั้งตัว
ตามร่างกายเต็มไปด้วยร่องรอยของการร่วมเพศ
ประกอบกับของเหลวที่เป็นผลลัพธ์ของการสมสู่ด้วยความรุนแรงเปรอะเปื้อนไปทั่ว โดยเฉพาะส่วนที่ถูกล่วงล้ำชำเรามากที่สุด ที่น่าแปลกก็คือ...ใต้ภาพ
มีข้อความที่พิมพ์กำกับเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียงร้อยอยู่สั้นๆ ‘18.00
น. วันนี้...ที่ Engineering Amphi-theatre... ถ้าไม่มา หรือถ้าบอกคนอื่น จะปล่อยคลิปลงอินเตอร์เน็ตทันที’
เมื่ออ่านใจความในกระดาษจบ...รุ่งรวีก็เหลือบมองนาฬิกาแขวนบนผนังห้องทำงานของกัลป์แล้วก็นิ่วหน้าทันที
เพราะตอนนี้...ใกล้เวลาที่อีกฝ่ายระบุเอาไว้เต็มที่แล้ว
จ้าจึงไม่รอช้า...รีบเก็บของทั้งหมดลงกระเป๋าแล้วออกวิ่งไปยังสถานที่ๆ ‘มัน’ กำหนดมาล่วงหน้าทันที
◘------------------------------------------------------------------------------------◘
กัลป์ที่เพิ่งกลับจากสัมมนาที่โรงแรมแห่งหนึ่งไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยมากนัก
สามารถทำเวลาในขาเดินทางกลับมายังที่ทำงานของตนได้ดีเสียจนอาจารย์หนุ่มเดินทางกลับมาถึงคณะก่อนเวลานัดกับจ้าเกือบยี่สิบนาที
กัลป์จึงเปลี่ยนใจตั้งเป้าหมายใหม่เป็นห้องทำงานของตัวเองเพื่อจะนำเอกสารคู่มือที่เพิ่งได้มาไปเก็บในห้องเสียก่อน
จังหวะที่เขากำลังจะก้าวขาขึ้นบันไดหน้าคณะ
สายตาดันเหลือบไปเห็นร่างบางของจ้าเดินดุ่มๆลงจากทางเดินอีกฝั่งของตึกคณะวิทย์ราวกับกำลังมุ่งหน้าจะไปไหนด้วยความเร็วสูง
จ้าจะไปไหน?...
นี่ก็ใกล้เวลาที่เขานัดอีกฝ่ายที่ลานจอดรถไม่ใช่หรือ?
แล้วนั่นจะรีบเดินทำไม?
ทำไมไม่ขึ้นไปรอเขาที่ซองจอดรถ?...หรือจะไม่ได้อ่านข้อความที่เราส่งให้เมื่อคืน?
ท่าทางแปลกๆของจ้า
กับความสงสัยเหลือคณษทำให้ชายหนุ่มเดินตามแผ่นหลังบอบบางนั้นไปทันที
ระหว่างที่เดินตามอยู่ห่างๆ...
หางตาของกัลป์ก็มองเห็นร่างสูงหนาของนิสิตคนหนึ่งเดินตามจ้าอยู่ไม่ห่าง
กลายเป็นว่า
แทนที่เขาจะติดตามรอยของจ้าแค่เพียงคนเดียว เขาลับต้องมาเดินตามนิสิตอีกคนต้อยๆ...
แล้วเด็กนั่นเป็นใคร...ทำไมต้องมาคอยตามจ้าแบบนี้ด้วย?
นอกจากจะมีคนเดินตามจ้าแบบรักษาระยะแล้ว
ทิศทางที่จ้าและอีกหนึ่งหนุ่มกำลังมุ่งหน้าไปนั้น
ก็ทำให้เขายิ่งประหลาดใจไปกันใหญ่
เพราะปลายทางที่จ้ามุ่งไป...เป็นบริเวณอันกว้างใหญ่ของคณะวิศวกรรมศาสตร์...
ทำไมจ้าต้องมาที่วิศวะ?
จ้าเดินผ่านตึกเรียนทะลุสวนด้านหลังไปเรื่อยๆ เป็นความโชคดีที่กัลป์สังเกตเห็นเสี้ยวหน้าของผู้ติดตามจ้าได้ทันจังหวะที่อีกฝ่ายเลี้ยวซ้ายตรงมุม..กัลป์จึงได้รู้ว่า...คนที่เดินตามจ้าต้อยๆคือ
รัฐภาคย์...เด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่เขาสงสัยในเจตนาลึกๆมาโดยตลอด
รัฐภาคย์มาทำอะไรที่นี่?
ทำไมต้องทำท่าเหมือนมีพิรุธด้วย?
สรุปว่าจ้าถูกรัฐภาคย์สะกดรอยตามจริงๆใช่หรือไม่?...ถ้าใช่...รัฐภาคย์ต้องการอะไรจากอีกฝ่ายกัน?
เพราะเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของจ้าอย่างที่สุด
เขาเลยรีบกวดร่างสูงหนาของนิสิตหนุ่มวิศวะไปทันที
กัลป์ไม่ได้ให้ความสนใจจ้าที่เพิ่งเดินหายเข้าโรงละครกลางแจ้งของคณะวิศวะเข้าด้านในไปแล้ว
เพราะชายหนุ่มรู้ว่า
ทางเข้า – ออกจากโรงละครมีเพียงทางเดียว
แต่ที่น่าหนักใจเหลือเกิน
เห็นจะเป็น...รัฐภาคย์ที่ใกล้จะเดินพ้นประตูด้านนอกของโรงละครเข้าไปแล้ว
เมื่อนั้น...กัลป์จึงออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตจนสองขาพาเขาวิ่งตามร่างของนิสิตหนุ่มคณะวิศวะได้ทันในที่สุด
“นี่คุณ...
คุณมาทำอะไรแถวนี้?” กัลป์สะกิดแผ่นหลังของนิสิตหนุ่มต้องสงสัยพลางเอ่ยถามด้วยอาการหอบน้อยๆ
แต่อีกฝ่ายที่หันหน้ากลับมามองดูจะตกใจสุดขีดที่เห็นหน้าเขา
“อาจารย์?!” รัฐภาคย์ทำหน้าตาราวกับเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ
“รัฐภาคย์...คุณมาทำอะไรที่นี่เย็นป่านนี้?”
กัลป์ย้ำคำถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง...สายตาและท่าทางทรงอำนาจของเขา
ทำให้อีกฝ่ายดูอ่อนลงทันตา
“เอ่อ...เปล่าครับ ผม...เอ่อ...ผมกำลังจะกลับบ้านครับอาจารย์...
.
...ผมขอตัวกลับบ้านก่อนนะครับอาจารย์”
รัฐภาคย์ยกมือไหว้อาจารย์หนุ่มปลกๆ แล้วจึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งหลบออกไปทันทีเพื่อซ่อนใบหน้าไม่พอใจอย่างที่สุดเอาไว้ไม่ให้กัลป์เห็น
แม้ผู้ต้องสงสัยจะลอยนวลหนีไปไกลตาแล้ว....แต่กัลป์กลับโล่งอกได้เพียงไม่นาน
เพราะเสียงกรีดร้องเหมือนคนได้รับบาดเจ็บดังมาจากด้านในของโรงละครเพียงแห่งเดียวประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์
ซึ่งเสียงนั้นจะเป็นเสียงของใครไปไม่ได้...นอกจากร่างบอบบางที่เพิ่งเดินหายเข้าไปด้านในเพียงไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เอง...
.
.
.
...จ้าเป็นอะไร?
...หรือจะมีใครคนอื่นอยู่ในนั้นกับจ้า?!!!
“........ม่ายยยยยยยยยยยยยยยย!!!!.........”
กัลป์วิ่งกระหืดกระหอบตามเสียงของจ้าเข้าไปด้านใน
แล้วเขาก็ได้เห็นป้ายไวนิลขนาดใหญ่ราวๆฉากหลังผืนใหญ่ของละครเรื่องหนึ่งขึงตระหง่านเหนือเวที
ป้ายนั้น....มีรูปเปลือยของคนที่กำลังกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
และเมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ กัลป์จึงได้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วรูปใหญ่ดังกล่าว...ถูกสร้างด้วยการเอาภาพภาพลักษณะเดียวกันขนาดเท่าเอสี่มาวางต่อเนื่องเต็มพื้นที่ในลักษณะโมเสค
เมื่อร่างบางหันมาเห็นว่าเขาตามเข้ามา...
จ้าก็วิ่งหน้าตาตื่นขึ้นไปบนเวที
ก่อนจะฉีกทึ้งดึงป้ายไวนิลลงมาแล้วห่อตัวเอาไว้
จากนั้นก็ปล่อยให้ตัวเองนั่งร้องไห้อย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่กับพื้นเวที
แม้ชายหนุ่มจะตะลึงกับภาพที่เห็นไม่น้อย
แต่อาการเศร้าสร้อยสลับกับคลุ้มคลั่งของจ้าในตอนนี้ก็ทำให้เขาก้าวตามขึ้นไปบนเวทีเพื่อกอดร่างที่สะอื้นไห้อย่างหนักร่างนั้นเอาไว้กับตัว
พลางปลอบรุ่งรวีให้สงบลง
“จ้า...
ไม่เป็นไรแล้วนะครับ พี่อยู่นี่แล้วนะ” กัลป์เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่สุดอย่างที่เขาไม่เคยเอ่ยให้ใครได้ยินมาก่อน
ร่างบอบบางของจ้าสะท้านสั่นก่อนจะลั่นเสียงสะอื้นยาวแทนคำตอบ
“.......ฮือออออออออออออออออ........”
“ไม่ต้องร้องนะ
พี่อยู่กับจ้าแล้ว... ไม่มีใครจะทำอะไรจ้าได้อีกแล้วนะครับ” กัลป์กระชับร่างในอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
เขาอยากส่งผ่านความรู้สึกปลอดภัยไปให้อีกฝ่ายรับรู้... ตราบใดที่เขายังอยู่
จ้าจะปลอดภัยเสมอ
“......อาจารย์ครับ...
ฮือออออออออออ..... อาจารย์....ฮึก.....ฮืออออออออ...” จ้าพยายามจะสื่อสารสิ่งที่อัดอั้นอยู่ภายใน
หากแต่ไร้ผลสำเร็จ
“ไม่เป็นไรแล้วนะ...พี่กัลป์อยู่กับจ้าแล้วนะครับ..
.
...พี่กัลป์จะไม่ให้ใครมาทำร้ายจ้าได้อีกแล้วนะครับ....นิ่งซะนะคนดี”
เขายกร่างเล็กบางของจ้าขึ้นมานั่งคร่อมเหนือหน้าตัก ก่อนจะเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายอย่างเบามือที่สุด
“...อาจารย์ครับ...ฮึก...ฮึก....อาจารย์เห็นแล้วใช่ไหมครับ?”...และแล้วสิ่งที่กังวลในใจของรุ่งรวีก็ถูกถ่ายทอดออกมาจนได้
“ครับ...พี่เห็นแล้วครับ...
.
...ถ้าจ้าไม่อยากพูดถึงมัน...พี่ก็จะไม่พูดถึงมันครับ”
เขาเดาสิ่งที่เกิดขึ้นเอาไว้คร่าวๆ
ซึ่งหากความเป็นจริงจะแตกต่างไปจากสิ่งที่เขาเข้าใจ
ก็ไม่เป็นไรหรอก...เพราะอดีตไม่มีทางทำร้ายความรู้สึกที่เขามีต่ออีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน
“ไม่พูดจริงๆนะครับ...
สัญญาก่อนว่าจะไม่บอกใคร” จ้าถามอีกฝ่ายเหมือนเด็กเล็กๆที่ต้องการคำยืนยันและการรับรองจากพ่อแม่
เวลานี้...เขาต้องการแค่ใครสักคนที่จะอยู่เคียงข้างโดยไม่ซักถามให้ต้องหนักใจ
“ถ้าพี่กัลป์สัญญา
จ้าจะเลิกร้องไห้ให้พี่กัลป์ได้ไหมครับคนดี?” ด้วยความลืมตัว...ชายหนุ่มเผลอประทับรอยจูบเบาๆลงตรงเปลือกตาของอีกฝ่ายราวกับลงยันต์กันไม่ให้น้ำใสๆไหลร่วงออกมาจากดวงตาโศกคู่นี้อีกต่อไป
“ฮึก...ไม่ร้องครับ
จ้าจะไม่ร้อง...ถ้าพี่กัลป์สัญญา” อารามตกใจและตื่นเต้น...คนเป็นน้องก็หลุดปากพูดด้วยสรรพนามแบบที่ทำให้คนเป็นพี่ที่คิดไม่ซื่อหัวใจพองฟูขึ้นมาได้ไม่ยาก
“พี่กัลป์สัญญาครับ...
.
...ความลับของจ้า
คือความลับของพี่...
...รับรองว่าพี่จะไม่มีวันบอกใคร”
ชายหนุ่มยืนยันหนักแน่นจนรุ่งรวีอดดีใจไม่ได้... เขาเลือกไม่ผิดจริงๆ
ผู้ชายที่แสนอบอุ่นคนนี้ คือคนที่เขาจะฝากทุกสิ่งทุกอย่างหลังจากนี้เอาไว้ได้จริงๆใช่ไหม?
“ขอบคุณครับอาจาร.. คำพูดของเด็กหนุ่มถูกแทรกด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดไม่พอใจของผู้ฟัง...
หลังจากเหตุการณ์นี้ กัลป์หวังจะพัฒนาความสัมพันธ์ของเขากับจ้าให้แนบแน่นยิ่งไปกว่าที่เคย
“ฮื่อ...เรียกพี่กัลป์เหมือนเมื่อกี๊สิครับจ้า...
.
...ต่อจากนี้ไป
ระหว่างเรา...ไม่ใช่อาจารย์กับลูกศิษย์อีกแล้วนะ” พูดจบชายหนุ่มก็กดจมูกลงบนแก้มนิ่มของอีกฝ่ายเบาๆโดยไม่ขออนุญาต
เขาประกาศความต้องการเสียโจ่งแจ้งขนาดนี้...รุ่งรวีคงไม่มีทางหนีหัวใขของเขาไปไหนได้อีกแล้วล่ะ
“ครับ
พี่กัลป์” จ้าไม่รู้ว่าตนเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป...หากแต่อาการร้อนผ่าวตรงแก้มข้างที่เพิ่งถูกสัมผัสก็บอกให้เขารู้ชัดว่า
ความรู้สึกดีๆที่เขามีให้อีกฝ่ายตลอดมา คือความรู้สึกแบบใดกันแน่
“ไม่ร้องไห้แล้วนะครับเด็กดีของพี่กัลป์...
ไปครับ เดี๋ยวพี่กัลป์พากลับบ้านนะ” กัลป์ประคองร่างแบบบางให้ลุกขึ้นอย่างไม่เร่งร้อน
เขามีเวลารอเด็กหนุ่มตลอดทั้งชีวิตหลังจากนี้
ซึ่งหากเขาไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป
ดูเหมือนอีกฝ่าย...ก็พร้อมใจจะก้าวไปข้างหน้า
โดยยอมให้เขาเดินอยู่ข้างๆแล้วล่ะ
“ครับ” จ้ารับคำพร้อมส่งยิ้มกว้างให้กัลป์
คืนนั้น...จอมไม่กลับบ้าน
ส่วนจ้าที่เหนื่อยกับเรื่องราวต่างๆมาตลอดวันก็เผลอร้องไห้กับตัวเองอีกครั้งจนหลับไป...โดยไม่ได้รับสายเรียกเข้าตอนเที่ยงคืนเหมือนอย่างทุกที
◘------------------------------------------------------------------------------------◘
ขอบคุณเนื้อเพลง:
ที่มา: http://www.metrolyrics.cm
◘------------------------------------------- TBC -----------------------------------------◘
No comments:
Post a Comment