Friday, June 5, 2015

◘ ชั่ว...ฟ้า ดินสลาย ◘ #06 || 05.06.2015



ตอนใหม่ที่ไม่ได้แก้ปมใดๆก็กลับมาชวนให้งงงวยกันอีกแล้ว กรั่ก กรั่ก กรั่ก
เชิญติดตามความคืบหน้าอย่างช้าๆของเรื่องนี้ได้ ณ บัดนี้ค่า ^^

ขอบคุณสำหรับทุกๆความเห็น... มันเป็นกำลังใจของเราแบบฝุดๆไปเลย
ถึงจะมีกันไม่เยอะ แต่เราก็อบอุ่นเนอะ

------------------------------------------------------------------------------------



#06




เมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีแดง และรถคันหน้าค่อยๆชะลอหยุด มือหนาของรักษ์ก็ทุบลงบนพวงมาลัยรถอย่างแรง
ชายหนุ่มระบายความหงุดหงิดใจหลังจากที่เมื่อเช้า ถูกเรียกเข้าไปรับฟังเบาะแสของคดีใหม่แบบกะทันหัน

ยิ่งเมื่อได้รู้ว่า กว่าสองชั่วโมงที่เสียไป...ไม่ได้อะไรกลับมา นอกจากบทสนทนาฆ่าเวลาของเหล่าตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในสถานี
เนื่องจากนายตำรวจหัวหน้าทีมของคดีดังกล่าว ติดพันกับการให้สัมภาษณ์ทีวีช่องหนึ่งจนขอเลื่อนการประชุมเป็นช่วงเย็นของวันนี้แทน

ความไม่รับผิดชอบ และไม่เคารพเวลาของคนๆหนึ่ง
ทำให้เขาพลาดนัดช่วงเช้ากับเจ้าของดวงตาโศกหากสวยจับใจคนนั้นไปอย่างช่วยไม่ได้

กระนั้น...สิ่งที่ทำให้เขาหงุดหงิดจนควบคุมตัวเองแทบไม่ได้มากที่สุด
เห็นจะไม่พ้น ความงี่เง่าของตัวเองนี่แหละ


รักษ์ก่นด่าตัวเองในใจไม่ขาดปากนับตั้งแต่ตอนสายของเมื่อวาน
หากต้องเจาะจงช่วงเวลา... คงจะเป็นหลังจากได้ยินคำถามของจ้าเรื่องเจตนาของเขาที่มีต่ออีกฝ่าย

ทั้งๆที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่า การสร้างความเชื่อมั่น ความไว้ใจให้เกิดขึ้นกับจ้านั้น เป็นเรื่องยากเย็นขนาดไหน
แต่เขากลับเลี่ยงคำถามของอีกฝ่ายเสียดื้อๆ
เท่านั้นยังไม่พอ...นายตำรวจหนุ่มยังผลักไสเจ้าตัวให้เข้าเรียนโดยไม่ให้คำอธิบายใดๆเพิ่มเติมอย่างที่ควรจะเป็น
ผลก็คือ...ความหมางเมินที่เขาสัมผัสได้ทันที หลังจากอีกฝ่ายรับสายของเขาก่อนเข้านอนเมื่อคืน

หากหลังจากนี้  ถ้าจ้าจะไม่ไว้ใจ เว้นช่องว่างระหว่างเขาทั้งคู่ให้ห่างยิ่งกว่าเดิม...
รักษ์คงไม่อาจยกความดีความชอบข้อนี้ให้กับใครได้ นอกไปจากตัวเขาเท่านั้น


อย่างไรก็ดี... หากว่ากันตามความเป็นจริง
วินาทีที่ได้ยินคำถามของจ้า ชายหนุ่มก็ตอบตัวเองไม่ได้เช่นกัน ว่าเขาทำดีกับอีกฝ่ายเพราะอะไร...

...เขาต้องการอะไรจากจ้ากันแน่??

แม้รักษ์จะรู้สึกเหมือนมีคำตอบแอบซ่อนอยู่
หากแต่มันยังไม่ถึงเวลา... เขารู้สึกว่า เขาต้องลงมือแก้ปมปริศนาลูกโซ่ทั้งหลายให้คลี่คลายลงไปเสียก่อน
เมื่อนั้น... คำตอบที่เขาและจ้ามองหา ก็จะปรากฏขึ้นมาตรงหน้าแบบไม่ต้องขวนขวายไล่ตาม


ภายหลังจากได้ใช้เวลาไตร่ตรอง และนึกย้อนดูถึงวันแรกที่เขาได้รู้จักกับจ้า
เขาก็ได้รู้ว่า... แม้การช่วยเหลือจ้าจะเป็นความต้องการยื่นมือเข้าช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อย่างบริสุทธิ์ใจอันเป็นนิสัยประจำตัว แต่แรงขับภายในกลับแตกต่างไปจากสิ่งที่เขาเป็นยามช่วยเหลือผู้อื่น

เมื่อมีจ้าเข้ามาเป็นตัวแปรหลักอันมีอิทธิพลต่อทุกสิ่งรอบๆตัวเขา
ความรู้สึกห่วงหาอาทร ความรู้สึกหวงแหน ความรู้สึกต้องการได้รับความสนใจจากอีกฝ่ายเร่งเร้าให้เขาทำทุกอย่างเพื่อสร้างรอยยิ้ม และความสุขให้เกิดขึ้นกับจ้าโดยเร็วที่สุด  

สุดท้าย รักษ์ก็ได้รู้ ได้เข้าใจ...
ลึกๆแล้ว...เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เขาจะได้กลายเป็นคนสำคัญที่อยู่ข้างๆกายจ้า...
ได้ให้ความรัก ได้ดูแล ได้รักษารอยยิ้มนั้นให้ประดับอยู่บนใบหน้าน่ามองของเด็กหนุ่มตลอดไป
และมันคงจะดีที่สุด หากเขาได้รับความรู้สึกแบบเดียวกันตอบแทนคืนมาจากอีกฝ่ายด้วยความเต็มใจ




เมื่อสัญญาณไฟเขียวปรากฏขึ้นอีกครั้ง ตำรวจหนุ่มก็เหยียบคันเร่งเต็มที่
ก่อนจะบังคับพวงมาลัยนำรถให้เลี้ยวเข้าด้านในรั้วมหาวิทยาลัยซึ่งเขาหวังใจว่า หลังจากนี้ เขาจะได้มาที่นี่บ่อยๆ ตราบจนกว่าเจ้าของนัยน์ตาโศกจะเรียนจบ


ทว่าความหวังนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ จ้าไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย หรือติดใจกับอาการเฉไฉของเขาเมื่อวาน
ใกล้เที่ยงแล้ว... เขาเดินไปนั่งรอเจ้าตัวเล็กที่โรงอาหารดีกว่า


------------------------------------------------------------------------------------


ม้านั่งตัวยาวประจำโรงอาหารตัวที่จ้าอาศัยนั่งทำรายงานยังไม่ทันร้อนด้วยอุณหภูมิจากร่างกายเด็กหนุ่ม
เขาก็ได้ยินเสียงจ๊อกแจ๊กของผู้หญิงกลุ่มหนึ่งลอยเข้าหู...
จากความชัดเจนของเสียงพูดคุย  จ้าเดาว่า...เจ้าหล่อนทั้งหลายคงปักหลักอยู่ตรงโต๊ะกินข้าวตัวใกล้ๆ

ตามปกติ รุ่งรวีไม่เคยสอดรู้สอดเห็นเรื่องราว หรือการพูดคุยเล่นหัวของคนอื่น
แต่ไม่รู้เพราะอะไร คราวนี้...เด็กหนุ่มมกลับแบ่งสมาธิจากตัวหนังสือตรงหน้า มาแอบฟังเรื่องที่นิสิตสาวขาเมาท์ทั้งหลายกำลังพูดถึงอย่างออกรสออกชาติ


“นี่ พวกแก...รู้ข่าวพี่คริส เดือนบริหารปีสามป่ะ?”

“พี่คริสที่เพิ่งลาออกไปน่ะเหรอ?”

“นั่นไม่ใช่ประเด็นย่ะ...
.
...ถามจริง...
...พวกแกไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมอยู่ๆพี่คริสสุดหล่อถึงบินไปเรียนต่อเมืองนอกทั้งๆที่ปีหน้าก็จะรับปริญญาอยู่แล้ว?”

“โอ๊ย! อย่าเยอะได้ป่ะ? อยากเล่าก็เล่ามาเร็วๆ ต่อมเผือกสั่นระริกไปหมดแล้วเนี่ย!!

“พี่คริสโดนยกพวกถล่มประตูหลังแล้วถูกแอบถ่ายคลิปแบล็คเมล์จ่ะ...จบมะ?”

“จริงเหรอ? พี่คริสที่หล่อๆแมนๆคนนั้นน่ะนะ?”

“หลังจากที่ชั้นฟังคอมเมนต์ของแก๊งสิบเอ็ดนายฟ้าแล้ว บอกได้ประโยคเดียวว่า พี่คริสโดนพวกเล่นจนงอมพระรามตามกลับบ้านไม่ถูกไปเลยค่า”

“โธ่...พี่คริสของหนู.....เลยไม่กล้าอยู่สู้โลกใบเดิมอีกต่อไปสินะคะ”

“ไม่ใช่เพราะมหาลัยไม่อยากเอาไว้หรอกเหรอวะ?”

“โอ๊ย! ใครจะกล้า...ตระกูลพี่คริสไม่ใช่ตาสีตาสานะยะหล่อน อาจารย์คณะพี่คริสเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กันยกใหญ่”

“สองมาตรฐานสุดๆอ่ะ!

“ก็จริงของแก...ถ้าลองเป็นพวกบ้านจนเหรอ ป่านนี้ได้โดนคณะบดีเชิญออกไปเรียนที่อื่นแล้วแจ้”

“น่าสงสารพี่คริสนะ โดนทำร้าย...แถมยังต้องมาโดนสังคมประนามจนเสียหายกับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ”

“โธ่แก...ใครจะรู้...
.
...ไม่แน่หรอก...
...คนเริ่มอาจจะเป็นพี่คริสก็ได้ เรื่องอย่างนี้ มันเข้าใครออกใครเสียที่ไหน...ยิ่งพวกผู้ชายยิ่งแล้วใหญ่ มึนๆเมาๆเข้าหน่อยก็สอยได้หมดแหละทั้งหญิงทั้งชาย”

“รู้ลึกรู้ดีจริงนะแก”

“แน่นอน...ฉันมันศิษย์ก้นกุฏิแก๊งสิบเอ็ดนายฟ้าสัตวแพทย์รุ่นก่อตั้งเลยนี่ยะ”

“เออนี่...แล้วแกว่า มีคนในคณะเราเป็นแต่แอ๊บแอ๋มั่งเป่าวะ?”

“ชั้นว่ามี... อย่าน้อยก็พี่ยอดเอกอิ๊งปีสี่เนี่ย ต้องเป็นแน่ๆ”

“แหม...ถ้าพี่ยอดไม่เป็น ออฟ ปอง กับเบน ชลาธิศก็แมนเต็มร้อยเลยย่ะ”

“แรง!!!...ปีเราล่ะแก ชั้นว่ามีเยอะนะ”

“นั่นไง...คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นนั่นไง...
.
...คนนั้นน่ะ...
...ที่ขาวๆตัวเล็กๆน่ารักๆจนสาวๆอย่างเราสมควรตายแล้วไปเกิดใหม่”

“แต่ได้ข่าวว่าโคตรหยิ่ง ไม่คบกับใคร ไม่ทำกิจกรรมอะไรสักอย่าง ขนาดรับน้องนางก็ไม่เข้านะยะ... ...ชื่อรุ่ง รุ่งอะไรน้า?”

“แก จะบ้าเหรอ..เค้านั่งอยู่ตรงนี้เองนะ ไม่เผาขนไปหน่อยเหรอ?”



ไม่จำเป็นต้องรอให้หญิงสาวร่วมคณะกลุ่มนั้นนึกชื่อจริงของตนเองออกมาเสียก่อน จ้าก็ชิงลุกออกจากโต๊ะตัวนั้นทันที  
ความคิดวุ่นวายในหัวอันเกิดจากเรื่องราวน่าเศร้าของนิสิตชายร่วมสถาบันผู้ที่จ้าไม่เคยเห็นหน้าแม้สักครั้ง
ทำให้เด็กหนุ่มออกเดินอย่างสะเปะสะปะโดยไร้จุดหมาย
ในยามนั้น ใจของจ้าคิดแค่เพียงว่า...ต่อให้ที่ๆขาทั้งสองข้างจะนำทางไปนนรก หรือสวรรค์ ก็ยังดีกว่าการนั่งเป็นเป้าหมายให้คนที่ไม่รู้จักตัวเขาว่าร้ายอย่างสาดเสียเทเสีย


ขนาดเรื่องที่พวกหล่อนเพิ่งพูดถึงนั้น เป็นความย่อยยับของนิสิตประจำคณะอื่น ข้อเท็จจริงก็ยังถูกขุดคุ้ยกันเสียสนุกปาก... 
ลองเป็นเรื่องน่าอัปยศอดสูของคนในคณะด้วยกันอย่างเขา...
ไม่รู้ว่าแต่ละคน จะขยันสรรหาเครื่องปรุงใดมายำมาเผาจนตอนจบของเรื่องบานปลายร้ายแรงไปถึงขั้นไหน


ระหว่างที่สองขาก้าวเดินไป... คำถามมากมายก็เล่นงานหัวสมองจ้าเสียจนสับสนเหนื่อยล้าเกินต้านทาน...
...เขาจะเป็นอย่างไร หากทุกคนรู้เรื่องที่เกิดขึ้น? 
...วันหนึ่งเรื่องของเขาจะกลายเป็นขี้ปากของพวกเจ้าหล่อนเหมือนกับเรื่องของพี่คนนั้นไหม?
...แล้วถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ  ชีวิตที่เหลือของเขาจะเป็นอย่างไร? เขาจะโดนไล่ออกเพราะไม่มีใครมาคอยหนุนหลัง...ไม่ได้ใช้นามสกุลใหญ่ใช่หรือเปล่า?
...สุดท้าย ใครๆก็จะพากันพูดว่า เป็นเพราะเขาเองนั่นแหละ ที่หาเรื่องใส่ตัว  พวกเขาจะพิพากษาให้จ้ามีความผิด โดยที่เขาไม่มีโอกาสได้บอกกล่าวถึงเรื่องราวอีกฝั่งเหมือนกับที่ทำกับพี่ที่ชื่อคริสใช่ไหม?

และเรื่องที่น่าหนักใจที่สุด เห็นจะไม่พ้นคำถามที่ว่า...
...มันแอบถ่ายคลิปตอนที่ มันทำร้ายตัวเขาเอาไว้หรือเปล่า?



รู้ตัวอีกที ชายหนุ่มก็เดินมาถึงบริเวณด้านหลังคณะตรงส่วนที่เก็บของ ซึ่งคนแทบไม่มีใครผ่านไปมาในช่วงเวลาพักกลางวัน
เขานึกโกรธตัวเองที่เผลอเดินใจลอยมาถึงที่นี่... สถานที่ๆรกร้าง อยู่ในหลืบเร้น ห่างไกลจากสายตาคนแบบนี้
มีเสียงฝีเท้าหนักๆดังก้องมาจากด้านหลังชายหนุ่ม  และเขาก็รู้โดยทันทีว่า นั่น...ไม่ใช่เสียงฝีเท้าของเขาอย่างแน่นอน

ชายหนุ่มเริ่มตระหนกเพราะประเมินได้ว่า...
โดยทั่วไป เที่ยงวันแบบนี้...ผู้คนควรไปกระจุกตัวกันอยู่ที่โรงอาหาร หาใช่อาคารเก็บของ

นั่นเท่ากับว่า เจ้าของฝีเท้าผู้นี้...ย่อมต้องเดินตามหลังเขามาถึงที่นี่ด้วยจุดประสงค์บางอย่าง...
ตาซ้ายของจ้าเต้นกระตุกริกๆคล้ายกับฟ้องว่า ใครคนนั้นที่ร่นระยะห่างให้น้อยลงเรื่อยๆ กำลังตามหาตัวเขาอยู่แน่ๆ


จ้าออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตทันทีที่เสียงฝีเท้านั้นดังใกล้เสียจนประสาทสัมผัสรับรู้ได้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
เสียงตะโกนซึ่งดังกลบเสียงฝีเท้าของทั้งเขาและคนแปลกหน้า ดังออกมาในจังหวะที่จ้ากำลังจะเลี้ยวพ้นมุมตึก


เดี๋ยว!! หยุด!


ชายหนุ่มสาบานกับตัวเองว่า วินาทีนั้น...ต่อให้เอาช้างมาฉุด เขาก็จะไม่ยอมหยุดวิ่งเป็นอันขาด
กระนั้น การออกวิ่งโดยไร้สติกำกับ ทำให้จ้าเตลิดอย่างไร้ทิศทาง
ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น...คือ ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของเขาตลอดเกือบสองปีที่ผ่านมา
วนเวียนอยู่แค่รอบๆคณะกับตึกสำคัญๆซึ่งจำเป็นต่อการติดต่อขอเอกสาร หรือการสอบของนิสิตเท่านั้น...
จ้าจึงไม่รู้ว่า เส้นทางไหนควรใช้...เส้นทางไหนควรเลี่ยงในยามคับขันเช่นในขณะนี้

เจ้าของนัยน์ตาโศกเพิ่งจะรู้ว่า ทางที่สองขาของตนมุ่งหน้าไป...เป็นทางที่เจ้าตัวไม่ควรเลือกใช้อย่างที่สุด
เพราะข้างหน้าเขานั้น...เป็นทางตันที่สามารถเข้า ออกได้เพียงทางเดียว


“อย่าเข้ามานะ!! ผมไม่รู้จักคุณ....คุณจะตามผมมาทำไม?” ชายหนุ่มร้องตะโกนพลางยกมือไหว้คนที่ย่างสามขุมเข้าหาตัวเขาที่แผ่นหลังกำลังชนเข้ากับฝาอย่างแท้จริง


ความกลัวที่ติดมากับสัมผัสในครั้งนั้น ทำให้จ้าหลับตาปี๋ในบัดดล
เขาไม่กล้าแม้กระทั่งลืมตามองหน้า มัน  ไม่ต่างอะไรกับการปิดตา...อันเป็นวิธีที่ มันสั่งสอนให้ร่างกายเขาจดจำ
สิ่งเดียวที่จ้าทำได้ในเวลานี้ คือ ตะโกนขอความช่วยเหลือจากใครก็ได้ จนกว่าใครสักคนผู้นั้น จะผ่านมา...แล้วได้ยินเสียงร้องของเขาสักที  


“ช่วยด้วย!!! ช่วยผมด้...    
ยังไม่ทันสิ้นเสียงร้อง ริมฝีปากของชายหนุ่มก็ถูกอีกฝ่ายปิดเอาไว้แน่น จนหางเสียงหายเข้าไปในลำคอ

หยุด! หยุดร้องเดี๋ยวนี้นะ!!!!” เสียงกรรโชกของอีกฝ่ายแม้จะน่ากลัว ทว่าฟังเลิ่กลั่กอยู่ในที จ้านึกแปลกใจที่ มันดูจะตื่นตูมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตัวของเขาเอง


ทว่าเมื่อทบทวนเสียงที่เพิ่งได้ยิน เปรียบเทียบกับเสียงของ มัน ในความทรงจำจากเบื้องลึกแล้ว...
จ้าก็รู้โดยพลันว่า เสียงกระซิบสั่งเมื่อครู่ ไม่ใช่เสียงของ มัน...

ถึงอย่างนั้น เขากลับไม่กล้ามากพอจะเผยอตามองหน้าคนที่อุดปากตัวเองเอาไว้อยู่ดี
ชายหนุ่มบอกกับตัวเองวา...คนๆนี้อาจเป็นคนที่ มันส่งมาก็ได้


“จ้า!  จ้า!!


จ้าใจชื้นทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกนเรียกของรักษ์... ชายผู้อยู่ถูกที่ถูกเวลาอย่างน่าแปลกใจเสมอ 
ทุกอย่างหลังจากนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเสี้ยววินาที
ชายหนุ่มร่างเล็กกลายเป็นอิสระอีกครั้ง
คนแปลกหน้าที่จ้าไม่มีโอกาสเห็นว่าเป็นใครสบถอย่างหัวเสีย ก่อนจะนำเสียงฝีเท้าหนักๆนั่นให้ห่างออกไป
และเมื่อจ้าลืมตา....รักษ์ก็ปรากฏกายมายืนอยู่ตรงหน้าของเขาเสียแล้ว


“จ้า จ้าเป็นอะไรครับ?”


แม้เจ้าของนัยน์ตาโศกจะรู้สึกตัว และตั้งใจจะตอบคำถามของนายตำรวจ  ทว่าร่างกายของเขากลับไม่เป็นใจสักเท่าไร
ร่างเล็กทำท่าทางคล้ายกับหอบ ลำตัวบางเหมือนกระดาษโยนโยกทุกครั้งที่ร่างกายพยายามสูด และผ่อนลมหายใจ

ชายหนุ่มร่างเล็กรู้สึกถึงอาการติดขัดในช่องลมภายในลำคอ...
เขาไม่อาจหายใจเข้าได้สุด รวมทั้งหมดความสามารถในการผ่อนลมหายใจออกอย่างปลอดโปร่ง
สักพักจ้าก็รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบดับวูบเป็นพักๆ ก่อนจะหมุนวนเอื่อยๆรอบแล้วรอบเล่าจนปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมด
มือกับเท้าเล็กๆของเขาหงิกค้างเย็นเยียบราวกับถูกจับมัดจุ่มลงในน้ำทะเลภายใต้แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกใต้  

ทว่ารอยสัมผัสอบอุ่นซึ่งค่อยๆขยายแผ่จากปลายนิ้วมือไล่ขึ้นมาผ่านการเกาะกุมนวดเคล้นของฝ่ามือใหญ่หนา
ทำให้ร่างเล็กรู้สึกตัวอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าตัวเองนั่งอยู่เหนือตักของรักษ์แบบเต็มๆ



“จ้า...หายใจช้าๆ หายใจเข้าลึกๆนะครับ... พี่อยู่นี่แล้วนะ ไม่มีใครทำอะไรจ้าได้แล้ว”  


จ้าพยายามบังคับลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆตามที่รักษ์แนะนำอยู่พักใหญ่
สุดท้าย สายตาที่มืดมนไปชั่วคราวของเขาก็กลับมามองเห็นได้เกือบร้อยเปอร์เซนต์อีกครั้ง


“พี่รักษ์...พี่รักษ์มาได้ยังไงครับ?” จ้าถามอีกฝ่ายในสิ่งที่ข้องใจเขามากที่สุด... เพราะนี่นับเป็นอีกครั้ง ที่รักษ์โผล่เข้ามาช่วยเขาจากสถานการณ์คับขันได้ทันเวลา

“เมื่อเช้าพี่ไม่ได้ไปรับจ้า พี่เลยแอบแว่บมาตอนกลางวัน ตั้งใจจะมากินข้าวเที่ยงด้วย
ตอนพี่เดินมาถึงหน้าคณะ  เห็นหลังจ้าเดินมาทางนี้ไวๆ เลยรีบเดินตาม
พอจ้าถูกเด็กผู้ชายอีกคนวิ่งไล่นั่นแหละ พี่เลยสับเต็มที่กะมาให้ถึงที่นี่ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น” ตำรวจหนุ่มตอบตามจริง

“แล้ว?” เจ้าของร่างเล็กในอ้อมกอดของตำรวจหนุ่มไม่ได้พูดอะไรต่อ หากคนโตกว่ากลับเข้าใจความหมายที่สายตาหวาดกลัวของจ้าสื่อสารโดยไร้คำพูดได้เป็นอย่างดี  รักษ์จึงตอบคำถามห้วนสั้นข้อนั้นโดยไม่ได้เรียกร้องคำอธิบายเพิ่ม

“วิ่งหนีไปแล้วล่ะ...พี่ไม่ทันเห็นหน้าด้วยว่าเป็นใคร จ้ารู้จักหรือเปล่าครับ?”


จ้าส่ายหัวให้รักษ์แทนคำตอบ
จะให้เขายอมรับว่า กลัวคนแปลกหน้าคนนั้นจนเผลอหลับตา เขาก็ไม่อยากทำ..
เพราะนอกจากนั่นจะยิ่งส่งเสริมให้จ้าดูปอดแหกเกินพอดีแล้ว ชายหนุ่มอาจไม่เหลือข้ออ้างหลบหลีกการเจอหน้าหมอโอ๊ตก่อนเวลาอันควรแน่ๆ


“ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวเอาไว้พี่จะลองแอบถามคนแถวนี้เอาอีกที”

“ไม่ต้องหรอกครับ เขาอาจจะทักคนผิดก็ได้” จ้าโกหกอีกครั้ง คราวนี้เป็นเพราะไม่อยากให้เรื่องบานปลาย เพื่อนๆร่วมคณะและอาจารย์คงไม่ชอบใจเท่าไร หากต้องโดนสอบปากคำโดยนายตำรวจรูปหล่อคนนี้ ทั้งที่เรื่องทั้งหมดเกิดจากความเดือดร้อนของเขาแต่เพียงผู้เดียว

“จ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม? อยากให้พี่พาไปหาหมอหรือเปล่าครับ?”

“จ้าไม่เป็นอะไรครับ จ้าแค่หิวเฉยๆ”

“งั้นไปกินข้าวกับพี่นะ”

“ออกไปกินข้างนอกได้ไหมครับ? จ้ามีเรียนอีกทีตอนบ่ายสามน่ะ” ผู้หย่อนอาวุโสกว่าร้องขอ ด้วยไม่อยากกลับไปเป็นประเด็นให้ใครได้พูดถึงอีก

“ได้สิ เดี๋ยวพี่พาไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้าประจำข้างสถานี รับรองจ้าจะต้องติดใจ...
.
...จ้าเดินไหวไหม? อยากให้พี่อุ้มหรือเปล่าครับ?”

“จ้าเดินไหวครับ”


นิสิตหนุ่มรีบบอกปัดความปรารถนาดีของอีกฝ่าย
แค่มีคนพยุงก็หนักหนามากแล้ว ถ้าขืนเขายอมปล่อยให้รักษ์อุ้มเดินไปไหนต่อไหนในมหาวิทยาลัย
มีหวังเขาคงได้กลายเป็นหัวข้อข่าวหัวข้อใหม่ของใครต่อใครในเร็ววันนี้แน่ๆ

คนฟังเองก็ไม่ได้มีท่าทีเสียใจอะไร เพราะแค่จ้าเรียกร้องให้เขาพาไปกินข้าวข้างนอกกันสองต่อสอง...
ก็ถือเป็นพัฒนาการอันน่ายินดีมากพออยู่แล้ว






“จ้า...ไม่โกรธพี่ใช่ไหมครับที่พี่ไม่ได้ไปรับเมื่อเช้า?”  รักษ์ทำหน้าตาเหมือนกำลังลุ้นคำตอบของอีกฝ่ายจนตัวโก่ง ชายร่างเล็กจึงรีบเคี้ยวก๋วยเตี๋ยวในปากแล้วกลืนลงคอ เพื่อตอบคนเป็นพี่เพราะไม่ต้องการเสียมารยาทปล่อยให้อีกฝ่ายรอนาน

“ไม่โกรธครับ”

“วันนี้จ้าหน้าซีดจัง เป็นอะไรหรือเปล่า?” จ้าเผลอยกมือขึ้นสัมผัสข้างแก้มตัวเองทันทีเมื่อได้ยินคำทักของตำรวจหนุ่ม  เขาหยุดคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะเฉลยความอย่างระมัดระวัง

“เมื่อคืนจ้านอนน้อยไปหน่อยน่ะครับ”

“ทำไมล่ะ?...คิดเรื่องอะไร? หรือใครทำอะไรจ้า?” 


มาถึงตรงนี้ รักษ์ดูเป็นเดือดเป็นร้อนกับสิ่งที่ได้ยินเป็นอย่างยิ่ง
เด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่า สิ่งที่รบกวนใจของตำรวจหนุ่มหนีไม่พ้นเรื่องของลุงแท้ๆของอีกฝ่าย
ขนาดเขาเป็นคนแปลกหน้า...จอมยังกล้าขอยืมเงินอย่างถือวิสาสะ
แล้วสำหรับจ้าที่เป็นถึงหลานในไส้...ชายวัยกลางคนจะหาเรื่องชวนให้หนักใจมาใส่สมองเล็กๆนั่นได้มากแค่ไหนกันนะ?


“ไม่มีครับ ไม่มีใครทำอะไรจ้าหรอก จ้าแค่คิดถึงพี่หรั่งมากไปหน่อย”

“หรั่งมาเข้าฝันจนนอนไม่หลับเหรอ?”

“เปล่าครับ”

“ถ้าหรั่งรู้ว่าจ้าเอาแต่คิดถึงหรั่งจนไม่ได้นอน หรั่งคงไม่ดีใจหรอกนะ”

“อืม”

“แต่จ้าอย่าคิดมากไปเลยนะ เรื่องแบบนี้มันห้ามกันได้ที่ไหน...
...เอาอย่างนี้ดีไหม จ้าเปลี่ยนเป็นคิดถึงหรั่งน้อยๆ แต่บ่อยๆแทน แล้วก็เลี่ยงการคิดถึงหรั่งตอนกลางคืน จะได้ไม่เผลอคิดไปไกลจนไม่ได้นอนอีก” รักษ์พยายามแนะนำเจ้าของดวงตาโศกในแบบที่จิตแพทย์ผู้เป็นเพื่อนสนิทน่าจะพูด แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายจะรับฟังสักกี่มากน้อย

“จ้าจะพยายามแล้วกันครับ”


------------------------------------------------------------------------------------


ทันทีที่คาบเรียนสุดท้ายยุติ จ้าก็รีบติดต่อเจ้าหน้าที่ธุรการประจำภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ต้นสังกัดของอาจารย์กัลปพฤกษ์เพื่อขอกุญแจเปิดเข้าห้องทำงานซึ่งเจ้าของห้องฝากเอาไว้ตั้งแต่ช่วงบ่าย  เขาฝังตัวอยู่ในห้องทำงานของอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ท่านนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในสถานการณ์คับขันดังเช่นเมื่อกลางวัน


จวนสี่โมงเย็น เจ้าของห้องก็กลับเข้ามาทำงานของตนอยู่ที่มุมหนึ่ง  ปล่อยให้นิสิตต่างคณะง่วนกับกองเอกสารอยู่ตรงมุมเดิมนับแต่เมื่อวาน  จังหวะที่เจ้าของห้องพักสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ อาจารย์หนุ่มก็เปิดบทสนทนาชวนผู้อาวุโสน้อยกว่าพูดคุยด้วยเรื่องสัพเพเหระที่ตนเองได้ประสบมาทันที


“วันนี้ผมไปกินข้าวที่คณะคหกรรมมา เย็นตาโฟโป๊ะแตกที่นั่นอร่อยมาก วันไหนว่างๆ คุณลองไปกินดูสิ” คนฟังเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารในมือ ส่งยิ้มให้แล้วจึงตอบด้วยท่าทางนอบน้อมหากแต่ไม่กระตือรือล้นเท่าใดนัก... ต่อให้จ้ารู้ว่าที่ไหนมีของอร่อย แต่จะให้เขาไปกินคนเดียว นั่นก็ไม่ใช่นิสัยของเจ้าตัวแต่อย่างใด

“ครับ ไว้ผมจะไปลองดู”

“แล้วคุณล่ะจ้า...กลางวันคุณไปกินอะไรมา?” อาจารย์หนุ่มถามอีกฝ่ายกลับตามประสาคนอัธยาศัยดีไมตรีเยี่ยม

“ก๋วยเตี๋ยวเรือครับ”

“เหรอ? ร้านไหนล่ะ...ใช่ร้านที่คณะคุณหรือเปล่า? เป็นไง...อร่อยไหม?” คนถามดูจะสนใจเมนูมื้อกลางวันของจ้ามากเป็นพิเศษจนจ้าเผลอคิดไปว่า ก๋วยเตี๋ยวเรืออาจเป็นของกินที่อาจารย์ผู้นี้โปรดปราน

“อ๋อ...เปล่าครับ ผมออกไปกินข้างนอกเจ้าแถวๆสถานีตำรวจน่ะครับ รสชาติดีเลยล่ะครับ” สีหน้าคนฟังดูประหลาดใจไปกันใหญ่ เขาไม่นึกว่าจ้าจะทุ่มทุนสร้างกับการกินถึงขั้นตะลอนๆออกไปข้างนอกเพื่อแลกกับก๋วยเตี๋ยวเพียงไม่กี่ชาม

“เพื่อนคุณนี่ช่างเสาะหาของกินเสียจริงๆ...แล้วไปกันยังไงล่ะ แท็กซีเหรอ?”

“เปล่าครับ ผมไม่ได้ไปกินกับเพื่อน...ผมไปกับรุ่นพี่ที่เป็นตำรวจอยู่แถวนั้นน่ะครับ” โดยไม่รู้ตัว กัลป์หรี่ตามองราวกับจับผิดสีหน้าของจ้าตอนที่พูดถึงรุ่นพี่คนที่ว่า แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตาจัดเอกสารโดยไม่ได้แสดงสีหน้าพิเศษแต่อย่างใด เขาก็เปลี่ยนท่าทีกลับมาเป็นร่าเริง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงตามปกติ

“โอ้โห...กว้างขวางนะเรา มีรุ่นพี่เป็นตำรวจด้วย ชื่ออะไรล่ะ? บอกผมได้ไหม?...เผื่อว่าพ่อผมจะรู้จัก”

“คือจริงๆ ผมก็ไม่เชิงสนิทกับพี่เขาเสียทีเดียวหรอกครับอาจารย์กัลป์” จ้าตอบตามความจริง หากความจริงที่ว่า กลับทำให้กัลป์ขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าหล่อเหลาที่ระบายด้วยรอยยิ้มอยู่สม่ำเสมอกลับกลายเป็นบึ้งตึงอย่างกะทันหัน เขาถึงกับตำหนิคนที่ไม่ระมัดระวังความปลอดภัยของตัวเองตรงๆด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“อ้าว...แล้วนี่ออกไปกินข้าวกับเขาได้ยังไง?...
...บอกว่าไม่สนิท...แต่กล้าไปกินข้าวกับเขาเนี่ยะนะ?...
.
.
...คุณไว้ใจคนง่ายไปหรือเปล่าจ้า?”


คำพูดของกัลป์กระแทกใจจ้าเข้าอย่างจัง...
ใช่... แค่รักษ์เข้ามาช่วยเหลือเขาจาก มันถูกจังหวะ ไม่ได้หมายความว่า นายตำรวจหนุ่มคนนั้นจะไว้ใจได้เสียหน่อย

เรื่องค้างคาเมื่อวันก่อน...รักษ์ก็ยังไม่ได้ให้คำตอบ 
ท่าทางเรื่อยๆ กับการไม่วกเข้าคำถามข้อนั้นของจ้า ยิ่งทำให้เจตนาของรักษ์ยิ่งดูคลุมเครือไปกันใหญ่  
จ้าจึงโกหกกัลป์เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ และบอกให้รู้ถึงเส้นบางๆที่เขาขีดกั้นตำรวจหนุ่มเอาไว้อย่างแน่นหนาตั้งแต่ต้น


“คืออย่างนี้ครับอาจารย์...
.
...พี่เขาเคยช่วยผมกับลุงเอาไว้...
...มีวันนึง ลุงกับผมไปซื้อของที่ตลาด แล้วอยู่ๆลุงก็เป็นลมล้มพับไป พี่เขาผ่านมาแถวนั้นพอดี...ก็เลยช่วยพาลุงไปส่งโรงพยาบาล หลังจากนั้น...พี่เขาก็เลยกลายเป็นแขกของที่บ้านไปโดยปริยาย”

“อืม เป็นตำรวจ แถมยังเป็นพลเมืองดีอีก... ฟังดูก็น่าจะคบได้นะคนแบบนี้” กัลป์รับฟังด้วยท่าทางคลายใจลงมากจนจ้าแอบลอบถอนหายใจ ก่อนจะตอบรับคำกัลป์ด้วยท่าทางไม่ใส่ใจนัก

“ก็คงอย่างนั้นล่ะมั้งครับ”

“วันไหนถ้าว่าง คุณพาผมไปลองชิมก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นหน่อยสิ ตั้งแต่กลับมาเป็นอาจารย์ที่เมืองไทยเมื่อสองปีก่อน ผมก็หาร้านอร่อยๆกินไม่ได้เลย” เมื่อไม่ติดใจเรื่องของตำรวจหนุ่มอีกต่อไป กัลป์จึงกลับมาพูดคุยกับจ้าด้วยน้ำเสียงร่าเริงอีกครั้ง  ความสดใสเจิดจ้าของอดีตอาจารย์ที่ปรึกษาคนสนิทของผู้เป็นพี่ก็พลอยเผื่อแผ่มาถึงน้องชายต่างสายเลือดคนนี้ไปด้วย

“ได้ครับอาจารย์ ร้านนี้เปิดตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน วันไหนเลิกเรียนเร็ว ผมจะพาอาจารย์ไปเลี้ยงเองครับ” หนุ่มน้อยรับรองด้วยรอยยิ้ม

“หึ หึ หึ...ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวคุณได้กระเป๋าฟีบตาย ผมจะโดนมานะว่าเอาที่เลี้ยงน้องชายเขาได้ไม่ดี”  เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือของกัลป์ทำให้อาจารย์หนุ่มนิ่วหน้าไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสั่งความผู้ช่วยคนใหม่

“เดี๋ยวผมขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์กับที่บ้านแป๊บนึงนะ...  
...เออ นี่จ้า...คุณช่วยเอาเอกสารที่โต๊ะผมไปจัดให้ด้วยสิ” กัลป์ทำท่าชี้ที่โทรศัพท์มือถือของตัวเองเหมือนกับต้องการบอกว่าคนในสายต้องการคุยกับเขาโดยด่วนจนต้องรีบรุดออกไปโดยไม่ได้สั่งงานอย่างละเอียดนัก ทว่านั้นไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มประหลาดใจสักเท่าไร เนื่องจากบนโต๊ะ มีเอกสารเพียงสองสามกองที่ต้องจัดการคัดแยกเท่านั้น

“ครับ ได้ครับ”


คล้อยหลังอาจารย์หนุ่ม ร่างเล็กก็เดินเข้าไปหยิบกองกระดาษทั้งหลายที่กินพื้นที่เกือบห้าสิบเปอร์เซนต์ของโต๊ะทำงาน
จังหวะที่เขาหมุนตัวกลับ มุมของปึ๊งกระดาษกลับกระแทกกระบอกใส่ปากกาบนโต๊ะจนของข้างในตกกระจายทั่วพื้น
หนุ่มน้อยถึงกับหัวเสียที่เผลอซุ่มซ่ามทำให้เสียทั้งเวลา ทั้งพลังงานโดยใช่เหตุ

หลังจากเอาปึกกระดาษไปกองไว้ที่มุมทำงานของตัวเอง จ้าก็เดินอ้อมโต๊ะเข้าไปเก็บปากกาที่หล่นเกลื่อนกลาดเข้าที่
ส่วนปากกาไฮไลท์แท่งสุดท้าย กลับหลงอยู่ข้างๆเมาส์บนโต๊ะทำงานนั่นเอง

จ้าวางกระบอกปากกาลงตรงตำแหน่งเดิม พร้อมกับเอื้อมมือหยิบไฮไลท์สีเขียวสะท้อนแสงในขณะเดียวกัน
เมื่อไม่ได้แบ่งสายตาไปมองนิ้วที่คีบปากกาหลงทาง ปลายนิ้วของเขาจึงเลื่อนไปชนเมาส์ไร้สายเข้าจนได้  
นั่นจึงทำให้สายตาที่ละจากกระบอกใส่ปากกา เกิดไพล่ไปเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่เปิดขึ้นอีกครั้งหลังการขยับเมาส์โดยไม่ตั้งใจเมื่อครู่...

รูปภาพบนหน้าจอทำให้เขาตกตะลึงถึงขั้นหายใจไม่ทั่วท้อง...
เดสก์ท็อปคอมพิวเตอร์ของกัลป์เป็นรูปถ่ายพอร์ทเทรตขาวดำ เห็นเพียงท่อนบนเปลือยเปล่าของชายหนุ่มตาน้ำข้าวสองคนซึ่งกำลังมอบจุมพิตให้แก่กันอย่างดูดดื่ม


อาการเห่อร้อนบนใบหน้าของจ้า ไม่ใช่แค่สาเหตุเดียวที่ทำให้เขารีบผละออกจากโต๊ะทำงานของกัลป์ทันทีที่ลูกบิดประตูลั่น  
เจ้าของนัยน์ตาโศกกระโดดแผล็วกลับไปประจำยังมุมทำงานของตนพลางทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่เกิดขึ้น
ในขณะที่เจ้าของห้องกลับต้องหน้าชาตัวแข็งทื่อ เมื่อเห็นว่าหน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเปิดหราอยู่


ช่วงเวลาหลังจากนั้น
เขาทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมห้องทำงานสี่เหลี่ยมเล็กๆขนาดไม่พอทำให้แมวดิ้นตายเอาไว้โดยไม่คิดจะแทรกแซง





“หกโมงแล้วล่ะ วันนี้พอก่อนเถอะจ้า” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้วางมือ กัลป์จึงเป็นฝ่ายค่อยๆเก็บของเสียเอง คนที่ยังมุ่งมั่นกับการเก็บกวาดจัดการเอกสารตอบโดยไม่เงยหน้ามองเขาให้เสียเวลา

“อีกนิดเดียวครับอาจารย์กัลป์... หมดกองนี้ ห้องทำงานของอาจารย์ก็จะกลับมาเป็นระเบียบเหมือนเดิมแล้ว”

“คุณทำงานเก่งกว่าที่ผมคิดเอาไว้เยอะเลยนะ...
.
...ผมไม่นึกจริงๆว่า คุณจะใช้เวลาแค่สองวันในการจัดการให้ห้องผมคืนสภาพได้” กัลป์ชมนิสิตต่างคณะจากใจจริง เขาเองยังไม่เชื่อสายตาตัวเอง ที่เห็นห้องซึ่งรกรุงรังมาเป็นเวลาแรมเดือน กลับเป็นระเบียบได้ภายในไม่ทันข้ามวัน

“ผมเคยทำงานเอกสารมาบ้างน่ะครับ เลยไม่งงเท่าไร...
.
.
...เอาล่ะ เสร็จแล้วครับ ทีนี้อาจารย์ก็เปิดห้องรอต้อนรับแขกได้เลย” จ้าเดินยิ้มกว้างแล้วเอาเอกสารกองสุดท้ายที่แยกและแปะกระดาษคั่นชนิดและหัวข้อเอาไว้เรียบร้อยมาวางลงบนโต๊ะของกัลป์

“หึ หึ...ได้ ได้...
.
...เอ้อจ้า วันนี้คุณต้องรีบกลับไปทำอะไรที่บ้านรึเปล่า?” คนถามหน้าตูมหรุบตาต่ำหลังจากพูดจบ ในขณะที่คนตอบเหลือบมองหน้าอาจารย์กัลป์แล้วก็พลอยไม่สบายใจตามไปอีกคน

“ไม่ครับ”

“ถ้างั้น...คุณไปกินข้าวเย็นเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ...ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณสักหน่อย”

“ครับ ได้ครับ”





แม้กัลป์จะเป็นฝ่ายชักชวนจ้าให้ไปกินข้าวด้วย ทว่าตลอดมื้ออาหาร ทั้งสองกลับไม่ได้พูดคุยกันอย่างที่ฝ่ายอาจารย์เกริ่นไว้
บรรยากาศน่าอึดอัดดำเนินไปเรื่อยๆโดยไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด จนกระทั่งคนโตกว่าตัดสินใจเปิดปากเมื่อรถของเขาจอดเทียบข้างฟุตบาทเยื้องปากซอยเข้าบ้านของลูกศิษย์ต่างคณะ


“จ้า” เสียงของกัลป์ห้วนสั้นตามชื่อเล่นคู่สนทนา กระนั้นความหวั่นไหวกลับลอยอวลในอากาศ

“ครับอาจารย์กัลป์?” จ้าเบือนหน้าจ้องมองกรอบรูปไข่ของใบหน้าหล่อเหลาของอาจารย์หนุ่มหลังพวงมาลัย กัลป์นิ่งไปครู่ใหญ่ราวกับรวบรวมความกล้า ไม่ก็กำลังต่อสู้กับความรู้สึกบางอย่างที่จ้าไม่อาจเข้าใจ  
.
.
.
.
.
“คุณเห็นแล้วใช่ไหม?” กัลป์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น เขากำลังภาวนาให้เรื่องทั้งหมดไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก และคนเดียวที่จะบอกได้ ก็คือเจ้าของนัยน์ตาโศกซึ้งที่กำลังจ้องมองเขาอย่างไม่เข้าใจ

“เห็นอะไรครับอาจารย์?” กัลป์พยายามปลอบตัวเองว่า อีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะโยกโย้หรือกวนประสาท จ้าแค่ไม่แน่ใจเท่านั้น

“ก็...รูปภาพบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของผมน่ะ” ผู้มีอาวุโสกว่าตอบอ้อมแอ้ม  หากจ้ามองไม่ผิด...ใบหน้าของอาจารย์หนุ่มขึ้นสีแดงทันตาเมื่ออ้างถึงรูปนั้น...รูปที่เขาเผลอเปิดดูด้วยความบังเอิญ

“คระ ครับ” น่าแปลก...พวกเขาทั้งคู่ไม่ทันได้สังเกตว่า ความรู้สึกประดักประเดิดเข้ามาแทนที่ความอึดอัดตลอดมื้ออาหารเย็นไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

“คุณไม่รังเกียจเหรอ?” กัลป์ต้องการมั่นใจว่าจ้าจะไม่เผลอเอาความลับข้อนี้ของเขาไปเปิดเผยที่ไหน... และถ้าเป็นไปได้ หากอีกฝ่ายไม่เดียดฉันท์ เมื่อนั้น...เขาอาจจะสมหวังกับสิ่งที่เขาปรารถนาลึกๆตั้งแต่วันแรกที่เขาเจอหน้าจ้าที่งานศพของอดีตลูกศิษย์ตัวเอง  

“รังเกียจอะไรครับ?” จ้าต้องการให้อาจารย์แจกแจงให้แจ้งแจ่ม

“ภาพนั่น” หลังคำตอบนี้ กลายเป็นจ้าที่ไม่อาจสู้สายตาของกัลป์ได้อีกต่อไป... หนุ่มน้อยเขินขวยด้วยนึกย้อนไปถึงภาพที่ตัวเองเห็นในห้องของกัลป์ เขาไม่อยากจะยอมรับกับตัวเอง... แต่สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ตอนที่อยู่กับ มันทำให้เขารู้ซึ้งแล้วว่า อารมณ์พรึงเพริดอันเกิดจากรอยสัมผัสแห่งราคะและตัณหา ทำให้รู้สึกซาบซ่านปานใด

“...ก็...ก็สวยดีนะครับ...” จ้าอึกอัก และเริ่มจะอึดอัดที่ต้องตกเป็นเป้าให้สายตาคมๆของกัลป์พุ่งเข้าใส่อย่างเลี่ยงไม่ได้  เขาเริ่มตระหนักรู้ว่า อีกฝ่าย...ไม่ได้เป็นแค่อาจารย์ที่น่าเลื่อมใส หากแต่ยังเป็นผู้ล่าที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ล้นเหลืออีกด้วย
.
.
.
.
.
“คุณไม่รังเกียจที่ผมเป็นเกย์ใช่ไหม?” กัลป์กลั้นใจรอฟังคำตอบที่ชี้ชะตาของตน เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า...คนข้างๆจะใจกว้างพอ

“มันเป็นความชอบส่วนตัวของอาจารย์กัลป์ครับ” เจ้าของนัยน์ตาโศกเลี่ยงอย่างจงใจ แต่มีหรือที่อีกฝ่ายจะยินยอม

“จ้า คุณยังไม่ตอบคำถามผมเลยนะ...ผมถามคุณว่า คุณรังเกียจผมหรือเปล่า?” กัลป์เบี่ยงลำตัวท่อนบนเข้าหาจ้า แล้วจ้องอีกฝ่ายโดยไม่ละสายตา เขาทนไม่ได้...หากคนตรงหน้าจะเอาตัวรอดโดยปล่อยให้ทุกอย่างคลุมเครือ

“ผมไม่รังเกียจที่อาจารย์เป็นเกย์หรอกครับ” กัลป์ถึงกับผ่อนลมหายใจยาวเมื่อได้ยินคำของจ้า ในขณะที่เจ้าของประโยคกลับกำลังสับสนว่า เพราะเหตุใด กัลป์ถึงต้องอยากรู้ความคิดเห็นของเขาที่มีต่อความชอบทางเพศของตัวเอง ในเมื่อสถานะของจ้า ไม่น่าจะต่างกับลูกศิษย์คนอื่นๆที่กัลป์ให้ความสนิทสนมสักนิด...
.
.
.
...หรือสิ่งที่กัลป์มอบให้เขา  พิเศษกว่าใครจริงๆ?


“ขอบใจนะ จ้ากับมานะนี่เหมือนกันไม่ผิดเลย” กัลป์เอ่ยด้วยสีหน้าเหมือนยกภูเขาออกจากอกไปหลายลูก แต่คนฟังกลับประหลาดใจจนต้องถามออกมา

“พี่หรั่งก็รู้เรื่องนี้เหรอครับ?”

“อืม...เขารู้ ดีไม่ดีก็ด้วยวิธีเดียวกันกับที่จ้ารู้นี่แหละ...
.
...จริงๆผมควรจะเรียนรู้จากเรื่องเมื่อคราวนั้นแล้วแท้ๆ แต่ผมก็ยังไม่ได้เปลี่ยนภาพหน้าจอนี่เสียที” คำตอบของกัลป์เร่งให้จ้ายิ่งอยากรู้อยากเห็นไปกันใหญ่

“แล้วพี่หรั่งเขารู้สึกยังไงกับ...กับ....” หนุ่มน้อยไม่อาจต่อประโยคจนจบด้วยกระดากอายเกินกำลัง

“เขารับได้น่ะ ผมขอบคุณเขาจริงๆ ที่เขาไม่ตัดสินผมจากรสนิยมทางเพศส่วนตัว...
...ตั้งแต่วันที่เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาก็ไม่ได้เคารพผมน้อยลงเลย ผมดีใจนะ...ที่คุณเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน” ในที่สุด กัลป์ก็กลับมายิ้มได้เหมือนเดิม  ส่วนคนฟังกลับนิ่งเงียบเพราะไม่รู้จะตอบอะไร เมื่อเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของจ้า กัลป์จึงเปลี่ยนประเด็นด้วยการยื่นซองสีขาวไปตรงหน้าเด็กหนุ่ม

“นี่เงินค่าแรงของคุณวันนี้นะ ผมขอบคุณคุณจริงๆที่คุณช่วยผม...
.
...และก็ขอบคุณที่คุณเข้าใจ......ไม่ตัดสินผม” จ้ายื่นมือมารับซองเงินพลางนึกแปลกใจกับซองสีขาวที่เพิ่มมา ทั้งที่เมื่อวานอาจารย์ไม่มีพิธีรีตรองในการจ่ายเงินแบบวันนี้

“ขอบคุณครับ” ด้วยน้ำหนักของกระดาษด้านในที่มากกว่าเมื่อวานอยู่หลายเท่า จ้าจึงถือวิสาสะเปิดซองสำรวจค่าแรงเสียตรงนั้น  “โห ทำไมถึงเยอะแบบนี้ล่ะครับ?” เด็กหนุ่มถึงกับร้องถามเสียงหลงเมื่อเห็นแบงค์พันห้าใบถูกใส่เอาไว้ในซอง

“เงินนี่เป็นค่าตอบแทนที่คุณทำงานให้ผมได้เป็นอย่างดี แถมยังทำงานเสร็จไวเหลือเชื่อ...
.
...อีกอย่าง ผมอยากช่วยคุณแบ่งเบาภาระทางบ้าน...
.
.
...มานะเคยเล่าให้ผมฟังว่า คุณต้องยืนบนลำแข้งของตัวเองตั้งแต่ยังเล็ก...
...ผมรู้ดีว่า เด็กมหาลัยสมัยนี้ ต้องใช้เงินมากขนาดไหนในแต่ละปีการศึกษา...
...ลำพังคุณต้องหาเงินตัวคนเดียวทั้งๆที่ไม่มีวุฒิมากมายอะไร...คุณคงไม่ได้ค่าจ้างค่าออนมากเท่าไร...
...พอมีโอกาส ผมเลยอยากช่วยบ้างน่ะ คุณอย่าปฏิเสธความตั้งใจของผมเลยนะ ผมขอล่ะ” กัลป์อธิบายยืดยาว เขาหวังว่าสิ่งที่เขาพูดจะทำให้จ้ายอมรับเงินก้อนนี้ของเขาไปแต่โดยดี แต่ก็ไม่ผิดไปจากที่เขาคิดไว้ เพราะเด็กหนุ่มเอ่ยปฏิเสธออกมาแทบจะทันทีเช่นกัน

“ผมรับเอาไว้ไม่ได้หรอกครับอาจารย์ นี่มันเยอะไป” จ้าพยายามยื่นซองคืนมาให้ แต่เมื่อกัลป์ไม่รับเสียอย่าง...เด็กหนุ่มจะทำอะไรได้ คนโตกว่าพยายามหากุศโลบายใหม่ๆมาหว่านล้อมให้จ้ายอมรับเงินไปแต่โดยดี

“เอาอย่างนี้แล้วกัน คุณพอทำความสะอาดได้ไหม?”

“ได้ครับ ผมเคยเป็นพนักงานทำความสะอาดตามคอนโด กับหมู่บ้านจัดสรรมาก่อน”

“ดีเลย คุณสนใจจะมาช่วยงานแม่นมของผมทำความสะอาดบ้านไหมล่ะ? ผมจะได้ช่วยเหลือคุณ โดยที่คุณไม่ต้องรู้สึกเกรงใจที่ต้องรับเงินจากผมอีกต่อไปยังไงล่ะ”

“จะดีเหรอครับอาจารย์?” คนฟังลังเล แม้ลึกๆแล้วจ้าจะสนใจงานที่กัลป์เสนอให้อยู่ไม่น้อย เพราะเขารู้ดีว่า งานสมัยนี้ไม่ได้หากันง่ายๆ

“ไหนๆผมก็ตั้งใจจะให้เงินก้อนนี้กับคุณแล้ว คุณก็เลือกเอาแล้วกัน ว่าคุณจะรับเงินก้อนนี้ไปเฉยๆ หรือจะแลกกับการทำงานเล็กๆน้อยๆให้ผมเป็นการตอบแทน” กัลป์ไม่ได้คิดจะรอคำตอบ เพราะตัวเขามีคำตอบในใจอยู่แล้ว เงินเท่านี้ไม่ได้ทำให้เขาเสียดาย หากมันจะช่วยทำให้อีกฝ่ายลำบากน้อยลงบ้าง

“อย่าดีกว่าครับ...ผมไม่สะดวกใจจะรับเงินของอาจารย์กัลป์โดยไม่ได้ทำอะไรตอบแทนตามสมควรหรอกครับ...
.
...ผมขอรับเงินเท่ากับเมื่อวานก็แล้วกันครับ” จ้าหยิบเงินออกจากซองเท่ากับจำนวนเงินที่ได้เมื่อวาน ก่อนจะยื่นซองสีขาวกลับไปให้กัลป์  มือใหญ่ของอีกฝ่ายแตะเบาๆลงบนซองแล้วดันออกห่างตัว

“คุณไม่ต้องคืนเงินผมหรอก... ผมจะถือซะว่า คุณยังต้องมาจัดห้องทำงานให้ผมอีกสี่ครั้งแล้วกันดีไหม?” กัลป์รวบรัดตัดความ  

“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ” จ้ายอมตามข้อสรุปของอีกฝ่าย เพราะเขาเรียนรู้แล้วว่า ในโลกนี้...ยังมีคนที่ดื้อด้านกว่าตัวเขาอยู่หลายเท่านัก  กระนั้น...เด็กหนุ่มก็ยังดื้อในสิ่งที่เขาพอจะดื้อได้ โดยที่อาจารย์ของหรั่งจะไม่ขัดใจแน่ “วันนี้อาจารย์ไม่ต้องเดินเข้าไปส่งผมหรอกครับ”

“ทำไมล่ะ...ซอยบ้านคุณมืดออก” สายตากัลป์สื่อถึงความเป็นห่วงเป็นใยเด็กหนุ่มจนอีกฝ่ายรับรู้ได้  จ้าจึงฉวยโอกาสบอกเหตุผลและตัดโอกาสหว่านล้อมของอีกฝ่ายลงอย่างรวดเร็ว

“นี่ยังถือว่าหัวค่ำอยู่ครับ มีคนเดินเป็นเพื่อนเยอะแยะ” สายตาเด็ดเดี่ยวของจ้าทำให้กัลป์ยอมถอยร่นแต่โดยดี

“เอ้า เอาอย่างนั้นก็ได้...
.
.
...แต่พอคุณกลับเข้าบ้านแล้ว คุณช่วยมิสคอลมาหาผมด้วยนะ ผมจะได้แน่ใจว่าคุณถึงบ้านแน่ๆแล้ว”

“ครับ...ผมจะยิงไปหาอาจารย์ครับ” จ้ารับปากเป็นมั่นเหมาะ ซึ่งนั่นทำให้กัลป์วางใจ


------------------------------------------------------------------------------------


กัลป์ที่อยู่ในชุดนอนกำลังเดินวนไปมารอบบ้าน หลังจาก ให้อาหารปลาในตู้ทั้งสองใบ และอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย
เขามองเวลาเป็นรอบที่ล้านในความรู้สึก 

นี่ปาเข้าไปสามชั่วโมงหลังจากไปส่งเด็กหนุ่มที่ปากทางเข้าบ้าน
ทว่ายังไม่มีสัญญาณใดๆจากจ้าที่ยืนยันว่าอีกฝ่ายกลับเข้าบ้านโดยสวัสดิภาพตามที่เจ้าตัวรับปาก


อีกยี่สิบกว่านาทีก็จะเที่ยงคืนแล้ว...
เขาควรต้องเข้านอน ไม่ต่างกับอีกคน พรุ่งนี้ยังมีภารกิจมากมายที่มหาวิทยาลัยรอให้เขาไปสะสางแต่เช้า  
กัลป์ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร แต่ในใจกลับเป็นห่วงเด็กหนุ่มตาโศกคนนั้นอยู่ตลอดเวลา
เมื่อรู้ว่าตัวเองอดทนรอต่อไปไม่ไหว เขาจึงตัดสินใจโทรหาอีกฝ่ายเพื่อขอแค่ได้ยินเสียงสักหน่อยก็ยังดี


((ฮัลโหล))

“จ้า...นี่ผมเองนะ อาจารย์กัลป์”

((ครับ))

“คุณโอเครึเปล่า? ผมเห็นคุณไม่โทรมา ผมเลยเป็นห่วงจนต้องโทรหาคุณ... เอ่อ ผมลืมไป...คุณนอนหรือยัง? คุยได้ไหม?”

((คุยได้ครับ ผมยังไม่นอน...ผมขอโทษครับที่ไม่ได้ยิงไปหาอาจารย์...
.
.
...พอดี...
...พอดีที่บ้านมีเรื่องนิดหน่อย))

“เกิดอะไรขึ้นจ้า จ้าบอกผมได้ไหม? ผมช่วยอะไรคุณได้หรือเปล่า?”

((เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกครับอาจารย์ ทุกอย่างเรียบร้อยดี...ผมแค่คุยกับลุงติดลมไปหน่อยเท่านั้นเองน่ะครับ))

“เหรอ?... ไม่มีอะไรจริงๆใช่ไหม? ทำไมน้ำเสียงคุณฟังดูไม่ค่อยดีเลยล่ะ?”

((เสียงผมตอนเวลาใกล้จะนอนก็เป็นอย่างนี้แหละครับอาจารย์ อาจารย์กัลป์ไม่ต้องเป็นห่วงครับ...ผมปกติดี))

“ได้ยินอย่างนี้ผมก็สบายใจ ถ้างั้นผมไม่กวนเวลานอนคุณแล้วล่ะ”

((เดี๋ยวก่อนครับอาจารย์กัลป์!!))

“ว่าไงเหรอจ้า?”

((อาจารย์ครับ ผมขอไปทำงานที่บ้านอาจารย์ได้ไหมครับ? คือผม...ผมให้เงินทั้งหมดกับลุงไปแล้ว... พอดีลุงต้องเอาเงินไปใช้หนี้คนอื่นน่ะครับ))

“ได้สิ... ได้เลย ผมดีใจนะที่คุณยอมมาทำงานให้ผมน่ะ”

((ขอบคุณครับอาจารย์ ผมขอบคุณอาจารย์จริงๆ ถ้าไม่ได้อาจารย์...ผมคงต้องลำบากกว่านี้แน่ๆ))

“คุณพูดอะไรของคุณกันจ้า ถ้าไม่ได้คุณ...ผมเองนี่แหละที่จะลำบาก...
.
...เอาล่ะ ในเมื่อคุณตกลงใจจะมาทำงานที่บ้านผม...
...พรุ่งนี้หกโมงเย็น คุณไปรอผมที่ห้องทำงานเหมือนเดิมนะ ผมจะได้พามาที่บ้านพร้อมๆกันเลย”

((ครับ ได้ครับ))

“คุณไปนอนเถอะนะจ้า นี่ก็ดึกมากแล้ว...ราตรีสวัสดิ์นะ เจอกันพรุ่งนี้”

((ราตรีสวัสดิ์ครับ เจอกันพรุ่งนี้ครับอาจารย์กัลป์))


อารมณ์ของอาจารย์หนุ่มกลับตาลปัตรจากหน้ามือเป็นหลังมือทันทีที่วางสาย
เขาไม่อาจบรรยายความรู้สึกตัวเองในขณะนี้ได้ดีนัก รู้แต่ว่ารอยยิ้มกว้างบนแก้มของเขาคือคำตอบของทุกอย่าง
หลังจากวันพรุ่งนี้...จ้ากับเขา จะได้อยู่ใกล้กันมากขึ้นอีกนิดแล้วสินะ


------------------------------------------------------------------------------------



“......ฮ๊าาาาาาา......อาห์..............อ๊ะห์..........อ๊ะห์........อ๊าาาาาาาา.............”


ผิวขาวละเอียดราวน้ำนม ป้านสีชมพูสองจุดตั้งตึงแต้มแต่งอยู่ตรงกลางแผงอกทั้งสองข้าง ร่างกายบิดเบี้ยวสั่นสะท้านไปตามแรงกายที่ถาโถมสาดใส่  ปากบางที่เปลี่ยนเป็นเจ่อบวมแดงเปล่งเสียงร้องครวญครางหวานรื่นหู  


“สวย...สวยที่สุด สวยจริงๆ...
.
...เด๊กดีของพี่...
...พี่คิดถึงจ้าเหลือเกิน”


สายตาทั้งสองข้างจับจ้องภาพในจอเคลื่อนไหวในจอด้วยความหลงใหลได้ปลื้ม
ปลายนิ้วมือเขาไล้ไปตามเรือนร่างบนหน้าจอแบนราบเย็นเฉียบด้วยสัมผัสประหนึ่งผู้เป็นเจ้าของกายบอบบางนั่น


“รอพี่นะจ้า... รอพี่นะครับเด็กดีของพี่  พี่จะกลับไปหาจ้านะครับ”  


รอยยิ้มค่อยๆแย้มพรายขึ้นจากมุมปากทั้งสองข้างจนกลายเป็นรอยยิ้มกว้างบนหน้า
เมื่อถึงจุดที่รอยยิ้มนั้นไม่อาจเติบโตได้อีกไป... กล้ามเนื้อสองแก้มของเขาก็ชะงักลงนิดหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนรอยยิ้มน่ามองกลายเป็นบิดเบี้ยวในชั่วพริบตา 


“...แต่คิดๆไป พี่ก็ชักจะรอไม่ไหวแล้วเหมือนกัน...”


สายตาเขาเลื่อนจากจากภาพตรึงตานั้น ลงสู่ปุ่มแชร์ด้านล่างของหน้าจอ ก่อนจะบังคับมือให้ลากเมาส์ตาม

เขาลังเลเหลือเกิน...
ใจหนึ่งอยากกดแชร์คลิปนี้ใจจะขาด
เขาอยากบอกให้โลกได้รู้ว่า เรือนร่างเย้ายวนสายตานั้น...เป็นสมบัติชิ้นเอกของเขาแต่เพียงผู้เดียว

แต่อีกใจก็รู้ดีว่า มันยังไม่ถึงเวลา...
คลิปนี้ ควรถูกงัดออกมาใช้ในยามที่สถานการณ์ทั้งหมดอยู่เหนือการควบคุม  

เขาจึงวางมือจากเมาส์แล้วเปิดมือถือเครื่องที่ไม่ใช่ของเขา แต่กลับมีความสำคัญยิ่งกว่ามือถือของตัวเอง...
มือถือของคนที่รักจ้า และคนที่จ้ารักมากที่สุด...
มือถือที่จะทำให้ชายหนุ่มได้ดวงใจของเขากลับมาในสภาพสมบูรณ์แบบอย่างที่สุด


เมื่อเครื่องพร้อมใช้งาน...เขาดูเวลาตรงหน้าจออีกครั้ง...
ใกล้เที่ยงคืนแล้ว... อีกเดี๋ยวก็จะได้ยินเสียงเด็กดีของเขาแล้ว  

อดใจเฝ้ารอเพียงไม่กี่นาที แล้วจึงกดโทรออกหาหมายเลขเดียวที่เขาอยากได้ยินเสียงคนรับเป็นที่สุด  
ทว่าปลายสาย กลับปล่อยให้เขาต้องทนฟังเสียงสายว่างเป็นการตอบแทนไม่ต่างจากเมื่อวาน


Calling:
จ้า




------------------------------------------- TBC -----------------------------------------



No comments:

Post a Comment