เรื่องเมาท์แรก
:
ไลฟ์สไตล์การกินอันเป็นเอกลักษณ์
แบบฮานอยไฮเอ็นด์
(อนึ่ง...อันนี้เราและผู้ร่วมชะตากรรมเดินจนน้ำหลากได้ลองแล้วบ้าง
หรือก็เยอะ...ที่ไม่ได้ลอง
เพราะภาษามือไม่แข็งพอบ้าง แต่ก็อยากจะเมาท์อ่ะ...ขอเถอะ!)
...ก็เข้าใจว่า
กาแฟเค้าดี
แต่พี่คะ...ร้านกาแฟที่ฮานอยนี่ จะมีเยอะไปไหน?
(แอบเผลอมโนว่า
หรือคนที่นั่น ถือเอากาแฟเป็นอาหารหมู่ที่หกกันหนอ?)
ตอนที่ยังไม่ได้เบิกเนตรมาฮานอย
และด้วยความที่ไม่ใช่คอกาแฟ... เลยติ๊งต่างเอาเองคนเดียวว่า จำนวนร้านกาแฟที่ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดในประเทศเรานี่
จะทำให้เมืองไทยได้รับการจารึกลงในกินเนสบุ๊ค ให้เป็นประเทศที่ผู้คนบริโภคกาแฟสูงที่สุดในโลกได้ในอีกไม่เกินสามปีเจ็ดปี...
...หารู้ไม่ ที่ฮานอยมีร้านกาแฟเยอะมาก ตั้งแต่ร้านกาแฟไฮเอ็นด์ตามโรงแรมหรูๆ
ตามตึกสำนักงาน ร้านกาแฟแฟรนด์ชายส์ท้องถิ่น ไม่ก็ร้านกาแฟของนักธุรกิจในพื้นที่ซึ่งฝากลายเซ็นของตัวเองเอาไว้อย่างชัดเจนและมีเอกลักษณ์
ลามไปจนถึงร้านกาแฟข้างทาง ที่ลูกค้าทั้งหลายต่างพร้อมใจกันนั่งโจ้มันตรงฟุตบาทนั่นแหละ
และไอ้ร้านกาแฟประเภทหลังสุดนี่เอง
ที่เป็นประเด็นของความชิคและติดอยู่ในกระแสของฮานอยฮิปสเตอร์
เพราะมันเป็นแหล่งแฮงก์เอาท์อันโก้เก๋ของวัยรุ่น
และผู้นำเทรนด์ประจำซอยทั้งหลายแหล่ โดยส่วนมาก
พวกหนุ่มๆสาวๆวัยกำลังขบเผาะ จะชอบนัดกันมานั่งดูดชานมไข่มุก โก่ปี๊เย็น
ไม่ก็ชามะนาว หรือน้ำชงอื่น ควบคู่ไปกับการแทะเมล็ดทานตะวัน เม็ดก่วยจี๊ ก่อนจะทิ้งเปลือก
และกระดาษทิชชู่เอาไว้กลาดเกลื่อน ให้เป็นที่ทิ่มหูทิ่มตาของแม่ป้าอย่างเรามาก (นี่ถ้าพี่แกไม่เก็บกวาดตอนปิดร้าน
ป่านนี้คงได้แหวกว่ายซากอารยธรรมเปลือกธัญพืชทั้งหลายเพื่อหาที่นั่งกันแน่ๆ)
เมืองไทยมีกาแฟจากหลายดอย... แต่ที่นี่ก็มีซาปาที่ปลูกชาเป็นเขาๆ
แถมกาแฟยังขึ้นชื่อดีซะอีก
ร้านนี้ก็แนวนะยะ แต่งร้านน่าสนใจไม่พอ
ยังจะเอาเสาไฟฟ้าพ่วงสายไฟแนวแอ็บสแตร็กมาประดับข้างๆอีก...
เชอะ! แต่ก็เท่านั้นแหล่ะย่ะ...ของอร่อยอย่างอื่นต่อแถวเรียงรายมาให้ชั้นได้ลองชิมอีกเยอะเม๊ก
อย่าได้แคร์!!
(อุ๊ย!
รู้สึกคุ้นๆ เหมือนองุ่นเปรี้ยว)
...มุมน้ำชา กับป้าหรือลุงผู้เหงาหงอย
(และบารากู่)
ใช่ว่าฮานอยจะหลงลืมกลุ่มผู้มีอายุ
หรือผู้คนวัยทำงานไปซะทีเดียว เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่ต่างออกไป
ก็มีวงน้ำชาทางเลือกสำหรับคนอีกกลุ่มที่ว่ามานี้เอาไว้เสร็จสรรพเรียบร้อยดีจริงเชียว
แถมยังจะดูเข้าถึงบรรดาลูกค้าในวงกว้างได้มากกว่าร้านกาแฟของเหล่าวัยรุ่นเสียอีก
จุดสังเกตของซุ้มน้ำชาชายคาบ้านนี้ไม่ยาก
คือ จะมีคนที่ดูเหงาๆ หน้าเซาๆคอยหิ้วกระติกน้ำร้อน และกระเตงอุปกรณ์ต่างๆสำหรับดื่มชาเดินไปมาเพื่อคืนความสดชื่นให้แก่ลูกค้าแบบถึงที่
หรือในกรณีของผู้ให้บริการบางราย ที่อาจจะหงอยเหงา
ไร้เรี่ยวแรงมากหน่อย ก็เลือกที่จะหยุดอยู่กับที่ แล้วเปิดที่ทำการอยู่ตามเสาไฟฟ้า
ไม่ก็มุมสงบๆต่างๆ ซึ่งโดยมาก ผู้ให้บริการกลุ่มนี้
มักจะเป็นกลุ่มคนขายน้ำ(ชา)สูงอายุซะเป็นหลัก
โดยถ้าร้านไหนมีหลักแหล่งแน่นอน
ก็จะมีเก้าอี้พลาสติกวางเอาไว้รับรองลูกค้า แถมบางที่
ยังมีบริการบารากู่เอาไว้ให้สูบหย่อนใจกันอีกด้วย ซึ่งเราไม่รู้ว่า สารที่เค้าสูบๆกันผ่านท่อยาวๆนั้น...มันคือสิ่งใด
แต่ถ้าให้เดาจากการมองด้วยสายตา เราว่า ซุ้มน้ำชาแถมบารากู่นี่...แลจะมึนเมาชอบกล
เคยเห็นมีฝรั่งไปนั่งลองอยู่บ้าง...ใจนี่ก็นึกอยากจะเดินเข้าไปถามว่า
ไอ้ที่ยูดูดไปเมื่อกี๊น่ะมันคืออะไร แต่อีกใจก็กลัวหน้าเพ้อๆ
กลัวสายตาหยาดเยิ้มของพี่ฝรั่งมันเหลือเกิน
เดี๋ยวจะได้ลงหน้าหนึ่งในฐานะเหยื่อบารากู่บ้า
จับตัวประกันเพื่อแลกกับเบียร์ฮอยฟรีสิบแก้วแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ซุ้มนี้ไม่มีบารากู่ ส่วนซุ้มที่มี...ชั้นนี้ก็ใจไม่ด้านพอที่จะแอบกดชัตเตอร์รัวๆเพื่อเก็บภาพกลับมาฝากกัน...
...บอกตรงๆ ชั้นกลัวจะโดนจ้วงไส้ไหลนอนตายอยู่ตรงนั้น...
...มันมีบรรยากาศที่ชั้นว่ามันเลื่อนลอย และแอ๊บมิคสัญญีอยู่ไม่น้อยเลยเค่อะ
...ของกินยอดนิยมหากินง่าย
จ่ายด้วยราคามิตรภาพ แถมยังเต็มคราบกับผักเคียง
ในส่วนนี้ เรามิได้หมายถึงร้านอาหารแนะนำเจ้าดังๆนะเคอะ
เพราะร้านดังนี่ ราคาจะเบิ้ล หรือแพงไปกว่าราคาตามร้านอาหารที่คนทำมาหากินในพื้นที่อาศัยฝากท้องอย่างง่ายๆเหล่านี้ไปอีกระดับ
– ส่วนรายการของกินแนะนำนั้น
จะขอเมาท์ถึงทีหลังในลำดับถัดไปแล้วกันเค่อะ
เมื่อก่อนเคยได้ยินเพื่อนฝรั่งคนนึงมันบอกว่า
มาเมืองไทยยังไงก็ไม่อด เพราะมีของกินให้กินทุกที่ เว้นเสียแต่ว่า...หากพลาดท่าดวงไม่ดี
อาจมีรางวัลแจ็กพ็อตเป็นอาหารเป็นพิษ จนต้องนอนกอดโถส้วมไปทั้งคืน แม้จะหน้าม้าน...แต่ก็สะบับบ็อบติ่งของตัวเอง
พลางคิดซะว่า ไอ้หัวแดงมันชมว่า บ้านเราอาหารการกิน น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ไปทั่วทุกหัวถนน
และเมื่อมาถึงฮานอย
ก็เริ่มจะแน่ใจว่า ไม่ใช่แค่คนไทยหรอกที่เน้นเรื่องอาหารการกิน
เพราะตลอดสองข้างทางที่เดินผ่าน ถ้าไม่ใช่สถานที่ราชการที่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ
รับรองเลยว่าจะต้องมีร้านอาหารริมทางตั้งโต๊ะอยู่ตามฟุตบาท ซึ่งบอกได้เลยว่า
มีแทบจะทุกบล็อกถนนที่ได้เห็นมา
ร้านพวกนี้เป็นร้านอาหารที่คนฮานอยส่วนใหญ่ฝากท้อง
เพราะราคาย่อมเยา และสะดวกกว่าการเสียเวลามานั่งทำกินเอง สำหรับเรื่องรสชาติ เราว่าเค้าก็น่าจะพอรับกันได้
เพราะไม่เห็นใครจะบ่น (เอ! หรือว่าเราฟังไม่ออกก็ไม่รู้) หนำซ้ำ ในช่วงเวลาไพรม์ไทม์
บางร้านคนยังล้นจนแทบไม่มีเก้าอี้นั่งอีกตังหาก
แต่เอกลักษณ์อันโดดเด่นอย่างที่สุดของอาหารเวียดนามซึ่งขายทั่วไป
ซึ่งไม่ว่าร้านไหนๆต่างก็พร้อมใจจะมอบให้แก่ลูกค้าก็เห็นจะเป็น
ผักเคียงที่ยกกันมาเป็นถาด หรือสาดใส่ชามมาแบบแทบจะมองไม่เห็นอาหารจานหลัก
ขอบอกเลยว่า
หากผู้ใดได้ผ่านคอร์สการกินผักหญ้าที่แนมอาหารหลักมาได้ โดยไม่เขี่ยพุ่มสีเขียวสีม่วงในจานออกเลยแม้แต่นิดเดียวโดยสมบูรณ์แบบแล้วไซร้
ชาตินี้...ต่อให้ไม่ว่าจะผักใดๆในโลกที่ไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตาผ่านปากกันมาก่อน
ก็บ่ยั่นกันแล้วล่ะพะย่ะค่ะ (อันนี้เราขอคอนเฟิร์มด้วยประสบการณ์ส่วนตัว ภายหลังจากได้ลองกินเนื้อกลั้วกลิ่นมินท์อย่างเต็มปากเต็มคำ
จนตอนที่เคี้ยวเอื้องอยู่นั่น ก็ออกจะงงๆว่า...นี่เรากำลังเคี้ยวอาหารคาว
หรือกำลังเมายาสีฟันดาร์ลี่อยู่กันแน่)
ตอนไปเที่ยวก็ไม่รู้ว่าไอ้ที่เค้าเข็นขายอยู่นี่มันคืออะไร
รู้แต่ว่าหน้าตาละม้ายกับขนมกุ้ยช่ายบ้านเรา
...อาหารบางอย่างมีเอกลักษณ์สูงมาก...ยากจะปรับปุ่มรับรสให้ตามได้ทัน
(กรณีนี้ เราว่ามันเข้าทำนอง
ลางเนื้อชอบลางยา)
...นมข้นหวาน
ก่อนไปได้อ่านกระทู้ที่แนะนำเรื่องการเที่ยวฮานอยด้วยตัวเองกระทู้นี้
(กระทู้ของคุณสมาชิกหมายเลข 1047311 http://pantip.com/topic/31199858) แล้วก็เกิดอาการวิ๊งๆ
อยากจะเข้าสิงร้านน้ำแข็งใสฟรุตสลัดอย่างที่จขกท.ได้ว่ามาเสียเลื้ออออเกิน
เลยปักหมุดตั้งท่าล้างปากล้างท้องรอ พลางสอดส่ายสายตาคอยมองหาร้านน้ำแข็งใสพวกนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย
ด้วยว่าเป็นคนชอบกินผลไม้ และโยเกิตเย็นๆหวานๆเป็นทุนเดิม
พอไปถึงก็ได้ก็โดนกับเค้าจริงๆ
แบบว่าเมื่อเจอพิกัดร้าน ก็จัดการกึ่งเดินกึ่งวิ่งแบบไม่ลืมหูลืมตาปรี่เข้าไปชาร์จที่หน้าร้าน
อย่างกับจะเหมาร้านน้ำแข็งใสริมทางที่ว่ายกแผง หากแต่เมื่อเหลือบตาดูเมนูแล้วก็รู้ว่า
อุปสรรคทางภาษาคงทำให้ชั้นไม่อาจสั่งน้ำแข็งใสรุ่นลิมิเต็ดได้ด้วยตัวเองเป็นแน่
หลังจากแอบหันมาเบ้มุมปากนิดๆกับตัวเองด้วยความไม่ได้ดั่งใจ
ชั้นก็หันกลับไปยิ้มน้อยๆแบบรับสภาพ แล้วพยักหน้างกๆให้น้องคนขายหยิบเมนูผลไม้รวมสิ้นคิด
ที่คาดว่าทางร้านเตรียมเอาไว้เพื่อรับขวัญชาวต่างชาติเท่านั้นแทน พอไอ้น้องได้รับคำสั่งจากเราเป็นที่เรียบร้อย
น้องก็ยกชามขึ้นมา แล้วใส่เครื่องปรุงอะไรบางอย่างลงไปทันที
แล้วเราก็เพิ่งตระหนักได้ว่า
ไอ้ที่น้องเค้าเพิ่งจะเติมใส่ลงไปในถ้วยผลไม้รวมก่อนหน้าจะยกมาเสิร์ฟพร้อมน้ำแข็งต่างหากนั้น
มันคือนมข้นหวานและน้ำกะทิ (คิดว่าเดาบรรจุภัณฑ์ไม่น่าจะผิดนะฮะ – หากส่วนผสมไม่ใช่
วานใครรู้มาแก้ไขด้วยก็แล้วกันโนะ)
แหม่...บอกได้เลยว่าวินาทีนั้น
ในใจน่ะแอบกระหยิ่ม หัวเราะหึ หึ จนกายละเอียดในร่างโคลงไปมาเบาๆราวกับขุ่นแม่โจลี่ตอนเล่นเป็นมาลีฟิซึ่นยามแก้แค้นก็ไม่ปาน
ชะรอย...งานนี้โชคคงเข้าข้าง เพราะอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
ข้าก็จะได้กินไอซ์ มอนซเตอร์แบบรวมมิตรทุกประเภทผลไม้แบบไม่มีการกั๊ก
ในราคาไม่ถึงครึ่งของต้นตำรับในไทย ขาดไปก็แต่น้ำแข็งใสเกล็ดปุยนุ่น ที่ถูกแทนด้วยน้ำแข็งป่นกร๊อบแกร็บแบบบ้านๆก็เท่านั้น
โฮะ โฮะ โฮะ
แต่พอโดนไปคำแรกเท่านั้นแหละคุณเอ๊ย!
เราบอกได้เลยว่ากลิ่นบางอย่างนี่ตีวืบขึ้นมาเลยทีเดียว...
อย่างเพิ่งเข้าใจผิดไปนะคะพี่น้อง...
มันไม่ใช่กลิ่นไม่พึงปราถนาแต่อย่างใด หากแต่มันเป็นกลิ่นที่เราไม่เคยชิน
เหมือนคนที่กินขนมใส่กลิ่นนมแมว
อบควันเทียน ใส่ซินนามอน หรือใส่เครื่องเทศพิเศษต่างๆที่เมื่อได้กินแล้วเกิดรู้สึกไม่ชอบขึ้นมาแบบไม่ทราบสาเหตุอะไรทำนองนั้น
แต่เมื่อมาถึงจุดๆนี้
จุดที่ได้โจ้ไปแค่หนึ่งจึ๋งแล้วจู่ๆจะมาเบ้หน้า เลื่อนถ้วยออกห่างตัว ก็ดูจะเป็นการทำร้ายจิตใจเพื่อนร่วมคณะเพียงหนึ่งเดียวที่กำลังรอความหวัง
และคำชมขนมแปลกใหม่ออกจากปากแม่ช้อยเฉพาะกิจจนเกินไป
ไหนๆเพื่อนก็ยอมโดนลากติดบ่วงเข้ามานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ด้วยกัน
ทั้งๆที่ก็ออกตัวมาตั้งแต่ก่อนเดินทางว่า ขอไม่เสี่ยงกับการกินอาหารผิดสำแดงใดๆโดยใช่เหตุ
เราจึงยอมเลยกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่เพื่อลำเลียงกลิ่นหอมไม่คุ้นลิ้นลงคอ
แล้วปรายตามองเพื่อนเพื่อส่งสัญญาณโอเค เพื่อให้อีกฝ่ายลงมือจ้วงน้ำแข็งใสถ้วยเดียวกันให้หมดๆไปซะที
(ก็เออซิยะ...ก็ชั้นไม่ได้อยากทรมานคนเดียวซะหน่อย!!)
พอเพื่อนลิ้นจรเข้แต่ธาตุอ่อนของเราเลื่อนถ้วยร่วมสาบานกลับมาตรงหน้า
เราก็ทำได้แค่เลือกตักกินเฉพาะผลไม้โดยกรองน้ำสีขาวขุ่นในชามออก
พลางถามตัวเองในใจว่า ‘ไอ้ที่จขกท.เค้าบอกมาว่าชอบมากขนาดต้องเบิ้ลนี่
มันตีความจากอะไรกันนะ? ทำไมชั้นถึงไม่ฟิน??!!’
ระหว่างกิน
ก็ได้แต่ถามตัวเองว่า ไอ้ที่มันแปลกน่ะ คืออะไร...นมข้นหวาน หรือกะทิ
หรือส่วนผสมอื่น? แล้วก็คิดไปว่า น่าจะเป็นที่นมข้นหวานนี่ล่ะมั้ง
ที่ทำให้มีกลิ่นเฉพาะตัว จนเราขอบอกศาลากับขนมหวานที่ประทับอยู่ในใจของใครหลายๆคนไปแบบแทบจะทันที
(ทั้งที่ชอบกินผลไม้มาก แบบว่าสามารถยัดทะนานได้อย่างไม่มีขีดจำกัด...แต่เรากลับไม่อาจทำใจให้ผูกสมัครรักใคร่ฟรุตสลัดแบบที่ต้องมาซ้ำได้จริงๆ...เสียใจด้วยนะน้องฟรุตฯ
พี่ว่า...กลิ่นตัวอันเป็นเอกลักษณ์ของน้องแบบนี้ ทำเอาพี่รับไม่ได้จริงๆจ๊ะ)
แล้วไอ้ที่ยิ่งทำให้รู้สึกว่า
นมข้นหวานของประเทศเค้ามีกลิ่นพิเศษที่ไม่ถูกจริตเราแน่ๆก็เห็นจะเป็นชานมไข่มุก ที่เราค่อนข้างจะแน่ใจว่า
ใช้นมข้นหวานเป็นส่วนผสมหลัก
ซึ่งเมื่อได้ชิมด้วยตัวเองแล้ว
เรากับเพื่อนก็ได้แต่มองหน้ากัน พร้อมกับได้ข้อสรุปเป็นรูปธรรมว่า ชานมที่นี่กลิ่นประหลาด...ขนาดซื้อมาลองกันแค่แก้วเดียว
ก็ต้องคอยเกี่ยงอีกฝ่ายให้กินมากกว่า... แถมยังกินกันมาตั้งแต่บ่ายตอนที่น้ำแข็งยังไม่ละลาย
จนตกเย็น...ภายในแก้วชาที่ว่า ไอ้ของเหลวในแก้วที่ดูคลับคล้ายคลับคลากับชานมสีจางๆ
ยังพร่องไปไม่ถึงครึ่ง ทั้งๆที่ตอนกินชาไข่มุกที่เมืองไทยนี่
หลับหูหลับตาดูดแค่สามที...ก็ต้องเซ็งกับการดูดไล่ล่าไข่มุกตรงก้นแก้วกันแล้ว
...ซาละเปา
ถ้าใครได้เดินเที่ยวย่าน
Old Quarter ทั่วๆ
จะเจอซอยที่ขายหมี่ไข่ โดยฝั่งตรงข้าม จะมีรถจักรยานขายซาละเปาอยู่สองสามร้าน (เกือบสุดถนน
Louc Van Can ถ้าตั้งต้นจากตลาด Dong Xuan) มาเดินหนาวๆ
ท่ามกลางละอองฝนอย่างนี้ โดนซาละเปาสักลูกสองลูกก็คงดี ด้วยความเป็นพวกชอบลอง
และตลกรับประทาน เพราะฉะนั้น...เราจัดค่ะ! (แม้จะเพิ่งกินข้าวกลางวัน
และขนมหวานตบท้ายมาหมาดๆก็เถอะ)
แต่คุณพระ! แม้ซาละเปาไส้หมูลูกละหมื่นห้าพันดองนี่จะอร่อยใช้ได้
แถมยังทำให้อุ่นวาบไปทั้งมือ และทั้งปากแม้อากาศรอบๆตัวจะหนาวจนต้องคอยเอามือซุกกระเป๋า แต่เนื้อแป้งกลับมีกลิ่นเฉพาะตัวสูงจนหาใดเปรียบ
หากใครเป็นคนจมูกไวแถมยังติดกลิ่นของซาละเปาเวอร์ชันไทยๆ
อาจจะไม่ปลื้มเท่าไรนัก แต่ถ้าใครไม่ติดใจเรื่องกลิ่นเล็กน้อยที่ว่านี่ล่ะก็
ซาละเปานี่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีให้กับวันฝนโปรยอันแสนหนาวเหน็บ เจ็บร้าวไปถึงกระดูก
จนอยากจะแอบคว้าเอามือหนุ่มเวียดนามหน้าตาจิ้มลิ้มที่เดินผ่านไปผ่านมารอบๆข้างมากุมเสียให้รู้แล้วรู้รอด
...กล้วยหอม
กลับกลายเป็นกล้วยที่หอมแบบกั๊กๆ
แถมยังหนึบหนับและฝาดลิ้นพอดู อีตอนเคี้ยว...เรารับรู้ได้ถึงการกินกล้วยที่มีเท็กซ์เจอร์คลับคล้ายคลับคลากับยางพาราแผ่นอย่างไรอย่างนั้น
รู้สึกเริ่มจะเข้าใจอารมณ์หมาที่ชอบแอบเอารองเท้าช้างดาวของเราไปแทะจนปอกเปิกไปหมดขึ้นมาดื้อๆ
ไม่อยากจะบอกเลยว่า...โอกาสเดียวที่ได้ลองกินกล้วยหอมของฮานอย
ก็เมื่อตอนกินฟรุตสลัดกลิ่นแปลกใหม่นั่นแหละ
เอ่อ...ว่าแต่
กล้วยหอมกึ่งสุกกึ่งดิบราดนมข้น น้ำกะทิ ใส่น้ำแข็งเนี่ยะนะ...
คิดนอกกรอบไปไหมฮะพี่ฟรุต......สลัด?!
เจอเจ้าตัวนี้นั่งหน้าแป้นแล้นอยู่ตรงร้านข้างทาง
เลยต้องขอเจ้าของร้านถ่ายมาซะหน่อย
จะได้บอกให้เหล่าทายาทได้รับรู้ว่า...
คนที่นี่เค้าก็เลี้ยงหมาเอาไว้เป็นเพื่อนเหมือนกับคนที่อื่น
(แต่ดูเหมือนไอ้เจ้าตัวน่อยนี่จะทำหน้าที่เป็นมาสคอตประจำร้านอีกหนึ่งตำแหน่ง)
No comments:
Post a Comment