Sunday, February 8, 2015

ฮานอยวันฝนโปรย // เรื่องเมาท์แรก : ไลฟ์สไตล์การกินอันเป็นเอกลักษณ์ แบบฮานอยไฮเอ็นด์

เรื่องเมาท์แรก : ไลฟ์สไตล์การกินอันเป็นเอกลักษณ์ แบบฮานอยไฮเอ็นด์

(อนึ่ง...อันนี้เราและผู้ร่วมชะตากรรมเดินจนน้ำหลากได้ลองแล้วบ้าง
หรือก็เยอะ...ที่ไม่ได้ลอง เพราะภาษามือไม่แข็งพอบ้าง แต่ก็อยากจะเมาท์อ่ะ...ขอเถอะ!)



  
...ก็เข้าใจว่า กาแฟเค้าดี    แต่พี่คะ...ร้านกาแฟที่ฮานอยนี่ จะมีเยอะไปไหน?
(แอบเผลอมโนว่า หรือคนที่นั่น ถือเอากาแฟเป็นอาหารหมู่ที่หกกันหนอ?)

ตอนที่ยังไม่ได้เบิกเนตรมาฮานอย และด้วยความที่ไม่ใช่คอกาแฟ... เลยติ๊งต่างเอาเองคนเดียวว่า จำนวนร้านกาแฟที่ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดในประเทศเรานี่ จะทำให้เมืองไทยได้รับการจารึกลงในกินเนสบุ๊ค ให้เป็นประเทศที่ผู้คนบริโภคกาแฟสูงที่สุดในโลกได้ในอีกไม่เกินสามปีเจ็ดปี...

...หารู้ไม่  ที่ฮานอยมีร้านกาแฟเยอะมาก ตั้งแต่ร้านกาแฟไฮเอ็นด์ตามโรงแรมหรูๆ ตามตึกสำนักงาน ร้านกาแฟแฟรนด์ชายส์ท้องถิ่น ไม่ก็ร้านกาแฟของนักธุรกิจในพื้นที่ซึ่งฝากลายเซ็นของตัวเองเอาไว้อย่างชัดเจนและมีเอกลักษณ์  ลามไปจนถึงร้านกาแฟข้างทาง ที่ลูกค้าทั้งหลายต่างพร้อมใจกันนั่งโจ้มันตรงฟุตบาทนั่นแหละ

และไอ้ร้านกาแฟประเภทหลังสุดนี่เอง ที่เป็นประเด็นของความชิคและติดอยู่ในกระแสของฮานอยฮิปสเตอร์ เพราะมันเป็นแหล่งแฮงก์เอาท์อันโก้เก๋ของวัยรุ่น และผู้นำเทรนด์ประจำซอยทั้งหลายแหล่  โดยส่วนมาก พวกหนุ่มๆสาวๆวัยกำลังขบเผาะ จะชอบนัดกันมานั่งดูดชานมไข่มุก โก่ปี๊เย็น ไม่ก็ชามะนาว หรือน้ำชงอื่น ควบคู่ไปกับการแทะเมล็ดทานตะวัน เม็ดก่วยจี๊ ก่อนจะทิ้งเปลือก และกระดาษทิชชู่เอาไว้กลาดเกลื่อน ให้เป็นที่ทิ่มหูทิ่มตาของแม่ป้าอย่างเรามาก (นี่ถ้าพี่แกไม่เก็บกวาดตอนปิดร้าน ป่านนี้คงได้แหวกว่ายซากอารยธรรมเปลือกธัญพืชทั้งหลายเพื่อหาที่นั่งกันแน่ๆ)




เมืองไทยมีกาแฟจากหลายดอย... แต่ที่นี่ก็มีซาปาที่ปลูกชาเป็นเขาๆ แถมกาแฟยังขึ้นชื่อดีซะอีก
ร้านนี้ก็แนวนะยะ แต่งร้านน่าสนใจไม่พอ ยังจะเอาเสาไฟฟ้าพ่วงสายไฟแนวแอ็บสแตร็กมาประดับข้างๆอีก...
เชอะ! แต่ก็เท่านั้นแหล่ะย่ะ...ของอร่อยอย่างอื่นต่อแถวเรียงรายมาให้ชั้นได้ลองชิมอีกเยอะเม๊ก อย่าได้แคร์!!
(อุ๊ย! รู้สึกคุ้นๆ เหมือนองุ่นเปรี้ยว)



...มุมน้ำชา กับป้าหรือลุงผู้เหงาหงอย
(และบารากู่)

ใช่ว่าฮานอยจะหลงลืมกลุ่มผู้มีอายุ หรือผู้คนวัยทำงานไปซะทีเดียว  เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่ต่างออกไป ก็มีวงน้ำชาทางเลือกสำหรับคนอีกกลุ่มที่ว่ามานี้เอาไว้เสร็จสรรพเรียบร้อยดีจริงเชียว แถมยังจะดูเข้าถึงบรรดาลูกค้าในวงกว้างได้มากกว่าร้านกาแฟของเหล่าวัยรุ่นเสียอีก

จุดสังเกตของซุ้มน้ำชาชายคาบ้านนี้ไม่ยาก คือ จะมีคนที่ดูเหงาๆ หน้าเซาๆคอยหิ้วกระติกน้ำร้อน และกระเตงอุปกรณ์ต่างๆสำหรับดื่มชาเดินไปมาเพื่อคืนความสดชื่นให้แก่ลูกค้าแบบถึงที่  หรือในกรณีของผู้ให้บริการบางราย ที่อาจจะหงอยเหงา ไร้เรี่ยวแรงมากหน่อย ก็เลือกที่จะหยุดอยู่กับที่ แล้วเปิดที่ทำการอยู่ตามเสาไฟฟ้า ไม่ก็มุมสงบๆต่างๆ ซึ่งโดยมาก ผู้ให้บริการกลุ่มนี้ มักจะเป็นกลุ่มคนขายน้ำ(ชา)สูงอายุซะเป็นหลัก

โดยถ้าร้านไหนมีหลักแหล่งแน่นอน ก็จะมีเก้าอี้พลาสติกวางเอาไว้รับรองลูกค้า แถมบางที่ ยังมีบริการบารากู่เอาไว้ให้สูบหย่อนใจกันอีกด้วย ซึ่งเราไม่รู้ว่า สารที่เค้าสูบๆกันผ่านท่อยาวๆนั้น...มันคือสิ่งใด แต่ถ้าให้เดาจากการมองด้วยสายตา เราว่า ซุ้มน้ำชาแถมบารากู่นี่...แลจะมึนเมาชอบกล เคยเห็นมีฝรั่งไปนั่งลองอยู่บ้าง...ใจนี่ก็นึกอยากจะเดินเข้าไปถามว่า ไอ้ที่ยูดูดไปเมื่อกี๊น่ะมันคืออะไร แต่อีกใจก็กลัวหน้าเพ้อๆ กลัวสายตาหยาดเยิ้มของพี่ฝรั่งมันเหลือเกิน เดี๋ยวจะได้ลงหน้าหนึ่งในฐานะเหยื่อบารากู่บ้า  จับตัวประกันเพื่อแลกกับเบียร์ฮอยฟรีสิบแก้วแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว



ซุ้มนี้ไม่มีบารากู่ ส่วนซุ้มที่มี...ชั้นนี้ก็ใจไม่ด้านพอที่จะแอบกดชัตเตอร์รัวๆเพื่อเก็บภาพกลับมาฝากกัน...
...บอกตรงๆ ชั้นกลัวจะโดนจ้วงไส้ไหลนอนตายอยู่ตรงนั้น...
...มันมีบรรยากาศที่ชั้นว่ามันเลื่อนลอย และแอ๊บมิคสัญญีอยู่ไม่น้อยเลยเค่อะ


...ของกินยอดนิยมหากินง่าย จ่ายด้วยราคามิตรภาพ แถมยังเต็มคราบกับผักเคียง

ในส่วนนี้ เรามิได้หมายถึงร้านอาหารแนะนำเจ้าดังๆนะเคอะ เพราะร้านดังนี่ ราคาจะเบิ้ล หรือแพงไปกว่าราคาตามร้านอาหารที่คนทำมาหากินในพื้นที่อาศัยฝากท้องอย่างง่ายๆเหล่านี้ไปอีกระดับ ส่วนรายการของกินแนะนำนั้น จะขอเมาท์ถึงทีหลังในลำดับถัดไปแล้วกันเค่อะ

เมื่อก่อนเคยได้ยินเพื่อนฝรั่งคนนึงมันบอกว่า มาเมืองไทยยังไงก็ไม่อด เพราะมีของกินให้กินทุกที่ เว้นเสียแต่ว่า...หากพลาดท่าดวงไม่ดี อาจมีรางวัลแจ็กพ็อตเป็นอาหารเป็นพิษ จนต้องนอนกอดโถส้วมไปทั้งคืน  แม้จะหน้าม้าน...แต่ก็สะบับบ็อบติ่งของตัวเอง พลางคิดซะว่า ไอ้หัวแดงมันชมว่า บ้านเราอาหารการกิน น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ไปทั่วทุกหัวถนน

และเมื่อมาถึงฮานอย ก็เริ่มจะแน่ใจว่า ไม่ใช่แค่คนไทยหรอกที่เน้นเรื่องอาหารการกิน เพราะตลอดสองข้างทางที่เดินผ่าน ถ้าไม่ใช่สถานที่ราชการที่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ รับรองเลยว่าจะต้องมีร้านอาหารริมทางตั้งโต๊ะอยู่ตามฟุตบาท ซึ่งบอกได้เลยว่า มีแทบจะทุกบล็อกถนนที่ได้เห็นมา

ร้านพวกนี้เป็นร้านอาหารที่คนฮานอยส่วนใหญ่ฝากท้อง เพราะราคาย่อมเยา และสะดวกกว่าการเสียเวลามานั่งทำกินเอง สำหรับเรื่องรสชาติ เราว่าเค้าก็น่าจะพอรับกันได้ เพราะไม่เห็นใครจะบ่น (เอ! หรือว่าเราฟังไม่ออกก็ไม่รู้)  หนำซ้ำ ในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ บางร้านคนยังล้นจนแทบไม่มีเก้าอี้นั่งอีกตังหาก

แต่เอกลักษณ์อันโดดเด่นอย่างที่สุดของอาหารเวียดนามซึ่งขายทั่วไป ซึ่งไม่ว่าร้านไหนๆต่างก็พร้อมใจจะมอบให้แก่ลูกค้าก็เห็นจะเป็น ผักเคียงที่ยกกันมาเป็นถาด หรือสาดใส่ชามมาแบบแทบจะมองไม่เห็นอาหารจานหลัก  

ขอบอกเลยว่า หากผู้ใดได้ผ่านคอร์สการกินผักหญ้าที่แนมอาหารหลักมาได้ โดยไม่เขี่ยพุ่มสีเขียวสีม่วงในจานออกเลยแม้แต่นิดเดียวโดยสมบูรณ์แบบแล้วไซร้  ชาตินี้...ต่อให้ไม่ว่าจะผักใดๆในโลกที่ไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตาผ่านปากกันมาก่อน ก็บ่ยั่นกันแล้วล่ะพะย่ะค่ะ (อันนี้เราขอคอนเฟิร์มด้วยประสบการณ์ส่วนตัว ภายหลังจากได้ลองกินเนื้อกลั้วกลิ่นมินท์อย่างเต็มปากเต็มคำ จนตอนที่เคี้ยวเอื้องอยู่นั่น ก็ออกจะงงๆว่า...นี่เรากำลังเคี้ยวอาหารคาว หรือกำลังเมายาสีฟันดาร์ลี่อยู่กันแน่)


ตอนไปเที่ยวก็ไม่รู้ว่าไอ้ที่เค้าเข็นขายอยู่นี่มันคืออะไร รู้แต่ว่าหน้าตาละม้ายกับขนมกุ้ยช่ายบ้านเรา


...อาหารบางอย่างมีเอกลักษณ์สูงมาก...ยากจะปรับปุ่มรับรสให้ตามได้ทัน
(กรณีนี้ เราว่ามันเข้าทำนอง ลางเนื้อชอบลางยา)

...นมข้นหวาน

ก่อนไปได้อ่านกระทู้ที่แนะนำเรื่องการเที่ยวฮานอยด้วยตัวเองกระทู้นี้ (กระทู้ของคุณสมาชิกหมายเลข 1047311 http://pantip.com/topic/31199858) แล้วก็เกิดอาการวิ๊งๆ อยากจะเข้าสิงร้านน้ำแข็งใสฟรุตสลัดอย่างที่จขกท.ได้ว่ามาเสียเลื้ออออเกิน เลยปักหมุดตั้งท่าล้างปากล้างท้องรอ พลางสอดส่ายสายตาคอยมองหาร้านน้ำแข็งใสพวกนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยว่าเป็นคนชอบกินผลไม้ และโยเกิตเย็นๆหวานๆเป็นทุนเดิม

พอไปถึงก็ได้ก็โดนกับเค้าจริงๆ แบบว่าเมื่อเจอพิกัดร้าน ก็จัดการกึ่งเดินกึ่งวิ่งแบบไม่ลืมหูลืมตาปรี่เข้าไปชาร์จที่หน้าร้าน อย่างกับจะเหมาร้านน้ำแข็งใสริมทางที่ว่ายกแผง หากแต่เมื่อเหลือบตาดูเมนูแล้วก็รู้ว่า อุปสรรคทางภาษาคงทำให้ชั้นไม่อาจสั่งน้ำแข็งใสรุ่นลิมิเต็ดได้ด้วยตัวเองเป็นแน่   

หลังจากแอบหันมาเบ้มุมปากนิดๆกับตัวเองด้วยความไม่ได้ดั่งใจ ชั้นก็หันกลับไปยิ้มน้อยๆแบบรับสภาพ แล้วพยักหน้างกๆให้น้องคนขายหยิบเมนูผลไม้รวมสิ้นคิด ที่คาดว่าทางร้านเตรียมเอาไว้เพื่อรับขวัญชาวต่างชาติเท่านั้นแทน  พอไอ้น้องได้รับคำสั่งจากเราเป็นที่เรียบร้อย น้องก็ยกชามขึ้นมา แล้วใส่เครื่องปรุงอะไรบางอย่างลงไปทันที

แล้วเราก็เพิ่งตระหนักได้ว่า ไอ้ที่น้องเค้าเพิ่งจะเติมใส่ลงไปในถ้วยผลไม้รวมก่อนหน้าจะยกมาเสิร์ฟพร้อมน้ำแข็งต่างหากนั้น มันคือนมข้นหวานและน้ำกะทิ (คิดว่าเดาบรรจุภัณฑ์ไม่น่าจะผิดนะฮะ หากส่วนผสมไม่ใช่ วานใครรู้มาแก้ไขด้วยก็แล้วกันโนะ)

แหม่...บอกได้เลยว่าวินาทีนั้น ในใจน่ะแอบกระหยิ่ม หัวเราะหึ หึ จนกายละเอียดในร่างโคลงไปมาเบาๆราวกับขุ่นแม่โจลี่ตอนเล่นเป็นมาลีฟิซึ่นยามแก้แค้นก็ไม่ปาน  ชะรอย...งานนี้โชคคงเข้าข้าง เพราะอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ข้าก็จะได้กินไอซ์ มอนซเตอร์แบบรวมมิตรทุกประเภทผลไม้แบบไม่มีการกั๊ก ในราคาไม่ถึงครึ่งของต้นตำรับในไทย ขาดไปก็แต่น้ำแข็งใสเกล็ดปุยนุ่น ที่ถูกแทนด้วยน้ำแข็งป่นกร๊อบแกร็บแบบบ้านๆก็เท่านั้น โฮะ โฮะ โฮะ

แต่พอโดนไปคำแรกเท่านั้นแหละคุณเอ๊ย! เราบอกได้เลยว่ากลิ่นบางอย่างนี่ตีวืบขึ้นมาเลยทีเดียว... 

อย่างเพิ่งเข้าใจผิดไปนะคะพี่น้อง... มันไม่ใช่กลิ่นไม่พึงปราถนาแต่อย่างใด  หากแต่มันเป็นกลิ่นที่เราไม่เคยชิน  เหมือนคนที่กินขนมใส่กลิ่นนมแมว อบควันเทียน ใส่ซินนามอน หรือใส่เครื่องเทศพิเศษต่างๆที่เมื่อได้กินแล้วเกิดรู้สึกไม่ชอบขึ้นมาแบบไม่ทราบสาเหตุอะไรทำนองนั้น

แต่เมื่อมาถึงจุดๆนี้ จุดที่ได้โจ้ไปแค่หนึ่งจึ๋งแล้วจู่ๆจะมาเบ้หน้า เลื่อนถ้วยออกห่างตัว ก็ดูจะเป็นการทำร้ายจิตใจเพื่อนร่วมคณะเพียงหนึ่งเดียวที่กำลังรอความหวัง และคำชมขนมแปลกใหม่ออกจากปากแม่ช้อยเฉพาะกิจจนเกินไป

ไหนๆเพื่อนก็ยอมโดนลากติดบ่วงเข้ามานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ด้วยกัน ทั้งๆที่ก็ออกตัวมาตั้งแต่ก่อนเดินทางว่า ขอไม่เสี่ยงกับการกินอาหารผิดสำแดงใดๆโดยใช่เหตุ  เราจึงยอมเลยกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่เพื่อลำเลียงกลิ่นหอมไม่คุ้นลิ้นลงคอ แล้วปรายตามองเพื่อนเพื่อส่งสัญญาณโอเค เพื่อให้อีกฝ่ายลงมือจ้วงน้ำแข็งใสถ้วยเดียวกันให้หมดๆไปซะที  (ก็เออซิยะ...ก็ชั้นไม่ได้อยากทรมานคนเดียวซะหน่อย!!)

พอเพื่อนลิ้นจรเข้แต่ธาตุอ่อนของเราเลื่อนถ้วยร่วมสาบานกลับมาตรงหน้า เราก็ทำได้แค่เลือกตักกินเฉพาะผลไม้โดยกรองน้ำสีขาวขุ่นในชามออก พลางถามตัวเองในใจว่า ไอ้ที่จขกท.เค้าบอกมาว่าชอบมากขนาดต้องเบิ้ลนี่ มันตีความจากอะไรกันนะ? ทำไมชั้นถึงไม่ฟิน??!!

ระหว่างกิน ก็ได้แต่ถามตัวเองว่า ไอ้ที่มันแปลกน่ะ คืออะไร...นมข้นหวาน หรือกะทิ หรือส่วนผสมอื่น? แล้วก็คิดไปว่า น่าจะเป็นที่นมข้นหวานนี่ล่ะมั้ง ที่ทำให้มีกลิ่นเฉพาะตัว จนเราขอบอกศาลากับขนมหวานที่ประทับอยู่ในใจของใครหลายๆคนไปแบบแทบจะทันที (ทั้งที่ชอบกินผลไม้มาก แบบว่าสามารถยัดทะนานได้อย่างไม่มีขีดจำกัด...แต่เรากลับไม่อาจทำใจให้ผูกสมัครรักใคร่ฟรุตสลัดแบบที่ต้องมาซ้ำได้จริงๆ...เสียใจด้วยนะน้องฟรุตฯ พี่ว่า...กลิ่นตัวอันเป็นเอกลักษณ์ของน้องแบบนี้ ทำเอาพี่รับไม่ได้จริงๆจ๊ะ)

แล้วไอ้ที่ยิ่งทำให้รู้สึกว่า นมข้นหวานของประเทศเค้ามีกลิ่นพิเศษที่ไม่ถูกจริตเราแน่ๆก็เห็นจะเป็นชานมไข่มุก ที่เราค่อนข้างจะแน่ใจว่า ใช้นมข้นหวานเป็นส่วนผสมหลัก

ซึ่งเมื่อได้ชิมด้วยตัวเองแล้ว เรากับเพื่อนก็ได้แต่มองหน้ากัน พร้อมกับได้ข้อสรุปเป็นรูปธรรมว่า ชานมที่นี่กลิ่นประหลาด...ขนาดซื้อมาลองกันแค่แก้วเดียว ก็ต้องคอยเกี่ยงอีกฝ่ายให้กินมากกว่า... แถมยังกินกันมาตั้งแต่บ่ายตอนที่น้ำแข็งยังไม่ละลาย จนตกเย็น...ภายในแก้วชาที่ว่า ไอ้ของเหลวในแก้วที่ดูคลับคล้ายคลับคลากับชานมสีจางๆ ยังพร่องไปไม่ถึงครึ่ง  ทั้งๆที่ตอนกินชาไข่มุกที่เมืองไทยนี่ หลับหูหลับตาดูดแค่สามที...ก็ต้องเซ็งกับการดูดไล่ล่าไข่มุกตรงก้นแก้วกันแล้ว


...ซาละเปา

ถ้าใครได้เดินเที่ยวย่าน Old Quarter ทั่วๆ จะเจอซอยที่ขายหมี่ไข่ โดยฝั่งตรงข้าม จะมีรถจักรยานขายซาละเปาอยู่สองสามร้าน (เกือบสุดถนน  Louc Van Can ถ้าตั้งต้นจากตลาด Dong Xuan)  มาเดินหนาวๆ ท่ามกลางละอองฝนอย่างนี้ โดนซาละเปาสักลูกสองลูกก็คงดี ด้วยความเป็นพวกชอบลอง และตลกรับประทาน เพราะฉะนั้น...เราจัดค่ะ! (แม้จะเพิ่งกินข้าวกลางวัน และขนมหวานตบท้ายมาหมาดๆก็เถอะ)

แต่คุณพระ! แม้ซาละเปาไส้หมูลูกละหมื่นห้าพันดองนี่จะอร่อยใช้ได้ แถมยังทำให้อุ่นวาบไปทั้งมือ และทั้งปากแม้อากาศรอบๆตัวจะหนาวจนต้องคอยเอามือซุกกระเป๋า  แต่เนื้อแป้งกลับมีกลิ่นเฉพาะตัวสูงจนหาใดเปรียบ  หากใครเป็นคนจมูกไวแถมยังติดกลิ่นของซาละเปาเวอร์ชันไทยๆ อาจจะไม่ปลื้มเท่าไรนัก แต่ถ้าใครไม่ติดใจเรื่องกลิ่นเล็กน้อยที่ว่านี่ล่ะก็ ซาละเปานี่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีให้กับวันฝนโปรยอันแสนหนาวเหน็บ เจ็บร้าวไปถึงกระดูก จนอยากจะแอบคว้าเอามือหนุ่มเวียดนามหน้าตาจิ้มลิ้มที่เดินผ่านไปผ่านมารอบๆข้างมากุมเสียให้รู้แล้วรู้รอด


...กล้วยหอม

กลับกลายเป็นกล้วยที่หอมแบบกั๊กๆ แถมยังหนึบหนับและฝาดลิ้นพอดู  อีตอนเคี้ยว...เรารับรู้ได้ถึงการกินกล้วยที่มีเท็กซ์เจอร์คลับคล้ายคลับคลากับยางพาราแผ่นอย่างไรอย่างนั้น  รู้สึกเริ่มจะเข้าใจอารมณ์หมาที่ชอบแอบเอารองเท้าช้างดาวของเราไปแทะจนปอกเปิกไปหมดขึ้นมาดื้อๆ 

ไม่อยากจะบอกเลยว่า...โอกาสเดียวที่ได้ลองกินกล้วยหอมของฮานอย ก็เมื่อตอนกินฟรุตสลัดกลิ่นแปลกใหม่นั่นแหละ
เอ่อ...ว่าแต่ กล้วยหอมกึ่งสุกกึ่งดิบราดนมข้น น้ำกะทิ ใส่น้ำแข็งเนี่ยะนะ... คิดนอกกรอบไปไหมฮะพี่ฟรุต......สลัด?!



เจอเจ้าตัวนี้นั่งหน้าแป้นแล้นอยู่ตรงร้านข้างทาง เลยต้องขอเจ้าของร้านถ่ายมาซะหน่อย
จะได้บอกให้เหล่าทายาทได้รับรู้ว่า... คนที่นี่เค้าก็เลี้ยงหมาเอาไว้เป็นเพื่อนเหมือนกับคนที่อื่น

(แต่ดูเหมือนไอ้เจ้าตัวน่อยนี่จะทำหน้าที่เป็นมาสคอตประจำร้านอีกหนึ่งตำแหน่ง)

No comments:

Post a Comment