Sunday, February 8, 2015

ฮานอยวันฝนโปรย // เรื่องเมาท์ที่ห้า : รวมเรื่องอเมซิ่งสะกิดหัวใจ (ทั้งบวกและลบ)

เรื่องเมาท์ที่ห้า : รวมเรื่องอเมซิ่งสะกิดหัวใจ (ทั้งบวกและลบ)



ท่ายากอาจไม่ค่อยเท่าไร แต่ความทุ่มเทและตั้งใจในการหาโลเกชันถ่ายรูป...นางชนะเลิศ



...สกิลในการขับขี่ของผู้คนที่ฮานอย

ถึงคนส่วนใหญ่จะขับขี่รถราตามใจ หรือมักจะเดินแบบข้ามถนนแบบไม่สนกฏหมาย แต่ความจริงที่ว่า ผู้คนหวั่นเกรงการมีเรื่องมีราวจนต้องร้อนถึงมือตำรวจนั้น คงจะลืมกันไม่ได้ เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันใดๆบนท้องถนน คู่กรณีทั้งสองจะพร้อมใจกันอะลุ้มอล่วยช่วยกันปิดเคสอย่างรวดเร็ว ไม่มีเร้าหรือ ไม่งั้นงานคงเข้าหนักหนาราวกับวนเวียนอยู่ในฝันร้ายแบบไม่มีวันตื่นเหมือนในอินเซ็ปชัน

และเรื่องการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังนี่เอง ทำให้การควบคุมความเร็วในการขับขี่เป็นลักษณะเด่นอีกอย่างของการใข้รถใช้ถนนของคนฮานอย เงื่อนไขนี้เอง ทำให้การเดินทางด้วยรถโดยสารกินเวลามากกว่าที่พวกเราคนไทยคุ้นเคย

ระหว่างนั่งกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนมินิบัสขากลับไปสนามบิน เราก็เผลอคิดเล่นๆว่า ถ้าลองเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมจากฮานอยมาเป็นประเทศไทยในวันถนนโล่ง ด้วยระยะทางเท่ากัน บวกกับสกิลการขับรถขั้นเทพของชาวเมืองฟ้าอมรแล้ว มีแนวโน้มว่า ที่หมายคงไปถึงได้โดยที่ตดยังไม่ทันจะหายเหม็น

และเมื่อพิจารณาถึงทักษะในการขับขี่ของคนพื้นที่โดยเปรียบเทียบกับพี่ไทย เราว่า คนขับรถที่โน่นดูจะมีสกิลต่ำกว่าคนขับรถในเมืองไทยอยู่มากโข แม้ว่าเราค่อนข้างจะเสียเปรียบ ชั่วโมงบินต่ำจนไม่อาจรับมือกับมวลมหาประชามอไซค์ และเสียงแตรอันเซ็งแซ่เซ็นเซอราวด์ทั่วทุกทิศทางได้ดีนัก แต่ถ้าวัดกันที่ความผาดโผน ผาดแผลง และความใจเด็ดของโชเฟอร์ของกรุงเทพฯ คนของเราน่าจะกินขาดความก๋ากั่นของพี่เวียดฯเค้าได้หลายช่วงตัว

อย่างไรก็ดี ที่ฮานอยนั้น ต่อให้มีรถราวิ่งกันขวั่กไขว่บนถนน ต่อให้เป็นชั่วโมงเร่งด่วน แต่ถ้าไม่ใช่เพราะติดไฟแดง รถบนถนนในฮานอยก็ไม่ค่อยจะติดแหง่กนานจนลืม...  แต่ถ้าเกิดเดินไปเจอการจราจรย่ำแย่เข้าขั้นติดขัดที่ไหน ให้สงสัยเอาไว้ก่อนเลยว่า ทางข้างหน้าต้องมีรถจอดข้างทาง ขวางจนเสียกระบวนกันไปหมดแน่ๆ


...ภาษาอังกฤษกับคนท้องที่

เท่าที่สังเกตมาจากผู้คนที่เจอะเจอตามท้องถนน เราค่อนข้างมั่นใจว่า มากกว่าหกสิบเปอร์เซนต์ของชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ในฮานอยไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้มากนัก  นั่นเลยถือเป็นอุปสรรคสำหรับนักท่องเที่ยวผู้ยึดถือภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางของการทำความเข้าใจระหว่างกัน สำหรับทายาทที่อยากจะมาเที่ยวที่ฮานอยด้วยตัวเอง ไม่ต้องกังวลว่าจะลำบากที่ไม่อาจสื่อสารกับเจ้าถิ่นได้ เพราะลำพังไล่ตามอ่านกระทู้เก่าๆของเหล่าพี่ๆเพื่อนๆชาวพันทิป เราว่า ก็มีข้อมูลดีๆมากมายซะจนเก็บเอาไปใช้แทบไม่หวาดไม่ไหว

อีกอย่าง ตามสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง ร้านอาหารแนะนำ ส่วนใหญ่จะมีพนักงานที่พอจะเข้าใจภาษาอังกฤษอยู่บ้าง แต่ถ้าไม่... รูปถ่ายของตั๋ว เมนูอาหาร หรือบริการที่เราอยากได้ เครื่องคิดเลข และแอพฯต่างๆในมือถือ สามารถช่วยพูดแทนเราได้เสมอ

ถ้ามันถึงที่สุด แล้วไม่มีสิ่งใดที่เราต้องการจากอีกฝ่ายมากกว่าสินค้า หรือบริการ... เราแนะนำให้ใช้เงิน เป็นสื่อกลางในการทำความเข้าใจค่ะ แหม่ เขียนมาอย่างนี้แล้วรู้สึกเหมือนชอบเอาเงินฟาดหัวชาวบ้านชอบกล... แต่มันก็เริ่ดนะ เอาเงินคุยกัน ฟังดูเซเล็บสุดๆ...

แล้วก็อย่างเอาเรื่องข้อจำกัดทางภาษาอังกฤษของคนที่โน่น มาทำให้ลำพองใจว่า เออ ตัวข้านั้นก็ไมได้แย่ เพราะที่แน่ๆคนเวียดนามก็ไม่ได้เก่งไปเลยนะคะ เพราะอย่าลืมว่า AEC กำลังจะมานะจ๊ะเบ่เบ๋!!



 ในใจของพี่เค้าคงจะคิดว่า อยากจะบอกอีนี่เหลือเกินว่า อย่าถ่ายรูป แต่ก็ไม่รู้จะบอกมันให้เข้าใจยังไงดี...
เลยต้องทำเป็นยอมๆมันไป...
...แต่นี่พี่ไม่ได้เก็กขมวดใบหน้าเลยนะ หน้าสดตามธรรมชาติล้วนๆ...พี่บอกเลย!


...กลยุทธการขายแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม (Hard Sale Only!)

ระหว่างที่เดินเล่นชมตลาดอยู่แถวๆ Old Quarter อย่าได้เผลอไปทำหน้าเอ๋อๆเหมือนคนไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ทางให้คนในพื้นที่ได้เห็นบ่อยๆเชียว ประเดี๋ยวพ่อคุณแม่คุณนักขายจะได้ดิ่งเข้ามาหา เพื่อเสนอสินค้าและบริการต่างๆให้อย่างไม่คิดลดละ รามือ แม้ว่าสินค้าหรือข้าวของพวกนั้น เราอาจจะไม่มีโอกาสใช้มันเลยก็ตาม


...ร้านอาหารข้างทางมีเอกลักษณ์อย่างแรง

ด้วยความที่คุ้นเคยกับวิถีการดำรงชีวิตแบบไทยๆมาตลอดชีวิต เมื่อพูดถึงร้านข้าวแกงข้างทาง แน่นอน ภาพแรกที่มักจะโผล่เข้ามาในหัวของเราและท่านๆทั้งหลาย น่าจะเป็นร้านอาหารซึ่งจะประกอบด้วยแม่ครัว กับข้าวกับปลา และชุดโต๊ะ และเก้าอี้พลาสติกไม่มีพนักความสูงประมาณไม่เกินขาอ่อนแบบที่เราคุ้นเคยจัดหมวดหมู่เป็นคู่ หรือสี่ตัวบ้างเอาไว้เพื่อบริการลูกค้าอย่างเราๆโดยเฉพาะ  และคงไม่บ่อยนัก ที่เราจำได้สัมผัสกับประสบการณ์ยองๆเหลาบนเก้าอี้พลาสติกตัวเตี้ยแบบที่รุ่นแม่ๆของพวกเรามักซื้อหามาใช้นั่งระหว่างซักผ้า ล้างจานตรงลานนอกบ้านเพื่อกินอาหาร

แต่สำหรับเหลาข้างทางฉบับพี่เวียดฯแล้ว ชุดเก้าอี้พลาสติกที่เสริมความหะรูหะราด้วยพนักสำหรับพิงได้นิดหน่อย ที่มาพร้อมกับความสูงและขนาดไม่ผิดไปจากเก้าอี้ซักผ้าบ้านเรา และโต๊ะที่ทำจากวัสดุเดียวกัน ความสูงราวๆโต๊ะญี่ปุ่นต่อขาให้สูงราวๆอกเราเวลานั่งบนพื้น  เปรียบประดุจเฟอร์นิเจอร์หลุยส์แห่งการกินเลยทีเดียว ไม่ว่าจะมองไปที่ร้านอาหาร ร้านเฝอ ซุ้มน้ำชาริมถนน หรือกระทั่งร้านขายเบียร์สด ย่อมต้องเห็นเจ้าโต๊ะและเก้าอี้ที่ว่ามานี้วางเอาไว้เพื่อพร้อมให้บริการแก่ลูกค้าแทบทั้งสิ้น

เท่าที่ลองได้สัมผัสความรู้สึกของการนั่งยองๆเสมอเข่าตัวเองแล้วโจ้นั่น โจ้นี่มาหลายต่อหลายรอบ เราว่า...ไอ้เจ้าโต๊ะเก้าอี้พลาสติกความสูงเท่านี้นี่มันก็แนวดีนะเคอะ ที่สำคัญ เสน่ห์ของมันได้กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของการบริการกลุ่มอาหารของที่นี่กันไปแล้วล่ะ หากไม่มีเก้าอี้และโต๊ะพลาสติกแบบนี้ เราว่ามื้ออาหารที่เวียดนามคงขาดเอกลักษณ์ไปไม่น้อย

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำเอาเราประทับใจเห็นจะเป็น หากไม่ใช่ร้านอาหารที่เปิดห้องหับสำหรับค้าขายแบบถาวร โดยมากร้านอาหารข้างทางเจ้าเล็กเจ้าน้อย จะจัดสรรเวลาในการขายเพื่อแบ่งปันทำเลทองที่ใช้ทำมาหากินกับเจ้าของร้านอาหารร้านอื่น เพื่อทุกๆคนจะได้มีโอกาสค้าขายในสถานที่ๆนั้นด้วย

นั่นจึงหมายความว่า ร้านข้าวที่เดินผ่านเมื่อเช้า อาจไม่ใช่ร้านเดียวกันกับร้านข้าวที่ขายตอนบ่าย หรือร้านที่ขายในช่วงเย็น  นัยว่า พื้นที่ทำมาหากินหน้าร้านที่ตกลงกันนั้น ถือเป็นดินแดนสาธารณะ ไม่ได้เป็นของบุคคลหนึ่งบุคคลใด โดยก่อนการขาย เจ้าของร้านจะจัดการแขวนป้ายชื่อร้าน สรรพคุณของร้าน ไม่ก็รายการอาหารตามเพื่อส่งเสริมการขายมันตามขื่อตามคานโครงกันสาดด้านหน้าร้านนี่แหละ และจะเก็บทุกๆป้ายของตัวเองจนเรียบทุกครั้งเมื่อสิ้นสุดการขาย



ตอนแรกที่เห็นก็รู้สึกอเมซิ่งมากแล้วนะ แต่พอได้ลองเป็นผู้ใช้งานจริง รู้เลยว่า เก้าอี้และโต๊ะพวกนี้น่ะ
มันทำให้มื้ออาหารของเรา ยองยองเหลาขึ้นมาทันตาอย่างเป็นธรรมชาติ!



...ประเทศนี้ หน้าหนาวมีจริง

แม้ที่ฮานอยตอนที่เราเดินทางไปเยี่ยมเยียนจะไม่หนาวจัดขนาดมีหิมะโปรยปราย แต่อากาศที่ต้องไปรบราด้วยก็หนาวใช้ได้ ยิ่งต้องมาเจอเข้ากับฝนที่ตกได้ทุกวี่ทุกวัน จนดับฝันนักท่องเที่ยวจนแทบไม่รู้ว่าท้องฟ้าแจ่มๆเหนือเขตตัวเมืองฮานอยหน้าตาเป็นอย่างไร ก็ยิ่งทำให้อากาศเย็นจับขั้วหัวใจไปกันใหญ่

หากใครอยากลองไปเที่ยวต่างแดนในช่วงวันหยุดยาวตอนเดือนธันวา และช่วงปีใหม่ พร้อมๆกับสัมผัสความหนาวแบบที่ขุดเอาเสื้อกันหนาวขนฟูๆมาใส่เดินเฉิดฉายแบบไม่ต้องนึกอายสายตาใคร  ขอให้จัดฮานอยไป อย่าให้เสีย!...

แต่อย่าให้รู้เชียวนะว่า แอ๊บทำตัวเถรตรงบินไปเที่ยวฮานอยแบบที่ขนมิงค์ ขนเฟอร์จัดเต็ม แต่ดันโผล่มาเที่ยวเอาตอนหน้าร้อนล่ะ มิเช่นนั้น เราคงต้องขอยึดตำแหน่งทายาทอสูรคืนอย่างไม่ต้องสงสัย...

ถ้าจะงามให้ผู้ชายเดินตามมาขอเบอร์ ต้องอย่าเพ้อจนลืมกาละเทศะนะจ๊ะเบ่บี๋!


...ร้านหมอฟันไม่กั้นห้องจ้า

อันนี้เป็นเรื่องน่าอเมซิ่งสุดๆ ที่เจอเข้าโดยบังเอิญระหว่างเดินไปเรื่อยๆนี่แหละ นอกจากร้านหมอฟันจะไม่กั้นแบ่งเป็นห้องๆแล้ว ตรงหน้าร้าน ยังติดเป็นแผ่นกระจกใสเต็มบาน แบบที่เรียกได้ว่า เห็นเข้าไปทะลุถึงไหนๆ ได้อารมณ์แอบดูน้องๆบ้านอคาเดมี่เวอร์ชันเสียวขากรรไกร และทรมานหัวใจใครบางคน

ระหว่างภายในร้านกำลังดำเนินการผ่าจริง ถอนจริง  เสียเลือดเสียเนื้อกันจริงๆนั้น ไอ้คนที่เดินไปเดินมาอยู่ข้างนอก ก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของการผ่าตัดย่อยแบบเรียลไทม์ในฐานะผู้ชมไม่ได้รับเชิญ หากแต่ภาพที่เห็นกลับไร้เสียง...ให้ความรู้สึกเหมือนดูซอว์ที่บ้านแล้วหมาเดินไปเตะสายลำโพงของโฮมเธียเตอร์หลุดออกมาอย่างไรอย่างนั้น

หากให้เราคิดถึงข้อดีของร้านหมอฟันโล่งโจ้งเห็นไปถึงไหนๆแบบนี้ เราว่าน่าจะเป็น ความสบายใจ  เพราะเราสามารถเฝ้าติดตามการทำงานของหมอฟันได้อย่างโปร่งใส ไม่มีหมกเม็ด

แต่ถ้าให้นึกถึงเหตุผลที่แท้จริงว่าเพราะอะไร... บอกเลยว่าลำพังผู้ไปเยือนฮานอยแค่ชั่วคราวอย่างเรา คงไม่อาจหาเหตุผลใดๆมาอธิบายความเป็นจริงข้อนี้ได้ เพราะโดยส่วนตัว เราเชื่อฝังหัวมาโดยตลอดว่า ช่วงเวลาแห่งความทรมานหลังม่านกั้นห้องหมอฟันนั้น ถือเป็นความลับระหว่างคนไข้กับแพทย์โดยเฉพาะ อาทิ ช่วงเวลาที่หมอกับผู้ช่วยจะเอาตีนถีบเก้าอี้ที่เรานอน ระหว่างสองมือยื้อคีมที่หนีบซากฟันคุดที่ยังไม่ยอมเขยื้อนออกห่างจากเหงือกสักมิลลิเมตร หรือช่วงเวลาที่เราร้องไห้ตุ๊ดแตกจนหมอ กับทีมผู้ช่วยต้องหยุดเพื่อปลอบใจ และให้โอกาสเราหายใจหายคออีกครั้ง (เราเชื่อว่าเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นจริง หากแต่คุณหมอไม่ได้ยอมรับกับเราออกมากงๆ... หรือเราจะเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายจนเกินไปกันนะ?)

อีกอย่าง ถ้าเราเกิดเดินไปจ๊ะเอ๋เอาเคสผ่าตัดเลือดสาดเข้าเอาตอนนั้นจริงๆล่ะก็ เราคงจะขันอาสาเป็นลมล้มตึงมันอยู่หน้าร้านหมอฟัน โดยไม่ต้องให้ใครมาสั่งหรือบอกคิวแน่ๆเค่อะ



เรา: ร้านตัดผมแห่งนี้ ดูเป็นส่วนตัวดีนะเออ....
เพื่อน: ...ซะที่ไหนล่ะ! นี่มันร้านหมอฟันย่ะ!!
เรา: ........(ถึงกับอึ้งไป พูดอะไรไม่ออก).......



...ท่ามกลางสินค้าของแท้ ยังมีของแท้ที่เหนือกว่า

สำหรับหัวข้อนี้ เราไม่มีอะไรจะเมาท์มาก แค่อยากเล่าให้ฟังว่า บ่ายวันหนึ่ง เรากับเพื่อนร่วมคณะเดินผ่านร้านร้านหนึ่ง ซึ่งเมื่อมองผ่านปราดเดียวก็รู้ว่า ขายผลิตภัณฑ์ต่างๆของยี่ห้อ Northface

แต่ที่ร้านนี้ต่างไปจากร้านอื่นๆเห็นจะเป็น ป้ายหน้าร้านบอกเอาไว้สั้นๆว่า This is the only shop that sells the real Northface...

อ่านจบ เราก็สตั๊นท์ไปสามวิ แล้วจึงหันไปถามเพื่อนว่า แล้วไอ้ร้านอื่นที่มันบอกว่าของมันแท้ล่ะ หมายความว่าไงวะ?...
หรือตลอดมา มันไม่เคยมี Northface แท้ๆอยู่ในจักรวาลแห่งนี้มาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีกัน?... ม่ายยยยยย!!!


...ห้างสรรพสินค้า ถูกย่อส่วนมาอยู่ในคูหาเดียว

เท่าที่เดินเที่ยวมาหลายๆย่านในฮานอย เราก็พบว่า ห้างใหญ่ๆมีจำกัด ส่วนใหญ่ร้านรวงของแบรนด์ต่างชาติ มักจะเปิดเป็นร้านเล็กๆขนาดเพียงหนึ่งถึงสองคูหา  ส่วนร้านเสื้อผ้า มักจะขายรวมกันหลายๆยี่ห้อๆ เพราะพี่เค้าอาศัยข้อได้เปรียบตรงที่ เวียดนามเป็นประเทศผู้ผลิตเสื้อผ้าแบรนด์ต่างๆให้กับห้องเสื้อ และบริษัทเสื้อผ้าชื่อดังหลายรายของโลก ผลก็คือ จะมีเสื้อผ้าที่อาจจะไม่ผ่านการ QC หลุดออกมาขายเลหลังให้กับคนใน และนอกพื้นที่ ได้เชยชมกันในราคาน่ารักน่าซื้อ

จุดที่น่าสนใจของการซื้อของตามร้านพวกนี้คือ บางร้าน ต้องถอดรองเท้าก่อนจะเดินเข้าไปเลือกซื้อของด้านใน เช่นร้านเสื้อผ้า หรือร้านรองเท้า(สตรี) บางร้าน  ซึ่งค่อนข้างจะดูง่าย เพราะพนักงานเฝ้าร้านเองก็สจะเดินเท้าเปล่าไปมาในร้านตลอดเวลา อย่างไรก็ดี เราว่า สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องที่ต้องถอด หรือ ไม่ต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าร้านเค้าหรอกค่ะ เพราะจุดๆนั้น เราว่า พนักงานคงจะมัวแต่หาทางเอาตัวรอดจากปัญหาสองขาเคลื่อนที่ได้ ซึ่งไม่อาจะกำจัดให้พ้นหูพ้นตาง่ายๆด้วยภาษาแม่มากกว่าค่ะ  


 ตั้งใจถ่ายรูปนี้มาเพราะสีสันโดยเฉพาะ...
ถังแก๊สบ้านนี้เมืองนี้...สีชมพูช็อกกิ้งพิงค์!!


...เพราะเราเป็นจักรยาน เราเลยจะขนอะไรก็ได้



นี่เป็นเพียงตัวอย่างส่วนน้อย จากรถจักรยานอีกนับไม่ถ้วน ที่ทำหน้าที่ต่างรถบรรทุกให้กับพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลาย นำสินค้าของตัวเองไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อพบปะกับลูกค้าได้ทั่วทุกหลืบซอกของเมือง เห็นพวกพี่เค้าเทินของเอาไว้มากมายเพียงนี้ เราจะไม่อเมซิ่งฤดีอย่างไรไหวกันคะคู๊ณณณณ!!


  
...สงคราม และลุงโฮฯ



คนในประเทศเจ็บซ้ำซากกับสงคราม การรุกรานอธิปไตยโดยคนบ้านใกล้เรือนเคียง ไม่ก็ฝรั่งตาน้ำข้าวมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ดูเหมือนความเจ็บช้ำยังประดังประเดเข้ามากระหน่ำชีวิตของเหล่าบรรพบุรุษชาวเวียดนามไม่พอ เพราะชนชั้นปกครอง นายหน้า ราชนิกูลทั้งหลายในสมัยนั้น ยังพร้อมใจกันเหยียบย่ำกดขี่ชนชั้นรากหญ้าเอาไว้จนไม่อาจเงยหน้าอ้าปากได้เป็นหลักร้อยปี

หลังจากการเข้ามาทำมึนของฝรั่งเศส การคุกคามหมายจะกลืนกินประเทศของพี่จีน การอาศัยเวียดนามเป็นที่มั่นของญี่ปุ่น หรือ การเข้ามาทำร้ายและสร้างรอยแผลอันยิ่งใหญ่ของอเมริกา ไม่สงสัยเลยว่า เหตุผลอะไรจึงทำให้ลุงโฮฯกลายมาเป็นบุคคลสำคัญอย่างที่สุด เพราะท่านทำคุณูปการอันยิ่งใหญ่ด้วยการปลดปล่อยให้ประเทศเป็นอิสระ พร้อมกับสร้างรากฐานความเป็นเวียดนามในวันนี้เอาไว้นี่เอง

บอกเลยว่า พิพิธภัณฑ์ลุงโฮฯนี่ควรค่าต่อการเข้าชมนะเคอะ เพราะนอกจากจะมีประวัติความเป็นมาของลุงโฮฯให้ได้ศึกษากันแล้ว งานศิลปะ และการจัดวางต่างๆยังชวนให้เดินชมเพลินๆอีกต่างหาก... ใครเป็นขาเดินพิพิธภัณฑ์ต้องไม่ควรพลาดค่ะ เราคอนเฟิร์มว่าหากได้ไปแล้ว จะกลับออกมาดั่งผู้ทรงความรู้ และแลดูมีสาระเต็มๆ... เหมือนเรา วะฮ่าๆ





No comments:

Post a Comment