Sunday, February 8, 2015

ฮานอยวันฝนโปรย // เรื่องเมาท์ที่สอง : การจราจร และอื่นๆอีกมากมาย (ไปยาลใหญ่)

เรื่องเมาท์ที่สอง : การจราจร และอื่นๆอีกมากมาย (ไปยาลใหญ่)

แหม...ก็เรื่องนี้น่ะมันออกจะมีคาแร็กเตอร์ชัดเจน แถมยังโดดเด่นเป็นสิ่งแรกๆ ที่มักจะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ สามารถอ้าปากค้าง พลางอเมซิ่งหัวใจสะเทือนไปจนถึงต่อมหมวกไตกันมานักต่อนัก ครั้นจะทำเมินๆ ทำเนียนๆ ไม่เมาท์ถึงเลย ก็ดูจะไม่น่าเชื่อถือว่า เราได้เคยไปเมืองนี้มาอย่างที่อวดอ้างเอาไว้นักหนา อย่ากระนั้นเลย...เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า



พี่เค้าผูกหมาน่อยขนปุยตัวนี้เอาไว้กับอานมอไซค์ ระหว่างนั้นพี่แกก็ขี่อย่างช้าๆ เพื่อให้หมาวิ่งตามได้...
...เออเว้ย! หมาพี่แกก็ดีนะ ไม่กลัวรถจนหัวใจวายไปซะก่อน แถมยังออกอาการปกติซะอีก(หรือเปล่าหว่า?)
ไอ้ที่เราถ่ายรูปนี้เอาไว้ได้ เพราะน้องหมาหยุดถ่ายหนักมันตรงกลางแยกที่เห็นนั่นแหละจ้า
พอหมาหมดธุระ  สองนายหมา ก็พากันออกเดินทางเคียงบ่าเคียงไหล่กันไปยังจุดหมายอีกครั้ง
โดยทิ้งซากอารยธรรมเอาไว้ให้อนุชนรุ่นหลังดูต่างหน้า... บอกมาซิว่าอย่างนี้ เค้าเรียกว่าปกติม๊ายยย!!
...แอร๊ยส์ ชั้นอยากจะบ้า!!!!



...ขับขี่ตามใจ ด้วยทราฟฟิคดีไซน์ไร้กรอบ

นอกเหนือไปจากการหยุดรอ เริ่มออกรถโดยเคารพสัญญาณไฟ และการขับขี่ด้วยความเร็วที่กำหนดอันเป็นกฏเบื้องต้นในการขับขี่แบบสากลแล้ว  หากให้โจทย์เราเพื่อชี้ชัดถึงบ้านเมืองซึ่งผู้ใช้รถใช้ถนนมีอิสระเสรีในการขับขี่ยวดยานพาหนะโดยไม่พึ่งพากฏจราจรมากที่สุดในโลก เราคงจะถวายบิ๊กโหวตแบบหมอบราบคาบแก้ว แล้วยกตำแหน่งหนึ่งในสิบอันดับแรกของโลกให้ฮานอยกันไปเลย  

(ที่จริงยังเหลือเมืองที่ขึ้นชื่อว่า การจราจรบนท้องถนนล้ำกว่าจินตนาการอยู่อีกหลายที่ อย่างน้อยๆก็มีอินเดีย กับจีนอีกสองประเทศนี่แหละ ที่เคยได้ยินคนบ่นๆมา... ตอนนี้เลยบอกไม่ได้ว่า ของเวียดนามเค้าแรงจริง หรือเรามโนไปเอง แต่ถ้าได้โดนเมืองจีนกับอินเดียขึ้นมาเมื่อไร รับรองว่าจะกลับมาเมาท์ให้ฟังแน่ๆ)

บางจังหวะที่เราต้องหยุดเดิน เพื่อยืนรอสัญญาณไฟเขียวคนข้ามตรงทางม้าลาย และเหม่อมองตามแผ่นหลังของเพื่อนร่วมทางเจ้าถิ่นที่ชิงเดินชิลๆตัดหน้าฝูงพี่แว๊นข้ามถนนไปถึงไหนต่อไหนด้วยสายตาตื่นตะลึงถึงฤทธาอภินิหารย์ของพี่เค้า พลอยทำให้เราเผลอนึกย้อนไปถึงประโยคที่เคยลอยตามลมมาเข้าหูว่า จราจร สะท้อนวินัยชาติ ขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้...

จุดๆนั้น เรางี้ตัวสั่น อยากจะถามผู้กล่าววาทะแหลมคมผู้นั้นเสี๊ยเลื๊ออออเกิน...
อยากจะรู้จริงๆว่า ไอ้การจราจรอันมีอิสระถึงขีดสุด แบบที่ว่า ใครใคร่ขับ...ขับ ใครใคร่ขี่...ขี่ ขอแค่ให้ข้างหน้าข้ามีช่องให้รถวิ่งนั้น มันจะบ่งบอกให้รู้ถึงวินัยของคนแบบใดกันหนอ?

อีกใจก็นึกไพล่ไปว่า นี่เราเคราะห์ดี มีบุญเก่าคุ้มกะลาหัวอยู่บ้าง...

ดีเท่าไรแล้วที่เวียดนามควบคุมความเร็วในการขับขี่อย่างเคร่งครัด ไม่อย่างนั้น นอกจากจะข้ามถนนยากแล้ว... ยังอาจจะโดนลูกหลงจากการดริฟท์มอไซค์เสยเข้าใส่แหงๆ ค่าที่พวกพี่แว๊นเจ้าถิ่นจับอาการอกตัญญูบนใบหน้า ระหว่างคิดลามปามไปประเมินวินัยของพวกพี่เค้า โดยไม่ได้หันมามองตัวเองเลยว่า พอกลับมาเมืองไทย...ตัวเราเอง ก็ขับรถได้น่าสรรเสริญพระคุณพ่อแม่ไม่แพ้กัน


สิ่งที่ทำให้การจราจรโดยทั่วไปของฮานอยกลายเป็นเรื่องน่าอเมซิ่ง ประการแรกน่าจะเป็นเพราะ คนขับที่นี่ ไม่ว่าจะรถเก๋ง รถมอไซค์ หรือพาหนะอื่นใด จะมืทักษะในการปรับเปลี่ยนเลนระหว่างการขับขี่อย่างนุ่มนวล เป็นธรรมชาติ แถมดูจะไม่ยึดติดกับเส้นแบ่งเลนอย่างที่ผู้ขับขี่หัวเก่าบางคนเคยเข้าใจ

(เอ่อ...แบบว่า เค้าก็ขับรถอยู่ในเลนกันทั้งโลก แต่ที่นี่...ขอบอกว่า พี่แกสวนกระแสสังคมหลักอย่างไม่คิดยี่หระ ยิ่งพวกพี่แว๊นนี่ไม่ต้องพูดถึง  ชีวิตคือการขับขี่...และถนนทั้งหลายนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นของพวกข้า แต่ละคนจึงขี่กันได้แนวสุดๆ...  พอเห็นแบบนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่า หากตัวเองเกิดต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จริงๆ แล้วถูกบังคับให้ต้องขับรถ สงสัยดีกรีความชั่วในการขับขี่ จะพุ่งทะยานทะลุชั้นบรรยากาศออกไปนอกโลกแหงๆ)

เหตุการณ์ที่เจอมากับตัวในประเด็นนี้เลย คือ ระหว่างที่เรานั่งมินิบัสไร้สังกัดมาจากสนามบินมุ่งหน้าเข้าเมือง  ถนนเข้าสู่ตัวเมืองในบางจุดจะมีสามเลน แต่ ณ ที่ตรงนั้น ดันมีรถเรียงแถวหน้ากระดานพร้อมๆกันห้าคันถ้วน  แหม่...พอเล่ามาถึงตรงนี้  นักขับบ้านเราคงจะไม่ค่อยรู้สึกถึงความแปลกสักเท่าไร เพราะช่วงรถติดสลัดๆของกรุงเทพฯนี่ หน้ากระดานเรียงหกหรือเรียงเจ็ดคันในสามเลนนี่ก็มีมาแล้ว

แต่ขอโทษเถอะ ไอ้สามเลนฮานอยที่ว่ามา ไม่ได้มีไหล่ทงไหล่ทางอะไรเผื่อมาให้เหมือนของบ้านเราหรอกนะเคอะ  เพราะฉะนั้น....ห้าคันในสามเลน แถมยังจะตีหน้ามึน ออกวิ่งไปพร้อมๆกันให้ได้อย่างไม่ยอมน้อยหน้าเพื่อน  เลยทำให้หวยมาออกในรูปที่ ทั้งคนขับ คนนั่งภายในรถแต่ละคัน น่าจะกำลังนั่งขมิบตัวให้เล็กที่สุด พยายามกลั้นหายใจ และไม่เผลอบริโภคปริมาณอ็อกซิเจนมากจนเกินพอดี เพราะต้องอาศัยสมาธิทั้งหมดที่มีมานั่งลุ้นไม่ให้รถที่นั่งมาขี่กันจนปัสสาวะเหนียว

ตอนนั่ง...เราบอกกงๆว่าจู่ๆก็เกิดเสียวซ่าน และขนลุกเกรียวไปทั้งร่างอยู่เป็นระลอกๆ เพราะกลัวใจเหลือเกินว่า รถคันข้างๆที่กำลังหายใจรดข้างแก้มกันอยู่นี่  อาจจะอยากแฉลบเข้ามาใกล้มองหลุมสิวบนหน้าคนขับคันที่เรานั่งอยู่แบบใกล้ๆ ก่อนจะกระชากหูช้างของรถมินิแวนติดมือกลับไปเคี้ยวเล่นแก้เบื่อระหว่างติดรอไฟแดงก็เป็นได้  

แต่เท่านี้ยังเหมือนจะเคราะห์ซ้ำกรรมซัดไม่พอ เพราะเมื่อคนขับได้รับสัญญาณไฟเขียว รถแต่ละคันก็ต่างออกตัวห้อตะบึงเพื่อไปให้พ้นจากแยกไฟแดงนี้ได้เสียที  แต่คุณพี่รู้ไม๊คะว่าช้อยไปเจอกับอะไรมา...

...อยู่ดีๆก็มีอีรถส่งของจากฝั่งตรงข้ามที่ดูเหมือนจะทนการติดขัดของฝั่งจราจรตัวเองไม่ได้ พ่อก็ยูเทิร์นตัดมาจากเลนกลางของอีกข้าง แล้วทิ่มหน้าปลิ้นออกมาโดยหวังจะกลับรถมันซะให้ได้  เรากับเพื่อนร่วมชะตาทั้งคันรถเลยได้กลายร่างเป็นตุ๊กตาล้มลุกปลุกไม่ขึ้น นั่งหน้าคะมำก้มขลุกอยู่ในรถกันถ้วนหน้าก็เท่านั้น

คุณพี่ดูพวกเค้าทำกับช้อยซิคะ...
...นี่ถ้าไม่ติดว่าของเยอะ และไม่รู้ทาง ช้อยนี่แทบจะขอลงเดินเลยทีเดียว



 นี่มันอะไรกันคะ? เข้าใจว่าไม่มีเลนกำกับ...
นึกจะตรงก็ตรง นึกจะเลี้ยวก็เลี้ยว นึกจะเดินก็เดิน... ชั้นไม่เข้าใจ!!


...บีบแตรตามหาบิดากันหรือคะคุณ?

เราเริ่มจะแน่ใจเป็นอย่างยิ่งว่า สิ่งที่ทำให้คนในฮานอยขับรถโฉบเฉี่ยวมั่นใจได้อย่างฟรีจะตายแบบนี้ น่าจะเป็นเพราะพวกเค้ามีอำนาจอยู่ในมือ ซึ่งขอบอกเลยว่า....พวกเค้ามิคิดลังเลที่จะใช้อำนาจในมือกันเลยแม้แต่นิดเดียว

ไอ้อำนาจที่ว่า...มันมาอยู่ในรูปของแตรประจำรถแต่ละคันนั่นเองแหละค่ะคู๊ณณณ!

เราไม่มีทางรู้เลยว่า ระหว่างนิสัยการขับขี่ตามใจฉัน กับ นิสัยสับแตรรัวๆนั้น อย่างไหนมันเกินก่อน อย่างไหนเกิดทีหลัง (ตอนที่นึกอยู่นี่ รู้สึกราวกับกำลังหาคำตอบเรื่องไก่กับไข่ก็ไม่ปาน)   แต่เท่าที่รู้ เท่าที่ได้ไปลองสัมผัสของจริงมา ก็พอจะเข้าใจว่า การบีบแตร คือ การเตือนให้เพื่อนร่วมถนนที่แวดล้อมรอบๆรถ ระแวดระวังรถที่ตนเองกำลังขับมา เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุในสภาวะที่การจราจรคลาคล่ำ จอแจและไม่มีแบบแผนชัดเจน   ถึงอย่างนั้น... เนื่องจากปริมาณรถเก๋ง และพี่แว๊นบนท้องถนนใจกลางเมืองฮานอยนั้นเยอะมาก เลยทำให้เสียงแตรที่นี่ อุ่นหนาฝาคั่งยิ่งกว่าที่ใดๆในโลกหล้า...เท่าที่กายหยาบของเราเคยได้ไปเจอะเจอมา

แต่ก็น่าแปลก...เรากลับรู้สึกว่า เสียงแตรที่ได้ยินอยู่ตลอดเวลาจนเกือบเข้าขั้นมลภาวะทางเสียงนั้น กลับไม่มีอารมณ์ด้านลบใดๆแอบแฝงแนบมา ต่างกับเสียงแตรที่เคยได้ยินเวลาต้องติดแหง็กอยู่บนถนนสายหลักในชั่วโมงเร่งด่วนของกรุงเทพฯอย่างไรก็ไม่รู้

อย่างไรก็ดี เมื่อเราต้องมาทอดอารมณ์ ชื่นชมเสียงแตรบรรเลงแบบเซ็นเซอราวด์รอบทิศทางนานๆเข้า  เราที่เมาเสียงจนแทบไม่รู้เหนือรู้ใต้ ก็กลับเกิดพุทธิปัญญาจนตระหนักรู้ความจริงข้อหนึ่ง เท่าที่ตรรกะบิดๆเบี้ยวๆของตัวเองจะเอื้ออำนวยว่า  คนที่นั่นคงจะใช้แตรต่างเครื่องมือในการสื่อถึงภาษาพิเศษ  ภาษาที่ไม่อาจมีผู้ใดเข้าใจถึงเจตนาได้ หากเขาผู้นั้น ไม่ได้เป็นผู้กำบังเหียนของยานพาหนะด้วยกันอย่างไรล่ะ

กรรมมันเลยมาตกกับชาวต่างชาติผู้ไม่เคยพบพานเรื่องน่าอัศจรรย์อะไรอย่างนี้มาก่อนไปโดยปริยาย เพราะพี่คนขับที่ฮานอยทั้งหลาย ดันชอบพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันด้วยภาษาแตรซะงั้น...

บ้างคงแค่อยากจะทักทายเหล่าผู้เดินสองเท้า และแม่ค้าหาบเร่ริมถนน เลยบีบแตรเบาๆพอให้น่ารักน่าใคร่...
บ้างคงอยากจะคุยกับคนขับมอไซค์อีกคันด้วยเรื่องสัพเพเหระ ไม่ก็ถามสารทุกข์สุขดิบเกี่ยวกับครอบครัว ลามไปถึงเรื่องค่าเทอมลูก พ่อเลยกดย้ำฝ่ามือลงแป้นแตรหนักๆ ทว่าสม่ำเสมอ ราวกับกลัวว่าจะไม่ได้คุยกับรถอีกคันตรงแยกถัดไป... 

และแบบที่เลวร้ายสุดๆ เห็นจะเป็นคนขับบางคน ที่นอกจากจะพูดจาเสียงดังเป็นนิสัย พี่แกยังโชคร้ายถูกผีเจาะปากมาให้พูดอย่างไม่เป็นเวล่ำเวลา แถมไม่มีกาลเทศะซะด้วยนี่ซิ   อีภาษาแตรของพี่แก เลยโหวกเหวกโวยวาย น่ารำคาญ ไร้แก่นสาร เข้าขั้นเป็นมารต่อรูหูมากเป็นพิเศษ


สำหรับมือใหม่อย่างเราและคณะ ที่เพิ่งจะเจอประสบกับสถานการณ์อยู่ท่ามกลางวงล้อมของภาษาแตร... ก็ได้แต่ยิ้มให้กัน แล้วก็พลางนึกในใจแบบสวยๆ หากแต่ชั่วช้าเข้าตำราตัวร้ายละครไทยหลังข่าวว่า... 

เออเว้ย! หรือที่นี่ ตอนเด็กๆ พ่อแม่มักจะกล่อมลูกน้อยให้นอนด้วยการเปิดเพลงบรรเลงรีมิกซ์เสียงแตรจังหวะบอซซ่าต่างเพลงแม่กาเหว่าของไทยเรา โดยที่เมื่อเด็กน้อยเหลือบสายตาจ้องมองไปยังพื้นที่ว่างเหนือเปลตัวเองขึ้นไป ก็จะเห็นโมบายพวงมาลัยพร้อมปุ่มแตรหลากหลายรูปแบบห้อยต่องแต่งล่อหูล่อตาอยู่เป็นนิจกันล่ะมั้ง  เลยพลอยทำให้ใครๆที่ฮานอย ถึงได้ถวิลหาแตร ราวกับอยากให้แตรรถกลายเป็นอวัยวะที่สามสิบสาม  จนพอโตขึ้น ปีกกล้า...ขาแข็งพอจะคร่อมพยุงรถเครื่องเอาไว้ได้ แต่ละคนถึงได้หมายมั่นจะได้ตบแตรให้สลบ ตบแตรให้แหลกคามือ ไม่มียื้อ ไม่มียั้งกันแบบนี้? ...


...จำได้เลยว่าวันแรกที่กลับมาถึงเมืองไทย ระหว่างที่กำลังนั่งแท็กซี่กลับบ้าน เพื่อนร่วมคณะก็สะกิดแล้วถามยิ้มๆว่า... รู้สึกไหมว่าตอนนี้ เหมือนมันขาดอะไรไป?

จริงซินะ  พอได้ไปฮานอยแล้วกลับมาถึงบ้าน ก็รู้สึกเลยว่า ตัวเองมีขันติในการฟังเสียงแตรขึ้นเยอะมาก...
คงเพราะการแสดงออกด้วยเสียงแตรของบ้านเรา เทียบชั้นได้เพียงแค่เด็กอนุบาลของคนที่โน่นแน่เชียว

เราเลยหันกลับไปตอบเพื่อนไปด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าว่า...
...เออว่ะ ถ้าขับรถคราวหน้าโดนใครบีบแตรด่า สงสัยว่าเราอาจจะเผลอยิ้มเผล่ใส่ มากกว่าจะปรี๊ดจนอารมณ์ขึ้น...
...เพราะเค้าอาจจะอยากแค่ถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยว่า คุณครับ...คุณจะรีบขับไปหาพ่อคุณหรือ?




  
...อย่าเรียกพี่ว่า มอไซค์
(ไหน? ใครกันครับน้อง?...  อย่างพวกพี่นี่สิงห์นักบิดทางเรียบ เทียบได้กับฮิปสเตอร์ฟังเพลงอัลเตอร์ฯผ่านแผ่นไวนิลชัดๆ)

เราว่า การขับขี่มอไซค์ที่ฮานอยนี่มันเป็นไลฟ์สไตล์ที่มีแนวทาง และมีแฟชั่นเป็นของตัวเองแบบที่ไม่อาจะหาใดเปรียบได้ จนบางทีก็รู้สึกอยากจะเจียดเวลาลงพื้นที่ ไปหาข้อมูล ทำสกู๊ปเผยแพร่ความแนว และความเหนือของการดำรงชีวิตเป็นสิงห์นักบิดทางเรียบสุดฮิปฯในเมืองอันทรงเสน่ห์แห่งนี้ดูเหลือเกิน  

เรื่องแรกที่อยากจะเมาท์ คือ ที่เวียดนาม...เวสป้าเป็นแค่รถทั่วๆไป  ไม่ได้น่ากรี๊ด ไม่ได้ให้ฟีลเรโทรฯ และไม่ได้ช่วยเสริมฐานะ โหนกระแสจนแลดูโก้เหมือนในบ้านเรา (อารมณ์เวสป้าที่เอาไว้ขนม้วนผ้า หรือของโหลย่านสำเพ็ง พาหุรัดอย่างไรอย่างนั้น) แต่เรากลับกรี๊ดค่ะ เพราะว่าชอบดูมาก แล้วเวสป้าที่นี่ก็มีเยอะรุ่น เยอะสี มีให้ส่อง ให้มองอยู่เต็มไปหมด

แม้ว่าในบางครั้ง อีป้าบ้ารถเครื่องรูปทรงสวยๆอย่างเราก็ต้องมานั่งสะท้อนในใจด้วยความเสียดาย เวลาเดินผ่านไปเห็นสภาพอันกรากกรำย่ำแย่ของพี่เวสป้าบางคัน ที่โดนกาลเวลา และการใช้งานอันหนักหน่วงแบบไม่ใยดีกลุ้มรุมทำร้ายจนแทบไม่เหลือสภาพรถมอไซค์หล่อๆอีกต่อไป (คิดถึงแล้วก็ลอบถอนใจ สงสารเวสป้าพวกนั้นง่ะ)




อร๊ายยยส์! มอไซค์อะไรก็ไม่รู้ ล้อ หล่อ!!




เรื่องที่สองในหัวข้อนี้ ว่าด้วยแฟชั่นที่เกี่ยวกับมอไซค์นั่นเอง

สืบเนื่องมาจากฝนที่โปรยปรายลงมาแทบทุกวัน ทำให้เราสังเกตอะไรแจ่มๆได้อย่างหนึ่ง ซึ่งขอยอมรับกงๆเลยว่า มันทั้งน่าทึ่ง และน่ารักในเวลาเดียวกัน

แต่ก่อนอื่น ช่วยนึกภาพตาม แล้วตอบคำถามที่ว่า พี่แว๊นมักจะทำยังไงหากต้องขี่รถคู่ใจท่ามกลางสายฝน?...
...แน่ละ คำตอบแรกๆที่ได้คือ หากฝนตกไม่หนักมาก และค่อนข้างจะเร่งรีบ คนขับก็จะแวะหลบฝนเพื่อสวมเสื้อกันฝนที่พกมา คลุมร่างกาย เสื้อผ้า และสิ่งของสำคัญไม่ให้ต้องเปียกปอนเสียหายไปกันใหญ่ ก่อนจะออกเดินทางไปยังจุดหมายของตนต่อไป ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่ฮานอย

แล้วถ้าเปลี่ยนคำถามมาเป็น พี่แว๊นจะทำยังไง หากต้องขี่รถคู่ใจท่ามกลางสายฝน โดยมีคนซ้อนท้าย?...
...ฟังดูยอกย้อนและกวนประสาทดีใช่ไหมล่ะคะทายาท  แต่ภาพแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของพวกเราคงจะไม่หนีไปจาก ต่างคนต่างใส่เสื้อกันฝน ไม่ก็ง่ายหน่อย หาแค่ถุงก๊อบแก๊บมาครอบโบล๊ะลงบนหัวคนนั่งซ้อน แล้วปล่อยให้นั่งตัวเปียกซ่กไปทั้งตัว ก็เท่านั้น

...แต่ที่เวียดนาม นั่นไม่ใช่วิถีแห่งสิงห์ทางเรียบ ก่อนเสียบบีบแตรแต่อย่างใด...
...เพราะที่นั่น มีแฟชั่นสุดชิคเขอะ ซึ่งเมื่อได้เห็นกับตาตัวเองแบบใกล้ๆ ก็ทำให้กระทั่งเราเองยังเผลอเอามือทาบอก แล้วอุทานออกมาเบาๆในใจอย่างเสียไม่ได้ว่า แม่เจ้า เข้าใจคิดเหลือเกินนะซาร่าห์!...

...เค้าออกแบบเสื้อกันฝนตัวยาวที่ดูเหมือนจะเป็นเสื้อกันฝนพิมพ์ลายฉูดฉาด หรือสีเรียบๆธรรมดาๆ ให้ผู้ขับขี่ได้สวมใส่กันเป็นพิเศษเชียวล่ะเค่อะ

โดยลำพังแล้ว...หากไม่มีคนซ้อน เสื้อกันฝนที่ว่า ก็แอบมีออปชันน่ารักๆซ่อนอยู่ตรงด้านหน้า โดยที่มันจะมีรูใหญ่ๆที่ปะด้วยพลาสติกใส ขนาดกว้างพอคลุมไฟหน้ามอไซค์ได้พอดิบพอดี เพื่อให้คนขับเอาส่วนหน้าของเสื้อกันฝนมาใช้คลุมของในตะกร้าหน้ารถระหว่างการอยู่บนถนน โดยไม่ต้องพะวงว่า รถคันอื่นอาจจะมองไม่เห็นไฟหน้าของตัวเองอีกต่อไป

แต่ที่มันเริ่ดยิ่งไปกว่านั้น เห็นจะเป็น เมื่อมีคนมาซ้อนท้าย ด้านหลังของเสื้อกันฝนจะแอบเจาะช่องลับ แล้วทำหมวกเอาไว้เพื่อให้ผู้โดยสารได้สวมใส่เพิ่มได้อีกหนึ่งหน่อ  พูดง่ายๆว่า เสื้อกันฝนตัวเดียว แต่ใส่กันฝนได้ถึงสองคน...

...พอเห็นอย่างงี้ ต่อมมโนเลยทำหน้าที่รัวๆอย่างรู้งาน...
...รู้ๆกันอยู่ว่า การได้นอนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับใครซักคนในห้องอุ่นๆ พลางจ้องมองหยาดฝนโปรยปรายที่หน้าต่างนั้น โรแมนติกเพียงใด  ฮู๊ยยย! ไม่อยากจะคิดเลยว่า หากได้ลองนั่งซ้อนบนอานมอไซค์ แล้วอาศัยเสื้อกันฝนเดียวกันกับหนุ่มหล่อชาวเวียดฯ  ภายใต้ท้องฟ้ากรุ่นฝน และอากาศเจือมลพิษ ประกอบเสียงแตรเซ็งแซ่ แม่จะฟินได้มากขนาดไหนกัน?...
...เอ๊ะ! หรือว่าชั้นเพ้อเจ้อ?!


และแฟชั่นอีกประการที่เห็นแล้วต้องซู๊ดปากในความแก่นเซี้ยวที่ตรึงสายตาได้อย่างชะงัด ก็คือ...สาวๆที่นั่น ใส่ส้นสูงขี่มอเตอร์ไซค์กันจ๊ะ โปรยหัวมาแค่นี้ เราก็มั่นใจเหลือเกินว่า ภาพที่เราว่ามานั้น น่าจะเคยเป็นภาพในมโนของท่านชายหลายต่อหลายคนมาแล้ว  ก็ใครล่ะจะไม่เห็นความงามของสาวๆ หุ่นดีๆ ขาสวยๆ ที่ประดับด้วยรองเท้าส้นสูงปรี๊ด แถมยังมานั่งอยู่บนเบาะหนังของมอเตอร์ไซค์ขณะบังคับทิศทางอย่างแคล่วคล่องอีกซะด้วย...

...หากนี่คือสิ่งที่ท่านตามหา เพื่อมาทำให้จิตใจกระชุ่มกระชวย ขอจงให้เลือกมาเที่ยวเล่นที่ฮานอยซะดีๆ เพราะเมืองนี้คือคำตอบของสายรักสาวส้นสูง เลี้ยงคลัช สะบัดคันเร่งอย่างไม่ต้องสงสัย 

แต่ก็ต้องทำใจนิดนึง ถ้าพวกคุณๆผู้ชายไม่อาจมองเห็นใบหน้านวลผ่องเป็นยองใยของสาวๆเหล่านั้นได้ เนื่องจากมันยังมีแฟชั่นอีกอย่าง ที่ระบาดไปทั่ว ซึ่งก็คือ...ผ้าปิดปากกึ่งๆหน้ากากกันควันเสีย แบบที่ขาบิ๊กไบค์เมืองไทยชอบใช้กัน จำพวกขาโหดก็จะมีสกรีนเป็นรูปกระโหลกอะไรเทือกนั้น แต่ที่ฮานอยนี่ เราแลว่าน่าจะเป็นสินค้าโอท็อป เพราะใช้วัสดุที่หาง่ายในพื้นที่ และไม่ได้ดูมีราคาค่างวดมากจนชวนสะดุ้ง  ส่วนมากแล้ว...เท่าที่เห็น สาวๆหลายคนที่ต้องผจญอยู่บนท้องถนนในฐานะคนขับมอไซค์ เจ้าหล่อนมักจะใส่ผ้าปิดปากนี่เอาไว้เสมอ (อาจจะมีหนุ่มๆบ้าง แต่ก็ไม่เห็นเยอะเท่า) ดังนั้น...รูปทองของพระน้องนาง อาจจะไม่ออกมาให้เห็นเด่นชัดนักหรอกนะเคอะ

ถ้าทนรอพระน้องนางถอดหน้าให้ชื่นชมไม่ไหวจริงๆ เราขอแนะนำว่า ให้เลือกจิ้นความงามของสาวๆเอาตั้งแต่ช่วงคางลงไปถึงปลายรองเท้าส้นสูงแทนก็แล้วกันนะคะ... เพราะว่าแต่ละคนที่ใส่ส้นสูงแล้วขี่มอไซค์นี่ หุ่นดีได้ใจจริงๆเค่อะ






...มันไม่ใช่แค่การเดินข้ามถนน มันเป็นมากกว่านั้น
(นู๊บต่างด้าว...เดินแบบแข่งกะเราป๊ะล่า?)




มุมซ้ายนั่น...มหาเทพชัดๆ!
ได้ข่าวว่าตรงนั้น การจราจรขวักไขว่เสียยิ่งกว่าห้าแยกลาดพร้าว....โอ้ว ชาบู อูรา อูรา!


แม้ว่ายังไม่ทันได้จ่อปลายเท้าพ้นฟุตบาท แต่ทุกครั้งที่ตั้งท่าหยุดรออยู่ตรงเส้นขอบริมถนนแล้วแสดงตนว่า อยากจะขอเดินข้ามไปยังอีกฟากฝั่งนั้น  บรรยากาศที่กดดันทั้งหลาย คงทำให้คนที่มาเยือนเวียดนามเป็นครั้งแรกอาจรู้สึกสูญเสียความมั่นใจ เพราะจะต้องเอาความปลอดภัยทางด้านร่างกายมาใช้วางเป็นเดิมพัน

ความน่ากลัวระลอกแรก คงต้องยกให้การข่มขวัญมือใหม่หัดข้ามถนนด้วยเสียงแต่ที่ดังไม่ขาดสาย ใจคนฟังก็ชักจะเริ่มฝ่อ ขอร้องในใจให้พ่อแก้วแม่แก้วช่วยคุ้มครองเป็นรอบที่ร้อยห้าสิบ ก่อนจะกล้าตบเท้าเยื้องย่างลงไปยังดินแดนต้องห้าม

แต่อย่าเพิ่งด่วนสรุปไปว่า นี่คือจุดสิ้นสุดของหนังชีวิต ภาวนา ชนะจิตร ปะทะมิตร ชัยบัญชา เพราะดูเหมือนว่า ชีวิตลำเค็ญของเหล่านักท่องเที่ยวจะยังโศกไม่พอ...

ก็ของจริงน่ะ มันไม่ได้อยู่ที่เสียง...
แต่มันอยู่ตรงความเป็นสามมิติที่สามารถพุ่งปรี่เข้ามาเกยร่างอันบอบบางของเราได้ในชั่วพริบตา ดังนั้น ไอ้ภาพที่เราเห็นมาก่อนหน้าออกก้าวขาเดินนั่น มันเลยกลายเป็นหนังทริลเล่อร์หักเหลี่ยมเฉือนคม ผสมความน่าหวาดผวาอย่างหาใดเปรียบต่างหากย่ะ...

ตามธรรมชาติ สัตว์โลกล้วนแล้วแต่มีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดจากภยันตรายทั้งหลายแหล่มาแต่เดิม  นับประสาอะไรกับนักท่องเที่ยวตาดำๆ ผู้ไม่คุ้นเคยกับการจราจรอันยากจะคาดเดาเล่า

หนำซ้ำ ก่อนที่เราปลงใจจะเดินข้ามถนนนั้น เราก็เห็นมาอย่างถ้วนถี่แล้วว่า ไอ้รถที่มันกำลังวิ่งมุ่งหน้ามาตัดเส้นทางข้ามถนนของเรานั้น มันเป็นรถอะไร คนขับหน้าตาโหดร้ายไม่แยแสโลกเพียงไหน แถมที่สำคัญ...พวกพี่เค้ายังเขย่าขวัญเราให้หนี ดีให้ฝ่อด้วยการบีบแตรระงมคล้ายขู่  โดนมาหลายขนานซะขนาดนี้...ครั้นจะไม่สำเหนียกถึงความตาย ก็สวมวิญญาณพระเอกไฟนอล เดสติเนชั่น ผสมดายฮาร์ดกันเกินไปหน่อยล่ะค่าคู๊ณณณณณ!

ที่ร้ายไปกว่านั้น ระหว่างวางแผนการเดินทางมาเที่ยวเวียดนามนี่ เรามั่นใจว่า หากใครได้ลองอ่านกระทู้บอกเล่าประสบการณ์การเดินทางมายังหัวเมืองต่างๆของประเทศนี้ ย่อมจะได้รับการตักเตือนจากผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนทั้งหลายว่าให้เฝ้าระวังกิจกรรมการข้ามถนนเอาไว้ให้ดี ( กรณีของเรา...คุณพี่ชายตัวดี  ได้ขู่ซ้ำๆให้เผลอวิตกล่วงหน้าไปหลายวันว่า เสร็จแน่แก! แกข้ามถนนไม่รอดแน่ๆ!เพิ่มเข้าให้อีกดอก... ไอ้พี่มาร!!)

นั่นล่ะ เลยทำให้เรามั่นใจว่า ในช่วงแรกๆของการมาเยือนฮานอย หรือเมืองอันพลุกพล่านของเวียดนามเมืองอื่นๆ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ น่าจะประสบปัญหาในการข้ามถนนไม่มากก็น้อย (บางราย อยู่มานานก็ยังทำใจให้แซ๊บไม่พอที่จะข้ามถนนได้อย่างเป็นธรรมชาติได้ซะที)

แต่อย่าเพิ่งสะพรึงถึงขั้นถอดใจไปซะก่อน เพราะตัวอย่างดีๆยังมีให้เห็น และบุคคลที่ประสบความสำเร็จกับการข้ามถนนในฮานอยที่เราจะยกมาเมาท์ถึงนั้น คงไม่ต่างอะไรกับแสงสว่างปลายอุโมงค์ ที่จะช่วยขจัดความมืดหม่น ความท้อแท้ในจิตใจอันอ่อนไหวของเหล่านักท่องเที่ยวมือใหม่อย่างเรา เพื่อสร้างความมั่นใจ ก่อนจะกลับมามีความหวังใหม่ได้อีกครั้งเป็นแน่แท้

เรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า การที่เราได้ทำความรู้จักกับพวกเค้าเอาไว้ เราจะได้รู้ซึ้งว่า การจะเป็นยอดฝีมือผู้สยบความเคลื่อนไหวอย่างไร้ทิศทางของรถราในฮานอยนั้น ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ที่สำคัญ คนที่ทำได้แบบนั้น...มีอยู่จริง แถมยังมีชีวิตรอดอยู่วิ่งเล่นตัดหน้ารถไปมาได้ถึงทุกวันนี้


เราขอเริ่มจาก...

เทพพื้นเมืองสายเคป็อบ:

รูปพรรณสัณฐานจะคล้ายๆศิลปินเคป็อบทั้งชายและหญิง หากแต่เป็นเทพพื้นที่ ซึ่งรู้จักการแต่งตัวมิกซ์แอนด์แมทช์ และน่าจะติดตามแวดวงเพลงเกาหลีอยู่บ้าง ลีลาการเดินข้ามถนนจะงดงามประดุจกำลังไขว้ปลายเท้าเขย่ารันเวย์ โดยมีระดับความกริ่งเกรงรถราต่ำเตี้ยเรี่ยดิน  

ไม่เท่านั้น พี่ๆเค้ายังจะเล่นท่ายากด้วยการทำกิจกรรมอื่นๆไปพร้อมๆกันระหว่างลอยข้ามถนน ไม่ว่าจะเป็นดูนาฬิกาข้อมือ เช็คเรทติ้งข้อความที่เพิ่งโพสต์ลงกระทู้ท้องถิ่นไปผ่านหน้าจอมือถือ หากเสียงแตรดังรบกวนโสตประสาทมากจนเกินไปนัก องค์เทพจะหยิบหูฟังเทพขึ้นมาตัดเสียงรายรอบให้หายไป หลงเหลือไว้ก็แต่บีทตึ๊บๆของซิงเกิลใหม่ของบิ๊กแบง ไม่ก็เอ็กซ์โซ่เท่านั้น  ก่อนจะสะบัดไหล่เบาๆเพื่อขับไล่ความเมื่อยล้าจากการเดินหล่อลอยชายข้ามทางม้าลายมาสิบห้าทางก่อนหน้า

ระดับความอหังการของเทพสายเคป็อบจะพุ่งสูงขึ้น เมื่อเหล่าทวยเทพในสายเดียวกันมารวมตัวกันมากกว่าหนึ่งองค์ เพราะเมื่อองค์เทพสายนี้ชุมนุมกันบนท้องถนนเมื่อใด เหล่ารถราทั้งหลายจะต้องหยุดหมอบกราบ หรือเลี่ยงหลบราวกับโดนสยบด้วยความงามของรูปลักษณ์ของหมู่เทพอย่างไม่มีทางเลี่ยง




โฮซาน: ฮอง..เพจผมยอดฟอลโล่วยยังไม่ถึงแสนเลย
ฮอยมิน: งั้นเดี๋ยวลงรูปคู่นายกับพี่ สกินชิพเซอร์วิสแฟนๆซักนิด รับรองไม่เกินพรุ่งนี้ แตะแสนห้าแน่
(บทสนทนานี้ ชั้นมโนเอง...ค่าที่แอบหมั่นไส้เคป็อบสองหน่อที่เดินเมาท์กันไม่สนใจใครเอาอีตรงกลางวงเวียน)


เทพพื้นเมืองสายแม่ค้าหาบเร่:

ถือเป็นเทพสายปากกัดตีนถีบ และมึนได้โล่ห์ เพราะเทพสายนี้จะไม่ค่อยสนใจผู้ใด นอกไปจากเป้าหมายที่น่าจะยอมควักเงินในกระเป๋าเพื่อมาเลือกซื้อของในกระจาด ถาด ไห ที่องค์เทพเทิน แถก แบก ลากติดไว้ตามตัว  หลักๆแล้ว พลังวัตรของท่านมักจะถูกใช้ไปเกือบหมดกับการพยุงอุปกรณ์ยังชีพเอาไว้บนบ่า รวมทั้งเข็นและลากรถราคู่ใจ ดังนั้น ช่วงเวลาที่เทพสายนี้ลงมาโปรดสัตว์บนพื้นถนน จึงจะเป็นช่วงเวลาที่ท่านค่อยๆเยื้องย่างหาบคอน เข็นเครื่องมือทำมาหากิน ลอยสบตากับว่าที่ลูกค้าไปเรื่อยๆแบบไม่รีบร้อน  

เทพสายแม่ค้าหาบเร่จึงมักจะได้รับสายตา การส่ายหน้า หรือการสบถสรรเสริญจากผู้ขับขี่บนท้องถนนประหนึ่งเครื่องบูชา เพื่อส่งเสริมให้สกิลในการข้ามถนนของท่าน ยิ่งเทพไปกันใหญ่


 Addidas หรือจะสู้ Addadis, Crosc, Tsom และอื่นๆอีกมากมายที่ชั้นแขวนอยู่เต็มคันรถ...เชอะ!


เทพพื้นเมืองสายกลุ่มสตรีขี้เมาท์:
(เทพกลุ่มนี้เราเจอมากับตัว เลยอยากจะเมาท์ให้ฟังใจขาด)

เทพ...ไม่สิ เทพีสายนี้ มักจะมากันเป็นกลุ่มก้อนของสาวสะคราญ แต่จะไม่เน้นการข้ามถนนสักเท่าไร เหล่าองค์เทพีกลุ่มนี้ มักจะชอบฟอร์มแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งอย่างน้อยสามองค์ ก่อนออกเดินไปพลาง พูดคุยกันไปพลาง ชวนให้เรานึกไปถึงใบปิดหนังเซ็กส์แอนด์เดอะซิตี้ภาคเวียดนามก็ไม่ปาน 

จะว่าไปแล้ว สกิลในการเดินขององค์เทพีเหล่านี้อาจจะไม่มากเท่าไร แต่ความสามารถในการขวางถนนนั้นเป็นเลิศ เมื่อเจอเข้ากับเทพีสายนี้ ความตั้งใจของเราที่จะพยายามเดินแซงหน้ากลุ่มเทพีให้จงได้ ต้องมีอันเป็นมลายหายไปอยู่หลายต่อหลายครั้ง แถมยังจะพลอยโดนรถเฉี่ยวเอาซะอีกโทษฐานที่กล้าไปปาดซ้ายเพื่อสร้างเลนเดินที่สี่  เมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะดิ้นรน เราเลยได้แต่ทำใจ แล้วก็คอยปลอบตัวเองว่า...การเดินช้าๆตามหลังสาวๆหุ่นดี ก็เพลินตาดีไม่หยอก


เทพต่างด้าวสายฝรั่ง:

เดาว่ากลุ่มเทพสายนี้น่าจะคุ้นเคยกับการจราจรและระบบต่างๆของประเทศให้ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาเป็นอย่างดี ไม่ก็น่าจะอยู่ที่นี่มานาน เพราะองค์เทพกลุ่มนี้ ข้ามถนนได้อย่างไม่สนใจใคร และไม่แคร์เสียงแตรเสียงปี๊นไหนๆแม้แต่น้อย เราเดาเอาเองว่า เทพกลุ่มนี้ น่าจะเป็นไอดอลของฝรั่งตาน้ำข้าวมากมายที่เพิ่งจะมาฮานอยเป็นครั้งแรก 

แหม่...ใครๆก็คงจะอยากเดินข้ามถนนในฮานอยให้ได้อารมณ์เหมือนกำลังเดินอยู่ตามชายหาดในริเวียร่ากันทั้งนั้นแหละ...
...หรือใครว่าไม่จริง?



ก่อนถ่ายรูปนี้มา...สาบานได้ว่า บนถนนมีรถเนืองแน่นแบบไม่มีที่ว่างให้วางเท้าเดิน
แต่คงเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ขององค์เทพสายฝรั่งทั้งสอง ดลบันดาลให้รถรามดปลวกทั้งหลายมลายหายไปในชั่วพริบตา...

...ไม่เชื่อเหรอ... แสดงว่าเด็กๆแม่ให้กินปลาเยอะล่ะซิ ฉลาดเป็นกรดเลยนะเรา ชิส์!

No comments:

Post a Comment