เรื่องเมาท์ที่สาม : ว่าด้วยฟุตบาท ถนน ผู้คน และตึกรามบ้านช่อง
...ฟุตบาท
สิ่งแรกที่น่าอเมซิ่งสุดๆที่เราสังเกตได้คือ...
ฟุตบาทที่นี่กว้างมากกกกกก (ลาก ก.ไก่อีกสามล้านตัว) แต่อย่าได้นึกว่าเราจะได้เดินเฉิดฉายราวกับเดินที่ชองป์เซลิเซ่หรอกนะเคอะ
เพราะตลอดระยะเวลากลางวัน เนื้อที่ส่วนใหญ่ของฟุตบาทมักจะถูกจับจองเพื่อใช้ทำเป็นที่จอดรถมอ’ไซค์ ทำเป็นทำเลทองของร้านขายของกินข้างทาง ไม่ก็ที่ทำการร้านน้ำชา
หรือจะเป็นจุดผ่อนผันสำหรับแม่ค้าพ่อค้าหาบเร่ แผงลอย หรือกิจการพิเศษต่างๆอย่างใจต้องการ...
...หมดกัน! อุตส่าห์จั่วหัวเริ่มตอนด้วยการชมซะดิบดี...
แต่นั่นไม่ใช่สาระสำคัญที่อยากจะบอกหรอกนะเคอะ...
ที่กล่าวถึงฟุตบาทนี่ก็เพราะ
เราประทับใจกับบาทวิถีของฮานอยมาก และตามความเข้าใจไปคนเดียวของเรา ทำให้ได้ข้อสรุปว่า การออกแบบฟุตบาทของที่นี่ ประยุกต์ให้เข้ากับวิถีชีวิตของประชาชนได้เป็นอย่างดีเหลือเกิน
เพราะคนส่วนใหญ่
สัญจรไปมาด้วยรถมอเตอร์ไซค์เป็นหลัก เพราะฉะนั้น เพื่อให้เป็นการสะดวกแก่เหล่าพี่แว๊นซึ่งนับเป็นประชากรหมู่มาก
ฟุตบาทเลยมีขนาดใหญ่โตโออ่า บางทำเล ฟุตบาทกว้างซะจนถ้าเอาไปตัดเป็นถนน คงได้ถนนเพิ่มอีกเลนกว่า
แถมความสูงยังยกเหนือขึ้นมาจากพื้นถนนไม่มากนัก บวกกับยังทำทางลาดเอาไว้ให้ขับเสยขึ้นไปได้ง่ายๆอีกด้วย
นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากคนส่วนใหญ่ จะพิจารณารถมอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะคู่ใจในลำดับต้นๆ
ขอได้โปรดเทียบสเกลความสูงของคนกับต้นไม้...
แล้วต้นไม้ใหญ่แบบนี้ หาได้ทั่วไป
ไม่ใช่แค่ตามถนนสายสำคัญๆเท่านั้นนะจ๊ะ (เริ่ดอ่ะ!)
สิ่งที่น่าประทับใจอีกอย่างของฟุตบาทที่ฮานอยนี่
น่าจะเป็นที่ เมืองนี้มีต้นไม้ใหญ่โตมโหฬารขึ้นอยู่ข้างทาง
ซึ่งฟุตบาทได้ทำหน้าที่เป็นกรอบชั้นดีซึ่งปกป้องพี่ต้นไม้อายุหลายร้อยปีเอาไว้อย่างแน่นหนา
นั่นเลยส่งผลให้ ถนน และพื้นที่สองข้างทางมีร่มเงา และเย็นน่าเดินเล่นมาก
พอได้ไปเห็นต้นไม้ใหญ่ๆ
ใบหนาๆอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ตรงข้างๆทางเดินนี่เอง เราก็อดเป็นปลื้มจนต้องคว้ากล้องมาถ่ายรูปอยู่ยิกๆไม่ได้
เพราะแม้จะเป็นมารสายบ้าวัตถุ แต่ก็ชอบสิงสาราสัตว์และธรรมชาติไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
เมื่อได้มาเห็นต้นไม้ใหญ่ อยู่รวมกันเยอะๆ ชวนให้รู้สึกครึ้มๆ ใจชั้นก็ชักจะนึกเสียดาย ที่บ้านเราไม่ค่อยมีต้นไม้ใหญ่ๆขนาบสองข้างทางถนนสายหลักในเมืองใหญ่มากนัก
ทั้งที่ตามท้องถนนของประเทศเพื่อนบ้านหลายๆประเทศมักจะมีต้นไม้ใหญ่อย่างนี้ให้ชื่นชมได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ดี ผลพวงจากการมีฟุตบาทกว้าง
แต่ไม่อาจใช้งานได้ตรงตามวัตถุประสงค์หลัก ก่อให้เกิดเรื่องไม่เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากมายตามมา
ไม่ว่าจะเป็น...
คนส่วนใหญ่มักจะเดินกันบนพื้นผิวจราจร
เนื่องจากทนเก็กซิมกับจุดจอดมอ’ไซค์อันกลาดเกลื่อนไม่ไหว นั่นจึงก่อให้เกิดเหล่าทวยเทพหลากหลายสายตามที่ได้เคยเมาท์ไปก่อนหน้า
แต่นั่นมันไม่ใช่ประเด็น!!
...แล้วทำไมชั้นจะต้องมาตกระกำลำบาก
ระเห็จจากฟุตบาทอันปลอดภัยลงมาเดินลากกระเป๋าด็อกแด็กหลบรถเก๋ง พี่แว๊น
และรถเมล์อยู่บนถนนประกอบเสียงแตรอันเซ็งแซ่ด้วยล่ะยะ?!
เราขอบอกเอาไว้เลยว่า
การเดินลากกระเป๋าเดินทางสี่ล้อเลื่อนซึ่งสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว
บนพื้นราบเรียบแถวๆฟิฟธ์ อเวนิว หรือจะเป็นข้างถนนในมหานครโตเกียวมาแล้ว
กลับกลายเป็นเรื่องลำบากสำหรับนักเดินทางไฮซ้อไฮโซอย่างเพื่อนร่วมคณะของเราไปในพริบตา
คงเป็นเพราะเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่า เราจะต้องยกกระเป๋าขึ้น – ลง กี่แลมป์กี่ลาด เพื่อหลบหลีกฝูงมอ’ไซค์ที่จอด รวมทั้งซุ้มอาหารข้างทาง วงน้ำชาซึ่งพร้อมใจกันขวางทางเดินอยู่อย่างไม่ขาดสาย
เท่านั้นยังไม่พอ...การที่เราเดินลากกระเป๋าใบใหญ่ไปตามทางหวังจะหาโรงแรมของเรานั้น
ยังดูแปลกประหลาดมหัศจรรย์ในสายตาพี่เวียดฯเจ้าถิ่นอีกต่างหาก
ดังนั้น เราขอบอกเอาไว้ล่วงหน้าว่า
หากจุดที่ทายาทจะลงรถในตัวเมืองฮานอยนั้นอยู่ห่างจากโรงแรมที่จองเอาไว้มาก แล้วทายาททั้งหลายไม่อยากปวดหัวตึ๊บกับการเดินลากกระเป๋าไกลๆไล่ล่าที่พักของตัวเอง
จนตกเป็นจุดเด่นล่อสายตาของคนพื้นที่แบบไม่ตั้งใจล่ะก็ เราขอให้เปลี่ยนกระเป๋าลากใบใหญ่
เป็นเป้สะพายหลังใบโตๆแทน ไม่งั้นก็จ้างวานพี่แว๊น หรือแท็กซี่ให้ไปส่งยังที่หมายก็แล้วกันนะเคอะ
เพราะจะได้ไม่เสียเวลา และไม่ต้องเสี่ยงกับการสู้รบตบมือกับฟุตบาทที่ไม่เต็มใจให้เราใช้งานอยู่แบบนี้
(แต่เราไม่รับรองเรื่องเสียตังค์ หรือเสียรู้หรอกนะเคอะ...เพราะไม่ว่ายังไง เราก็เป็นสายเดินโหดอยู่วันยันค่ำล่ะเค่อะคู๊ณณณ)
ผลพวงอีกข้อที่เกิดมาจากความนิยมในการใช้ฟุตบาทต่างที่จอดมอ’ไซค์นั้น เห็นจะเป็นอาชีพที่น่าสนใจอาชีพหนึ่ง
ที่เราคิดว่ามาเกินมาจากวิถีความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่โดยแท้
และไอ้อาชีพนี้ก็น่ารักดี เลยต้องขอเอามาเมาท์ให้ฟังกัน
อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่า
ที่ฮานอย จะมีร้านกาแฟ ร้านอาหาร หรือคาเฟ่ ให้บริการอยู่มากมาย
ยังไม่นับรวมร้านเสื้อผ้า ร้านรวง หรือ ที่ทำการของออฟฟิศต่างๆอีกมากมาย
อาชีพนี้ได้เข้ามาเติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้กับผู้ประกอบการเหล่านี้ได้อย่างเหมาะเจาะ
เราว่า...จริงๆ ไม่จำเป็นต้องมีอาชีพนี้ก็ได้ เพราะอย่างไร
ร้านรวงที่ร่ายยาวมานี้ก็น่าจะทำเงิน ทำกำไรได้เหมือนเดิม
แต่อาชีพนี้ดูๆก็คล้ายกับเครื่องปรุงรสอย่างสุดท้าย ที่ใส่เพิ่มเข้ามาแล้วทำให้เกิดเมนูชั้นเลิศอย่างไรอย่างนั้น
และอาชีพที่เราเกริ่นนำมานานสองนานนี่ก็คือ
เด็กหนุ่มเชียร์แขก ที่ควบหน้าที่ รับแขก Security
จัดสรรพื้นที่ให้รถมอ’ไซค์ได้จอดร่วมกันอย่างสันติ valet รถมอ’ไซค์ เบ็ลบอย
แผนกจำหน่ายบัตรจอดรถและเก็บค่าที่จอด และหน้าที่เบ็ดเตล็ดยิบย่อยอื่นๆอีกมากมายซึ่งเกิดขึ้นด้านภายนอกร้านทั้งหมด
เท่าที่เห็นมากับตา
เราขอแนะนำว่า หากใครคิดจะเปิดร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือห้างร้านใดๆที่ฮานอย แบบที่ต้องรับมือกับลูกค้าแบบไม่มีขาดสาย
เด็กเชียร์หน้าร้านถือเป็นตำแหน่งเสริมที่ควรหาเอาไว้ในครอบครองหาก เพราะนอกจากที่หน้าร้านจะมีหนุ่มน้อยวัยกำดัดสามสี่คนมานั่งเฝ้าเพื่อประดับให้หน้าร้านดูกรุบกริบน่ากินแล้ว
ยังช่วยขจัดปัญหาเรื่องการจอดมอ’ไซค์แบบไร้แบบแผน และกินเนื้อที่ไปได้เยอะ
ส่วนตัวนะ เราว่า...สิ่งที่ควรกังวลเพียงอย่างเดียว
คือ...ทำอย่างไร ร้านนั้นถึงจะได้มาซึ่งเด็กหนุ่มเชียร์แขกหน้าร้าน
ที่หน้าตาดีประหนึ่งบอยแบนด์เกาหลียกกลุ่มต่างหากล่ะ...
...ปัญหาระดับชาติสำหรับแม่ป้าอย่างเราเลยนะนั่น!!
หนุ่มน้อยในเสื้อผ้ารับลมหนาว กับตึกเก่า ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่
...ถนน
เราเข้าใจไปเองว่า
ทางการเวียดนาม
น่าจะออกกฏหมายให้อนุรักษ์ผังเมืองเอาไว้โดยไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก (เดาว่า
ผู้นำในสมัยก่อนได้วางผังเมืองมาดีแล้วล่ะนะ – หากผิดพลาดประการใด
วานให้ท่านผู้รู้มาแก้ไขด้วยแล้วกันนะเคอะ) นั่นเลยทำให้ถนนที่นี่เป็นมิตรกับนักเดินอย่างเรามาก
ไม่ต้องห่วงว่าเดินไปที่ไหนแล้วจะหลง
เพราะทุกหัวมุมถนน จะมีป้ายบอกชื่อถนนให้รู้อยู่ตลอด นั่นเลยทำให้เราคลายความกังวลเรื่องการเดินเที่ยวในฮานอยไปได้มากโข
อีกอย่าง ถนนที่นี่ก็แบ่งตัดพื้นที่อยู่อาศัยและตึกรามต่างๆเป็นบล็อกๆอย่างชัดเจน เราเลยมั่นใจว่า
ไปเที่ยวคราวนี้ คณะเดินขาลากของเราไม่น่าจะงงทิศทาง เดินเอ๋อๆไปโผล่เอาตรงซอยเล็กซอยน้อยที่แตกหน่อซ่อนเร้นตามถนนต่างๆในเมืองไทยแน่ๆ
นอกจากจะมีผังถนนแน่นอนแล้ว
หากใครได้มีโอกาสเดินเลียบถนนเส้น Tran Nhat Duat/ Tran Quang Khai/ Tran
Khan Du แม้คุณจะไม่มีโอกาสได้ชื่นชมตึกรามเก่าๆได้อย่างใกล้ชิดเหมือนกับย่าน
Old Quarter หรือ
French Quarter แต่รับรองได้ว่า
พวกคุณๆจะมีโอกาสได้เดินชื่นชมความสวยงามของภาพโมเสสบนผนังกำแพงเตี้ยๆตลอดระยะทางหลายกิโลเมตรอย่างแน่นอน
เราว่า สิ่งเหล่านี้นี่แหละ ที่ยิ่งทำให้การเดินในฮานอยเป็นเรื่องน่าอภิรมย์ไปกันใหญ่
พวกคุณๆลองคิดดูซิคะว่า ถ้ามีแดดจั๊กหน่อย ถนนในรูปพวกนี้ จะสวยงามถึงเพียงไหน
(โฮ!!!!!! ร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ)
เพราะฉะนั้น เราขอบอกให้พวกคุณๆที่อยากจะออกเดินเที่ยวไปทั่วฮานอย
เบาใจได้เลยว่า การเดินเที่ยวไปตามตรอกซอกซอยต่างๆของฮานอยนั้นเป็นเรื่องสะดวกสบาย
ปลอดภัย และน่าสนใจมาก ขอแค่ให้พวกคุณๆทั้งหลาย มีพื้นฐานในการอ่านแผนที่
ช่างสังเกต และจดจำบ้างนิดๆหน่อยๆ...
เมื่อนั้น...ต่อให้เป็นการเดินเล่นอย่างสบายๆในฮานอย
หรือเดินจ้ำอ้าวแข่งกับเจ้าถิ่น ณ หัวเมืองใดๆของโลก ย่อมจะเป็นเรื่องสนุก
มากกว่าเรื่องทุกข์เป็นแน่
แต่...ช้าก่อน!
อย่าเพิ่งชะล่าใจไป...
ใช่ว่าการเดินไปตามถนนหนทางต่างๆในฮานอยจะไม่มีปัญหา...
จงได้โปรดอย่าลั้นลากับการเดิน
จนหลงลืมเหล่าทวยเทพท้องถิ่นทั้งหลาย รวมไปถึงสิงห์นักบิดทางเรียบกับทราฟฟิคดีไซน์แบบโลกหน้าไปเป็นอันขาด
เพราะพวกเขาเหล่านี้ จะคอยโผล่มาสร้างสีสันให้กับการเดินเที่ยวของเราอยู่ตลอดเวลา และขอได้โปรดพึงระลึกว่า
เรากำลังเดินอยู่ที่ฮานอย ไม่ใช่บ้านตัวเอง เพราะฉะนั้น...ทำใจร่มๆ
มองเรื่องน่าขัดใจทั้งหลายให้เป็นเรื่องสุข เพราะนี่อาจจะเป็นครั้งเดียวที่เรา
กับคนที่ทำเราอึดอัดขัดใจ ต้องมาประสบพบเจอกันก็เป็นได้ หากใครทำให้เราไม่ชอบใจ ก็ให้อภัย
ดีกว่าจะให้กล้วยกันนะจ๊ะ
...ผู้คน
หัวข้อนี้ เราขอสั้นๆ...
ผู้หญิง:
ผิวสวย หุ่นดี
มีนม ถึงจะตัวเล็ก แต่เอ็กซ์มาก แถมยังแต่งตัวเก่งอีกต่างหาก
ผู้ชาย:
หนุ่มๆจะหน้าเป๊ะ
ผิวดีไม่มีรูขุมขน ช่วงนี้นิยมตัดผมทรงเกาหลีแบบไถๆ (อารมณ์ประมาณทรงผมของนักเตะทีมชาติไทยชุดชนะบอลมาเลย์นี่แหละ)
แต่ดันมาเสีย อีตรงที่ผู้ชายส่วนมากมักจะตัวไม่สูงเท่าไหร่ (ส่วนสูงโดยประมาณของผู้ชายที่โน่นเมื่อกะด้วยตาเปล่า
แล้วไม่น่าจะหนีร้อยหกสิบกว่า – ไม่เกินร้อยแปดสิบห้า) ยังคิดอยู่ว่า ถ้าหนุ่มๆบ้านนี้เมืองนี้สูงซักหน่อย....สงสัยไอดอลเกาหลีมีหนาว
ผู้สูงอายุ: คนแก่ที่ฮานอยดูแข็งแรง และน่าจะมีอายุยืนยาวมาก
ส่วนใหญ่มักจะครองตำแหน่งมือขวาเฝ้าหน้าร้าน ถ้าเชี่ยวๆหน่อย
แกจะแตกไลน์ทำมาหากินด้วยการเปิดซุ้มน้ำชาเพื่อเพิ่มรายได้
...ตึกรามบ้านช่อง
ไม่รู้ว่าตึกนี้ได้รับอิทธิพลมาจากตึก Flatiron Building ในนิวยอร์ครึเปล่า...
แหม่ เห็นครั้งแรกนี่นึกว่าเป็นแฝดคนละฝา
ถ้าทายาทคนไหนเป็นพวกบ้าตึกฝรั่งสองชั้น
แบบที่ว่าเหลือบสายตาไปเห็นเป็นไม่ได้ ต้องขอถ่ายรูป ขอเดินชมพวกตึกรามเก่าๆแล้วล่ะก็
เราขอให้มาได้ มาโดนฮานอยกันเสียทีเถิด
เพราะนอกจากที่นั่นจะมีตึกฝรั่งซึ่งได้รับอิทธิพลจากยุคโคโลเนียลแล้ว ตึกส่วนมากที่ไม่ได้ถูกนำมาดัดแปลงเป็นที่อยู่อาศัย
หรือร้านค้า ก็ ‘เก่า’
ได้ใจมาก (บางตึกนี่เข้าขั้นน้องๆปูชนียสถานได้)
แต่ในเมื่อโลกมันก็หมุนเวียนเปลี่ยนไปอยู่ไม่ได้ขาด
มันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงกันบ้าง ครั้นจะให้อยู่กับตึกเก่าๆ
โดยอาศัยพื้นที่ใช้สอยของคนในหลายเจนเนอเรชั่นที่แล้ว
ก็อาจจะไม่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนฮานอยสมัยใหม่
เพื่อให้ร่วมสมัยแถมยังได้อนุรักษ์ของเก่าไปพร้อมๆกัน ที่นั่นเลยนิยมเอาตึกเก่ามาบูรณะใหม่เพื่อทำเป็นร้านรวง
หรือที่อยู่อาศัย
(เราเข้าใจว่า ที่ต้องทำแบบนี้ เพราะหลักๆแล้ว
น่าจะเป็นข้อบังคับทางกฏหมาย ที่ไม่ให้ทำลายโครงสร้างของตึกเก่า ซึ่งถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรม
รวมทั้งอาจจะเป็นเพราะตึกๆหนึ่ง มีเจ้าของร่วมมากว่าหนึ่งคนเลยทำให้ไม่สามารถทำการบูรณะหรือเปลี่ยนแปลงได้ตามต้องการ
– อันนี้แบบว่ามโนเอง ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
สองขั้ว...
...ต่างตึก ต่างมุมเมือง...
...ต่างความสำคัญ
อย่างไรก็ดี
ก็ใช่ว่าในฮานอยจะมีแต่ตึกฝรั่งอันเป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นเท่านั้น
เราสามารถพบเห็นตึกใหม่ๆด้วยเช่นกัน แต่ที่มันเริ่ดก็คือ...ตึกใหม่ๆส่วนใหญ่ที่เราเห็นผ่านตามา
มักจะถูกสร้างลงบนพื้นที่เดิม ในรูปทรงที่เราอดชื่นชมในความแซ่บของพี่เจ้าของแกไม่ได้จริงๆ
เข้าใจว่า พื้นที่เดิมนั้นคงเคยเป็นตึกแถวสองชั้นติดๆกันเป็นแพมาก่อน
(หากใครเคยไปเดินเที่ยวในตัวเมืองภูเก็ต น่าจะพอได้ไอเดียว่าตึกแถวที่ว่า
หน้าตาเป็นอย่างไร) แต่ไหนๆก็ต้องเสียเงินทุบของเก่า
แล้วสร้างของใหม่ทับที่ทั้งที จากข้อจำกัดที่มีส่วนกว้างแคบสุดใจ พี่เจ้าของแกเลยทดแทนด้วยการทำให้ตึกใหม่สูงเสียดฟ้าโดดๆแบบไม่แคร์เพื่อนรอบข้างมันซะเลย
ก็เข้าใจนะ....คงจะอารมณ์ประมาณ ชั้นสวย ชั้นรวย และชั้นมีเงินสร้างตึกสูงย่ะ!
ชั้นจะสูง ชั้นจะผอม ใครจะทำไม... อย่าได้แคร์!!
No comments:
Post a Comment