Thursday, February 12, 2015

หลากเรื่องรักเกือบสั้น...ว่าด้วยพยัญชนะตัวที่ ๔๑ :: หาก (เรื่องสั้นหมายเลขหนึ่ง)


หลากเรื่องรักเกือบสั้น...ว่าด้วยพยัญชนะตัวที่ ๔๑


หาก


หากย้อนเวลากลับไปแก้ไขเหตุการณ์ผิดพลาดในอดีตได้... คุณอยากกลับไปแก้ไขเหตุการณ์ใดที่สุด?


ของผมน่ะเหรอ...
ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าเรื่องที่ผมอยากแก้ไข มันเริ่ม ผิดพลาด ตรงจุดไหน?

...ใช่ตรงที่ผมต้องตัดขาดจาก เขา ทั้งที่เรื่องเรายังค้างคารึเปล่า?
...ใช่ตรงที่ผมตัดสินใจกลับเมืองไทย แล้วเกิดได้งานในบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ แต่ดันเป็นบริษัทเดียวกับที่ เขาทำงานอยู่?
...ใช่ตรงที่ผมเมาไม่ได้สติคืนเลี้ยงต้อนรับพนักงานใหม่ จนเผลอปล่อยตัวนอนกับเจ้านาย...มันใช่ไหม?


...ใช่ตรงที่ผมยังลืม เขา ไม่ได้?
...หรือจะเป็นตรงที่ผมต้องเลือกระหว่าง ทำตามหัวใจ หรือ ทำตามความถูกต้อง?





สิบปีก่อน:


ที่นี่ที่ไหน?
เมื่อกี๊เราอยู่ที่หน้าคณะนี่นา..........รับน้อง.ล่ะ? ตายแล้ว! รับน้อง!!’


“โอ๊ะ!” เพราะรีบลุกเกินไป เลยทำให้ภาพห้องสีขาวสะอาดตาตรงหน้าหมุนไปหมด  


เมื่อมีมือแข็งแรงช้อนแขนเอาไว้ โลกที่สะเทือนเคลื่อนไหวก็กลับสงบนิ่งลงอีกครั้ง
สัมผัสนั้นมาพร้อมคำถามผ่านเสียงนุ่ม ฟังแล้วรับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยไม่น้อย


“ไหวไม๊ อชิตะ?”

“พี่ครับ...รับน้องล่ะครับ?” คนกึ่งนอนกึ่งนั่งเงยหน้าถามลนๆ

“นอนเถอะอชิตะ ไม่ต้องห่วง รับน้องจบแล้ว...
.
...พวกเราเป็นน้องของพี่แล้วนะ” พี่ตัวโต หน้านิ่งพูดพลางจัดท่าทางน้องให้นอนลงบนเตียง ทั้งที่ก็รู้ว่า ร่างเล็กกว่ากำลังขืนตัวไม่ทำตามสั่งง่ายๆ จนเมื่อได้ยินบทสรุปนั่นล่ะ อีกฝ่ายจึงยอมนอนนิ่งๆ

“ขอบคุณครับ...พี่......”

“ธีร์ครับ  พี่ชื่อธีร์”  พูดจบก็ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเอ็นดู ห่มผ้าให้ แล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆเตียง



รอยยิ้มนั้น ทำเอาใจคนป่วยแกว่ง หน้าขึ้นสีแดงอัตโนมัติ...

พี่ธีร์... พี่เค้าชื่อธีร์  ระหว่างแสร้งทำท่าหลับ เพราะไม่อาจสู้สายตาอีกฝ่ายที่จ้องเขาไม่วางได้  ชิก็เผลอท่องชื่อนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนชึ้นใจ





เมื่อเช้านี้ :

....ปวดหัว...
.
...โอย ทำไมปวดไปทั้งตัวแบบนี้นะ?
...ชิ! ตื่นเดี๋ยวนี้ เผลอหลับไปได้ยังไง ที่นี่ไม่ปลอดภัยนะ!!’


“อ๊ะ!” ตกใจจนหลุดร้องเสียงหลงออกมาสั้นๆ ก่อนจะได้สติ ผงะไปด้านหลัง พร้อมๆกับตะครุบปิดริมฝีปากตัวเองเอาไว้เมื่อเห็นใบหน้าของคนที่นั่งหลังพวงมาลัยรถยนต์ กำลังยื่นเข้ามาใกล้ในระยะไม่ปลอดภัย

“พี่ขอโทษที่ทำให้ตกใจ พี่แค่จะปลุก” คนพูดยิ้มแหยๆ ก่อนเอนกลับไปนั่งหลังตรง
 

ผมไม่ต่อความยาวสาวความยืด ค่อยๆเลื่อนมือปรับเบาะหนังให้ตั้งขึ้น ปลดเข็มขัดนิรภัย ก่อนปลดล็อกประตูเพื่อก้าวลง แต่ไม่ทันไร มือใหญ่แข็งแรง กับสัมผัสอุ่นคุ้นเคยกลับรั้งข้อมือผมไว้แน่น


“อชิครับ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”  

“ปล่อย! ผมไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับคุณ” ผมพยายามสะบัดข้อมือด้วยแรงที่มี หากไม่เป็นผล เสียงทุ้มนุ่มหูที่ทำใจคนฟังละลายมานักต่อนักเถียงสู้ไม่ลดรา

“จะไม่มีได้ยังไง พี่ต้องรับผิดชอบเรื่องเมื่อคืน... เรื่องที่เรามี

ผมแผดแทรกอีกฝ่าย เพราะทนฟังไม่ไหว “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น!!...  
.
...ผมเมา จำอะไรไม่ได้...
...คุณเอง ก็ควรจะจำไม่ได้เหมือนกัน...
.
...ปล่อยผมได้แล้ว!!” ผมยังยืนกรานคำเดิม หากแต่มือคีมยังคงกำรอบข้อมือผมแน่น

คนฟังกลับยิ้มกรุ้มกริ่ม ตอบด้วยสีหน้าไม่สลด “แต่พี่จำได้ จำได้ดีด้วยว่าอชิน่ากอด และออดอ้อนพี่แค่ไหน


 ‘ทุเรศ...พูดมาได้ 


ไวเท่าความคิด ปากผมยั้งคำพูดจาบจ้วงของอีกฝ่ายเอาไว้แค่นั้น “หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว! กรุณาปล่อยมือผมด้วย!!

“ปล่อยก็ได้ แต่อชิต้องรับปากพี่ก่อน” แรงบีบรอบๆข้อมือแน่นขึ้นกว่าเดิมมาก  ผมจึงเผลอเงยหน้าจ้องอีกฝ่าย แล้วก็เห็นสายตาของเขาแอบตวัดมองนาฬิกาตรงคอนโซลซึ่งกำลังบอกเวลาใกล้เริ่มงาน  

“ก็ว่ามาเร็วๆซิ” ผมจำต้องเร่ง ทั้งที่ข้างในหงุดหงิดแทบตายที่ยอมให้อีกฝ่ายเอาเปรียบโดยไม่อาจขัดขืน

“เย็นนี้ ห้ามหนีกลับบ้านก่อน   เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง... 
.
...แต่ถ้าอชิเบี้ยวพี่ พี่จะบอกทุกคนในบริษัทว่า เรากำลังคบหาดูใจกันอยู่...
...อ๊ะ อ๊ะ! อย่าทำหน้างอใส่พี่นะครับ จำได้ใช่ไม๊ เวลาอชิทำหน้าแบบนั้น อชิจะโดนอะไร?” เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ กับสายตาวาววับบนหน้าหล่อๆนั่นปุ๊บ ผมก็เปลี่ยนสีหน้าปั๊บ เพราะรู้ความหมายของคำเตือนนั้นเป็นอย่างดี  

“รับปากพี่มาก่อน หรือจะให้คนอื่นเห็นเรานั่งจับมือกันอย่างนี้ก็ได้นะ...
...ดีเหมือนกัน พี่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยโก่งคอป่าวประกาศเรื่องของเรา”

“ผมตกลงเรื่องเย็นนี้ ปล่อยมือผมด้วยครับ”

“ยังครับ ยังมีอีกข้อนึง ที่อชิต้องทำให้พี่เดี๋ยวนี้ ตอนนี้...
...หึ หึ ไม่ต้องตกใจ พี่ไม่ได้จะขออะไรลามกหรอกครับ...
.
.
...อชิต้องเรียกพี่เหมือนที่อชิเคยเรียก แทนตัวเองเหมือนที่อชิเคยทำ...
...กับพี่ อชิต้องพูดเหมือนเดิม...นะครับ”


ผมนั่งตัวแข็ง เมื่อได้ยินคำขอข้อนี้หลุดออกจากปากเขา


ผมกลัว...
กลัวว่า ถ้าสรรพนามที่ผมเคยใช้เรียกเขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง  เรื่องในวันเก่า...จะฟื้นคืนชีพมาหลอกหลอนให้ผมต้องเจ็บซ้ำสอง


แต่อีกคนที่ถือตนเป็นพี่กลับไม่ปล่อยให้ผมได้คิดเลี่ยงหลบ เขาเร่ง พลางเหลือบมองรถคันอื่นทะยอยเข้าจอดเรื่อยๆ จนที่ว่างรอบๆเริ่มบางตา “ถ้าเราเดินเข้าออฟฟิศพร้อมกัน แถมยังสายทั้งคู่ เราจะกลายเป็นเป้าสายตานะครับ... หรืออชิอยากให้คนอื่นถามถึงเรื่องเมื่อคืน?”

ผมชักระแวงตามท่าทางอยู่ไม่สุขของอีกฝ่าย จนต้องยอมโอนอ่อน “ไม่ครับพี่ธีร์... พี่ธีร์ ปล่อยอชิเถอะนะ”


รอยยิ้มอบอุ่นที่เคยครองใจผมผุดขึ้นประดับใบหน้าหล่อเหลาของ เขาเป็นครั้งแรกของวัน นับตั้งแต่เกิดเรื่องวุ่นวายเมื่อเช้าหลังผมรู้สึกตัว


“งั้นก็รีบไปทำงานเถอะครับ สองทุ่มคืนนี้ ไปเจอพี่ที่บาร์เมื่อคืนนะครับ (ฟอด)” คนพูดฉวยโอกาสกดจมูกลงกับแก้มผมเร็วๆ ระหว่างที่ผมยังคงก้มหน้าหลุบตาเลี่ยงไม่มองรอยยิ้มนั้น แล้วปล่อยข้อมือผมเป็นอิสระอย่างไม่อิดออด

เมื่อไม่รู้สึกถึงการเกาะกุมรอบข้อมือ ผมก็รีบรวบกระเป๋าไว้แนบอก จ้ำอ้าวลงจากรถโดยลืมความเจ็บปวดตรงช่องทางด้านหลังไปชั่วขณะ  สองมือถูแก้มแรงๆไปมา ด้วยหวังลบรอยประทับตราที่ผมไม่ต้องการ  สมองจดจ่อถึงแต่เรื่องเดียว...


ต้องรีบหลบไปจากตรงนี้
ไม่อยากให้ใครมาเห็นผมอยู่กับ คนๆนั้น สองต่อสองอย่างเมื่อกี๊...
ไม่อยากมีปัญหา  ไม่อยากถูกตราหน้าว่า บ่อนทำลายครอบครัวชาวบ้าน


มีเวลาเหลืออีกนิดหน่อย กลับไปเปลี่ยนเสื้อที่รถก่อน แล้วค่อยไปทำงานคงทัน
ผมไม่ใช้ลิฟท์...ไม่อยากเจอหน้าใคร  ขี้เกียจอธิบายว่าทำไมถึงใส่เสื้อซ้ำ

ลงบันไดแทนแล้วกัน สบายใจดี แม้ต้องกัดฟันกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงไปอีกสามชั้นก็เถอะ
เจ็บแต่คุ้ม เพราะเสื้อใหม่...คงช่วยให้ไม่เหลือร่องรอยอัปยศของเมื่อวาน





เปลี่ยนเสื้อเสร็จ ก็กระวีกระวาดรวบข้าวของมายืนรอลิฟท์ขึ้นตึก
ระหว่างยืนคิดหาวิธีปฏิเสธ เขา ได้เงียบๆไม่นานเท่าไร ก็รู้สึกเหมือนโดนจับจ้อง จนต้องเงยหน้าขึ้นมอง

แม้สายตาคมคู่นั้น จะสบตรงเข้ากับตาผม แต่กลับไม่มีทีท่าว่า คนหน้าคุ้นที่มองมา จะถอนสายตาไปไหน
สายตานั่น สื่ออะไร?
สนใจแบบเปิดเผย  หรือ จับผิด...ไม่ให้พลาด?

ฉุกคิดได้ ผมก็ลุกลี้ลุกลน ก้มลงสำรวจกระดุมเสื้อทุกเม็ดว่าติดเรียบร้อยดีหรือไม่ มีอะไรผิดปกติตรงไหนหรือเปล่า...
แต่ทุกอย่างก็ดูปกติดี... ออกจะเนี๊ยบกว่าปกติเสียด้วยซ้ำ


 ‘หน้าผมเหมือนคนรู้จักของคุณรึไง จ้องอยู่ได้... จ้องมากๆเดี๋ยวเรียกเก็บตังค์เลยหนิ


ว่าจะอ้าปากถามอีกฝ่ายถึงเหตุที่ต้องมาจ้องกันเอาเป็นเอาตาย แต่ยังไม่ทันเอ่ยอะไร ลิฟท์ก็มาเสียก่อน
ผมเดินลิ่วนำเข้าไปในลิฟท์ ตามด้วยร่างสูงใหญ่ของคนไม่มีมารยาทเดินเข้ามาหยุดยืนข้างๆ 

ระหว่างช่วงเงียบวัดใจ ผมยังรู้สึกถึงสายตาของอีกฝ่ายสำรวจไปทั่วตัวผมอย่างไม่นึกสำรวม
เสียงหัวเราะในลำคอของเขาทำลายความเงียบไม่พอ ยังทำลายความยับยั้งชั่งใจของผมเสียสิ้น  
ผมเงยหน้าจ้องอีกฝ่ายตาเขียว


ดูเหมือนจะรู้ตัวว่าผมไม่พอใจนัก เขาจึงเอ่ยวลีสั้นๆ “รอยชัดเนอะ” พูดจบก็ทำหน้ากวนๆ ยกยิ้มเจ้าเล่ห์


รอย?...รอยอะไร?
...หรือว่า...
.
.
...รอยจูบ?
...เมื่อเช้าดูแล้ว ไม่มีแถวๆคอนะ...
.
...หลงอยู่ตรงไหนกัน?
...ตาย ตาย ตาย!! ชิ...แกตายแน่!!’


ผมรีบติดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุด ตามด้วยกระดุมแขนเสื้อทั้งสอง
ยังไม่ทันจะได้เอนตัวไปมองเงาตัวเองที่สะท้อนจางๆกับผนังลิฟท์  อีกฝ่ายก็ชิงถอนหายใจพรู แล้วเหน็บขึ้นมาเสียก่อน


“แหน่ะ! บอกแล้วยังไม่ฟังอีก.... รอยแป้งที่ปกเสื้อน่ะคุณ
ชัดมากกกกกกกกกก...
.
...เพิ่งรู้เหมือนกันว่า เดี๋ยวนี้ ผู้ชายต้องทาแป้งก่อนมาทำงาน หึ หึ”  เชื่อผมเถอะ ต่อให้ใครมาเห็นสีหน้ากวนประสาทของไอ้คนหวังดีปากกรรไกรตอนนี้  ต้องหมั่นไส้จนอยากเอานิ้วจิ้มลูกตาตรงหน้าสักทีสองที

ไอ้ขี้เก็ก!! ไอ้บ้า!! ทำเป็นเต๊ะ...อย่าให้เผลอนะ  จะเอาคืนให้หนักเลย คอยดูสิ

ผมเกือบได้หลุดปากด่าเพื่อนร่วมงานต่างแผนกที่เพิ่งได้เห็นหน้ากันชัดๆเมื่อวานตอนงานเลี้ยงรับพนักงานใหม่ แทนการแนะนำตัวอย่างสุภาพไปแล้ว ถ้าประตูลิฟท์ไม่เปิดออกขัดจังหวะเข้าเสียก่อน

ไอ้จอมเก็กยักคิ้วให้เหมือนรู้ทัน จากนั้นจึงค่อยๆยุรยาตรลอยหน้าผ่านผมไป
ผมได้แต่ท่องคำอโหสิกรรมในใจ เผื่อจะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานทั้งหลาย (รวมทั้งไอ้หมอนั่น) ดีขึ้นบ้าง แต่การทำบาปคงง่ายกว่า เพราะแม้เจ้าตัวจะเดินลับตาไปแล้ว แต่เสียงกวนๆ ยังตะโกนลอยลมมา ขณะขาผมยังก้าวไม่พ้นประตูลิฟท์


“โลกนี้มันอยู่ยากขึ้นทุกวัน... ว่าไม๊คุณ?”


จี๊ดดดด...
อีกนิดเดียว ผมคงเหวี่ยง

ผมยังไม่อยากหลุดมาดพนักงานใหม่แสนดี เลยรีบวิ่งเข้าไปสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำ พลางสำรวจตัวเองในกระจก
ไม่ผิดคำคนปากเปราะ ปื้นสีขาวตรงคอเสื้อโดดเด่น  มือล้วงหาผ้าเช็ดหน้า ชุบน้ำหมาด แตะลบรอยแป้งเป็นระวิง
นี่ถ้าไม่รีบจนลน ผมคงไม่หลุดลุ่ยขนาดตกเป็นขี้ปากของไอ้หมอนั่นแน่ๆ...



ว่าแต่ ไอ้เก็กนั่นชื่ออะไร?


นึกยังไม่ทันออก เสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวๆด้านนอกก็แว่วเข้าหู “ไม่รู้วันนี้พี่เผ่าไปอารมณ์ดีที่ไหนมา เดินยิ้มหล่อลากไส้เข้าออฟฟิศตั้งแต่หน้าประตูเลยล่ะแก๊!! คนอะไร...น่าสิงชะมัด....ขั้นอ.......


หึ!...ใช่ หมอนั่นชื่อเผ่า...
.
...ก็น่าสิงจริงๆน่ะแหละ...
...ถ้าเลี้ยงกุมารนะ จะปล่อยไปสิงให้วิ่งแก้ผ้าทั่วออฟฟิศซะเดี๋ยวนี้เลย!!...
...ไอ้บ้าเผ่า!!’


๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



ผมยังไม่ทันหย่อนก้นลงนั่งตรงเก้าอี้ข้างร่างสูงสมาร์ทของเขา แก้วดรายมาร์ตินี่ก็ถูกพนักงานเสิร์ฟวางลงบนโต๊ะตรงหน้า


“พี่ยังจำได้ว่าอชิชอบดื่มอะไร” คนพูดส่งยิ้มหวานพลางผายมือเชิญชวนให้ผมยกแก้วดื่ม

“พี่ธีร์มีธุระอะไรก็ว่ามาเถอะครับ” ผมไม่สนใจ รีบเข้าเรื่อง...ไม่อยากเพลี่ยงพล้ำซ้ำซาก

“ไม่อยากเจอพี่ขนาดนี้เลย?”

“ครับ” ผมตอบปัดเสียงแข็ง หวังว่าเขาจะเข้าใจเสียที   

เปล่าเลย...คนนั่งข้างๆกลับชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ส่งยิ้มหวานยิ่งกว่าเดิม แล้วพูดนุ่มๆ “แต่อชิรู้ไม๊  พี่น่ะ...คิดถึง แล้วก็อยากเจออชิมาตลอดเลยนะครับ    ที่เราต้องคุยกัน เพราะพี่อยากรู้ว่า ตอนนี้...อชิรู้สึกยังไงกับพี่?”

“ไม่รู้สึกอะไรครับ นอกจากนับถือในฐานะหัวหน้างาน” ผมเอนตัวไปข้างหลัง คุมเสียงให้นิ่ง ตอบพลางสู้สายตา

“พี่ไม่เชื่อ! เสียงนุ่มหากห้วนสวนกลับ

“นั่นก็เรื่องของพี่... 
.
...ที่ยอมมาวันนี้ แค่อยากมาบอกว่า ไม่ต้องรื้อฟื้นเรื่องเก่า  จากนี้...เราจะเป็นเพียงเพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น”


เขาเห็นผมเผลอ เลยคว้ามือผมไปกุมไว้แน่น
แม้ไม่ละความพยายามชักมือหนี แต่ผลลัพธ์กลับไม่ต่างจากการยื้อข้อมือเมื่อเช้า...
เรื่องใช้กำลัง ผมคงไม่มีหวังจริงๆ


“อชิฟังพี่นะ... ที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ เป็นเพราะอชิ... อชิทำให้พี่อดใจไม่ได้”

“อย่าพูดพล่อยๆ! ผมลืมตัวแหวออกไป


สุ้มเสียงไม่พอใจของผม ทำเอาเจ้าของร้านหลังบาร์วางมือจากแก้วเพื่อมองมาทางเราครู่หนึ่ง ก่อนก้มหน้าทำงานของตนต่อไป ถึงอย่างนั้น คนที่ผมคุยด้วยกลับไม่ตกใจ แถมยังไม่คิดปล่อยมือ


“ทีแรก พี่ตั้งใจจะพาคนเมากลับไปนอนที่ห้องเก่าของเราเฉยๆ ไม่ได้คิดเกินเลยจริงๆนะ สาบานได้... 
...แต่ตอนพี่เช็ดตัวให้ จู่ๆอชิก็กอดพี่ไม่ปล่อย ร้องไห้เรียกหาพี่ไม่หยุด บอกว่าเสียใจ คิดถึงพี่แทบตาย บอกว่ายังรักพี่...

“โกหก!! ไม่จริง... พี่โกหก!!!!” แม้ปากจะแย้ง แต่ข้างในกระตุกวูบ เราเมามากไป... ไม่น่าเลย ไม่น่าเลยจริงๆ!’

ผมเจ็บมือ เพราะอีกฝ่ายบีบเต็มแรงเหมือนจะค้าน “พี่ไม่เคยโกหก” เสียงนุ่มเปลี่ยนเป็นเข้ม

“แต่พี่ธีร์ก็ไม่พูดความจริง!! ผมต่อว่าอย่างเหลืออด นั่นคงทำให้เขาได้สติ ผ่อนแรงที่มือ แล้วตะล่อมเสียงอ่อน

“ก็นี่ไงครับ ถ้าอชิยอมรับความรู้สึกตัวเองกับพี่  พี่ก็จะพูดความจริงกับอชิได้ซักทียังไงล่ะ”


ยังมีเรื่องไหนที่เราไม่รู้อีก?...
.
.
...ไม่!! เรามานี่เพื่อมาตัดเยื่อใย ไม่ได้มาต่อ...
...แข็งใจหน่อยชิ ผ่านคืนนี้ไปได้ ก็สบายแล้ว


“รู้สึกยังไงไม่สำคัญ... พี่ธีร์แต่งงานแล้ว” ผมตัดบท แต่พอมือผมถูกดึงไปวางตรงหน้าอกของอีกฝ่าย ผมรู้เลยว่า เขาจะไม่รามือง่ายๆ

“ก่อนแต่งงานกับแก้ม พี่ทำความเข้าใจกับเค้าว่า...เราจะหย่ากันทันที แค่พี่ต้องทำให้เค้าแน่ใจว่า อชิจะยอมกลับมาหาพี่”

“เมียพี่ธีร์บ้าไปแล้ว!! ไม่มีทางที่ผู้หญิงคนไหนจะยอมสละสามีตัวเองให้ผู้ชายคนอื่นหรอก” 


เป็นไปไม่ได้... ไม่มีใครไม่รักสามีและไม่รักตัวเองหรอก


“พี่กับแก้มตกลงกันไว้อย่างนั้นจริงๆ ถ้าไม่เชี่อ...จะคุยกับแก้มตอนนี้เลยก็ได้นะ” เขาเลื่อนโทรศัพท์ส่วนตัวมาวางหน้าผมคล้ายกับจะยืนยันความจริงใจ แต่ทุกอย่างมันเร็วไป... ผมคิดไม่ทัน

“เดี๋ยวก่อน! ขอเวลานอก...
.
...ขอไปเข้าห้องน้ำก่อน  นะครับพี่ธีร์” ต้องขอร้องดีๆ อีกฝ่ายถึงยอมปล่อยมือ แต่ไม่วายยื่นหน้าเข้าใกล้ กระซิบสั่งเบาๆ

“หึ หึ...ได้ครับ แต่พอกลับมา อชิต้องตอบเรื่องที่พี่อยากรู้ทันทีนะครับ” ผมเบือนหน้าหลบริมฝีปากที่จ่อมาใกล้ผิวอ่อนข้างแก้ม  ลุกหนี แล้วเดินลิ่วไปหลบคิดในห้องน้ำอยู่พักใหญ่





ขากลับไปที่โต๊ะ ผมคงใจลอยมากไป รู้อีกที หน้าผมก็กระแทกเข้ากับหน้าอกใครสักคนเข้าให้แล้ว
พอเห็นหน้าคู่กรณีชัดๆ จากจะขอโทษ...ชักลังเล
จนเมื่ออีกฝ่ายเปิดปากพูดประโยคแรกออกมาเท่านั้นแหละ... ไม่ด่าให้ ก็บุญเท่าไร


“จะเหม่อไปไหนคุณ?  ระวังหน่อย... ยังดี เสื้อผมไม่เปื้อน”


รู้เต็มอกว่าผมผิด แต่มารยาทในการสนทนาน่ะ..มีไหม

โอ๊ย!! วันนี้มีแต่เรื่อง...
.
.
...แต่เดี๋ยวนะ...
...เผ่ามาที่นี่เหรอ?...
...เห็นเรากับพี่ธีร์อยู่ด้วยกันรึเปล่า?!’


พอเห็นผมเงียบ ไอ้คุณเผ่าก็เอาใหญ่ “อ้าว! โดนทักเข้าหน่อย ถึงกับเลิกตบแป้ง มาตบแก้มขาวอมชมพูแทนเหรอคุณ...
.
...แล้วไหงหน้าแดงเป็นตูดลิงงี้ล่ะ?
...ชนหน้าอกผมแล้วเขินเหรอ?” คนพูดวางสองมือไขว้ปิดหน้าอกตัวเอง พลางทำหน้าล้อเลียน


จากที่คิดกังวล ตอนนี้ผมอยากจะกังฟูใส่คนปากเสียเหลือเกิน
เจอหน้าทีไร เป็นต้องได้อารมณ์ขึ้นทุกทีสิน่า

คิดอะไรไม่ออก...
หน้ามืด อยากด่าไอ้หน้าทะเล้นตรงหน้าให้สาสม


ไอ้บ้า!!


เจ็บที่สุดในชีวิตผมแล้วล่ะ...คำนี้
เมื่อเอาคืนได้ ก็รีบจ้ำหนี ก่อนโดนฝีปากดีๆของตาเผ่าเห่าใส่อีกคำรบ
สงสัยต้องรีบกลับ... ไม่อยากให้ไอ้คุณเผ่ามาเห็น ปากยิ่งเสียๆอยู่ ไม่รู้จะชอบเมาท์ด้วยหรือเปล่า


จังหวะที่ผมกลับมานั่ง  พอดีกับที่บริกรหนุ่มน้อยวางแก้วทรงเดียวกันกับแก้วที่แล้วตรงหน้าผม หากแต่สีของของเหลวกลับต่างไป  “สุภาพบุรุษท่านหนึ่งมอบเครื่องดื่มนี้ให้คุณครับ”  พูดจบ ก็เดินไป ไม่อยู่อธิบาย


เขาชักสีหน้าอย่างไม่ปิดบัง  
ผมนั่งงงเพียงไม่นาน เพราะเมื่อกวาดตามองแผ่นรองแก้ว ก็พบลายมือหวัดๆกำกับอยู่
ข้อความทำผมอมยิ้มตาม เพราะรับรู้ถึงความใส่ใจ...


สมนาคุณพิเศษจากทางร้าน... เห็นว่าเมื่อคืนคุณดื่มหนักมาก
คืนนี้งดเหล้า ดื่มม็อกเทลเปรี้ยวๆแทนน่าจะดีกว่านะครับ


อย่างน้อยวันนี้ก็ไม่เลวร้ายเท่าไร
ไม่เมา เท่ากับ ไม่พลาดติดกันเป็นคืนที่สอง
หมดแก้วนี้  กลับบ้านเลยแล้วกัน


๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



 (เสียงเพลง งมงายของบอดี้สแลมดังกระหึ่มไปทั้งรถ คลอด้วยเสียงร้องตะโกนตามเนื้อเพลงเจือสะอื้น)


เนิ่นนานเท่าไรไม่รู้ที่รอเธอ ฉันจำไม่ได้.....ฮือออออออออ
.
ฮึก ฮึ..ที่จำได้ดีคือฉันมีเพียงเธอ แม้นาน....ฮึก ฮึก...สักแค่ไหน...(ฟืดดดดด)
.
เธออยู่ที่ใดยังรักกันไหม ฉันไม่รู้......งืออออ.....แต่ที่รู้ คือฉันนั้นยังไม่เปลี่ยนใจ.....ฮืออออออออออออ
.
งือออออ......ยังอยู่ตรงนี้ถึงแม้จะเหงา....ฮึก...และเดียว...ฮือออออออ...ดายยยยยยย”



เช้านี้ขอเถอะ...
ขอผมร้องไห้เสียหน่อย 
ผมอยากร้องไห้  หากไม่ได้ร้อง...ผมคงเป็นบ้า
อยากใช้น้ำตาแทนคำสมน้ำหน้าตัวเอง ที่ยังหวังลมๆแล้งๆกับคนที่มีเจ้าของแล้วแบบ เขา


แค่เขาทำดีด้วย ทำทีเหมือนมีเยื่อใย พูดจาหวานๆใส่ไม่เท่าไร... ก็ตีปีก ตั้งท่าจะโผกลับไปซบอกเขาเสียแล้ว
อชิตะ...เรานี่มันเจ็บแล้วไม่รู้จักจำจริงๆ!

ก็เห็นอยู่ว่าเมื่อเช้าภรรยา เขา มาส่งถึงหน้าตึก   
ทั้งสองคนก็ดูรัก และเหมาะสมกันสุดๆ
นั่นก็เท่ากับว่า สิ่งที่เขาบอกเราเมื่อคืน ทั้งหมด...เป็นแค่คำโกหก

เขา ไม่ยอมพูดความจริงอีกแล้ว
จำไม่ได้หรือ เมื่อก่อน...เขาเคยขอเราแต่งงาน
เอาเข้าจริง เขา ก็กลับไปแต่งกับผู้หญิงที่ครอบครัวหาให้

นับประสาอะไรกับตอนนี้...ที่เขาบอกว่าพร้อมจะหย่า แล้วกลับมาอยู่ด้วย
ไม่ทันไร...เขาก็พาเมียมาสวีทตำตาเราถึงที่นี่

เรามันโง่จริงๆ...
โง่ที่จนป่านนี้ยังมัวแต่งมงาย
แต่ก็ยังดี ที่เมื่อคืนยังไม่หลวมตัวพูดอะไรโง่ๆ ชวนให้เสียใจออกไป


“ฮืออออ...........เกิดมาได้เจอคนที่ตามหามานานแสนนาน......
.
...ฮึก...ฮึก....ทำให้รู้ว่าเธอมีค่ามากแค่ไหน
.
ฮือออออออออออ.......จะอยู่ตรงนี้ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เหลือใคร........
.
.
โฮ...........ไม่ผิดใช่ไหมที่ฉันจะยัง....ฮือออออ.......รัก...ฮึก....เธอ...........
.
ไม่ว่าเธอกับฉันวันนี้.....ฮือออออออออออออออ........จะอยู่แสนไกล
.
ก็ยังจะรออย่างมีความหวัง ฮึก...ฮึก....ฮึก...ยังคงไม่เปลี่ยนไป.....
.
ฮืออออ........ไม่ว่าใครจะมองว่าฉันงมงาย (ฟืดดดด)  ฉันก็ยังเหมือนเดิม.......โฮ...”


ขอแค่จบเพลงนี้เท่านั้น...
สัญญาเลยว่า จะไม่ร้องไห้ ด้วยเรื่องของ เขา คนนั้นอีกแล้ว





ผมก้มหน้าก้มตาเดินเข้าออฟฟิศ ไม่อยากให้ใครเห็นขอบตาที่ยังแดงไม่หาย
เมื่อถึงโต๊ะ ก็เจอกับเรื่องน่าแปลกใจ
มีสิ่งแปลกปลอมที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่ของๆผม
ผมเงยหน้าขึ้น หันมองไปรอบๆ ไม่เจอใคร...ใช่สิ ยังไม่ใกล้เวลาเริ่มงานนี่นะ

สุดท้ายก็จนปัญญา...ไม่รู้จะถามใครว่า ขวดน้ำเปล่าขวดใหญ่ใหม่กิ๊งที่วางอยู่บนโต๊ะผมนั้น มีใครมาเผลอลืมไว้หรือไม่
พอยกขวดขึ้นเพื่อจะเอาไปทิ้งไว้ที่แพนทรี่ ก็เจอโพสอิทใบเล็กๆติดอยู่ตรงก้น...

โพสอิทน้อย มีโน้ตสั้นๆ...
ลายมือคุ้นตาชอบกล


คุณชิดื่มผมเถอะค๊าบ...
...ผมอร่อยนะ ^_^


สมัยนี้เขาแจกน้ำแทนขนมจีบกันหรอกหรือ?  

สงสัยต้องให้คะแนนเจ้าของน้ำเยอะหน่อย  ถือว่าเปิดตัวได้ถูกจังหวะพอดี 
กินน้ำสักขวดสองขวด คงพอชดเชยน้ำตาที่เสียไปตั้งเกือบปี๊บได้ล่ะมั้ง


๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



แม้ตลอดช่วงเช้า ผมจะสามารถหลบหน้าผู้คนไปนั่งเตรียมไฟล์ และ รายงานในห้องประชุมเงียบๆได้อย่างสงบสุข
จนแล้วจนรอด ช่วงพักเที่ยง...ผมก็หลบ เขา ไม่พ้น

เพื่อนร่วมงานเข้ามาลากผมไปกินข้าวด้วยกัน บอกว่าวันนี้กินฟรี มีเสี่ยเลี้ยง
หารู้ไม่ มันคือแผนการง้อผมที่ เขาวางเอาไว้

ทันทีที่ทุกคนกินเสร็จ คนบงการแผนสูงก็บังคับให้ผมพาเขามาที่รถตัวเอง
เขาขู่ว่า ถ้าไม่ยอมร่วมมือโดยดี เขาจะจับมือผมเดินโชว์ไปทั่วตึก


เขารุกผมหนักเกินไปแล้ว
แค่ไม่ถึงสองอาทิตย์ที่ผมเริ่มงานมา ผมก็หวั่นไหวจนต้องคอยเก็บอาการแทบแย่...
แต่นี่  ‘เขากลับวิ่งเข้าใส่ เหมือนไม่คิดจะปล่อยให้ผมคลาดสายตาอีกต่อไป
คิดดูเถอะ แค่ได้เข้ามานั่งอยู่ในรถด้วยกันสองต่อสองไม่ถึงนาที เขาก็เอื้อมมาจับมือผมไปกุมเอาไว้อีกแล้ว


“ปล่อย!” ผมตวัดหางเสียงไม่พอใจใส่... ถึงเขาจะไม่แคร์คนอื่น แต่ผมอายเป็นนะ!!

“อชิ...ฟังพี่อธิบายก่อน” เสียงนุ่มอ้อนวอน

“ไม่! ผมไม่ฟังพี่แล้ว... พี่โกหกผม!!” ผมต้องไม่ยอมเชื่อเขาง่ายๆอีก ลำพังเมื่อเช้าก็เจ็บจนพูดไม่ออก

“พี่ไม่ได้โกหกอชินะครับ”

ผมสุดกลั้น หันไปต่อว่าอีกฝ่ายด้วยความเสียใจ “ตรงไหนที่เรียกว่าไม่โกหก? เมื่อเช้า....ผมเห็นพี่กับภรรยาอยู่ด้วยกัน”

คนนั่งเบาะหน้าคู่คนขับถึงกับส่ายหัวดิก ก่อนอธิบายด้วยรอยยิ้ม “แก้มเอารถเข้าศูนย์เช็คระยะ เค้าเลยขอยืมรถไปใช้”


ผมถึงกับเบ้หน้าให้กับคำพูดกลับกลอก เชื่อถือไม่ได้ของ เขา
หมั่นไส้ จนต้องตอกกลับไป


“พี่คงจะรักภรรยามากสินะ เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไร พี่หวง และรักรถตัวเองสุดๆ...
...พี่ไม่เคยให้คนอื่นขับรถพี่...
.
.
...ขนาดตอนเราคบกัน พี่รักผมมาก  ผมขอ พี่ยังไม่ให้”

“ใช่ พี่รักรถตัวเองมาก ไม่เคยมีใครได้ขับรถพี่...
...แต่อชิครับ นั่นมันรถบ้านแก้มเค้านะครับ เวลาอยู่คอนโด พี่จะไม่เอารถพี่มาใช้...
.
...พอถึงคราวจำเป็น พี่ก็แค่คืนรถให้เค้าไป”


พอเขายิ่งพูด  ผมก็ยิ่งอ่อนยวบลงเรื่อยๆ
เรื่องรถ... เขาก็ยอมรับตรงๆ ไม่มีเฉไฉ  ถ้าอย่างนั้น เรื่องอื่นๆที่ว่ามา ก็น่าจะจริง...
แต่ถ้าเชื่อหมดใจ ผมก็กลัวว่าจะเจ็บ


“ผมยังไม่ปักใจเชื่อพี่หรอก พี่ธีร์ต้องยังไม่บอกความจริงทั้งหมดกับผมแน่ๆ”

“โธ่...อชิ! เชื่อพี่เถอะนะครับ  พี่บอกอชิไปหมดทุกเรื่องแล้วนะ...
...ทางพี่น่ะ พร้อมจะเลิกกับแก้มทุกเมื่อ จะมีก็แต่ความรู้สึกของอชินี่แหละ ที่ยังไม่แน่นอน...
.
...จะบอกพี่ได้รึยังครับว่า อชิยังรักพี่อยู่ไม๊?”

“ผมไม่รักพี่ธีร์!

เสียงค้านผมอ่อน กระทั่งผมฟังเองยังไม่นึกเชื่อ
เขาคงจับความไม่หนักแน่นในน้ำเสียงได้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่เขยิบเข้ามาใกล้แบบนี้แน่ๆ


“พี่ให้ตอบใหม่  ถ้าตอบผิด...พี่จะไม่ปล่อยให้กลับไปทำงาน”

“เอ๊ะ! พี่ธีร์  พี่ธีร์จะเอาแต่ใจอย่างงี้ไม่ได้นะ  ก็ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้รักพี่แล้ว” ผมฉุนติดหมัดที่อีกคนชักจะล้ำเส้นทั้งคำพูด ทั้งการกระทำ...


มือนี่ จะยื่นมาเชยคางผมทำไม?
อยากจะถอยให้ห่างกว่านี้ แต่หลังชนกระจกฝั่งคนขับจนจะกลายเป็นเนื้อเดียวกันอยู่แล้ว
ดีนะที่คุยกันตรงเบาะหน้า... ไม่รู้ว่าถ้าเป็นเบาะหลัง จะยังอยู่รอดปลอดภัยไหม

แต่อีกฝ่าย ดูจะไม่ให้ความร่วมมือสักเท่าไรนัก
จากที่นั่งอยู่ตรงเบาะข้างๆ ตอนนี้ชักจะคืบคลานเข้าคุกคามพื้นที่คนขับมากขึ้นเรื่อยๆ


“แล้วที่อชิบอกว่ารักพี่ธีร์คนเดียว รักพี่ธีร์ที่สุดตอนพี่กอดอชิ มันแปลว่าอะไรครับ?...

เมื่อไม่มีที่ให้ถอย ผมเลยต้องเอามือมายันหน้าอกคนรุกรานเอาไว้ พลางร้องขู่ “ไอ้พี่ธีร์บ้า!! อย่าพูดเรื่องคืนนั้นอีกนะ!

“ไม่พูดแล้วครับ อย่าโกรธพี่ธีร์เลยนะ...
.
.
...เอาอย่างงี้ดีไม๊  อชิค่อยบอกพี่คืนนี้ก็ได้... นะ อชินะ คืนนี้เราเจอกันที่เดิมนะครับ (ฟอด)” แม้เมื่อก่อนจะคุ้นกับสัมผัสแบบนี้เป็นอย่างดี แต่พอร้างลาไปหลายปี ก็ทำให้ใจเต้นโครมครามได้ไม่ต่างจากที่เคย

“ฮื่อออ...พี่ธีร์ ผมยังไม่ได้รับปากเลยนะ” ผมร้องห้าม ยั้งไม่ให้คนย่ามใจ คิดและทำตามใจตัว ถ้าไม่ปราม ป่านนี้คงป่นปี้

“แต่อชิไม่ได้ปฏิเสธพี่นี่ครับ... นั่นก็แปลว่าตกลง พี่พูดถูกใช่ไม๊ล่ะ?”


 ( ห๊าววววววว/ ปัง! เสียงหาวดังและยาว / เสียงปิดประตูรถเสียงดัง)

เสียงที่เกิดจากฝีมือของงบุคคลที่สามดังแทรกเป็นชุด ผมกับพี่ธีร์ต่างชะงัก ก่อนหันไปมองยังต้นเสียง


 ( ก็อก ก็อก ก็อก เสียงเคาะกระจกข้างๆฝั่งคนนั่งด้านหน้าหนักๆ)

สิ้นเสียงเคาะ ผมก็สะดุ้งสุดตัว  เมื่อหันไปเห็นใบหน้าคนแนบยับยู่ติดกับกระจกข้างฝั่งที่พี่ธีร์นั่งอยู่...
คงจะเป็นใครไปไม่ได้ ที่กล้าทำเรื่องอุบาทว์ขนาดนี้...
...อีตาเผ่า เห่าไม่เลือกวาระของแท้แน่นอน

ผมรีบกดเลื่อนกระจกลง เพราะห่วงรถจะหมอง และทำใจไม่ได้ที่ต้องเห็นภาพสยองชวนขย้อนตอนกินอิ่มๆ
แต่ดูเหมือนปฏิกิริยาของผมจะเข้าทางคนปัญญาอ่อนด้านนอก

 “แหมบังเอิญจัง ไม่นึกว่ารถคันข้างๆจะเป็นรถชิ  ถ้ารู้ว่าเป็นชินะ...เราคงสนิทกันเร็วกว่านี้...
.
.
...แต่ก็ไม่เป็นไร เรามาทำความรู้จักกันตอนนี้เลยดีกว่า...
...เผ่ายังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย ถ้าชิไม่รังเกียจ ลงไปซื้อแซนวิชข้างล่างเป็นเพื่อนเผ่าหน่อยได้ไม๊ครับ? เราจะได้รู้จักกันให้มากขึ้น...เนอะ”  ไอ้คุณเผ่าทักผมข้ามหัวพี่ธีร์อย่างร่าเริง ผิดไปจากไอ้คุณเผ่าที่ผมรู้จักเมื่อวานลิบลับ


แล้วทำไมอยู่ๆถึงมา ชิๆ เผ่าๆกันได้ล่ะ นี่เราสนิทกันตอนไหน?
เจอไอ้คุณเผ่าเวอร์ชันนี้ ผมถึงกับเอ๋อ  แต่ข้อเสนอของไอ้คุณเผ่าก็ฟังเข้าที
อย่างน้อยๆก็ไม่ต้องติดแหง็กกับพี่ธีร์ตามลำพัง   ยิ่งอยู่...ยิ่งเอาตัวไม่รอด


“เอ่อ...ก็ได้ครับ พี่ธีร์ ผมจะไปซื้อของเป็นเพื่อนคุณเผ่า” ไอ้คุณเผ่าถึงกับยิ้มกว้างเมื่อผมตอบรับ แล้วจึงจัดแจงวิ่งอ้อมมาเปิดประตูรถฝั่งผมให้ 


แม้จะไม่พอใจ แต่พี่ธีร์ก็ยอมลงมาจากรถอย่างเสียไม่ได้
พอผมล็อครถเรียบร้อย แขนยาวๆของฮี่โร่ชั่ว(เป็นครั้ง)คราวก็โอบลงบนไหล่อย่างถือวิสาสะ ก่อนนำผมเดินไปพลาง จ้อไปพลาง โดยปล่อยให้พี่ธีร์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น...


“เรียกเผ่าเฉยๆเถอะครับ ไหนๆเราก็จะสนิทกันแล้ว...”


ผมไม่ตอบ หากแต่จ้องหน้าไอ้คุณเผ่า สลับกับแขนของเขาที่วางบนไหล่คล้ายกับขู่
อีกฝ่ายกลับทำไม่รู้ไม่ชี้ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนกำลังเล่นสนุก
นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเข้ามาถูกจังหวะ ผมจะไม่ยอมให้เดินโอบไหล่ผมง่ายๆแบบนี้หรอกนะ


“...ไปกันเถอะครับชิ เผ่าหิ๊วววววว หิว”


ไอ้บ้า!! ไอ้ปัญญาอ่อนเผ่า!! ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ!!’


๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



ผมมาทำอะไรที่นี่?...
ช่างเป็นคำถามที่ไร้สาระที่สุด

 ‘...นะ อชินะ คืนนี้เราเจอกันที่เดิมนะครับ...


ก็ เขา ขอให้มานี่นา
อีกอย่าง หลังจากตอนนั้น เราก็ยังไม่ได้คุยอะไรกันอีก


แต่อชิไม่ได้ปฏิเสธพี่นี่ครับ... นั่นก็แปลว่าตกลง พี่ธีร์พูดถูกใช่ไม๊ล่ะครับ


ใช่... เขายังรู้จักผมดี
แม้ไม่พูด ก็ไม่ได้แปลว่าผมปฏิเสธ
ผมสิ...ไม่น่าลืมไปเลยว่า ว่าเขาชอบตีขลุมเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่พี่ต้องการมากแค่ไหน

ถึงผมจะไม่ชอบที่ถูกรวบรัด แต่ลึกๆแล้ว กลับดีใจ ที่เขายังจำหลายๆอย่างเกี่ยวกับตัวผมได้
ผมยังสำคัญกับเขา ใจผมบอกอย่างนั้น

แต่นั่นไม่ใช่สัญญาณที่ดี เพราะอีกไม่นาน ผมคงจะยอมอ่อนข้อให้เขาง่ายๆ
เหมือนอย่างที่กำลังนั่งรอเขาอยู่อย่างนี้   ทั้งที่ไม่ได้รับปากอย่างไรล่ะ


“โลกกลมดีเนอะ” เสียงทักคุ้นหูทำผมหายเหม่อ  แขกไม่ได้รับเชิญนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวข้างๆโดยไม่ถามความเห็น

 ‘เออ โลกกลมมากกกกก... ไอ้ขี้เมา มากินเหล้าได้ทุกเย็น

“พวงกุญแจอะไรเหรอ เผ่าเห็นชินั่งมองอยู่ตั้งนาน...สวยดีนะ”

ผมยังไม่ตอบ ตาเหลือบมองพวงและลูกกุญแจ ก่อนถอนใจหน่ายๆ
 ‘สวยตรงไหน...เก่าจะตาย แล้วมายุ่งอะไรด้วย...ไปที่ชอบๆซะทีเถอะไป๊!!’


ถ้าเป็นคนอื่นคงรู้ตัว รีบบอกลา กลับไปยังที่ๆจากมา ตั้งแต่เจอผมนิ่งใส่เมื่อจบคำถามแรก
แต่ศูนย์กลางแห่งจักรวาลอย่างไอ้คุณเผ่า มีหรือจะยี่หระ


♫♪ตึงครับตึงทำหน้ามึนตึง ยังกะคนละแผนก...ตึงครับตึงตึงโป๊ะตึงตึง ก็ระวังเดี๋ยวจะแตก...แต่ช้าแต่ถ้าบึ้งนานนาน มันจะอั้นมันจะป่วย ♪♫♪ แต่ช้าแต่ถ้าไม่พูดด้วย ก็จะไม่พูดด้วยยยยย....


 ‘เฮ้ออออ...
.
...คนที่รอเจอ ยังไม่มา...
...ส่วนคนที่มา กลับไม่อยากเจอ...
...สีหน้ารังเกียจของเรานี่...อ่านยากนักเหรอ?
.
.
...แล้วนั่นร้องเพลง หรือท่องอาขยาน?


ดีที่มีสายเข้าเสียก่อน ไม่อย่างนั้น คงยิ่งอึดอัดไปกว่านี้
หน้าจอแสดงชื่อเจ้าของเบอร์ที่เพิ่งได้มาเมื่อวาน... พี่ธีร์
ผมรีบกดรับ...ไม่อยากให้ เขาต้องรอ


“ฮัลโหล”

(อชิ โทษทีนะครับ วันนี้พี่ติดธุระด่วน คงไปเจออชิไม่ได้) เสียงในสายดูร้อนรน  ทำผมทั้งห่วง ทั้งห่อเหี่ยว

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”

(จะไปนอนที่ห้องเราก็ได้นะครับ ถ้าเหนื่อยจนขับกลับไม่ไหว)

“ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวผมก็กลับแล้ว”

(คนดี... เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่เข้าไปกินข้าวเช้าด้วยนะครับ   ถึงบ้านแล้วโทรหาพี่ด้วยนะ... คิดถึงอชินะครับ) แล้วใจก็ฟูขึ้นอีกครั้ง

 ‘คิดถึงพี่ธีร์เหมือนกันครับ

ได้แค่คิด แต่ที่พูดกลับไม่ใช่ “พี่ไปทำธุระเถอะครับ แค่นี้นะครับ” ลอบถอนหายใจตอนกดตัดสาย...ไม่อยากวางเลย


ถึงเสียเที่ยว แต่ก็ดี...ผมจะได้มีเวลาทบทวนคำตอบที่จะให้ เขานานขึ้นอีกหน่อย
เอ๊ะ!...ผมลืมอะไรไปหรือเปล่า?


“โดนเค้าเบี้ยวใส่รึไงครับ... หน้างี้บอกบุญไม่รับเลยนะ”

 ‘ไอ้นี่แหละ ที่ผมลืม... มัวแต่ดีใจที่พี่ธีร์โทรมา เลยไม่ทันนึกว่า มีแขกไม่ได้รับเชิญนั่งอยู่ข้างๆ

“เสียมารยาท! ว่าจะไม่สนใจแล้วนะ... ตบะผมคงแตก

พอเห็นว่าผมหลวมตัวคุยด้วย ถ้อยคำก็ยิ่งเสียดหูขึ้นเรื่อยๆ “คนมาทีหลังก็เงี๊ยะ... เสียดายที่นี่ไม่มีน้ำใบบัวบก”

“ผมไม่ได้มาทีหลัง... ผมมาก่อน! ผมพยายามหายใจเข้าลึกๆหลายๆรอบ
ไม่ชอบที่ต้องเหวี่ยงใครโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้เรื่องอะไร

“เค้าแต่งงานมาจะหกปีแล้วนะคุณ... คุณไปคบกับเค้าตั้งแต่ตอนเป็นตัวอ่อนในท้องแม่หรือไงคร๊าบบบบ?”


รู้เลยว่า อีกนิดคงฟิวส์ขาด
ไม่อยากเลื่อนขั้นจากไม่ถูกชะตามาเป็นเกลียด โดยเฉพาะคนที่ต้องเห็นหน้ากันไปอีกนาน
ผมหยิบกระเป๋า วางแบงค์สีเทาลงบนโต๊ะ แล้วลุกขึ้น แต่กลับโดนฉุดให้นั่งลงที่เดิม


“ผมขอโทษ...ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมมันปากไม่ดี คุณก็รู้...
.
...ผมแค่ห่วง ไม่อยากให้คุณคิดมาก เลยเข้ามาคุยด้วย...
...เราคุยกันดีๆได้ไม๊ครับชิ”

พอเห็นใบหน้าสำนึกผิด พร้อมกับคำขอโทษจริงๆจังๆ  ผมก็ใจอ่อน “ถ้าปากเสียเมื่อไหร่...ผมกลับ”

“โอเคครับ...ผมจับหมาในปากขังกรงหมดแล้ว” คนพูดยิ้มเสียน่ามอง ระหว่างทำท่ายอมแพ้เอาใจ


ใจผมเต้นโครมคราม เพราะเพิ่งเข้าใจว่า ยิ้มหล่อลากไส้ที่สาวๆกรี๊ดกร๊าดเมื่อวันนั้น มันมีอิทธิพลต่อหัวใจขนาดไหน

ผมกระแอม พลางไล่ความรู้สึกตึกตักข้างใน แล้ววกเข้าเรื่องค้างใจ...
เท่าที่เขาพูดมาก่อนหน้า เขาต้องรู้เรื่องของผมกับพี่ธีร์แน่ๆ
แปลกใจตัวเองเหมือนกัน ที่อยู่ๆก็นึกอยากจะเล่า... รู้แต่ว่า ไม่อยากให้เขาเข้าใจเรื่องทั้งหมดแบบผิดๆ


“คุณคงรู้แล้วซินะ ว่าผมกับเค้า....”

“เพราะรู้ไง ผมเลยห่วง... เค้ามีครอบครัวแล้ว”

“ผมกับเค้าคบกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย  เค้าเป็นรุ่นพี่ผมสองปี...เป็นพี่ว๊าก ผมเป็นลมวันรับน้องใหญ่
เค้ายอมถูกเพื่อนด่า เพราะแอบมาดูแลผมแม้ไม่ใช่หน้าที่ จากวันนั้น...เราก็คบกันเรื่อยมา

ที่บ้านผมรู้ดี ไม่มีปัญหา...
แต่ผมกลับไม่เคยไปบ้านเค้า รู้แต่ว่า คุณหญิงแม่กับท่านพ่อออกงานตลอด เลยไม่ว่างให้เข้าพบ

จนมาวันนึง ผมดันไปได้ยินเค้าคุยโทรศัพท์กับที่บ้าน อ้อนวอน ขอผัดผ่อนเรื่องงานแต่งไปหลังจบโท...
เค้าเป็นลูกชายคนเดียว จะมีใครอื่นที่ต้องแต่งอีกล่ะ...ถ้าไม่ใช่เค้า

ก่อนหน้าคบผม เค้าเคยคบผู้หญิงมาหลายคน  ลึกๆผมเลยกลัวมาตลอดว่า ซักวัน...เค้าอาจเปลี่ยนใจ...
พอรู้ว่าเค้าจงใจปิดเรื่องแต่งงาน  ผมเลยแอบหนีเค้ากลับบ้านโดยไม่บอกกล่าว

ผมเจ็บปวดที่เค้าไม่ชัดเจน ไม่พูดความจริง ปิดบังทั้งเรื่องแต่งงาน และเรื่องคบผมกับที่บ้าน...
เสียใจเพราะหวั่นใจ กลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
ผมเสียใจจนไม่เป็นผู้เป็นคน ข้าวปลาไม่กิน ไม่หลับไม่นอน จนที่บ้านต้องจับไปนอนโรงพยาบาล

เพราะผมอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก ทุกคนในครอบครัวจึงรัก และถนอมผมเหมือนไข่ในหิน
พ่อแม่ผมไม่อยากให้ต้องมาเจอดราม่าแม่ผัวลูกสะใภ้  ไม่อยากให้ลูกต้องกลายเป็นตัวเลือกของใคร...
ท่านเลยส่งผมไปเรียนต่ออเมริกาพร้อมน้องสาว  บอกว่าให้ไปช่วยดูน้อง และไม่ต้องกลับมา ถ้ายังทำใจไม่ได้
เราเลิกกันโดยไม่มีคำบอกลา ไม่มีการเจอหน้ากันเป็นครั้งสุดท้าย

เพื่อนผมส่งข่าวมาว่า หลังจากผมไม่อยู่เมืองไทยไม่กี่เดือน เค้าก็ถูกบังคับให้แต่งงานกับลูกหลานตระกูลเก่าแก่พอๆกัน
ข่าวนั้น ช่วยให้ผมทำใจประคองตัวเองจนเรียนจบตรีอีกใบ ก่อนต่อโทพร้อมน้องที่โน่น”


เป็นครั้งแรกที่ผมพูดอะไรยาวๆให้เผ่าฟัง
แต่เพราะท่าทางตั้งใจของเผ่านี่แหละ ที่ทำให้เผลอเล่ารายละเอียดเยอะกว่าที่ตั้งใจเอาไว้แต่ต้น


“งี้ก็ถ่านไฟเก่าซิคุณ?”

“เค้าบอกว่าเค้าจะเลิกกับภรรยา กลับมาหาผม... เค้าแค่อยากให้ผมยืนยันความรู้สึกว่ายังเหมือนเดิมรึเปล่า”

“พอเค้าบอกอย่างงั้น คุณก็จะกลับไปหาเค้าง่ายๆงั้นซิ?”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน  ผมไม่อยากทำผิด แต่เค้าบอกว่า เค้ากับภรรยาแต่งกันด้วยเงื่อนไข...ถ้าผมเต็มใจกลับไปหาเค้า ภรรยาเค้าจะยอมหย่าให้ ไม่ติดใจเอาเรื่อง”

“แต่คนจะมองคุณไม่ดี” หางเสียงฟังคล้ายกับหงุดหงิด... เผ่าจะอินไปไหน?

ผมเยาะตัวเอง “หึ! ใครจะมองเกย์ว่าดีล่ะคุณ  ยิ่งเกย์มือที่สามยิ่งแล้วใหญ่...
แต่สองสามวันมานี่ ผมก็มาคิดๆนะ ในเมื่อผมไม่ได้ทำผิดกับใคร...คนอื่นจะมองยังไงก็ช่าง ขอแค่ให้ผมมีความสุขก็พอ”

“เท่าที่ฟัง...คุณคงตัดสินใจได้แล้วล่ะ  ยินดีกับความรักครั้งนี้ด้วยนะ” หน้าคนพูดในเวลานี้ดูฝืนๆ ยิ้มไปไม่ถึงตา


ผมอดเอ็นดูเผ่าขึ้นมาไม่ได้
เห็นหน้าก็รู้เลยล่ะว่า อีกฝ่ายกำลังซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้อย่างหนัก... รู้ว่าทรมาน รู้ว่าไม่พอใจ
แต่ทำไมผมกลับชอบท่าทางกล้ำกลืนของเผ่าตอนนี้มากก็ไม่รู้
วันนี้ ขอแกล้งคนปากไม่ดีหน่อยเป็นไร... ทีใครทีมันนะเผ่า หึ หึ


“พวงกุญแจที่ถามถึงน่ะ...เคยเป็นของผม
วันที่ผมหนีมา ผมไม่ได้เอาอะไรติดมือมาด้วยเลย...กุญแจคอนโดเค้า ผมก็ไม่ได้เอามา เพิ่งได้คืนเมื่อเย็นนี้เอง”

“อืม ถึงได้ว่า...ดูเก่าๆนะ ไม่คิดจะโละแล้วหาใหม่เหรอ?”

 ‘ยุให้โละอะไร?...คน หรือ พวงกุญแจ


ผมส่ายหัวให้กับความคิดของตัวเอง และข้อความกำกวมของอีกฝ่าย
ไม่ใช่ไม่รู้นะว่าเผ่าคิดอะไร แต่ไม่อยากให้ความหวัง


“หึ หึ...ไม่ล่ะ ของบางอย่าง ยิ่งเก่า...ยิ่งมีคุณค่านะ...
.
...ไหนๆก็เป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาอยู่แล้ว งั้นผมถามหน่อยเถอะ...คุณว่าผมผิดไม๊ ที่ผมทำแบบนี้?  ตอบตรงๆเลยนะ”

“ถ้าในสายตาคนนอกที่ไม่รู้เรื่องในอดีตของคุณเลย บอกได้ทันทีว่าผิด เพราะคุณอ้าแขนรอรับตำแหน่งชู้แบบหน้าชื่น...
.
...แต่พอรู้เรื่องทั้งหมด ผมตัดสินไม่ได้หรอกว่าที่คุณจะทำ มันผิดไม๊...
...เพราะผมเข้าใจ คุณไม่ได้เลิกกับเค้า...
.
.
...คุณแค่หยุดความรู้สึกของคุณเอาไว้เมื่อตอนก่อนไปเรียนเมืองนอก ไม่ได้บอกเลิกกันให้เป็นเรื่องเป็นราว...
...พอกลับมาเจอหน้า กลับมาอยู่ใกล้ๆ...ความรู้สึกที่หลงลืมไป มันเลยกลับมา”


การที่มีใครสักคนเข้าใจ มันดีอย่างนี้นี่เอง...
รู้สึกเหมือนเผ่าเข้ามานั่งตรงกลางใจ แล้วบอกสิ่งที่ผมรู้สึกอยู่ข้างในออกมาเป็นคำพูด

เรื่องของผมกับพี่ธีร์มันไม่ได้จบ มันแค่หยุดไปเฉยๆ  และมันกำลังจะกลับมา...
...ผมจะลองเดิมพันกับพี่ธีร์อีกสักครั้ง ถ้าทุกอย่างที่พี่ธีร์บอกเป็นความจริง ผมจะมอบทั้งชีวิตต่อจากนี้เอาไว้ในมือ เขา


“คุณนี่เป็นคนดีกว่าที่ผมคิดเอาไว้เยอะเลยนะ” ผมชมอีกฝ่ายจากใจ... คนเราตัดสินกันจากภายนอกไม่ได้จริงๆ

“ก็งี้แหละคุณ คนหน้าตาดีส่วนใหญ่...ก็นิสัยดีกันทั้งนั้น” เผ่าจ้องผมนิ่งๆ จนผมต้องเสหลบตา

ท่าไม่ดี... โดนจ้องแค่นี้ ผมยังเกือบหยุดหายใจ ผมจึงรีบลุกขึ้น แล้วบอกลาเพื่อนคนใหม่ 
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ผมกลับเลยดีกว่า ขอบคุณมากที่รับฟัง และเข้าใจ...
.
...เจอกันพรุ่งนี้นะเผ่า”

“กลับดีๆนะครับ เจอกันพรุ่งนี้ครับชิ” 


๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



“ฮัลโหล”

(ไงครับคนดีของพี่ เมื่อคืนหลับสบายดีไม๊เอ่ย?)

“ครับ”

(เมื่อคืนพี่ฝันดีนะ...ฝันว่าอชิบอกว่ารักพี่  ไม่รู้ว่าความฝันเมื่อคืน...จะเป็นจริงรึเปล่าน้ออออ)

“ไม่รู้ซิครับ”

(หึ หึ...อยู่ไหนแล้วครับ?)

“ที่ทำงานครับ”

(งั้นรอพี่แป๊บนะครับ เดี๋ยวพี่ไปถึงแล้ว เราลงไปดื่มกาแฟกัน.....คิดถึงอชิจังครับ)

“ผมวางแล้วนะ”

(อ๊ะ อ๊ะ...เดี๋ยวครับ พี่ยังไม่ให้วาง  บอกพี่มาก่อน...ว่าอชิก็คิดถึงพี่เหมือนกัน)

“ฮื่ออออออ... คิดถึงเหมือนกัน”

(หึ หึ หึ... ครับ ไม่เกินยี่สิบนาที พี่จะเอาหน้าหล่อๆไปให้อชิเห็นเป็นคนแรกเลย)

“ครับ ขับรถดีๆนะ”

(ครับผม...สุดที่รัก!)


ผมยิ้มจนปวดแก้มระหว่างนั่งเช็คอีเมลเข้าใหม่ ในใจก็นับถอยหลังรอเวลาที่ เขาจะมาถึง
นี่เราไม่ได้กินข้าวเช้าด้วยกันมานานเท่าไร? 
คิดถึงแพนเค้กฝีมือของ เขาจัง...
ยิ่งตอนที่ได้กินบนเตียงตอนนั่งดูการ์ตูนตอนเช้าวันเสาร์อาทิตย์ด้วยนะ  สุขสุดๆไปเลย
ผมนั่งฝันถึงภาพอดีตของเรา จนไม่เป็นอันอ่านเนื้อความอีเมลที่กดเปิดค้างตรงหน้าจอ


“พี่ชิครับ...โทษทีพี่ คือ พี่มีเบอร์มือถือของพี่ธีร์ไม๊ครับ?”

“พี่มี...ทำไมเหรอคีย์?” เห็นท่ารุ่นน้องที่เริ่มงานพร้อมผมดูลุกลี้ลุกลน ผมเลยต้องคว้ากระดาษโน้ต ปากกา แล้วกดดูเบอร์พี่ธีร์ในโทรศัพท์ไปพร้อมๆกัน

“พอดีเมื่อกี๊เมียพี่ธีร์โทรเช้าออฟฟิศเพราะติดต่อเฮียแกไม่ได้ บอกว่าลูกอาการไม่ดี อยากให้เฮียรีบตามไปโรงบาลน่ะครับ ผมก็ดันไม่มีเบอร์เฮีย เลยมาลองถามพี่นี่แหละ”


ลูกเหรอ?...
.
.
...พี่ธีร์มีลูกแล้วเหรอ?


ผมรู้สึกเหมือนโดนอะไรหนักๆกระแทกหน้า
โกรธจนหูอื้อ เจ็บจนใจสะท้าน เสียใจจนร้อนขอบตา อยากจะกรีดร้อง ก็ดันร้องไม่ออก...

ความรู้สึกเมื่อหกปีก่อนมันกลับมาย้อนทำร้ายผมอีกครั้ง...
ผิดแต่ว่า สาหัสกว่า...

คราวที่แล้วแค่แอบได้ยินว่าเขาต้องแต่งงาน
แต่คราวนี้...ต้องมารู้จากปากคนอื่นว่า เขามีลูกแล้ว

ความรู้สึกหนักอึ้งในอกนี่คงไม่ใช่แค่เสียใจ... มันคงเป็นความสมเพชตัวเองอย่างที่สุด
ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไร...ก็ยังตัดใจจาก เขาไม่ได้เสียที ทั้งๆที่เป็นคนๆเดียว ที่ทำให้ผมเจ็บได้ด้วยเรื่องเดิมๆอยู่เสมอ





ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร นับตั้งแต่รู้ความจริงที่ เขาเฝ้าเก็บงำ
รู้อีกที ก็มานั่งอยู่ตรงหน้าบาร์ที่ผมคุ้นตา ในเวลาที่ร้านไม่มีใคร
นอกจากผม...กับเผ่า


“ผมพาชิมาที่นี่ เพราะไม่อยากให้ชิต้องอยู่คนเดียว...
ไม่ต้องห่วงงาน วันนี้เราออกมาหาลูกค้า ไม่ต้องรีบกลับเข้าออฟฟิศแล้วล่ะ
ส่วนร้านนี้ นั่งนานๆได้ ไม่ต้องเกรงใจ...ร้านลูกพี่ลูกน้องผมเอง จะเข้าจะออกเมื่อไหร่ก็ได้...
.
.
...ดื่มน้ำซะหน่อยนะชิ ร้องไห้จนตัวเซียวหมดแล้ว?”

 “...ร้องไห้?....” ต้องเอามือลูบแก้มนั่นแหละ ถึงรู้สึกถึงคราบน้ำตาชื้นแฉะ

“แต่ก็ดีนะที่ดูเหมือนจะรู้ตัว ไม่เผลอร้องตอนอยู่หน้าลูกค้า ไม่งั้นคงวงแตก”

“เผ่า... รู้ใช่ไม๊ว่าเค้ามีลูกแล้ว? ทำไมไม่บอกผม?”

“รู้...ตอนพี่แก้มคลอด ก็แห่ไปรับขวัญหลานกันทั้งแผนก  แต่มันไม่ใช่เรื่องที่คนนอกอย่างเผ่าจะพูดอะไรได้”


ยังไม่ทันที่ผมหรือเผ่าจะได้พูดอะไรต่อ มือถือผมก็ร้องเตือนว่ามีข้อความเข้า...
ข้อความจาก เขา

 อชิครับ พี่ขอโทษ อย่าหนีพี่ไปไหนอีกเลยนะ...
อย่าทำร้ายหัวใจตัวเอง อย่าทำร้ายหัวใจพี่
คืนนี้มาหาพี่ที่ห้องของเรานะครับ...
พี่มีคำอธิบายให้กับเรื่องทั้งหมด


พอเงยหน้าจากมือถือ ก็เห็นดวงตาคมฉายแววห่วงใยจ้องมองผมไม่วาง 
เผ่าคงจับความรู้สึกบางอย่างได้ เลยถามผมตรงๆ  “เขาใช่ไม๊?... ชิจะเอาไงต่อ?”

ผมพยักหน้า พลางตอบเสียงเลื่อนลอย “พอรู้เรื่องลูกของเค้า ผมก็เริ่มจะสับสนว่า ความรู้สึกดีๆที่วูบวาบอยู่ในใจผมสองสามวันมานี่  คืออะไรกันแน่...รัก...ผูกพัน  หรือ แค่ผมโหยหาความสุข ความทรงจำในอดีต...
.
.
...เค้าขอให้ผมไปเจอเค้าคืนนี้...
...บอกตรงๆ ผมหวั่นไหว...
...เพราะทั้งผมและเค้า ต่างก็รู้ว่า...ผมยอมให้เค้าได้ทุกครั้ง ทุกเรื่อง ไม่ว่าเค้าจะทำผิดขนาดไหน...
.
...เผ่า...ผมกลัว... 
...ผมกลัวว่าผมจะยอมทำในสิ่งไม่ถูกต้อง เพราะทนคำขอร้องของเค้าไม่ได้...
...ผมไม่อยากทำลายครอบครัวคนอื่น  ผมไม่อยากทำลายอนาคตของเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่”

“นี่ไงล่ะชิ! ข้อสรุปของชิน่ะ...
.
...ชิก็แค่แข็งใจ แล้วไปบอกเลิกเค้า เรื่องที่ชิไม่อยากให้เกิด ก็จะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก”

ผมส่ายหัว “แต่มันจะไม่เท่ากับว่าผมหนีใจตัวเองเหรอ?...
...ผมไม่ได้กำลังวิ่งหนีอุปสรรคทางความรัก ด้วยการเลือกทางที่ง่ายกว่าอีกครั้งหรอกเหรอ?...
.
...เค้าบอกผมว่า ที่เค้าต้องแต่งงาน เพราะเค้าไม่มีผมยืนเคียงข้างในตอนที่คิดจะต่อสู้กับครอบครัว...
...พอผมไม่อยู่ เค้าก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะคัดค้านความต้องการของคุณหญิงแม่อีกต่อไป  ไม่มีผม...ใครจะจับเค้าไปตั้งเอาไว้ตรงไหนก็ได้ เพราะเค้าไม่เหลือหัวใจให้เจ็บอีกแล้ว”

“น้ำเน่าว่ะ”

“แต่บางคนก็ชอบฟังคำน้ำเน่ามากกว่าเสียงเห่านะ”

“งั้นเผ่าไม่เห่าแล้ว... ขอแค่ชิเลือกโละพวงกุญแจเก่าๆนั่น เผ่าสัญญาว่าจะไม่เห่าอีกเลย”

“เผ่า... ชิเป็นคนใจอ่อน...
.
...ชิบอกไม่ได้หรอกนะ ว่าถ้าชิเจอหน้าเค้า...ชิจะเข้มแข็งพอไม๊ ชิอาจจะยอมเค้าเพราะเสียงเรียกร้องของหัวใจก็ได้...
...เผ่าอย่าเพิ่งคิดไปไกลเลยนะ”

“ไม่รู้ล่ะ เอาเป็นว่า คืนนี้เผ่าจะนั่งรอชิอยู่ที่นี่จนกว่าร้านจะปิด...
.
...ถ้าชิไม่กลับมา เผ่าจะตัดใจ ยอมเป็นเพื่อนร่วมงานปากหมาของชิเหมือนเดิม...
...แต่ถ้าชิเลือกหนทางที่ถูกต้อง เลือกกลับมาหาเผ่า...เผ่าจะสรรหาคำน้ำเน่ามาบอกชิทุกวันเลยนะ”

“หึ หึ...ชิไปก่อนจะดีกว่า...
อยากกลับไปนั่งคิดอะไรเงียบๆคนเดียวซักหน่อย เผื่อจะได้คำตอบ...
...ขอบคุณนะเผ่า ถ้าไม่ได้เผ่าช่วยเอาไว้...วันนี้ชิต้องแย่แน่ๆ”

“เอาไว้กลับมาขอบคุณเผ่าคืนนี้ดีกว่า...ฟังตอนนั้น คงชื่นใจกว่าเยอะ”


ผมส่ายหัวให้คนดื้อดึง แล้วเดินหันหลังจากมา ทั้งที่รู้ว่า สายตาคมคู่นั้น ยังจ้องตรงมาที่ผมไม่เลิกรา
ผมสะบัดไล่ความคิดเรื่องเผ่าออกไปจากหัว ลำพังเรื่องของ เขาก็ทำเอาผมหนักใจพออยู่แล้ว
ผมควรต้องเลือกอะไร ระหว่างความถูกต้อง หรือ ความถูกใจ...

จะมีไหม ที่ความถูกต้อง และ ถูกใจจะมาพร้อมๆกันในตัวเลือกเดียว...
เอ๊ะ...หรือผมแกล้งทำเป็นลืมอะไรไป?



๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑๔๑



ขอบคุณเนื้อเพลง:


จาก http://lyrics.cm


จาก http://music.gmember.com


มาแหล่ว มาแล้ว!! คิดถึงคนอ่านหลายๆ
เป็นยังไงกันบ้างคะ? สบายดีไม๊เอ่ย?? ขอเสียงโหน่ยยยยยย!!
ฝากเรื่องสั้นขนาดยาวทั้งแปดเรื่องนี้เอาไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ...
ถ้าว่างๆ อย่าลืมเข้ามาทักทายเค้ามั่งนะ... เวลาเข้ากระทู้นิยายตัวเองเพียงลำพังมันเหงาใจจุง T^T

ขอให้อ่านอย่างมีความสุขค่ะ...
สุขสันต์วันแห่งความรักล่วงหน้านะคะ
เจอกันอาทิตย์หน้านะคะ... รอบนี้ไม่อยากเครียดกับตัวเองมาก เลยจะค่อยๆเขียน ค่อยๆเอานิยายมาลง
รักคนอ่านทุกท่านค่ะ ^_^


No comments:

Post a Comment