วุ้ย ๆ
มาถึงคู่ที่เรากรีดร้องเวลาเขียนถึงแล้วค่ะ
มาตามอ่านความแซ่บของพี่พลายน้องพลุกันนะคะ
รับรอง... เด็ด!
รักชอบประการใด...
ฝากข้อความแทนใจเอาไว้ได้เลยค่ะ ^^
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 39th
Bonding
ศีลธรรมหรือจะค้ำคอ?!
Introduction to our forbidden relationship
“ไอ้เหี้ยพรินซ์!
มึง!” ยังไม่ทันที่เสียงตะโกนจะเดินทางผ่านอากาศเข้าสู่โสตประสาทของผู้ฟัง
ร่างกายกำยำของเด็กหนุ่มวัยฉกรรจ์ก็พุ่งเข้าใส่เจ้าของชื่อที่เดินหันหลังให้โดยไม่รั้งรอ
.
.
.
.
“ฮัลโหล...
อาฌาน นี่พลุนะครับ อาฌานช่วยมาเป็นผู้ปกครองให้พลายหน่อยได้ไหมครับ?!” ถ้อยคำผ่านน้ำเสียงละล่ำละลักฟังร้อนรนของฝาแฝดลำดับที่สองทำให้คนปลายสายจำต้องไหว้วานตากล้องรุ่นพี่ให้ช่วยรับงานช่วงสายวันนี้ไปทำอย่างไม่มีทางเลือก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้น
แต่ในฐานะอาของเด็กหนุ่มทั้งสาม เขาควรทำอะไรสักอย่างเพื่อปิดฉากวีรกรรมความห้าวหาญในทางที่ผิดของทายาทคุณะประสิฒธิ์คนโตท้ายเสียที
“ถ้าพี่พลายยังเลือดร้อน
วู่วาม ไม่มีเหตุผล อาคงต้องบอกเรื่องนี้กับป๋าจริง ๆ แล้วนะ” ฌานเปิดฉากต่อรองกับหลานชายคนโตทันทีที่พวกเขาทั้งคู่เดินลงจากห้องปกครองหลังโดนอาจารย์แม่สวดยับไปเกือบชั่วโมง
โชคยังดีที่หัวหน้าฝ่ายปกครองผู้นี้มีอาการภูมิแพ้ต่อชายหนุ่มภูมิฐานที่หน้าตาหล่อเหลาเข้าขั้นพระเอกหนังเป็นทุน
กอปรกับการที่พลายเป็นตัวแทนโรงเรียนไปคว้ารางวัลต่าง ๆ มาแล้วมากมาย อดีตเด็กเต็กจึงแค่ต้องทนนั่งฟังเสียงบ่นหงุงหงิงเกี่ยวกับพฤติกรรมก้าวร้าวผิดกับประวัติอันดีงามของปภพจนกว่าเจ้าหล่อนจะพอใจเท่านั้น
“แต่ไอ้พรินซ์มันมาวอแวพลับก่อนนะอาฌาน!
ไหนอาฌานบอกให้พี่พลายคอยดูแลพลับแทนอาฌานเวลาอยู่โรงเรียนไง?!” แค่ผู้เป็นอาพาดพิงถึงบิดาเพียงเล็กน้อย เด็กหนุ่มก็ตวัดสายตาขึ้นมองคนโตกว่าอย่างฉุนเฉียวพลางเถียงทันควัน
“จริงเหรอตัวเล็ก?”
เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะบอดี้การ์ดที่ตนแต่งตั้งให้ช่วยดูแลคนรักแทนอย่างพลาย
ตากล้องหนุ่มจึงหันไปขอความเห็นที่สาม
ฝาแฝดคนเล็กที่ถูกไต่ถามอดสะอึกในใจไม่ได้
ทว่าเมื่อเห็นสายตาเว้าวอนของพี่ชายคนโต พลับก็ยอมรับสมอ้างแม้จะไม่เต็มใจนัก “ก็...
อืม”
“เฮ่อ!” ชายหนุ่มทอดถอนใจด้วยจนคำพูด
เพราะเมื่อใคร่ครวญดีแล้ว ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
เกิดจากการที่หลานชายคนโตมุ่งมั่นกับการทำหน้าที่ไม่กันหมาอย่างเคร่งครัดจนเกินไป
แต่ครั้นเขาจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่ว่ากล่าวตักเตือน อาอย่างเขานั่นแหละที่อาจกลายเป็นคนยุยงส่งเสริมให้เด็กหนุ่มกลายเป็นพวกนักเลงหัวไม้ไปในท้ายที่สุด
“แต่อาว่า
การแก้ปัญหาด้วยกำลังมันจะทำให้เรื่องทั้งหมดยิ่งแย่ไปกันใหญ่นะพี่พลาย...
นี่ถ้าพี่พลายไม่มีอา ป่านนี้พวกป๋า ๆ
คงไม่สบายใจที่รู้ว่าลูกชายต่อยเพื่อนจนคิ้วแตกต้องเย็บทีเป็นสิบ ๆ เข็มน่ะ”
“เฮอะ! สิบกว่าเข็มยังน้อยไป! ใครใช้ให้ไอ้พรินซ์มายุ่งกับคนมีเจ้าของก่อนล่ะ!” ปภพสวนกลับด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
ท่าทางกระด้างกระเดื่องของพี่ชายทำให้ฝาแฝดคนกลางที่นิ่งเงียบมาตั้งแต่เกิดเรื่องยอมส่งเสียงเป็นครั้งแรก
“ใหญ่!”
“จิ๊!!” เสียงฮึดฮัดในลำคอทำให้พลุถลึงตาใส่พี่ชายเพื่อปรามให้หยุดก้าวร้าวคุณอา
ทว่าท่าทางถือดีของพลายกลับทำให้ผู้ใหญ่เพียงคนเดียวใช้โควต้าถอนหายใจล่วงหน้าหมดไปหลายปี
“ดีเท่าไรแล้วที่ทางนั้นไม่เอาเรื่อง
ไม่อย่างนั้น ลำพังอาคงจะช่วยรับหน้าผู้ปกครองแทนพวกป๋าไม่ได้หรอกนะ” นับว่าโชคยังเข้าข้างเด็กหนุ่ม
เพราะแม้พลายจะเป็นฝ่ายออกอาวุธก่อน แต่กลับมีพยานเป็นักเรียนชั้นอื่น ๆ ที่ช่วยยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า
การที่ปภพหน้ามืดถือว่ายังน้อย เนื่องจากคู่กรณีมักจะหาเรื่องด่าทอยั่วยุฝาแฝดคนโตอยู่บ่อย
ๆ จนเป็นที่โจษจัน นั่นจึงทำให้ผลของการทะเลาะวิวาทครั้งนี้เป็นความผิดร่วมกันของทั้งสองฝ่าย
“อาฌานพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ดีแล้ว...
อาฌานอย่าบอกป๋านะครับว่าพี่พลายขึ้นห้องปกครอง นะอาฌานนะ”
จะผิดไหมหากสีหน้าอ้อนวอนของปภพทำให้ฌานรู้สึกชอบใจราวกับกำลังได้เอาคืนพ่อตาหน้าคมอยู่อย่างไรอย่างนั้น
แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่ตากล้องหนุ่มจะมัวเทำตัวไร้สาระได้ “งั้นพี่พลายก็ต้องสัญญากับอามาก่อน
ว่าต่อจากนี้ พี่พลายจะไม่ลงมือลงไม้กับใครอีก”
“ถึงแม้ไอ้คนนั้นมันจะมาเกาะแกะคนของอาจนน่ารำคาญน่ะเหรอครับ?”
คำถามของหลานชายคนโตทำเอาผู้เป็นอาถึงกับจุก
ชายหนุ่มกวาดตามองเสี้ยวหน้าของคนรักด้วยสายตาห่วงใย ทว่าการจะเป็นผู้ปกครองและแบบอย่างที่ดี
กลับทำให้ฌานจำเป็นต้องพูดจาตรงข้ามกับความต้องการของหัวใจ “ครับ ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นใคร
หรือมีเจตนาอะไร พี่พลายก็ไม่มีสิทธิไปทำร้ายเขา... พวกเราเข้าใจตรงกันแล้วนะ?”
“หึ! ถ้าอาฌานไม่บอกป๋า พี่พลายจะยอมเข้าใจตามนั้นก็ได้”
ปภพกอดอกพลางเอ่ยเสียงฉิว
แม้คนโตกว่าจะไม่ค่อยพอใจกับปฏิกิริยาของหลานชายคนโตเท่าใดนัก หากแต่เข็มนาฬิกาบนหน้าปัดตรงข้อมือกลับเร่งเร้าให้ฌานเอ่ยคำลากับเด็ก
ๆ ชั่วคราว
“เฮ่อ!
งั้นอากลับไปทำงานก่อนนะ”
ชายหนุ่มยีหัวหลานชายคนโตพลางประสานสายตากับอีกฝ่ายพร้อมสั่งความด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ตั้งใจเรียนล่ะ เดี๋ยวเย็นนี้เจอกัน” เมื่อเห็นเด็กหนุ่มพยักหน้ารับทราบ
ฌานก็คลี่ยิ้มอำลาส่งให้หลานชายคนกลางก่อนจะออกเดินเคียงข้างคนรักไปยังลานจอดรถ
“ตัวเล็ก
เดี๋ยวเย็นนี้ฌานมารับนะครับ” หลังจากหย่อนตัวลงบนเบาะหลังพวกมาลัยเป็นที่เรียบร้อย
ตากล้องหนุ่มจึงกดกระจกลงเพื่อกำชับกำชาอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอาลัยอาวรณ์
“ครับ...
ตั้งใจทำงานนะ แล้วตอนเย็นเจอกัน” ปวรระบายยิ้มหวานหยดตอบแทนคนขับที่อุตส่าห์โดดงานมาเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องแท้
ๆ
“เดี๋ยวฌานไลน์หานะครับ”
เด็กมอห้าอมยิ้มแล้วจึงพยักหน้ารับพลางเฝ้ามองตามแผ่นหลังของคนขับค่อย ๆ
ลับตาหายไปอย่างช้า ๆ
“พี่พลายนะพี่พลาย! ตัวเองมีเรื่องเองแล้วยังมีหน้ามาโบ้ยคนอื่นอีก!” ฝาแฝดคนสุดท้องเอ็ดพี่ชายคนโตอย่างไม่ไว้หน้าทันทีที่เดินกลับมาเข้ากลุ่ม...
อีกฝ่ายต้องถือดีเบอร์ไหนนะถึงได้กล้าลากเขาติดร่างแหไปด้วยทั้ง ๆ
ที่เรื่องทั้งหมดเกิดจากความไม่พอใจของเจ้าตัวแท้ ๆ?!
“เอาน่า...
เรื่องมันแล้วไปแล้ว” ปภพลอยหน้าลอยตาตอบอย่างไม่รู้สำนึก
และนั่นทำให้ผู้เป็นน้องชายฟิวส์ขาด
“ฮึ่ย!” พลับส่ายหัวพลางกระทืบเท้าเดินดุ่ม ๆ
จากไปทันทีคล้ายไม่อาจทนเห็นหน้าพี่ชายได้อีกต่อไป เดือดร้อนฝาแฝดคนกลางต้องใช้อิทธิพลมืดเข้าปราบปราม
“ใหญ่!” พลุใช้ข้อศอกถองชายโครงของพี่คนโตพลางบุ้ยใบ้ให้ผู้กระทำความผิดรีบไปปรับความเข้าใจกับฝาแฝดคนสุดท้องโดยพลัน
และเพราะเป็นบัญชาจากคนหน้าเหมือนกัน พลายจึงต้องยอมทำตามความต้องการของทายาทเบอร์สองอย่างเสียไม่ได้
“เล็ก...
ขอบใจน้าที่ยอมช่วยใหญ่” ปภพวิ่งไปกอดคอน้องชายคนเล็กพลางยกยิ้มมุมปาก
ด้วยเพราะรู้จักนิสัยใจคอกันเป็นอย่างดี
พลับก็รู้ได้ทันทีว่าประโยคเมื่อครู่นี้ หาได้กลั่นออกจากหัวใจของผู้พูดไม่ “ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลย!
งานนี้พลับไม่ใจอ่อนยกโทษให้พี่พลายง่าย
ๆ หรอก!”
ว่าแล้ว ฝาแฝดคนสุดท้องก็เดินย้อนกลับไปคว้าข้อมือพี่ชายคนรองแล้วเปรยลอย ๆ ก่อนออกจ้ำไปโดยไม่เหลียวหลัง
“กลับขึ้นไปเรียนกันเถอะกลาง!”
“หึ หึ หึ” ทายาทเบอร์หนึ่งหัวเราะอย่างสาสมใจเมื่อยั่วให้น้องชายคนสุดท้องหัวเสียได้อีกครั้ง
เมื่อเห็นฝาแฝดอีกสองคนเริ่มทิ้งระยะห่าง
เด็กมอห้าสุดฮ็อตของโรงเรียนก็ออกวิ่งเหยาะ ๆ ตามหลังน้อง ๆ ไปโดยไม่ยอมละสายตาจากคนหน้าเหมือนกันที่โดนจับจูงเลยสักวินาที
“ฮื่อใหญ่...
กินเสร็จแล้วใครให้นอนเลย?! ลุก! ลุกขึ้นมานั่งดี
ๆ ก่อน!” พลุทักท้วงพลางพยายามยื้อยุดฉุดหัวไหล่ของคนที่เพิ่งทิ้งตัวนอนหนุนตักตนไปหมาด
ๆ ให้ทำตามคำบอกโดยเร็ว แต่เพราะไม่เคยมีใครขัดใจปภพได้
ประโยคดังกล่าวจึงกลายเป็นเพียงลมปากที่ลอยพัดผ่านไปเท่านั้น
“ไม่เอา ใหญ่ปวดตรงนี้อ่ะกลาง...
กลางนวดให้ใหญ่หน่อยดิ” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวคว้าฝ่ามือฝาแฝดคนรองไปวางทาบลงบนต้นแขนของตัวเองพลางชี้พิกัด
“เฮ่อ!
พลับไปอ่านหนังสือก่อนดีกว่า”
จริงอยู่ที่แม้ว่าภายในห้องเรียนจะว่างเปล่า ไม่มีใครอื่น แต่การต้องทนดูพี่ชายสองคนพลอดรักกันต่อหน้าต่อตากลับไม่ใช่เรื่องน่าปรารถนาของทายาทหมายเลขสามของบ้านสักเท่าไร
“เดี๋ยวเล็ก!
รอด้วย!” พลุกวักมือเรียกน้องด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย จุด
ๆ หากจะบอกว่ากระดากอาย เด็กหนุ่มก็พูดไม่ได้เต็มปาก
ครั้นจะหักหาญความรู้สึกของพี่ชายคนโตแล้วลุกตามพลับไป
เขาก็ไม่อยากทำให้คนเอาแต่ใจอาละวาด ที่สำคัญ ลึก ๆ แล้ว ปพนเองก็ชอบใจกับการได้ใกล้ชิดกับพลายเช่นกัน
ปวรปรายตามองแฝดพี่ที่นอนยิ้มกริ่มอย่างไม่รู้สึกรู้สาแล้วก็รู้สึกเหนื่อยหน่าย
เพราะสำหรับคนที่เห็นวีรกรรมของพี่พลายมานักต่อนักอย่างเขา
การเฝ้ารอให้พี่ชายคนโตตักตวงความสุขจากปพนจนสาสมใจจึงถือเป็นการใช้เวลาอย่างเปล่าดายสิ้นดี “ไว้กลางนวดให้พี่พลายเสร็จเมื่อไรค่อยตามไปก็ได้”
สิ้นคำ ทายาทคนที่สามก็หมุนตัวเดินจากไปนั่งทบทวนตำรับตำราที่โต๊ะของตัวเองทันที
“กลาง... นวด
ๆ ” ปภพเอ่ยอย่างสบายอกสบายใจเมื่อกำจัดน้องในไส้ได้สำเร็จ ในที่สุดเขาก็ได้อยู่กับฝาแฝดคนรองแบบสองต่อสองเสียที
.
.
.
.
.
.
.
“ใหญ่... ใหญ่ทำแบบนั้นไม่เกินไปหน่อยเหรอ?”
เจ้าของประโยคถามขึ้นหลังจากนวดเฟ้นต้นแขนของพี่ชายคนโตไปได้สักพัก
“หรือกลางชอบให้ไอ้พรินซ์มันมายุ่มย่าม?”
หางเสียงตวัดกับสายตาคมที่แข็งกร้าววาวโรจน์ในชั่วพริบตาทำเอาคนหน้าเหมือนกันหวั่นใจ
“...เปล่า...”
“ชอบมันหรือไง?!” พลายคาดคั้นพลางส่งสายตากดดันอย่างหนักหน่วงเมื่อเห็นฝาแฝดอึกอักคล้ายสองจิตสองใจ
“เปล่า!”
“ถ้าไม่ชอบแล้วจะสนใจทำไม?!”
ฝาแฝดคนโตยังคงหัวร้อนด้วยอยากแน่ใจว่าน้องชายไม่คิดจะปันใจไปให้คนอื่น
“ไม่ได้สนใจ
แต่เพราะเป็นห่วงใหญ่ต่างหาก กลางถึงต้องพูด!”
เมื่อมองทะลุแววตาเกรี้ยวกราดพลุก็รับรู้ได้ว่า
สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในลูกแก้วงดงามสุกใสคู่นั้น ซับซ้อนและอ่อนไหวเกินกว่าความรู้สึกห่วงหาอาทรตามประสาพี่น้องทั่ว
ๆ ไปควรมีให้กัน... และก็เหมือนกับทุกทีที่สายตาร้อนแรงซึ่งแสดงออกถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของตัวเขาอย่างเปิดเผยที่ฉายชัดอยู่บนดวงหน้าหล่อเหลาราวเทพประธาน
สามารถสยบทายาทคนรองให้ยอมสิโรราบแทบเท้าอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
“ใหญ่... ใหญ่ไม่กลัวโดนป๋าดุเอาเหรอ?”
ปพนเปลี่ยนท่าทีเป็นเอาน้ำเย็นเข้าลูบเพราะไม่อยากกวนน้ำให้ขุ่น
“ป๋าไม่มีทางดุใหญ่ถ้าป๋ารู้เหตุผลว่าทำไมใหญ่ถึงแบบนั้น!” แม้พลายจะยังคงตั้งแง่อย่างไม่ไหวเอน แต่ครั้งนี้
เห็นทีว่าพลุคงจะยอมอ่อนข้อให้ไม่ได้
“แต่ใหญ่ทำร้ายคนอื่นนะ”
พลุติติงด้วยเหตุด้วยผล ที่ทายาทหมายเลขสองต้องหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาถกกับอีกฝ่ายไม่รู้จักจบสิ้น
เป็นเพราะเขาทนไม่ได้หากต้องเห็นปภพโดนทำร้ายร่างกายต่อหน้าต่อตา ขืนเขานิ่งนอนใจ
ไม่แน่ว่าครั้งต่อไป คู่กรณีอาจเล่นสกปรกจนคนของเขาเพลี่ยงพล้ำก็เป็นได้
ทว่าพลายกลับเห็นต่างอย่างสุดขั้ว
“ถ้าเป็นป๋า
ป๋าคงจะทำกับไอ้คนที่มาเกาะแกะแด๊ดและพ่อฟูเหมือนกัน... ดีไม่ดี
ป๋าน่าจะเล่นแรงกว่าใหญ่เสียอีก” ทันทีที่เริ่มรู้สึกรุ่มร้อนเพราะโดนอีกฝ่ายขัดใจ
พี่ชายคนโตก็หลบเลี่ยงเฉไฉพร้อมกับเปลี่ยนสถานะเป็นฝ่ายรุกไล่อย่างว่องไวไม่บอกไม่กล่าว
“ไม่เอา ไม่พูดเรื่องคนอื่นแล้ว! พูดเรื่องกลางมั่งดีกว่า”
“อย่าเพิ่งสิใหญ่
กลางยังคุยกับใหญ่ไม่รู้เรื่องเลย”
“ใช่! เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องจริง ๆ นั่นแหละ!”
คนนอนหนุนตักตรึงสายตาใต้กรอบแว่นหนาของอีกฝ่ายด้วยแววตาดุดันจนคนถูกจับจ้องเริ่มรู้สึกเสียวสันหลังอย่างห้ามตัวเองไม่ได้
“เมื่อไรกลางจะลาออกจากชมรมเสียที?”
“ก็บอกแล้วไงว่ากลางต้องช่วยชมรมแข่งปีนี้ก่อน”
“ถึงไม่มีกลาง เขาก็หาคนอื่นลงแข่งได้เหอะ!... เย็นนี้ไปลาออกเลย อย่าชักช้า!” คำอธิบายที่ฟังอย่างไรก็ไม่เคยน่าอภิรมย์ถูกพลายปัดตกอย่างไม่ใยดี
วาจาขึงขังเด็ดขาดกับแววตาทรงอำนาจราวราชสีห์พิโรธของคนเป็นพี่ทำเอาพลุร้อนรุ่มจนนั่งแทบไม่ติด
“ใหญ่มีเหตุผลหน่อยสิ!
ใหญ่ก็รู้หนิว่ากลางชอบว่ายน้ำ!
ยิ่งได้ทำประโยชน์ให้โรงเรี...”
“จะลาออก หรือ
จะให้ใครโดนแบบไอ้พรินซ์อีก... เลือก!”
“ไม่!
กลางไม่ลาออก!
กลางจะแข่งให้โรงเรียนก่อน!” ยิ่งพลายเอาแต่ใจมากเท่าไร
พลุก็ยิ่งดื้อดึงมากเท่านั้น แต่มีหรือที่คนหัวรั้นขั้นปานกลางอย่างปพนจะต่อกรกับศูนย์กลางจักรวาลผู้ออกมาลืมตาดูโลกเป็นคนแรกได้
“อยากแข่งนักใช่ไหม?!” ปภพขึ้นเสียงจนคนฟังเริ่มเหวี่ยงตามอย่างเหลืออด
“ก็ใช่น่ะสิ!”
“ได้!
งั้นเดี๋ยวใหญ่จะไปนั่งเฝ้าข้างสระแม่งทุกเย็นเลย!” คนเป็นพี่สรุปอย่างเอาแต่ใจ
ทำไมคนของเขาถึงต้องชอบเล่นกีฬาโชว์เนื้อหนังมังสาแบบนั้นด้วยวะ? แม่งเอ๊ย!
“จะบ้าเหรอใหญ่?! ใหญ่ต้องไปซ้อมบอลให้พวกไอ้เนสไม่ใช่หรือไง?” ทายาทคนรองของบ้านสวนกลับทันควัน
“ช่างแม่ง!” เรื่องสิ! ขืนเขาปล่อยให้พลุโดยสายตาคนทั้งสระแทะโลมโดยไม่ทำอะไร
ก็อย่ามาเรียกเขาว่าพี่พลายให้เสียปากเลยจะดีกว่า!
“จิ๊!
ทำไมใหญ่ไม่มีเหตุผลเลยวะ?!” จากเดิมที่นวด ๆ
คลายกล้ามเนื้อให้อีกฝ่ายอยู่ดี ๆ อารามหงุดหงิดติดลมบนเช่นนี้ ฝาแฝดคนรองจึงเผลองัดหัวไหล่ของคนนอนหนุนตักให้พลิกตัวออกห่างจนพลายเกือบหน้าคว่ำคะมำหงาย
ดีที่ปภพเล่นกีฬาเป็นประจำจนร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองว่องไว
เด็กหนุ่มจึงขืนตัวพร้อมกับทิ้งน้ำหนักใส่ตักน้องชายจนอีกฝ่ายกระดิกกระเดี้ยท่อนล่างหนีไปไหนไม่ได้อีกเลย
“ทีตัวเองยังไม่มี แล้วจะให้คนอื่นมีได้ยังไงล่ะ?” สิ้นคำ พลายก็บีบข้อมือคนรักเอาไว้แน่นเพื่อกดดันผ่านภาษากายอีกทาง
“ใหญ่!
อย่าพาล!” พลุพยายามสะบัดข้อมือหนีพร้อม ๆ
กับตั้งป้อมพร้อมไฝว้... ลำพังแค่ต้องคอยทำตัวจืดจาง หลบ ๆ ซ่อน ๆ
อยู่ในเงาตลอดเวลาเพื่อความสบายใจของอีกฝ่ายก็มากเกินพอแล้ว ใจคอพลายจะไม่ปล่อยให้เขาได้ทำในสิ่งที่โปรดปรานบ้างเลยหรือไง?!
แววตาต่อต้านกับใบหน้าเรียบตึงคล้ายไร้ความรู้สึกของฝาแฝดคนรองทำให้พลายต้องรีบเปลี่ยนท่าทีด้วยเพราะรู้ดีว่า
อีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า ปพนจะปิดตัวเองโดยการไม่ยอมพูดยอมจา ไม่แม้แต่จะมีปฏิสัมพันธ์ใด
ๆ กับใครต่อใครไปอีกหลายวัน ยิ่งกับเขาด้วยแล้ว พลุยิ่งลงโทษเขาด้วยมาตรการนี้อย่างสาหัสสากรรจ์เกินกว่าคนอื่น
ๆ ไปหลายโยชน์
“ใหญ่ไม่ได้พาล...
นี่กลางไม่รู้หรือไงว่าที่ใหญ่ทำไปทั้งหมดน่ะเพราะอะไร?” คนพูดเอ่ยพลางยื้อยุดฝ่ามือคนหน้าเหมือนตนมาวางแนบลงบนแก้มตัวเองแล้วสื่อความหมายผ่านคำพูดฟังหนักแน่นกับสายตาเด็ดเดี่ยว
“ใหญ่หวง ใหญ่หึง ใหญ่ไม่อยากให้ใครเห็นกลางของใหญ่ เข้าใจใหญ่ไหมกลาง?”
“...”
ปภพคือคน ๆ เดียวในโลกที่สามารถเล่นตลกกับอารมณ์ของปพนได้ดีที่สุด จากที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนหูอื้อตาลาย
แต่แค่ริมฝีปากน่าจูบคู่นั้นเอ่ยคำพูดเพียงไม่กี่คำ จิตใจของเขาก็ฟูฟ่องล่องลอย
ใบหูทั้งสองข้างที่เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างฉับพลันยืนยันถึงอาการเคอะเขินของพลุได้เป็นอย่างดี
เห็นดังนั้น พลายจึงรวบรัดตัดความอย่างย่ามใจ “ทีนี้จะยอมไปลาออกได้หรือยัง?”
“ที่ชมรมคงไม่มีใครเป็นแบบพี่พรินซ์อีกแล้วล่ะ...
เอาอย่างนี้นะ ถ้าใหญ่ยังไม่สบายใจ ใหญ่ให้ต้าร์คอยประกบกลางไว้ตลอดก็ได้... นะ...
ขอกลางแข่งให้จบปีนี้ไปก่อนแล้วค่อยลาออกได้ไหม?” ปพนอ้อนวอนเสียงอ่อนเสียงหวาน
“เฮ่อ!”
สีหน้าลังเลกับท่าทางที่อ่อนลงของคนนอนหนุนตักทำให้พลุเริ่มมีกำลังใจ
ทายาทคนที่สองจึงไม่คิดรามือจากอีกฝ่ายจนกว่าจะได้ฟังคำยินยอมเสียก่อน “นะครับ
กลางอยากแข่งอ่ะ... นะ ๆ ”
แต่ก่อนที่ใครจะได้พูดอะไร
เสียงฝีเท้ากับเสียงตะโกนโหวกเหวกของบุคคลที่สามก็ทำลายบรรยากาศเกือบจะหวานชื่นของสองหนุ่มหน้าเหมือนลงในพริบตา
“ไอ้สัดพลาย!
มึงไม่ลงไปแดกข้าวทำไมไม่เสือกบอกพวกกู? หายหัวไปเลยนะพวกมึง
ปล่อยให้พวกกูชะเง้อคอหากันอยู่ได้!” เนสด่าเพื่อนสนิทพอเป็นพิธีหลังจากเขาและเพื่อนอีกสองคนรุมสกรัมฝาแฝดทั้งสามด้วยคำหวานผ่านไลน์ไปแล้วรอบหนึ่ง
“เอ้า!
เอาไป!
นี่ถ้าเมื่อเช้ากูไม่เห็นแก่มึงที่ต่อยไอ้เหี้ยพรินซ์จนล้มคว่ำต่อหน้าต่อตา
กูไม่มีทางยอมเป็นขี้ข้าให้มึงใช้งก ๆ แบบนี้แน่ ๆ ” เนสว่าพลางนั่งลงบนพื้นพร้อม
ๆ กับวางแก้วนมเย็นลงตรงหน้าคนนอนราบ
“ขี้ข่าห่าอะไรไอ้เนส?
กูแค่ฝากมึงซื้อนมเย็นขึ้นมาเองเหอะ!” พูดจบฝาแฝดคนโตก็ขยำเงินแล้วปาใส่หน้าเพื่อนสนิทก่อนจะยื่นแก้วแล้วจับหลอดจ่อปากคนหน้าเหมือนตัวเองเสร็จสรรพ
พลุรับน้ำใจอีกฝ่ายแค่พอหอมปากหอมคอ
ก่อนจะรับแก้วมาถือเอาไว้เองเพราะไม่อยากให้หยดน้ำข้างแก้วทำใบหน้าปภพชื้นแฉะ
“แล้วนี่พวกมึงกินข้าวกันยัง?
หรือว่าโดนเจ๊เพ็ญศรีด่าจนกินอะไรไม่ลง?” วิน เพื่อนอีกคนในกลุ่มถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงก่อนจะเดินผละไปนั่งกับพลับตรงอีกมุมห้อง
“กินแล้ว” พลายผงกหัวขึ้นปรายตาตรวจสอบความเรียบร้อยของน้องชายคนเล็กที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออย่างคร่ำเคร่งจากนั้นจึงเลื่อนกรอบสายตาไปวางทาบปิ่นโตเถาใหญ่ที่ใครต่อใครต่างก็รู้ว่า
ข้างในมักจะบรรจุของกินสุดอลังการโดยที่เมนูไม่เคยซ้ำกันเลยสักที “โน่นไง!” ฝาแฝดคนโตพ่นลมหายใจพรูพลางทำหน้าเหนือกว่าหลังจากเห็นสายตาเสียดายของเพื่อนอีกสองหน่อ
“โอ้โหไอ้พลาย!
ทำไมมึงถึงไม่บอกกูว่าวันนี้พวกมึงจะเอาปิ่นโตมา?
ดูดิ! กูเลยต้องทนแดกอาหารบ้าน
ๆ ของโรงอาหารเลยเนี่ย!”
ต้าร์เป็นคนแรกที่ส่งเสียงโวยวายคล้ายเจ็กตื่นไฟ
“ก็มึงเสือกโง่ไม่ถามเองนี่หว่า! ว้าย ๆ !” ปภพชี้หน้าเพื่อนทั้งสองพลางส่งเสียงเยาะเย้ย
“ไอ้สัด!” ต้าร์โพล่างอย่างเหลืออด ก่อนจะรำพึงรำพันด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์
“โธ่ ปิ่นโตเทพของกีต้าร์! ถ้ามีอีก คราวหน้าบอกกูด้วยนะพลุ... พลีส!” ทันทีที่พูดจบ ต้าร์ก็หันไปประจบประแจงฝาแฝดคนรองที่ตนสนิทชิดเชื้อด้วยมากกว่า
“หึ หึ
พรุ่งนี้ก็มี เดี๋ยวกูบอกพ่อว่าให้ทำเผื่อมึงด้วยแล้วกัน” พลุตอบรับง่าย ๆ
ด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“ขอกูด้วย!” ทันทีที่ได้ยินคำพูดรับปากจากหนึ่งในฝาแฝด
เนสก็ยกมือพลางแสดงตัวเป็นแนวร่วมบ้าง
ซึ่งนั่นไม่ต่างจากวินที่ตะโกนเสียงดังมาจากเก้าอี้ตัวข้าง ๆ ปวร
“ด้วย ๆ กูเอาด้วย!”
“โว้ะ!
พวกมึงแต่ละตัวนี่ตลกแดกฉิบหาย!”
ปภพถึงกับอดรนทนดูเพื่อนผู้อดอยากของตัวเองไม่ได้ แต่เพราะพลุตัดบทด้วยเสียงหัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจกับอาการตลกแดกโดยพร้อมเพรียงของเพื่อน
ๆ ในกลุ่ม พี่คนโตจึงยอมให้แขกดอยทั้งสามได้อานิสงส์ไปฟรี ๆ
“เออ ๆ ! เดี๋ยวกูไลน์ไปบอกพ่อให้ หึ หึ หึ”
“ขอบใจมากพลุเพื่อนรัก”
อารามดีใจที่จะได้ลิ้มรสของกินอร่อย ๆ เป็นบุญปาก เนสจึงยืดตัวขึ้นแล้วโผเข้าไปหาพลุหมายจะกอดขอบคุณ
แต่ตราบใดที่พลายยังอยู่ ก็อย่าหวังเลยว่าจะมีใครแตะต้องคนของเขาได้แม้แต่ปลายก้อย
“เฮ่ย ๆ ไอ้เหี้ยเนส!
ไม่เห็นหรือไงว่ากูนอนอยู่! เอาจู๋มึงไปห่าง ๆ หน้ากูดิ๊!” คนนอนชูมือขึ้นทันควันก่อนจะออกแรงดันหน้าผากเพื่อนสนิทจนอีกฝ่ายหงายเงิบ
“ไอ้สัด!
ใครสอนให้เรียกจู๋?! ของกูต้องเรียกว่าเจ้าโลกเว่ย!” เนสแก้เก้อด้วยการเถียงคอเป็นเอ็นก่อนจะลุกขึ้นมานั่งส่ายเอวใส่หน้าพลายคล้ายท้าทายเพื่อนรัก
“หึ ! มึงช่วยย้ายโลกใบจิ๋วของมึงไปให้พ้น ๆ หน้ากูเดี๋ยวนี้เลยไอ้เนส
เกิดกูจามแล้วแม่งปลิวหายไป ลำบากคนอื่นต้องมาใช้กล้องจุลทัศน์ตามหาอีก!”
“หนอยไอ้สัดพลาย
อย่าให้ถึงทีกูมั่งนะ!” เนสชี้หน้าปภพ
แต่แล้วก็ชะงักค้างเมื่อเจ้าตัวนึกเรื่องอื่นขึ้นมาได้ “เออ! แล้วเย็นนี้มึงเอาไงวะพลาย?
ไปซ้อมไหวเปล่า?"
“สบาย! แต่กูคงอยู่เล่นไม่นานนะ... วันนี้อามารับว่ะ”
“เออ ๆ
แค่ท่านเทพยอมลงซ้อมให้ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ตัวจริง ก็เป็นพระคุณอย่างยิ่งแล้วขอรับ!” คนพูดก้มหัวพลางประสานมือด้วยทีท่าพินอบพิเทาเอาใจศูนย์หน้ากิตติมศักดิ์ที่หาตัวจับยาก
เพราะเจ้าตัวเอาแต่คอยตามประกบฝาแฝดคนรองจนไม่เป็นอันสมัครเข้าชมรมอะไรเป็นกิจลักษณะทั้ง
ๆ ที่มีความสามารถรอบด้านจนกลายเป็นดาวเด่นประจำโรงเรียน
“ดีมาก... อ่ะ!
ไหน ๆ มือมึงก็ว่างอยู่
มาบีบนวดหน้าแข้งให้ท่านเทพหน่อยสิ” ฝาแฝดคนโตบริการเพื่อนรักด้วยการยื่นปลายเท้าไปกระดิกยิก
ๆ ใกล้ ๆ หน้าจนเนสอดด่าไม่ได้
“ห่า! ไหนบอกว่ากูไม่ใช่ขี้ข้ามึงไง?”
“หน้าอย่างมึงน่ะเป็นขี้ข้ากูไม่ได้หรอก...
เป็นทาสน่าจะเหมาะกว่า ไหนลองเห่าสิเจ้าทาส!”
“ไอ้ห่าพลาย! นั่นมันหมา ไม่ใช่ทาส!” พลายหัวเราะเพื่อนที่หัวฟัดหัวเหวี่ยงเป็นบ้าเป็นหลังก่อนจะพลิกตัวแล้วซุกหน้าเข้าหาช่วงท้องของฝาแฝดคนกลางพร้อม
ๆ กับกดปลายจมูกลอบสูดดมกลิ่นกายของอีกฝ่ายเป็นระยะ ๆ
“เฮ่ย!” ปพนอุทานด้วยความตกใจหลังจากที่จู่ ๆ
ตนก็โดนสวมกอดจากด้านหลังทั้ง ๆ ที่ยังเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่เสร็จ
แต่ก่อนที่ฝาแฝดคนรองจะได้ออกอาวุธเพื่อป้องกันตัวเอง
เสียงกระซิบของคนคุ้นเคยก็ดังขึ้นข้าง ๆ หู
“จุ๊ ๆๆ เบา ๆ
สิกลาง... อยากให้คนอื่นได้ยินหรือไง?”
“ใหญ่?! ใหญ่เข้ามาทำอะไรในนี้?!” ทายาทคนรองของตระกูลคุณะประสิฒธิ์ผินหน้าไปจับจ้องผู้บุกรุกด้วยสายตางุนงง...
พลายมาได้ยังไง? แล้วทำไมป่านนี้ถึงยังอยู่ตรงนี้?!
“ไม่มีอะไร
แค่คืดถึง เลยอยากมาหา... ใหญ่มาไม่ได้เหรอ?” ปภพกระซิบเสียงอ่อนเสียงหวานจนใจคนฟังไหวสั่นแม้จะรู้ทั้งรู้ว่าประโยคที่เพิ่งได้ยินเป็นเพียงข้ออ้างบังหน้าในการถ่อมาถึงที่ห้องแต่งตัวนักกีฬาอีกชมรมของอีกฝ่าย
“เปล่า แต่ถ้าไม่มีอะไรแล้วทำไมไม่ไปซ้อมบอล?”
“ก็แค่อยากแน่ใจว่าไอ้พรินซ์มันจะไม่เสนอหน้ามา”
พลายเอ่ยเสียงเหี้ยมเกรียม
“โดนต่อยเสียน่วมขนาดนั้น
พี่พรินซ์คงไม่มาที่ชมรมอีกแล้วล่ะ” อันที่จริง พลุไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า อีกกี่วัน
กว่าที่คู่กรณีของพี่ชายจะหายดีและยอมกลับมาเรียน ทางนั้นยิ่งเป็นพวกห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองเอามาก
ๆ เสียด้วย
“ก็ไม่แน่”
เป็นเพราะนิสัยจองเวรไม่เลิกราของคนเกิดก่อนแท้
ๆ ที่ปลุกระดมอารมณ์หงุดหงิดให้คุกรุ่นในใจปพนได้อีกคำรบ
ฝาแฝดคนรองตวัดหางเสียงถามผู้เป็นพี่อย่างฉุนเฉียว “ก็แล้วใหญ่เจอพี่เขาไหมล่ะ?!”
“เจอ!” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดพรายขึ้นบนกรอบใบหน้าที่ดึงดูดสายตาแม้เจ้าตัวจะยืนอยู่ในมุมอับแสงเช่นนี้
แต่พลุกลับปัดความคิดดังกล่าวให้ตกไปเมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นได้หากคู่ชกของพลายปรากฏตัวดังคำกล่าวอ้าง
“เฮ่ย!
พี่พรินซ์ยังกล้ามาอีกเหรอ?!
ไหนใหญ่
พี่พรินซ์อยู่ไห... อุ๊บ!” พูดยังไม่ทันขาดคำ ฝ่ามือของอีกฝ่ายก็เชยคางเขาบิดไปรับจุมพิตเร่าร้อนอยู่พักใหญ่
ก่อนที่อีกฝ่ายจะกรอกเสียงกระซิบที่แฝงความไม่พอใจเข้าประชิดติดใบหู
“อยู่กับใหญ่
ห้ามเรียกหาคนอื่น!”
“กลางไม่ได้เร...”
“แล้วเมื่อกี๊มันอะไร?!” ไม่รอให้น้องอธิบาย เด็กหนุ่มผู้ผู้อยู่เบื้องหลังก็กระชับวงแขนพลางซุกไซ้ใบหน้าลงต่ำไปตามหลังคอเปลือยเปล่า
เท่านั้นยังไม่พอ
สองมือยังลูบไล้วุ่นวายไปทั่วเนื้อตัวราวกับจะปลุกปั่นให้สติสตังของปพนแตกกระสานซ่านกระเซ็น
“อาห์... ใหญ่
อย่า! เดี๋ย...” น้ำเสียงห้ามปรามฟังเร้าอารมณ์ของฝาแฝดผู้น้องมีอันต้องเงียบหายไปหลังจากอีกฝ่ายกดปลายนิ้วผ่านเข้าช่องปาก
พลุอดโมโหตัวเองไม่ได้ที่ร่างกายทุก ๆ ส่วนของเขาตอบสนองสัมผัสของพี่ชายอย่างระริกระรี้
ดูอย่างลิ้นของเขาตอนนี้ก็ได้... แทนที่จะผลักไส
มันกลับดูดดุนสิ่งแปลกปลอมอย่างโหยกระหายคล้ายคนอดอยากปากแห้งมาเป็นแรมปี
“ถ้าจะห้ามก็พูดให้มันเต็มเสียงหน่อยสิ
ครางลั่นแบบนี้... ใหญ่คงจะยอมปล่อยกลางง่าย ๆ หรอกนะ”
แฝดพี่ลากปลายลิ้นและฝ่ามืออีกข้างไปตามพิกัดที่ตนคุ้นชินต่าง ๆ
เพื่อสุมไฟราคะให้ยิ่งโหมสะพัด
“...อาห์...” พลุหลุดปากครางอย่างพึงพอใจเมื่อพี่ชายนวดเฟ้นติ่งไตตรงยอดอกทั้งสองข้างจนหายคัดตึง
“พลุ! พลุ! มึงยังเปลี่ยนชุดไม่เสร็จอีกเหรอวะ?” เสียงต้าร์ที่ดังมาจากหน้าประตูทำให้ฝาแฝดคนรองได้สติ
เด็กหนุ่มพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่นพลางตอบกลับเพื่อนรักทั้ง ๆ
ที่คนเป็นพี่ยังวุ่นวายกับร่างกายของเขาอย่าไม่มีที่สิ้นสุด
“...อะ...เอ้อ!
ดะ
เดี๋ยวกู...ตาม ไป” พลายยกยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อได้ยินคำตอบของคนในอ้อมแขน
อย่างนี้ก็แปลว่าอีกฝ่าย ‘อยากได้’
แล้วสินะ หึ ๆ ! ถ้าอย่างนั้นคงต้องให้รางวัลกันเสียหน่อยแล้ว!
“เออ ๆ
เดี๋ยวกูไปวอร์มรอก่อนแล้วกัน มึงก็อย่าช้าล่ะ”
“เออ ๆ ” ปพนรับคำเพื่อนด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“ใหญ่ ฮื่อ... ปล่อย” ฝาแฝดคนรองพยายามปัดป้องในท้ายที่สุด
ทว่าอีกใจกลับหวังให้พี่ชาย ‘ทำอะไรสักอย่าง’ กับร่างกายไม่รักดีของตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด
“ว้า! แย่จัง อย่างนี้ก็ทำต่อไม่ได้แล้วสิ” พลายแสร้งทำเสียงเสียดายเต็มประดาก่อนจะผละห่างง่ายดายทั้ง
ๆ ที่ผ่านมา เจ้าตัวไม่เคยปล่อยให้โอกาสงาม ๆ เช่นนี้หลุดลอยมาก่อน “งั้นเดี๋ยวพอใหญ่ซ้อมเสร็จ
ใหญ่มารับนะ”
“...” ปพนยืนนิ่งงันค่าที่ยังตั้งตัวไม่ติด
“ตั้งใจซ้อมล่ะ!” ทายาทคนโตของบ้านฉวยโอกาสนั้นสูดดมแก้มเนียนว่องไวก่อนจะยีหัวอีกฝ่ายจนยุ่ง
จากนั้นพลายก็เดินผิวปากไปหยุดอยู่ตรงประตูแล้วจึงเบือนหน้ากลับมาเอ่ยทิ้งท้ายด้วยสีหน้ามีเลศนัยเป็นที่สุด
“อ้อ! ลืมบอกไป
ม้านั่งข้างสนามบอลว่างนะ ถ้ากลางเสร็จก่อน... จะไปนั่งรอใหญ่ตรงนั้นก็ได้”
ทันทีที่เสียงนกหวีดบ่งบอกช่วงเวลาพักครึ่งดังขึ้น
เหล่านักฟุตบอลในสนามก็พากันเดินกลับเข้าเส้นข้างสนามอย่างเหนื่อยอ่อน เนสเป็นคนแรกที่ร้องทักขึ้นเมื่อเห็นฝาแฝดของศูนย์หน้าขาจรมานั่งหน้าหงิกรอท่าอยู่
“อ้าว! นั่นมันไอ้พลุนี่หว่า...
มันไม่มีซ้อมว่ายน้ำเหรอวะ? หรือว่าวันนี้โค้ชปล่อยเร็ว?” เนสเกาหัวยิก ๆ
พลางลอบมองอากัปกิริยาที่แตกต่างกันสุดขั้วของฝาแฝดทั้งสองด้วยความสนอกสนใจ
“หึ!” พลายส่งเสียงชอบใจอยู่ในลำคอเมื่อเห็นสายตาเอาเรื่องของคนที่นั่งรออยู่ตรงข้างสนาม
“เอ๊ะ!
แต่กูว่าไม่น่าใช่...
เพราะไอ้ต้าร์ไม่อยู่” ที่สุดแล้วเนสก็เกิดพุทธิปัญญา ทว่าปภพกลับไม่ได้ใส่ใจ
“วันนี้กูเลิกเลยดีกว่าว่ะ
ไม่อยากให้พลุรอนาน”
“อ้าว!
ไหงงั้นอ่ะ?
มึงเพิ่งเล่นได้แค่ไม่กี่นาทีเองนะเว่ย!”
“มึงแม่งขี้บ่นฉิบหายเลยห่า!
เอาน่า!
เดี๋ยวพรุ่งนี้กูชดให้มึงเต็ม
ๆ แม็ทช์เลย โอป่ะ?” แฝดคนโตหว่านล้อมจนคนฟังเริ่มไขว้เขว แต่คนอย่างเนส
ไม่มีวันปล่อยให้เพื่อนรักรอดเงื้อมมือไปง่าย ๆ
โดยไม่ได้เจริญพรให้พอหายคันปากหรอก!
“ไอ้เหี้ยเอ๊ย
มึงนี่จริง ๆ เลยว่ะ!...
กับพลุนี่ อะไรนิดอะไรหน่อยก็ไม่ได้!”
“มึงก็ลองมีแบบกูดูก่อนดิวะ
แล้วมึงจะไม่บ่นกูเลยสักคำ”
“แม่งไม่ทันแล้วเปล่าวะ?
ป่านนี้แล้วจะให้กูไปหาฝาแฝดได้ที่ไหน?” เนสตอบอย่างพาซื่อจนคนฟังยังทึ่ง
“ไอ้สัดเนส!
กูหมายถึงแฟน
ไม่ได้หมายถึงแฝด ไอ้ห่า... โคตรเด๋ออ่ะ!” พลายว่าพลางผลักหัวเพื่อนรักจนอีกฝ่ายเซแซ่ด ๆ
“อ้าวเรอะ?
กูก็นึกว่ามึงอยากให้กูมีแฝดเหมือนพวกมึงก่อนเสียอีก!”
ทายาทคนโตของตระกูลคุณะประสิฒธิ์ถึงกับกลอกตาอย่างอ่อนใจพลางให้สติเพื่อนอย่างไม่ไว้หน้า
“ควายล้วน ๆ ไม่มีวัวปนเลยนะมึงน่ะ! แฟนเว่ยแฟน!”
“เหอะ!
ไม่อ่ะ
พักนี้กูอยากทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนมากกว่า” เนสเก็กท่าขึงขังคล้ายเด็กคงแก่เรียน
แต่กลับดูเกรียนขัดสายตาคงมองเป็นอย่างยิ่ง
“ถุ้ยยย!
เรียนพ่อง! วัน ๆ กูเห็นมึงเอาแต่ส่องคลิปโป๊!”
เนสค้อมหัวน้อมรับคำกล่าวหาพร้อมด้วยรอยยิ้มโดยไม่ลืมตอกย้ำคำสัญญา
“ฮ่า ๆๆๆ พรุ่งนี้ห้ามเบี้ยวกูนะมึง!”
“เห็นกูเป็นพวกชอบเบี้ยวไง?”
“หึ! ตัวดีเลยมึงอ่ะ!” และแล้วก็ถึงทีที่เนสได้เอาคืนด้วยการผลักหัวเพื่อนสนิทอย่างแรง
แต่แทนที่ผลลัพธ์จะออกมาน่าสมเพชพอกัน จังหวะที่มือของเนสแตะโดนหัวอีกฝ่าย
พลายก็ซอยเท้าวิ่งออกจากสนามไปทำหน้ากระดี๊กระด๊าใส่ฝาแฝดผู้น้องเสียแล้ว
“กลางมารับใหญ่กลับบ้านเหรอ?
ดีใจจัง” ปภพแสร้งฉอเลาะก่อนจะหันไปร่ำลาเพื่อนสนิท “กูกลับก่อนนะเนส”
“เออ ๆ !
พรุ่งนี้เจอกัน!” เนสที่นั่งแผ่อยู่บนพื้นสนามหญ้าพยักหน้าให้เพื่อนทั้งสองพลางเฝ้ามองทั้งคู่เดินหนุงหนิงออกไปยังประตูโรงเรียนด้วยความเหนื่อยใจ...
เฮ่อ! ไอ้พลายนะไอ้พลาย
กระทั่งน้องในไส้มึงก็เอาไม่เว้น!
“ถ้าโค้ชปล่อยกลางกลับบ้านเร็วแบบนี้ทุกวันก็ดีนะ
กลางจะได้มาดูใหญ่ซ้อมบอลได้ไง” ฝาแฝดคนโตประจบประแจงคนรักด้วยสีหน้าระรื่น แต่อีกฝ่ายกลับแผ่ออร่าดำทะมึนออกมาโดยไม่ยอมพูดจาสักคำ
“...”
“กลางเห็นลูกเมื่อกี๊ป่ะ
ใหญ่ปั่นไซด์ก้อยลอยฟิ่วววเข้าเสาสองเลยน้า”
ความอดทนของพลุขาดสะบั้นเมื่อคนเป็นพี่มัวแต่อวดโอ่ด้วยสีหน้าไม่รู้สึกรู้สาใด
ๆ ทั้งสิ้น “ใหญ่! ใหญ่แอบทำรอยอีกแล้วนะ!”
“รอยไหน?
รอยอะไร? ใหญ่ใส ๆ ใหญ่ไม่รู้เรื่อง” เจ้าของประโยคตีหน้าซื่อทำเป็นไขสือกวนประสาท
“ใหญ่!” ฝาแฝดคนรองถลึงตาใส่พลางตวาดพี่ชายอย่างเหลืออด
ฝ่ายคนร้ายก็โต้กลับอย่างกับพวกหัวหมอ
“แล้วไหนล่ะ?
หลักฐานอยู่ไหน?... กลางจะมาเที่ยวกล่าวหาใหญ่ลอย ๆ ไม่ได้นะ”
“อยากดูหลักฐานนักใช่ไหม?
ได้! งั้นไปดูกัน!”
เมื่อเห็นปพนออกแรงลากตนพลางเดินฉีกจากหน้าประตูรั้วไปยังทิศทางของห้องน้ำที่อยู่ใกล้
ๆ
พลายก็ขืนตัวแล้วเปลี่ยนเป็นฝ่ายจูงฝาแฝดผู้น้องพลางสาวเท้าออกจากโรงเรียนไปอย่างรีบเร่ง
“ไม่เอา ไม่อยากดูที่นี่อ่ะ... กลับไปดูที่บ้านดีกว่า!”
“ใหญ่!
แล้วอาฌานล่ะ?”
พลุพยายามประท้วงค่าที่เมื่อเช้าทั้งหมดให้สัญญากับคุณอาเอาไว้ดิบดี
“กลางว่าอาฌานไม่อยากอยู่กับเล็กสองต่อสองมั่งเลยเหรอ?”
พี่ชายคนโตแย้งพลางโบกมือเรียกแท็กซี่อย่างไม่ยี่หระใด ๆ “ขนาดใหญ่ยังอยากอยู่กับกลางแค่สองคนตลอดเวลาเลยนะ”
“แต่เดี๋ยวอาฌานจะเป็นห่วง!”
“ใหญ่ไลน์ไปบอกเล็กแล้วว่าจะกลับก่อน...
ทีนี้จะสบายใจได้ยัง?” ปภพบอกจุดหมายปลายทางกับคนขับรถที่เพิ่งโฉบเข้ามาจอดเทียบเมื่อไม่กี่อึดใจก่อนหน้า
ก่อนจะผลักร่างน้องชายผ่านเข้าประตูรถไปโดยไม่พูดพล่ามทำเพลง
“นี่แสดงว่าใหญ่วางแผนมาก่อนใช่ไหม?!” ปพนตวาดแว้ดทันทีที่พาหนะออกตัว
คนเป็นพี่หันมาทำหน้าดุใส่พลางพยักเพยิดไปทางคนขับด้านหน้า
“ชู่ว์!
อย่าเสียงดังสิ
เดี๋ยวพี่คนขับไม่มีสมาธิกันพอดีนะ” ได้ยินดังนั้น
ทายาทหมายเลขสองก็ได้แต่นั่งกอดอกพลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันสลับกับมองค้อนอีกฝ่ายไม่เลิกรา
ฝ่ายปภพกลับนั่งไขว้ห้างชมนกชมไม้ข้างทางด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
“คุณพลาย
คุณพลับกลับม...”
“พ่อล่ะครับพี่ออย?”
ยังไม่ทันที่ออยจะพูดจบประโยค
ฝาแฝดคงโตที่เพิ่งเดินจูงมือน้องชายเข้ามาในบ้านก็ชิงยกมือไหว้พี่เลี้ยงพลางยิงคำถามสวนขึ้นโดยพลัน
“คุณฟูออกไปซุปเปอร์เมื่อตอนบ่ายนี่เองค่ะ
เห็นเธอบอกว่า เดี๋ยวพอซื้อของเสร็จก็จะแวะไปรับคุณเพลินก่อนจะเลยไปหาคุณเต๋อกับคุณด้วงแล้วค่อยกลับมากินข้าวเย็นกับพวกคุณ
ๆ ค่ะ”
“พี่ออยครับ
ผมกับพลุทำการบ้านอยู่บนห้องนะ... ห้ามใครรบกวน” พอเห็นพี่เลี้ยงตั้งท่าจะซักไซ้ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยตามประสา
พลายก็เอ่ยดักคอขึ้นอย่างทันท่วงที “พวกผมยังไม่รับของว่างกับน้ำนะครับ เดี๋ยวรอกินพร้อมกันกับพลับทีเดียวนะครับ”
พูดจบ เด็กหนุ่มผู้เอาแต่ใจก็ฉุดแขนฝาแฝดคนรองวิ่งขึ้นบันไดบ้านไปอย่างเร่งรีบ
ทันทีที่ทั้งสองอยู่ในที่รโหฐาน
ปภพก็ทวงถามถึงสิ่งที่อีกฝ่ายอวดอ้างมาตั้งแต่ตอนที่ทั้งสองยังไม่ออกจากโรงเรียน “ว่าไงกลาง...
ไหนหลักฐาน? ขอใหญ่ดูหน่อยสิ” เมื่อพลายพูดจบ อีกฝ่ายก็ถอดเสื้อผ้าที่ปกคลุมร่างกายทั้งหมดออกโดยไม่พูดพล่ามทำเพลง
ก่อนจะหันหลังให้ผู้เป็นพี่ชื่นชมปื้นสีแดงตรงแผ่นหลังด้านบน
“หึ หึ! ใครทัก? ไอ้ต้าร์เหรอ?” พลายเดินส่ายอาด ๆ เข้าไปสวมกอดอีกฝ่ายจากด้านหลังพลางสำรวจริ้วรอยที่ตนฝากเอาไว้ด้วยสายตาเป็นประกายระยิบระยับ...
ไม่ว่าเมื่อไร รอยแดง ๆ บนผิวกายนวลเนียนของพลุที่เขาเป็นคนทำก็ดูเย้ายวนเสมอ
“อืม
ดีนะที่ต้าร์เห็นก่อนถอดเสื้อ ไม่งั้นคนทั้งชมรมคงได้รู้กันหมด” ปพนเอ่ยเรียบ ๆ แม้จะยังสลัดสีหน้าตื่นตกใจของเพื่อนสนิทยามที่สังเกตเห็นร่องรอยรักที่พลายฝากเอาไว้ออกจากหัวไปไม่ได้ก็ตามที
“แหงสิ ตัวขี้เสือกอย่างมันต้องตาไวเป็นธรรมดา”
“ไม่คิดจะอายพวกมันหน่อยหรือไง?”
พลุเหลียวมองเสี้ยวหน้าคมสันของคนเป็นพี่อย่างหลงใหล
“จะอายทำไม?
ดีเสียอีกที่ไอ้พวกนั้นรู้เรื่องของเรา พวกมันจะได้ช่วยเป็นหูเป็นตาให้ใหญ่ได้” ปภพเลื่อนฝ่ามือไปตามกล้ามเนื้อสวยงาม
สมส่วนของอีกฝ่ายอย่างพออกพอใจ แต่ยิ่งเขาปลาบปลื้มกับร่างกายของปพนมากเท่าไร
ก็ยิ่งทำให้ประโยคถัดมาที่เจ้าตัวเอื้อนเอ่ยฟังแข็งกร้าวมากขึ้นเท่านั้น “ขนาดใหญ่ซ่อนกลางไว้ดิบดี
ไอ้พวกเห็บหมัดก็ยังไม่วายจ้องจะงาบกลางของใหญ่อยู่นั่น”
ใช่...
ทันทีที่ตระหนักถึงเสน่ห์อันล้นเหลือของพลุในยามที่อีกฝ่ายเริงระบำอยู่ใต้ร่าง
ปภพก็หาทางควบคุมความเย้ายวนดังกล่าวทุกวิถีทาง แรกเลย เขาแค่บังคับให้น้องชายใส่แว่นอำพรางสายตาเพื่อไม่ให้ใครได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดเจนนัก
ทว่านานวันเข้า แว่นสายตากลับไม่เพียงพอ ที่สุดแล้ว เด็กหนุ่มก็สรรหาทรงผมและเสื้อผ้าที่น่าจะลดทอนแรงดึงดูดของปพนลงได้หลายเท่า
ปิดท้ายด้วยการคอยเฝ้าประกบอีกฝ่ายเป็นเงาตามตัว
จะด้วยเพราะเผลอไผลใหลหลงในรูปทรัพย์ของตัวเองจนยากจะถอน
หรืออาจเป็นเพราะพวกเขาตกหลุมรักกันและกันจนโงหัวไม่ขึ้นก็ไม่มีใครทราบได้
ทว่าปพนเองก็รู้สึกหึงหวงพี่ชายด้วยระดับความรุนแรงไม่แตกต่างกัน “เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า?
คนน่างาบน่ะใหญ่ ไม่ใช่กลาง... ส่วนมากพวกที่เข้าหากลางก็เพราะอยากอยู่ใกล้ใหญ่กันทั้งนั้นแหละ”
ฝาแฝดคนรองค่อนแคะอย่างเหลืออด
“ฮื่อ!
ไม่เอา ไม่หึง
ไม่หงุดหงิดนะครับ... กลางก็รู้หนิว่าใหญ่มีกลางคนเดียว”
“ใหญ่จะมีกลางคนเดียวไปตลอดใช่ไหม?”
หางเสียงของคนพูดเบาหวิวด้วยหวั่นใจว่าความเปลี่ยนแปลงจะเอาชนะใจของอีกฝ่ายได้ในสักวัน
ทว่าคำตอบผ่านน้ำเสียงเด็ดขาดของคนรักก็ทำให้ความกังวลดังกล่าวอันตรธานไปในบัดดล
“ครับ กลางนั่นแหละ
ห้ามเบื่อใหญ่เด็ดขาด!
เข้าใจไหม?”
“หึ! กลางไม่มีวันเบื่อใหญ่... กลางจะมีแต่ใหญ่คนเดียวแบบนี้นี่แหละ!”
“คำไหนคำนั้น?”
“คำไหนคำนั้น”
“รัก”
“รักเหมือนกัน”
“แล้วนี่แก้ผ้าทำไม?
รอยก็อยู่แค่ตรงนี้” ปภพว่าพลางแตะตรงร่องรอยสีกุหลาบบนลาดไหล่ “ยังไง? อยากเหรอ?”
“คิดว่าไงล่ะ?”
เจ้าของคำถามหมุนตัวกลับไปประกบริมฝีปากกับพี่ชายอย่างดูดดื่ม จากนั้นทั้งสองก็พากันบรรเลงท่วงทำนองแห่งรักผ่านร่างกายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงกำหนัดอย่างเร่าร้อนรุนแรง
«♥»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «♥»
No comments:
Post a Comment