Monday, November 14, 2016

«♥» บน บานฯ สาน รัก «♥» The 40th Bonding|| 14.11.2016




รักชอบประการใด... ฝากข้อความแทนใจเอาไว้ได้เลยค่ะ ^^





«»------------------------------------------------------------------------------------«»



The 40th Bonding
ช่องว่างระหว่างวัย




“ฮัลโหลฌาน เมื่อไรจะกลับบ้าน พลับรอกินข้าวอยู่นะ” ปวรออดอ้อนผ่านสายด้วยหวังให้ความรู้สึกห่วงใยของเขากระตุ้นให้คนรักรีบกลับมาพบหน้า แต่แทนที่จะได้ฟังน้ำเสียงทุ้มต่ำคุ้นหูจากเจ้าของเลขหมายสมใจ น้ำเสียงหวานหูของผู้ไม่พึงประสงค์กลับแจ้วจำนรรจ์ขึ้นมาเสียนี่

“ฌานกำลังทำงานอยู่ค่ะ ไว้เดี๋ยวดีดี้จะบอกให้นะคะว่าน้องพลับรอทานข้าวด้วย”

“ฌานอยู่ไหนเหรอครับ ทำไมไม่มารับสาย?” เด็กหนุ่มเสียงแข็งเมื่อต้องสนทนากับคนอื่นแบบไม่ทันตั้งตัว ยิ่งเมื่อคู่สนทนาคือดีดี้ นางแบบสาวผู้เที่ยวป่าวประกาศกับใครต่อใครว่าสนใจฌานเอามาก ๆ ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดไปกันใหญ่... นี่ฌานไว้ใจผู้หญิงคนนี้ขนาดปล่อยให้วุ่นวายกับโทรศัพท์ตามอำเภอใจเลยเหรอ?!

“อ๋อ ฌานฝากโทรศัพท์ไว้กับดีดี้น่ะค่ะ ดีดี้เลยรับสายให้ น้องพลับอยากฝากข้อความอะไรถึงฌานอีกไหมคะ?”

“ไม่ล่ะครับ” คำตอบของนางแบบสาวทำเอาคนฟังหน้าชา เด็กหนุ่มตัดบทพร้อมวางสายลงดื้อ ๆ พลางสืบเท้าอย่างเซื่องซืมมุ่งหน้าไปหาพี่ชายคนกลางที่ห้องนอนอีกฟากตึก

ทว่าแทนที่จะเป็นพลุที่รอท่าต้อนรับฝาแฝดคนสุดท้องอยู่หลังบานประตูใหญ่ พี่ชายคนโตของบ้านกลับยืนเท้าแขนกับกรอบประตูพลางคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้พร้อมกับเอ่ยคำทักทายผู้มาเยือนยามวิกาลอย่างมีเลศนัยคล้ายหมาป่าหมายขย้ำเหยื่อ “ว่าไงเล็ก มีอะไรหรือเปล่า?”






“ทำไมป่านนี้ถึงยังไม่ยอมนอนอีกครับ?” ตากล้องหนุ่มอดแปลกใจไม่ได้ เพราะไม่บ่อยนักที่คนรักจะอดตาหลับขับตานอนเฝ้ารอเขากลับบ้านทั้งที่รู้ว่าเขาต้องทำงานล่วงเวลา

“พลับรอฌาน”

“ฌานบอกแล้วไงว่าให้ตัวเล็กนอนไปก่อน” คนโตกว่าเดินโฉบไปปิดสวิตช์ไฟก่อนจะค่อย ๆ สอดตัวเข้าในผ้าห่มพลางโอบรัดเรือนร่างอบอุ่นของคนรักเข้าแนบใกล้ “แล้วพรุ่งนี้จะตื่นไหวเหรอครับคนดี?”

“ต้องไหวสิ แต่ถ้าตื่นไม่ไหว เดี๋ยวพลุก็มาปลุกเองนั่นแหละ” เด็กหนุ่มเปรยอย่างเอาแต่ใจ หากแต่ฌานไม่เก็บมาเป็นอารมณ์ ด้วยรู้ว่าพลับรับผิดชอบตัวเองได้ดีเยี่ยมมาโดยตลอดแม้บางครั้งเจ้าตัวมักจะชอบพูดจาตีรวนไปบ้างก็ตาม

“ไม่ต้องให้พลุมาปลุกหรอกครับ ฌานนี่แหละที่จะปลุกตัวเล็กเอง”

ระหว่างที่คนโตกว่าคว้ามือถือตรงโต๊ะข้างหัวเตียงมาตั้งนาฬิกาปลุก ปวรที่ก็ถามไถ่เสียงแผ่ว “แล้วงานวันนี้เป็นไงมั่ง? เสร็จทันหรือเปล่า?”

“ทันครับ แต่ก็เร่งกันน่าดู” ชายหนุ่มถอนหายใจพรูเมื่อหวนคิดถึงงานด่วนเมื่อช่วงหัวค่ำที่ทำเอาพวกเขาอ่อนล้าอย่างแสนสาหัส แต่ห้วงนึกคิดทั้งหลายกลับมลายสิ้นเมื่อได้ยินน้ำเสียงเรียกอย่างอ่อนหวานน่าฟังของคนนอนข้าง ๆ  

“ฌาน”

“ครับ?”

“วันนี้ฌานคิดถึงพลับไหม?” เด็กหนุ่มวัยสิบหกทอดเสียงถามพลางจรดปลายจมูกลงจู่โจมซอกคอคนโตกว่า ฌานยิ้มมุมปากอย่างชอบใจพลางกระหวัดวงแขนกอดรัดคนรักขณะเฉลยความรู้สึก

“คิดถึงสิครับ ฌานคิดถึงตัวเล็กตลอดเวลาเลยครับ”

“พลับก็คิดถึงฌาน คิดถึงฌานที่สุดเลย” ทายาทหมายเลขสามแห่งคุณะประสิฒธิ์เลื่อนใบหน้าขึ้นระดมจูบทั่วใบหน้าเข้มพลางส่งสองมือลงลูบไล้เรือนกายกำยำของฌานอย่างขยันขันแข็ง

ท่าทางกระตือรือล้นของคนรักทำให้แฝดพี่ไม่ขัดข้อง เนื่องจากขวบปีหลัง ๆ ทั้งสองต่างคุ้นเคยกับรสสัมผัสสุดหฤหรรษ์ที่ต่างปรนเปรอให้แก่กันเพียงผิวเผินเป็นอย่างดี “หึ หึ หึ ทำไมวันนี้อ้อนจังครับ อยากได้หนังสือเล่มใหม่เหรอ?” เจ้าของประโยคไม่ยอมเสียเปรียบเพียงฝ่ายเดียว ฌานฝังใบหน้าสูดดมกลิ่นกายของวัยแตกเนื้อหนุ่มที่กรุ่นกำจายยิ่งขึ้นเมื่อเจ้าตัวได้รับการกระตุ้นด้วยการสัมผัสของเขา

“เปล่าเสียหน่อย พลับแค่คิดถึงฌานมากเท่านั้นเอ... อ๊ะ!” ปวรสะท้านเฮือกเมื่อผิวอ่อนตรงหลังใบหูถูกหยอกเย้าอย่างละมุนละม่อมด้วยริมฝีปากได้รูปคู่นั้น ยิ่งฌานอ่อนโยนกับเขามากเท่าไร ร่างกายของเด็กหนุ่มก็ยิ่งตอบรับกับทุก ๆ สัมผัสมากขึ้นทุกที และดูเหมือนว่าคราวนี้ ความต้องการของพลับจะยากเกินควบคุม

ตัวเล็ก?!” ฌานผละจากพลางรั้งฝ่ามือนุ่มซึ่งล้วงผ่านขอบกางเกงนอนล่วงไปจนถึงจุดอ่อนไหวแล้วทำท่าว่าจะขยับ “ตัวเล็กจะทำอะไรครับ?!” ช่างภาพมือดีจับจ้องใบหน้าของคนรักด้วยสายตาตกตะลึงระคนหวาดหวั่น ยิ่งเมื่อได้ฟังคำตอบของอีกฝ่าย อารมณ์พิศวาสทั้งหลายก็ปลาสนาการไปในทันที

“เราทำกันเถอะนะฌาน พลับทนไม่ไหวแล้ว”

งานเข้าแล้วฌาน เอาไงดี?!

“แต่อีกแค่ปีเดีย...” แฝดพี่ดันร่างที่นอนก่ายอยู่เหนือตนออกห่าง ทว่าเด็กหนุ่มกลับยื่นหน้าเข้าใกล้ก่อนกระซิบเผยความปรารถนาด้วยเสียงกระเส่าในระยะปากแนบปาก

“แต่พลับอยากนี่ ฌานไม่อยากเหรอ?” สิ้นคำ ปวรก็ปิดกั้นเสียงประท้วงของฌานด้วยริมฝีปากกับเรียวลิ้นชุ่มฉ่ำ ส่วนมือข้างที่ล้วงต่ำก็กลับมาทำหน้าที่เดิมอย่างขมีขมันจนคนโตกว่ารู้สึกเสียวไส้ “ฌานไม่อยากได้พลับเหรอ?”

เสียงเพรียกแว่วหวานของดำฤษณาเกือบจะพร่าผลาญสติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของอดีตเด็กสถาปัตย์ได้อยู่แล้วเชียว หากไม่ติดว่า จังหวะที่เกือบจะเคลิ้ม ๆ อยู่นั้น ภาพสีหน้าผิดหวังของว่าที่คุณพ่อตาลอยผ่านเข้ามาในห้วงความคิด

“อยากครับ แต่ตอนนี้ไม่ได้ครับ!” แฝดพี่พลิกตัวขึ้นคร่อมอีกฝ่ายเอาไว้ พร้อม ๆ กับใช้น้ำหนักตัวกดทับร่างคนรักไม่ให้กระดุกกระดิก

“ฌาน ทำกันเถอะนะ” กิเลสในรูปของพลับส่งสายตาหวานเชื่อมขณะอ้อนวอนขอในสิ่งที่ชายหนุ่มปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง ทว่าสำหรับฌานแล้ว สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการได้ลิ้มรสรักกับปวรในตอนนี้ คือการได้รับการยอมรับและความไว้วางใจจากเหล่าผู้ปกครองของอีกฝ่ายอย่างไร้ข้อกังขา

“ไม่ครับ ฌานจะไม่ผิดสัญญากับป๋าเป็นอันขาด”

“แต่ถ้าเราไม่พูด ป๋าก็ไม่รู้หรอก” ทายาทเบอร์สามของบ้านเถียงทันควันก่อนจะเอ่ยเชิญชวนด้วยสีหน้าท่าทางอย่างเปิดเผยไม่อ้อมค้อม” นะฌาน”

“ถึงไม่มีใครพูด แต่เราสองคนก็รู้อยู่แก่ใจ ฌานไม่อยากให้ป๋าผิดหวังเพราะอารมณ์ชั่ววูบ”
“แต่ฌา...”
“ถ้าตัวเล็กยังไม่ยอมนอนดี ๆ คืนนี้ฌานจะลงไปนอนข้างล่างนะครับ!” ที่หนักแน่นกว่าน้ำหนักตัวเหนือร่างของปวรก็เห็นจะเป็นจุดยืนของฝ่ายที่อาบน้ำร้อนมาก่อนนี่แหละ เพราะแม้เด็กหนุ่มวัยสิบหกจะพยายามชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมคนโตกว่าสักแค่ไหน กระนั้น คู่กรณีกลับไม่ออกอาการหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังคิดจะหนีเขาไปให้พ้น ๆ อีกต่างหาก 

“ไม่เอา พลับไม่ให้ฌานไปนอนที่อื่น!” ฝาแฝดคนเล็กของบ้านคุณะประสิฒธิ์โวยวายเมื่อเงื่อนไขของฌานผิดไปจากที่ตนคาดการณ์ลิบลับ

“งั้นตัวเล็กต้องสัญญากับฌานก่อนว่าถ้ายังไม่ถึงเวลา ตัวเล็กจะไม่ทำแบบเมื่อกี๊อีก... นะครับ”

“ตกลง พลับจะไม่ทำอีก” เด็กหนุ่มรับคำเสียงอ่อยพลางทำหน้าจ๋อยสนิท เมื่อเห็นดังนั้น ฌานก็ลูบหัวคนรักเบา ๆ เพื่อปลอบใจก่อนจะทิ้งตัวลงนอนพลางสวมกอดอีกฝ่ายเอาไว้ในท่วงท่าตั้งต้นอีกครั้ง

“ดีมากครับ นอนได้แล้วครับ ดึกแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง” ด้วยความเคยชินกับการหักห้ามใจตัวเองมาตลอดหลายสิบปี ชายหนุ่มผู้ถือคำสัญญายิ่งชีวีจึงสามารถคลี่เปลือกตาปิดลงได้อีกครั้งราวกับไม่เคยมีเหตุการณ์ระทึกขวัญใด ๆ เกิดขึ้น ทว่าอีกคนกลับไม่อาจข่มตาหลับได้ เด็กมอปลายเผลอปล่อยตัวให้จมอยู่ในห้วงความคิดฟุ้งซ่านอยู่อีกพักใหญ่         ๆ ก่อนที่อำนาจแห่งนิทรารมย์จะเอาชนะได้ทุกสรรพสิ่ง


«»------------------------------------------------------------------------------------«»


“พี่พลายโคตรเท่เลยอ่ะมึง ดูดิ๊!” เด็กหนุ่มท่าทางตุ้งติ้งหมายเลขหนึ่งกรีดร้องพลางเต้นเร่า ๆ ระหว่างเฝ้ามองหนึ่งในผู้เล่นซึ่งเลี้ยงบอลอยู่กลางสนามตาเป็นมัน ท่าทางเหมือนคนหิวโซเห็นสำรับกับข้าวสุดโอชะทำเอาเด็กหนุ่มหมายเลขสองที่ยืนข้าง ๆ กันอดแสดงความคิดเห็นไม่ได้

“ไหน ๆ ... หูย เท่อ้ะ! ขนาดไม่ได้เป็นตัวจริงนะ ยังเล่นพลิ้วกว่าพวกนักบอลอีก”

“ใช่ เอวพี่เขาโคตรพลิ้วเลย... ถ้ากูได้กับเขานะ กูจะเลียให้ล้ม อมให้ยุ่ยเลยคอยดู” ใครบอกว่ามีแต่พวกสาว ๆ ที่ตกเป็นเหยื่อของการคุกคามทางเพศ เดี๋ยวนี้กระทั่งผู้ชายหล่อ ๆ เองก็โดนรุกรานด้วยวาจาอย่างเผ็ดร้อนแบบไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน

“นั่นว่าที่ผัวกู อย่าสะเออะค่ะอีเงือกที่ราบสูง!

“แหม มึงน่ะสวยตายนะคะกระเบนราหู พูดจาไม่ดูหนังหน้าตัวเองเล้ย! คนอย่างพี่พลายน่ะเหรอจะลดตัวลงมาสังวาสกับสุสานหอยชักตีนอย่างมึง!

“โว้ย! นี่พวกมึงจะกัดกันทำไม พี่พลายเขารู้จักพวกมึงไหม?” ที่สุดแล้ว เสียงที่สามของกรรมการห้ามมวยก็ดังขึ้นเพื่อเรียกสติของทั้งสองสาวในร่างเด็กหนุ่มวัยกำลังโต “ตื่นได้แล้วอีนี่ ไป ๆ ไปซ้อมพาเรดกันเสียทีก่อนที่พวกน้องมอต้นจะหนีกลับบ้านกันหมด!

ทันทีที่เด็กมอสี่กลุ่มเมื่อครู่เดินลับสายตาไป ปวรที่แอบฟังบทสนทนาเมื่อครู่มาโดยตลอดก็เงยหน้าขึ้นจากตำราเพื่อถามไถ่ฝาแฝดคนกลางอย่างเป็นห่วง “กลางโอเคไหม?”

“โอเค” พลุหัวเราะร่วนเมื่อเห็นสีหน้าวิตกกังวลจนคิ้วแทบจะชนกันของน้องชายเต็ม ๆ ตา “เล็กเป็นอะไร? ทำไมทำหน้าทำตาแบบนั้น?”

“ก็เล็กเป็นห่วงกลางนี่” คนพูดเอ่ยพลางทำหน้าบุ้ยใบ้เพื่อให้พี่ชายนึกถึงคำพูดของรุ่นน้องกลุ่มเมื่อครู่ “กลางไม่คิดอะไรจริง ๆ นะ?”

“หึ หึ หึ... กลางไม่คิดอะไรเลย สบายใจได้” ปพนคลี่ยิ้มละไมพร้อมกับส่ายหัวน้อย ๆ เพื่อยืนยันความรู้สึกของตัวเอง แต่แม้เจ้าตัวจะแสดงออกชัดเจนถึงเพียงนี้ น้องชายคนสุดท้องก็ยังไม่วางใจ

“แน่นะ? ไม่ได้โกหกเล็กอยู่ใช่ไหม?”

“แน่สิ”

“จริงอ่ะ?”

“หึ หึ หึ จริง” ที่เขาว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจคงจะไม่ผิดนัก เพราะสิ่งที่พลับครุ่นคิด สะท้อนอยู่ในลูกแก้วสีน้ำตาลอ่อนทั้งสองจนหมดสิ้น จึงไม่แปลกหากคนเกิดก่อนจะเข้าใจความห่วงใยของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี พลุจึงอดรู้สึกอุ่นในใจไม่ได้เมื่อรับรู้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายที่ไหลบ่าท่วมท้นออกมาเช่นนี้ “เพราะอะไรรู้ไหม?”

“อะไร?” ปวรออกอาการสนอกสนใจกับคำโปรยของคนเป็นพี่ เพราะลองเปลี่ยนตัวละครในท้องเรื่องเมื่อสักครู่เป็นฌานสิ เขานี่แหละจะเดินเข้าไปส่งสายตาขับไล่น้องมอสี่สองคนนั้นให้ไปไกล ๆ ก่อนใครเพื่อน

“ก็เพราะเล็กคิดแทนกลางไปหมดแล้วไง” ปพนกวาดสายตามองใบหน้าของน้องชายคนเล็กด้วยความรักใคร่ และนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายได้อย่างจะแจ้งหลังจากเจ้าตัวได้ยินประโยคล่าสุดที่เขาเพิ่งเอื้อนเอ่ย “จริงไหม?”

“...อืม...” ฝาแฝดคนเล็กอ้อมแอ้มก่อนจะทำหน้ายู่ “ถ้าเล็กเผลอไปได้ยินใครพูดถึงฌานแบบนี้ เล็กคงต้องบ้าตายวันละหลาย ๆ รอบแน่ ๆ ”

“เหมือนที่เล็กกำลังเป็นอยู่ตอนนี้น่ะเหรอ?” พลุกระเซ้าด้วยหวังให้น้องชายคลายความวิตก แต่กลายเป็นว่า ฝาแฝดคนรองกลับต้องระเบิดหัวเราะอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่เมื่อคู่สนทนาทำหน้าเป็นจวักหนักข้อยิ่งกว่าเดิม “แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น ทำไมวันนี้เล็กถึงรอกลับพร้อมกลางกับใหญ่? อาฌานติดงานด่วนอีกแล้วเหรอ?”

“เปล่า เล็กบอกฌานว่าเล็กอยากอยู่เชียร์ใหญ่เตะบอล ฌานเลยแวะไปรับยัยจิ๋วก่อนแล้วค่อยไปรอที่บ้าน” ปวรตอบพลางเหลือบมองโทรศัพท์บนหน้าตักที่มีการแจ้งเตือนข้อความเข้าใหม่วูบขึ้นเป็นระยะ ๆ หากแต่เจ้าตัวกลับปล่อยปละละเลยทั้ง ๆ ที่ไม่ละสายตาจากข้อความใหม่บนหน้าจอเลยสักวินาที

เมื่อเดาจากสีหน้าท่าทางของผู้เป็นน้องแล้ว พลุเชื่อว่าคุณอาสุดหล่อน่าจะเป็นเจ้าของข้อความทั้งหมด เพราะตั้งแต่เล็กจนโต ฌานเป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่ขยันส่งข้อความหาฝาแฝดคนสุดท้องของบ้านเวลาที่ทั้งสองต้องอยู่ห่างกัน หากแต่วันนี้กลับดูจะถี่กว่าทุกทีเท่านั้นเอง

“ไหนบอกกลางซิว่างอนอาฌานเรื่องอะไร?” อาการผิดปกติของน้องชายทำให้ปพนไม่อาจนิ่งนอนใจ

และแน่นอนว่า เมื่อพี่คนกลางที่ตนสนิทสนมด้วยแสดงออกถึงท่าทีใส่ใจ มีหรือที่ปวรจะเก็บซ่อนเรื่องทุกข์ใจเอาไว้คนเดียว “เล็กไม่ได้งอนเสียหน่อย แค่น้อยใจเฉย ๆ เอง”

“ก็นั่นแหละ น้อยใจอาฌานเรื่องอะไร?” อาการบึนปากคว่ำโดยไม่รู้ตัวของน้องฟ้องชัดถึงสาเหตุที่ทำให้พลับนั่งหน้าเศร้าจับเข่าเจ่าจุกมาตลอดทั้งวัน “เรื่องคนที่ทำงานอาฌานอีกล่ะสิ?”

“ก็ฌานต้องทำงานกับพวกนายแบบนางแบบเยอะแยะ แล้วพวกนั้นก็หน้าตาดี ๆ กันแทบทุกคน แถมบางคนก็สนใจฌานออกนอกหน้าทั้ง ๆ ที่รู้ว่าฌานมีแฟนอยู่แล้ว”

พอเห็นน้องชายคนเล็กของบ้านบ่นกระปอดกระแปด พลุจึงอดสงสัยไม่ได้ “เล็กไม่ไว้ใจอาฌานเหรอ?”

“เปล่า”

“แล้วจะคิดมากทำไม?”

“ก็เล็กไม่ไว้ใจคนอื่นนี่ โดยเฉพาะยัยดีดี้อะไรนั่น! หางเสียงของปวรตวัดทันทีที่พาดพิงนางแบบสาวที่อยากได้ฌานเป็นแฟนจนตัวสั่น

เหตุที่พลับแค้นฝังหุ่นอีกฝ่ายอย่างฝังจิตฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นเพราะบ่อยครั้งที่ฌานมักจะพาเขาไปนั่งเล่นที่ออฟฟิศ ทว่าด้วยฐานะของอากับหลานที่คนส่วนใหญ่รับรู้ ทำให้มีคนมากมายหมั่นมาขายขนมจีบให้ตากล้องรูปหล่อต่อหน้าต่อตาหลานชายในนามอย่างเขาเสมอ กระนั้นกลับไม่มีใครใจกล้าและปากว่ามือถึงกับฌานได้อย่างหน้าไม่อายเท่ากับนางแบบสาวอีกแล้ว พลับจึงมักจะของขึ้นเสมอเมื่อเจอฤทธิ์เดชของดีดี้ผู้หมายตาตำแหน่งอาสะใภ้ของเขายิ่งกว่าใคร ๆ

“แต่ถ้าอาฌานไม่เล่นด้วย ก็จบไหม?”

“ก็จริง แต่เล็กอดหึงไม่ได้หนิ” พลับยังคงเหวี่ยงไม่หาย กระทั่งได้ยินคำถามให้สติของคนเป็นพี่เต็ม ๆ สองรูหูแล้วก็ตาม

“ถามจริง ที่เล็กหึงอาฌานเพราะเล็กยังแสดงความเป็นเจ้าข้าวเข้าของอาฌานแบบออกนอกหน้าไม่ได้ใช่ไหม?” พลุพยายามเจาะลึกถึงต้นเหตุของปัญหาเพื่อช่วยเยียวยาสภาพจิตใจของน้องชายโดยเร็วที่สุด

“นั่นก็ด้วย แต่ต่อให้คนทั้งโลกรู้ว่าเล็กกับฌานเป็นอะไรกัน เล็กว่าเล็กก็หึงฌานอยู่ดีนั่นแหละ” ฝาแฝดคนสุดท้องพึมพำกับตัวเองเสียงอ่อย ทว่าน้ำเสียงระรื่นของดีดี้ที่เฝ้าหลอกหลอนเขามาตลอดทั้งคืนจะทำให้เด็กหนุ่มกลับมาฟาดงวงฟาดงาแบบไม่เลือกหน้าได้อีกครั้ง “ก็ใครใช้ให้ฌานทั้งหล่อทั้งเท่แบบนั้นล่ะ เล็กก็ต้องหวงต้องหึงเป็นธรรมดาสิ!

“เล็กฟังกลางนะ” บางอย่างในน้ำเสียงของฝาแฝดคนรองดึงดูดความสนใจของน้องชายได้เป็นอย่างดี ปวรปล่อยวางความคิดขุ่นข้องแล้วนิ่งฟังผู้เป็นพี่อย่างตั้งอกตั้งใจ “ช่วงเวลาที่เล็กงอนอาฌานน่ะ ไม่ใช่แค่เล็กคนเดียวหรอกนะที่ไม่มีความสุข กลางว่าตอนนี้อาฌานเองก็คงว้าวุ่นใจมากเหมือนกัน” เจ้าของประโยคเอ่ยพลางชำเลืองมองมือถือของพลับที่หน้าจอวูบขึ้นอีกครั้งพลางคลี่ยิ้มละไม “ว่าไหม?”

“...” ในเมื่อหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ชัดถึงเพียงนี้ ทายาทเบอร์สามจึงไม่อาจโต้แย้งพี่ชายได้

เป็นครั้งแรกของวันที่พลุสัมผัสได้ถึงความรู้สึกผิดในแววตาของผู้เป็นน้องขณะเฝ้ามองหน้าจอมือถือของตัวเอง เด็กหนุ่มจึงเสริมความโดยพลัน “กลางเชื่อนะว่า ในโลกนี้ นอกจากอาฌอนแล้ว คงไม่มีใครรู้จักอาฌานดีกว่าเล็กหรอก เพราะฉะนั้น เล็กอย่าเก็บเรื่องของคนโน้นคนนี้มากวนใจจนทำให้เวลาดี ๆ ระหว่างเล็กกับอาฌานต้องเสียเปล่าเลย”

“...”

“คนนอนด้วยกันทุกคืนน่ะสำคัญกว่าคนอื่น ๆ เยอะเลยนะ เชื่อกลางสิ” หนุ่มแว่นส่งยิ้มบาง ๆ ให้น้องก่อนจะเบือนหน้าไปเฝ้ามองศูนย์หน้ากิตติมศักดิ์ผู้เป็นจุดรวมสายตาเพียงหนึ่งเดียวของตนขณะวิ่งเลี้ยงลูกบอลอย่างแคล่วคล่องอยู่ในสนามด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย

ท่าทีสงบสุขจนน่าเลื่อมใสระคนน่าอิจฉาอยู่ในทีของคนเป็นพี่ทำให้ปวรเริ่มฉุกคิด แต่เพราะข้อกังวลบางประการกลับทำให้เด็กหนุ่มยังไม่ปลงใจเสียทีเดียว “นี่กลางจะไม่ห้ามเล็กไม่ให้หึงฌานหน่อยเหรอ?”

“หึ หึ หึ เรื่องนั้นเล็กคงต้องไปถามอาฌานแล้วล่ะ เพราะอาฌานอาจจะชอบที่เล็กหึงก็ได้ ใครจะรู้” พลุตอบพลับโดยไม่ละสายตาจากฝาแฝดคนโต และความแน่วแน่ของสายตาคู่งามเบื้องหลังกรอบแว่นนั้นก็ทำให้คนเป็นน้องเลื่อนกรอบสายตาจับจ้องความเคลื่อนไหวของพลายตามพี่ชายคนรองไปอีกคน

“แล้วใหญ่ล่ะ ใหญ่ชอบให้กลางหึงใหญ่ไหม?”

“ไม่รู้สิ”

หากให้ว่ากันตามตรง ปพนเองก็ไม่แน่ใจนักว่าคำตอบของเขาเที่ยงตรงสักกี่มากน้อย เพราะเวลาเมื่อไรที่เขาเผลอออกอาการหึงหวงคนรัก พลายก็มักจะหาโอกาสปรับความเข้าใจกับเขาโดยไม่รอช้า

ไม่เท่านั้น ฝาแฝดคนโตยังคอยเน้นย้ำทุกค่ำเช้าว่าเขาไม่ควร แสดง อารมณ์ใด ๆ ออกมาจนผิดสังเกต เพราะหากถูกจับได้ นิสัยโกหกใครไม่เป็นของตัวเขาเอง อาจทำลายความสัมพันธ์ของพวกเขาจนย่อยยับ ความนิยมชมชอบของพลายว่าด้วยเรื่องทำนองนี้จึงไม่มีความสำคัญต่อทายาทคนรองของบ้านไปในที่สุด

“ทำไมกลางถึงไม่รู้ล่ะ? กลางคบกับใหญ่มาตั้งหลายปี กลางไม่เคยหึงใหญ่เลยเหรอ?” ปวรอดสงสัยไม่ได้... จอมเรียกร้องอย่างพี่พลายน่ะเหรอจะไม่อยากให้แฟนหึง แฟนหวง?! เป็นไปไม่ได้!

“เปล่า กลางแค่ไม่เคยถามน่ะ อีกอย่าง กลางก็ไม่รู้จะหึงใหญ่ไปทำไม ก็ใหญ่ไม่เคยทำตัวเจ้าชู้ไปทั่วเสียหน่อยหนิ” ปพนยกเหตุผลตามความเป็นจริงขึ้นเสริมจนคนฟังเริ่มคล้อยตาม

จริงดังคำของพี่ชาย เพราะเท่าที่พลับเห็นมาตลอดสิบกว่าปีที่อยู่ด้วยกันมา ฝาแฝดคนโตไม่เคยทำตัวนอกลู่นอกทางเลยสักครั้ง แถมยังคลั่งไคล้พลุมากเสียจนน่ารำคาญด้วยซ้ำ คิดได้ดังนั้น ปวรจึงปรารภกับตัวเองอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “เล็กอยากเป็นเหมือนกลางจัง จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนเวลาเห็นฌานทำงานกับคนพวกนั้น”

“ตอนแรกกลางก็ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก แต่เพราะใหญ่มั่นคงจนกลางไว้ใจ” พลุบีบมือน้องชายเบา ๆ พลางชี้ทางสว่าง “ที่สำคัญ กลางมีแบบอย่างที่ดีให้ทำตามตั้งสองคนเลยนะ”

“หืม? ใครเหรอ?” เจ้าของประโยคตาเป็นประกายด้วยนึกอยากได้เคล็ดลับดี ๆ จากพี่ชายขึ้นมาตงิด ๆ

“ก็แด๊ดกับพ่อฟูไง เล็กไม่เห็นเหรอว่าขนาดแด็ดกับพ่อฟูทำตัวเฉย ๆ ป๋ายังเกรงใจและรักแด๊ดกับพ่อฟูของพวกเราจะตาย กลางเลยคิดได้ว่า ถ้าเรารักและให้เกียรติ ให้ความเชื่อถือคนของเรา เราก็จะได้สิ่งเหล่านั้นตอบแทนกลับมาโดยไม่ต้องใช้ความพยายามเลยสักนิด”

“จริงด้วย!

“ใช่ไหมล่ะ” หนุ่มแว่นผสมโรงด้วยความภาคภูมิใจในตัวพ่อ ๆ และครอบครัวอันอบอุ่นของพวกเขาอย่างที่สุด แต่แทนที่สีหน้าของน้องชายจะดีขึ้น ปวรกลับดูท้อแท้และย่ำแย่ผิดคาด  

“โธ่เอ๊ย! ทำไมเมื่อวานเล็กถึงไม่คุยกับกลางก่อนนะ ดูซิ เข้าหน้าฌานแทบไม่ติดแล้วเนี่ย!” พี่ชายคนรองยังไม่ทันจะได้ซักน้องให้รู้ความ เสียงนกหวีดจากข้างสนามก็ดังแทรกขึ้นพร้อม ๆ กับการเปลี่ยนตัวออกของฝาแฝดคนโต

ทันทีที่เห็นคนรักเดินพ้นเส้นข้างสนามด้วยท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง ปภพก็กลายเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่พลุต้องรีบดูแลและแก้ไขอย่างเร่งด่วนยิ่งกว่าเรื่องทุกข์ร้อนใด ๆ ของใครอื่น “อ่ะนี่ ค่อย ๆ จิบ” หลังยื่นผ้าเย็นให้อีกฝ่าย ปพนก็เทน้ำใส่แก้วส่งให้พี่ชายพลางกำชับด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“เห็นลูกเมื่อกี๊ป่ะ? ใหญ่ตั้งใจยิงให้กลางเลยนะ” ทันทีที่หยุดหอบหายใจ ศูนย์หน้าสุดหล่อก็ขอเครดิตจากคุณผู้ชมสุดที่รักโดยไม่รั้งรอ

“ใหญ่ไม่ได้ตั้งใจยิงให้กลางทุกลูกหรอกเหรอ?” จริงอยู่ที่แม้พลุจะถามกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่สำหรับคนฟังอย่างพลับกลับรู้สึกเคอะเขินอย่างไม่มีสาเหตุด้วยรู้แก่ใจว่า นั่นคือการเกี้ยวพาราสีอีกฝ่ายในแบบฉบับของพี่ชายฝาแฝดทั้งสอง

“ก็ทุกลูกนั่นแหละ แต่ลูกเมื่อกี๊มันสวยโคตร ๆ ไง” คนอวดโอ่ยิ้มหน้าบาน ส่วนคนถูกอวดกลับเลือกที่จะแสร้งกลอกตามองหน่าย ๆ คล้ายกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทว่าลึก ๆ แล้ว ปพนก็อดดีใจไม่ได้ที่พี่ชายคนโตให้ความสำคัญกับตัวเองอย่างที่สุด

“เดี๋ยวพี่พลายต้องลงอีกป่ะ?” ทายาทหมายเลขสามชิงถามเปลี่ยนบรรยากาศ เพราะขืนปล่อยให้พี่พลายกับพลุจีบกันไปนาน ๆ เขานั่นแหละที่จะเป็นเบาหวานไปเสียก่อน 

“เหอะ! ไม่อ่ะ ขี้เกียจ ปล่อยให้พวกมันเล่นไปแล้วกัน” พลายตอบพลางยืดขา เท้าแขนลงกับพื้นแล้วนั่งเอนตัวทิ้งน้ำหนักไปด้านหลัง แต่หากตั้งใจสังเกตให้ดี ๆ จะเห็นว่า ฝ่ามือของฝาแฝดคนโต วางทาบอยู่เหนือหลังมือของปพนอย่างเหมาะเจาะเหลือเกิน

“แล้วพวกนั้นจะไหวเร้อ”

“หึ! ถ้าพวกมันยังจะแพ้อีกก็กากเกินไปแล้ว” คนพูดดูดน้ำพลางมองเกมในสนามไม่วางตา

“เฮ่อ น่าสงสารพวกนั้นเหมือนกันแฮะ อีกตั้งนานแน่ะกว่าจะหมดเวลา” พลับเปรยขึ้นเมื่อเห็นสถานการณ์อันดุเดือดภายในสนามที่ฝ่ายตรงข้ามแทบจะพับสนามบุกด้วยหวังจะตีตื้นให้ได้โดยเร็ว

“ไง เมื่อกี๊คุยอะไรกันอยู่ เห็นทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเชียว?” ปภพละสายตาจากเกมกีฬาตรงหน้าเพื่อหันไปมองคนหน้าเหมือนกับตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ไม่มีอะไรหรอก” ปพนจงใจปดค่าที่ไม่อยากขุดคุ้ยเรื่องของน้องขึ้นมาอีกครั้ง

แต่ด้วยเพราะพลายรู้จักคนรักของตัวเองเป็นอย่างดี มีหรือที่เรื่องขี้ปะติ๋วเช่นนี้จะเล็ดรอดไปจากสายตาของเขาได้ “ไม่มีอะไรได้ยังไง? หรือแอบคุยกันเรื่องคนอื่น? เมื่อกี๊แอบคุยเรื่องไอ้พรินซ์เหรอ?!” ทายาทคนโตของบ้านคาดคั้นด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวหลังทึกทักไปใหญ่โต

เพื่อไม่ให้เกิดการปะทะระหว่างสองฝาแฝด ส่วนเกินเพียงหนึ่งเดียวจึงเป็นฝ่ายให้ข้อมูลเสียเอง “เปล่า เมื่อกี๊พลุแค่ถามเรื่องพลับกับฌานเฉย ๆ ” ก่อนที่พลับจะว่าต่อ อยู่ ๆ เจ้าตัวก็นึกอะไรบางอย่างได้กลางคัน “เออใช่! เพราะพี่พลายแท้ ๆ เลย แนะนำอะไรพลับก็ไม่รู้!” ปวรโวยวายพลางมองค้อนพี่ชายคนโตอย่างเคียดแค้น  

สีหน้าไม่สบอารมณ์ของน้องชายคนสุดท้องเรียกเสียงหัวเราะของแฝดพี่ได้เป็นอย่างดี “แล้วเป็นไงล่ะ ได้ผลมะ?”

ได้ผลกับผีน่ะสิ!” พลายหัวเราะร่วนทันทีที่ได้ฟังคำตอบล่าสุดจนพลับอดแขวะไม่ได้ “คนอะไรโดนด่าแล้วยังไม่สำนึกอีก!

“ฮ่า ๆๆ อาฌานแม่งอึดว่ะ นับถือ ๆ ”

อาการหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหลของปภพกวนใจฝาแฝดคนรองอย่างบอกไม่ถูก “เดี๋ยวใหญ่ ใหญ่แนะนำอะไรน้อง?!” พลุซักไซ้คนรักเสียงเขียว

พลายกระหยิ่มพลางอธิบายกลั้วเสียงหัวเราะอีกคำรบ “ก็เมื่อคืนใหญ่เห็นเล็กไม่กล้าพูดกับอาฌานตรง ๆ  ใหญ่เลยบอกให้เล็กลองคุยกับอาฌานอ้อม ๆ ดู” ระหว่างเจรจา แฝดพี่ก็ประกบฝ่ามือเข้าด้วยกันแล้วขยับไปมาจนเกิดเสียงดังป๊าบ ๆ ซึ่งเมื่อเสียงดังกล่าวเดินทางมาพร้อมกับสีหน้าทะเล้น ก็ทำเอาน้องชายทั้งสองหน้าม้านไปตาม ๆ กัน

“ก็แบบนั้นแหละ ตั้บ ๆๆๆ ” รอบนี้คนพูดไม่ออกท่า ทว่าส่งสายตาเจ้าชู้ขณะให้เสียงซาวด์เอฟเฟคสุดเร้าใจ และนั่นทำให้เส้นความอดทนของน้องคนรองขาดผึง

ใหญ่! ใหญ่ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าอาฌานให้สัญญาอะไรกับป๋าไว้?!

“ก็รู้ไงถึงได้บอกเล็กไปแบบนั้น กลางก็รู้ไม่ใช่เหรอว่า บางที นอนคุยกันน่ะง่ายกว่าพูดเยอะ จริงไหมครับ?” พลายยังคงทำหน้ากรุ้มกริ่มอย่างไม่รู้สำนึกเพื่อล้อเลียนพลุโดยเฉพาะ ฝ่ายคนที่แพ้ทางแฝดพี่อย่างหมดรูปอย่างปพนก็รีบเสหลบตาแล้วหันไปกำชับกำชาน้องชายคนเล็กเพื่อกลบเกลื่อนอาการกระดากอายของตัวเองเสีย

“พอเลย หลังจากนี้ถ้าเล็กมีเรื่องอะไรให้ถามกลางไม่ก็พวกป๋า ห้ามถามใหญ่เด็ดขาด! เข้าใจไหมเล็ก?”

“อืม ต่อไปเล็กจะไม่ถามอะไรพี่พลายอีกแล้ว” ฝาแฝดคนสุดท้องรับคำหน้าจ๋อยพลางตำหนิตัวเองในใจด้วยความอับอายเมื่อหวนคิดถึงวีรกรรมที่ตนเผลอทำไปเมื่อคืนโดยไม่คิดใคร่ครวญให้ดี ๆ


«»------------------------------------------------------------------------------------«»


“ตัวเล็ก ตัวเล็กเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” ฌานชิงถามคนที่นอนรออยู่บนเตียงก่อนที่ค่ำคืนนี้จะสิ้นสุดลง แต่ดูเหมือนว่าคำถามดังกล่าวจะทำให้อีกฝ่ายไม่สบายใจจนต้องเสหลบตามองไปอีกทางก่อนจะแสร้งทำยิ้มร่าเริงขณะเอ่ยตอบ

“เปล่าเสียหน่อย ฌานคิดมาก!

“แล้วทำไมเย็นนี้ถึงไม่ให้ฌานไปรับล่ะครับ?” แทนที่จะปิดไฟห้องเพื่อเข้านอนเหมือนทุกที ตากล้องหนุ่มกลับทอดตัวลงนอนข้าง ๆ แล้วดึงตัวพลับเข้าไปกอด พลางเชยคางคนรักให้เงยหน้ามองกัน

“ก็เล็กอยากอยู่เชียร์พี่พลายเป็นเพื่อนพลุไง” แม้จะรู้ตัวว่าไม่มีทางเลี่ยง ทว่าทายาทหมายเลขสามก็ยังคงบ่ายเบี่ยงไม่เลิก

“ปีที่แล้วฌานก็ไปนั่งเชียร์อยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมปีนี้ถึงไม่ให้ฌานไปดูด้วยล่ะครับ?”

“ก็... ก็” เด็กหนุ่มเลิ่กลั่กด้วยจนแก่เหตุผลและข้ออ้าง ทว่าฌานผู้ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางใด ๆ กลับไพล่คิดไปเป็นอีกอย่าง

“โกรธฌานเรื่องเมื่อคืนเหรอครับ?”

“เปล่าเสียหน่อย”

“ไม่โกรธจริง ๆ นะ?”

“ไม่โกรธ”

“แล้วทำไมหลบตา?” ขนาดว่าเขาประคองใบหน้าอีกฝ่ายเอาไว้เป็นแม่นมั่น ทายาทหมายเลขสามของบ้านก็ยังหรุบตามองจับจ้องฝ่ามือตัวเองราวกับกลัวว่าจะถูกลมหายใจเป่ารดจนปลิดปลิว

“ฌานก็อย่าต้อนซี่” เด็กหนุ่มประท้วงพลางครุ่นคิดหาคำตอบที่ดีที่สุดด้วยไม่อยากพูดถึงสาเหตุที่แท้จริงของการหลบหน้าหลบตาอีกฝ่ายมาตลอดทั้งวัน

“เปล่าต้อนครับ ฌานแค่สงสัย... ฌานถามไม่ได้เหรอ?”

“ก็... ถามได้” หางเสียงแผ่ว ๆ คล้ายไม่มั่นใจของคนโตกว่าทำให้ปวรใจอ่อนยวบ เด็กหนุ่มช้อนตาขึ้นมองสบกับฌานเป็นระยะ ๆ ขณะปลอบตัวเองให้ทำใจยอมรับผลที่จะตามมาหลังเอ่ยคำสารภาพให้อีกฝ่ายรับฟัง

“งั้นตัวเล็กเป็นอะไรครับ?” แฝดพี่บรรจงหอมแก้มนวลเนียนอย่างรักใครพลางเว้าวอนเสียงอ่อนเสียงหวาน “บอกฌานได้ไหมคนดี เห็นตัวเล็กเป็นแบบนี้ ฌานไม่สบายใจเลยรู้ไหม?”
.
.
.
.
.
.
.
“พลับเขิน” หลังจากทำใจอยู่นาน ฝาแฝดคนสุดท้องก็ยอมเฉลยความนัยอย่างไม่เต็มเสียงนัก

“หืม? เขิน?!

“ก็... ก็พลับชวนฌานมีอะไรกันไง”

ฌานหลุดหัวเราะด้วยความเอ็นดูระคนชอบใจ ก่อนจะอธิบายสิ่งที่ตนคิดเห็นเกี่ยวกับหัวข้อชวนประหม่าที่เด็กหนุ่มอ้างอิง “ไม่เห็นต้องเขินเลยครับตัวเล็ก เซ็กส์เป็นเรื่องธรรมดาของคนเป็นแฟนกันอยู่แล้ว เวลาไหนอยากก็บอก เวลาไม่อยากก็ปฏิเสธ ง่าย ๆ แค่นี้เอง”

“เหรอ? ฌานไม่เขินเลยเหรอ?” อาจเป็นด้วยวัย หรือด้วยประสบการณ์ที่ยังจำกัด ปวรจึงอดประหลาดใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินไม่ได้ แก้มทั้งสองของเด็กหนุ่มขึ้นสีแดงจัดขณะที่ดวงตาลุกวาวคล้ายตื่นตะลึง... นี่เขาต้องแก่ขนาดไหนนะถึงจะพูดเรื่องอย่างว่าด้วยท่วงท่าสบาย ๆ แบบที่ฌานทำ?!   

“หึ หึ หึ” คนเกิดก่อนส่ายหัวดิกหากแต่ไม่เอ่ยคำ ทว่ากลับไพล่ไปถามถึงเรื่องที่อีกฝ่ายไม่อยากตอบขึ้นมาเสียอย่างนั้น  “ว่าแต่ เมื่อคืนตัวเล็กอยากขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”

“ฌานถามทำไม?” อาการเขินซ้ำซากทำเอาเด็กหนุ่มเผลอขึ้นเสียงกับคนรัก

“อ้าว ฌานก็จะได้หาเหตุผลว่ อะไรที่ทำให้อยู่ ๆ ตัวเล็กก็เกิดรู้สึกมากมายจนห้ามตัวเองไม่ได้แบบนั้น ฌานจะได้หาวิธีป้องกันเพื่อรักษาสัญญาของป๋าให้สำเร็จยังไงล่ะครับ”

“...” ปวรเริ่มอยู่ไม่สุข เขาพยายามขยับตัวขยุกขยิกแล้วพลิกตัวหนี แต่เพราะวงแขนของแฝดพี่ที่กอดรัดรอบตัวเสียแนบแน่น เด็กหนุ่มจึงทำได้แค่ถอนหายใจฮึดฮัดราวกับอึดอัดขัดใจอย่างไรอย่างนั้น

“ว่ายังไงครับ? เมื่อคืนอยากมากเลยเหรอ?” ความที่อยากรักษาสัญญากับพ่อตาให้ครบวาระ ฌานจึงไม่ยอมรามือจากคนรักโดยง่าย แต่ยิ่งตากล้องหนุ่มตื๊อหนักมือเท่าไร เลือดในกายของอีกฝ่ายก็ถูกสูบฉีดขึ้นมาหล่อเลี้ยงใบหน้าของปวรมากขึ้นเท่านั้น
เปล่าเสียหน่อย!
“อ้าว แล้วทำไ...”
ก็พี่พลายบอกว่าให้ลองชวนฌานมีอะไรกันดู เผื่อว่าพลับจะสบายใจที่ได้เป็นเจ้าของฌานเต็มตัวน่ะสิ!” สิ้นคำ เด็กหนุ่มก็ซุกหน้าเข้ากับแผ่นอกของคนรักเพื่อซ่อนใบหน้าแดงก่ำร้อนฉ่าของตนจากสายตาอีกฝ่าย

“หืม?! เมื่อกี๊ตัวเล็กว่าอะไรนะครับ?”

ก็พลับไม่ชอบให้ฌานทำงานกับคุณดีดี้นี่นา!!

“โธ่! คนดีของฌาน” อดีตเด็กสถาปัตย์รำพันกับตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อน ครั้นจะหัวเราะให้กับความน่ารักของแฟน เรื่องมันก็ดันซีเรียสจนเขาหัวเราะไม่ออก แต่ถ้าให้บอกว่ากลุ้มไหม อาการหึงหวงของพลับก็ดันถูกใจเสียจนเขายอบรับได้ไม่เต็มปากเสียอีก

ทำไมคุณดีดี้ถึงต้องมาถ่ายแบบกับฌานบ่อย ๆ ด้วยก็ไม่รู้ แถมพอทำงานกับคุณดีดี้ทีไร ฌานต้องกลับบ้านดึกทุกที! แล้วใครใช้ให้เมื่อคืนคุณดีดี้รับโทรศัพท์แทนฌานล่ะ?!!” ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสีย ฝาแฝดคนสุดท้องจึงคายความลับระดับชาติออกมาอย่างหมดเปลือก

“ตัวเล็กหึงฌานกับดีดี้เหรอครับ?”

“ก็กับทุกคนนั่นแหละ” ปวรอ้อมแอ้ม... ขืนให้เขาพูดเยอะกว่านี้ อีกฝ่ายคงได้รู้แน่ ๆ ว่า เหตุที่เขาก้มหน้าก้มตาร่ำเรียนเป็นบ้าเป็นหลัง ไม่ใช่แค่เพราะเจ้าตัวอยากให้บรรดาพ่อ ๆ ภูมิใจและวางใจที่เห็นความสำเร็จของเขาตั้งแต่อายุยังน้อยเท่านั้น หากแต่พลับไม่อยากใช้เวลาว่างไปกับการคิดฟุ้งซ่านเรื่องคนอื่นที่อาจจะเข้ามาหาฌานด้วยอีกประการนั่นเอง

“ฌานขอโทษนะครับ เมื่อวานงานมันเร่งมากจนฌานไม่อยากรับสายใคร ฌานเลยฝากโทรศัพท์ไว้กับพี่ตั๊ก”

“ไม่ได้ฝากไว้กับคุณดีดี้แน่ ๆ นะ?” เด็กหนุ่มหลุดปากถามอย่างว่องไว

“เปล่าครับ ต่อไปฌานจะพกโทรศัพท์ติดตัวไว้ตลอดก็แล้วกัน” ฌานถอนใจยาวเมื่อเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างครบถ้วน ต่อไปเขาคงต้องระวังตัวและเว้นระยะจากทุกคนมากกว่านี้ โดยเฉพาะดีดี้ ที่กำลังจะกลายเป็นแค่แบบสำหรับถ่ายภาพ ไม่ใช่เพื่อนร่วมงานตามที่ฌานเคยเข้าใจ... เพื่อความสบายใจของคนรักและตัวเขาเอง

สุ้มเสียงทอดถอนใจ กับสีหน้าคิดหนักของอีกฝ่ายทำให้ปวรอดนึกถึงคำเตือนของพี่ชายคนรองไม่ได้ “ฌานไม่ชอบให้พลับหึงเหรอ?”

“เปล่าครับ ฌานแค่กำลังคิดว่าหลังจากนี้ ฌานจะทำยังไงให้ตัวเล็กสบายใจดีน่ะครับ” ตากล้องหนุ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยค่าที่ยังคิดไม่ตกว่าจะป้องกันปัญหายิบย่อยทำนองนี้เช่นไร นี่ขนาดเขาเปิดอกคุยกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงานที่สนิทเกี่ยวกับเรื่องที่คบหาดูใจกับพลับมาตั้งแต่เริ่มรับหน้าที่ตากล้อง แต่สุดท้าย สถานะอา หลานบังหน้าตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจก็ยังนำพาเรื่องยุ่งยากในรูปสัตว์สองเท้ามาให้เขาต้องคอยแก้ไขอยู่เนือง ๆ

“ไม่ต้องหรอก เอาเป็นว่า พลับเองก็จะพยายามทำความเข้าใจกับงานของฌานให้มากขึ้น” ปวรว่าพลางสวมกอดฌานอย่างแนบแน่น ความอบอุ่นที่คุ้นเคยจากรสสัมผัสของคนพิเศษทำให้เด็กหนุ่มปลงใจได้ในท้ายที่สุด “พลับสัญญาว่าพลับจะไม่นอยด์ ไม่คิดมากเพราะงานของฌานอีก พลับเชื่อใจฌานนะ”

“จริงเหรอครับ?”

สีหน้าซาบซึ้ง ยินดีของแฝดพี่ยามที่ได้ยินประโยคน่าชื่นใจดังกล่าวทำเอาพลับเขินจนต้องแกล้งแซวแฟนตัวเองกลบเกลื่อน “ไม่ต้องดีใจขนาดนั้นก็ได้ ดูดิ๊ หน้าบานหมดหล่อแล้ว”

“หึ หึ” ช่างภาพหนุ่มถึงกับหลุดหัวเราะแต่ก็อดเต๊าะคนรักคืนไม่ได้ “หมดหล่อแล้วจริง ๆ น่ะเหรอครับ?”

“ใช่ที่ไหนเล่า” ปวรทำปากยื่นคล้ายไม่ชอบใจกับรูปลักษณ์ดึงดูดใคร ๆ ของคนรัก แต่ครั้นจะปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดจนน้อยเนื้อต่ำใจ เขาก็ทำไม่ได้ “ฌานของพลับน่ะหล่อที่สุดเลย รู้ตัวหรือเปล่า?”

“ครับ” แฝดพี่รับคำง่าย ๆ พร้อมกับชมคนในอ้อมกอดแบบซึ่ง ๆ หน้า “ตัวเล็กของฌานก็หล่อที่สุดเหมือนกันครับ” ว่าแล้ว ฌานก็กวาดตามองใบหน้าได้รูปของปวรอย่างพินิจพิเคราะห์ นับวัน เด็กหนุ่มก็ยิ่งดูละม้ายคุณพ่อหน้าหยกเข้าไปทุกที หากแต่ยีนฝั่งบ้านบ๊วยที่ปรากฏอยู่ในแววตาและรอยยิ้ม ก็ช่วยทำลดทอนความน่ายำเกรงตามแบบฉบับของวิญญูลงจนพลับดูละมุนละไม น่าทะนุถนอมไม่มีใครเกิน

“แต่ฌานไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าพลับจะหึงฌานน่ะ?” ปวรยังไม่วางใจเสียทีเดียว  

“ไม่ครับ ฌานชอบ เวลาตัวเล็กหึงแล้วน่ารักดี” คนฟังยู่หน้าบึนปากทันทีที่ได้ยินคำตอบของคนรักจนฌานอดกระเซ้าไม่ได้ “นี่ไง... น่ารักแบบนี้นี่ไง” ไม่ทันขาดคำ เจ้าของประโยคก็กดปลายจมูกดอมดมแก้มหอมอีกฟอดใหญ่ ๆ

“น่ารักจริงเหรอ? งั้นพลับหึงฌานทุกวันเลยดีไหม?”

“หึ หึ หึ ก็ลองดูสิครับ ถ้าตัวเล็กไม่เหนื่อยไปเสียก่อน”

“ใช่ เวลาหึงนี่มันเนื้อยเหนื่อยเนอะ” เด็กหนุ่มยอมรับอย่างหมดฟอร์ม พลางกล่อมตัวเองว่าการหึงหวงช่างเป็นกิจกรรมฆ่าเวลาที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย เพราะไหนจะต้องหัวร้อนเนื่องจากมัวอิจฉาคนอื่นอยู่ตลอดเวลาแล้ว ไป ๆ มา ๆ เขากับฌานยังพาลจะไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันเหมือนเย็นวันนี้อีกต่างหาก

“อีกอย่าง ฌานว่าฌานขี้หึงหนักกว่าตัวเล็กอยู่นะครับ ถ้าเจอฌานหึงใส่เข้าไป ตัวเล็กอาจจะเลิกหึงฌานไปตลอดเลยก็ได้นะครับ” ประโยคของฌานกระตุ้นให้พลับนึกย้อนถึงวีรกรรมเดินหนีหน้ามินิมาราธอนของอีกฝ่ายได้เป็นฉาก ๆ เด็กหนุ่มถึงกับหลุดปากบ่นคนรักของตัวเองเสียงขรม

“เออจริง! งั้นพลับเอาเวลาหึงฌานไปทำตัวดี ๆ ไม่ให้ฌานหึงดีกว่า เพราะเวลาฌานหึงทีไร พลับง้อเหนื่อยทุกที!” สิ้นเสียงบ่นงุ้งงิ้งของทายาทเบอร์สาม ก็มีเสียงหัวเราะร่วนของคู่รักต่างวัยดังประสานตามหลังมาติด ๆ




 «»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «»




No comments:

Post a Comment