รักชอบประการใด...
ฝากข้อความแทนใจเอาไว้ได้เลยค่ะ ^^
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 40th
Bonding
ช่องว่างระหว่างวัย
“ฮัลโหลฌาน
เมื่อไรจะกลับบ้าน พลับรอกินข้าวอยู่นะ”
ปวรออดอ้อนผ่านสายด้วยหวังให้ความรู้สึกห่วงใยของเขากระตุ้นให้คนรักรีบกลับมาพบหน้า
แต่แทนที่จะได้ฟังน้ำเสียงทุ้มต่ำคุ้นหูจากเจ้าของเลขหมายสมใจ
น้ำเสียงหวานหูของผู้ไม่พึงประสงค์กลับแจ้วจำนรรจ์ขึ้นมาเสียนี่
“ฌานกำลังทำงานอยู่ค่ะ
ไว้เดี๋ยวดีดี้จะบอกให้นะคะว่าน้องพลับรอทานข้าวด้วย”
“ฌานอยู่ไหนเหรอครับ
ทำไมไม่มารับสาย?” เด็กหนุ่มเสียงแข็งเมื่อต้องสนทนากับคนอื่นแบบไม่ทันตั้งตัว
ยิ่งเมื่อคู่สนทนาคือดีดี้ นางแบบสาวผู้เที่ยวป่าวประกาศกับใครต่อใครว่าสนใจฌานเอามาก
ๆ ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดไปกันใหญ่... นี่ฌานไว้ใจผู้หญิงคนนี้ขนาดปล่อยให้วุ่นวายกับโทรศัพท์ตามอำเภอใจเลยเหรอ?!
“อ๋อ
ฌานฝากโทรศัพท์ไว้กับดีดี้น่ะค่ะ ดีดี้เลยรับสายให้
น้องพลับอยากฝากข้อความอะไรถึงฌานอีกไหมคะ?”
“ไม่ล่ะครับ” คำตอบของนางแบบสาวทำเอาคนฟังหน้าชา
เด็กหนุ่มตัดบทพร้อมวางสายลงดื้อ ๆ พลางสืบเท้าอย่างเซื่องซืมมุ่งหน้าไปหาพี่ชายคนกลางที่ห้องนอนอีกฟากตึก
ทว่าแทนที่จะเป็นพลุที่รอท่าต้อนรับฝาแฝดคนสุดท้องอยู่หลังบานประตูใหญ่
พี่ชายคนโตของบ้านกลับยืนเท้าแขนกับกรอบประตูพลางคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้พร้อมกับเอ่ยคำทักทายผู้มาเยือนยามวิกาลอย่างมีเลศนัยคล้ายหมาป่าหมายขย้ำเหยื่อ
“ว่าไงเล็ก มีอะไรหรือเปล่า?”
“ทำไมป่านนี้ถึงยังไม่ยอมนอนอีกครับ?”
ตากล้องหนุ่มอดแปลกใจไม่ได้ เพราะไม่บ่อยนักที่คนรักจะอดตาหลับขับตานอนเฝ้ารอเขากลับบ้านทั้งที่รู้ว่าเขาต้องทำงานล่วงเวลา
“พลับรอฌาน”
“ฌานบอกแล้วไงว่าให้ตัวเล็กนอนไปก่อน”
คนโตกว่าเดินโฉบไปปิดสวิตช์ไฟก่อนจะค่อย ๆ สอดตัวเข้าในผ้าห่มพลางโอบรัดเรือนร่างอบอุ่นของคนรักเข้าแนบใกล้
“แล้วพรุ่งนี้จะตื่นไหวเหรอครับคนดี?”
“ต้องไหวสิ
แต่ถ้าตื่นไม่ไหว เดี๋ยวพลุก็มาปลุกเองนั่นแหละ” เด็กหนุ่มเปรยอย่างเอาแต่ใจ
หากแต่ฌานไม่เก็บมาเป็นอารมณ์ ด้วยรู้ว่าพลับรับผิดชอบตัวเองได้ดีเยี่ยมมาโดยตลอดแม้บางครั้งเจ้าตัวมักจะชอบพูดจาตีรวนไปบ้างก็ตาม
“ไม่ต้องให้พลุมาปลุกหรอกครับ
ฌานนี่แหละที่จะปลุกตัวเล็กเอง”
ระหว่างที่คนโตกว่าคว้ามือถือตรงโต๊ะข้างหัวเตียงมาตั้งนาฬิกาปลุก
ปวรที่ก็ถามไถ่เสียงแผ่ว “แล้วงานวันนี้เป็นไงมั่ง? เสร็จทันหรือเปล่า?”
“ทันครับ
แต่ก็เร่งกันน่าดู” ชายหนุ่มถอนหายใจพรูเมื่อหวนคิดถึงงานด่วนเมื่อช่วงหัวค่ำที่ทำเอาพวกเขาอ่อนล้าอย่างแสนสาหัส
แต่ห้วงนึกคิดทั้งหลายกลับมลายสิ้นเมื่อได้ยินน้ำเสียงเรียกอย่างอ่อนหวานน่าฟังของคนนอนข้าง
ๆ
“ฌาน”
“ครับ?”
“วันนี้ฌานคิดถึงพลับไหม?”
เด็กหนุ่มวัยสิบหกทอดเสียงถามพลางจรดปลายจมูกลงจู่โจมซอกคอคนโตกว่า
ฌานยิ้มมุมปากอย่างชอบใจพลางกระหวัดวงแขนกอดรัดคนรักขณะเฉลยความรู้สึก
“คิดถึงสิครับ
ฌานคิดถึงตัวเล็กตลอดเวลาเลยครับ”
“พลับก็คิดถึงฌาน
คิดถึงฌานที่สุดเลย” ทายาทหมายเลขสามแห่งคุณะประสิฒธิ์เลื่อนใบหน้าขึ้นระดมจูบทั่วใบหน้าเข้มพลางส่งสองมือลงลูบไล้เรือนกายกำยำของฌานอย่างขยันขันแข็ง
ท่าทางกระตือรือล้นของคนรักทำให้แฝดพี่ไม่ขัดข้อง
เนื่องจากขวบปีหลัง ๆ ทั้งสองต่างคุ้นเคยกับรสสัมผัสสุดหฤหรรษ์ที่ต่างปรนเปรอให้แก่กันเพียงผิวเผินเป็นอย่างดี
“หึ หึ หึ ทำไมวันนี้อ้อนจังครับ อยากได้หนังสือเล่มใหม่เหรอ?” เจ้าของประโยคไม่ยอมเสียเปรียบเพียงฝ่ายเดียว
ฌานฝังใบหน้าสูดดมกลิ่นกายของวัยแตกเนื้อหนุ่มที่กรุ่นกำจายยิ่งขึ้นเมื่อเจ้าตัวได้รับการกระตุ้นด้วยการสัมผัสของเขา
“เปล่าเสียหน่อย
พลับแค่คิดถึงฌานมากเท่านั้นเอ... อ๊ะ!” ปวรสะท้านเฮือกเมื่อผิวอ่อนตรงหลังใบหูถูกหยอกเย้าอย่างละมุนละม่อมด้วยริมฝีปากได้รูปคู่นั้น
ยิ่งฌานอ่อนโยนกับเขามากเท่าไร ร่างกายของเด็กหนุ่มก็ยิ่งตอบรับกับทุก ๆ
สัมผัสมากขึ้นทุกที และดูเหมือนว่าคราวนี้ ความต้องการของพลับจะยากเกินควบคุม
“ตัวเล็ก?!” ฌานผละจากพลางรั้งฝ่ามือนุ่มซึ่งล้วงผ่านขอบกางเกงนอนล่วงไปจนถึงจุดอ่อนไหวแล้วทำท่าว่าจะขยับ
“ตัวเล็กจะทำอะไรครับ?!”
ช่างภาพมือดีจับจ้องใบหน้าของคนรักด้วยสายตาตกตะลึงระคนหวาดหวั่น ยิ่งเมื่อได้ฟังคำตอบของอีกฝ่าย
อารมณ์พิศวาสทั้งหลายก็ปลาสนาการไปในทันที
“เราทำกันเถอะนะฌาน
พลับทนไม่ไหวแล้ว”
งานเข้าแล้วฌาน
เอาไงดี?!
“แต่อีกแค่ปีเดีย...”
แฝดพี่ดันร่างที่นอนก่ายอยู่เหนือตนออกห่าง
ทว่าเด็กหนุ่มกลับยื่นหน้าเข้าใกล้ก่อนกระซิบเผยความปรารถนาด้วยเสียงกระเส่าในระยะปากแนบปาก
“แต่พลับอยากนี่
ฌานไม่อยากเหรอ?” สิ้นคำ ปวรก็ปิดกั้นเสียงประท้วงของฌานด้วยริมฝีปากกับเรียวลิ้นชุ่มฉ่ำ
ส่วนมือข้างที่ล้วงต่ำก็กลับมาทำหน้าที่เดิมอย่างขมีขมันจนคนโตกว่ารู้สึกเสียวไส้
“ฌานไม่อยากได้พลับเหรอ?”
เสียงเพรียกแว่วหวานของดำฤษณาเกือบจะพร่าผลาญสติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของอดีตเด็กสถาปัตย์ได้อยู่แล้วเชียว
หากไม่ติดว่า จังหวะที่เกือบจะเคลิ้ม ๆ อยู่นั้น ภาพสีหน้าผิดหวังของว่าที่คุณพ่อตาลอยผ่านเข้ามาในห้วงความคิด
“อยากครับ
แต่ตอนนี้ไม่ได้ครับ!”
แฝดพี่พลิกตัวขึ้นคร่อมอีกฝ่ายเอาไว้ พร้อม ๆ กับใช้น้ำหนักตัวกดทับร่างคนรักไม่ให้กระดุกกระดิก
“ฌาน
ทำกันเถอะนะ” กิเลสในรูปของพลับส่งสายตาหวานเชื่อมขณะอ้อนวอนขอในสิ่งที่ชายหนุ่มปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าสำหรับฌานแล้ว สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการได้ลิ้มรสรักกับปวรในตอนนี้
คือการได้รับการยอมรับและความไว้วางใจจากเหล่าผู้ปกครองของอีกฝ่ายอย่างไร้ข้อกังขา
“ไม่ครับ
ฌานจะไม่ผิดสัญญากับป๋าเป็นอันขาด”
“แต่ถ้าเราไม่พูด
ป๋าก็ไม่รู้หรอก” ทายาทเบอร์สามของบ้านเถียงทันควันก่อนจะเอ่ยเชิญชวนด้วยสีหน้าท่าทางอย่างเปิดเผยไม่อ้อมค้อม”
นะฌาน”
“ถึงไม่มีใครพูด
แต่เราสองคนก็รู้อยู่แก่ใจ ฌานไม่อยากให้ป๋าผิดหวังเพราะอารมณ์ชั่ววูบ”
“แต่ฌา...”
“ถ้าตัวเล็กยังไม่ยอมนอนดี
ๆ คืนนี้ฌานจะลงไปนอนข้างล่างนะครับ!” ที่หนักแน่นกว่าน้ำหนักตัวเหนือร่างของปวรก็เห็นจะเป็นจุดยืนของฝ่ายที่อาบน้ำร้อนมาก่อนนี่แหละ
เพราะแม้เด็กหนุ่มวัยสิบหกจะพยายามชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมคนโตกว่าสักแค่ไหน กระนั้น
คู่กรณีกลับไม่ออกอาการหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังคิดจะหนีเขาไปให้พ้น ๆ อีกต่างหาก
“ไม่เอา
พลับไม่ให้ฌานไปนอนที่อื่น!” ฝาแฝดคนเล็กของบ้านคุณะประสิฒธิ์โวยวายเมื่อเงื่อนไขของฌานผิดไปจากที่ตนคาดการณ์ลิบลับ
“งั้นตัวเล็กต้องสัญญากับฌานก่อนว่าถ้ายังไม่ถึงเวลา
ตัวเล็กจะไม่ทำแบบเมื่อกี๊อีก... นะครับ”
“ตกลง
พลับจะไม่ทำอีก” เด็กหนุ่มรับคำเสียงอ่อยพลางทำหน้าจ๋อยสนิท เมื่อเห็นดังนั้น
ฌานก็ลูบหัวคนรักเบา ๆ เพื่อปลอบใจก่อนจะทิ้งตัวลงนอนพลางสวมกอดอีกฝ่ายเอาไว้ในท่วงท่าตั้งต้นอีกครั้ง
“ดีมากครับ
นอนได้แล้วครับ ดึกแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง”
ด้วยความเคยชินกับการหักห้ามใจตัวเองมาตลอดหลายสิบปี
ชายหนุ่มผู้ถือคำสัญญายิ่งชีวีจึงสามารถคลี่เปลือกตาปิดลงได้อีกครั้งราวกับไม่เคยมีเหตุการณ์ระทึกขวัญใด
ๆ เกิดขึ้น ทว่าอีกคนกลับไม่อาจข่มตาหลับได้ เด็กมอปลายเผลอปล่อยตัวให้จมอยู่ในห้วงความคิดฟุ้งซ่านอยู่อีกพักใหญ่
ๆ ก่อนที่อำนาจแห่งนิทรารมย์จะเอาชนะได้ทุกสรรพสิ่ง
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“พี่พลายโคตรเท่เลยอ่ะมึง
ดูดิ๊!” เด็กหนุ่มท่าทางตุ้งติ้งหมายเลขหนึ่งกรีดร้องพลางเต้นเร่า
ๆ ระหว่างเฝ้ามองหนึ่งในผู้เล่นซึ่งเลี้ยงบอลอยู่กลางสนามตาเป็นมัน ท่าทางเหมือนคนหิวโซเห็นสำรับกับข้าวสุดโอชะทำเอาเด็กหนุ่มหมายเลขสองที่ยืนข้าง
ๆ กันอดแสดงความคิดเห็นไม่ได้
“ไหน ๆ ...
หูย เท่อ้ะ!
ขนาดไม่ได้เป็นตัวจริงนะ ยังเล่นพลิ้วกว่าพวกนักบอลอีก”
“ใช่ เอวพี่เขาโคตรพลิ้วเลย...
ถ้ากูได้กับเขานะ กูจะเลียให้ล้ม อมให้ยุ่ยเลยคอยดู” ใครบอกว่ามีแต่พวกสาว ๆ
ที่ตกเป็นเหยื่อของการคุกคามทางเพศ เดี๋ยวนี้กระทั่งผู้ชายหล่อ ๆ
เองก็โดนรุกรานด้วยวาจาอย่างเผ็ดร้อนแบบไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน
“นั่นว่าที่ผัวกู
อย่าสะเออะค่ะอีเงือกที่ราบสูง!”
“แหม
มึงน่ะสวยตายนะคะกระเบนราหู พูดจาไม่ดูหนังหน้าตัวเองเล้ย! คนอย่างพี่พลายน่ะเหรอจะลดตัวลงมาสังวาสกับสุสานหอยชักตีนอย่างมึง!”
“โว้ย!
นี่พวกมึงจะกัดกันทำไม
พี่พลายเขารู้จักพวกมึงไหม?” ที่สุดแล้ว
เสียงที่สามของกรรมการห้ามมวยก็ดังขึ้นเพื่อเรียกสติของทั้งสองสาวในร่างเด็กหนุ่มวัยกำลังโต
“ตื่นได้แล้วอีนี่ ไป ๆ ไปซ้อมพาเรดกันเสียทีก่อนที่พวกน้องมอต้นจะหนีกลับบ้านกันหมด!”
ทันทีที่เด็กมอสี่กลุ่มเมื่อครู่เดินลับสายตาไป
ปวรที่แอบฟังบทสนทนาเมื่อครู่มาโดยตลอดก็เงยหน้าขึ้นจากตำราเพื่อถามไถ่ฝาแฝดคนกลางอย่างเป็นห่วง
“กลางโอเคไหม?”
“โอเค” พลุหัวเราะร่วนเมื่อเห็นสีหน้าวิตกกังวลจนคิ้วแทบจะชนกันของน้องชายเต็ม
ๆ ตา “เล็กเป็นอะไร? ทำไมทำหน้าทำตาแบบนั้น?”
“ก็เล็กเป็นห่วงกลางนี่”
คนพูดเอ่ยพลางทำหน้าบุ้ยใบ้เพื่อให้พี่ชายนึกถึงคำพูดของรุ่นน้องกลุ่มเมื่อครู่
“กลางไม่คิดอะไรจริง ๆ นะ?”
“หึ หึ หึ...
กลางไม่คิดอะไรเลย สบายใจได้” ปพนคลี่ยิ้มละไมพร้อมกับส่ายหัวน้อย ๆ
เพื่อยืนยันความรู้สึกของตัวเอง แต่แม้เจ้าตัวจะแสดงออกชัดเจนถึงเพียงนี้
น้องชายคนสุดท้องก็ยังไม่วางใจ
“แน่นะ?
ไม่ได้โกหกเล็กอยู่ใช่ไหม?”
“แน่สิ”
“จริงอ่ะ?”
“หึ หึ หึ
จริง” ที่เขาว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจคงจะไม่ผิดนัก เพราะสิ่งที่พลับครุ่นคิด สะท้อนอยู่ในลูกแก้วสีน้ำตาลอ่อนทั้งสองจนหมดสิ้น
จึงไม่แปลกหากคนเกิดก่อนจะเข้าใจความห่วงใยของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี พลุจึงอดรู้สึกอุ่นในใจไม่ได้เมื่อรับรู้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายที่ไหลบ่าท่วมท้นออกมาเช่นนี้
“เพราะอะไรรู้ไหม?”
“อะไร?” ปวรออกอาการสนอกสนใจกับคำโปรยของคนเป็นพี่
เพราะลองเปลี่ยนตัวละครในท้องเรื่องเมื่อสักครู่เป็นฌานสิ เขานี่แหละจะเดินเข้าไปส่งสายตาขับไล่น้องมอสี่สองคนนั้นให้ไปไกล
ๆ ก่อนใครเพื่อน
“ก็เพราะเล็กคิดแทนกลางไปหมดแล้วไง”
ปพนกวาดสายตามองใบหน้าของน้องชายคนเล็กด้วยความรักใคร่ และนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายได้อย่างจะแจ้งหลังจากเจ้าตัวได้ยินประโยคล่าสุดที่เขาเพิ่งเอื้อนเอ่ย
“จริงไหม?”
“...อืม...” ฝาแฝดคนเล็กอ้อมแอ้มก่อนจะทำหน้ายู่
“ถ้าเล็กเผลอไปได้ยินใครพูดถึงฌานแบบนี้ เล็กคงต้องบ้าตายวันละหลาย ๆ รอบแน่ ๆ ”
“เหมือนที่เล็กกำลังเป็นอยู่ตอนนี้น่ะเหรอ?”
พลุกระเซ้าด้วยหวังให้น้องชายคลายความวิตก แต่กลายเป็นว่า ฝาแฝดคนรองกลับต้องระเบิดหัวเราะอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่เมื่อคู่สนทนาทำหน้าเป็นจวักหนักข้อยิ่งกว่าเดิม
“แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น ทำไมวันนี้เล็กถึงรอกลับพร้อมกลางกับใหญ่? อาฌานติดงานด่วนอีกแล้วเหรอ?”
“เปล่า
เล็กบอกฌานว่าเล็กอยากอยู่เชียร์ใหญ่เตะบอล ฌานเลยแวะไปรับยัยจิ๋วก่อนแล้วค่อยไปรอที่บ้าน”
ปวรตอบพลางเหลือบมองโทรศัพท์บนหน้าตักที่มีการแจ้งเตือนข้อความเข้าใหม่วูบขึ้นเป็นระยะ
ๆ หากแต่เจ้าตัวกลับปล่อยปละละเลยทั้ง ๆ
ที่ไม่ละสายตาจากข้อความใหม่บนหน้าจอเลยสักวินาที
เมื่อเดาจากสีหน้าท่าทางของผู้เป็นน้องแล้ว
พลุเชื่อว่าคุณอาสุดหล่อน่าจะเป็นเจ้าของข้อความทั้งหมด เพราะตั้งแต่เล็กจนโต
ฌานเป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่ขยันส่งข้อความหาฝาแฝดคนสุดท้องของบ้านเวลาที่ทั้งสองต้องอยู่ห่างกัน
หากแต่วันนี้กลับดูจะถี่กว่าทุกทีเท่านั้นเอง
“ไหนบอกกลางซิว่างอนอาฌานเรื่องอะไร?”
อาการผิดปกติของน้องชายทำให้ปพนไม่อาจนิ่งนอนใจ
และแน่นอนว่า
เมื่อพี่คนกลางที่ตนสนิทสนมด้วยแสดงออกถึงท่าทีใส่ใจ มีหรือที่ปวรจะเก็บซ่อนเรื่องทุกข์ใจเอาไว้คนเดียว
“เล็กไม่ได้งอนเสียหน่อย แค่น้อยใจเฉย ๆ เอง”
“ก็นั่นแหละ
น้อยใจอาฌานเรื่องอะไร?” อาการบึนปากคว่ำโดยไม่รู้ตัวของน้องฟ้องชัดถึงสาเหตุที่ทำให้พลับนั่งหน้าเศร้าจับเข่าเจ่าจุกมาตลอดทั้งวัน
“เรื่องคนที่ทำงานอาฌานอีกล่ะสิ?”
“ก็ฌานต้องทำงานกับพวกนายแบบนางแบบเยอะแยะ
แล้วพวกนั้นก็หน้าตาดี ๆ กันแทบทุกคน แถมบางคนก็สนใจฌานออกนอกหน้าทั้ง ๆ
ที่รู้ว่าฌานมีแฟนอยู่แล้ว”
พอเห็นน้องชายคนเล็กของบ้านบ่นกระปอดกระแปด
พลุจึงอดสงสัยไม่ได้ “เล็กไม่ไว้ใจอาฌานเหรอ?”
“เปล่า”
“แล้วจะคิดมากทำไม?”
“ก็เล็กไม่ไว้ใจคนอื่นนี่
โดยเฉพาะยัยดีดี้อะไรนั่น!” หางเสียงของปวรตวัดทันทีที่พาดพิงนางแบบสาวที่อยากได้ฌานเป็นแฟนจนตัวสั่น
เหตุที่พลับแค้นฝังหุ่นอีกฝ่ายอย่างฝังจิตฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้
เป็นเพราะบ่อยครั้งที่ฌานมักจะพาเขาไปนั่งเล่นที่ออฟฟิศ
ทว่าด้วยฐานะของอากับหลานที่คนส่วนใหญ่รับรู้
ทำให้มีคนมากมายหมั่นมาขายขนมจีบให้ตากล้องรูปหล่อต่อหน้าต่อตาหลานชายในนามอย่างเขาเสมอ
กระนั้นกลับไม่มีใครใจกล้าและปากว่ามือถึงกับฌานได้อย่างหน้าไม่อายเท่ากับนางแบบสาวอีกแล้ว
พลับจึงมักจะของขึ้นเสมอเมื่อเจอฤทธิ์เดชของดีดี้ผู้หมายตาตำแหน่งอาสะใภ้ของเขายิ่งกว่าใคร
ๆ
“แต่ถ้าอาฌานไม่เล่นด้วย
ก็จบไหม?”
“ก็จริง
แต่เล็กอดหึงไม่ได้หนิ” พลับยังคงเหวี่ยงไม่หาย กระทั่งได้ยินคำถามให้สติของคนเป็นพี่เต็ม
ๆ สองรูหูแล้วก็ตาม
“ถามจริง
ที่เล็กหึงอาฌานเพราะเล็กยังแสดงความเป็นเจ้าข้าวเข้าของอาฌานแบบออกนอกหน้าไม่ได้ใช่ไหม?”
พลุพยายามเจาะลึกถึงต้นเหตุของปัญหาเพื่อช่วยเยียวยาสภาพจิตใจของน้องชายโดยเร็วที่สุด
“นั่นก็ด้วย
แต่ต่อให้คนทั้งโลกรู้ว่าเล็กกับฌานเป็นอะไรกัน เล็กว่าเล็กก็หึงฌานอยู่ดีนั่นแหละ”
ฝาแฝดคนสุดท้องพึมพำกับตัวเองเสียงอ่อย ทว่าน้ำเสียงระรื่นของดีดี้ที่เฝ้าหลอกหลอนเขามาตลอดทั้งคืนจะทำให้เด็กหนุ่มกลับมาฟาดงวงฟาดงาแบบไม่เลือกหน้าได้อีกครั้ง
“ก็ใครใช้ให้ฌานทั้งหล่อทั้งเท่แบบนั้นล่ะ เล็กก็ต้องหวงต้องหึงเป็นธรรมดาสิ!”
“เล็กฟังกลางนะ”
บางอย่างในน้ำเสียงของฝาแฝดคนรองดึงดูดความสนใจของน้องชายได้เป็นอย่างดี ปวรปล่อยวางความคิดขุ่นข้องแล้วนิ่งฟังผู้เป็นพี่อย่างตั้งอกตั้งใจ
“ช่วงเวลาที่เล็กงอนอาฌานน่ะ ไม่ใช่แค่เล็กคนเดียวหรอกนะที่ไม่มีความสุข กลางว่าตอนนี้อาฌานเองก็คงว้าวุ่นใจมากเหมือนกัน”
เจ้าของประโยคเอ่ยพลางชำเลืองมองมือถือของพลับที่หน้าจอวูบขึ้นอีกครั้งพลางคลี่ยิ้มละไม
“ว่าไหม?”
“...” ในเมื่อหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ชัดถึงเพียงนี้
ทายาทเบอร์สามจึงไม่อาจโต้แย้งพี่ชายได้
เป็นครั้งแรกของวันที่พลุสัมผัสได้ถึงความรู้สึกผิดในแววตาของผู้เป็นน้องขณะเฝ้ามองหน้าจอมือถือของตัวเอง
เด็กหนุ่มจึงเสริมความโดยพลัน “กลางเชื่อนะว่า ในโลกนี้ นอกจากอาฌอนแล้ว คงไม่มีใครรู้จักอาฌานดีกว่าเล็กหรอก
เพราะฉะนั้น เล็กอย่าเก็บเรื่องของคนโน้นคนนี้มากวนใจจนทำให้เวลาดี ๆ
ระหว่างเล็กกับอาฌานต้องเสียเปล่าเลย”
“...”
“คนนอนด้วยกันทุกคืนน่ะสำคัญกว่าคนอื่น
ๆ เยอะเลยนะ เชื่อกลางสิ” หนุ่มแว่นส่งยิ้มบาง ๆ ให้น้องก่อนจะเบือนหน้าไปเฝ้ามองศูนย์หน้ากิตติมศักดิ์ผู้เป็นจุดรวมสายตาเพียงหนึ่งเดียวของตนขณะวิ่งเลี้ยงลูกบอลอย่างแคล่วคล่องอยู่ในสนามด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย
ท่าทีสงบสุขจนน่าเลื่อมใสระคนน่าอิจฉาอยู่ในทีของคนเป็นพี่ทำให้ปวรเริ่มฉุกคิด
แต่เพราะข้อกังวลบางประการกลับทำให้เด็กหนุ่มยังไม่ปลงใจเสียทีเดียว “นี่กลางจะไม่ห้ามเล็กไม่ให้หึงฌานหน่อยเหรอ?”
“หึ หึ หึ เรื่องนั้นเล็กคงต้องไปถามอาฌานแล้วล่ะ
เพราะอาฌานอาจจะชอบที่เล็กหึงก็ได้ ใครจะรู้” พลุตอบพลับโดยไม่ละสายตาจากฝาแฝดคนโต
และความแน่วแน่ของสายตาคู่งามเบื้องหลังกรอบแว่นนั้นก็ทำให้คนเป็นน้องเลื่อนกรอบสายตาจับจ้องความเคลื่อนไหวของพลายตามพี่ชายคนรองไปอีกคน
“แล้วใหญ่ล่ะ
ใหญ่ชอบให้กลางหึงใหญ่ไหม?”
“ไม่รู้สิ”
หากให้ว่ากันตามตรง
ปพนเองก็ไม่แน่ใจนักว่าคำตอบของเขาเที่ยงตรงสักกี่มากน้อย เพราะเวลาเมื่อไรที่เขาเผลอออกอาการหึงหวงคนรัก
พลายก็มักจะหาโอกาสปรับความเข้าใจกับเขาโดยไม่รอช้า
ไม่เท่านั้น
ฝาแฝดคนโตยังคอยเน้นย้ำทุกค่ำเช้าว่าเขาไม่ควร ‘แสดง’ อารมณ์ใด ๆ ออกมาจนผิดสังเกต เพราะหากถูกจับได้
นิสัยโกหกใครไม่เป็นของตัวเขาเอง อาจทำลายความสัมพันธ์ของพวกเขาจนย่อยยับ ความนิยมชมชอบของพลายว่าด้วยเรื่องทำนองนี้จึงไม่มีความสำคัญต่อทายาทคนรองของบ้านไปในที่สุด
“ทำไมกลางถึงไม่รู้ล่ะ?
กลางคบกับใหญ่มาตั้งหลายปี กลางไม่เคยหึงใหญ่เลยเหรอ?” ปวรอดสงสัยไม่ได้...
จอมเรียกร้องอย่างพี่พลายน่ะเหรอจะไม่อยากให้แฟนหึง แฟนหวง?! เป็นไปไม่ได้!
“เปล่า กลางแค่ไม่เคยถามน่ะ
อีกอย่าง กลางก็ไม่รู้จะหึงใหญ่ไปทำไม ก็ใหญ่ไม่เคยทำตัวเจ้าชู้ไปทั่วเสียหน่อยหนิ”
ปพนยกเหตุผลตามความเป็นจริงขึ้นเสริมจนคนฟังเริ่มคล้อยตาม
จริงดังคำของพี่ชาย
เพราะเท่าที่พลับเห็นมาตลอดสิบกว่าปีที่อยู่ด้วยกันมา
ฝาแฝดคนโตไม่เคยทำตัวนอกลู่นอกทางเลยสักครั้ง แถมยังคลั่งไคล้พลุมากเสียจนน่ารำคาญด้วยซ้ำ
คิดได้ดังนั้น ปวรจึงปรารภกับตัวเองอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “เล็กอยากเป็นเหมือนกลางจัง
จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนเวลาเห็นฌานทำงานกับคนพวกนั้น”
“ตอนแรกกลางก็ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก
แต่เพราะใหญ่มั่นคงจนกลางไว้ใจ” พลุบีบมือน้องชายเบา ๆ พลางชี้ทางสว่าง “ที่สำคัญ
กลางมีแบบอย่างที่ดีให้ทำตามตั้งสองคนเลยนะ”
“หืม?
ใครเหรอ?” เจ้าของประโยคตาเป็นประกายด้วยนึกอยากได้เคล็ดลับดี ๆ
จากพี่ชายขึ้นมาตงิด ๆ
“ก็แด๊ดกับพ่อฟูไง
เล็กไม่เห็นเหรอว่าขนาดแด็ดกับพ่อฟูทำตัวเฉย ๆ ป๋ายังเกรงใจและรักแด๊ดกับพ่อฟูของพวกเราจะตาย
กลางเลยคิดได้ว่า ถ้าเรารักและให้เกียรติ ให้ความเชื่อถือคนของเรา
เราก็จะได้สิ่งเหล่านั้นตอบแทนกลับมาโดยไม่ต้องใช้ความพยายามเลยสักนิด”
“จริงด้วย!”
“ใช่ไหมล่ะ” หนุ่มแว่นผสมโรงด้วยความภาคภูมิใจในตัวพ่อ
ๆ และครอบครัวอันอบอุ่นของพวกเขาอย่างที่สุด แต่แทนที่สีหน้าของน้องชายจะดีขึ้น
ปวรกลับดูท้อแท้และย่ำแย่ผิดคาด
“โธ่เอ๊ย! ทำไมเมื่อวานเล็กถึงไม่คุยกับกลางก่อนนะ ดูซิ
เข้าหน้าฌานแทบไม่ติดแล้วเนี่ย!” พี่ชายคนรองยังไม่ทันจะได้ซักน้องให้รู้ความ
เสียงนกหวีดจากข้างสนามก็ดังแทรกขึ้นพร้อม ๆ กับการเปลี่ยนตัวออกของฝาแฝดคนโต
ทันทีที่เห็นคนรักเดินพ้นเส้นข้างสนามด้วยท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง
ปภพก็กลายเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่พลุต้องรีบดูแลและแก้ไขอย่างเร่งด่วนยิ่งกว่าเรื่องทุกข์ร้อนใด
ๆ ของใครอื่น “อ่ะนี่ ค่อย ๆ จิบ” หลังยื่นผ้าเย็นให้อีกฝ่าย ปพนก็เทน้ำใส่แก้วส่งให้พี่ชายพลางกำชับด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“เห็นลูกเมื่อกี๊ป่ะ?
ใหญ่ตั้งใจยิงให้กลางเลยนะ” ทันทีที่หยุดหอบหายใจ
ศูนย์หน้าสุดหล่อก็ขอเครดิตจากคุณผู้ชมสุดที่รักโดยไม่รั้งรอ
“ใหญ่ไม่ได้ตั้งใจยิงให้กลางทุกลูกหรอกเหรอ?”
จริงอยู่ที่แม้พลุจะถามกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ
แต่สำหรับคนฟังอย่างพลับกลับรู้สึกเคอะเขินอย่างไม่มีสาเหตุด้วยรู้แก่ใจว่า นั่นคือการเกี้ยวพาราสีอีกฝ่ายในแบบฉบับของพี่ชายฝาแฝดทั้งสอง
“ก็ทุกลูกนั่นแหละ
แต่ลูกเมื่อกี๊มันสวยโคตร ๆ ไง” คนอวดโอ่ยิ้มหน้าบาน ส่วนคนถูกอวดกลับเลือกที่จะแสร้งกลอกตามองหน่าย
ๆ คล้ายกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทว่าลึก ๆ แล้ว ปพนก็อดดีใจไม่ได้ที่พี่ชายคนโตให้ความสำคัญกับตัวเองอย่างที่สุด
“เดี๋ยวพี่พลายต้องลงอีกป่ะ?”
ทายาทหมายเลขสามชิงถามเปลี่ยนบรรยากาศ เพราะขืนปล่อยให้พี่พลายกับพลุจีบกันไปนาน ๆ
เขานั่นแหละที่จะเป็นเบาหวานไปเสียก่อน
“เหอะ! ไม่อ่ะ ขี้เกียจ ปล่อยให้พวกมันเล่นไปแล้วกัน” พลายตอบพลางยืดขา
เท้าแขนลงกับพื้นแล้วนั่งเอนตัวทิ้งน้ำหนักไปด้านหลัง แต่หากตั้งใจสังเกตให้ดี ๆ
จะเห็นว่า ฝ่ามือของฝาแฝดคนโต วางทาบอยู่เหนือหลังมือของปพนอย่างเหมาะเจาะเหลือเกิน
“แล้วพวกนั้นจะไหวเร้อ”
“หึ! ถ้าพวกมันยังจะแพ้อีกก็กากเกินไปแล้ว” คนพูดดูดน้ำพลางมองเกมในสนามไม่วางตา
“เฮ่อ น่าสงสารพวกนั้นเหมือนกันแฮะ
อีกตั้งนานแน่ะกว่าจะหมดเวลา” พลับเปรยขึ้นเมื่อเห็นสถานการณ์อันดุเดือดภายในสนามที่ฝ่ายตรงข้ามแทบจะพับสนามบุกด้วยหวังจะตีตื้นให้ได้โดยเร็ว
“ไง
เมื่อกี๊คุยอะไรกันอยู่ เห็นทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเชียว?” ปภพละสายตาจากเกมกีฬาตรงหน้าเพื่อหันไปมองคนหน้าเหมือนกับตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ไม่มีอะไรหรอก”
ปพนจงใจปดค่าที่ไม่อยากขุดคุ้ยเรื่องของน้องขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ด้วยเพราะพลายรู้จักคนรักของตัวเองเป็นอย่างดี
มีหรือที่เรื่องขี้ปะติ๋วเช่นนี้จะเล็ดรอดไปจากสายตาของเขาได้ “ไม่มีอะไรได้ยังไง?
หรือแอบคุยกันเรื่องคนอื่น? เมื่อกี๊แอบคุยเรื่องไอ้พรินซ์เหรอ?!” ทายาทคนโตของบ้านคาดคั้นด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวหลังทึกทักไปใหญ่โต
เพื่อไม่ให้เกิดการปะทะระหว่างสองฝาแฝด
ส่วนเกินเพียงหนึ่งเดียวจึงเป็นฝ่ายให้ข้อมูลเสียเอง “เปล่า
เมื่อกี๊พลุแค่ถามเรื่องพลับกับฌานเฉย ๆ ” ก่อนที่พลับจะว่าต่อ อยู่ ๆ
เจ้าตัวก็นึกอะไรบางอย่างได้กลางคัน “เออใช่! เพราะพี่พลายแท้ ๆ เลย แนะนำอะไรพลับก็ไม่รู้!” ปวรโวยวายพลางมองค้อนพี่ชายคนโตอย่างเคียดแค้น
สีหน้าไม่สบอารมณ์ของน้องชายคนสุดท้องเรียกเสียงหัวเราะของแฝดพี่ได้เป็นอย่างดี
“แล้วเป็นไงล่ะ ได้ผลมะ?”
“ได้ผลกับผีน่ะสิ!”
พลายหัวเราะร่วนทันทีที่ได้ฟังคำตอบล่าสุดจนพลับอดแขวะไม่ได้ “คนอะไรโดนด่าแล้วยังไม่สำนึกอีก!”
“ฮ่า ๆๆ
อาฌานแม่งอึดว่ะ นับถือ ๆ ”
อาการหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหลของปภพกวนใจฝาแฝดคนรองอย่างบอกไม่ถูก
“เดี๋ยวใหญ่ ใหญ่แนะนำอะไรน้อง?!” พลุซักไซ้คนรักเสียงเขียว
พลายกระหยิ่มพลางอธิบายกลั้วเสียงหัวเราะอีกคำรบ
“ก็เมื่อคืนใหญ่เห็นเล็กไม่กล้าพูดกับอาฌานตรง ๆ
ใหญ่เลยบอกให้เล็กลองคุยกับอาฌานอ้อม ๆ ดู” ระหว่างเจรจา แฝดพี่ก็ประกบฝ่ามือเข้าด้วยกันแล้วขยับไปมาจนเกิดเสียงดังป๊าบ
ๆ ซึ่งเมื่อเสียงดังกล่าวเดินทางมาพร้อมกับสีหน้าทะเล้น ก็ทำเอาน้องชายทั้งสองหน้าม้านไปตาม
ๆ กัน
“ก็แบบนั้นแหละ
ตั้บ ๆๆๆ ” รอบนี้คนพูดไม่ออกท่า ทว่าส่งสายตาเจ้าชู้ขณะให้เสียงซาวด์เอฟเฟคสุดเร้าใจ
และนั่นทำให้เส้นความอดทนของน้องคนรองขาดผึง
“ใหญ่!
ใหญ่ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าอาฌานให้สัญญาอะไรกับป๋าไว้?!”
“ก็รู้ไงถึงได้บอกเล็กไปแบบนั้น
กลางก็รู้ไม่ใช่เหรอว่า บางที นอนคุยกันน่ะง่ายกว่าพูดเยอะ จริงไหมครับ?” พลายยังคงทำหน้ากรุ้มกริ่มอย่างไม่รู้สำนึกเพื่อล้อเลียนพลุโดยเฉพาะ
ฝ่ายคนที่แพ้ทางแฝดพี่อย่างหมดรูปอย่างปพนก็รีบเสหลบตาแล้วหันไปกำชับกำชาน้องชายคนเล็กเพื่อกลบเกลื่อนอาการกระดากอายของตัวเองเสีย
“พอเลย
หลังจากนี้ถ้าเล็กมีเรื่องอะไรให้ถามกลางไม่ก็พวกป๋า ห้ามถามใหญ่เด็ดขาด! เข้าใจไหมเล็ก?”
“อืม ต่อไปเล็กจะไม่ถามอะไรพี่พลายอีกแล้ว”
ฝาแฝดคนสุดท้องรับคำหน้าจ๋อยพลางตำหนิตัวเองในใจด้วยความอับอายเมื่อหวนคิดถึงวีรกรรมที่ตนเผลอทำไปเมื่อคืนโดยไม่คิดใคร่ครวญให้ดี
ๆ
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“ตัวเล็ก
ตัวเล็กเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” ฌานชิงถามคนที่นอนรออยู่บนเตียงก่อนที่ค่ำคืนนี้จะสิ้นสุดลง
แต่ดูเหมือนว่าคำถามดังกล่าวจะทำให้อีกฝ่ายไม่สบายใจจนต้องเสหลบตามองไปอีกทางก่อนจะแสร้งทำยิ้มร่าเริงขณะเอ่ยตอบ
“เปล่าเสียหน่อย
ฌานคิดมาก!”
“แล้วทำไมเย็นนี้ถึงไม่ให้ฌานไปรับล่ะครับ?”
แทนที่จะปิดไฟห้องเพื่อเข้านอนเหมือนทุกที ตากล้องหนุ่มกลับทอดตัวลงนอนข้าง ๆ แล้วดึงตัวพลับเข้าไปกอด
พลางเชยคางคนรักให้เงยหน้ามองกัน
“ก็เล็กอยากอยู่เชียร์พี่พลายเป็นเพื่อนพลุไง”
แม้จะรู้ตัวว่าไม่มีทางเลี่ยง ทว่าทายาทหมายเลขสามก็ยังคงบ่ายเบี่ยงไม่เลิก
“ปีที่แล้วฌานก็ไปนั่งเชียร์อยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ
แล้วทำไมปีนี้ถึงไม่ให้ฌานไปดูด้วยล่ะครับ?”
“ก็... ก็” เด็กหนุ่มเลิ่กลั่กด้วยจนแก่เหตุผลและข้ออ้าง
ทว่าฌานผู้ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางใด ๆ กลับไพล่คิดไปเป็นอีกอย่าง
“โกรธฌานเรื่องเมื่อคืนเหรอครับ?”
“เปล่าเสียหน่อย”
“ไม่โกรธจริง
ๆ นะ?”
“ไม่โกรธ”
“แล้วทำไมหลบตา?”
ขนาดว่าเขาประคองใบหน้าอีกฝ่ายเอาไว้เป็นแม่นมั่น
ทายาทหมายเลขสามของบ้านก็ยังหรุบตามองจับจ้องฝ่ามือตัวเองราวกับกลัวว่าจะถูกลมหายใจเป่ารดจนปลิดปลิว
“ฌานก็อย่าต้อนซี่”
เด็กหนุ่มประท้วงพลางครุ่นคิดหาคำตอบที่ดีที่สุดด้วยไม่อยากพูดถึงสาเหตุที่แท้จริงของการหลบหน้าหลบตาอีกฝ่ายมาตลอดทั้งวัน
“เปล่าต้อนครับ
ฌานแค่สงสัย... ฌานถามไม่ได้เหรอ?”
“ก็...
ถามได้” หางเสียงแผ่ว ๆ คล้ายไม่มั่นใจของคนโตกว่าทำให้ปวรใจอ่อนยวบ
เด็กหนุ่มช้อนตาขึ้นมองสบกับฌานเป็นระยะ ๆ
ขณะปลอบตัวเองให้ทำใจยอมรับผลที่จะตามมาหลังเอ่ยคำสารภาพให้อีกฝ่ายรับฟัง
“งั้นตัวเล็กเป็นอะไรครับ?”
แฝดพี่บรรจงหอมแก้มนวลเนียนอย่างรักใครพลางเว้าวอนเสียงอ่อนเสียงหวาน
“บอกฌานได้ไหมคนดี เห็นตัวเล็กเป็นแบบนี้ ฌานไม่สบายใจเลยรู้ไหม?”
.
.
.
.
.
.
.
“พลับเขิน” หลังจากทำใจอยู่นาน
ฝาแฝดคนสุดท้องก็ยอมเฉลยความนัยอย่างไม่เต็มเสียงนัก
“หืม? เขิน?!”
“ก็...
ก็พลับชวนฌานมีอะไรกันไง”
ฌานหลุดหัวเราะด้วยความเอ็นดูระคนชอบใจ
ก่อนจะอธิบายสิ่งที่ตนคิดเห็นเกี่ยวกับหัวข้อชวนประหม่าที่เด็กหนุ่มอ้างอิง “ไม่เห็นต้องเขินเลยครับตัวเล็ก
เซ็กส์เป็นเรื่องธรรมดาของคนเป็นแฟนกันอยู่แล้ว เวลาไหนอยากก็บอก
เวลาไม่อยากก็ปฏิเสธ ง่าย ๆ แค่นี้เอง”
“เหรอ?
ฌานไม่เขินเลยเหรอ?” อาจเป็นด้วยวัย หรือด้วยประสบการณ์ที่ยังจำกัด
ปวรจึงอดประหลาดใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินไม่ได้
แก้มทั้งสองของเด็กหนุ่มขึ้นสีแดงจัดขณะที่ดวงตาลุกวาวคล้ายตื่นตะลึง...
นี่เขาต้องแก่ขนาดไหนนะถึงจะพูดเรื่องอย่างว่าด้วยท่วงท่าสบาย ๆ แบบที่ฌานทำ?!
“หึ หึ หึ” คนเกิดก่อนส่ายหัวดิกหากแต่ไม่เอ่ยคำ
ทว่ากลับไพล่ไปถามถึงเรื่องที่อีกฝ่ายไม่อยากตอบขึ้นมาเสียอย่างนั้น “ว่าแต่
เมื่อคืนตัวเล็กอยากขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
“ฌานถามทำไม?”
อาการเขินซ้ำซากทำเอาเด็กหนุ่มเผลอขึ้นเสียงกับคนรัก
“อ้าว
ฌานก็จะได้หาเหตุผลว่ อะไรที่ทำให้อยู่ ๆ
ตัวเล็กก็เกิดรู้สึกมากมายจนห้ามตัวเองไม่ได้แบบนั้น
ฌานจะได้หาวิธีป้องกันเพื่อรักษาสัญญาของป๋าให้สำเร็จยังไงล่ะครับ”
“...”
ปวรเริ่มอยู่ไม่สุข เขาพยายามขยับตัวขยุกขยิกแล้วพลิกตัวหนี
แต่เพราะวงแขนของแฝดพี่ที่กอดรัดรอบตัวเสียแนบแน่น เด็กหนุ่มจึงทำได้แค่ถอนหายใจฮึดฮัดราวกับอึดอัดขัดใจอย่างไรอย่างนั้น
“ว่ายังไงครับ?
เมื่อคืนอยากมากเลยเหรอ?” ความที่อยากรักษาสัญญากับพ่อตาให้ครบวาระ
ฌานจึงไม่ยอมรามือจากคนรักโดยง่าย แต่ยิ่งตากล้องหนุ่มตื๊อหนักมือเท่าไร เลือดในกายของอีกฝ่ายก็ถูกสูบฉีดขึ้นมาหล่อเลี้ยงใบหน้าของปวรมากขึ้นเท่านั้น
“เปล่าเสียหน่อย!”
“อ้าว
แล้วทำไ...”
“ก็พี่พลายบอกว่าให้ลองชวนฌานมีอะไรกันดู
เผื่อว่าพลับจะสบายใจที่ได้เป็นเจ้าของฌานเต็มตัวน่ะสิ!” สิ้นคำ
เด็กหนุ่มก็ซุกหน้าเข้ากับแผ่นอกของคนรักเพื่อซ่อนใบหน้าแดงก่ำร้อนฉ่าของตนจากสายตาอีกฝ่าย
“หืม?!
เมื่อกี๊ตัวเล็กว่าอะไรนะครับ?”
“ก็พลับไม่ชอบให้ฌานทำงานกับคุณดีดี้นี่นา!!”
“โธ่! คนดีของฌาน” อดีตเด็กสถาปัตย์รำพันกับตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อน
ครั้นจะหัวเราะให้กับความน่ารักของแฟน เรื่องมันก็ดันซีเรียสจนเขาหัวเราะไม่ออก แต่ถ้าให้บอกว่ากลุ้มไหม
อาการหึงหวงของพลับก็ดันถูกใจเสียจนเขายอบรับได้ไม่เต็มปากเสียอีก
“ทำไมคุณดีดี้ถึงต้องมาถ่ายแบบกับฌานบ่อย
ๆ ด้วยก็ไม่รู้ แถมพอทำงานกับคุณดีดี้ทีไร ฌานต้องกลับบ้านดึกทุกที! แล้วใครใช้ให้เมื่อคืนคุณดีดี้รับโทรศัพท์แทนฌานล่ะ?!!” ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสีย
ฝาแฝดคนสุดท้องจึงคายความลับระดับชาติออกมาอย่างหมดเปลือก
“ตัวเล็กหึงฌานกับดีดี้เหรอครับ?”
“ก็กับทุกคนนั่นแหละ”
ปวรอ้อมแอ้ม... ขืนให้เขาพูดเยอะกว่านี้ อีกฝ่ายคงได้รู้แน่ ๆ ว่า เหตุที่เขาก้มหน้าก้มตาร่ำเรียนเป็นบ้าเป็นหลัง
ไม่ใช่แค่เพราะเจ้าตัวอยากให้บรรดาพ่อ ๆ
ภูมิใจและวางใจที่เห็นความสำเร็จของเขาตั้งแต่อายุยังน้อยเท่านั้น หากแต่พลับไม่อยากใช้เวลาว่างไปกับการคิดฟุ้งซ่านเรื่องคนอื่นที่อาจจะเข้ามาหาฌานด้วยอีกประการนั่นเอง
“ฌานขอโทษนะครับ
เมื่อวานงานมันเร่งมากจนฌานไม่อยากรับสายใคร ฌานเลยฝากโทรศัพท์ไว้กับพี่ตั๊ก”
“ไม่ได้ฝากไว้กับคุณดีดี้แน่
ๆ นะ?” เด็กหนุ่มหลุดปากถามอย่างว่องไว
“เปล่าครับ
ต่อไปฌานจะพกโทรศัพท์ติดตัวไว้ตลอดก็แล้วกัน” ฌานถอนใจยาวเมื่อเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างครบถ้วน
ต่อไปเขาคงต้องระวังตัวและเว้นระยะจากทุกคนมากกว่านี้ โดยเฉพาะดีดี้ ที่กำลังจะกลายเป็นแค่แบบสำหรับถ่ายภาพ
ไม่ใช่เพื่อนร่วมงานตามที่ฌานเคยเข้าใจ... เพื่อความสบายใจของคนรักและตัวเขาเอง
สุ้มเสียงทอดถอนใจ
กับสีหน้าคิดหนักของอีกฝ่ายทำให้ปวรอดนึกถึงคำเตือนของพี่ชายคนรองไม่ได้ “ฌานไม่ชอบให้พลับหึงเหรอ?”
“เปล่าครับ
ฌานแค่กำลังคิดว่าหลังจากนี้ ฌานจะทำยังไงให้ตัวเล็กสบายใจดีน่ะครับ”
ตากล้องหนุ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยค่าที่ยังคิดไม่ตกว่าจะป้องกันปัญหายิบย่อยทำนองนี้เช่นไร
นี่ขนาดเขาเปิดอกคุยกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงานที่สนิทเกี่ยวกับเรื่องที่คบหาดูใจกับพลับมาตั้งแต่เริ่มรับหน้าที่ตากล้อง
แต่สุดท้าย สถานะอา – หลานบังหน้าตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจก็ยังนำพาเรื่องยุ่งยากในรูปสัตว์สองเท้ามาให้เขาต้องคอยแก้ไขอยู่เนือง
ๆ
“ไม่ต้องหรอก
เอาเป็นว่า พลับเองก็จะพยายามทำความเข้าใจกับงานของฌานให้มากขึ้น” ปวรว่าพลางสวมกอดฌานอย่างแนบแน่น
ความอบอุ่นที่คุ้นเคยจากรสสัมผัสของคนพิเศษทำให้เด็กหนุ่มปลงใจได้ในท้ายที่สุด
“พลับสัญญาว่าพลับจะไม่นอยด์ ไม่คิดมากเพราะงานของฌานอีก พลับเชื่อใจฌานนะ”
“จริงเหรอครับ?”
สีหน้าซาบซึ้ง
ยินดีของแฝดพี่ยามที่ได้ยินประโยคน่าชื่นใจดังกล่าวทำเอาพลับเขินจนต้องแกล้งแซวแฟนตัวเองกลบเกลื่อน
“ไม่ต้องดีใจขนาดนั้นก็ได้ ดูดิ๊ หน้าบานหมดหล่อแล้ว”
“หึ หึ” ช่างภาพหนุ่มถึงกับหลุดหัวเราะแต่ก็อดเต๊าะคนรักคืนไม่ได้
“หมดหล่อแล้วจริง ๆ น่ะเหรอครับ?”
“ใช่ที่ไหนเล่า”
ปวรทำปากยื่นคล้ายไม่ชอบใจกับรูปลักษณ์ดึงดูดใคร ๆ ของคนรัก
แต่ครั้นจะปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดจนน้อยเนื้อต่ำใจ เขาก็ทำไม่ได้
“ฌานของพลับน่ะหล่อที่สุดเลย รู้ตัวหรือเปล่า?”
“ครับ” แฝดพี่รับคำง่าย
ๆ พร้อมกับชมคนในอ้อมกอดแบบซึ่ง ๆ หน้า “ตัวเล็กของฌานก็หล่อที่สุดเหมือนกันครับ”
ว่าแล้ว ฌานก็กวาดตามองใบหน้าได้รูปของปวรอย่างพินิจพิเคราะห์ นับวัน
เด็กหนุ่มก็ยิ่งดูละม้ายคุณพ่อหน้าหยกเข้าไปทุกที หากแต่ยีนฝั่งบ้านบ๊วยที่ปรากฏอยู่ในแววตาและรอยยิ้ม
ก็ช่วยทำลดทอนความน่ายำเกรงตามแบบฉบับของวิญญูลงจนพลับดูละมุนละไม น่าทะนุถนอมไม่มีใครเกิน
“แต่ฌานไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าพลับจะหึงฌานน่ะ?”
ปวรยังไม่วางใจเสียทีเดียว
“ไม่ครับ
ฌานชอบ เวลาตัวเล็กหึงแล้วน่ารักดี” คนฟังยู่หน้าบึนปากทันทีที่ได้ยินคำตอบของคนรักจนฌานอดกระเซ้าไม่ได้
“นี่ไง... น่ารักแบบนี้นี่ไง” ไม่ทันขาดคำ เจ้าของประโยคก็กดปลายจมูกดอมดมแก้มหอมอีกฟอดใหญ่
ๆ
“น่ารักจริงเหรอ?
งั้นพลับหึงฌานทุกวันเลยดีไหม?”
“หึ หึ หึ
ก็ลองดูสิครับ ถ้าตัวเล็กไม่เหนื่อยไปเสียก่อน”
“ใช่ เวลาหึงนี่มันเนื้อยเหนื่อยเนอะ”
เด็กหนุ่มยอมรับอย่างหมดฟอร์ม พลางกล่อมตัวเองว่าการหึงหวงช่างเป็นกิจกรรมฆ่าเวลาที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
เพราะไหนจะต้องหัวร้อนเนื่องจากมัวอิจฉาคนอื่นอยู่ตลอดเวลาแล้ว ไป ๆ มา ๆ เขากับฌานยังพาลจะไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันเหมือนเย็นวันนี้อีกต่างหาก
“อีกอย่าง
ฌานว่าฌานขี้หึงหนักกว่าตัวเล็กอยู่นะครับ ถ้าเจอฌานหึงใส่เข้าไป
ตัวเล็กอาจจะเลิกหึงฌานไปตลอดเลยก็ได้นะครับ” ประโยคของฌานกระตุ้นให้พลับนึกย้อนถึงวีรกรรมเดินหนีหน้ามินิมาราธอนของอีกฝ่ายได้เป็นฉาก
ๆ เด็กหนุ่มถึงกับหลุดปากบ่นคนรักของตัวเองเสียงขรม
“เออจริง!
งั้นพลับเอาเวลาหึงฌานไปทำตัวดี
ๆ ไม่ให้ฌานหึงดีกว่า เพราะเวลาฌานหึงทีไร พลับง้อเหนื่อยทุกที!” สิ้นเสียงบ่นงุ้งงิ้งของทายาทเบอร์สาม
ก็มีเสียงหัวเราะร่วนของคู่รักต่างวัยดังประสานตามหลังมาติด ๆ
«♥»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «♥»
No comments:
Post a Comment