<|No.02|>
วันหนึ่ง
ตื่นขึ้นมาในความรู้สึกใหม่...
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
‘ฮื่อน้องเดียวล่ะก็... ไม่เอา ไม่เล่น
พี่ชายเขิน’ ชายชาตรีแสร้งผลักเดียวที่ย่างสามขุมเข้ามาหาพร้อมกับน้ำแข็งมือปื้นเท่าท่อนขาในวงแขน
‘พี่ชายจะเขินทำไมล่ะครับ น่า มามะ
พี่ชายไม่อยากลองเหรอ?’ ขาเปย์หน้าเข่าลอบมองสีหน้าหื่นกระหายของอีกฝ่ายสลับกับน้ำแข็งก้อนใหญ่พลางกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก...
นี่ถ้าเปลี่ยนฉากหลังให้ย้อนยุคอีกนิด เขาคงเข้าใจผิดว่าตัวเองคือคุณบุญเลื่องในจัน
ดาราแน่ ๆ
แต่ยังไม่ทันที่คุณบุญล่ำที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนตั่งจะได้ปัดป้อง
รุ่นน้องก็นาบความเย็นฉ่ำเข้าที่เหง้าหน้าซึ่งหาจุดนูนจุดเว้าแทบไม่ได้ ‘บ้า! น้องเดียวจะเอาน้ำแข็งมาถูหน้าพี่ชายทำไมอ่ะ?’
‘อ้าว เดียวนึกว่าพี่ชายจะชอบเสียอีก
พี่ชายไม่ชอบเย็น ๆ เหรอครับ’ แววตาเศร้าหมองของเดียวขณะตั้งท่าจะโยนน้ำแข็งในมือทิ้งทำให้ชายชาตรีรีบรั้งข้อมือของเฟรชชี่เอาไว้
‘ฮื่อ พี่ชายบอกเหรอครับว่าพี่ชายไม่ชอบ
ถูหลังให้พี่ชายหน่อยสิครับน้องเดียว ฮิ ๆ ’ เจ้าของประโยคหลิ่วตาทำหน้าเซ็กซี่แบบที่คิดว่าดูดีในโลกส่วนตัวด้วยหมายยั่วยวนพ่อหน้ามนคนหล่อแห่งวิศวะให้เคลิบเคลิ้ม
แทนที่เดียวจะผินหน้าหนีพลางสวดอิติปิโสแบบน็อนสต็อปเหมือนทุกที
เด็กหนุ่มกลับยิ้มตอบแถมยังส่งสายตาหวานเยิ้มหยดย้อยด้วยความสิเหน่หาขั้นสูงสุดมาให้คล้ายโดนป้ายยา
‘ได้สิครับ’
‘อุ๊ย เย็นจังเลย’
‘พี่ชายชอบไหมครับ?’
เดียวถามพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากพลางสบตากับรุ่นพี่สายเปย์อย่างมาดหมาย ฝ่ายคนถูกจับจ้องก็อดกระดี๊กระด๊าในใจไม่ได้...
สงสัยคงถึงคราวที่ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของชายชาตรีจะโดนเหนือชายหมายเลขหนึ่งพรากไปเสียแล้ว
ยะฮู้ว!
‘ชอบครับ ชอบมาก ฮึอุ๊บ!’ น่าแปลกที่เมื่อยิ่งมองสีหน้าอยากนัวจนตัวสั่นของเดียวนานเท่าไร
ชายชาตรีก็รู้สึกคลื่นเหียนมากขึ้นเท่านั้น นั่นจึงทำให้เขาจำเป็นต้องยกมือขึ้นอุดปากแบบฉับพลัน
‘พี่ชายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?’
สีหน้าตกอกตกใจของรุ่นน้องวิศวะทำให้สายเปย์พยายามกลืนก้อนเปรี้ยวลงคอเพราะไม่อยากทำลายบรรยากาศเข้าด้ายเข้าเข็มลงด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
‘พี่ชายไม่เป็นไ... อุ๊บ!...’
‘พี่ชายท้องแล้วเหรอครับ?
แต่ว่าเรายังไม่มีอะไรกันเลยนะครับ’
คำพูดคำจาน่าจั๊กจี้ของรุ่นน้องรูปหล่อทำชายอยากจะร้องท้วง
ติดที่ว่าอาการคลื่นไส้กลับไม่เป็นใจเอาเสียเลย
อารามกลัวว่าจะทำตัวน่าขายหน้าต่อหน้าเด็กหนุ่มที่ตัวเองหลงใหล รุ่นพี่หน้าเข่าก็รีบปรี่ไปเข้าห้องน้ำโดยไม่ลืมไปว่า
อีตอนยันตัวลุกขึ้นนั้น เขาเผลอดันหน้าหล่อ ๆ ของน้องให้ถอนห่างจนเจ้าของร่างก้นจ้ำเบ้า
“โอ้กกกก!”
ดูเหมือนว่าการโก่งคอถ่ายเทของเหลวในร่างกายอย่างเฉียบพลันได้นำพาสติให้กลับฟื้นคืนขึ้นอีกครั้งอย่างน่าไม่น่าเชื่อ
พลันรู้ตัว
ชายชาตรีก็ลืมตาขึ้นแล้วก็พบตัวเองในสภาพเปลือยเปล่านั่งกอดเข่าแถมโอบโถส้วมซึมเอาไว้อย่างรักใคร่คล้ายกับได้เสียเป็นเมียผัวกันมาหมาด
ๆ
“เฮ่ย?!” เมื่อสำเหนียกถึงสภาพคล้ายโดนรูดทรัพย์ของตัวเอง
ชายชาตรีก็ตกใจจนเผลออุทานเสียงดังพลางปล่อยมือจากโถส้วมอันเป็นที่รักเพื่อเลื่อนไปกอบกุมชายน้อยเอาไว้กันอุจาด
แม้ร่างกายจะยังไม่เต็มร้อยดี
แต่สัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอดก็ทำให้เด็กบริหารฝืนลากสังขารออกจากห้องน้ำแคบ ๆ
ไปสำรวจพื้นที่โดยรอบเพื่อประเมินสถานการณ์ตรงหน้า ทว่าใครเลยจะรู้ว่า สิ่งแวดล้อมเบื้องหลังบานประตูห้องน้ำทำด้วยพลาสติกสีเหลืองซีดจะทำให้นายชายชาตรี
มีทรัพย์มากอนันต์ผงะได้
ห้องน้ำเล็ก
ๆ ขนาดแมวชราดิ้นยังไม่ตายนั้นเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่สี่เหลี่ยมขนาดกะทัดรัดซึ่งมีเพียงข้าวของเครื่องใช้วางกระจายอยู่ตามมุมห้องแค่ไม่กี่อย่าง
แต่ความน่าสนใจของห้องดังกล่าวกลับอยู่ที่ แม้จะแลดูอัตคัดขาดความหรูหรา แต่ชายชาตรีกลับรู้สึกว่ามันสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อยเอามาก
ๆ
“ที่นี่ที่ไหน?”
ชายหนุ่มถามตัวเองเบา ๆ พลางคว้าเอาผ้าเช็ดตัวที่แขวนไว้ตรงตะปูข้างฝามาพันรอบเอว สายเปย์กวาดสายตามองจนทั่วห้องด้วยความสงสัยด้วยแน่ใจว่าไม่เคยย่างกรายมายังสถานที่แบบนี้มาก่อน
ยังไม่ทันที่ความรู้สึกงุนงงสงกาจะพร่าผลาญเซลล์สมองชายชาตรีให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์
ประตูหน้าห้องก็เปิดขึ้นพร้อมกับการมาของเจ้าบ้านผู้อารี “อ้าวพี่! ตื่นแล้วเรอะ?”
“เฮ่ย?!” อารามตกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นใบหน้าหนวด
ๆ ของรุ่นน้องหน้าแก่โผล่เข้ามาในห้องแบบกะทันหัน ชายชาตรีจึงเผลอยกมือขึ้นปิดหน้าอกหน้าใจเป็นสาวน้อยวัยใสไม่ประสา
“ไม่ต้องเขินหรอกพี่
ผมก็มีเหมือน ๆ พี่นั่นแหละ ฮ่า ๆๆ ”
เสียงระเบิดหัวเราะร่วนอย่างสุดกลั้น
กับอาการขำจนหน้าดำหน้าแดงของยิมทำให้สายเปย์ยอมลดท่อนแขนลงวางข้างลำตัวพลางตีหน้าตายแล้วไพล่ถามเรื่องอื่น
“ที่นี่ที่ไหนอ่ะ?”
“ห้องผมเองครับ
พี่รู้สึกตัวนานยัง? แล้วนี่ปวดเมื่อยตรงไหนหรือเปล่า? โทษทีนะพี่ที่เมื่อคืนผมให้พี่นอนในห้องน้ำ
แต่พี่แม่งไม่ไหวว่ะ เอะอะจะอ้วกท่าเดียว” แม้จะไม่ได้นอนเต็มตา ทว่ายิมยังปรานีรุ่นพี่มากพอจะอธิบายรายละเอียดคร่าว
ๆ ให้อีกฝ่ายฟัง
เด็กหนุ่มว่าพลางเดินหิ้วถุงก๊อบแก๊บไปวางลงบนโต๊ะญี่ปุ่นอีกมุมห้องซึ่งก็แค่ไม่กี่ก้าวจากจุดที่รุ่นพี่ยืนเอ๋ออยู่
“แล้วพี่ชายมาที่นี่ได้ไงอ่ะ?”
“โหพี่! พี่รีบไปอาบน้ำเลย
ปากพี่แม่งโคตรเหม็นอ่ะ นี่เพิ่งอ้วกมาอีกใช่ป่ะเนี่ย?”
“?!!” สีหน้ารับไม่ได้คล้ายขมคอของอีกฝ่ายทำเอาคนฟังสะดุ้งโหยงพลางป้องปากตั้งท่าจะทดสอบกลิ่นให้รู้เช่นเห็นชาติ
แต่เจ้าของห้องกลับโบกมือไล่อย่างเร็วไวด้วยไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้
“ไป
ๆ เข้าไปอาบให้ไวเลยพี่ เดี๋ยวผมจะได้อาบมั่ง”
“นี่
แล้วเสื้อผ้าพี่ล่ะ?” ชายชาตรีตะโกนถามขึ้นหลังจากอาบน้ำเสร็จได้สักพัก
“เสื้อผ้าพี่ยังไม่แห้ง
เดี๋ยวยังไงพี่ใส่ชุดของผมไปเรียนก่อนก็แล้วกันนะ”
ดูเหมือนคำตอบของรุ่นน้องจะอยู่เหนือความคาดหมายของชายชาตรีไปมาก
เพราะสุดท้าย สายเปย์ก็รีบฉวยผ้าเช็ดตัวผืนเก่ามาพันท่อนเอวแล้วเดินออกมาซักไซ้ยิมด้วยสีหน้าเหรอหรา
“กางเกงในด้วยน่ะเหรอ?!”
“เออว่ะ”
คนเด็กกว่าทำท่านึกพลางเกาคางครึ้มเครายิก ๆ “แต่จริง ๆ ถ้าพี่จะยืมกางเกงในผม
ผมก็ไม่มีปัญหานะ เพราะผมซักอย่างดีทุกตัว อีกอย่าง... พี่น่าจะใส่ของผมได้แหละ ก็พี่ตัวเล็กกว่าผมหนิ”
พูดจบ เจ้าของห้องในสภาพหุ้มท่อนล่างด้วยผ้าขาวม้าบาง ๆ ก็เดินสวนเข้าห้องน้ำไปอย่างไม่ใคร่จะสนใจสายตาโลมเลียของชายชาตรีผู้เสียสมดุลทุกครั้งเมื่อเห็นกล้ามเป็นมัด
ๆ ในระยะใกล้แค่เอื้อม
ค่าที่มัวแต่มองต่ำ
กว่าจะสำเหนียกได้ว่ายังไม่ได้ตกลงกับเจ้าบ้านเรื่องเสื้อผ้า
ชายชาตรีจึงตะโกนถามรุ่นน้องด้วยน้ำเสียงร้อนรน “งั้นพี่ยืมชุดไปรเวทหน่อยแล้วกันนะ”
“หยิบเอาเลยพี่
เสื้อผ้าผมอยู่ในตะกร้าทั้งหมดนั่นแหละ”
“มันอยู่ตร...”
สิ้นเสียงอนุญาตของเด็กหนุ่มต่างคณะ ขาเปย์ก็โพล่งขอพิกัดของตะกร้าที่ว่าทันที กระนั้นเจ้าตัวกลับต้องกลืนท้ายประโยคลงคอ
เพราะแค่เหลียวไปข้าง ๆ ตะกร้าก็แทบจะทิ่มตาเขาอยู่แล้ว “มันจะไปอยู่ไหนได้เนอะ
ห้องก็มีแค่นี้”
กองเสื้อผ้าที่พับเก็บอยู่ในตะกร้าใต้แนวตะปูซึ่งมีชุดนิสิตที่รีดเรียบร้อยแล้วแขวนอยู่อย่างเป็นระเบียบนั้น
แม้ส่วนใหญ่มันจะเก่าซีด แต่กลับมีกลิ่นหอมสะอาดไม่ผิดไปจากคำโฆษณาของรุ่นน้องแต่อย่างใด
ทันทีที่ชายชาตรีแต่งตัวเสร็จ เขาก็ได้แต่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ เพราะนึกอยากกลับไปเปลี่ยนชุดที่คอนโดของตัวเองเต็มแก่
ติดอยู่แค่ว่า เขาอยากจะร่ำลาและขอบคุณเจ้าของห้องให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียก่อน ถึงอย่างนั้น
เด็กวิศวะกลับช่วยรุ่นพี่หน้าเข่าตัดสินใจด้วยการเดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากเพิ่งหายเข้าไปเพียงไม่นาน
หากสภาพก่อนอาบน้ำของยิมเรียกสายตาชายชาตรีได้ชะงัดแล้ว
สารรูปอาฟเตอร์ขัดสีฉวีวรรณคงไม่ต่างอะไรกับโปสเตอร์สี่สีตรงหน้ากลางของหนังสือปลุกใจเสือป่าเป็นแน่แท้
เพราะหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่ตามชะง่อนกล้ามรวมถึงลูกระนาดนา ๆ ขนาดนั้น พากันทำให้ผ้าขาวม้าผืนเก่าบางเบาจนคนเฝ้ามองต้องแอบสูดน้ำลายเป็นพัก
ๆ เป็นบุญของยิมเหลือเกินที่หน้าโหดจนอาชญากรยังแซ่ซ้องร้องเรียกให้เป็นบิดา
ไม่อย่างนั้นป่านนี้เด็กหนุ่มคงถูกชายชาตรีหมายตาแทนเดียวไปเสียแล้ว
แม้เบ้าหน้ายิมจะต่ำกว่ามาตรฐานที่รุ่นพี่ตั้งเอาไว้
แต่หุ่นขยี้ใจก็ทำให้ จากที่คิดจะร่ำลา กลายเป็นว่าชายชาตรีกลับวางสายตาจับจ้องน้องนุ่งกางเกงสแล็คตัวเดียวเดินเปลือยท่อนบนไปมาอย่างเลื่อนลอย
รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินอีกฝ่ายร้องเรียกเสียงดัง “พี่! พี่ชายครับ?!”
“หืม?!”
“กินโจ๊กกันพี่
น่าจะกำลังเย็นพอดีกินแล้วล่ะ” ยิมชวนพลางพยักเพยิดไปที่ชามโจ๊กอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะญี่ปุ่นตัวจิ๋ว
ไม่รู้เป็นเพราะกล้ามอกหรือเพราะโจ๊กที่สะกดให้สายเปย์เชื่องจนน่าสนตะพาย แต่ท้ายที่สุดแล้ว
ชายชาตรีก็ลืมเรื่องกลับไปเปลี่ยนชุดที่ห้องไปถนัดใจ
“เอ่อ
น้องชื่ออะไรนะ?” รุ่นพี่บริหารถามขึ้นเมื่อเห็นเจ้าบ้านเริ่มจัดการอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว
คำถามดังกล่าวทำเอายิมถึงกับยอมวางช้อนลงเพื่อจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาจริงเอาจัง
“นี่พี่ ผมถามจริง ๆ เหอะ” เมื่อเห็นคู่สนทนาละสายตาจากชามโจ๊กแล้ว
เด็กวิศวะจึงว่าต่อ “นอกจากไอ้เดียวแล้ว พี่จำชื่อเพื่อนผมคนไหนได้มั่ง?”
“...”
“หึ!” ยิมเผลอยกมุมปากขึ้นทันทีที่เห็นรุ่นพี่หน้าคลี่ยิ้มแหย
ๆ พลางส่ายหัวดิก “ผมชื่อยิมพี่
กินสักทีดิพี่”
“หืม?!” ฝ่ายที่ละอายจนต้องหรุบสายตาลงวางลอนกล้ามหน้าท้องของรุ่นน้องแทนอย่างไม่มีทางเลือกเผลอขมวดคิ้วด้วยความสงสัยในเจตนาที่อยู่เบื้องหลังคำเชื้อเชิญสั้น
ๆ ของอีกฝ่าย... อยู่ดี ๆ ก็มาชวนให้ชายกิน คืออะไร? น้องหนวดนี่ใจง่ายเบอร์ไหนกันนะ?!
“โจ๊กน่ะ”
สีหน้าเหวอจนดูตลกของอีกฝ่ายทำยิมหลุดหัวเราะอีกครั้ง “ผมซื้อมาให้พี่กิน
ไม่ให้ซื้อมาให้คน”
“อ๋อ! เอ้อ! กิน ๆ ” ชายชาตรีรับคำพลางตั้งสติมองโจ๊กในถ้วยก่อนจะกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
“แต่พี่ชายไม่กินขิง หอมก็ไม่กิน”
“โธ่! ก็แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก เมื่อกี๊ผมจะได้ไม่ใส่ให้”
แม้จะบ่นอุบ แต่เด็กหนุ่มก็ยอมช้อนเอาผักโรยทั้งสองชนิดออกจากชามของรุ่นพี่ย้ายมาใส่ชามตัวเองจนหมด
“ของดี ๆ ทั้งนั้น ทำไมถึงไม่รู้จักหัดกินก็ไม่รู้”
“ยิม
ทำไมพี่ชายถึงมาที่นี่ได้ล่ะ?” ชายชาตรีถามขึ้นเมื่อลองลิ้มชิมรสมื้ออาหารไปได้ไม่นาน
“ก็พี่
พี่พิชญ์แล้วก็เพื่อนผมอีกสองคนเมาไม่รู้เรื่อง
พวกผมที่เหลือเลยต้องแบ่งกันพากลับบ้านอย่างละคนน่ะครับ”
“แล้วทำไมพี่ชายถึงไม่ได้ไปนอนกับเดียวล่ะ?”
“หึ! ที่ถามแบบนี้เพราะจริง ๆ
เมื่อคืนพี่ตั้งใจจะรุกเพื่อนผมแรงเลยอ่ะดี้?” ยิมอดแซวรุ่นพี่กระเป๋าหนักไม่ได้
“เฮ่ยเปล่า! พี่ชายไม่ได้คิดอะไรลามกแบบนั้นเลยนะ!” คำพูดแทงใจดำทำเอาคนฟังร้อนรนจนต้องแก้ตัวเป็นพัลวัน...
นั่นไง! ชายว่าแล้วว่ามันต้องดูไม่ดี! รู้อย่างนี้ชายไม่น่าเชื่อพิชญ์เสียแต่แรกก็ดีหรอก!
“เออ
ๆ พี่จะคิดอะไรก็เรื่องของพี่เหอะ ยังไงผมก็ไม่เกี่ยวอยู่แล้ว” เจ้าของห้องตัดบทอย่างไม่พิรี้พิไรก่อนจะกลับไปสนใจโจ๊กในชามตัวเองต่อ
ทว่าสายตากึ่งเว้าวอนกึ่งอยากรู้อยากเห็นของอีกฝ่ายทำให้เด็กหนุ่มต่างคณะต้องอธิบายที่มาที่ไปทั้งหมดอย่างเลี่ยงไม่ได้
“พวกเราจับไม้สั้นไม้ยาวกัน ผมจับได้พี่ พี่ก็เลยต้องมานอนห้องผม แค่นั้นแหละ”
“เหรอ?”
ชายชาตรีคนโจ๊กอย่างเหม่อลอยด้วยเสียดายโอกาสเป็นที่สุด...
แล้วอย่างนี้เมื่อไรเขาถึงจะยัดเยียดตำแหน่งเหนือชายให้น้องเดียวได้อีกน้า?
“พี่ไม่กินแล้วใช่ป่ะ
งั้นผมเหมานะ” ไม่ทันขาดคำ โจ๊กในชามที่พร่องไปไม่ถึงครึ่งของชายชาตรีก็โดนเด็กหนุ่มคว้าไปเหมาเป็นที่เรียบร้อย
“ขอบใจนะยิมที่พาพี่กลับมาด้วย
แถมยังอุตส่าห์ตื่นไปซื้อโจ๊กให้พี่แต่เช้า” ไหน ๆ ก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว
ชายชาตรีจึงตั้งใจว่า เมื่อแสดงความซาบซึ้งต่อเด็กหนุ่มรุ่นน้องเสร็จสรรพเมื่อใด
เขาก็จะปลีกตัวกลับคอนโดทันที แต่แล้วคำตอบของยิมกลับทำให้สายเปย์เลือกที่จะปักหลักอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน
“พวกผมปล่อยพวกพี่นอนที่ผับไม่ลงหรอกครับ
เดี๋ยวเกิดอะไรไม่ดีขึ้น พวกผมคงรู้สึกผิดแย่” ยิมยิ้มน้อย ๆ พลางว่าต่อ “แต่โจ๊กเนี่ย
ผมซื้อขากลับตอนส่งหนังสือพิมพ์เสร็จ ไม่ได้ตื่นไปซื้อให้พี่กินโดยเฉพาะหรอก พี่ไม่ต้องซึ้งนะ
มันทางผ่านน่ะ”
“อ๋อ...
เหรอ?” ชายชาตรียิ้มแหย ๆ พลางกระพือคอเสื้อยืดย้วย ๆ เมื่อแสงแดดด้านนอกเริ่มคืบคลานเข้ามาคุกคามสองชีวิตในห้อง
“ยิมไม่ร้อนเหรอ?”
“อ้าว! พี่ร้อนแล้วทำไมไม่บอกผมล่ะ?” สิ้นคำ
เด็กหนุ่มก็ยื่นปลายเท้าไปเขี่ยพัดลมให้หมุนมาหา ก่อนจะกดหัวแม่เท้าสั่งการต่างรีโมทคอนโทรล
ทว่าทันทีที่เจ้าพัดลมคออ่อนคอพับเริ่มเดินเครื่อง ก็มีเสียงควงสว่านน่าเสี้ยวไส้คล้ายชิ้นส่วนต่าง
ๆ ใกล้จะหลุดออกจากกันในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้าดังขึ้น “โทษทีพี่
เสียงมันดังไปหน่อย ผมเลยไม่ค่อยอยากเปิด แต่ถ้าไม่อยากร้อน พี่ก็ทนหนวกหูหน่อยแล้วกันนะ”
สภาพซอมซ่อของห้องและสิ่งของต่าง
ๆ รอบ ๆ ตัวทำให้ชายชาตรีอดสงสัยไม่ได้ “นี่ยิมอยู่คนเดียวเหรอ?”
“ครับพี่
เมื่อก่อนผมอยู่วัด แต่พอสอบติดที่กรุงเทพฯ
ผมก็ต้องลงมาหาห้องเช่าอยู่คนเดียวอย่างนี้แหละครับ”
“แล้วทำไมไม่เช่าห้องติดแอร์ล่ะ?
จะได้ไม่ร้อนไง” จริง ๆ ถ้าไม่กลัวว่าจะโดนอีกฝ่ายต่อยเข้าให้
สายเปย์คงหลุดปากซักไซ้ยิมหนักมือยิ่งไปกว่านี้แน่ ๆ
“อยู่แบบนี้ก็สบายดีนะพี่
สมตัวดี ขืนผมหาเงินได้เท่านี้แต่ริอยู่ห้องแอร์ ผมคงหาเงินค่าเทอมได้ไม่พอเรียนจบแน่
ๆ ครับ”
คำตอบแบบเจียมเนื้อเจียมตัวของรุ่นน้องต่างคณะทำเอาชายชาตรีรู้สึกผิดขึ้นในบัดดล
“ขอโทษนะ พี่ชายไม่ได้ตั้งใจถามให้ยิมคิดมากเลย”
“หึ! เรื่องเล็กว่ะพี่ ผมชินแล้ว” แม้เจ้าบ้านจะก้มหน้าก้มตากินโจ๊กต่ออย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่มีวี่แววคิดมากแต่อย่างใด
แต่คนถามกลับกระดากอายเสียจนต้องเปลี่ยนเรื่องคุยเอาดื้อ ๆ
“ยิมสนิทกับเดียวมากไหม?”
“ก็น่าจะนะพี่
ทำไมเหรอครับ?” ยิมเลิกคิ้วพลางรอฟังคำตอบของรุ่นพี่หน้าเข่า
“ยิมช่วยพี่จีบน้องเดียวหน่อยสิ
นะ ๆ พี่อยากเป็นแฟนน้องเดียวน่ะ”
“พี่ไปคุยกับคนอื่นเหอะ
ผมช่วยพี่ไม่ได้หรอก” แม้นี่จะไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงในการปฏิเสธคำขอของอีกฝ่าย
ทว่าเด็กหนุ่มก็อดหวังไม่ได้ว่า คำแนะนำดังกล่าวจะทำให้ชายชาตรีถอดใจ เพราะเท่าที่รู้จักกับเดียวมาหลายปี
เขาบอกได้เลยว่าไม่มีวันที่เพื่อนสนิทเขาคนนี้จะรักชอบใครโดยไม่สนใจหน้าตา
“ทำไมล่ะ
ก็ยิมสนิทกับเดียวไม่ใช่เหรอ หรือว่ายิมรังเกียจพี่?”
“โหยพี่แม่งคิดได้!”
“อ้าว! ก็เมื่อกี๊ยิมบอกว่ายิมจะไม่ช่วยพี่ชายนี่นา”
ยิมถอนหายใจยืดยาวให้กับความเร้าหรือของพี่หน้าเข่าขี้เถียง
แต่ก็ใช่ว่าเขาจะใจร้ายกับอีกฝ่ายเสียหน่อย “เวลาว่างผมต้องทำงาน ผมไม่รู้หรอกว่าวัน
ๆ ไอ้เดียวมันไปไหน หรือทำอะไร ผมถึงได้บอกไงว่าผมคงช่วยพี่จีบไอ้เดียวไม่ได้หรอกครับ”
“โธ่! แล้วอย่างนี้พี่ชายจะพึ่งใครได้ล่ะ?” ชายชาตรีนั่งกอดเข่าพลางมองหน้ารุ่นน้องด้วยสายตาหมองเศร้า
ท่าทางเซื่องซึมกับเสียงบ่นพึมพำของรุ่นพี่สายเปย์ที่ดูคลับคล้ายควายเมาเห็ดพิษ
ทำให้ยิมรีบชี้แนะทางสว่างโดยพลัน “พี่ก็ให้พวกไอ้เอ๋ ไอ้โหน่งช่วยดิพี่
พวกมันนิสัยดีนะ”
“พวกนั้นเขาไม่ได้รังเกียจพี่ชายใช่ไหม
พี่ชายเห็นไม่ค่อยมีใครอยากคุยกับพี่ชายเท่าไรเลย”
น้ำคำของรุ่นพี่ต่างคณะเป็นดั่งคมแฝกที่ตีแสกเข้าหน้า...
ก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า เพราะเมื่อนึกย้อนไปถึงช่วงมื้อกลางวันของเมื่อวาน พวกเพื่อน
ๆ ทั้งหมดของเขาดูจะขยาด ‘พี่ชาย’ เอามาก ๆ นั่นก็เท่ากับว่า จะเหลือเขาแค่คนเดียวที่พอจะเป็นกองหนุนให้ชายชาตรีได้...
เอาวะ
ลองดู เผื่อว่าไอ้เดียวมันจะเลิกตัดสินใครเพราะรูปกายภายนอกได้เสียที อีกอย่าง คนตลก
ๆ อย่างพี่ชายก็ไม่น่าจะเลวร้ายอะไร “โอเค ๆ ผมจะช่วยพี่ก็ได้
แต่พี่ต้องจ่ายค่าเหล้าเมื่อคืนให้พวกผมก่อนนะ ไม่งั้นผมคงต้องทำงานควงกะหาเงินค่าเหล้าจนไม่ได้โงหัวแน่
ๆ ”
“จริงเหรอยิม?!” ชายชาตรีตาลุกโพลงด้วยความปีติอย่างสุดซึ้ง
“ครับ
แต่ผมจะช่วยพี่เท่าที่ผมช่วยได้นะ ถ้าตอนไหนผมเกิดติดงาน
พี่ก็ไปหาทางพยายามเองแล้วกัน”
“ขอบใจมากนะยิม
พี่ชายดีใจจังเลย!” ชายชาตรีอดนึกขอบคุณเพื่อนรักไม่ได้
เพราะหากไม่ได้พิชญ์ช่วยไว้ ป่านนี้เขาคงเผลอแสดงออกถึงความดีใจด้วยการพุ่งหลาวเข้ากอดแผ่นอกล่ำ
ๆ ตรงหน้าจนหนำใจไปแล้ว... ขืนลืมตัวโผเข้าไปกอดยิมในสภาพนี้ ร่างกายอันผุดผ่องของเขาคงมัวหมองจนต้องยกตำแหน่งเหนือชายให้น้องหนวดหน้าแก่ไปก่อนใครเพื่อนแน่
ๆ
$$$$$$$$
“จิ๊!” ความรู้สึกอบอุ่นจนอึดอัดทำให้พิชญ์ขยับตัวด้วยความรำคาญ
แต่แม้จะเปลี่ยนท่านอนได้อย่างใจแล้วก็ตาม ความรู้สึกเหมือนโดนผีอำก็ยังไม่หายไปไหน
“ฮึ่ย!” เด็กบริหารพ่นลมหายใจพลางส่งเสียงครางอย่างหงุดหงิดพลางพยายามพลิกตัวแต่กลับทำไม่ได้
อาการไม่สบายตัวทำให้พิชญ์ตื่นขึ้นอย่างหัวเสียก่อนจะพบว่าตัวเองโดนไอ้เด็กการ์ตาร์ที่เพื่อนรักหมายตากอดอยู่ในท่วงท่าล่อแหลมแถมเสื้อผ้าน้อยชิ้นกันทั้งคู่
“ว้ากกกกก!”
“เฮ่ย!” เสียงหวีดใกล้ๆ หูทำเอาเดียวสะดุ้งตื่น
แต่ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะได้พูดอะไร คนในอ้อมกอดก็ตีเข่าย้อนขึ้นมาสอยกล่องดวงใจใต้บ็อกเซอร์ตัวจิ๋วจนสะท้านสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งโลกา
“โอ๊ยยยย!”
“มึง
มึง มึง!!!” เมื่อร่างกายเป็นอิสระ รุ่นพี่ก็ดีดตัวขึ้นจากที่นอนอย่างว่องไวคล้ายจา
พนมเวอร์ชันโหวกเหวกฉิบหายวายป่วง ขณะที่กวาดตามองหากระเป๋าและเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้น
พิชญ์ก็ชี้หน้าด่ารุ่นน้องบนเตียงไปพลาง จวบจนแน่ใจว่าตนเองฉวยสมบัติติดมือมาครบถ้วนทุกชิ้น
รุ่นพี่ก็ด่าจองเวรทิ้งทวน “หนอย ไอ้สัดการ์ตาร์ มึงอย่าหวังว่าชาตินี้จะมีความสุขอีกเลย!”
ก่อนเดียวจะได้เอื้อนเอ่ยคำใด
แขกไม่พึงประสงค์จอมโวยวายก็คว้าไม้เบสบอลตรงมุมห้องมาซัดเข้าที่หน้าแงของรุ่นน้อง
จากนั้นเจ้าตัวก็วิ่งเตลิดออกจากห้องไปด้วยความคับแค้นใจขั้นสูงสุดพร้อมกับเสียงก่นด่าที่เบายิ่งกว่าหมากรนของเด็กวิศวะผู้อาภัพที่สลบเหมือดเพราะอาวุธคู่กายในห้องของตัวเอง
“ไอ้พี่เหี้ยยย...”
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
ความในใจทิ้งท้ายตามสไตล์ชายชิค ๆ:
มานึก ๆ ดู ตอนเด็ก ๆ
ชายไม่ควรเป็นสุขเมื่อได้ขึ้นสแตนด์เชียร์ร้องเพลงเลย
ยิ่งพอรู้ว่าเพลงที่ชอบ สามารถทำนายทายทักลักษณะของพญาวิหคที่ชายเป็นได้อย่างถูกต้องแม่นยำไม่มีใครเกิน
อังกาลี ลีลา อังกาลู อังกาลู ลีลา กาลีสุ่ม
สุ่มกาลีกาลีกาลีสุ่ม กาลีกาลีซุม*
ร้องมาตั้งหลายปี เพิ่งรู้วันนี้เองว่าเป็นคาถาเรียกนก
[หมายเหตุ: เนื้อเพลงด้านบนเป็นส่วนหนึ่งของเพลงเชียร์ชื่อ
‘เจ้านกน้อย’]
$$$$<| TBC |>$$$$
เราเชื่อว่าพออ่านตอนล่าสุดจบแล้ว ทุก ๆ คนน่าจะพอเดาออกแหละเนอะว่าใครคู่ใคร
และบรรยากาศของแต่ละคู่จะไปในทิศทางไหน
(ของเดียวนี่น่าจะเผ็ดร้อน ส่วนยิม... เฮ่อ! สงสารน้องเหลือเกินค่ะจุด ๆ นี้)
อย่างไรก็ดี ตอนนี้ขอพื้นที่ให้เราได้ปูเนื้อหาเกี่ยวกับความยากจนของน้องยิมนิดนึงเนาะ
อ่าน ๆ ไปจะได้นึกภาพออกว่า เออว่ะ ! ไอ้น้องยิมนี่มันสู้ชีวิตแท้เหลา
(หูย ไม่อยากจะเซดเลยว่าน้องยิมนี่เป็นพระเอกคนแรกเลยนะคะที่เราเขียนแล้วกรอบเกลียวเคี้ยวอาหารกระป๋องขนาดนี้ โถ! ปาตังค์ใส่ด้วยความเอ็นดู หากใครสนใจให้การอุปถัมภ์ สามารถสมทบทุนค่าอาหารกลางคืนให้น้องยิมได้ด้วยการโอนเงินเข้าบัญชีออมแซ่บของเราได้นะคะ - เดี๋ยว!!!)
ชอบไม่ชอบยังไง ฝากข้อความแทนใจไว้ให้เราตอบ
(เหมือนด้านล่างนี้) ได้นะคะ เราชอบอ่าน... มันอุ่นในอกม้ากมากแหละ ^^
และไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เราขอฝากเพจนิยายเอาไว้ในอ้อมใจด้วยเนาะ
(เข้าไปคุยเล่น ไปทวงนิยายได้นะคะ เพราะตอนนี้ เพจเราหลอนมากกกก ฮ่า ๆๆๆๆ)
No comments:
Post a Comment