The 02nd
Blessing
# ทีมบ๊วย กับ ผู้ช่วยโค้ชอีกสามคนครึ่ง
“เจ้าอยู่คนเดียวเหรอ?”
เทวบุตรที่เพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจอื่นๆประจำวันปรากฏกายตรงม้านั่งตัวยาวข้างๆบ๊วยในชุดลำลองที่ต้องเหลียวมองซ้ำเพราะทั้งล้ำและแนว เสื้อผ้าหน้าผมขององค์เจ้าพ่อไม่ได้ทำให้บ๊วยตกใจได้เท่ากับการโผล่หน้ามาโดยไม่มีหมายกำหนดการแจ้งล่วงหน้า ซึ่งการตุ้งแช่เมื่อสักครู่...ทำให้ชายหนุ่มตกใจถึงขั้นสำลักน้ำเต้าหู้จนน้ำหูน้ำตาไหล
“แค่ก
แค่ก.......ฟืดดดด
อ่ะ...เจ้า..พ่อ....อ่อก....” ความพยายามที่จะเอ่ยทักทายอีกฝ่ายของบ๊วยมาไกลที่สุดได้แค่นี้
“เจ้าจะตกใจทำไม?” เทวบุตรถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจจนคนฟังแอบส่งค้อนวงใหญ่ให้อย่างสงวนท่าที
“แค่ก
...แหม...เจ้าพ่อครับ ผมใช้ชีวิตธรรมดาๆแบบโฮลี่ฟรี
ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ติดตามตัวมาตลอดยี่สิบขวบปี...
...อยู่ดีๆ
จะให้มาโอเคเซย์เยสกับวิถีนินจาของเจ้าพ่อในชั่วพริบตา ก็ดูจะใจง่ายเกินไป...
.
...แค่ก
แค่ก.....มนุษย์อย่างพวกผมน่ะ ไปไหนมาไหนด้วยการหายตัวซะที่ไหนกันล่ะครับ...
...เพราะฉะนั้น
การที่เจ้าพ่อนึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป ย่อมต้องทำให้ผมตกใจเป็นธรรมดา” คำอธิบายของชายหนุ่มทำให้เจ้าพ่อห่อไหล่คล้อยตามได้ไม่ยากนัก
“อืม...เจ้านี่ก็พูดจาเป็นเหตุเป็นผลดีเหมือนกันนะ” เจ้าพ่อห่อไหล่ชมเปาะ
“เอาอย่างนี้ดีไหมครับเจ้าพ่อ...
...ในเมื่อเจ้าพ่อบอกผมว่า
ระหว่างการบันดาลให้พรของผมสำเร็จ เราทั้งคู่ต้องอยู่ด้วยกันเกือบตลอดเวลา...
...ถ้าอย่างนั้น
เรามาทำข้อตกลงร่วมกันสักหน่อยดีไหมครับ...
.
.
...อย่างเช่นว่า...
...เวลาที่เจ้าพ่อจะปรากฏกาย
เจ้าพ่อควรส่งสัญญาณอะไรบางอย่างเพื่อบอกผมว่า [i]‘เอ้อ...นี่ข้ากำลังจะไปหาเจ้าแล้วนะ
เตรียมเจอหน้าข้าได้เลย’[/i] อะไรทำนองนี้น่ะครับ”
บ๊วยทำเสียงต่ำๆใหญ่ๆเลียนแบบเสียงเจ้าพ่อที่ตนเองจำได้ขึ้นใจหลังจากเข้าใจผิดไปว่า
นั่นคือเสียงของภูตผีที่มาหลอกหลอนจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนเกือบจนฟ้าสาง
“ฟังดูเข้าที...
.
...ตกลง...
...ถ้าเจ้าต้องการแบบนั้น
ต่อจากนี้ไป...เวลาข้าจะปรากฏกายหรือหายตัว จะมีเสียงดัง ‘ป็อบ!’ เหมือนกับตอนที่ข้าแปลงกายเมื่อคืน เจ้าว่าดีไหมล่ะ?”
เจ้าพ่อขอความเห็นของอีกฝ่าย
“ดีครับ
ดีมากๆเลยครับเจ้าพ่อ...
.
...แต่นั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้นเองนะครับ
หลังจากนี้ เราคงมีเรื่องที่ต้องตกลงกันอีกเยอะ...
...และข้อตกลงที่สองนี่แหละครับ
คือ สิ่งที่ผมค่อนข้างจะกังวลพอสมควร...
.
.
...ถ้าผมจำไม่ผิด
เมื่อคืนเจ้าพ่อบอกผมว่า ผมต้องเก็บเรื่องระหว่างเราเอาไว้เป็นความลับ...
...หากผมแพร่งพรายข้อมูลเกี่ยวกับภารกิจของเราให้คนอื่นฟังแม้แต่นิดเดียว
พรที่ผมขอกับเจ้าพ่อจะไม่มีวันสำเร็จอย่างนั้นใช่ไหมครับ?” ชายหนุ่มออกอาการหนักใจไม่น้อยระหว่างรอคำตอบขององค์เทพ
“ใช่...ข้าห้ามไม่ให้เจ้าเล่าเรื่องที่เจ้าขอพรข้าให้ใครฟังเป็นอันขาด
เพราะมันจะส่งผลกับพรของเจ้าโดยตรง” เจ้าพ่อห่อไหล่ตอบด้วยสีหน้างุนงง
เพราะไม่รู้ถึงเหตุผลเบื้องลึกของอีกฝ่าย...จิตใจของบ๊วยวุ่นวายเกินกว่าที่เขาจะอ่านความคิดของชายหนุ่มได้ในตอนนี้
“แล้วถ้าสมมติว่า....
.
.
.
.
.
...ผมไม่ได้พูด...
...แต่...
...คนอื่นกลับรู้เรื่องนี้ด้วยตัวของพวกเขาเอง...
...อย่างนี้คงไม่ถือว่าผมผิดสัญญากับเจ้าพ่อ
และพรของผมก็ยังคงจะสัมฤทธิ์ผลอยู่ใช่ไหมครับ?” บ๊วยกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด คิ้วของเจ้าพ่อห่อไหล่ขมวดมุ่นด้วยเริ่มไม่วางใจกับเจตนาของชายหนุ่มผู้กำลังสับสน
“นี่เจ้าหมายความว่ายังไง?”
“ผมหมายความว่า
ตราบใดที่ผมไม่พูด...พรของผมก็จะเป็นจริง ใช่ไหมครับ?”
บ๊วยยังคงตอบแบบกำปั้นทุบดิน
ซึ่งนั้นไม่ได้ช่วยขยายความ หรือกำจัดข้อสงสัยของเจ้าพ่อห่อไหล่แต่อย่างใด
ทว่าสีหน้าจริงจัง
และความคิดที่เริ่มจัดเรียงจนเป็นระเบียบเผยให้รับรู้ได้ถึงความกังวลอันใหญ่หลวงของชายหนุ่ม
ทำให้เจ้าพ่อยืนยันหนักแน่น
“ใช่
เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว”
“ผมเชื่อคำพูดของเจ้าพ่อได้จริงๆใช่ไหมครับ?”
แม้คำถามข้อนี้จะถูกเอ่ยออกไปแล้ว แต่ดูเหมือนความมั่นใจของบ๊วยจะยิ่งถดถอยมากขึ้นทุกที
ทุกที
“เอ๊ะ!! เจ้ามนุษย์นี่...เก่งกาจเรื่องยอกย้อนเสียจริง!!!...
...เจ้าคิดว่าข้าปลิ้นปล้อนเหมือนพวกเจ้าหรืออย่างไร?”
เจ้าพ่อห่อไหล่ตบเข่าดังฉาดบอกใบ้ถึงความไม่พึงใจที่เริ่มคุกรุ่น
กระนั้น
ทั้งบ๊วย และ บุตรแห่งเทพจำต้องปล่อยให้คำถามข้อนี้ตกไปอย่างไม่มีทางเลือก เมื่อชายหนุ่มผิวขาวร่างสูงผู้มีจุดเด่นเป็นแว่นสายตากรอบหนาทรงม็อด
กับผมสกินเฮดเหมือนทิดเพิ่งสึกใหม่เดินเข้ามาทักทายทั้งสองขณะกำลังหาข้อสรุปของประเด็นเมื่อครู่กันอย่างหน้าดำคร่ำเคร่ง
ด้วยความร่าเริงสดใสขั้นสูงสุดราวกับดอกคุณนายตื่นสายได้แสงแดดละมุนละไมในยามเช้า
“วันนี้พาเพื่อนใหม่มาเรียนด้วยเหรอบ๊วย?
พวกนายรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไรล่ะ?...
.
...เดี๋ยวนี้แอบไปมีเพื่อนใหม่ไม่ยอมบอกเราเลยนะ”
สกลนั่งลงตรงม้านั่งฝั่งตรงข้ามกับบ๊วย ระหว่างยิงคำถาม โยนคำแซวใส่เพื่อนรักด้วยสีหน้าระบายยิ้ม
ก่อนจะเอื้อมมือคว้าถ้วยน้ำเต้าหู้ของบ๊วยเข้าหาตัวเพื่อตักเม็ดสาคูกินอย่างเป็นธรรมชาติ
“...เอ่อ...”
บ๊วยเหลือบสบตาเจ้าพ่อห่อไหล่เพื่อขอความเห็น
สลับกับมองหน้าสกลที่จ้องตนเองไม่วางตา สุดท้ายชายหนุ่มก็เลือกที่จะโกหกเพื่อนสนิทเพื่อรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าพ่อ
“เปล่าหรอกสกล...เรามาคนเดียว”
“อ้าว!! นี่บ๊วยมองไม่เห็นเขาหรอกเหรอ?” ความประหลาดใจทำให้หนุ่มหน้าแว่นถึงกับทิ้งช้อนลงถ้วยจนน้ำเต้าหู้กระฉอก
สกลเอ่ยถามเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าเหลอหลา ตามด้วยคำอธิบายยืดยาว “ตอนเราเดินเข้ามาเมื่อกี๊
เราเห็นเหมือนบ๊วยกำลังคุยกับเขาอยู่ เราก็นึกว่าบ๊วยชวนเขามาเรียนด้วยกันซะอีก...โทษทีนะ
เราไม่น่าทักบ๊วยแบบนั้นเลย เราทำบ๊วยเสียขวัญอีกแล้วใช่ไหม?”
“ปละ
ปละ...เปล่า เราโอเคสกล” บ๊วยแบ่งรับแบ่งสู้
สกลโน้มตัวข้ามโต๊ะเข้ามาหาบ๊วย
แล้วกระซิบกระซาบโดยที่สองตายังคงล็อคเป้าตรงใบหน้าของเจ้าพ่อห่อไหล่ไม่วาง
“นายไม่ต้องกลัวไปหรอก...เราดูท่าทางของเขาแล้ว
บอกได้เลยว่า ปลอดภัย หายห่วง...
.
.
...เขามาดีน่ะ”
พูดจบสกลก็บุ้ยใบ้ให้บ๊วยมองไปยังทิศทางที่เจ้าพ่อประทับอยู่
ยิ่งเพื่อนสนิทเจาะจงรายละเอียดเกี่ยวกับองค์เทวบุตรได้ละเอียดละออมากขึ้นเท่าไร
หน้าตาของคู่สนทนาอย่างบ๊วยก็หน้าเจื่อนลงมากขึ้นเท่านั้น
“เจ้าแว่นนี่มองเห็นเราด้วยเหรอ?”
เจ้าพ่อห่อไหล่ผู้กลายเป็นบุคคลที่สามท่ามกลางวงเมาท์จะจะระยะเผาขนของหนุ่มแว่นเอ่ยถามบ๊วยอย่างสนเท่ห์
“...ครับ...เจ้าพ่อ”
บ๊วยจำใจยอมรับความจริงกับเจ้าพ่อต่อหน้าต่อตาสกลที่กำลังเบิกตากว้างอย่างลิงโลด ราวกับแฟนคลับผู้บ้าคลั่งกำลังจะได้มีทแอนด์กรี๊ดกับศิลปินโปรดในดวงใจในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
“เมื่อกี๊บ๊วยเรียกเขาว่าเจ้าพ่อเหรอ?!!” สกลระรัวคำพูดจนปากสั่น เสียงเครือ “เราก็ว่า...วิญญาณธรรมดาไม่น่าจะมีออร่าเรืองรองผ่องใสได้มากขนาดนี้ ดีนะที่เราไม่เผลอทักท่านไปว่า...เพื่อนใหม่นายแอบไปดื่ม
ดม อม อาบกลูต้ามาหรือเปล่า ถึงได้ขาวอย่างกับเรืองแสงได้...
.
.
...ถ้าทำแบบนั้นไปจริงๆก็น่าขายหน้าตายไปเลยเนอะบ๊วย
นายว่าไหม? อะเหอ เหอ เหอ”
หนุ่มแว่นชงเอง
หัวเราะเองเสร็จสรรพ อากัปกิริยาพูดเล่นแบบไม่เห็นหัวตนของหนุ่มผู้มาใหม่ทำให้เจ้าพ่อไม่พอใจนัก
“เจ้าแว่น!.. เจ้าจะทำเหมือนข้าเป็นอากาศธาตุไปอีกนานเท่าไรกัน?”
เทวบุตรเอ็ดเสียงแข็ง แต่มีหรือที่หนุ่มแว่นผู้มีภูมิต้านทานต่อเรื่องลี้ลับอยู่ในระดับน่าชื่นชมจะสะท้าน
“กราบอาราธนาครับเจ้าพ่อ
ผมชื่อสกล เป็นเพื่อนสนิทของบ๊วยมาตั้งแต่เรียนประถมครับ...
.
...แล้วเจ้าพ่อล่ะครับ
ทำไมถึงมาสถิตแถวอาคารเรียนได้?”
เจ้าพ่อห่อไหล่จ้องมองหนุ่มแว่นแสนมึนด้วยดวงตาเขียวปั๊ด...
เพราะนอกจากสกลจะไม่สำนึกแล้ว
ชายหนุ่มยังทำหน้าเป็นคุยเล่นกับเขาได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาเสียอีก
ถ้าไม่ติดว่าเป็นบุตรแห่งเทพ
สกลคงโดนเจ้าพ่อสาปให้กลายเป็นพื้นรองเท้าที่เจ้าของจงใจก้าวลงบนกองขี้หมาเปียกในบัดดลเป็นแน่
ร้อนถึงอีกหนึ่งหนุ่มผู้อยู่ในเหตุการณ์ต้องลนลานแทรกถามเพื่อเบี่ยงประเด็น “เอ่อ
คือ...เราว่าอย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลยนะสกล
ใกล้จะเข้าเรียนแล้ว...นายกินอะไรมาหรือยังล่ะ?”
“ทำไมเราถึงถามเจ้าพ่อตอนนี้ไม่ได้ล่ะ?
เรายังไม่ได้กินอะไรมาหรอก...หิวเหมือนกัน
แล้วนายล่ะบ๊วย กินอะไรมาหรือยัง? หน้านายซีดๆนะ เป็นอะไรหรือเปล่า?”
สกลผู้ไม่รู้ร้อนรู้หนาวยิงห่าคำถามตามมาอีกเป็นชุด
ชายหนุ่มผู้เป็นคนกลางระหว่างขั้วอำนาจทั้งสองฝ่ายกำลังไปไม่เป็น...
.
...หนึ่งคือเพื่อนซี้ผู้ไม่เคยดูตาม้าตาเรือ
สกลกำลังตั้งตารอคำตอบรัวๆของเขาด้วยใจจดจ่อ
...อีกหนึ่งคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้กุมชะตาความรักของตนเอาไว้...ซึ่งสีหน้าของเจ้าพ่อ
ณ เวลานี้ ดูอยากจะขยี้สกลจนป่นเป็นผงให้รู้แล้วรู้รอด
บ๊วยจนใจ...
ทำไมอะไรๆถึงได้ยุ่งยากกว่าที่คิดไว้ได้มากขนาดนี้กัน?
แต่แล้วเสียงระฆังช่วยชีวิตชายหนุ่มก็ดังขึ้นอย่างเหมาะเจาะพอดีเป็นที่สุด
“ไง”
เสียงนุ่มหากทรงอำนาจของชายหนุ่มผู้มาใหม่ทักทายบ๊วยและสกลเพียงสั้นๆ
แต่มวลความกดดันที่มาพร้อมๆกับเจ้าของวลีนั้น
กลับทำให้เหล่านักศึกษาที่นั่งรายล้อมอยู่ไม่ห่างโต๊ะของพวกเขา ถึงกับค่อยๆทยอยเก็บข้าวของ ก่อนจะเดินตัวลีบด้วยความยำเกรงเคลื่อนย้ายตัวเองออกจากบริเวณนั้นไปทีละคนสองคน
ทว่าเจ้าของเสียง
กลับไม่ได้มาเพียงลำพัง
ข้างๆกัน
ปรากฏชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ ผิวพรรณขาวผ่องเป็นยองใย ดวงหน้าคมเข้มราวกับสืบเชื้อสายตรงจากชาวอารยันแห่งดินแดนชมพูทวีป
ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มยาวประบ่าสะบัดพลิ้วไหวยามต้องสายลม...
เมื่อทั้งสองยืนเคียงคู่
ก็พลันก่อให้เกิดภาพลวงที่ดูดึงดูดสายตาอย่างน่าฉงนเสมอ...
ใครเลยจะคิดว่า
คนบนฟ้าจะใจป้ำทำสำเนาผู้ชายหน้าตาดีไร้ที่ติเพื่อให้เหล่ามวลมนุษยชาติได้เชยชมพร้อมกันทีเดียวถึงสองคน
“พี่ฌาน...ฌอน มาแล้วเหรอ...กำลังคิดถึงอยู่พอดีเลย!” ตั้งแต่บ๊วยรู้จักกับฝาแฝดคู่นี้มา...พลานุภาพหลังการปรากฏกายของสองหล่อสุดหลอนไม่เคยนำมาซึ่งความปลื้มปีติยินดีเท่าครั้งนี้มาก่อน
“สวัสดีครับแฝด...วันนี้พวกคุณมาสายกว่าปกตินะ
รถติดเหรอครับ?...กินอะไรกันมาหรือยังครับ?”
สกลเป็นคนสม่ำเสมอ
อีกทั้งยังรักเพื่อนเท่าๆกัน...
และเมื่อไรก็ตามที่เพื่อนปล่อยให้สกลมีโอกาสพูด
ปากไม่มีหูรูดดูจะอ่อนไปหากจะใช้นิยามชายหนุ่มผู้นี้
เพราะสำหรับหนุ่มหน้าแว่นแล้ว...
ยิ่งถามเยอะ ยิ่งพูดถึงแยะ แปลว่ายิ่งรักมาก
“ยังเลยสกล...
.
...สกลช่วยไปซื้อข้าวเป็นเพื่อนฌอนหน่อยสิ
พี่ฌานขอคุยกับบ๊วยตามลำพังสักแป๊บนึงจะได้ไหม?”
ถ้าถามใจสกล...
เขาไม่ได้ต้องการผละจากโต๊ะไปไหน
เพราะไม่อยากเสียโอกาสพูดคุยกับตัวแทนจากอีกมิติแม้แต่ชั่วขณะเดียว
แต่กลุ่มพลังงานขนาดใหญ่ไร้รูปร่างที่ส่งผ่านร่างกาย
และสายตาโปรดสัตว์คู่นั้นของแฝดผู้พี่ มีอำนาจมากพอจะสั่งให้หนุ่มหน้าแว่นจับเครื่องไปซื้อข้าวที่เทียนจินแล้วค่อยบินกลับมาก็ยังได้
“ครับ
ได้ครับ...ไปครับฌอน” สกลรับคำอย่างว่าง่ายผิดคาด จากนั้นจึงหยัดตัวยืน...ออกเดินนำหน้าแฝดผู้น้องไปอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมาย
“พี่ฌาน
เดี๋ยวฌอนซื้อข้าวมาให้นะ” แฝดน้องตะโกนบอกระหว่างออกวิ่งตามหลังสกลซึ่งมุ่งหน้าไปยังสระบัวของเหล่าเป็ดสวยดุที่เลี้ยงไว้ข้างโรงอาหารคณะ เมื่อเหลือเพียงผู้เกี่ยวข้องที่ต้องการ แฝดพี่ก็เปิดประเด็นโดยไม่รอรี
“กราบอาราธนาครับเจ้าพ่อห่อไหล่...
วันนี้มาเที่ยวไกลถึงคณะสถาปัตย์เลยนะครับ” ฌานยิ้มย่องผ่องใส
“นี่พวกเจ้าเห็นข้าหมดทุกคนเลยเรอะ?!!” นี่เป็นครั้งที่สองของวันที่องค์เทพต้องประหลาดใจกับเหล่าสหายของบ๊วย
“อย่าเพิ่งตกใจไปครับเจ้าพ่อ...
...จริงๆในบรรดาพวกเราสี่คน
มีแค่ผมกับสกลเท่านั้น ที่มองเห็นบางสิ่งได้ด้วยตาเปล่า...
.
...สำหรับฌอน...แฝดผู้น้อง
เขาจะสามารถมองเห็นได้ก็ต่อเมื่ออ่อนไหวจนจิตใจถูกควบคุม หรือเมื่ออยู่ใกล้ๆกับผม...
...แต่ในกรณีของบ๊วย
ผมเดาว่า เจ้าพ่อกับบ๊วยน่าจะทำพันธะสัญญาอะไรร่วมกันมา
เลยทำให้คนปกติเพียงคนเดียวในกลุ่มพวกผม สามารถมองเห็นและพูดคุยกับท่านได้...
ถูกต้องไหมครับเจ้าพ่อ?” ฌานอยู่ในท่วงท่าสบายๆ ผิดกับเจ้าพ่อห่อไหล่ที่อึ้งเสียจนไม่อาจยืนยันข้อสันนิษฐานของแฝดผู้พี่สุดหล่อออกไปตรงๆ
“นี่ยังไงล่ะครับเจ้าพ่อ......ข้อตกลงร่วมกันข้อสองที่ทำให้ผมเป็นกังวลจนนั่งไม่ติด”
ในที่สุดบ๊วยก็ยอมแย้มถึงสถานะตกที่นั่งลำบากของตัวเอง ภายหลังจากที่ทุกอย่างแจ่มแจ้งต่อสายตาบุตรแห่งเทพ
“ข้าเข้าใจที่เจ้าบอกแล้วล่ะ...
.
...เอาเถอะ
ข้าขอรับรองกับเจ้าอีกครั้งว่า พรของเจ้าจะไม่เป็นโมฆะ เพราะเจ้าไม่ได้ทำผิดสัญญาแต่อย่างใด...
...ข้าเองก็ไม่ทันนึกว่า
ข้าจะได้พานพบกับมนุษย์บุญหนักศักดิ์ใหญ่พร้อมๆกันทีเดียวถึงสามคน”
“ขอบคุณครับเจ้าพ่อ!!...
.
...ถ้าอย่างนั้น...
...ผมก็ขอให้พวกเพื่อนๆช่วยเป็นกองหนุนในภารกิจของเราได้น่ะสิครับ”
แม้ข้อเสนอแนะของบ๊วยจะน่าสนใจ
เพราะนั่นหมายความว่า...จะมีตัวช่วยในภารกิจที่ตนเองไม่ถนัดเพิ่มขึ้นมาอีกหลายมือ
แต่เจ้าพ่อห่อไหล่กลับรู้สึกคลางแคลงใจอย่างไรบอกไม่ถูก
ซึ่งเรื่องแรกเห็นจะหนีไม่พ้น...
ความสมัครใจของว่าที่สมุนเฉพาะการของงานอำนวยพรสุดหินชิ้นนี้
“เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าเพื่อนของเจ้าจะตกลง?...
.
...พวกเขาจะไม่แปลกใจหรือ
หากต้องมาช่วยจับคู่ผู้ชายสองคนให้สมรักกันน่ะ?”
“ที่เจ้าพ่อพูด...หมายถึงเรื่องของบ๊วย
กับไอ้เก็กสุดหล่อเดือนวิศวะน่ะเหรอครับ?” คำถามของฌานดังแทรกขึ้น หลังจากเจ้าตัวปะติดปะต่อเรื่องราวเบื้องหลังระหว่างเทวบุตรกับเพื่อนผู้ไม่เคยข้องแวะกับอีกมิติได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“ถ้าอีกฝ่ายที่เจ้าพูดถึง
คือนายธันวา อริยะตรัยล่ะก็...เจ้าเข้าใจถูกแล้วล่ะ” เจ้าพ่อหันไปตอบแฝดคนพี่
“ข้าวมาแล้วครับ”
เสียงของสกลลอยลมล่วงหน้ามาถึงก่อนกายหยาบราวสี่ช่วงก้าว
ทำเอาบทสนทนาหยุดลงชั่วขณะ
“เอ๋......ผมเข้ามาผิดเวลาหรือเปล่าครับ?”
ชายหนุ่มหน้าแว่นถามหน้าจ๋อย
“ไม่หรอกสกล ฌอน...พวกนายมาทันตั้งแต่หนังตัวอย่างเพิ่งเริ่มฉายเลยต่างหากล่ะ...
...นั่งสิ...จะได้เริ่มบรรเลงกันเสียที
สงสัยเรื่องนี้ท่าจะยาว” แฝดพี่ออกปากชวนโดยไม่รอถามความสมัครใจของทั้งเจ้าพ่อและบ๊วย
“แต่เราจะคุยกันนานๆได้เหรอครับ...อีกยี่สิบนาทีก็จะเข้าเรียนแล้วนะพี่ฌาน
ข้าวเช้ายังไม่ได้กินเลยนะครับ” สกลแย้ง
ทว่าแฝดน้องผู้ไม่ใช่พวกช่างจำนรรจากลับยกฝ่ามือขึ้นห้ามทุกคนในวง
ก่อนจะติดนิ่งในท่าเลิกคิ้วข้างหนึ่งและเอียงหูราวกับกำลังรับฟังเสียงกระซิบไร้ที่มาด้วยสีหน้าจริงจัง
แล้วจึงพยักหน้าน้อยๆอย่างพอใจให้กับลมฟ้าอากาศ พร้อมกับพูดนิ่มๆ
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกสกล...
...เมื่อกี๊น้องพลายบอกว่า...คาบที่จะถึง
อาจารย์จะไม่เข้าสอน เห็นว่าอาจารย์จะปวดท้องกะทันหันโดยไม่มีสาเหตุ...
.
...ทีนี้เราก็กินไปคุยไปได้แล้วใช่ไหมครับเจ้าพ่อ?”
ฌอนถามด้วยรอยยิ้มมุมปาก
เมื่อได้ประจักษ์แจ้งถึงความมหัศจรรย์พันลึกของชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นเพื่อนสนิทของบ๊วยทั้งสาม
เจ้าพ่อห่อไหล่ถึงกับสตั้นท์ไปหลายวินาที...
พลางเห็นใจชายหนุ่มธรรมดาผู้ที่เขาต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลืออย่างที่สุด
Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดระหว่างบ๊วยกับเจ้าพ่อห่อไหล่ถูกถ่ายทอดให้อีกสามหนุ่มฟังด้วยถ้อยคำของผู้บนบาน
และแล้วก็เป็นสกล
ที่เปิดฉากถามเพื่อนรักด้วยสีหน้าเดาอารมณ์ไม่ถูก
“สรุปว่า
นายกลุ้มใจเรื่องคุณธันวามากซะจนแอบไปบนขอพรจากเจ้าพ่อห่อไหล่...
...นั่นเลยทำให้เจ้าพ่อต้องมาผูกติดอยู่กับนาย
เพื่อช่วยให้นายได้เป็นฝั่งเป็นฝากับคุณธันวาเสียที...
.
.
...นี่นายสิ้นหวังถึงขนาดนี้เลยเหรอบ๊วย?”
สกลก้มลงมองพื้นพลางส่ายหัวอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ถ้าคนฟังไม่ใช่บ๊วยที่รู้จักอีกฝ่ายเหมือนรู้ใจตัวเอง
คงดูอาการกวนตีนหน้าตายระดับเหนือเทพของไอ้หนุ่มหน้าแว่นไม่ออกแน่ๆ
“อืม...ทำนองนั้นแหละสกล...
...ขอบใจนะที่ตอกย้ำ
นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเราเลยล่ะ” บ๊วยแดกเนียนๆ ทำให้สกลหลุดอมยิ้ม
“ไม่ต้องเกรงใจเราหรอกบ๊วย...
.
...มากกว่านี้เราก็ทำให้เพื่อนรักอย่างนายได้เสมอ” สกลส่งสายตาปิ๊งปั๊งพลางเอื้อมมือไปตบไหล่บ๊วยหนักๆ
“งั้นก็แสดงว่า
เจ้าพ่อจะอยู่กับนายตลอดเวลาจนกว่าพรข้อนี้จะสำเร็จน่ะสิ” ฌอนถามซ้ำเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันอีกครั้ง
“ก็ใช่”
บ๊วยยืนกราน
“ดีจังเลย!
กลุ่มเราจะได้มีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นเสียที...
...เรียนมาตั้งสองปีแล้ว
ไม่เคยมีคนอื่นมาขอเข้ากลุ่มเพิ่มบ้างเลย” สกลกระพือขนตามองไอดอลจากอีกมิติอย่างมีเลศนัย
“อ้าวสกล! นี่สกลกำลังจะบอกว่า การที่กลุ่มเราสนิทกันอยู่แค่สี่คน
ทำให้สกลมีปมด้อยเรื่องเพื่อนอย่างนั้นเหรอ?” แฝดพี่เสิร์ฟลูกเบรคเกมใส่เพื่อนหน้าแว่นจังจัง
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับพี่ฌาน!!” หนุ่มหน้าแว่นส่ายหัวดิก แล้วจึงว่าต่อ
“ผมแค่อยากมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆเท่านั้นเองครับ...
...เวลาเดินไปไหนมาไหนเป็นหมู่คณะ
พวกเราจะได้ดูคูลๆกับเขาบ้าง” สกลทำหน้าเพ้อฝันจนน่าหมั่นไส้
“ไม่เห็นต้องอยากคูลเลยสกล...
...ลำพังเราอยู่รวมตัวกันครบองค์
รังสีความเย็นดุทะลุกะโหลกก็พวยพุ่งออกมาจนแทบจะไม่มีใครเข้าใกล้อยู่แล้ว...
...คูลจัดหนักขนาดนี้
ยังไม่สาแก่ใจของสกลอีกเหรอ?” บ๊วยใช้คำพูดฉุดเพื่อนรักให้กลับลงมายืนบนพื้นโลกอีกครั้ง
แต่สกลยู่หน้าใส่อย่างไม่พอใจนัก
“ทำไมถึงชอบสกัดดาวรุ่งเราอยู่เรื่อยเลยล่ะบ๊วย?...
.
...บ๊วยเป็นชายกลาง บ๊วยไม่ได้เป็นพ่อมหาฯอย่างเรา...
...บ๊วยไม่เข้าใจความใฝ่ฝันอันสูงสุดในช่วงมหาวิทยาลัยของเด็กแว่นวัยหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างเราหรอก!!” หนุ่มแว่นตัดพ้อ
...บ๊วยไม่เข้าใจความใฝ่ฝันอันสูงสุดในช่วงมหาวิทยาลัยของเด็กแว่นวัยหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างเราหรอก!!” หนุ่มแว่นตัดพ้อ
“เอาล่ะๆ
พวกเจ้าอย่ามัวแต่เสียเวลากับเรื่องไร้สาระกันอยู่เลย...
.
...ขอข้าเริ่มทำความเข้าใจกับงานที่ข้าจะต้องทำเสียก่อนได้ไหม?”
เจ้าพ่อห่อไหล่ถึงกับต้องออกโรงเพื่อยุติสงครามน้ำลายของชายหนุ่มทั้งสี่ บ๊วยเป็นคนแรกที่เดือดร้อนกับความหลากหลายทางอารมณ์ของเทวบุตรจึงเอ่ยถามถึงสิ่งที่เจ้าพ่อต้องการโดยไม่ละล้าละลัง
“ได้ครับเจ้าพ่อ...เจ้าพ่ออยากรู้อะไรก่อนล่ะครับ?”
“เรื่องแรก...ข้าอยากรู้ว่า
ทำไมเจ้าถึงต้องมาขอพรกับข้าเพื่อให้ช่วยเรื่องนายธันวา อริยะตรัยด้วย?” บ๊วยยังไม่ทันได้ตอบคำถามเจ้าพ่อ เพราะเพื่อนสนิทหน้าแว่นปาดหน้าเค้กด้วยการยืดแขนข้างหนึ่งขึ้นเหนือหัว
แล้วส่งสายตาเว้าวอนเหมือนลูกหมาเห็นกระดูกผูกโบว์อยู่ตรงหน้าไปให้องค์เทวบุตร
“แล้วเจ้าจะยกมือทำไมเจ้าแว่น?”
ท่าทางเหมือนเด็กหน้าห้องที่ต้องการตอบคำถามของคุณครูเพื่อแลกดาวจิตพิสัยของสกล
ทำให้เจ้าพ่อห่อไหล่ให้ความสนใจหนุ่มหน้าแว่นทั้งที่ไม่ตั้งใจ
“ผมขอตอบแทนได้ไหมครับ?”
สกลเอ่ยเสียงดังฟังชัดพร้อมกับสะบัดหางรัวๆ
“เอา
เอา...ตอบมา” เจ้าพ่อห่อไหล่จำต้องตัดรำคาญอย่างเสียไม่ได้
“บ๊วยแอบชอบคุณธันวามาตั้งแต่ตอนเรียนมอปลายแล้วครับ
แต่บ๊วยเขาไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองสักเท่าไร...
.
.
...ยิ่งพอหลังจากเข้ามหาวิทยาลัย
คุณธันวากลายเป็นเดือนคณะและเดือนมหาวิทยาลัย ในขณะที่บ๊วยเพื่อนผมกลับซ่องสุมกำลังกับกลุ่มเพื่อนผู้วิเศษทั้งสาม
ทำให้บ๊วยก็ยิ่งไม่กล้าเข้าหาคุณธันวาไปกันใหญ่ครับ”
“ทำไมเจ้าถึงไม่มั่นใจล่ะ?
คุณสมบัติของนายธันวาอะไรนั่น สูงส่งจนเกินเอื้อมอย่างนั้นเลยเหรอ?” คราวนี้เจ้าพ่อเปลี่ยนมาถามผู้เป็นจุดเริ่มต้นของภารกิจในครั้งนี้
“เปล่าหรอกครับเจ้าพ่อ
แค่ตัวผมมันไม่มีอะไรดีพอให้มั่นใจได้น่ะครับ...
.
.
...เจ้าพ่อดูผมให้ดีๆสิครับ...
...หน้าตาผมก็งั้นๆ
จะเรียกว่าแย่ก็ไม่ใช่ แต่ก็ยังห่างไกลกับคำว่าหล่อไปหลายปีแสง...
...ฐานะทางบ้านผมก็ปานกลาง
ไม่มีเงินถุงเงินถังมาเสริมสร้างบารมีอย่างใครเขา...
...เรื่องเรียนผมก็คาบเส้น ถ้าไม่ใช่วิชาที่ชอบ...สอบตกหลายรอบก็เคยมาแล้ว...
...เรื่องเรียนผมก็คาบเส้น ถ้าไม่ใช่วิชาที่ชอบ...สอบตกหลายรอบก็เคยมาแล้ว...
...แล้วอย่างนี้
คนพอดีมีนอย่างผมจะเอาที่ไหนมามั่นใจว่า ตัวเองดีพอกับผู้ชายที่เด่นดัง
และเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัยอย่างเก็กได้ล่ะครับ” บ๊วยเยาะตัวเอง
“เออ...ก็ถูกของเจ้า” เจ้าพ่อห่อไหล่ที่กำลังพยักหน้าให้กับความจริงที่เพิ่งได้ฟังออกจากปากบ๊วยถึงกับชะงัก
เมื่อเห็นสกลยกมือขึ้นอีกครั้งด้วยพลังงานและความมุ่งมั่นที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าครั้งแรกแม้แต่น้อย
“ผมครับ
ผมครับท่านเจ้าพ่อ!!!” มือข้างที่ว่างของสกลตบอั๊กๆเข้าที่กลางอกไก่ฟีบๆเพื่อสนับสนุนคำพูดของตัวเอง
“..เอ๊า!.. มีอะไรอยากพูดก็พูดมา!!!” ถ้าจะบอกว่าเจ้าพ่อชักอิดหนาระอาใจกับความกวนประสาทของสกล...ก็คงไม่ผิดนัก
“คือ...จริงๆบ๊วยเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วน่ะครับเจ้าพ่อ...
...พอโตเต็มวัย
ก็ดันกลายมาเป็นชายกลางเต็มขั้น นั่นเลยบั่นทอนความเชื่อมั่นที่มีอยู่น้อยนิดให้ยิ่งลดน้อยลงไปกันใหญ่”
“พวกเจ้าแต่ละคนดูไม่แปลกใจที่เพื่อนของพวกเจ้าปรารถนาในตัวผู้ชายคนอื่นเลยนะ”
กลายเป็นเจ้าของประโยคเสียเอง...ที่ต้องประหลาดใจกับท่าทาง
และการรับมือกับเรื่องราวของบ๊วยได้เป็นอย่างดีของทั้งสามหนุ่ม
“ไม่นี่ครับ...
สมัยนี้ ไม่มีใครเขาถือเรื่องพวกนี้กันแล้วครับเจ้าพ่อ...
.
.
...จริงๆถ้าบ๊วยไม่ชายกลางเท่านี้...
...พี่ฌานว่า ฌอนคงจะจีบบ๊วยจนตบแต่งกันไปหลายปีแล้ว
ใช่ไหมน้องชาย?” ฌานที่พูดพลางเคี้ยวน้ำแข็ง
หันไปถามความเห็นน้องชายฝาแฝดที่เพิ่งจ้วงบัวลอยไข่หวานคำสุดท้ายเข้าปาก ฌอนยิ้มรับเหมือนรู้ทางกัน
แล้วจึงตอบพี่ชายเนิบๆ
“ถ้าไม่ติดเรื่องที่ผมแพ้ของน่ารัก...
บ๊วยนี่แหละครับ ศรีภรรยาในอุดมคติของแท้และแน่นอน...
...ทั้งนิสัยดี
ช่างเอาใจ ทำกับข้าวได้ แถมยังรักมั่นรักจริงอีกต่างหาก ใครจะไม่ชอบกันล่ะครับ...
.
.
...ทุกวันนี้
ผมยังโกรธตัวเองอยู่ตลอดเวลาเลยนะครับ...
...ไม่น่าเกิดมาพร้อมกับอาการแพ้ของน่ารักเลยจริงๆ
ดูสิ...พลาดของแปลกไปเสียได้” ฌอนแสร้งแสดงสีหน้าเศร้าสร้อย
“พี่ฌาน...ฌอน...
อย่าอำเจ้าพ่อสิ!!”
บ๊วยแหวใส่เพื่อนฝาแฝดที่เอาแต่หัวเราะชอบใจ หลังจากป้อนข้อมูลเท็จให้กับเจ้าพ่อห่อไหล่ได้สำเร็จ
“หึ
หึ...โทษทีๆ พอดีพี่ฌานเห็นว่าเจ้าพ่อท่านยังไม่รู้จักพวกเราดีเท่าไร เลยอยากรับน้องใหม่เสียหน่อย...ไหนๆก็ต้องอยู่ด้วยกันอีกตั้งหลายเดือน
ใช่ไหมครับเจ้าพ่อ?” ฌานหันไปถามเจ้าพ่อโดยปราศจากอาการกริ่งเกรงใดๆ
“เจ้าร่างทรงนี่ช่างสามหาวดีเสียจริง...
...เจ้าก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าการจะรักษาบุญบารมีเอาไว้ได้
เจ้าต้องรักษาอุโบสถศีลอย่างเคร่งครัด...
...ยังจะพูดปด
เพ้อเจ้อจนเสียนิสัยอยู่อีกนะ ระวังเถอะ...มีลาภ ก็ต้องมีเสื่อมเข้าสักวัน”
“ศีลข้อมุสานี่ยาขมของพี่ฌานเขาเลยครับเจ้าพ่อ”
บ๊วยตอบแทนแฝดพี่ที่หันไปพุ้ยน้ำแข็งก้อนในแก้วเข้าปากอีกครั้ง
“แล้วตกลงนี่มันเป็นยังไง?...
...บ๊วย...เจ้าพอจะมีข้อดีอะไรกับเขาบ้างไหม?”
เทวบุตรกำลังต่อสู้กับความท้อถอยอย่างสุดกำลัง...
ขอแค่ได้ยินข้อมูลดีๆที่พอจะใช้เป็นข้อได้เปรียบของงานแม้เพียงข้อเดียว...
คงพอช่วยชุบให้หัวใจที่ห่อเหี่ยวขององค์เทพชุ่มชื้นขึ้นได้บ้าง
“บ๊วยเป็นคนนิสัยดีที่ไม่มีจุดขายครับเจ้าพ่อ” แฝดน้องพูดเรียบๆ
แต่ประโยคบอกเล่าเมื่อครู่ กลับกระชากแสงแห่งความหวังไปจากใจของเจ้าพ่อห่อไหล่จนใกล้จะริบหรี่
อา...หมดสิ้นทุกอย่างแล้วจริงๆสินะ
ไม่น่าเชื่อว่าจะยังเหลือมนุษย์ที่ไม่มีข้อดีอะไรเลยอยู่อีกหรือนี่?!!
องค์เทวบุตรร้องร่ำลำพังในใจด้วยความสิ้นหวัง
“อ้อ! เกือบลืมไป...
...นอกจากข้อดีข้อเมื่อกี๊แล้ว...ข้อดีอีกข้อก็เห็นจะเป็น...
...ไม่มีอะไรในโลกนี้
ที่บ๊วยเพื่อนผมทำไม่ได้”
เฮ่อ...โล่งอก...
.
...ไม่เป็นไรแล้วนะห่อไหล่...
...ไม่เป็นไรแล้ว
“แต่ที่ทำได้ดี...ก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ การรักเก็กอย่างมุ่งมั่นและไม่หวั่นไหวมาโดยตลอดครับเจ้าพ่อ”
ฌอนแก้ตัวกับเจ้าพ่ออีกครั้งด้วยการให้ข้อมูลจริง
เจ้าแฝดน้องนี่ร้ายกาจใช่เล่น...
พวกเจ้าไม่เห็นหัวข้าเลยใช่ไหม?...
...ได้ พวกเจ้าอย่าเผลอก็แล้วกัน
ข้าจะทำให้พวกเจ้ากลัวจนสั่นเป็นลูกหมาเลยเชียว!!! เจ้าพ่อห่อไหล่คาดโทษในใจ
ก่อนจะปรับอารมณ์ให้เป็นปกติแล้วจึงวกเข้าเรื่องงานต่อ
“เอาล่ะ
ข้าพอจะเข้าใจที่มาที่ไปของคำขอของเจ้ามากขึ้นแล้วนะบ๊วย...
...ทีนี้...ไหนพวกเจ้าลองบอกข้าซิว่า
ความรักของเพื่อนพวกเจ้าคนนี้จะสำเร็จได้อย่างไร?” เจ้าพ่อห่อไหล่หันไปถามความเห็นของเหล่าบรรดาตัวช่วย
แต่กลับไม่ได้รับความร่วมมืออย่างที่คาดการณ์ไว้
“เจ้าพ่อถามเหมือนมือใหม่หัดเป็นกามเทพเลยนะครับ...
...แค่จับคู่ให้ผู้ชายสองคน ไม่น่าจะเกินความสามารถของเทวบุตรระดับสูงอย่างเจ้าพ่อหรอกมั้งครับ”
เสียงเย้าของฌานลอยลมมาราวกับไม่จงใจ
“พี่ฌานครับ...ส่อเสียดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เข้าข่ายมุสานะครับ”
สกลได้ที
จึงเอาคืนด้วยการปราม พร้อมๆกับส่งสีหน้าไม่เห็นด้วยไปให้ฌาน จนโดนแฝดพี่ถลึงตาใส่...
แต่ครั้งนี้ฌานกลับไม่ทันได้เอาเรื่องอีกฝ่าย
เพราะคนหน้าแว่นหันไปสนใจสิ่งที่ฌอนกล่าวกับเจ้าพ่อห่อไหล่เป็นที่เรียบร้อย
“เรื่องว่าจะสำเร็จหรือไม่
พวกผมคงต้องฝากเอาไว้ในมือของเจ้าพ่อแล้วล่ะครับ...
...แต่ถ้าเรื่องเป็นไปได้หรือเปล่านั้น...
เจ้าพ่อไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกครับ เพราะเท่าที่พวกเรารู้มา...เก็กชอบผู้ชาย
และยังไม่มีแฟนแน่นอนครับ” ฌอนยืนยันเป็นมั่นเหมาะ
“พวกเจ้าแน่ใจได้อย่างไร?”
เจ้าพ่อกลอกตาเมื่อเห็นแขนสกลไหวไวๆในอากาศ “...เออๆ เจ้านั่นแหละ...
เห็นยกมือนานแล้ว ท่าจะเมื่อย” สุดท้ายเทวบุตรก็เปิดโอกาสให้ไอ้หนุ่มหน้าแว่นได้พูดสมใจอีกครั้ง
“คุณธันวาเคยมีแฟนเป็นผู้ชายครับ...
...ทั้งสองคนคบกันตั้งแต่ตอนเรียนมอปลาย จบแล้วก็ตามมาเรียนด้วยกันถึงที่นี่...
...คู่นี้ถือเป็นคู่รักที่ดังระเบิดะเบ้อ
เพราะหน้าตาและโปรไฟล์ของคุณธันวากับแฟนดีเลิศกันทั้งคู่...
...แต่ทั้งสองคนเพิ่งเลิกกันไปเมื่อเทอมที่แล้วนี่เอง หลังจากนั้น...คุณธันวาก็ไม่คบใครอีกเลยครับเจ้าพ่อ...
.
.
...มีช่วงหนึ่ง
พวกสาวๆที่ชอบความท้าทายเคยเข้าหาคุณธันวา แต่ก็ต้องถอยกลับไปตั้งหลักกันแทบไม่ทัน
เพราะคุณธันวาประกาศกร้าวต่อหน้าทุกคนว่า คุณธันวาชอบผู้ชาย และเกิดมาเพื่อเป็นเกย์พันเปอร์เซนต์ครับ”
“นั่นเลยยิ่งทำให้ไอ้เก็กมันเนื้อหอมในหมู่เก้งกวางทั่วทั้งมหา’ลัยไปกันใหญ่...
.
...การปรากฏตัวของคู่แข่งจำนวนมากเกินจะนับ
กับความไม่มั่นใจเพราะไม่มีอะไรเทียบกับแฟนเก่าของไอ้เก็กได้แม้แต่นิดเดียวคงทำให้บ๊วยเลือกสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พึ่งสุดท้ายเพื่อต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหลกันในสมรภูมิรักครั้งนี้”
ฌานเสริมความ
“แต่บ๊วยไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ
เพราะตอนนี้ บ๊วยไม่ได้มีแค่เจ้าพ่อห่อไหล่เป็นแบ็คอัพเท่านั้น...
.
...บ๊วยยังมีพวกเราเป็นทหารเสือราชินีให้อีกตั้งสามคนแหน่ะ...
...อ้อ! ลืมไป...มีน้องพลายอีกหนึ่งตนด้วยนี่เนอะ”
ฌอนหันไปให้กำลังใจเพื่อนรัก ปิดท้ายด้วยการส่งยิ้มหวานให้ลมให้ฟ้า
“ขอบใจนะฌอน...ขอบใจมาก”
“ทีนี้มั่นใจขึ้นแล้วรึยังล่ะ?”ฌานถามเพื่อให้บ๊วยเริ่มเชื่อในการร่วมมือของทุกคน...
เมื่อเชื่ออย่างสนิทใจแล้ว ความมั่นใจจะติดตามมาเหมือนเป็นเงา
“อื้อ...มั่นใจขึ้นเยอะเลยพี่ฌาน”
ชายกลางยิ้มให้พี่ใหญ่ของกลุ่มที่อายุน้อยกว่าตัวเองถึงหนึ่งขวบปี
.
.
.
.
“นี่พวกเจ้า...ข้าถามอะไรหน่อยสิ พวกเจ้ามาเจอกันได้ยังไงน่ะ? ตอบมาเลยเจ้าแว่น
ไม่ต้องยกมือแล้ว” เจ้าพ่อเรียกตัวแทนโดยไม่รั้งรอ สกลจึงทำท่าประหนึ่งผู้ทรงภูมิแสดงปาฐกถา
“อะแฮ่ม! อย่างที่เจ้าพ่อรู้น่ะแหละครับว่า ผมกับบ๊วยเป็นเพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก...
...ถ้าพูดกันตรงๆ
ผมว่า การคบกับคนมีความสามารถพิเศษอย่างผมนี่แหละครับ ทำให้บ๊วยไม่มีเพื่อนคนอื่นอีกเลย...
...พอมาเข้ามหาวิทยาลัย...
ผมเลยชดเชยให้บ๊วยด้วยการหาเพื่อนมาเพิ่มให้กลุ่มเราอีกสองคน”
“สกล...พี่ฌานว่าสกลกำลังมุสานะ”
คราวนี้แฝดพี่ปรามเพื่อนหน้าแว่นโดยไม่รอให้โอกาสหลุดลอย
“แหะ
แหะ...ขอโทษครับพี่ฌาน เห็นพี่ฌานกับฌอนอำเจ้าพ่อ
ผมเลยนึกว่าตัวเองเล่นได้เหมือกัน”
“นี่เจ้าเห็นข้าเป็นเพื่อนเล่นหรอกหรือเจ้าแว่น?”
คำพูดทีเล่นทีจริงของสกลทำเจ้าพ่อห่อไหล่กริ้วจนหางตากระตุก
“แหะ
แหะ...ขอโทษครับเจ้าพ่อ...
...พอดีเมื่อกี๊ผมกินคาร์บเกินอัตรา...ผมเลยร่าเริงเกินพอดีไปหน่อย...
.
...เรื่องจริงก็คือ
วันแรกที่ผมมาเรียนที่นี่ ผมก็เจอเข้ากับมวลพลังงานวิญญาณหนาแน่นรายล้อมอยู่รอบๆคณะ
ผมเลยรีบวิ่งไปลากบ๊วยมานั่งสังเกตปรากฏการณ์พิเศษในครั้งนั้น จนเจอกับพี่ฌาน และ
ฌอนนี่แหละครับ”
“ตอนแรกพวกผมก็ไม่ได้คิดจะเป็นเพื่อนด้วยหรอกครับ...
.
.
...เจ้าพ่อลองคิดดูสิครับ
ไอ้แว่นนี่เล่นมานั่งจ้องกันทั้งวันเหมือนผมกับน้องชายเป็นสิงโตในสวนสัตว์...
...อย่างนี้มันน่าคบด้วยตรงไหนล่ะครับเจ้าพ่อ” ฌานพูดขอความเห็นใจจากเทวบุตร
“อ้าว...แล้วทำไมสุดท้ายพวกเจ้าถึงลงเอยด้วยการเป็นเพื่อนกันได้ล่ะ?”
“พี่ฌานเขาก็พูดไปงั้นแหละครับเจ้าพ่อ...
...เอาเข้าจริง
ผมว่าพี่ฌานก็ดีใจเหมือนกันน่ะแหละครับที่หาเพื่อนใหม่ได้นอกจากน้องชายอีกหนึ่งคนครึ่งของตัวเอง...
.
...อีกอย่าง
ผมกับบ๊วยก็ไม่ได้นั่งจ้องพี่ฌานกับฌอนนานจนน่าเกลียดเสียหน่อย...
...แค่นั่งมองหน้ากันอยู่สองที
พอผมเห็นพี่ฌานยิ้มให้ ผมก็ลากบ๊วยเข้าไปชาร์จทั้งคู่เลยล่ะครับ...
...ทำไงได้
ก็คนมันมีมนุษยสัมพันธ์ดีอ่ะนะครับ อ่ะเหอ เหอ เหอ” สกลหัวเราะโรคจิต จนแฝดพี่ทนดูไม่ไหว
“เยอะไปแล้วสกล”
“ขอโทษครับพี่ฌาน”
สกลยกมือไหว้ฌานปลกๆ “...โอ๊ะ!
อย่านะครับ
อย่าเสกไอ้ฉ่ำกับอีแฉะมาเข้าท้องผมนะครับ ผมกลัวอิ่มเกินไปครับ”
ชายหนุ่มหน้าแว่นแสร้งทำท่าหวาดหวั่นเพื่อกวนประสาทแฝดพี่อย่างไม่มีอาการสลด ฌานยกนิ้วชี้หน้าพ่อมหาฯปากไม่มีหูรูด
“แล้วอย่างนี้เราควรจะเริ่มแผนการกันอย่างไรดีล่ะครับเจ้าพ่อ?”
บ๊วยดึงทุกคนให้กลับเข้าสู่หัวข้อหลักของที่ประชุมสุดประหลาด
“โดยปกติแล้ว
พวกมนุษย์เริ่มรู้สึกรักมนุษย์อีกคนหนึ่งได้ยังไงล่ะ?” เจ้าพ่อหันไปถามความเห็นของเพื่อนๆบ๊วย
ทว่าไร้เสียงตอบรับ หรือท่าทีตอบสนองใดๆ
กระทั่งเจ้าหน้าแว่นที่มักจะเสนอหน้าขอเป็นคนตอบในทุกๆเรื่องก็กลับนังนิ่ง
และหลบตาเหมือนตุ๊กตาหมดลาน
“อ้าว
เจ้าแว่น...ทำไมคราวนี้ไม่ยกมือแล้วล่ะ?”
“เจ้าพ่อคงคิดว่า
คนหล่อหน้าแว่นลุคมหาฯอย่างผม...คงไม่เคยสัมผัสความรักมาอย่างโชกโชนใช่ไหมล่ะครับ?...
.
.
.
.
.
...เจ้าพ่อคิดถูกแล้วล่ะครับ...
...ผม
นายสกล คนเห็นผี... ไม่เคยมีความรักมาก่อนครับ เพราะฉะนั้น...มองข้ามหัวผมไปได้เลยครับ
กรณีนี้ผมขอไม่ออกความเห็น”
เจ้าพ่อถึงกับส่ายหัวเมื่อเห็นสกลเอาตัวรอดต่อหน้าต่อตา
สุดท้ายเทวบุตรจึงหันมาให้ความสนใจกับสองหนุ่มที่รูปโฉมโนมพรรณเหมือนกันอย่างกับแกะ
“อ้าว...แล้วเจ้าล่ะ เจ้าคนทรง?...
.
...เห็นกระแนะกระแหนข้าว่าเป็นมือใหม่หัดจับคู่ให้มนุษย์...
...พอข้าเปิดโอกาสให้พูด...เจ้าไม่คิดจะพูดอะไรเสียหน่อยเหรอ?”
เจ้าพ่อห่อไหล่ย้อนฌานอย่างเจ็บแสบ...
ซึ่งการตอบโต้ขององค์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้
ทำให้บ๊วยสะท้อนใจกับความจริงที่ว่า...
ช่างไม่มีสัจจะ
หรือความปรารถนาดีต่อกันในหมู่คนประหลาดกลุ่มนี้เสียจริงๆ
ทางฟากฝั่งของสองหนุ่มฝาแฝด
ก็เลือกที่จะใช้ความเงียบเป็นคำตอบที่ดีที่สุดให้กับคำถามของเจ้าพ่อห่อไหล่...
และนั่น...สื่อความหมายได้ดีกว่าการปฏิเสธปาวๆแบบเจ้าหนุ่มหน้าแว่นหลายเท่านัก
“อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าไม่เคยมีความรักกันเลยสักคน...
.
...ให้มันได้อย่างนี้สิ...แล้วอย่างนี้จะไปรอดกันไหมเนี่ย?”
เจ้าพ่อห่อไหล่ปรารภกับตัวเองอย่างห่อเหี่ยว
.
.
.
.
.
“หลวมตัวมาถึงขั้นนี้แล้ว
ไม่ลองก็ไม่รู้หรอกครับเจ้าพ่อ” ฌานปลอบด้วยรอยยิ้ม
สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความหวังของแฝดพี่ ทำให้เจ้าพ่อมีกำลังใจขึ้นอีกครั้ง
“นั่นสินะ...อย่างน้อยๆงานนี้
ข้าก็ยังมีพวกเจ้า...
.
.
...ไม่ต้องทำงานตนเดียวก็น่าจะดีเหมือนกัน”
เจ้าพ่อหันไปมองชายหนุ่มทั้งสี่ด้วยความเชื่อมั่น
หน้าประวัติศาสตร์จะต้องจารึกเอาไว้ว่า
นี่คือครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งองค์กรลี้ลับ กับ ศักดิ์สิทธิ์คอร์ปฯ จะจับมือกับมนุษย์ทั้งสี่
เพื่อเดินหน้าทำภารกิจที่ไม่เคยมีผู้ร่วมแผนการคนไหนทำสำเร็จมาก่อน
โชคไม่ดี
ที่ความสามารถพิเศษของเจ้าพ่อห่อไหล่หาใช่การมองเห็นอนาคตไม่...
เพราะหากเจ้าพ่อได้ล่วงรู้แต่เนิ่นๆว่า
การอำนวยพรข้อนี้ให้แก่บ๊วยไม่ง่ายอย่างที่เผลอเข้าใจ และความช่วยเหลือจากผู้ช่วยที่นอกเหนือไปจากมนุษย์ประหลาดทั้งสี่คนนี้จะทำให้ภารกิจจะบานปลายถึงขั้นยุ่งเหยิงเกินควบคุมแล้วล่ะก็...
บุตรแห่งเทพเจ้าของนามว่า
ห่อไหล่...คงไม่เผลอรู้สึกเบาใจไปกับถ้อยคำปลอบประโลมของแฝดพี่อย่างแน่นอน
แม่พระธรณีต้องรู้สึกประหลาดใจเป็นคืนที่สองติดๆกัน
หลังจากได้อ่านข้อความใหม่ของเจ้าพ่อห่อไหล่ซึ่งโพสลงหน้าเซจบุ๊คเมื่อราวๆสามทุ่มตามเวลาในประเทศไทย
เทวธิดาอดสงสัยไม่ได้ว่า
เพื่อนรักสุดสนิทประสบพบเจอเรื่องราวเช่นใดมา ถึงได้โพสข้อความแปลกๆซึ่งหาที่มาที่ไปไม่ได้ลงบนหน้าวอลล์ที่เปิดกว้างสู่สายตาสาธารณะเทพเช่นนี้
Holy Hipster: รู้สึกอยากจิกทึ้งหนังศรีษะมาก ติดที่ว่า...การทำลายรากเกศา
ผิดศีลข้อปาณาข้อหาพร่าผลาญเซลล์จากร่าง
คบคนพาล
พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล...
...แล้วไยเจ้า
ถึงเฝ้าคบคนพิกล ต้องผจญกับพวกบ้า...พาวอดวาย...
...เฮ่อ
ไม่รู้จะเห็นใจใคร...
...ตัวเอง
หรือ ตัวเองดี? # ยิ้มอ่อนหนักมาก
Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ
หวัดดีค่าศิษยานุศิษย์ทั้งหลายของเจ้าพ่อห่อไหล่ทุกท่าน
ขอย้ำให้ทราบทั่วกันอีกครั้งว่า
ช่วงเวลาที่นานที่สุดที่เราจะเอาตอนใหม่มาลงคือหนึ่งอาทิตย์หลังจากตอนล่าสุดนะคะ
เพราะฉะนั้น...หากล่าช้ากว่าวันสองวัน
อย่าว่ากันเน้อ ^_^
ตอนนี้เป็นตอนเรื่อยๆ
แบบว่าเนื้อเรื่องไม่เดินไปไหนนะคะ
และขอแสดงความเสียใจกับนายธันวาด้วย
เพราะพ่อพระเอกของนายบ๊วยจะยังไม่มีบทแต่อย่างใด
(ค่าตัวก็แสนแพง
แต่กินแรงเพื่อนเหลือเกิน ฮาาาาาาาาาา)
กระนั้น...เราขอรับรองว่าพออ่านตอนนี้แล้วจะรู้จักบ๊วยดีขึ้นพอสมควรเชียวค่ะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มเพื่อนสนิทสุดประหลาดทั้งสามคนครึ่ง
ซึ่งจะร่วมผจญภัยในภารกิจรักเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเจ้าพ่อห่อไหล่ผู้ไม่ประสากับเรื่องความรักค่ะ
รักชอบอย่างไร...รบกวนฝากข้อความไว้เติมกำลังใจให้เจ้าพ่อหน่อยนะคะ
ขอบพระคุณสำหรับทุกๆการติดตามค่ะ!!
Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ
No comments:
Post a Comment