Wednesday, May 13, 2015

Ħ บน บาน ศาล รัก Ħ The 2nd Blessing ||13.05.15



The 02nd Blessing
# ทีมบ๊วย กับ ผู้ช่วยโค้ชอีกสามคนครึ่ง




“เจ้าอยู่คนเดียวเหรอ?”  เทวบุตรที่เพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจอื่นๆประจำวันปรากฏกายตรงม้านั่งตัวยาวข้างๆบ๊วยในชุดลำลองที่ต้องเหลียวมองซ้ำเพราะทั้งล้ำและแนว  เสื้อผ้าหน้าผมขององค์เจ้าพ่อไม่ได้ทำให้บ๊วยตกใจได้เท่ากับการโผล่หน้ามาโดยไม่มีหมายกำหนดการแจ้งล่วงหน้า  ซึ่งการตุ้งแช่เมื่อสักครู่...ทำให้ชายหนุ่มตกใจถึงขั้นสำลักน้ำเต้าหู้จนน้ำหูน้ำตาไหล

“แค่ก แค่ก.......ฟืดดดด  อ่ะ...เจ้า..พ่อ....อ่อก....” ความพยายามที่จะเอ่ยทักทายอีกฝ่ายของบ๊วยมาไกลที่สุดได้แค่นี้

“เจ้าจะตกใจทำไม?” เทวบุตรถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจจนคนฟังแอบส่งค้อนวงใหญ่ให้อย่างสงวนท่าที

“แค่ก ...แหม...เจ้าพ่อครับ  ผมใช้ชีวิตธรรมดาๆแบบโฮลี่ฟรี ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ติดตามตัวมาตลอดยี่สิบขวบปี...
...อยู่ดีๆ จะให้มาโอเคเซย์เยสกับวิถีนินจาของเจ้าพ่อในชั่วพริบตา ก็ดูจะใจง่ายเกินไป...
.
...แค่ก แค่ก.....มนุษย์อย่างพวกผมน่ะ ไปไหนมาไหนด้วยการหายตัวซะที่ไหนกันล่ะครับ...
...เพราะฉะนั้น การที่เจ้าพ่อนึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป ย่อมต้องทำให้ผมตกใจเป็นธรรมดา” คำอธิบายของชายหนุ่มทำให้เจ้าพ่อห่อไหล่คล้อยตามได้ไม่ยากนัก

“อืม...เจ้านี่ก็พูดจาเป็นเหตุเป็นผลดีเหมือนกันนะ” เจ้าพ่อห่อไหล่ชมเปาะ

“เอาอย่างนี้ดีไหมครับเจ้าพ่อ...
...ในเมื่อเจ้าพ่อบอกผมว่า ระหว่างการบันดาลให้พรของผมสำเร็จ เราทั้งคู่ต้องอยู่ด้วยกันเกือบตลอดเวลา...
...ถ้าอย่างนั้น เรามาทำข้อตกลงร่วมกันสักหน่อยดีไหมครับ...
.
.
...อย่างเช่นว่า...
...เวลาที่เจ้าพ่อจะปรากฏกาย เจ้าพ่อควรส่งสัญญาณอะไรบางอย่างเพื่อบอกผมว่า [i]เอ้อ...นี่ข้ากำลังจะไปหาเจ้าแล้วนะ เตรียมเจอหน้าข้าได้เลย[/i] อะไรทำนองนี้น่ะครับ” บ๊วยทำเสียงต่ำๆใหญ่ๆเลียนแบบเสียงเจ้าพ่อที่ตนเองจำได้ขึ้นใจหลังจากเข้าใจผิดไปว่า นั่นคือเสียงของภูตผีที่มาหลอกหลอนจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนเกือบจนฟ้าสาง

“ฟังดูเข้าที... 
.
...ตกลง...
...ถ้าเจ้าต้องการแบบนั้น ต่อจากนี้ไป...เวลาข้าจะปรากฏกายหรือหายตัว จะมีเสียงดัง  ป็อบ!’  เหมือนกับตอนที่ข้าแปลงกายเมื่อคืน เจ้าว่าดีไหมล่ะ?” เจ้าพ่อขอความเห็นของอีกฝ่าย

“ดีครับ ดีมากๆเลยครับเจ้าพ่อ...
.
...แต่นั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้นเองนะครับ หลังจากนี้ เราคงมีเรื่องที่ต้องตกลงกันอีกเยอะ...
...และข้อตกลงที่สองนี่แหละครับ คือ สิ่งที่ผมค่อนข้างจะกังวลพอสมควร...
.
.
...ถ้าผมจำไม่ผิด เมื่อคืนเจ้าพ่อบอกผมว่า ผมต้องเก็บเรื่องระหว่างเราเอาไว้เป็นความลับ...
...หากผมแพร่งพรายข้อมูลเกี่ยวกับภารกิจของเราให้คนอื่นฟังแม้แต่นิดเดียว พรที่ผมขอกับเจ้าพ่อจะไม่มีวันสำเร็จอย่างนั้นใช่ไหมครับ?” ชายหนุ่มออกอาการหนักใจไม่น้อยระหว่างรอคำตอบขององค์เทพ

“ใช่...ข้าห้ามไม่ให้เจ้าเล่าเรื่องที่เจ้าขอพรข้าให้ใครฟังเป็นอันขาด เพราะมันจะส่งผลกับพรของเจ้าโดยตรง” เจ้าพ่อห่อไหล่ตอบด้วยสีหน้างุนงง เพราะไม่รู้ถึงเหตุผลเบื้องลึกของอีกฝ่าย...จิตใจของบ๊วยวุ่นวายเกินกว่าที่เขาจะอ่านความคิดของชายหนุ่มได้ในตอนนี้

“แล้วถ้าสมมติว่า....
.
.
.
.
.
...ผมไม่ได้พูด...  
...แต่...
...คนอื่นกลับรู้เรื่องนี้ด้วยตัวของพวกเขาเอง...
...อย่างนี้คงไม่ถือว่าผมผิดสัญญากับเจ้าพ่อ และพรของผมก็ยังคงจะสัมฤทธิ์ผลอยู่ใช่ไหมครับ?” บ๊วยกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด คิ้วของเจ้าพ่อห่อไหล่ขมวดมุ่นด้วยเริ่มไม่วางใจกับเจตนาของชายหนุ่มผู้กำลังสับสน

“นี่เจ้าหมายความว่ายังไง?”

“ผมหมายความว่า ตราบใดที่ผมไม่พูด...พรของผมก็จะเป็นจริง ใช่ไหมครับ?”  

บ๊วยยังคงตอบแบบกำปั้นทุบดิน ซึ่งนั้นไม่ได้ช่วยขยายความ หรือกำจัดข้อสงสัยของเจ้าพ่อห่อไหล่แต่อย่างใด
ทว่าสีหน้าจริงจัง และความคิดที่เริ่มจัดเรียงจนเป็นระเบียบเผยให้รับรู้ได้ถึงความกังวลอันใหญ่หลวงของชายหนุ่ม ทำให้เจ้าพ่อยืนยันหนักแน่น

“ใช่ เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว”

“ผมเชื่อคำพูดของเจ้าพ่อได้จริงๆใช่ไหมครับ?” แม้คำถามข้อนี้จะถูกเอ่ยออกไปแล้ว แต่ดูเหมือนความมั่นใจของบ๊วยจะยิ่งถดถอยมากขึ้นทุกที ทุกที

“เอ๊ะ!! เจ้ามนุษย์นี่...เก่งกาจเรื่องยอกย้อนเสียจริง!!!...
...เจ้าคิดว่าข้าปลิ้นปล้อนเหมือนพวกเจ้าหรืออย่างไร?” เจ้าพ่อห่อไหล่ตบเข่าดังฉาดบอกใบ้ถึงความไม่พึงใจที่เริ่มคุกรุ่น


กระนั้น ทั้งบ๊วย และ บุตรแห่งเทพจำต้องปล่อยให้คำถามข้อนี้ตกไปอย่างไม่มีทางเลือก เมื่อชายหนุ่มผิวขาวร่างสูงผู้มีจุดเด่นเป็นแว่นสายตากรอบหนาทรงม็อด กับผมสกินเฮดเหมือนทิดเพิ่งสึกใหม่เดินเข้ามาทักทายทั้งสองขณะกำลังหาข้อสรุปของประเด็นเมื่อครู่กันอย่างหน้าดำคร่ำเคร่ง ด้วยความร่าเริงสดใสขั้นสูงสุดราวกับดอกคุณนายตื่นสายได้แสงแดดละมุนละไมในยามเช้า


“วันนี้พาเพื่อนใหม่มาเรียนด้วยเหรอบ๊วย? พวกนายรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไรล่ะ?...
.
...เดี๋ยวนี้แอบไปมีเพื่อนใหม่ไม่ยอมบอกเราเลยนะ” สกลนั่งลงตรงม้านั่งฝั่งตรงข้ามกับบ๊วย ระหว่างยิงคำถาม โยนคำแซวใส่เพื่อนรักด้วยสีหน้าระบายยิ้ม ก่อนจะเอื้อมมือคว้าถ้วยน้ำเต้าหู้ของบ๊วยเข้าหาตัวเพื่อตักเม็ดสาคูกินอย่างเป็นธรรมชาติ

“...เอ่อ...” บ๊วยเหลือบสบตาเจ้าพ่อห่อไหล่เพื่อขอความเห็น สลับกับมองหน้าสกลที่จ้องตนเองไม่วางตา  สุดท้ายชายหนุ่มก็เลือกที่จะโกหกเพื่อนสนิทเพื่อรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าพ่อ “เปล่าหรอกสกล...เรามาคนเดียว”

“อ้าว!! นี่บ๊วยมองไม่เห็นเขาหรอกเหรอ?” ความประหลาดใจทำให้หนุ่มหน้าแว่นถึงกับทิ้งช้อนลงถ้วยจนน้ำเต้าหู้กระฉอก สกลเอ่ยถามเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าเหลอหลา ตามด้วยคำอธิบายยืดยาว “ตอนเราเดินเข้ามาเมื่อกี๊ เราเห็นเหมือนบ๊วยกำลังคุยกับเขาอยู่ เราก็นึกว่าบ๊วยชวนเขามาเรียนด้วยกันซะอีก...โทษทีนะ เราไม่น่าทักบ๊วยแบบนั้นเลย  เราทำบ๊วยเสียขวัญอีกแล้วใช่ไหม?”

“ปละ ปละ...เปล่า เราโอเคสกล” บ๊วยแบ่งรับแบ่งสู้

สกลโน้มตัวข้ามโต๊ะเข้ามาหาบ๊วย แล้วกระซิบกระซาบโดยที่สองตายังคงล็อคเป้าตรงใบหน้าของเจ้าพ่อห่อไหล่ไม่วาง
“นายไม่ต้องกลัวไปหรอก...เราดูท่าทางของเขาแล้ว บอกได้เลยว่า ปลอดภัย หายห่วง...
.
.
...เขามาดีน่ะ”  พูดจบสกลก็บุ้ยใบ้ให้บ๊วยมองไปยังทิศทางที่เจ้าพ่อประทับอยู่ 


ยิ่งเพื่อนสนิทเจาะจงรายละเอียดเกี่ยวกับองค์เทวบุตรได้ละเอียดละออมากขึ้นเท่าไร
หน้าตาของคู่สนทนาอย่างบ๊วยก็หน้าเจื่อนลงมากขึ้นเท่านั้น


“เจ้าแว่นนี่มองเห็นเราด้วยเหรอ?” เจ้าพ่อห่อไหล่ผู้กลายเป็นบุคคลที่สามท่ามกลางวงเมาท์จะจะระยะเผาขนของหนุ่มแว่นเอ่ยถามบ๊วยอย่างสนเท่ห์

“...ครับ...เจ้าพ่อ” บ๊วยจำใจยอมรับความจริงกับเจ้าพ่อต่อหน้าต่อตาสกลที่กำลังเบิกตากว้างอย่างลิงโลด ราวกับแฟนคลับผู้บ้าคลั่งกำลังจะได้มีทแอนด์กรี๊ดกับศิลปินโปรดในดวงใจในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

“เมื่อกี๊บ๊วยเรียกเขาว่าเจ้าพ่อเหรอ?!!” สกลระรัวคำพูดจนปากสั่น เสียงเครือ “เราก็ว่า...วิญญาณธรรมดาไม่น่าจะมีออร่าเรืองรองผ่องใสได้มากขนาดนี้   ดีนะที่เราไม่เผลอทักท่านไปว่า...เพื่อนใหม่นายแอบไปดื่ม ดม อม อาบกลูต้ามาหรือเปล่า ถึงได้ขาวอย่างกับเรืองแสงได้...
.
.
...ถ้าทำแบบนั้นไปจริงๆก็น่าขายหน้าตายไปเลยเนอะบ๊วย นายว่าไหม? อะเหอ เหอ เหอ” หนุ่มแว่นชงเอง หัวเราะเองเสร็จสรรพ อากัปกิริยาพูดเล่นแบบไม่เห็นหัวตนของหนุ่มผู้มาใหม่ทำให้เจ้าพ่อไม่พอใจนัก

“เจ้าแว่น!.. เจ้าจะทำเหมือนข้าเป็นอากาศธาตุไปอีกนานเท่าไรกัน?” เทวบุตรเอ็ดเสียงแข็ง  แต่มีหรือที่หนุ่มแว่นผู้มีภูมิต้านทานต่อเรื่องลี้ลับอยู่ในระดับน่าชื่นชมจะสะท้าน

“กราบอาราธนาครับเจ้าพ่อ ผมชื่อสกล เป็นเพื่อนสนิทของบ๊วยมาตั้งแต่เรียนประถมครับ...
.
...แล้วเจ้าพ่อล่ะครับ ทำไมถึงมาสถิตแถวอาคารเรียนได้?”


เจ้าพ่อห่อไหล่จ้องมองหนุ่มแว่นแสนมึนด้วยดวงตาเขียวปั๊ด...
เพราะนอกจากสกลจะไม่สำนึกแล้ว ชายหนุ่มยังทำหน้าเป็นคุยเล่นกับเขาได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาเสียอีก
ถ้าไม่ติดว่าเป็นบุตรแห่งเทพ สกลคงโดนเจ้าพ่อสาปให้กลายเป็นพื้นรองเท้าที่เจ้าของจงใจก้าวลงบนกองขี้หมาเปียกในบัดดลเป็นแน่


ร้อนถึงอีกหนึ่งหนุ่มผู้อยู่ในเหตุการณ์ต้องลนลานแทรกถามเพื่อเบี่ยงประเด็น  “เอ่อ คือ...เราว่าอย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลยนะสกล ใกล้จะเข้าเรียนแล้ว...นายกินอะไรมาหรือยังล่ะ?”

“ทำไมเราถึงถามเจ้าพ่อตอนนี้ไม่ได้ล่ะ? เรายังไม่ได้กินอะไรมาหรอก...หิวเหมือนกัน  แล้วนายล่ะบ๊วย กินอะไรมาหรือยัง? หน้านายซีดๆนะ เป็นอะไรหรือเปล่า?” สกลผู้ไม่รู้ร้อนรู้หนาวยิงห่าคำถามตามมาอีกเป็นชุด


ชายหนุ่มผู้เป็นคนกลางระหว่างขั้วอำนาจทั้งสองฝ่ายกำลังไปไม่เป็น...
.
...หนึ่งคือเพื่อนซี้ผู้ไม่เคยดูตาม้าตาเรือ สกลกำลังตั้งตารอคำตอบรัวๆของเขาด้วยใจจดจ่อ 
...อีกหนึ่งคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้กุมชะตาความรักของตนเอาไว้...ซึ่งสีหน้าของเจ้าพ่อ ณ เวลานี้ ดูอยากจะขยี้สกลจนป่นเป็นผงให้รู้แล้วรู้รอด


บ๊วยจนใจ...
ทำไมอะไรๆถึงได้ยุ่งยากกว่าที่คิดไว้ได้มากขนาดนี้กัน?
แต่แล้วเสียงระฆังช่วยชีวิตชายหนุ่มก็ดังขึ้นอย่างเหมาะเจาะพอดีเป็นที่สุด


“ไง”


เสียงนุ่มหากทรงอำนาจของชายหนุ่มผู้มาใหม่ทักทายบ๊วยและสกลเพียงสั้นๆ
แต่มวลความกดดันที่มาพร้อมๆกับเจ้าของวลีนั้น กลับทำให้เหล่านักศึกษาที่นั่งรายล้อมอยู่ไม่ห่างโต๊ะของพวกเขา  ถึงกับค่อยๆทยอยเก็บข้าวของ ก่อนจะเดินตัวลีบด้วยความยำเกรงเคลื่อนย้ายตัวเองออกจากบริเวณนั้นไปทีละคนสองคน

ทว่าเจ้าของเสียง กลับไม่ได้มาเพียงลำพัง
ข้างๆกัน ปรากฏชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ ผิวพรรณขาวผ่องเป็นยองใย ดวงหน้าคมเข้มราวกับสืบเชื้อสายตรงจากชาวอารยันแห่งดินแดนชมพูทวีป ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มยาวประบ่าสะบัดพลิ้วไหวยามต้องสายลม...

เมื่อทั้งสองยืนเคียงคู่ ก็พลันก่อให้เกิดภาพลวงที่ดูดึงดูดสายตาอย่างน่าฉงนเสมอ...
ใครเลยจะคิดว่า คนบนฟ้าจะใจป้ำทำสำเนาผู้ชายหน้าตาดีไร้ที่ติเพื่อให้เหล่ามวลมนุษยชาติได้เชยชมพร้อมกันทีเดียวถึงสองคน


“พี่ฌาน...ฌอน มาแล้วเหรอ...กำลังคิดถึงอยู่พอดีเลย!”  ตั้งแต่บ๊วยรู้จักกับฝาแฝดคู่นี้มา...พลานุภาพหลังการปรากฏกายของสองหล่อสุดหลอนไม่เคยนำมาซึ่งความปลื้มปีติยินดีเท่าครั้งนี้มาก่อน

“สวัสดีครับแฝด...วันนี้พวกคุณมาสายกว่าปกตินะ รถติดเหรอครับ?...กินอะไรกันมาหรือยังครับ?”


สกลเป็นคนสม่ำเสมอ อีกทั้งยังรักเพื่อนเท่าๆกัน...
และเมื่อไรก็ตามที่เพื่อนปล่อยให้สกลมีโอกาสพูด ปากไม่มีหูรูดดูจะอ่อนไปหากจะใช้นิยามชายหนุ่มผู้นี้
เพราะสำหรับหนุ่มหน้าแว่นแล้ว... ยิ่งถามเยอะ ยิ่งพูดถึงแยะ แปลว่ายิ่งรักมาก


“ยังเลยสกล... 
.
...สกลช่วยไปซื้อข้าวเป็นเพื่อนฌอนหน่อยสิ พี่ฌานขอคุยกับบ๊วยตามลำพังสักแป๊บนึงจะได้ไหม?”


ถ้าถามใจสกล...
เขาไม่ได้ต้องการผละจากโต๊ะไปไหน เพราะไม่อยากเสียโอกาสพูดคุยกับตัวแทนจากอีกมิติแม้แต่ชั่วขณะเดียว
แต่กลุ่มพลังงานขนาดใหญ่ไร้รูปร่างที่ส่งผ่านร่างกาย และสายตาโปรดสัตว์คู่นั้นของแฝดผู้พี่ มีอำนาจมากพอจะสั่งให้หนุ่มหน้าแว่นจับเครื่องไปซื้อข้าวที่เทียนจินแล้วค่อยบินกลับมาก็ยังได้


“ครับ ได้ครับ...ไปครับฌอน” สกลรับคำอย่างว่าง่ายผิดคาด จากนั้นจึงหยัดตัวยืน...ออกเดินนำหน้าแฝดผู้น้องไปอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมาย

“พี่ฌาน เดี๋ยวฌอนซื้อข้าวมาให้นะ” แฝดน้องตะโกนบอกระหว่างออกวิ่งตามหลังสกลซึ่งมุ่งหน้าไปยังสระบัวของเหล่าเป็ดสวยดุที่เลี้ยงไว้ข้างโรงอาหารคณะ เมื่อเหลือเพียงผู้เกี่ยวข้องที่ต้องการ แฝดพี่ก็เปิดประเด็นโดยไม่รอรี

“กราบอาราธนาครับเจ้าพ่อห่อไหล่... วันนี้มาเที่ยวไกลถึงคณะสถาปัตย์เลยนะครับ” ฌานยิ้มย่องผ่องใส

“นี่พวกเจ้าเห็นข้าหมดทุกคนเลยเรอะ?!!” นี่เป็นครั้งที่สองของวันที่องค์เทพต้องประหลาดใจกับเหล่าสหายของบ๊วย

“อย่าเพิ่งตกใจไปครับเจ้าพ่อ...
...จริงๆในบรรดาพวกเราสี่คน มีแค่ผมกับสกลเท่านั้น ที่มองเห็นบางสิ่งได้ด้วยตาเปล่า...
.
...สำหรับฌอน...แฝดผู้น้อง เขาจะสามารถมองเห็นได้ก็ต่อเมื่ออ่อนไหวจนจิตใจถูกควบคุม หรือเมื่ออยู่ใกล้ๆกับผม...
...แต่ในกรณีของบ๊วย ผมเดาว่า เจ้าพ่อกับบ๊วยน่าจะทำพันธะสัญญาอะไรร่วมกันมา เลยทำให้คนปกติเพียงคนเดียวในกลุ่มพวกผม สามารถมองเห็นและพูดคุยกับท่านได้... ถูกต้องไหมครับเจ้าพ่อ?”  ฌานอยู่ในท่วงท่าสบายๆ ผิดกับเจ้าพ่อห่อไหล่ที่อึ้งเสียจนไม่อาจยืนยันข้อสันนิษฐานของแฝดผู้พี่สุดหล่อออกไปตรงๆ

“นี่ยังไงล่ะครับเจ้าพ่อ......ข้อตกลงร่วมกันข้อสองที่ทำให้ผมเป็นกังวลจนนั่งไม่ติด” ในที่สุดบ๊วยก็ยอมแย้มถึงสถานะตกที่นั่งลำบากของตัวเอง ภายหลังจากที่ทุกอย่างแจ่มแจ้งต่อสายตาบุตรแห่งเทพ

“ข้าเข้าใจที่เจ้าบอกแล้วล่ะ...
.
...เอาเถอะ ข้าขอรับรองกับเจ้าอีกครั้งว่า พรของเจ้าจะไม่เป็นโมฆะ เพราะเจ้าไม่ได้ทำผิดสัญญาแต่อย่างใด...
...ข้าเองก็ไม่ทันนึกว่า ข้าจะได้พานพบกับมนุษย์บุญหนักศักดิ์ใหญ่พร้อมๆกันทีเดียวถึงสามคน”

“ขอบคุณครับเจ้าพ่อ!!...
.
...ถ้าอย่างนั้น...
...ผมก็ขอให้พวกเพื่อนๆช่วยเป็นกองหนุนในภารกิจของเราได้น่ะสิครับ”


แม้ข้อเสนอแนะของบ๊วยจะน่าสนใจ เพราะนั่นหมายความว่า...จะมีตัวช่วยในภารกิจที่ตนเองไม่ถนัดเพิ่มขึ้นมาอีกหลายมือ
แต่เจ้าพ่อห่อไหล่กลับรู้สึกคลางแคลงใจอย่างไรบอกไม่ถูก

ซึ่งเรื่องแรกเห็นจะหนีไม่พ้น...
ความสมัครใจของว่าที่สมุนเฉพาะการของงานอำนวยพรสุดหินชิ้นนี้


“เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าเพื่อนของเจ้าจะตกลง?...
.
...พวกเขาจะไม่แปลกใจหรือ หากต้องมาช่วยจับคู่ผู้ชายสองคนให้สมรักกันน่ะ?”

“ที่เจ้าพ่อพูด...หมายถึงเรื่องของบ๊วย กับไอ้เก็กสุดหล่อเดือนวิศวะน่ะเหรอครับ?” คำถามของฌานดังแทรกขึ้น หลังจากเจ้าตัวปะติดปะต่อเรื่องราวเบื้องหลังระหว่างเทวบุตรกับเพื่อนผู้ไม่เคยข้องแวะกับอีกมิติได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

“ถ้าอีกฝ่ายที่เจ้าพูดถึง คือนายธันวา อริยะตรัยล่ะก็...เจ้าเข้าใจถูกแล้วล่ะ” เจ้าพ่อหันไปตอบแฝดคนพี่

“ข้าวมาแล้วครับ” เสียงของสกลลอยลมล่วงหน้ามาถึงก่อนกายหยาบราวสี่ช่วงก้าว ทำเอาบทสนทนาหยุดลงชั่วขณะ  

“เอ๋......ผมเข้ามาผิดเวลาหรือเปล่าครับ?” ชายหนุ่มหน้าแว่นถามหน้าจ๋อย

“ไม่หรอกสกล  ฌอน...พวกนายมาทันตั้งแต่หนังตัวอย่างเพิ่งเริ่มฉายเลยต่างหากล่ะ...  
...นั่งสิ...จะได้เริ่มบรรเลงกันเสียที สงสัยเรื่องนี้ท่าจะยาว” แฝดพี่ออกปากชวนโดยไม่รอถามความสมัครใจของทั้งเจ้าพ่อและบ๊วย

“แต่เราจะคุยกันนานๆได้เหรอครับ...อีกยี่สิบนาทีก็จะเข้าเรียนแล้วนะพี่ฌาน ข้าวเช้ายังไม่ได้กินเลยนะครับ” สกลแย้ง


ทว่าแฝดน้องผู้ไม่ใช่พวกช่างจำนรรจากลับยกฝ่ามือขึ้นห้ามทุกคนในวง  
ก่อนจะติดนิ่งในท่าเลิกคิ้วข้างหนึ่งและเอียงหูราวกับกำลังรับฟังเสียงกระซิบไร้ที่มาด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วจึงพยักหน้าน้อยๆอย่างพอใจให้กับลมฟ้าอากาศ พร้อมกับพูดนิ่มๆ


“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกสกล...
...เมื่อกี๊น้องพลายบอกว่า...คาบที่จะถึง อาจารย์จะไม่เข้าสอน เห็นว่าอาจารย์จะปวดท้องกะทันหันโดยไม่มีสาเหตุ...
.
...ทีนี้เราก็กินไปคุยไปได้แล้วใช่ไหมครับเจ้าพ่อ?” ฌอนถามด้วยรอยยิ้มมุมปาก


เมื่อได้ประจักษ์แจ้งถึงความมหัศจรรย์พันลึกของชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นเพื่อนสนิทของบ๊วยทั้งสาม  
เจ้าพ่อห่อไหล่ถึงกับสตั้นท์ไปหลายวินาที... พลางเห็นใจชายหนุ่มธรรมดาผู้ที่เขาต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลืออย่างที่สุด


Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ



เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดระหว่างบ๊วยกับเจ้าพ่อห่อไหล่ถูกถ่ายทอดให้อีกสามหนุ่มฟังด้วยถ้อยคำของผู้บนบาน
และแล้วก็เป็นสกล ที่เปิดฉากถามเพื่อนรักด้วยสีหน้าเดาอารมณ์ไม่ถูก


“สรุปว่า นายกลุ้มใจเรื่องคุณธันวามากซะจนแอบไปบนขอพรจากเจ้าพ่อห่อไหล่...
...นั่นเลยทำให้เจ้าพ่อต้องมาผูกติดอยู่กับนาย เพื่อช่วยให้นายได้เป็นฝั่งเป็นฝากับคุณธันวาเสียที...
.
.
...นี่นายสิ้นหวังถึงขนาดนี้เลยเหรอบ๊วย?” สกลก้มลงมองพื้นพลางส่ายหัวอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ถ้าคนฟังไม่ใช่บ๊วยที่รู้จักอีกฝ่ายเหมือนรู้ใจตัวเอง คงดูอาการกวนตีนหน้าตายระดับเหนือเทพของไอ้หนุ่มหน้าแว่นไม่ออกแน่ๆ

“อืม...ทำนองนั้นแหละสกล...
...ขอบใจนะที่ตอกย้ำ นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเราเลยล่ะ” บ๊วยแดกเนียนๆ ทำให้สกลหลุดอมยิ้ม

“ไม่ต้องเกรงใจเราหรอกบ๊วย...
.
...มากกว่านี้เราก็ทำให้เพื่อนรักอย่างนายได้เสมอ” สกลส่งสายตาปิ๊งปั๊งพลางเอื้อมมือไปตบไหล่บ๊วยหนักๆ

“งั้นก็แสดงว่า เจ้าพ่อจะอยู่กับนายตลอดเวลาจนกว่าพรข้อนี้จะสำเร็จน่ะสิ” ฌอนถามซ้ำเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันอีกครั้ง

“ก็ใช่” บ๊วยยืนกราน

“ดีจังเลย! กลุ่มเราจะได้มีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นเสียที...
...เรียนมาตั้งสองปีแล้ว ไม่เคยมีคนอื่นมาขอเข้ากลุ่มเพิ่มบ้างเลย” สกลกระพือขนตามองไอดอลจากอีกมิติอย่างมีเลศนัย

“อ้าวสกล! นี่สกลกำลังจะบอกว่า การที่กลุ่มเราสนิทกันอยู่แค่สี่คน ทำให้สกลมีปมด้อยเรื่องเพื่อนอย่างนั้นเหรอ?” แฝดพี่เสิร์ฟลูกเบรคเกมใส่เพื่อนหน้าแว่นจังจัง

“ไม่ใช่อย่างนั้นครับพี่ฌาน!!” หนุ่มหน้าแว่นส่ายหัวดิก แล้วจึงว่าต่อ “ผมแค่อยากมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆเท่านั้นเองครับ...
...เวลาเดินไปไหนมาไหนเป็นหมู่คณะ พวกเราจะได้ดูคูลๆกับเขาบ้าง” สกลทำหน้าเพ้อฝันจนน่าหมั่นไส้

“ไม่เห็นต้องอยากคูลเลยสกล...
...ลำพังเราอยู่รวมตัวกันครบองค์ รังสีความเย็นดุทะลุกะโหลกก็พวยพุ่งออกมาจนแทบจะไม่มีใครเข้าใกล้อยู่แล้ว...
...คูลจัดหนักขนาดนี้ ยังไม่สาแก่ใจของสกลอีกเหรอ?” บ๊วยใช้คำพูดฉุดเพื่อนรักให้กลับลงมายืนบนพื้นโลกอีกครั้ง แต่สกลยู่หน้าใส่อย่างไม่พอใจนัก

“ทำไมถึงชอบสกัดดาวรุ่งเราอยู่เรื่อยเลยล่ะบ๊วย?...
.
...บ๊วยเป็นชายกลาง  บ๊วยไม่ได้เป็นพ่อมหาฯอย่างเรา...
...บ๊วยไม่เข้าใจความใฝ่ฝันอันสูงสุดในช่วงมหาวิทยาลัยของเด็กแว่นวัยหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างเราหรอก
!!” หนุ่มแว่นตัดพ้อ

“เอาล่ะๆ พวกเจ้าอย่ามัวแต่เสียเวลากับเรื่องไร้สาระกันอยู่เลย...  
.
...ขอข้าเริ่มทำความเข้าใจกับงานที่ข้าจะต้องทำเสียก่อนได้ไหม?” เจ้าพ่อห่อไหล่ถึงกับต้องออกโรงเพื่อยุติสงครามน้ำลายของชายหนุ่มทั้งสี่  บ๊วยเป็นคนแรกที่เดือดร้อนกับความหลากหลายทางอารมณ์ของเทวบุตรจึงเอ่ยถามถึงสิ่งที่เจ้าพ่อต้องการโดยไม่ละล้าละลัง

“ได้ครับเจ้าพ่อ...เจ้าพ่ออยากรู้อะไรก่อนล่ะครับ?”

“เรื่องแรก...ข้าอยากรู้ว่า ทำไมเจ้าถึงต้องมาขอพรกับข้าเพื่อให้ช่วยเรื่องนายธันวา อริยะตรัยด้วย?” บ๊วยยังไม่ทันได้ตอบคำถามเจ้าพ่อ เพราะเพื่อนสนิทหน้าแว่นปาดหน้าเค้กด้วยการยืดแขนข้างหนึ่งขึ้นเหนือหัว แล้วส่งสายตาเว้าวอนเหมือนลูกหมาเห็นกระดูกผูกโบว์อยู่ตรงหน้าไปให้องค์เทวบุตร  

“แล้วเจ้าจะยกมือทำไมเจ้าแว่น?”  ท่าทางเหมือนเด็กหน้าห้องที่ต้องการตอบคำถามของคุณครูเพื่อแลกดาวจิตพิสัยของสกล ทำให้เจ้าพ่อห่อไหล่ให้ความสนใจหนุ่มหน้าแว่นทั้งที่ไม่ตั้งใจ

“ผมขอตอบแทนได้ไหมครับ?” สกลเอ่ยเสียงดังฟังชัดพร้อมกับสะบัดหางรัวๆ

“เอา เอา...ตอบมา” เจ้าพ่อห่อไหล่จำต้องตัดรำคาญอย่างเสียไม่ได้

“บ๊วยแอบชอบคุณธันวามาตั้งแต่ตอนเรียนมอปลายแล้วครับ แต่บ๊วยเขาไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองสักเท่าไร...
.
.
...ยิ่งพอหลังจากเข้ามหาวิทยาลัย คุณธันวากลายเป็นเดือนคณะและเดือนมหาวิทยาลัย ในขณะที่บ๊วยเพื่อนผมกลับซ่องสุมกำลังกับกลุ่มเพื่อนผู้วิเศษทั้งสาม ทำให้บ๊วยก็ยิ่งไม่กล้าเข้าหาคุณธันวาไปกันใหญ่ครับ”

“ทำไมเจ้าถึงไม่มั่นใจล่ะ? คุณสมบัติของนายธันวาอะไรนั่น สูงส่งจนเกินเอื้อมอย่างนั้นเลยเหรอ?” คราวนี้เจ้าพ่อเปลี่ยนมาถามผู้เป็นจุดเริ่มต้นของภารกิจในครั้งนี้

“เปล่าหรอกครับเจ้าพ่อ แค่ตัวผมมันไม่มีอะไรดีพอให้มั่นใจได้น่ะครับ...
.
.
...เจ้าพ่อดูผมให้ดีๆสิครับ...
...หน้าตาผมก็งั้นๆ จะเรียกว่าแย่ก็ไม่ใช่ แต่ก็ยังห่างไกลกับคำว่าหล่อไปหลายปีแสง...
...ฐานะทางบ้านผมก็ปานกลาง ไม่มีเงินถุงเงินถังมาเสริมสร้างบารมีอย่างใครเขา...
...เรื่องเรียนผมก็คาบเส้น  ถ้าไม่ใช่วิชาที่ชอบ...สอบตกหลายรอบก็เคยมาแล้ว...
...แล้วอย่างนี้ คนพอดีมีนอย่างผมจะเอาที่ไหนมามั่นใจว่า ตัวเองดีพอกับผู้ชายที่เด่นดัง และเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัยอย่างเก็กได้ล่ะครับ” บ๊วยเยาะตัวเอง

“เออ...ก็ถูกของเจ้า” เจ้าพ่อห่อไหล่ที่กำลังพยักหน้าให้กับความจริงที่เพิ่งได้ฟังออกจากปากบ๊วยถึงกับชะงัก เมื่อเห็นสกลยกมือขึ้นอีกครั้งด้วยพลังงานและความมุ่งมั่นที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าครั้งแรกแม้แต่น้อย

“ผมครับ ผมครับท่านเจ้าพ่อ!!!” มือข้างที่ว่างของสกลตบอั๊กๆเข้าที่กลางอกไก่ฟีบๆเพื่อสนับสนุนคำพูดของตัวเอง

“..เอ๊า!.. มีอะไรอยากพูดก็พูดมา!!!” ถ้าจะบอกว่าเจ้าพ่อชักอิดหนาระอาใจกับความกวนประสาทของสกล...ก็คงไม่ผิดนัก

“คือ...จริงๆบ๊วยเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วน่ะครับเจ้าพ่อ...
...พอโตเต็มวัย ก็ดันกลายมาเป็นชายกลางเต็มขั้น นั่นเลยบั่นทอนความเชื่อมั่นที่มีอยู่น้อยนิดให้ยิ่งลดน้อยลงไปกันใหญ่”

“พวกเจ้าแต่ละคนดูไม่แปลกใจที่เพื่อนของพวกเจ้าปรารถนาในตัวผู้ชายคนอื่นเลยนะ” กลายเป็นเจ้าของประโยคเสียเอง...ที่ต้องประหลาดใจกับท่าทาง และการรับมือกับเรื่องราวของบ๊วยได้เป็นอย่างดีของทั้งสามหนุ่ม

“ไม่นี่ครับ... สมัยนี้ ไม่มีใครเขาถือเรื่องพวกนี้กันแล้วครับเจ้าพ่อ...
.
.
...จริงๆถ้าบ๊วยไม่ชายกลางเท่านี้...
...พี่ฌานว่า ฌอนคงจะจีบบ๊วยจนตบแต่งกันไปหลายปีแล้ว ใช่ไหมน้องชาย?”  ฌานที่พูดพลางเคี้ยวน้ำแข็ง หันไปถามความเห็นน้องชายฝาแฝดที่เพิ่งจ้วงบัวลอยไข่หวานคำสุดท้ายเข้าปาก ฌอนยิ้มรับเหมือนรู้ทางกัน แล้วจึงตอบพี่ชายเนิบๆ

“ถ้าไม่ติดเรื่องที่ผมแพ้ของน่ารัก... บ๊วยนี่แหละครับ ศรีภรรยาในอุดมคติของแท้และแน่นอน...
...ทั้งนิสัยดี ช่างเอาใจ ทำกับข้าวได้ แถมยังรักมั่นรักจริงอีกต่างหาก ใครจะไม่ชอบกันล่ะครับ...
.
.
...ทุกวันนี้ ผมยังโกรธตัวเองอยู่ตลอดเวลาเลยนะครับ...
...ไม่น่าเกิดมาพร้อมกับอาการแพ้ของน่ารักเลยจริงๆ ดูสิ...พลาดของแปลกไปเสียได้” ฌอนแสร้งแสดงสีหน้าเศร้าสร้อย

“พี่ฌาน...ฌอน... อย่าอำเจ้าพ่อสิ!!” บ๊วยแหวใส่เพื่อนฝาแฝดที่เอาแต่หัวเราะชอบใจ หลังจากป้อนข้อมูลเท็จให้กับเจ้าพ่อห่อไหล่ได้สำเร็จ

“หึ หึ...โทษทีๆ พอดีพี่ฌานเห็นว่าเจ้าพ่อท่านยังไม่รู้จักพวกเราดีเท่าไร เลยอยากรับน้องใหม่เสียหน่อย...ไหนๆก็ต้องอยู่ด้วยกันอีกตั้งหลายเดือน ใช่ไหมครับเจ้าพ่อ?” ฌานหันไปถามเจ้าพ่อโดยปราศจากอาการกริ่งเกรงใดๆ

“เจ้าร่างทรงนี่ช่างสามหาวดีเสียจริง...
...เจ้าก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าการจะรักษาบุญบารมีเอาไว้ได้ เจ้าต้องรักษาอุโบสถศีลอย่างเคร่งครัด...
...ยังจะพูดปด เพ้อเจ้อจนเสียนิสัยอยู่อีกนะ ระวังเถอะ...มีลาภ ก็ต้องมีเสื่อมเข้าสักวัน”

“ศีลข้อมุสานี่ยาขมของพี่ฌานเขาเลยครับเจ้าพ่อ” บ๊วยตอบแทนแฝดพี่ที่หันไปพุ้ยน้ำแข็งก้อนในแก้วเข้าปากอีกครั้ง

“แล้วตกลงนี่มันเป็นยังไง?...
...บ๊วย...เจ้าพอจะมีข้อดีอะไรกับเขาบ้างไหม?”


เทวบุตรกำลังต่อสู้กับความท้อถอยอย่างสุดกำลัง...
ขอแค่ได้ยินข้อมูลดีๆที่พอจะใช้เป็นข้อได้เปรียบของงานแม้เพียงข้อเดียว...
คงพอช่วยชุบให้หัวใจที่ห่อเหี่ยวขององค์เทพชุ่มชื้นขึ้นได้บ้าง


บ๊วยเป็นคนนิสัยดีที่ไม่มีจุดขายครับเจ้าพ่อ” แฝดน้องพูดเรียบๆ แต่ประโยคบอกเล่าเมื่อครู่ กลับกระชากแสงแห่งความหวังไปจากใจของเจ้าพ่อห่อไหล่จนใกล้จะริบหรี่  



อา...หมดสิ้นทุกอย่างแล้วจริงๆสินะ  ไม่น่าเชื่อว่าจะยังเหลือมนุษย์ที่ไม่มีข้อดีอะไรเลยอยู่อีกหรือนี่?!! องค์เทวบุตรร้องร่ำลำพังในใจด้วยความสิ้นหวัง



“อ้อ! เกือบลืมไป...
...นอกจากข้อดีข้อเมื่อกี๊แล้ว...ข้อดีอีกข้อก็เห็นจะเป็น...
...ไม่มีอะไรในโลกนี้ ที่บ๊วยเพื่อนผมทำไม่ได้”


เฮ่อ...โล่งอก...
.
...ไม่เป็นไรแล้วนะห่อไหล่...
...ไม่เป็นไรแล้ว


“แต่ที่ทำได้ดี...ก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง  ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ การรักเก็กอย่างมุ่งมั่นและไม่หวั่นไหวมาโดยตลอดครับเจ้าพ่อ” ฌอนแก้ตัวกับเจ้าพ่ออีกครั้งด้วยการให้ข้อมูลจริง


เจ้าแฝดน้องนี่ร้ายกาจใช่เล่น... พวกเจ้าไม่เห็นหัวข้าเลยใช่ไหม?...
...ได้ พวกเจ้าอย่าเผลอก็แล้วกัน ข้าจะทำให้พวกเจ้ากลัวจนสั่นเป็นลูกหมาเลยเชียว!!!  เจ้าพ่อห่อไหล่คาดโทษในใจ ก่อนจะปรับอารมณ์ให้เป็นปกติแล้วจึงวกเข้าเรื่องงานต่อ


“เอาล่ะ ข้าพอจะเข้าใจที่มาที่ไปของคำขอของเจ้ามากขึ้นแล้วนะบ๊วย...
...ทีนี้...ไหนพวกเจ้าลองบอกข้าซิว่า ความรักของเพื่อนพวกเจ้าคนนี้จะสำเร็จได้อย่างไร?” เจ้าพ่อห่อไหล่หันไปถามความเห็นของเหล่าบรรดาตัวช่วย แต่กลับไม่ได้รับความร่วมมืออย่างที่คาดการณ์ไว้

“เจ้าพ่อถามเหมือนมือใหม่หัดเป็นกามเทพเลยนะครับ...
...แค่จับคู่ให้ผู้ชายสองคน  ไม่น่าจะเกินความสามารถของเทวบุตรระดับสูงอย่างเจ้าพ่อหรอกมั้งครับ” เสียงเย้าของฌานลอยลมมาราวกับไม่จงใจ

“พี่ฌานครับ...ส่อเสียดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เข้าข่ายมุสานะครับ”


สกลได้ที จึงเอาคืนด้วยการปราม พร้อมๆกับส่งสีหน้าไม่เห็นด้วยไปให้ฌาน จนโดนแฝดพี่ถลึงตาใส่...
แต่ครั้งนี้ฌานกลับไม่ทันได้เอาเรื่องอีกฝ่าย เพราะคนหน้าแว่นหันไปสนใจสิ่งที่ฌอนกล่าวกับเจ้าพ่อห่อไหล่เป็นที่เรียบร้อย


“เรื่องว่าจะสำเร็จหรือไม่ พวกผมคงต้องฝากเอาไว้ในมือของเจ้าพ่อแล้วล่ะครับ...
...แต่ถ้าเรื่องเป็นไปได้หรือเปล่านั้น... เจ้าพ่อไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกครับ เพราะเท่าที่พวกเรารู้มา...เก็กชอบผู้ชาย และยังไม่มีแฟนแน่นอนครับ” ฌอนยืนยันเป็นมั่นเหมาะ

“พวกเจ้าแน่ใจได้อย่างไร?” เจ้าพ่อกลอกตาเมื่อเห็นแขนสกลไหวไวๆในอากาศ “...เออๆ เจ้านั่นแหละ... เห็นยกมือนานแล้ว ท่าจะเมื่อย” สุดท้ายเทวบุตรก็เปิดโอกาสให้ไอ้หนุ่มหน้าแว่นได้พูดสมใจอีกครั้ง

“คุณธันวาเคยมีแฟนเป็นผู้ชายครับ...
...ทั้งสองคนคบกันตั้งแต่ตอนเรียนมอปลาย  จบแล้วก็ตามมาเรียนด้วยกันถึงที่นี่...  
...คู่นี้ถือเป็นคู่รักที่ดังระเบิดะเบ้อ เพราะหน้าตาและโปรไฟล์ของคุณธันวากับแฟนดีเลิศกันทั้งคู่...
...แต่ทั้งสองคนเพิ่งเลิกกันไปเมื่อเทอมที่แล้วนี่เอง  หลังจากนั้น...คุณธันวาก็ไม่คบใครอีกเลยครับเจ้าพ่อ...
.
.
...มีช่วงหนึ่ง พวกสาวๆที่ชอบความท้าทายเคยเข้าหาคุณธันวา แต่ก็ต้องถอยกลับไปตั้งหลักกันแทบไม่ทัน เพราะคุณธันวาประกาศกร้าวต่อหน้าทุกคนว่า คุณธันวาชอบผู้ชาย และเกิดมาเพื่อเป็นเกย์พันเปอร์เซนต์ครับ”

“นั่นเลยยิ่งทำให้ไอ้เก็กมันเนื้อหอมในหมู่เก้งกวางทั่วทั้งมหาลัยไปกันใหญ่...
.
...การปรากฏตัวของคู่แข่งจำนวนมากเกินจะนับ  กับความไม่มั่นใจเพราะไม่มีอะไรเทียบกับแฟนเก่าของไอ้เก็กได้แม้แต่นิดเดียวคงทำให้บ๊วยเลือกสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พึ่งสุดท้ายเพื่อต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหลกันในสมรภูมิรักครั้งนี้” ฌานเสริมความ

“แต่บ๊วยไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ เพราะตอนนี้ บ๊วยไม่ได้มีแค่เจ้าพ่อห่อไหล่เป็นแบ็คอัพเท่านั้น...
.
...บ๊วยยังมีพวกเราเป็นทหารเสือราชินีให้อีกตั้งสามคนแหน่ะ...
...อ้อ! ลืมไป...มีน้องพลายอีกหนึ่งตนด้วยนี่เนอะ” ฌอนหันไปให้กำลังใจเพื่อนรัก ปิดท้ายด้วยการส่งยิ้มหวานให้ลมให้ฟ้า

“ขอบใจนะฌอน...ขอบใจมาก”

“ทีนี้มั่นใจขึ้นแล้วรึยังล่ะ?”ฌานถามเพื่อให้บ๊วยเริ่มเชื่อในการร่วมมือของทุกคน... เมื่อเชื่ออย่างสนิทใจแล้ว ความมั่นใจจะติดตามมาเหมือนเป็นเงา

“อื้อ...มั่นใจขึ้นเยอะเลยพี่ฌาน” ชายกลางยิ้มให้พี่ใหญ่ของกลุ่มที่อายุน้อยกว่าตัวเองถึงหนึ่งขวบปี
.
.
.
.
“นี่พวกเจ้า...ข้าถามอะไรหน่อยสิ  พวกเจ้ามาเจอกันได้ยังไงน่ะ? ตอบมาเลยเจ้าแว่น ไม่ต้องยกมือแล้ว” เจ้าพ่อเรียกตัวแทนโดยไม่รั้งรอ สกลจึงทำท่าประหนึ่งผู้ทรงภูมิแสดงปาฐกถา

“อะแฮ่ม! อย่างที่เจ้าพ่อรู้น่ะแหละครับว่า ผมกับบ๊วยเป็นเพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก...
...ถ้าพูดกันตรงๆ ผมว่า การคบกับคนมีความสามารถพิเศษอย่างผมนี่แหละครับ ทำให้บ๊วยไม่มีเพื่อนคนอื่นอีกเลย...
...พอมาเข้ามหาวิทยาลัย... ผมเลยชดเชยให้บ๊วยด้วยการหาเพื่อนมาเพิ่มให้กลุ่มเราอีกสองคน”

“สกล...พี่ฌานว่าสกลกำลังมุสานะ” คราวนี้แฝดพี่ปรามเพื่อนหน้าแว่นโดยไม่รอให้โอกาสหลุดลอย

“แหะ แหะ...ขอโทษครับพี่ฌาน เห็นพี่ฌานกับฌอนอำเจ้าพ่อ ผมเลยนึกว่าตัวเองเล่นได้เหมือกัน”

“นี่เจ้าเห็นข้าเป็นเพื่อนเล่นหรอกหรือเจ้าแว่น?” คำพูดทีเล่นทีจริงของสกลทำเจ้าพ่อห่อไหล่กริ้วจนหางตากระตุก

“แหะ แหะ...ขอโทษครับเจ้าพ่อ...
...พอดีเมื่อกี๊ผมกินคาร์บเกินอัตรา...ผมเลยร่าเริงเกินพอดีไปหน่อย...
.
...เรื่องจริงก็คือ วันแรกที่ผมมาเรียนที่นี่ ผมก็เจอเข้ากับมวลพลังงานวิญญาณหนาแน่นรายล้อมอยู่รอบๆคณะ ผมเลยรีบวิ่งไปลากบ๊วยมานั่งสังเกตปรากฏการณ์พิเศษในครั้งนั้น จนเจอกับพี่ฌาน และ ฌอนนี่แหละครับ”

“ตอนแรกพวกผมก็ไม่ได้คิดจะเป็นเพื่อนด้วยหรอกครับ...
.
.
...เจ้าพ่อลองคิดดูสิครับ ไอ้แว่นนี่เล่นมานั่งจ้องกันทั้งวันเหมือนผมกับน้องชายเป็นสิงโตในสวนสัตว์...
...อย่างนี้มันน่าคบด้วยตรงไหนล่ะครับเจ้าพ่อ” ฌานพูดขอความเห็นใจจากเทวบุตร

“อ้าว...แล้วทำไมสุดท้ายพวกเจ้าถึงลงเอยด้วยการเป็นเพื่อนกันได้ล่ะ?”

“พี่ฌานเขาก็พูดไปงั้นแหละครับเจ้าพ่อ...
...เอาเข้าจริง ผมว่าพี่ฌานก็ดีใจเหมือนกันน่ะแหละครับที่หาเพื่อนใหม่ได้นอกจากน้องชายอีกหนึ่งคนครึ่งของตัวเอง...
.
...อีกอย่าง ผมกับบ๊วยก็ไม่ได้นั่งจ้องพี่ฌานกับฌอนนานจนน่าเกลียดเสียหน่อย...
...แค่นั่งมองหน้ากันอยู่สองที พอผมเห็นพี่ฌานยิ้มให้ ผมก็ลากบ๊วยเข้าไปชาร์จทั้งคู่เลยล่ะครับ...
...ทำไงได้ ก็คนมันมีมนุษยสัมพันธ์ดีอ่ะนะครับ อ่ะเหอ เหอ เหอ” สกลหัวเราะโรคจิต จนแฝดพี่ทนดูไม่ไหว

“เยอะไปแล้วสกล”

“ขอโทษครับพี่ฌาน” สกลยกมือไหว้ฌานปลกๆ “...โอ๊ะ! อย่านะครับ อย่าเสกไอ้ฉ่ำกับอีแฉะมาเข้าท้องผมนะครับ ผมกลัวอิ่มเกินไปครับ” ชายหนุ่มหน้าแว่นแสร้งทำท่าหวาดหวั่นเพื่อกวนประสาทแฝดพี่อย่างไม่มีอาการสลด ฌานยกนิ้วชี้หน้าพ่อมหาฯปากไม่มีหูรูด

“แล้วอย่างนี้เราควรจะเริ่มแผนการกันอย่างไรดีล่ะครับเจ้าพ่อ?” บ๊วยดึงทุกคนให้กลับเข้าสู่หัวข้อหลักของที่ประชุมสุดประหลาด

“โดยปกติแล้ว พวกมนุษย์เริ่มรู้สึกรักมนุษย์อีกคนหนึ่งได้ยังไงล่ะ?” เจ้าพ่อหันไปถามความเห็นของเพื่อนๆบ๊วย ทว่าไร้เสียงตอบรับ หรือท่าทีตอบสนองใดๆ กระทั่งเจ้าหน้าแว่นที่มักจะเสนอหน้าขอเป็นคนตอบในทุกๆเรื่องก็กลับนังนิ่ง และหลบตาเหมือนตุ๊กตาหมดลาน

“อ้าว เจ้าแว่น...ทำไมคราวนี้ไม่ยกมือแล้วล่ะ?”

“เจ้าพ่อคงคิดว่า คนหล่อหน้าแว่นลุคมหาฯอย่างผม...คงไม่เคยสัมผัสความรักมาอย่างโชกโชนใช่ไหมล่ะครับ?...
.
.
.
.
.
...เจ้าพ่อคิดถูกแล้วล่ะครับ...
...ผม นายสกล คนเห็นผี... ไม่เคยมีความรักมาก่อนครับ เพราะฉะนั้น...มองข้ามหัวผมไปได้เลยครับ กรณีนี้ผมขอไม่ออกความเห็น”


เจ้าพ่อถึงกับส่ายหัวเมื่อเห็นสกลเอาตัวรอดต่อหน้าต่อตา สุดท้ายเทวบุตรจึงหันมาให้ความสนใจกับสองหนุ่มที่รูปโฉมโนมพรรณเหมือนกันอย่างกับแกะ  “อ้าว...แล้วเจ้าล่ะ เจ้าคนทรง?...
.
...เห็นกระแนะกระแหนข้าว่าเป็นมือใหม่หัดจับคู่ให้มนุษย์...
...พอข้าเปิดโอกาสให้พูด...เจ้าไม่คิดจะพูดอะไรเสียหน่อยเหรอ?”


เจ้าพ่อห่อไหล่ย้อนฌานอย่างเจ็บแสบ...
ซึ่งการตอบโต้ขององค์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้ ทำให้บ๊วยสะท้อนใจกับความจริงที่ว่า...
ช่างไม่มีสัจจะ หรือความปรารถนาดีต่อกันในหมู่คนประหลาดกลุ่มนี้เสียจริงๆ

ทางฟากฝั่งของสองหนุ่มฝาแฝด ก็เลือกที่จะใช้ความเงียบเป็นคำตอบที่ดีที่สุดให้กับคำถามของเจ้าพ่อห่อไหล่...
และนั่น...สื่อความหมายได้ดีกว่าการปฏิเสธปาวๆแบบเจ้าหนุ่มหน้าแว่นหลายเท่านัก


“อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าไม่เคยมีความรักกันเลยสักคน...
.
...ให้มันได้อย่างนี้สิ...แล้วอย่างนี้จะไปรอดกันไหมเนี่ย?” เจ้าพ่อห่อไหล่ปรารภกับตัวเองอย่างห่อเหี่ยว  
.
.
.
.
.
“หลวมตัวมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ลองก็ไม่รู้หรอกครับเจ้าพ่อ” ฌานปลอบด้วยรอยยิ้ม สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความหวังของแฝดพี่ ทำให้เจ้าพ่อมีกำลังใจขึ้นอีกครั้ง

“นั่นสินะ...อย่างน้อยๆงานนี้ ข้าก็ยังมีพวกเจ้า...
.
.
...ไม่ต้องทำงานตนเดียวก็น่าจะดีเหมือนกัน” เจ้าพ่อหันไปมองชายหนุ่มทั้งสี่ด้วยความเชื่อมั่น


หน้าประวัติศาสตร์จะต้องจารึกเอาไว้ว่า นี่คือครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งองค์กรลี้ลับ กับ ศักดิ์สิทธิ์คอร์ปฯ จะจับมือกับมนุษย์ทั้งสี่ เพื่อเดินหน้าทำภารกิจที่ไม่เคยมีผู้ร่วมแผนการคนไหนทำสำเร็จมาก่อน


โชคไม่ดี ที่ความสามารถพิเศษของเจ้าพ่อห่อไหล่หาใช่การมองเห็นอนาคตไม่...
เพราะหากเจ้าพ่อได้ล่วงรู้แต่เนิ่นๆว่า การอำนวยพรข้อนี้ให้แก่บ๊วยไม่ง่ายอย่างที่เผลอเข้าใจ และความช่วยเหลือจากผู้ช่วยที่นอกเหนือไปจากมนุษย์ประหลาดทั้งสี่คนนี้จะทำให้ภารกิจจะบานปลายถึงขั้นยุ่งเหยิงเกินควบคุมแล้วล่ะก็...

บุตรแห่งเทพเจ้าของนามว่า ห่อไหล่...คงไม่เผลอรู้สึกเบาใจไปกับถ้อยคำปลอบประโลมของแฝดพี่อย่างแน่นอน 













แม่พระธรณีต้องรู้สึกประหลาดใจเป็นคืนที่สองติดๆกัน หลังจากได้อ่านข้อความใหม่ของเจ้าพ่อห่อไหล่ซึ่งโพสลงหน้าเซจบุ๊คเมื่อราวๆสามทุ่มตามเวลาในประเทศไทย

เทวธิดาอดสงสัยไม่ได้ว่า เพื่อนรักสุดสนิทประสบพบเจอเรื่องราวเช่นใดมา ถึงได้โพสข้อความแปลกๆซึ่งหาที่มาที่ไปไม่ได้ลงบนหน้าวอลล์ที่เปิดกว้างสู่สายตาสาธารณะเทพเช่นนี้




Holy Hipster: รู้สึกอยากจิกทึ้งหนังศรีษะมาก ติดที่ว่า...การทำลายรากเกศา ผิดศีลข้อปาณาข้อหาพร่าผลาญเซลล์จากร่าง

คบคนพาล พาลพาไปหาผิด  คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล...
...แล้วไยเจ้า ถึงเฝ้าคบคนพิกล ต้องผจญกับพวกบ้า...พาวอดวาย...

...เฮ่อ ไม่รู้จะเห็นใจใคร...
...ตัวเอง หรือ ตัวเองดี?  # ยิ้มอ่อนหนักมาก




Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ





หวัดดีค่าศิษยานุศิษย์ทั้งหลายของเจ้าพ่อห่อไหล่ทุกท่าน
 ขอย้ำให้ทราบทั่วกันอีกครั้งว่า
ช่วงเวลาที่นานที่สุดที่เราจะเอาตอนใหม่มาลงคือหนึ่งอาทิตย์หลังจากตอนล่าสุดนะคะ
เพราะฉะนั้น...หากล่าช้ากว่าวันสองวัน อย่าว่ากันเน้อ ^_^

ตอนนี้เป็นตอนเรื่อยๆ แบบว่าเนื้อเรื่องไม่เดินไปไหนนะคะ
และขอแสดงความเสียใจกับนายธันวาด้วย เพราะพ่อพระเอกของนายบ๊วยจะยังไม่มีบทแต่อย่างใด
(ค่าตัวก็แสนแพง แต่กินแรงเพื่อนเหลือเกิน ฮาาาาาาาาาา)

กระนั้น...เราขอรับรองว่าพออ่านตอนนี้แล้วจะรู้จักบ๊วยดีขึ้นพอสมควรเชียวค่ะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มเพื่อนสนิทสุดประหลาดทั้งสามคนครึ่ง
ซึ่งจะร่วมผจญภัยในภารกิจรักเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเจ้าพ่อห่อไหล่ผู้ไม่ประสากับเรื่องความรักค่ะ

รักชอบอย่างไร...รบกวนฝากข้อความไว้เติมกำลังใจให้เจ้าพ่อหน่อยนะคะ
ขอบพระคุณสำหรับทุกๆการติดตามค่ะ!!



Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ


No comments:

Post a Comment