Friday, May 29, 2015

◘ ชั่ว...ฟ้า ดินสลาย ◘ #05 || 29.05.2015



และแล้ววันศุกร์ก็มาถึงอีกครั้ง...
ตอนนี้เหมือนชีวิตจ้าจะดีขึ้น เพราะได้กลับไปเรียน และเจอคนดีๆมากมาย...
น้องจ้าเลยเบาๆ ใสๆและเริ่มยิ้มได้เหมือนเดิม (จริงเร้อออออ?)
ฝากน้องจ้าด้วยนะคะ ^^


------------------------------------------------------------------------------------



#05




แม้จะห่อเหี่ยว 
แต่ผมยังสามารถบังคับให้สองขาก้าวเดินออกจากซอยมุ่งหน้าไปยังป้ายรถเมล์ได้เหมือนทุกที
ต่อให้เป็นวันดี หรือแย่กว่านี้...หากร่างกายยังไหว ก็ไม่มีอะไรทำให้ผมไม่อยากไปเรียน


ระหว่างเดิน...ผมหมั่นเตือนตัวเองให้ย้ายฝ่ามือไปกำรอบสายกระเป๋าสะพายอยู่หลายครั้ง
จะได้ไม่ต้องพะวงลูบต้นขากางเกงสแล็คที่สวมใส่อยู่ร่ำไป
ความระลึกรู้ว่าตนเองมีเงินติดตัวเพียงแปดสิบบาท...
ทำให้ผมหวงแหนแผ่นกระดาษพับครึ่งเพียงไม่กี่ใบในกระเป๋ากางเกงยิ่งกว่าเมื่อตอนที่มีเงินเยอะกว่านี้เสียอีก


ก่อนจะเดินออกสู่ถนนใหญ่
สายตาคมปลาบของใครคนหนึ่งซึ่งจับจ้องมาที่ผมโดยไม่เบี่ยงไปไหน สามารถเรียกความสนใจจากผมได้เป็นอย่างดี
เมื่อสายตาของเราประสานกัน ฝ่ายนั้นก็เดินข้ามถนนมาหาผมด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าไม่ต่างไปจากทุกครั้งที่เจอ


“เซอร์ไพรส์!!

“พี่รักษ์มาทำอะไรแถวนี้แต่เช้าเหรอครับ?” ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆ

“พอดีพี่เพิ่งออกเวรน่ะ เลยแวะมารอจ้า กะว่าจะพาเด็กไปส่งโรงเรียนเสียหน่อย... จ้ากินอะไรรึยังครับ?”


ใจคอเขาจะตามเฝ้าผมไปทุกที่เลยหรืออย่างไร?
ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ... ผมนี่แหละ จะอึดอัดใจตายไปเสียก่อน


“พี่รักษ์ พี่รักษ์ไม่เห็นต้องลำบากมารับมาส่งจ้าแบบนี้เลยครับ จ้านั่งรถเมล์ไปเรียนเองได้” ผมพยายามหาทางปฏิเสธอย่างสุภาพ ในใจได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะยอมเข้าใจแต่โดยดี

“ให้พี่ทำเถอะนะจ้า พี่เต็มใจ...
.
...อีกอย่างช่วงนี้พี่น่าจะติดงานตอนเย็น คงไปรับจ้าอย่างที่ตกลงไว้ไม่ได้...
...ขอพี่ย้ายโควต้ามาเป็นส่งจ้าไปเรียนตอนเช้าแทนไปพลางๆก็แล้วกันนะครับ” พี่รักษ์ทอดเสียงเหมือนกำลังอ้อน ซึ่งไม่ได้ผลกับผมแน่

“แต่แถวๆมหาวิทยาลัยจ้ารถติด พี่รักษ์จะหงุดหงิดเอาเปล่าๆนะครับ” ในเมื่อเขายังไม่ยอมเข้าใจ ผมก็จะไม่ละความพยายามง่ายๆเช่นกัน

“ไม่หรอกครับ มีจ้านั่งเป็นเพื่อนพี่อยู่ทั้งคน...พี่ว่าพี่จะดีใจเสียด้วยซ้ำนะ...
.
...เอาเป็นว่า จ้าเข้าไปเถียงพี่ต่อในรถดีไหม...จะได้ถึงที่หมายของเราเร็วขึ้นยังไงล่ะครับ”


คนพูดไม่ได้รอให้ผมปฏิเสธ  มือข้างหนึ่งของเขาเอื้อมมากระตุกสายกระเป๋าลงจากไหล่ผมเอาไปถือไว้
ก่อนเดินลิ่วๆทิ้งห่าง บังคับให้ผมต้องเดินตามกระเป๋าไปขึ้นรถ
ผมต้องไม่ลืมว่า กับคนๆนี้... การให้เหตุผลอาจไม่ใช่เครื่องมือต่อรองที่ดีนัก


ระหว่างทาง พี่รักษ์ปล่อยให้ผมอยู่ในโลกส่วนตัวอย่างที่ปรารถนา
นั่นจึงทำให้การรบเร้าขอเดินมาส่งที่คณะแถมด้วยการกินข้าวเช้าด้วยกันของเขา ไม่ทำให้ผมลำบากใจนัก


“จ้าจะกินอะไรครับ เดี๋ยวพี่ไปซื้อมาให้” เขาถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือล้น


ผมควรดีใจไม่ใช่หรือ
เมื่อมีใครสักคนยินดีบริการน้ำท่าและอาหารอยู่แบบนี้


แต่ไม่เลย...


ผมไม่ชอบการตกเป็นเป้าสายตา
ขนาดเขาไม่ได้แต่งเครื่องแบบเต็มยศเหมือนเมื่อวานเย็น
สายตาของนิสิตหลายคนยังพุ่งเป้ามาที่เขากับผมไม่ขาด
หากปล่อยให้เขาเดินไปโน่นมานี่สุ่มสี่สุ่มห้า...คนอื่นจะครหาผมไปถึงไหนต่อไหนก็ไม่รู้


“พี่รักษ์นั่งนี่เถอะครับ เดี๋ยวจ้าไปซื้อข้าวมาให้เอง...พี่รักษ์กินเหมือนจ้าได้ใช่ไหมครับ?”


“ครับผม!” ทำท่าตะเบ๊ะกับรอยยิ้มกว้างของพี่รักษ์ยังทำให้ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนได้ไม่ถึงครึ่งของประโยคถัดมา

“เดี๋ยวก่อนจ้า...เอาเงินนี่ไปซื้อข้าวครับ...
.
.
...พี่ทำงานแล้ว...จะให้จ้าเลี้ยงพี่ได้ยังไง...  
...ถ้าใครรู้ พี่อายเขาตายเลยน้า”


เขาพยายามยัดธนบัตรสีเทาใส่มือ
จริงอยู่...แบงค์สีเขียวสี่ใบในกระเป๋ากางเกงผมไม่ใช่เงินมาก
และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อีกฝ่ายออกหน้าดูแลค่ากิน และค่าใช้จ่ายโน่นนี่ให้

แต่การรับเงินสดๆจากพี่รักษ์โดยที่ผมไม่ได้เป็นญาติพี่น้องของอีกฝ่าย ก็ทำให้ผมรู้สึกกระดากได้ไม่น้อย
นี่ผมตกต่ำขนาดต้องรับเงินสดจากคนที่รู้จักกันเพียงไม่นานเพื่อไปแลกอาหารกินแล้วหรือ?


“...เอ่อ...”

“รับไปเถอะครับ ถ้าจ้าไม่รับ...พี่จะเดินไปซื้อกับข้าวทุกอย่างของทุกร้านจนกว่างเงินนี่จะหมดดีไหมครับ?” ท่าทางเหมือนพูดเล่น แต่สายตาเอาจริงบอกกับผมว่า การบ่ายเบี่ยงรังแต่จะเรียกสายตาคนอื่นเสียมากกว่า


“ครับ...ได้ครับ” ผมจำต้องรับเงินของพี่รักษ์มาอย่างเสียไม่ได้







“ป้าครับ เอาก๋วยจั๊บทุกอย่างไม่ตับสองชามครับ”


อาหารร้านนี้ไม่ได้อร่อยเด็ดถึงใจขนาดต้องแนะนำให้ใครต่อใครกิน
จริงๆแล้ว ค่อนข้างจะมีลูกค้าบางตาเสียด้วยซ้ำ... ทว่านั่นคือข้อดี
เพราะผมอยากให้มื้อนี้สิ้นสุดโดยเร็ว อีกฝ่ายจะได้หมดข้ออ้างขอนั่งแช่...
ส่วนผม ก็จะได้เริ่มลงมือทำรายงานชดเชยเวลาเรียนที่ขาดไปโดยไม่มีเรื่องกวนใจเสียที



จังหวะที่ผมเอื้อมมือไปรับถ้วยก๋วยจั๊บจากแม่ค้า  ความรู้สึกระวังภัยของผมก็ส่งสัญญาณเตือนอีกครั้ง
ไม่ผิดแน่  ใครบางคนกำลังจับจ้องผมอยู่...

สายตาคู่นั้น ไม่ได้เจิดจ้า หรือชวนให้รู้สึกปลอดภัยเหมือนเวลาพี่รักษ์มองมา
หากแต่พลังจากสายตาคู่นั้น ทำให้ผมรู้สึกหนักๆในอก คล้ายกับโดนหินก้อนใหญ่กดทับเข้าที่หัวใจจนหายใจไม่ออก
เมื่อเหลียวมองไปรอบๆ ถ้าไม่นับพี่รักษ์ ผมก็ไม่เห็นใครส่งสายตากำมองมาทางผมแม้สักคน...

แต่จังหวะที่ผมเปลี่ยนใจตวัดสายตาก้มลงมามองชามทั้งสองในมือ
หางตาผมกลับเหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังมองมายังที่ๆผมยืนอยู่จริงๆ...

...นิสิตคนนั้นเป็นใคร? เขาเรียนอยู่คณะผมหรือเปล่า?
...หรือเมื่อกี๊เป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้น?

เพื่อให้แน่ใจ ผมจึงเงยหน้าด้วยความตั้งใจแล้วหันไปมองหน้าผู้ชายคนนั้นชัดๆอีกครั้ง
นิสิตชายหน้าตาไม่คุ้นคนนั้นจ้องผมกลับนิ่งๆด้วยแววตาที่ผมตีความไม่ออก...

...เขามองผมจริงๆด้วย!!
...เขาจะมองผมทำไม?
...เขาเป็นใคร?


น่ากลัว!!!
ทำไมเขาต้องมองผมแบบนั้น?
หรือเขาจะใช่ มันจริงๆ?

ความกลัวทำให้ผมตัดสินใจหลบตาอีกฝ่าย
แล้วก้มหน้าถือชามก๋วยจั๊บจ้ำอ้าวกลับมาที่โต๊ะโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองชายคนนั้นอีกเลย


“จ้า...มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“ปละ เปล่าครับ...พี่รักษ์ถามทำไมเหรอ?” ผมเลื่อนเงินทอนทั้งหมดส่งข้ามโต๊ะไปให้อีกฝ่ายโดยไม่ตกหล่นแม้แต่บาทเดียว แต่พี่รักษ์กลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับเงินหลายร้อยนั้นมากนัก

“ก็พี่เห็นจ้าหน้าซีดๆ ร้อนเหรอครับ? ไม่สบายหรือเปล่า?”  พี่รักษ์ยื่นหลังมือมาใกล้ๆหน้าผมโดยไม่บอกกล่าว นั่นจึงทำให้ผมผงะไปข้างหลังทันที... สีหน้าของอีกฝ่ายดูหมองลงอย่างเห็นได้ชัด


ไม่รู้อีกนานเท่าไร ร่างกายผมจะไม่แสดงท่าทางเข็ดขยาดยามต้องอยู่ใกล้กับคนอื่น
ผมไม่ต้องการอธิบายให้ใครต่อใครฟังว่า ผมไม่ได้รังเกียจการอยู่ร่วมกับพวกเขา...
การสัมผัส หรือการถูกเนื้อต้องตัวต่างหาก คือสิ่งที่ผมกลัว และไม่ต้องการให้เกิดขึ้น...หากไม่จำเป็น


“เปล่าครับ พี่รักษ์รีบกินเถอะ ก๋วยจั๊บเย็นหมดแล้ว”

“อย่าบอกพี่นะว่า ที่เร่งให้พี่รีบกิน เพราะจ้าอยากให้พี่ไปให้พ้นๆหน้าเร็วๆ”


คำพูดทีเล่นทีจริงของอีกฝ่ายทำให้ผมไม่อาจเข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อได้ดีนัก...
หรือพี่รักษ์จะรู้ว่าผมไม่อยากให้พี่รักษ์อยู่ใกล้ๆ?
แล้วทำไมเขาถึงคอยมาป้วนเปี้ยนไม่ห่างทั้งที่ผมไม่ได้ร้องขอด้วยล่ะ?


“อย่าคิดมากสิ เมื่อกี๊พี่แค่ล้อเล่นเองครับ...
...พี่อยากเห็นจ้ายิ้ม ต่อว่าพี่ หรือทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ทำหน้าเหมือนกำลังกลัวบางอย่างอยู่แบบนี้น่ะ...
...จ้าไม่โกรธพี่นะครับ”


พี่รักษ์ดูออก?
นี่ผมกลัวสายตาของชายแปลกหน้าคนนั้นจนผมเผลอแสดงมันออกมาอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้เชียวหรือ?!!


“จ้าไม่โกรธพี่รักษ์หรอกครับ...
...แต่เมื่อกี๊ หน้าจ้าบอกพี่รักษ์ว่าจ้ากำลังกลัวเหรอครับ?” ผมถามออกไปตรงๆ เพราะอยากฟังให้ชัดๆอีกครั้ง

“ใช่ครับ...  
...จ้าทำหน้าเหมือนถูกใครข่มขู่ หรือโดนหาเรื่องมาอย่างนั้นแหละ พี่เลยอดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ยังไงล่ะ”
.
.
.
.
.
“...คือ...จ้าแค่ยังไม่ชินกับสายตาของคนอื่นน่ะครับ” ผมเลือกจะโกหกอีกครั้ง... หรือจริงๆ ผมกำลังคิดแบบนั้นอยู่นะ?

“อืม ใจเย็นๆนะจ้า เรื่องนี้มันต้องใช้เวลา...
...ส่วนเรื่องความปลอดภัย พี่รับรองให้ได้  ถ้าจ้าอยู่กับพี่...ไม่มีวันที่ใครจะทำร้ายจ้าได้อีกแน่ๆ” พี่รักษ์ยืนยันหนักแน่น แต่นั่นกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนต้องเอาตัวเองไปผูกไว้กับอีกฝ่ายจวบจนวันสุดท้ายของชีวิตอย่างไรอย่างนั้น

“ขอบคุณครับ...แต่พี่รักษ์ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ จ้าเป็นผู้ชาย...จ้าดูแลตัวเองได้ครับ พี่รักษ์ไม่ต้องเป็นห่วง”  

“มีพี่คอยดูแลเพิ่มมาอีกคน จ้าจะได้ยิ่งอุ่นใจไง...นะ ขอให้พี่ได้ดูแลจ้าเถอะนะครับ”


สายตาและคำพูดจริงจังของพี่รักษ์ ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ
คนๆนี้เข้ามาทำดีกับผมเสียมากมาย... โดยไม่ได้รับอะไรตอบแทนเป็นชิ้นเป็นอัน
มันเป็นการกระทำที่ไม่หวังผล ไม่มีอะไรแอบแฝงอย่างที่เขาคอยบอกผมอยู่เสมอจริงๆน่ะหรือ?


 “พี่รักษ์ครับ”

“มีอะไรเหรอจ้า?”

“พี่รักษ์ช่วยเหลือทุกคนไปทั่วอย่างนี้เสมอเลยเหรอครับ?”

“ใช่ครับ...ก็พี่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์นี่ครับ พี่ก็ต้องบริบาลประชาชน หรือคนที่ได้รับความทุกข์ยากเป็นธรรมดาอยู่แล้ว”


อย่างนั้นเองน่ะเหรอ?
น่าดีใจแทนประเทศเรานะ ที่ยังมีตำรวจดีๆหลงเหลืออยู่บ้าง...
นี่ไม่ใช่แค่คำโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้ผมหลงลมไปด้วยจริงๆใช่ไหม?


“แล้วพี่รักษ์จะได้อะไรตอบแทนล่ะครับ?”

“ความสุขยังไงล่ะจ้า... การช่วยเหลือคนอื่นให้พ้นทุกข์ได้น่ะ ทำให้พี่รู้สึกมีความสุขมากเลยนะ”


สายตาของพี่รักษ์ตอนที่ตอบผมดูเปล่งประกายเจิดจ้า และเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างที่สุด 
แต่มันกลับเป็นสายตาที่ทำให้ผมไม่ชอบใจเลย

พี่หรั่งครับ...
จ้าอิจฉาพี่รักษ์เหลือเกินที่ยิ้มกว้าง และมีความสุขได้แบบนั้น
ที่ผ่านมา... เราสองคนเคยสัมผัสความสุขได้มากขนาดคนๆนี้บ้างไหมครับ?



ไม่จริงหรอกจ้า...
เขาไม่มีทางมีความสุขได้ด้วยการเห็นคนอื่นได้ดี หรือมีความสุขแน่ๆ  
คนเรา ถ้าไม่ได้สิ่งตอบแทน ถ้าไม่มีของแลกเปลี่ยน... เราจะทำเพื่อคนอื่นที่เราแทบไม่รู้จักโดยไม่มีเงื่อนไขได้มากขนาดที่เขาทำให้จ้าเลยเชียวหรือ? ถ้าอย่างนั้น พี่รักษ์จะมีเวลามาคอยดูแลจ้าแบบเช้าถึงเย็นถึงอย่างนี้ทุกวันหรือ?


ไม่ใช่หรอกจ้า...
ความสุขไม่ใช่สิ่งเดียวที่พี่รักษ์ต้องการหรอกจ้า
เขาต้องการอย่างอื่น... อย่างอื่นที่จ้าเคยเสียไปแล้ว
เขาต้องการสิ่งนั้น เหมือนกับที่ มันต้องการ


ไม่เชื่อใช่ไหม?
ถามเขาสิ... ถามเลย
ถามสิว่า เขาไม่หวังอะไรจากจ้าจริงหรือเปล่า?
จ้าจะได้รู้ยังไงล่ะ ว่าจะเชื่อใจเขาได้จริงๆไหม...
จ้าจะได้เข้าใจอย่างไรล่ะว่าเขา...ไม่ใช่ มัน


“กับจ้า...พี่รักษ์ก็ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนเหมือนตอนที่ช่วยคนอื่นใช่ไหมครับ?” ผมโพล่งถามพี่รักษ์ออกไป  แต่สายตาหลุกหลิก และท่าทางร้อนรนนั่งไม่ติดของพี่รักษ์ กลับบอกอะไรผมได้หลายอย่าง

“.....เอ่อ...
.
...อ๊ะ! จ้าบอกพี่ว่ามีเรียนตอนเก้าโมงเช้าใช่ไหมครับ?...
...เหลือเวลาอีกแค่สิบนาที...จ้ารีบไปเตรียมตัวก่อนเข้าเรียนเถอะครับ เดี๋ยวสายนะ”


ขนาดยังไม่เชื่อใจพี่รักษ์เต็มร้อย ผมยังแปลกใจกับคำพูดเฉไฉและการเปลี่ยนเรื่องของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย
ตลอดเวลาที่ผมเจอพี่รักษ์ แม้มันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ... แต่ไม่เคยสักครั้ง ที่เขาจะเลี่ยงหลบหัวข้อสนทนาอย่างเมื่อครู่เลยนี่นา


นั่นปะไร!!
เขาต้องหวังอะไรจากจ้าแน่ๆ
คนๆนี้ไว้ใจไม่ได้หรอกนะจ้า... จ้าต้องระวังตัวเอาไว้ให้มากๆ


“ก็ได้ครับ...งั้นจ้าไปเรียนก่อนนะครับ สวัสดีครับพี่รักษ์” ผมไม่ต่อความยาวสาวความยืดให้ต้องเหนื่อยกันทั้งสองฝ่าย

“จ้า...เดี๋ยวคืนนี้พี่โทรหานะ...
.
...อ้อ! แล้วก็  ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับจ้า...จ้ารีบโทรหาพี่ทันทีเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”

“ครับ ครับ...จ้าไปนะครับ” ผมปลีกตัวออกมาทันที ไม่อยากให้พี่รักษ์จับได้ว่า การกระทำของเขาเมื่อสักครู่ ก่อให้เกิดความรู้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างไรบอกไม่ถูก


ผมรีบเดินเสียจนเผลอสะดุดล้ม
ทว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่เหม่อเสียจนป้ำๆเป๋อๆ...

เพราะรายนั้นดูจะหนักกว่า เนื่องจากเป็นการเดินชนกันของคนสองคน
ขณะที่ผมกำลังเก็บของส่วนตัวที่หล่นกระจาย  ผมเหลือบไปเห็นพี่ผู้หญิงคณะผม ยื่นเสื้อช็อปสีเลือดหมูให้ผู้ชายคู่กรณี

เสื้อช็อปสีเลือดหมู?!!
เด็กวิศวะฯ????
แล้วเด็กวิศวะฯมาทำอะไรที่คณะครุฯตั้งแต่ก่อนเก้าโมง?

ผมชะงักการกระทำทุกอย่างเพื่อแอบมองใบหน้าของเด็กวิศวะฯคนนั้น
แต่เขากลับเดินหายไปทันทีที่ได้เสื้อช็อปคืน...
เขาเป็นใคร?  
.
.
.
...เจ้าของรถมอเตอร์ไซค์คันเมื่อวาน ก็ใส่เสื้อช็อปสีเลือดหมูเหมือนกัน...
...หรือว่าคนเมื่อกี๊ คือคนๆเดียวกันกับเจ้าของรถที่สะกดรอยตามผมคนนั้น???!!








“เฮ่อ...เหลืออยู่แค่สองร้อยสี่สิบ...
.
...จะอยู่ได้อีกกี่วันกัน?”


ผมนับเงินสดในกระเป๋าสตางค์อีกครั้งหลังจากจ่ายค่าชีท ค่าทำรายงานกลุ่ม และค่าใช้จ่ายจิปาถะไปเมื่อกลางวัน
ตอนนี้...บัตรเอทีเอ็มของผม ไม่ต่างอะไรกับเศษพลาสติกรูปสี่เหลี่ยมไร้ค่า

อาการหวาดระแวงจากเรื่องเมื่อเช้า บวกกับชั่วโมงอันยาวนานของการไล่ตามทำรายงานและเก็บเลคเชอร์
ทำให้ผมเลือกฝังตัวอยู่ที่ห้องสมุดโดยไม่แตะต้องอาหารมื้อเที่ยง...
กลัวจนไม่อยากเฉียดไปใกล้โรงอาหาร อีกทั้งไม่ต้องการเสียเงินเพิ่ม แม้จะแค่สิบยี่สิบบาทก็เถอะ

เวลาบ่ายสามโมง กับเสียงท้องร้องโครกครากบอกกับผมว่าเลยเวลากินมานานเหลือเกิน
ตอนนี้ผมไม่มีเรียนแล้ว แต่ผมไม่รู้สึกอยากกลับบ้าน หรือกลับไปหางานเลย...
เพราะถ้ากลับไปเดินหางานตั้งแต่ตอนนี้ แล้วเกิดโชคไม่ดี...ไม่มีหวัง ผมก็ต้องกลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน 
หากต้องกลับบ้านจริงๆ ถ้าวันนี้ลุงจอมกลับมาเอาเงิน แต่ผมไม่มีจะให้...ผมต้องได้ตัวลายซมซานมาเรียนวันพรุ่งนี้แน่ๆ


“จ้า...นั่นจ้าใช่ไหม?”


เสียงทุ้มๆคุ้นหูร้องเรียกผมจากด้านหลัง
ใครกัน... มีคนรู้จักผมด้วยหรือ?!

ปกติเวลาอยู่ในมหาวิทยาลัย ไม่ค่อยมีใครเรียกผมสักเท่าไร
เพราะนอกจากพี่หรั่งแล้ว ผมก็ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่สุงสิงกับใคร และไม่ทำกิจกรรมใดๆกับคณะเพราะข้อจำกัดเรื่องที่ต้องทำงานหาเงินเรียน


“ครับ?” เมื่อผมหันไป ก็เจอเข้ากับอาจารย์กัลป์ที่กำลังเดินเข้ามาหาผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ใช่จริงๆด้วย!! จะว่าไป  เด็กผู้ชายตัวเล็กๆแบบคุณนี่ก็จำง่ายดีเหมือนกันนะ” อาจารย์กัลป์ฉีกยิ้มกว้างไปกันใหญ่เมื่อรู้ว่าทักไม่ผิดตัว


เมื่อวานที่เจอกัน...
ผมไม่ทันสังเกตว่าอาจารย์ดูดีขนาดนี้
พออาจารย์ยิ้มที...นิสิตสาวๆที่เดินผ่านไปมาถึงกับมองตามกันเหลียวหลัง


“สวัสดีครับอาจารย์กัลป์ อาจารย์มาทำอะไรที่หอสมุดเหรอครับ?”

“ผมมาค้นคว้าผลงานวิจัยเก่าๆของอาจารย์ท่านก่อนๆน่ะ  แล้วคุณล่ะ มานั่งทำอะไรแถวนี้?...ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ? หรือว่ารอเรียน?” คำถามของอาจารย์กัลป์ยังคงพรั่งพรูไม่ต่างจากเมื่อวาน

“ผมเลิกเรียนแล้วครับอาจารย์ กำลังจะกลับบ้านพอดี” ผมโกหก...การยืนคุยกับอาจารย์กัลป์หน้าสถานที่ๆมีคนพลุกพล่านแบบนี้ ทำให้ผมหายใจไม่ได้ทั่วท้องนัก... คนชักจะมองผมกับอาจารย์เยอะไปแล้ว

“เหรอ...ผมก็ไม่มีสอนแล้วเหมือนกัน...
.
...ถ้างั้น...เราไปกินข้าวด้วยกันไหม?...
...ดูซิเนี่ย...ตั้งแต่กลางวันมาผมยังไม่ได้กินอะไรเลย หิวชะมัด”

“เอ่อ...ไม่รบกวนดีกว่าครับ เชิญอาจารย์ตามสบายเถอะครับ” คำปฏิเสธของผมแทบจะไม่มีค่าอะไรหลังจากเสียงท้องร้องฉีกหน้าผมขาดเป็นริ้วๆ

“หึ หึ หึ...ผมว่าคุณไปกับผมเถอะ ไม่ต้องเกรงใจหรอก...
.
...ตัวแค่นี้ จะกินได้สักกี่มากน้อย...
...ต่อให้มีคุณสิบคนมารุมกินโต๊ะผม ขนหน้าแข้งผมยังไม่ร่วงเลยมั้ง...
...ไป! กินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อย กินกันหลายๆคน อร่อยกว่ากินคนเดียวเยอะเลยนะ”

“ก..ก็ได้ครับ”

พอคนชวนเป็นอาจารย์กัลป์...ผมกลับไม่คิดอิดออด
อาจเป็นเพราะคนๆนี้ คือคนเพียงคนเดียวในโลกที่รู้จักพี่หรั่งในอีกมุมหนึ่งที่ผมไม่เคยสัมผัส
ในเมื่อไม่อาจเจอหน้าพี่หรั่งได้อีกต่อไป ขอแค่ได้ยินเรื่องราวของพี่ชายสุดที่รักบ้างเป็นครั้งคราวก็ยังดี



“คุณกินข้าวโรงอาหารได้ไหม? ผมยังต้องทำงานต่ออีกนิดหน่อย...ออกไปกินข้างนอกคงไม่ค่อยสะดวกเท่าไร”  อาจารย์กัลป์ถามผมทันทีที่เราสองคนเดินมาถึงโรงอาหารใต้ตึกคณะวิทยาศาสตร์... คณะของพี่หรั่ง

“ได้ครับอาจารย์”

“คุณจะกินอะไรล่ะ?”

“อาจารย์กัลป์จะกินอะไร บอกผมมาก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเดินไปซื้อให้”

“อืม...เอาเป็นข้าวซอยก็ได้”


อาจารย์กัลป์ที่กำลังหย่อนตัวลงนั่งบนม้ายาวขณะล้วงบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกงชะงักนิดหนึ่ง
หากผมไม่ได้สังเกตใบหน้าของอาจารย์อยู่ ผมคงไม่ทันเห็นสายตาแปลกๆของอาจารย์เมื่อครู่แน่ๆ
มันต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นอาจารย์กัลป์คงไม่หยัดตัวลุกขึ้นแล้วทำท่าเหมือนจะไปซื้อข้าวทั้งๆที่ผมขันอาสาขอทำหน้าที่บริการให้อาจารย์ไปหมาดๆ


“เอ่อ เดี๋ยวจ้า...
.
..ผมเปลี่ยนใจแล้วล่ะ...
...คุณตามผมมาดีกว่า เดี๋ยวผมแนะนำร้านอร่อยประจำโรงอาหารคณะวิทยาฯให้คุณรู้จักเลยแล้วกัน เผื่อว่าคราวหน้าคุณมากินข้าวที่นี่ คุณจะได้รู้ว่าต้องสั่งอะไร” รอยยิ้มสดใสของอาจารย์กัลป์ทำให้ผมไม่ติดใจกับสีหน้าท่าทางผิดปกติของอาจารย์เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนอีกต่อไป

“ครับๆ”





“เออ นี่จ้า...หลังเลิกเรียนคุณพอมีเวลาไหม?” อาจารย์ถามผมระหว่างที่นั่งกินอาหารกลางวันตอนเกือบสี่โมงเย็น

“ทำไมเหรอครับอาจารย์?”

“...คือ...ผมอยากขอแรงคุณสักหน่อยน่ะ” พูดมาถึงตรงนี้ อาจารย์กัลป์ก็ดูอึกอักแปลกๆ...เพราะอะไรกัน?

“จะให้ผมช่วยอะไรเหรอครับอาจารย์?”

“ผมอยากให้คุณมาช่วยคัดแยก แล้วก็จัดเอกสารในห้องทำงานให้ผม...
.
...คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมไม่ให้คุณทำเปล่าๆหรอก ผมมีค่าเสียเวลาให้คุณด้วย”


สีหน้าอาจารย์ตอนพูดเหมือนคนกำลังกึ่งกลั้นยิ้ม กึ่งอับอายอย่างไรบอกไม่ถูก
แต่นั่นกลับไม่สำคัญเท่ากับการเสนองานพร้อมค่าตอบแทนให้ โดยที่ผมไม่ต้องออกไปวิ่งหาจนเหนื่อย แถมยังไม่ต้องกลัวว่าจะโดนไล่กลับบ้านมือเปล่า

ถึงอย่างนั้น...
คนอัธยาศัยดีแบบอาจารย์กัลป์ น่าจะหาคนช่วยจัดการเรื่องพวกนี้ให้ได้ไม่ยากนัก...ไม่ใช่หรือ?


“แล้วทำไมถึงต้องเป็นผมด้วยล่ะครับ...
...ผมว่า ถ้าอาจารย์กัลป์รับสมัครลูกศิษย์คนอื่นๆในคณะ ก็น่าจะมีคนสนใจทำงานกับอาจารย์อยู่ไม่น้อยนะครับ”

“เป็นคุณน่ะดีแล้ว...
...คุณลองคิดดูนะ...
...ถ้าเป็นนิสิตในคณะมาช่วยผมจัดห้อง แล้วผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เกิดมีใครรู้ว่าห้องทำงานของอาจารย์กัลป์รองหัวหน้าภาควิชารกอย่างกับรังหนู...
.
.
...แต่ถ้าเป็นคุณ...
...คุณไม่ได้เรียนกับผม และถึงแม้คุณจะเอาเรื่องความรกของห้องทำงานผมไปเมาท์ลับหลัง ผมก็ไม่สะเทือนหรอก...
...เพราะคงไม่มีใครที่ครุฯเดือดร้อนกับการที่อาจารย์คณะวิทยาฯเป็นคนซกมกชั่วครั้งชั่วคราวแน่ๆ...
...ที่สำคัญ ผมว่าผมไว้ใจคุณได้ คุณคงไม่ไปขายความลับน่าอับอายของผมกับใครที่ไหน...ผมพูดถูกหรือเปล่าล่ะ?”

“ครับ” ผมถึงกับต้องหลบตาอาจารย์แล้วก้มมองพื้นเพื่อไม่ให้อาจารย์กัลป์รู้ว่าผมแอบยิ้มที่สุดท้ายก็ได้รู้ที่มาของท่าทางแปลกๆของอาจารย์เมื่อครู่... ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ดูเพอร์เฟคแบบอาจารย์จะมีมุมแบบนี้กับเขาเหมือนกัน

“ถ้าคุณไม่สะดวกใจ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ บอกปัดผมได้เลยนะ ผมเข้าใจ”


อาจารย์กัลป์ยิ้มให้ แต่ผมรู้สึกกลับรู้สึกว่ามันไม่สดใสเท่ากับยิ้มครั้งอื่นๆของอาจารย์...
สารภาพตามตรง ผมอยากทำงานนี้นะ เพราะคงไม่เหนื่อยกาย ลำบากใจสักเท่าไร
อีกอย่าง ดูท่าแล้ว...อาจารย์กัลป์น่าจะใจดี และไม่เอาเปรียบผมเหมือนกับเจ้าของร้านหลายๆคนที่ผมเคยไปทำงานด้วย

แต่เพราะความพอเหมาะพอเจาะของช่วงเวลา ทำให้ผมลังเล...
เพิ่งนึกถึงเรื่องงานอยู่เมื่อชั่วโมงก่อน...งานก็ร่อนมากองตรงหน้าทันที  อะไรจะดีเกินจริงได้ขนาดนี้กัน?!


“ถ้าผมบอกว่าไม่สะดวก อาจารย์กัลป์จะทำยังไงล่ะครับ?”

“ผมก็แค่ต้องอดทนรอจนกว่างานวิจัยชิ้นล่าสุดเสร็จซะก่อนแล้วผมค่อยเก็บกวาดทีเดียวน่ะสิ”

“อืมมมมม”

“ใจจริงผมอยากให้คุณมาช่วยงานนะ  เพราะก่อนหน้านี้ มานะคือคนที่ช่วยจัดเอกสาร กับทำความสะอาดเล็กๆน้อยๆให้ผมน่ะ เขาเป็นคนไว้ใจได้ และไม่ช่างเมาท์...ผมเลยได้ทีไหว้วานให้เขาช่วยอยู่เป็นประจำ”


พี่หรั่งเคยทำงานให้อาจารย์กัลป์ด้วยเหรอ?
งานนี้เนี่ยะนะ?
ทำไมพี่หรั่งไม่เคยบอกผมล่ะ?
หรือว่าเงินที่ได้จะไม่เยอะมาก พี่หรั่งเลยไม่ได้คิดจะเล่าให้ฟัง...

เอาเถอะ...
แค่ได้รู้ว่า พี่หรั่งเคยทำงานนี้มาก่อน
ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะไม่ทำงานนี้ให้อาจารย์กัลป์แทนพี่หรั่งนี่นะ


“เอ่อ...ถ้าอาจารย์กัลป์ไม่รังเกียจ ผมช่วยอาจารย์ก็ได้ครับ”

“ดี!  ถ้างั้นคุณเริ่มงานวันนี้เลยได้ไหม? ผมเองก็ชักจะทนห้องทำงานของตัวเองไม่ไหวแล้วล่ะ”

“ฮะ ฮะ ฮะ...ได้ครับอาจารย์”

“เดี๋ยวพอกินเสร็จแล้ว คุณก็ไปกับผมเลยแล้วกันนะ”

“ครับ”






“ผมขอเตือนก่อนเลยนะว่า ห้องทำงานผมมันรกสุดๆ เพราะตอนนี้มีเอกสารงานวิจัยกับรายงานของนิสิตปนกันยุ่งเหยิงไปหมด ถ้าคุณเห็นห้องผมแล้ว...อย่าเพิ่งถอดใจหนีกลับบ้านไปก่อนล่ะ...ตกลงไหม?” อาจารย์กัลป์ทำท่าขู่ผมเสียยกใหญ่ระหว่างไขกุญแจด้านหน้าประตูที่มีป้ายชื่อของอาจารย์กัลป์ติดอยู่

“อาจารย์กัลป์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ผมรับปากว่าจะช่วยอาจารย์เก็บห้องนี้ให้เรี่ยมเหมือนใหม่เลยครับ” ผมรับรองแข็งขัน

“หึ หึ หึ...ดี ดี ผมมองคุณไม่ผิดจริงๆ”



แต่สภาพกองเอกสารสูงเป็นตั้งๆกระจัดกระจายไปทั่วทุกมุมของห้องก็ทำให้ผมต้องอ้าปากค้าง
ที่อาจารย์กัลป์ขู่ผมทั้งหมดนั้น... ไม่ใช่การอวดอ้างเหนือจริงแม้แต่น้อย  
พี่หรั่งเองก็เคยต้องประสบปัญหานี้มาเหมือนๆกันหรอกหรือนี่?


“หึ!... มันเยอะเสียจนคุณไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเลยใช่ไหมล่ะ?..
...เอางี้นะ  ระหว่างผมนั่งทำงานที่โต๊ะ คุณช่วยผมคัดแยกเอกสารตรงมุมนี้ไปพลางๆก่อนแล้วกัน...
.
...คุณไม่มีปัญหากับการอ่านบทความภาษาอังกฤษใช่ไหม?”

“อ่านได้ครับ...แค่อาจจะต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่นนิดหน่อย”  ผมยอมรับตามความสามารถจริง

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง...
.
...เฉพาะเอกสารภาษาอังกฤษ คุณช่วยแยกตามหัวข้อแล้วเรียงลำดับก่อนหลังตามวันที่ตรงมุมบนด้านซ้ายมือ...
...เดี๋ยวผมจดหัวข้อในการคัดแยกมาให้คุณอีกที...
.
...ส่วนเอกสารภาษาไทยก็แยกตามหมวดหมู่ตามที่ระบุตรงหัวกระดาษแล้วใส่ไว้ในลังนี้...
...อ้อ! ถ้าคุณเผลอไปเจอรายงานของนิสิต กับวารสารเก่าๆปนอยู่...ก็แยกเอาไว้อีกกอง  คุณเข้าใจนะ”

“ครับ อาจารย์กัลป์”

“ถ้าคุณสงสัยอะไรถามผมได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ” เมื่อพูดจบ อาจารย์กัลป์ก็เดินไปขีดเขียนอะไรบางอย่างที่โต๊ะ ปล่อยให้ผมตั้งสติกับเอกสารมากมายตรงหน้าเพียงลำพัง


ที่ห้องทำงานอาจารย์กัลป์รกขนาดนี้ คงเป็นเพราะไม่มีพี่หรั่งคอยช่วยอีกต่อไป
คนที่เสียใจ และได้รับผลกระทบจากการตายของพี่หรั่ง ไม่ได้มีแค่ผม กับตายายเท่านั้นสินะ...
อย่างน้อยๆ อาจารย์กัลป์เอง ก็คงลำบากด้วยเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ไม่ต่างกัน


“อ่ะนี่ หัวข้อสำหรับจัดหมวดหมู่เอกสารภาษาอังกฤษ” อาจารย์ยื่นกระดาษโน๊ตพร้อมหัวข้อในการคัดแยกเอกสารภาษาอังกฤษให้ผมตามที่บอกไว้ ลายมือของอาจารย์กัลป์สวยจนน่าตกใจ... ไม่น่าเชื่อว่าลายมือผู้ชายจะอ่านง่ายขนาดนี้

“ขอบคุณครับ”


ระหว่างที่ผมหลุดเข้าไปในโลกที่ท่วมล้นไปด้วยกระดาษมากมาย
คำถามลอยๆที่ถูกเปล่งออกมาด้วยเสียงทุ้มๆของอาจารย์กัลป์ก็ลอยเข้าหู


“เออนี่จ้า...ที่ผมเคยถามคุณเรื่องรูปพรรณสัณฐานของคนที่ทำร้ายคุณวันนั้นน่ะ...
...ถ้าคุณเกิดบังเอิญไปเจอคนพวกนั้นอีก คุณจะจำหน้าพวกเขาได้ไหม?”

“อาจารย์ถามทำไมเหรอครับ?”


ทำไมอยู่ๆอาจารย์ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา?
เราคุยเรื่องวันนั้นจบไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ใช่หรือ?

ผมจ้องหน้าอาจารย์กัลป์นิ่งเพื่อจับสังเกตสีหน้า หรือแววตาที่ดูผิดปกติของอดีตอาจารย์ที่ปรึกษาของพี่หรั่ง
แต่อาจารย์กลับละสายตาจากผม แล้วเบือนหน้ามองจอคอมพิวเตอร์ ก่อนจะเอ่ยตอบผมด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ


“เปล่าหรอก...ไม่มีอะไร ผมคงคิดมากไปเอง คุณทำงานต่อเถอะ...เดี๋ยวจะมืดไปเสียก่อน”

“ครับ ครับ”


ท่าทางมีพิรุธของอาจารย์กัลป์ทำให้ผมไม่สบายใจ
มันต้องมีอะไรแน่ๆ... อาจารย์ถึงได้ถามผมแบบนี้...
หรืออาจารย์จะเห็นอะไรผิดปกติ?

ครั้นจะให้ผมคาดคั้นเอาคำตอบจากอาจารย์กัลป์ระหว่างที่อาจารย์กำลังมุ่งมั่นปั่นงานของตัวเองแบบนั้น คงไม่เหมาะ...
ผมจึงต้องเพ่งความสนใจกลับไปที่งานในมือของตัวเองเพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้









“ขอโทษด้วยนะที่ผมเผลอทำงานเสียจนลืมเวลา คุณเลยต้องกลับบ้านช้าไปด้วย...
.
...เอาอย่างนี้ดีกว่า...
...ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป คุณมาช่วยงานผมถึงแค่หกโมงเย็นแล้วกัน คุณจะได้ไม่ต้องกลับบ้านดึกจนเกินไป...
...อ่ะนี่ ค่าเสียเวลาของคุณในวันนี้”


ในมือข้างที่ละจากพวงมาลัยของอาจารย์กัลป์มีแบงค์สีเทาหนึ่งใบ
คนขับยื่นเงินจำนวนนั้นมาให้ผมเหมือนไม่คิดอะไร


“อาจารย์กัลป์ครับ ผมรับเอาไว้ไม่ได้หรอกครับ เงินนี่มันเยอะไป...
...ผมทำงานให้อาจารย์แค่สามชั่วโมง แถมยังเป็นงานจัดเอกสารธรรมดาๆ...
...เท่านั้นยังไม่พอ...หลังเลิกงาน อาจารย์ยังพาผมมาส่งที่บ้านอีก...
...อาจารย์กรุณาผมขนาดนี้ ผมคงรับเงินนี้ไม่ได้จริงๆครับ”

“จ้า คุณรับไปเถอะ...
.
...มานะก็ได้เท่านี้เหมือนกัน  ผมไม่ยักกะได้ยินเขาบ่นอะไรนะ” อาจารย์กัลป์เอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ ตอนเอ่ยชื่อพี่หรั่ง...อีกฝ่ายก็อมยิ้มมุมปากราวกับนึกเรื่องขำขันอยู่คนเดียว


ที่ผ่านมา...พี่หรั่งได้เงินเยอะขนาดนี้ แลกกับการทำงานสบายๆแค่ไม่กี่ชั่วโมงอย่างนั้นน่ะเหรอ?
แล้วทำไมพี่หรั่งถึงยังต้องไปเล่นพนันบอลอีกล่ะ?
ผมไม่เข้าใจพี่หรั่งจริงๆ


“วันละพันเลยเหรอครับ?” ...ผมยังทำใจให้เชื่อไม่ได้ เพราะเท่ากับว่า หากผมช่วยอาจารย์กัลป์ติดๆกันสักสิบวัน ผมก็จะมีเงินได้เพิ่มขึ้นเป็นหมื่นเลยน่ะสิ

“ใช่...แต่จ้าโชคดีกว่ามานะเยอะ ที่มีเอกสารให้จัดมากหน่อย ส่วนมานะน่ะ...สองอาทิตย์ผมถึงจะเรียกเขาให้มาช่วยสักครั้ง เพราะฉะนั้น...เงินเท่านี้กับระยะห่างขนาดนั้น คงไม่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอะไรหรอกมั้ง”
.
.
.
.
.
“ที่เอกสารของอาจารย์กัลป์เยอะแบบนี้ เป็นเพราะพี่หรั่งเสียใช่ไหมครับ?” คนฟังถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะตอบผมเสียงอ่อน เมื่อเห็นอาจารย์มีสีหน้าเศร้าลงทันตา ผมเลยยอมรับธนบัตรใบนั้นมาพับใส่กระเป๋าเสื้อแต่โดยดีเพื่อไม่เพิ่มความลำบากใจให้กับอาจารย์

“ผมพูดแบบนั้นไม่ได้หรอก เพราะคนเอากระดาษพวกนั้นมากองสุมกัน มันก็ตัวผมทั้งนั้นแหละ...
.
...มานะคือคนที่มาช่วยทำให้พวกมันอยู่เป็นที่เป็นทางกันมากขึ้น...
...พอไม่มีมานะ ธรรมชาติของความรกเลยกลับมายังไงล่ะ” อาจารย์กัลป์พยายามฝืนยิ้ม...ผมรู้จักท่าทางนี้ดี เพราะผมทำอยู่บ่อยๆหลังจากรอดมาจากเงื้อมมือของ มัน

“อาจารย์กัลป์ครับ อาจารย์ไม่ต้องกังวลนะครับ...ผมจะช่วยอาจารย์แทนพี่หรั่งเองครับ”

“ขอบใจมากนะจ้า...
...ผมดีใจนะที่คุณยอมช่วยผม...
...ต่อจากนี้ไป ผมก็ไม่ต้องกังวลเวลานิสิตคนไหนจะขอเข้าพบผมที่ห้องทำงานอีกแล้ว...
.
.
...คุณรู้แล้วเหยียบให้มิดเลยนะ...
...เชื่อไหมจ้า...เดือนที่ผ่านมา ผมต้องนัดแอดไวซี่ไปคุยกันตามร้านกาแฟ หรือโรงอาหารประจำเลยล่ะ...
...ผมทำใจไม่ได้ที่ต้องให้ใครเข้ามาเห็นห้องทำงานรกๆของตัวเองน่ะ แย่เนอะ หึ หึ หึ หึ”

“ฮะ ฮะ ฮะ...ผมว่านิสิตของอาจารย์กัลป์ไม่น่าจะถือเรื่องนี้นะครับ อาจารย์ออกจะใจดี แล้วก็เป็นกันเองมากขนาดนี้”


หลังจากได้ใช้เวลากับอาจารย์กัลป์มากขึ้น ผมก็อดเปรยด้วยความชื่นชมออกมาไม่ได้
ผมไม่แปลกใจเลย หากอาจารย์ท่านนี้จะกลายเป็นอาจารย์ที่ลูกศิษย์ทั้งรักและเคารพมากที่สุดท่านหนึ่ง
แต่ผมแปลกใจ ที่อาจารย์กลับเก็บงำเรื่องเล็กๆน้อยๆซึ่งไม่สลักสำคัญพวกนี้จากลูกศิษย์...
แค่เสียภาพพจน์นิดๆหน่อยๆ อาจารย์กัลป์ก็ไม่น่าจะต้องห่วงเลยนี่นา


“ทำเป็นพูดไป...คุณยังไม่เคยเจอผมตอนเข้าสอน คุณไม่รู้หรอกว่าผมเฮี้ยบขนาดไหน ผมใจดีก็จริง แต่ผมเข้มงวด และไม่ได้เป็นกันเองจนเกินไปอย่างที่คุณเข้าใจซักนิด” อาจารย์กัลป์ทำหน้าขึงขัง ทว่าสีหน้ากลับข่มดวงตาสุกใสขี้เล่นไม่มิด

“ถ้าอย่างนั้น ผมก็โชคดีสินะครับ  ที่ได้เจออาจารย์กัลป์ในโหมดนี้”

“รอให้คุณเจอผมบ่อยๆเข้า คุณอาจเอือมในความรกรุงรังของผมจนไม่คิดแบบนี้แล้วก็ได้” คนขับเอ่ยติดตลก

“ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ...อาจารย์กัลป์ล่ะก็ ผมไม่มีทางเอือมอาจารย์เพราะความรกรุงรังของห้องทำงานอาจารย์หรอกครับ...
.
...ผมเสียอีกที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณอาจารย์ที่ทำให้ผมมีรายได้เสริมแบบที่ไม่ต้องเหนื่อยมากนัก” ผมไม่ลืมที่จะยกมือขึ้นไหว้อาจารย์กัลป์อีกครั้งที่ช่วยชุบชีวิตใหม่ให้กับผม

“ผมยินดีนะ ตราบใดที่ความลับของผมไม่รั่วไหล...คุณก็เรียกผมว่าเจ้านายได้เลย”

“ครับ เจ้านาย” ผมยิ้มให้อาจารย์หลังจากเอ่ยตอบด้วยอารมณ์สนุกสนานพอกัน
.
.
.

“หึ หึ หึ...คุณรู้อะไรไหมจ้า เวลาคุณยิ้ม หรือหัวเราะทีไร คุณทำให้โลกดูสดใสขึ้นในพริบตาเลยนะ...
...น่าเสียดาย ที่คุณไม่ค่อยหัวเราะ ไม่ค่อยยิ้มสักเท่าไร” ผมไม่ทันได้มองหน้าอาจารย์กัลป์ตอนเอ่ยประโยคนี้ ผมเลยไม่รู้ว่าอาจารย์ทำหน้าแบบไหน แต่ผมรู้ดีว่า...หน้าผมร้อนไปทั้งแถบ หัวใจผมก็เต้นดังแปลกๆเมื่อรู้ว่าอาจารย์ชื่นชอบรอยยิ้มของผม

“เอ่อ ผมขอโทษ ผมคงพูดอะไรแปลกๆออกไป ผู้ชายส่วนใหญ่เขาไม่ค่อยชมผู้ชายด้วยกันแบบนี้ใช่ไหม?...
...คุณอย่าถือสาคำพูดคำจาเมื่อครู่ของผมเลยนะ” อาจารย์กัลป์พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนจนผมต้องเบือนหน้าไปมอง สีหน้าสลดของอาจารย์ทำให้ผมต้องรีบอธิบายความเงียบงันเมื่อครู่

“ไม่เป็นไรครับ เมื่อกี๊ที่ผมเงียบไปเพราะผมแค่ไม่รู้จะตอบอาจารย์ยังไงน่ะครับ...
...ผมไม่ได้รังเกียจหรือถือสาคำพูดของอาจารย์เลยแม้แต่นิดเดียว จริงๆนะครับอาจารย์”


คำตอบของผมทำให้อาจารย์กัลป์ยิ้มกว้างได้อีกครั้ง
อาจเป็นเพราะอาจารย์กัลป์ไม่เคยเห็นตัวเองยิ้มอย่างในตอนนี้...
ตำแหน่งเจ้าของรอยยิ้มที่สดใสและน่ามองที่สุดตามที่อาจารย์ว่าจึงตกเป็นของผม ทั้งๆที่ผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากที่สุด คืออาจารย์กัลป์นั่นแหละ


“คุณเป็นคนดีไม่ผิดไปจากที่มานะเคยเล่าให้ผมฟังเลย”

“พี่หรั่งเล่าเรื่องผมให้อาจารย์กัลป์ฟังด้วยเหรอครับ?” ผมประหลาดใจ เพราะไม่นึกว่าพี่หรั่งจะเล่าเรื่องของผมให้ใครฟัง... พี่หรั่งเคยบอกว่า แค่เรามีกันสองคน เราก็ไม่ต้องสนใครอีกแล้ว

“หึ หึ...เยอะเลยแหละ...
...เขาบอกว่าเขามีน้องชายร่วมสาบานอยู่คนหนึ่งชื่อจ้า...
...จ้าเป็นเด็กดี สอนอะไรก็เชื่อ พูดอะไรก็ฟัง...
...เขายังบอกอีกนะว่า จ้าเป็นคนอดทน และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆทั้งๆที่เกือบจะถอดใจอยู่หลายครั้งก็ตาม...
...ผมที่รับฟังเรื่องของคุณจากปากเขาบ่อยๆเข้า เลยอดชื่นชมในตัวคุณไมได้...
...พอมานะไม่อยู่แบบนี้ ผมเลยอยากทำในสิ่งที่มานะเคยทำให้คุณบ้างน่ะ”

“ขอบคุณครับอาจารย์กัลป์”

“คุณต้องขอบคุณตัวเองที่เป็นคนดีสม่ำเสมอไม่ต่างจากทองแท้ที่ไม่กลัวไฟ  และต้องไม่ลืมขอบคุณมานะที่รักคุณมาก จนทำให้คนอื่นพลอยรัก พลอยเอ็นดูคุณไปด้วย”


ผมนึกทึ่งที่รู้ว่าพี่หรั่งเปิดใจกับอาจารย์กัลป์มากกว่าที่ผมคิดเอาไว้ 
ถ้าอย่างนั้น... ก็แสดงว่าพี่หรั่งไว้ใจอาจารย์กัลป์มาก
คนที่พี่หรั่งยอมเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง ย่อมจะเป็นคนที่ผมต้องให้ความรัก ความเคารพไม่ต่างกัน 

ผมดีใจเหลือเกิน ที่ผมได้เจอกับอาจารย์หลังจากการสูญเสียพี่ชายสุดที่รักไป...
เพราะผมเริ่มแน่ใจแล้วว่า แม้จะไม่มีพี่หรั่ง แต่ผมก็ยังมีอาจารย์กัลป์เป็นที่พึ่งสุดท้ายอีกคน


“เอ่อ อาจารย์ครับ อาจารย์ขับเลยทางเข้าบ้านผมแล้วครับ” ผมร้องเตือนอาจารย์ยิ้มๆ

“อ้อ! ขอโทษที...ผมจำได้แต่ทางไปวัดน่ะ” อาจารย์กัลป์แก้เก้อด้วยการรีบถอยรถมาจอดตรงปากซอยเข้าบ้าน

“อาจารย์ส่งผมตรงนี้ก็ได้ครับ ซอยผมรถเข้าไปไม่ได้”


ผมปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วนั่งนิ่งๆเพื่อรอให้อาจารย์กัลป์ปลดล็อคประตู
แต่อาจารย์กลับดับเครื่องแล้วตอบผมด้วยสีหน้าจริงจังจนผมเอะใจในความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของอีกฝ่าย


“เดี๋ยวผมเดินไปด้วยดีกว่า...ผมมีเรื่องต้องบอกคุณให้รู้เอาไว้”


จากสีหน้าและท่าทางของอาจารย์กัลป์ บอกผมให้รู้ว่า
สิ่งที่อาจารย์ต้องการจะบอกกับผมนั้น....เป็นเรื่องสำคัญมาก



เราเดินฝ่าความมืดของค่ำคืนเดือนหงายมาด้วยกันเงียบๆ จนผมแปลกใจ
อาจารย์กัลป์ต้องการบอกอะไรบางอย่างกับผมก่อนจากกัน แต่ทำไมตลอดทาง...อาจารย์ถึงไม่พูดอะไรสักคำ

“เอ่อ นี่บ้านผมครับ” นั่นคือสัญญาณที่ผมบอกให้อาจารย์รับรู้ว่า ผมคงรอต่อไปอีกไม่ไหว หรือถ้าอาจารย์เปลี่ยนใจ...คงต้องยกยอดไปบอกผมวันอื่นแทนกระมัง

“จ้า...จำที่ผมถามคุณในห้องทำงานผมได้ไหม?” อาจารย์กัลป์ถามโดยไม่ได้มองหน้าผม สีหน้าเหม่อลอยทว่ากรุ่นไปด้วยกลิ่นอายของความเครียดขึงทำให้ผมกังวลใจในทันตา

“ผมจะจำหน้าคนที่ทำร้ายผมได้ไหม หากต้องมาเจอกันอีกครั้ง....เรื่องนั้นน่ะเหรอครับ?” ผมย้อนถามอีกฝ่ายเพื่อความแน่ใจ

“ใช่”

“ทำไมเหรอครับ?” มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ ไม่อย่างนั้นอาจารย์กัลป์คงไม่มีทีท่าจริงจังแบบนี้หรอก

“คุณตอบผมมาก่อน... คุณมีเพื่อนหรือรุ่นพี่เรียนอยู่คณะวิศวะฯหรือเปล่า?” อาจารย์กัลป์ดูไม่ค่อยแน่ใจนัก ผมมั่นใจว่า...ผมเองก็คงทำหน้าคล้ายๆกัน ผิดแต่ว่า...สีหน้าผมคงเพิ่มความสงสัยเข้าไปอีกอย่าง

“อาจารย์กัลป์ถามทำไมครับ?”

“ตั้งแต่ตอนที่เราออกมาจากห้องสมุด จนมากินข้าวที่คณะผม...ผมเห็นมีเด็กวิศวะฯคอยจับตาดูคุณอยู่...
.
...ผมพยายามคิดว่าไม่น่าจะมีอะไร เลยไม่ได้ติดใจถามคุณให้รู้เรื่อง...
...แต่ไม่รู้สิ ยิ่งพอเราพูดถึงมานะบ่อยครั้งมากเท่าไร  ผมก็ยิ่งเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณมากขึ้นเท่านั้น...
...แล้วคุณจะบอกผมได้หรือยัง ว่าคุณรู้จักเด็กวิศวะบ้างไหม?”



...แล้วพบกันนะครับ...
.
.
.
...เด็กดีของพี่



ไม่!!!
ผมไม่นึกเลยว่า คนแปลกหน้าซึ่งผมไม่เคยรู้จักที่ผมคอยหาทางเลี่ยงมาตลอดวันจะเฝ้าดูผมอยู่จริงๆ
เด็กวิศวะฯคนนั้น ต้องใช่ มันหรือต้องเป็นคนของ มันแน่ๆ

พี่หรั่ง...จ้าควรทำอย่างไรดี?
มันอยู่ใกล้ตัวจ้าเหลือเกิน!!!



แต่เมื่อผมเห็นสายตาเป็นห่วงของอาจารย์กัลป์ที่จดจ่อรอคำตอบจากปากผม
ผมก็จำต้องโกหกพกลมหน้าตาย ด้วยไม่อยากทำให้อาจารย์ต้องพลอยกังวล...
อีกอย่าง...ผมกลัวว่า หากรอบนี้อาจารย์กัลป์ยื่นมือเข้ามาช่วยผมอีกครั้ง  อาจารย์อาจจะติดร่างแหจนแย่ไปอีกคน


“คงเป็นเด็กวิศวะที่เคยทำงานกลุ่มกับผมตอนเรียนวิชาเลือกปีหนึ่งมั้งครับอาจารย์กัลป์  เขาอาจจะอยากทักผม แต่ผมมองไม่เห็นเขา...เขาเลยมองตามผม อะไรทำนองนั้นน่ะครับ” ผมยิ้มแห้งๆให้อาจารย์กัลป์ หวังว่าความมืดจะพอช่วยทำให้อาจารย์ไม่ติดใจสงสัยอะไรหรอกนะ

“แน่นะจ้า?...จ้าอย่าปิดผมนะ”

“แน่ครับ...ไม่มีอะไรหรอกครับ เชื่อผมเถอะ” ผมยืนยันเป็นมั่นเหมาะ ทั้งที่ข้างในกำลังตระหนกถึงขีดสุด

“ถ้างั้นผมต้องขอโทษจ้าด้วย ที่เอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาทำให้จ้าต้องกังวลโดยใช่เหตุ...
.
...ผมอดกลัวและเป็นห่วงคุณไม่ได้น่ะ...
...ตั้งแต่การตายของมานะ มาถึงการที่คุณถูกจับไปทำร้าย... ผมบอกเลยว่า ผมไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น”

“อาจารย์กัลป์ไม่ต้องเป็นกังวลใจไปหรอกครับ เพราะคนที่ทำร้ายผม ไม่ใช่คนในมหาลัยเราแน่ๆ” ผมพยายามหว่านล้อมอย่างหนัก แม้จะคิดตรงข้ามกับคำพูดสุดขั้ว

“อย่ามั่นใจจนประมาทนะจ้า ผมเป็นห่วง” สายตาแน่วแน่ของอาจารย์กัลป์กระตุ้นให้สติและสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของผมตื่นตัว  ยังดี...ที่ผมพอจะรู้ตัวแล้วว่าครั้งนี้ ผมควรระมัดระวังใครเป็นพิเศษ

“ครับ ผมจะไม่ประมาท”

“ผมกลับก่อนแล้วกัน  คุณก็อย่านอนดึกล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นไปเรียนไม่ไหว” พูดจบ อาจารย์กัลป์ก็เดินหันหลังให้ผมทันที

“เอ่อ...อาจารย์กัลป์ครับ” ผมรั้งอาจารย์กัลป์เอาไว้ด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่ายไม่แพ้กัน

“ว่าไงเหรอจ้า?”

“ผมรบกวนอาจารย์เม็มเบอร์ผมเอาไว้หน่อยได้ไหมครับ... คือ...ถ้าอาจารย์จะไม่ลำบากเกินไป รบกวนอาจารย์มิสคอลเข้าเครื่องผมหลังจากที่อาจารย์กลับถึงบ้านแล้วได้ไหมครับ ผมจะได้สบายใจว่าอาจารย์กลับถึงบ้านแล้ว”

“หึ หึ หึ...ได้สิ นอกจากจะนิสัยดี รอบคอบแล้วยังประหยัดอีกด้วยนะเราเนี่ยะ”

“ฮะ ฮะ ฮะ...ก็นิดหน่อยแหละครับ”  

“งั้นคุณกดเบอร์คุณแล้วโทรออกเลยแล้วกัน เดี๋ยวผมค่อยกลับบ้านไปเม็มอีกที”


อาจารย์กัลป์เดินเข้ามาใกล้แล้วยื่นมือถือรุ่นแพงๆเครื่องใหม่มากๆมาให้ผม
ระยะที่อาจารย์ยืนอยู่นั้น ใกล้เสียจนผมได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆโชยออกมาจากร่างกายของอาจารย์
กลิ่นสดชื่น หอมอุ่นๆเหมาะกับตัวตนของอาจารย์เหลือเกินกลิ่นนั้น ตรึงให้ผมยืนนิ่งไม่ถอยหนีไปไหน
ระหว่างกดเบอร์ตัวเองลงบนหน้าจอโทรศัพท์ของอาจารย์ ผมต้องข่มใจไม่ให้เสียมารยาทด้วยการเผลอดมกลิ่นประจำตัวอาจารย์กัลป์อย่างประเจิดประเจ้อจนน่าเกลียด


 “อาจารย์กลับบ้านดีๆนะครับ” ผมก้มหน้างุดพลางส่งมือถือคืนให้อาจารย์กัลป์

“ไม่ต้องห่วง...มือชั้นนี้แล้ว...
.
...ราตรีสวัสดิ์นะจ้า พรุ่งนี้เจอกัน”

“ราตรีสวัสดิ์ครับอาจารย์กัลป์...พรุ่งนี้เจอกันครับ”


กระทั่งตอนนี้ ผมก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบสายตากับอีกฝ่าย...
ผมกลัว กลัวว่าตัวเองจะเผลอทำหน้าตาประหลาดๆให้อาจารย์ต้องพลอยตกใจไปด้วย
ช่วยไม่ได้จริงๆ หากภาพสุดท้ายของผมที่อาจารย์กัลป์เห็นคืนนี้ เป็นผมที่ยืนก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย


------------------------------------------------------------------------------------



คืนนั้น...หลังจากรับโทรศัพท์รายงานตัวของพี่รักษ์เสร็จ
จ้าก็ได้รับข้อความจากอาจารย์กัลป์ยืนยันสวัสดิภาพของตัวเอง

ข้อความสั้นๆของอาจารย์กัลป์ทำให้ชายหนุ่มหลุดยิ้ม
มันทำให้เขานึกย้อนไปถึงบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องสัพเพเหระที่เขาและอาจารย์หนุ่มพูดคุยกันเสียยืดยาว
ซึ่งเรื่องราวส่วนใหญ่ ล้วนแล้วแต่มีหรั่งเป็นจุดศูนย์กลางที่โยงใยทุกๆเรื่องเอาไว้ด้วยกัน

ความอบอุ่นซึ่งเกิดจากการพูดคุยแลกเปลี่ยนสิ่งที่จ้าไม่เคยได้รับฟังเกี่ยวกับหรั่งจากมุมมองของกัลป์
ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจขึ้นมาก
นั่นจึงไม่แปลก หากเขาจะเผลอเรอหลงลืมเรื่องน่าวิตกที่สุดบางอย่างที่เพิ่งได้รับการยืนยันจากผู้เห็นเหตุการณ์จากอีกมุมมองอย่างกัลป์ไปเสียสิ้น


ทว่า...อย่างที่ใครๆมักพูดกัน
ความสุขมักจะอยู่กับคนเราได้ไม่นาน


เพราะทันทีที่ชายหนุ่มผละไปเช็ดผม หลังจากลัดคิวมาอ่านข้อความของกัลป์ที่เพิ่งส่งเข้าเครื่องเพียงครู่เดียว 
ก็มีเสียงเรียกเข้าที่เจ้าตัวคุ้นเคย หากไม่คาดฝันเนื่องจากห่างหายไปจากโสตประสาทนานร่วมเดือน ดังแผดออกจากลำโพงของโทรศัพท์มือถือที่เจ้าตัววางคว่ำหน้าทิ้งไว้บนฟูกนอน...


ได้แต่ฝากความคิดของฉันเอาไว้
เผื่อวันไหนเธอผ่านมา
เห็นที่เดียวกันนี้
เธอจะนึกขึ้นได้ว่า
เคยมีคนนึงยืนข้างเธอ
อยู่ตรงนี้เสมอ...ตลอดมา



ชายหนุ่มจดจำเสียงเรียกเข้านี้ได้เป็นอย่างดี...
มันเป็นท่อนสร้อยของเพลงๆหนึ่งที่พี่ชายผู้ล่วงลับโปรดปราน...
ผู้ตายถือวิสาสะตั้งเพลงนี้ไว้เพื่อเป็นเสียงเรียกเข้าสำหรับหมายเลขของตนโดยเฉพาะ...

แต่เบอร์ของคนตายจะโทรออกมาหาเขาได้อย่างไร?...
ในเมื่อ...เจ้าของเครื่องไม่มีลมหายใจอยู่บนโลกนี้อีกตอ่ไปแล้ว!!!



ให้เธอสัมผัสความคิดที่ฉันทิ้งไว้
อาจไม่เห็นได้ด้วยตา
ฉันจะฝากเอาไว้
อยู่ในพื้นดินและท้องฟ้า
มันเป็นความคิดที่กระซิบว่า...
ฉันยังรักเธอ


จ้ารุดไปที่ฟูกแล้วคว้ามือถือขึ้นมา...
เมื่อชื่อของคนที่โทรมาไม่ผิดไปจากที่คาดการณ์ไว้
มือผอมบางของชายหนุ่มก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงมากพอจะประคองอุปกรณ์สื่อสารเครื่องกะทัดรัดเอาไว้ได้อีกต่อไป...
เขาได้แต่ปล่อยให้ชื่อของคนตายโชว์หราตรงหน้าจอ คลอด้วยเสียงเพลงที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุดในยามนี้


Incoming Call:
พี่หรั่ง



ได้แต่ฝากความคิดของฉันเอาไว้
เผื่อวันไหนเธอผ่านมา
เห็นที่เดียวกันนี้
เธอจะนึกขึ้นได้ว่า
เคยมีคนนึงยืนข้างเธอ
อยู่ตรงนี้เสมอ...ตลอดมา


จ้าคู้ตัวลงกับฟูกบางๆฝังโดยฝังหน้าลงกับหมอนเก่าๆของเขา
ก่อนจะส่งเสียงร้องราวกับสัตว์บาดเจ็บ

“อืออออออ....อือออออออออออออออออออ..........อือออออออออออออออ............”



ให้เธอสัมผัสความคิดที่ฉันทิ้งไว้
อาจไม่เห็นได้ด้วยตา
ฉันจะฝากเอาไว้
อยู่ในพื้นดินและท้องฟ้า



“...........อืออออออ.............อือออออออออออ.......อืออออออออออออออ................”


ชายหนุ่มปล่อยตัวเองให้โยกไปมา
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การกระทำเช่นนั้น เป็นไปด้วยเหตุผลกลใด...

รู้แต่เพียงว่า เมื่อทำแบบนี้แล้ว...
ความหวาดหวั่น ความเสียใจ และหลากอารมณ์รุนแรงทั้งหลายที่ปะทุอยู่ภายใน ค่อยๆบรรเทาเบาบางลง


กระนั้น สติที่ยังพอเหลืออยู่
ทำให้เขายังพอสดับความหมายของเนื้อเพลงที่ดังแว่วได้อย่างไม่ตกหล่น



มันเป็นความคิดที่กระซิบว่า...
ฉันยังรักเธอ


อ๊ากกกกกกกกกกก!!!!!!!


ชายหนุ่มฝังหน้าลงกับหมอน ก่อนจะแผดเสียงร้องสุดคอหอยเพราะประโยคสุดท้ายของเนื้อเพลงท่อนนั้น...
ได้ทำร้ายหัวใจของเขาให้เจ็บปวดเหลือกำลัง




------------------------------------------------------------------------------------



ขอบคุณเนื้อเพลง:

ที่มา: http://radio.sanook.com



------------------------------------------- TBC -----------------------------------------



No comments:

Post a Comment