และแล้ววันศุกร์ก็มาถึงอีกครั้ง...
ตอนนี้เหมือนชีวิตจ้าจะดีขึ้น
เพราะได้กลับไปเรียน และเจอคนดีๆมากมาย...
น้องจ้าเลยเบาๆ
ใสๆและเริ่มยิ้มได้เหมือนเดิม (จริงเร้อออออ?)
ฝากน้องจ้าด้วยนะคะ ^^
◘------------------------------------------------------------------------------------◘
#05
แม้จะห่อเหี่ยว
แต่ผมยังสามารถบังคับให้สองขาก้าวเดินออกจากซอยมุ่งหน้าไปยังป้ายรถเมล์ได้เหมือนทุกที
ต่อให้เป็นวันดี
หรือแย่กว่านี้...หากร่างกายยังไหว ก็ไม่มีอะไรทำให้ผมไม่อยากไปเรียน
ระหว่างเดิน...ผมหมั่นเตือนตัวเองให้ย้ายฝ่ามือไปกำรอบสายกระเป๋าสะพายอยู่หลายครั้ง
จะได้ไม่ต้องพะวงลูบต้นขากางเกงสแล็คที่สวมใส่อยู่ร่ำไป
ความระลึกรู้ว่าตนเองมีเงินติดตัวเพียงแปดสิบบาท...
ทำให้ผมหวงแหนแผ่นกระดาษพับครึ่งเพียงไม่กี่ใบในกระเป๋ากางเกงยิ่งกว่าเมื่อตอนที่มีเงินเยอะกว่านี้เสียอีก
ก่อนจะเดินออกสู่ถนนใหญ่
สายตาคมปลาบของใครคนหนึ่งซึ่งจับจ้องมาที่ผมโดยไม่เบี่ยงไปไหน
สามารถเรียกความสนใจจากผมได้เป็นอย่างดี
เมื่อสายตาของเราประสานกัน
ฝ่ายนั้นก็เดินข้ามถนนมาหาผมด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าไม่ต่างไปจากทุกครั้งที่เจอ
“เซอร์ไพรส์!!”
“พี่รักษ์มาทำอะไรแถวนี้แต่เช้าเหรอครับ?”
ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆ
“พอดีพี่เพิ่งออกเวรน่ะ
เลยแวะมารอจ้า กะว่าจะพาเด็กไปส่งโรงเรียนเสียหน่อย... จ้ากินอะไรรึยังครับ?”
ใจคอเขาจะตามเฝ้าผมไปทุกที่เลยหรืออย่างไร?
ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ...
ผมนี่แหละ จะอึดอัดใจตายไปเสียก่อน
“พี่รักษ์ พี่รักษ์ไม่เห็นต้องลำบากมารับมาส่งจ้าแบบนี้เลยครับ
จ้านั่งรถเมล์ไปเรียนเองได้” ผมพยายามหาทางปฏิเสธอย่างสุภาพ
ในใจได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะยอมเข้าใจแต่โดยดี
“ให้พี่ทำเถอะนะจ้า
พี่เต็มใจ...
.
...อีกอย่างช่วงนี้พี่น่าจะติดงานตอนเย็น
คงไปรับจ้าอย่างที่ตกลงไว้ไม่ได้...
...ขอพี่ย้ายโควต้ามาเป็นส่งจ้าไปเรียนตอนเช้าแทนไปพลางๆก็แล้วกันนะครับ”
พี่รักษ์ทอดเสียงเหมือนกำลังอ้อน ซึ่งไม่ได้ผลกับผมแน่
“แต่แถวๆมหาวิทยาลัยจ้ารถติด
พี่รักษ์จะหงุดหงิดเอาเปล่าๆนะครับ” ในเมื่อเขายังไม่ยอมเข้าใจ ผมก็จะไม่ละความพยายามง่ายๆเช่นกัน
“ไม่หรอกครับ
มีจ้านั่งเป็นเพื่อนพี่อยู่ทั้งคน...พี่ว่าพี่จะดีใจเสียด้วยซ้ำนะ...
.
...เอาเป็นว่า
จ้าเข้าไปเถียงพี่ต่อในรถดีไหม...จะได้ถึงที่หมายของเราเร็วขึ้นยังไงล่ะครับ”
คนพูดไม่ได้รอให้ผมปฏิเสธ
มือข้างหนึ่งของเขาเอื้อมมากระตุกสายกระเป๋าลงจากไหล่ผมเอาไปถือไว้
ก่อนเดินลิ่วๆทิ้งห่าง
บังคับให้ผมต้องเดินตามกระเป๋าไปขึ้นรถ
ผมต้องไม่ลืมว่า
กับคนๆนี้... การให้เหตุผลอาจไม่ใช่เครื่องมือต่อรองที่ดีนัก
ระหว่างทาง
พี่รักษ์ปล่อยให้ผมอยู่ในโลกส่วนตัวอย่างที่ปรารถนา
นั่นจึงทำให้การรบเร้าขอเดินมาส่งที่คณะแถมด้วยการกินข้าวเช้าด้วยกันของเขา
ไม่ทำให้ผมลำบากใจนัก
“จ้าจะกินอะไรครับ
เดี๋ยวพี่ไปซื้อมาให้” เขาถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือล้น
ผมควรดีใจไม่ใช่หรือ
เมื่อมีใครสักคนยินดีบริการน้ำท่าและอาหารอยู่แบบนี้
แต่ไม่เลย...
ผมไม่ชอบการตกเป็นเป้าสายตา
ขนาดเขาไม่ได้แต่งเครื่องแบบเต็มยศเหมือนเมื่อวานเย็น
สายตาของนิสิตหลายคนยังพุ่งเป้ามาที่เขากับผมไม่ขาด
หากปล่อยให้เขาเดินไปโน่นมานี่สุ่มสี่สุ่มห้า...คนอื่นจะครหาผมไปถึงไหนต่อไหนก็ไม่รู้
“พี่รักษ์นั่งนี่เถอะครับ
เดี๋ยวจ้าไปซื้อข้าวมาให้เอง...พี่รักษ์กินเหมือนจ้าได้ใช่ไหมครับ?”
“ครับผม!” ทำท่าตะเบ๊ะกับรอยยิ้มกว้างของพี่รักษ์ยังทำให้ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนได้ไม่ถึงครึ่งของประโยคถัดมา
“เดี๋ยวก่อนจ้า...เอาเงินนี่ไปซื้อข้าวครับ...
.
.
...พี่ทำงานแล้ว...จะให้จ้าเลี้ยงพี่ได้ยังไง...
...ถ้าใครรู้ พี่อายเขาตายเลยน้า”
เขาพยายามยัดธนบัตรสีเทาใส่มือ
จริงอยู่...แบงค์สีเขียวสี่ใบในกระเป๋ากางเกงผมไม่ใช่เงินมาก
และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อีกฝ่ายออกหน้าดูแลค่ากิน
และค่าใช้จ่ายโน่นนี่ให้
แต่การรับเงินสดๆจากพี่รักษ์โดยที่ผมไม่ได้เป็นญาติพี่น้องของอีกฝ่าย
ก็ทำให้ผมรู้สึกกระดากได้ไม่น้อย
นี่ผมตกต่ำขนาดต้องรับเงินสดจากคนที่รู้จักกันเพียงไม่นานเพื่อไปแลกอาหารกินแล้วหรือ?
“...เอ่อ...”
“รับไปเถอะครับ
ถ้าจ้าไม่รับ...พี่จะเดินไปซื้อกับข้าวทุกอย่างของทุกร้านจนกว่างเงินนี่จะหมดดีไหมครับ?”
ท่าทางเหมือนพูดเล่น แต่สายตาเอาจริงบอกกับผมว่า การบ่ายเบี่ยงรังแต่จะเรียกสายตาคนอื่นเสียมากกว่า
“ครับ...ได้ครับ”
ผมจำต้องรับเงินของพี่รักษ์มาอย่างเสียไม่ได้
“ป้าครับ
เอาก๋วยจั๊บทุกอย่างไม่ตับสองชามครับ”
อาหารร้านนี้ไม่ได้อร่อยเด็ดถึงใจขนาดต้องแนะนำให้ใครต่อใครกิน
จริงๆแล้ว
ค่อนข้างจะมีลูกค้าบางตาเสียด้วยซ้ำ... ทว่านั่นคือข้อดี
เพราะผมอยากให้มื้อนี้สิ้นสุดโดยเร็ว
อีกฝ่ายจะได้หมดข้ออ้างขอนั่งแช่...
ส่วนผม ก็จะได้เริ่มลงมือทำรายงานชดเชยเวลาเรียนที่ขาดไปโดยไม่มีเรื่องกวนใจเสียที
จังหวะที่ผมเอื้อมมือไปรับถ้วยก๋วยจั๊บจากแม่ค้า
ความรู้สึกระวังภัยของผมก็ส่งสัญญาณเตือนอีกครั้ง
ไม่ผิดแน่ ใครบางคนกำลังจับจ้องผมอยู่...
สายตาคู่นั้น
ไม่ได้เจิดจ้า หรือชวนให้รู้สึกปลอดภัยเหมือนเวลาพี่รักษ์มองมา
หากแต่พลังจากสายตาคู่นั้น
ทำให้ผมรู้สึกหนักๆในอก คล้ายกับโดนหินก้อนใหญ่กดทับเข้าที่หัวใจจนหายใจไม่ออก
เมื่อเหลียวมองไปรอบๆ
ถ้าไม่นับพี่รักษ์ ผมก็ไม่เห็นใครส่งสายตากำมองมาทางผมแม้สักคน...
แต่จังหวะที่ผมเปลี่ยนใจตวัดสายตาก้มลงมามองชามทั้งสองในมือ
หางตาผมกลับเหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังมองมายังที่ๆผมยืนอยู่จริงๆ...
...นิสิตคนนั้นเป็นใคร?
เขาเรียนอยู่คณะผมหรือเปล่า?
...หรือเมื่อกี๊เป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้น?
เพื่อให้แน่ใจ
ผมจึงเงยหน้าด้วยความตั้งใจแล้วหันไปมองหน้าผู้ชายคนนั้นชัดๆอีกครั้ง
นิสิตชายหน้าตาไม่คุ้นคนนั้นจ้องผมกลับนิ่งๆด้วยแววตาที่ผมตีความไม่ออก...
...เขามองผมจริงๆด้วย!!
...เขาจะมองผมทำไม?
...เขาเป็นใคร?
น่ากลัว!!!
ทำไมเขาต้องมองผมแบบนั้น?
หรือเขาจะใช่ ‘มัน’ จริงๆ?
ความกลัวทำให้ผมตัดสินใจหลบตาอีกฝ่าย
แล้วก้มหน้าถือชามก๋วยจั๊บจ้ำอ้าวกลับมาที่โต๊ะโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองชายคนนั้นอีกเลย
“จ้า...มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ปละ
เปล่าครับ...พี่รักษ์ถามทำไมเหรอ?” ผมเลื่อนเงินทอนทั้งหมดส่งข้ามโต๊ะไปให้อีกฝ่ายโดยไม่ตกหล่นแม้แต่บาทเดียว
แต่พี่รักษ์กลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับเงินหลายร้อยนั้นมากนัก
“ก็พี่เห็นจ้าหน้าซีดๆ
ร้อนเหรอครับ? ไม่สบายหรือเปล่า?” พี่รักษ์ยื่นหลังมือมาใกล้ๆหน้าผมโดยไม่บอกกล่าว
นั่นจึงทำให้ผมผงะไปข้างหลังทันที... สีหน้าของอีกฝ่ายดูหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
ไม่รู้อีกนานเท่าไร
ร่างกายผมจะไม่แสดงท่าทางเข็ดขยาดยามต้องอยู่ใกล้กับคนอื่น
ผมไม่ต้องการอธิบายให้ใครต่อใครฟังว่า
ผมไม่ได้รังเกียจการอยู่ร่วมกับพวกเขา...
การสัมผัส
หรือการถูกเนื้อต้องตัวต่างหาก คือสิ่งที่ผมกลัว และไม่ต้องการให้เกิดขึ้น...หากไม่จำเป็น
“เปล่าครับ
พี่รักษ์รีบกินเถอะ ก๋วยจั๊บเย็นหมดแล้ว”
“อย่าบอกพี่นะว่า
ที่เร่งให้พี่รีบกิน เพราะจ้าอยากให้พี่ไปให้พ้นๆหน้าเร็วๆ”
คำพูดทีเล่นทีจริงของอีกฝ่ายทำให้ผมไม่อาจเข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อได้ดีนัก...
หรือพี่รักษ์จะรู้ว่าผมไม่อยากให้พี่รักษ์อยู่ใกล้ๆ?
แล้วทำไมเขาถึงคอยมาป้วนเปี้ยนไม่ห่างทั้งที่ผมไม่ได้ร้องขอด้วยล่ะ?
“อย่าคิดมากสิ
เมื่อกี๊พี่แค่ล้อเล่นเองครับ...
...พี่อยากเห็นจ้ายิ้ม
ต่อว่าพี่ หรือทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ทำหน้าเหมือนกำลังกลัวบางอย่างอยู่แบบนี้น่ะ...
...จ้าไม่โกรธพี่นะครับ”
พี่รักษ์ดูออก?
นี่ผมกลัวสายตาของชายแปลกหน้าคนนั้นจนผมเผลอแสดงมันออกมาอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้เชียวหรือ?!!
“จ้าไม่โกรธพี่รักษ์หรอกครับ...
...แต่เมื่อกี๊
หน้าจ้าบอกพี่รักษ์ว่าจ้ากำลังกลัวเหรอครับ?” ผมถามออกไปตรงๆ
เพราะอยากฟังให้ชัดๆอีกครั้ง
“ใช่ครับ...
...จ้าทำหน้าเหมือนถูกใครข่มขู่
หรือโดนหาเรื่องมาอย่างนั้นแหละ พี่เลยอดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ยังไงล่ะ”
.
.
.
.
.
“...คือ...จ้าแค่ยังไม่ชินกับสายตาของคนอื่นน่ะครับ”
ผมเลือกจะโกหกอีกครั้ง... หรือจริงๆ ผมกำลังคิดแบบนั้นอยู่นะ?
“อืม
ใจเย็นๆนะจ้า เรื่องนี้มันต้องใช้เวลา...
...ส่วนเรื่องความปลอดภัย
พี่รับรองให้ได้
ถ้าจ้าอยู่กับพี่...ไม่มีวันที่ใครจะทำร้ายจ้าได้อีกแน่ๆ” พี่รักษ์ยืนยันหนักแน่น
แต่นั่นกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนต้องเอาตัวเองไปผูกไว้กับอีกฝ่ายจวบจนวันสุดท้ายของชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
“ขอบคุณครับ...แต่พี่รักษ์ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้
จ้าเป็นผู้ชาย...จ้าดูแลตัวเองได้ครับ พี่รักษ์ไม่ต้องเป็นห่วง”
“มีพี่คอยดูแลเพิ่มมาอีกคน
จ้าจะได้ยิ่งอุ่นใจไง...นะ ขอให้พี่ได้ดูแลจ้าเถอะนะครับ”
สายตาและคำพูดจริงจังของพี่รักษ์
ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ
คนๆนี้เข้ามาทำดีกับผมเสียมากมาย...
โดยไม่ได้รับอะไรตอบแทนเป็นชิ้นเป็นอัน
มันเป็นการกระทำที่ไม่หวังผล
ไม่มีอะไรแอบแฝงอย่างที่เขาคอยบอกผมอยู่เสมอจริงๆน่ะหรือ?
“พี่รักษ์ครับ”
“มีอะไรเหรอจ้า?”
“พี่รักษ์ช่วยเหลือทุกคนไปทั่วอย่างนี้เสมอเลยเหรอครับ?”
“ใช่ครับ...ก็พี่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์นี่ครับ
พี่ก็ต้องบริบาลประชาชน หรือคนที่ได้รับความทุกข์ยากเป็นธรรมดาอยู่แล้ว”
อย่างนั้นเองน่ะเหรอ?
น่าดีใจแทนประเทศเรานะ
ที่ยังมีตำรวจดีๆหลงเหลืออยู่บ้าง...
นี่ไม่ใช่แค่คำโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้ผมหลงลมไปด้วยจริงๆใช่ไหม?
“แล้วพี่รักษ์จะได้อะไรตอบแทนล่ะครับ?”
“ความสุขยังไงล่ะจ้า...
การช่วยเหลือคนอื่นให้พ้นทุกข์ได้น่ะ ทำให้พี่รู้สึกมีความสุขมากเลยนะ”
สายตาของพี่รักษ์ตอนที่ตอบผมดูเปล่งประกายเจิดจ้า
และเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างที่สุด
แต่มันกลับเป็นสายตาที่ทำให้ผมไม่ชอบใจเลย
พี่หรั่งครับ...
จ้าอิจฉาพี่รักษ์เหลือเกินที่ยิ้มกว้าง
และมีความสุขได้แบบนั้น
ที่ผ่านมา...
เราสองคนเคยสัมผัสความสุขได้มากขนาดคนๆนี้บ้างไหมครับ?
ไม่จริงหรอกจ้า...
เขาไม่มีทางมีความสุขได้ด้วยการเห็นคนอื่นได้ดี
หรือมีความสุขแน่ๆ
คนเรา
ถ้าไม่ได้สิ่งตอบแทน ถ้าไม่มีของแลกเปลี่ยน...
เราจะทำเพื่อคนอื่นที่เราแทบไม่รู้จักโดยไม่มีเงื่อนไขได้มากขนาดที่เขาทำให้จ้าเลยเชียวหรือ?
ถ้าอย่างนั้น พี่รักษ์จะมีเวลามาคอยดูแลจ้าแบบเช้าถึงเย็นถึงอย่างนี้ทุกวันหรือ?
ไม่ใช่หรอกจ้า...
ความสุขไม่ใช่สิ่งเดียวที่พี่รักษ์ต้องการหรอกจ้า
ความสุขไม่ใช่สิ่งเดียวที่พี่รักษ์ต้องการหรอกจ้า
เขาต้องการอย่างอื่น...
อย่างอื่นที่จ้าเคยเสียไปแล้ว
เขาต้องการสิ่งนั้น
เหมือนกับที่ ‘มัน’
ต้องการ
ไม่เชื่อใช่ไหม?
ถามเขาสิ...
ถามเลย
ถามสิว่า เขาไม่หวังอะไรจากจ้าจริงหรือเปล่า?
จ้าจะได้รู้ยังไงล่ะ
ว่าจะเชื่อใจเขาได้จริงๆไหม...
จ้าจะได้เข้าใจอย่างไรล่ะว่าเขา...ไม่ใช่
‘มัน’
“กับจ้า...พี่รักษ์ก็ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนเหมือนตอนที่ช่วยคนอื่นใช่ไหมครับ?”
ผมโพล่งถามพี่รักษ์ออกไป แต่สายตาหลุกหลิก
และท่าทางร้อนรนนั่งไม่ติดของพี่รักษ์ กลับบอกอะไรผมได้หลายอย่าง
“.....เอ่อ...
.
...อ๊ะ!
จ้าบอกพี่ว่ามีเรียนตอนเก้าโมงเช้าใช่ไหมครับ?...
...เหลือเวลาอีกแค่สิบนาที...จ้ารีบไปเตรียมตัวก่อนเข้าเรียนเถอะครับ
เดี๋ยวสายนะ”
ขนาดยังไม่เชื่อใจพี่รักษ์เต็มร้อย
ผมยังแปลกใจกับคำพูดเฉไฉและการเปลี่ยนเรื่องของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย
ตลอดเวลาที่ผมเจอพี่รักษ์
แม้มันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ... แต่ไม่เคยสักครั้ง
ที่เขาจะเลี่ยงหลบหัวข้อสนทนาอย่างเมื่อครู่เลยนี่นา
นั่นปะไร!!
เขาต้องหวังอะไรจากจ้าแน่ๆ
คนๆนี้ไว้ใจไม่ได้หรอกนะจ้า...
จ้าต้องระวังตัวเอาไว้ให้มากๆ
“ก็ได้ครับ...งั้นจ้าไปเรียนก่อนนะครับ
สวัสดีครับพี่รักษ์” ผมไม่ต่อความยาวสาวความยืดให้ต้องเหนื่อยกันทั้งสองฝ่าย
“จ้า...เดี๋ยวคืนนี้พี่โทรหานะ...
.
...อ้อ!
แล้วก็
ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับจ้า...จ้ารีบโทรหาพี่ทันทีเลยนะครับ
ไม่ต้องเกรงใจ”
“ครับ
ครับ...จ้าไปนะครับ” ผมปลีกตัวออกมาทันที ไม่อยากให้พี่รักษ์จับได้ว่า การกระทำของเขาเมื่อสักครู่
ก่อให้เกิดความรู้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างไรบอกไม่ถูก
ผมรีบเดินเสียจนเผลอสะดุดล้ม
ทว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่เหม่อเสียจนป้ำๆเป๋อๆ...
เพราะรายนั้นดูจะหนักกว่า
เนื่องจากเป็นการเดินชนกันของคนสองคน
ขณะที่ผมกำลังเก็บของส่วนตัวที่หล่นกระจาย
ผมเหลือบไปเห็นพี่ผู้หญิงคณะผม
ยื่นเสื้อช็อปสีเลือดหมูให้ผู้ชายคู่กรณี
เสื้อช็อปสีเลือดหมู?!!
เด็กวิศวะฯ????
แล้วเด็กวิศวะฯมาทำอะไรที่คณะครุฯตั้งแต่ก่อนเก้าโมง?
ผมชะงักการกระทำทุกอย่างเพื่อแอบมองใบหน้าของเด็กวิศวะฯคนนั้น
แต่เขากลับเดินหายไปทันทีที่ได้เสื้อช็อปคืน...
เขาเป็นใคร?
.
.
.
...เจ้าของรถมอเตอร์ไซค์คันเมื่อวาน
ก็ใส่เสื้อช็อปสีเลือดหมูเหมือนกัน...
...หรือว่าคนเมื่อกี๊
คือคนๆเดียวกันกับเจ้าของรถที่สะกดรอยตามผมคนนั้น???!!
“เฮ่อ...เหลืออยู่แค่สองร้อยสี่สิบ...
.
...จะอยู่ได้อีกกี่วันกัน?”
ผมนับเงินสดในกระเป๋าสตางค์อีกครั้งหลังจากจ่ายค่าชีท
ค่าทำรายงานกลุ่ม และค่าใช้จ่ายจิปาถะไปเมื่อกลางวัน
ตอนนี้...บัตรเอทีเอ็มของผม
ไม่ต่างอะไรกับเศษพลาสติกรูปสี่เหลี่ยมไร้ค่า
อาการหวาดระแวงจากเรื่องเมื่อเช้า
บวกกับชั่วโมงอันยาวนานของการไล่ตามทำรายงานและเก็บเลคเชอร์
ทำให้ผมเลือกฝังตัวอยู่ที่ห้องสมุดโดยไม่แตะต้องอาหารมื้อเที่ยง...
กลัวจนไม่อยากเฉียดไปใกล้โรงอาหาร
อีกทั้งไม่ต้องการเสียเงินเพิ่ม แม้จะแค่สิบยี่สิบบาทก็เถอะ
เวลาบ่ายสามโมง
กับเสียงท้องร้องโครกครากบอกกับผมว่าเลยเวลากินมานานเหลือเกิน
ตอนนี้ผมไม่มีเรียนแล้ว
แต่ผมไม่รู้สึกอยากกลับบ้าน หรือกลับไปหางานเลย...
เพราะถ้ากลับไปเดินหางานตั้งแต่ตอนนี้
แล้วเกิดโชคไม่ดี...ไม่มีหวัง ผมก็ต้องกลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน
หากต้องกลับบ้านจริงๆ
ถ้าวันนี้ลุงจอมกลับมาเอาเงิน แต่ผมไม่มีจะให้...ผมต้องได้ตัวลายซมซานมาเรียนวันพรุ่งนี้แน่ๆ
“จ้า...นั่นจ้าใช่ไหม?”
เสียงทุ้มๆคุ้นหูร้องเรียกผมจากด้านหลัง
ใครกัน...
มีคนรู้จักผมด้วยหรือ?!
ปกติเวลาอยู่ในมหาวิทยาลัย
ไม่ค่อยมีใครเรียกผมสักเท่าไร
เพราะนอกจากพี่หรั่งแล้ว
ผมก็ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่สุงสิงกับใคร และไม่ทำกิจกรรมใดๆกับคณะเพราะข้อจำกัดเรื่องที่ต้องทำงานหาเงินเรียน
“ครับ?”
เมื่อผมหันไป ก็เจอเข้ากับอาจารย์กัลป์ที่กำลังเดินเข้ามาหาผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ใช่จริงๆด้วย!! จะว่าไป
เด็กผู้ชายตัวเล็กๆแบบคุณนี่ก็จำง่ายดีเหมือนกันนะ”
อาจารย์กัลป์ฉีกยิ้มกว้างไปกันใหญ่เมื่อรู้ว่าทักไม่ผิดตัว
เมื่อวานที่เจอกัน...
ผมไม่ทันสังเกตว่าอาจารย์ดูดีขนาดนี้
พออาจารย์ยิ้มที...นิสิตสาวๆที่เดินผ่านไปมาถึงกับมองตามกันเหลียวหลัง
“สวัสดีครับอาจารย์กัลป์
อาจารย์มาทำอะไรที่หอสมุดเหรอครับ?”
“ผมมาค้นคว้าผลงานวิจัยเก่าๆของอาจารย์ท่านก่อนๆน่ะ แล้วคุณล่ะ
มานั่งทำอะไรแถวนี้?...ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ? หรือว่ารอเรียน?” คำถามของอาจารย์กัลป์ยังคงพรั่งพรูไม่ต่างจากเมื่อวาน
“ผมเลิกเรียนแล้วครับอาจารย์
กำลังจะกลับบ้านพอดี” ผมโกหก...การยืนคุยกับอาจารย์กัลป์หน้าสถานที่ๆมีคนพลุกพล่านแบบนี้
ทำให้ผมหายใจไม่ได้ทั่วท้องนัก... คนชักจะมองผมกับอาจารย์เยอะไปแล้ว
“เหรอ...ผมก็ไม่มีสอนแล้วเหมือนกัน...
.
...ถ้างั้น...เราไปกินข้าวด้วยกันไหม?...
...ดูซิเนี่ย...ตั้งแต่กลางวันมาผมยังไม่ได้กินอะไรเลย
หิวชะมัด”
“เอ่อ...ไม่รบกวนดีกว่าครับ
เชิญอาจารย์ตามสบายเถอะครับ” คำปฏิเสธของผมแทบจะไม่มีค่าอะไรหลังจากเสียงท้องร้องฉีกหน้าผมขาดเป็นริ้วๆ
“หึ หึ
หึ...ผมว่าคุณไปกับผมเถอะ ไม่ต้องเกรงใจหรอก...
.
...ตัวแค่นี้
จะกินได้สักกี่มากน้อย...
...ต่อให้มีคุณสิบคนมารุมกินโต๊ะผม
ขนหน้าแข้งผมยังไม่ร่วงเลยมั้ง...
...ไป!
กินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อย
กินกันหลายๆคน อร่อยกว่ากินคนเดียวเยอะเลยนะ”
“ก..ก็ได้ครับ”
พอคนชวนเป็นอาจารย์กัลป์...ผมกลับไม่คิดอิดออด
อาจเป็นเพราะคนๆนี้
คือคนเพียงคนเดียวในโลกที่รู้จักพี่หรั่งในอีกมุมหนึ่งที่ผมไม่เคยสัมผัส
ในเมื่อไม่อาจเจอหน้าพี่หรั่งได้อีกต่อไป
ขอแค่ได้ยินเรื่องราวของพี่ชายสุดที่รักบ้างเป็นครั้งคราวก็ยังดี
“คุณกินข้าวโรงอาหารได้ไหม?
ผมยังต้องทำงานต่ออีกนิดหน่อย...ออกไปกินข้างนอกคงไม่ค่อยสะดวกเท่าไร” อาจารย์กัลป์ถามผมทันทีที่เราสองคนเดินมาถึงโรงอาหารใต้ตึกคณะวิทยาศาสตร์...
คณะของพี่หรั่ง
“ได้ครับอาจารย์”
“คุณจะกินอะไรล่ะ?”
“อาจารย์กัลป์จะกินอะไร
บอกผมมาก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเดินไปซื้อให้”
“อืม...เอาเป็นข้าวซอยก็ได้”
อาจารย์กัลป์ที่กำลังหย่อนตัวลงนั่งบนม้ายาวขณะล้วงบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกงชะงักนิดหนึ่ง
หากผมไม่ได้สังเกตใบหน้าของอาจารย์อยู่
ผมคงไม่ทันเห็นสายตาแปลกๆของอาจารย์เมื่อครู่แน่ๆ
มันต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้น
ไม่อย่างนั้นอาจารย์กัลป์คงไม่หยัดตัวลุกขึ้นแล้วทำท่าเหมือนจะไปซื้อข้าวทั้งๆที่ผมขันอาสาขอทำหน้าที่บริการให้อาจารย์ไปหมาดๆ
“เอ่อ
เดี๋ยวจ้า...
.
..ผมเปลี่ยนใจแล้วล่ะ...
...คุณตามผมมาดีกว่า
เดี๋ยวผมแนะนำร้านอร่อยประจำโรงอาหารคณะวิทยาฯให้คุณรู้จักเลยแล้วกัน
เผื่อว่าคราวหน้าคุณมากินข้าวที่นี่ คุณจะได้รู้ว่าต้องสั่งอะไร”
รอยยิ้มสดใสของอาจารย์กัลป์ทำให้ผมไม่ติดใจกับสีหน้าท่าทางผิดปกติของอาจารย์เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนอีกต่อไป
“ครับๆ”
“เออ
นี่จ้า...หลังเลิกเรียนคุณพอมีเวลาไหม?” อาจารย์ถามผมระหว่างที่นั่งกินอาหารกลางวันตอนเกือบสี่โมงเย็น
“ทำไมเหรอครับอาจารย์?”
“...คือ...ผมอยากขอแรงคุณสักหน่อยน่ะ”
พูดมาถึงตรงนี้ อาจารย์กัลป์ก็ดูอึกอักแปลกๆ...เพราะอะไรกัน?
“จะให้ผมช่วยอะไรเหรอครับอาจารย์?”
“ผมอยากให้คุณมาช่วยคัดแยก
แล้วก็จัดเอกสารในห้องทำงานให้ผม...
.
...คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ
ผมไม่ให้คุณทำเปล่าๆหรอก ผมมีค่าเสียเวลาให้คุณด้วย”
สีหน้าอาจารย์ตอนพูดเหมือนคนกำลังกึ่งกลั้นยิ้ม
กึ่งอับอายอย่างไรบอกไม่ถูก
แต่นั่นกลับไม่สำคัญเท่ากับการเสนองานพร้อมค่าตอบแทนให้
โดยที่ผมไม่ต้องออกไปวิ่งหาจนเหนื่อย แถมยังไม่ต้องกลัวว่าจะโดนไล่กลับบ้านมือเปล่า
ถึงอย่างนั้น...
คนอัธยาศัยดีแบบอาจารย์กัลป์
น่าจะหาคนช่วยจัดการเรื่องพวกนี้ให้ได้ไม่ยากนัก...ไม่ใช่หรือ?
“แล้วทำไมถึงต้องเป็นผมด้วยล่ะครับ...
...ผมว่า ถ้าอาจารย์กัลป์รับสมัครลูกศิษย์คนอื่นๆในคณะ
ก็น่าจะมีคนสนใจทำงานกับอาจารย์อยู่ไม่น้อยนะครับ”
“เป็นคุณน่ะดีแล้ว...
...คุณลองคิดดูนะ...
...ถ้าเป็นนิสิตในคณะมาช่วยผมจัดห้อง
แล้วผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เกิดมีใครรู้ว่าห้องทำงานของอาจารย์กัลป์รองหัวหน้าภาควิชารกอย่างกับรังหนู...
.
.
...แต่ถ้าเป็นคุณ...
...คุณไม่ได้เรียนกับผม
และถึงแม้คุณจะเอาเรื่องความรกของห้องทำงานผมไปเมาท์ลับหลัง ผมก็ไม่สะเทือนหรอก...
...เพราะคงไม่มีใครที่ครุฯเดือดร้อนกับการที่อาจารย์คณะวิทยาฯเป็นคนซกมกชั่วครั้งชั่วคราวแน่ๆ...
...ที่สำคัญ ผมว่าผมไว้ใจคุณได้
คุณคงไม่ไปขายความลับน่าอับอายของผมกับใครที่ไหน...ผมพูดถูกหรือเปล่าล่ะ?”
“ครับ” ผมถึงกับต้องหลบตาอาจารย์แล้วก้มมองพื้นเพื่อไม่ให้อาจารย์กัลป์รู้ว่าผมแอบยิ้มที่สุดท้ายก็ได้รู้ที่มาของท่าทางแปลกๆของอาจารย์เมื่อครู่...
ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ดูเพอร์เฟคแบบอาจารย์จะมีมุมแบบนี้กับเขาเหมือนกัน
“ถ้าคุณไม่สะดวกใจ
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ บอกปัดผมได้เลยนะ ผมเข้าใจ”
อาจารย์กัลป์ยิ้มให้
แต่ผมรู้สึกกลับรู้สึกว่ามันไม่สดใสเท่ากับยิ้มครั้งอื่นๆของอาจารย์...
สารภาพตามตรง
ผมอยากทำงานนี้นะ เพราะคงไม่เหนื่อยกาย ลำบากใจสักเท่าไร
อีกอย่าง
ดูท่าแล้ว...อาจารย์กัลป์น่าจะใจดี
และไม่เอาเปรียบผมเหมือนกับเจ้าของร้านหลายๆคนที่ผมเคยไปทำงานด้วย
แต่เพราะความพอเหมาะพอเจาะของช่วงเวลา
ทำให้ผมลังเล...
เพิ่งนึกถึงเรื่องงานอยู่เมื่อชั่วโมงก่อน...งานก็ร่อนมากองตรงหน้าทันที อะไรจะดีเกินจริงได้ขนาดนี้กัน?!
“ถ้าผมบอกว่าไม่สะดวก
อาจารย์กัลป์จะทำยังไงล่ะครับ?”
“ผมก็แค่ต้องอดทนรอจนกว่างานวิจัยชิ้นล่าสุดเสร็จซะก่อนแล้วผมค่อยเก็บกวาดทีเดียวน่ะสิ”
“อืมมมมม”
“ใจจริงผมอยากให้คุณมาช่วยงานนะ เพราะก่อนหน้านี้ มานะคือคนที่ช่วยจัดเอกสาร กับทำความสะอาดเล็กๆน้อยๆให้ผมน่ะ
เขาเป็นคนไว้ใจได้ และไม่ช่างเมาท์...ผมเลยได้ทีไหว้วานให้เขาช่วยอยู่เป็นประจำ”
พี่หรั่งเคยทำงานให้อาจารย์กัลป์ด้วยเหรอ?
งานนี้เนี่ยะนะ?
ทำไมพี่หรั่งไม่เคยบอกผมล่ะ?
หรือว่าเงินที่ได้จะไม่เยอะมาก
พี่หรั่งเลยไม่ได้คิดจะเล่าให้ฟัง...
เอาเถอะ...
แค่ได้รู้ว่า พี่หรั่งเคยทำงานนี้มาก่อน
ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะไม่ทำงานนี้ให้อาจารย์กัลป์แทนพี่หรั่งนี่นะ
“เอ่อ...ถ้าอาจารย์กัลป์ไม่รังเกียจ
ผมช่วยอาจารย์ก็ได้ครับ”
“ดี! ถ้างั้นคุณเริ่มงานวันนี้เลยได้ไหม?
ผมเองก็ชักจะทนห้องทำงานของตัวเองไม่ไหวแล้วล่ะ”
“ฮะ ฮะ ฮะ...ได้ครับอาจารย์”
“เดี๋ยวพอกินเสร็จแล้ว
คุณก็ไปกับผมเลยแล้วกันนะ”
“ครับ”
“ผมขอเตือนก่อนเลยนะว่า
ห้องทำงานผมมันรกสุดๆ
เพราะตอนนี้มีเอกสารงานวิจัยกับรายงานของนิสิตปนกันยุ่งเหยิงไปหมด
ถ้าคุณเห็นห้องผมแล้ว...อย่าเพิ่งถอดใจหนีกลับบ้านไปก่อนล่ะ...ตกลงไหม?” อาจารย์กัลป์ทำท่าขู่ผมเสียยกใหญ่ระหว่างไขกุญแจด้านหน้าประตูที่มีป้ายชื่อของอาจารย์กัลป์ติดอยู่
“อาจารย์กัลป์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ
ผมรับปากว่าจะช่วยอาจารย์เก็บห้องนี้ให้เรี่ยมเหมือนใหม่เลยครับ” ผมรับรองแข็งขัน
“หึ หึ หึ...ดี
ดี ผมมองคุณไม่ผิดจริงๆ”
แต่สภาพกองเอกสารสูงเป็นตั้งๆกระจัดกระจายไปทั่วทุกมุมของห้องก็ทำให้ผมต้องอ้าปากค้าง
ที่อาจารย์กัลป์ขู่ผมทั้งหมดนั้น...
ไม่ใช่การอวดอ้างเหนือจริงแม้แต่น้อย
พี่หรั่งเองก็เคยต้องประสบปัญหานี้มาเหมือนๆกันหรอกหรือนี่?
“หึ!... มันเยอะเสียจนคุณไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเลยใช่ไหมล่ะ?..
...เอางี้นะ ระหว่างผมนั่งทำงานที่โต๊ะ คุณช่วยผมคัดแยกเอกสารตรงมุมนี้ไปพลางๆก่อนแล้วกัน...
.
...คุณไม่มีปัญหากับการอ่านบทความภาษาอังกฤษใช่ไหม?”
“อ่านได้ครับ...แค่อาจจะต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่นนิดหน่อย” ผมยอมรับตามความสามารถจริง
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง...
.
...เฉพาะเอกสารภาษาอังกฤษ
คุณช่วยแยกตามหัวข้อแล้วเรียงลำดับก่อนหลังตามวันที่ตรงมุมบนด้านซ้ายมือ...
...เดี๋ยวผมจดหัวข้อในการคัดแยกมาให้คุณอีกที...
.
...ส่วนเอกสารภาษาไทยก็แยกตามหมวดหมู่ตามที่ระบุตรงหัวกระดาษแล้วใส่ไว้ในลังนี้...
...อ้อ! ถ้าคุณเผลอไปเจอรายงานของนิสิต กับวารสารเก่าๆปนอยู่...ก็แยกเอาไว้อีกกอง คุณเข้าใจนะ”
“ครับ
อาจารย์กัลป์”
“ถ้าคุณสงสัยอะไรถามผมได้เลย
ไม่ต้องเกรงใจ” เมื่อพูดจบ อาจารย์กัลป์ก็เดินไปขีดเขียนอะไรบางอย่างที่โต๊ะ
ปล่อยให้ผมตั้งสติกับเอกสารมากมายตรงหน้าเพียงลำพัง
ที่ห้องทำงานอาจารย์กัลป์รกขนาดนี้
คงเป็นเพราะไม่มีพี่หรั่งคอยช่วยอีกต่อไป
คนที่เสียใจ และได้รับผลกระทบจากการตายของพี่หรั่ง
ไม่ได้มีแค่ผม กับตายายเท่านั้นสินะ...
อย่างน้อยๆ
อาจารย์กัลป์เอง ก็คงลำบากด้วยเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ไม่ต่างกัน
“อ่ะนี่
หัวข้อสำหรับจัดหมวดหมู่เอกสารภาษาอังกฤษ” อาจารย์ยื่นกระดาษโน๊ตพร้อมหัวข้อในการคัดแยกเอกสารภาษาอังกฤษให้ผมตามที่บอกไว้
ลายมือของอาจารย์กัลป์สวยจนน่าตกใจ... ไม่น่าเชื่อว่าลายมือผู้ชายจะอ่านง่ายขนาดนี้
“ขอบคุณครับ”
ระหว่างที่ผมหลุดเข้าไปในโลกที่ท่วมล้นไปด้วยกระดาษมากมาย
คำถามลอยๆที่ถูกเปล่งออกมาด้วยเสียงทุ้มๆของอาจารย์กัลป์ก็ลอยเข้าหู
“เออนี่จ้า...ที่ผมเคยถามคุณเรื่องรูปพรรณสัณฐานของคนที่ทำร้ายคุณวันนั้นน่ะ...
...ถ้าคุณเกิดบังเอิญไปเจอคนพวกนั้นอีก
คุณจะจำหน้าพวกเขาได้ไหม?”
“อาจารย์ถามทำไมเหรอครับ?”
ทำไมอยู่ๆอาจารย์ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา?
เราคุยเรื่องวันนั้นจบไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ใช่หรือ?
ผมจ้องหน้าอาจารย์กัลป์นิ่งเพื่อจับสังเกตสีหน้า
หรือแววตาที่ดูผิดปกติของอดีตอาจารย์ที่ปรึกษาของพี่หรั่ง
แต่อาจารย์กลับละสายตาจากผม
แล้วเบือนหน้ามองจอคอมพิวเตอร์ ก่อนจะเอ่ยตอบผมด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ
“เปล่าหรอก...ไม่มีอะไร
ผมคงคิดมากไปเอง คุณทำงานต่อเถอะ...เดี๋ยวจะมืดไปเสียก่อน”
“ครับ ครับ”
ท่าทางมีพิรุธของอาจารย์กัลป์ทำให้ผมไม่สบายใจ
มันต้องมีอะไรแน่ๆ...
อาจารย์ถึงได้ถามผมแบบนี้...
หรืออาจารย์จะเห็นอะไรผิดปกติ?
ครั้นจะให้ผมคาดคั้นเอาคำตอบจากอาจารย์กัลป์ระหว่างที่อาจารย์กำลังมุ่งมั่นปั่นงานของตัวเองแบบนั้น
คงไม่เหมาะ...
ผมจึงต้องเพ่งความสนใจกลับไปที่งานในมือของตัวเองเพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้
“ขอโทษด้วยนะที่ผมเผลอทำงานเสียจนลืมเวลา
คุณเลยต้องกลับบ้านช้าไปด้วย...
.
...เอาอย่างนี้ดีกว่า...
...ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป
คุณมาช่วยงานผมถึงแค่หกโมงเย็นแล้วกัน คุณจะได้ไม่ต้องกลับบ้านดึกจนเกินไป...
...อ่ะนี่ ค่าเสียเวลาของคุณในวันนี้”
ในมือข้างที่ละจากพวงมาลัยของอาจารย์กัลป์มีแบงค์สีเทาหนึ่งใบ
คนขับยื่นเงินจำนวนนั้นมาให้ผมเหมือนไม่คิดอะไร
“อาจารย์กัลป์ครับ
ผมรับเอาไว้ไม่ได้หรอกครับ เงินนี่มันเยอะไป...
...ผมทำงานให้อาจารย์แค่สามชั่วโมง
แถมยังเป็นงานจัดเอกสารธรรมดาๆ...
...เท่านั้นยังไม่พอ...หลังเลิกงาน
อาจารย์ยังพาผมมาส่งที่บ้านอีก...
...อาจารย์กรุณาผมขนาดนี้
ผมคงรับเงินนี้ไม่ได้จริงๆครับ”
“จ้า คุณรับไปเถอะ...
.
...มานะก็ได้เท่านี้เหมือนกัน
ผมไม่ยักกะได้ยินเขาบ่นอะไรนะ” อาจารย์กัลป์เอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ
ตอนเอ่ยชื่อพี่หรั่ง...อีกฝ่ายก็อมยิ้มมุมปากราวกับนึกเรื่องขำขันอยู่คนเดียว
ที่ผ่านมา...พี่หรั่งได้เงินเยอะขนาดนี้
แลกกับการทำงานสบายๆแค่ไม่กี่ชั่วโมงอย่างนั้นน่ะเหรอ?
แล้วทำไมพี่หรั่งถึงยังต้องไปเล่นพนันบอลอีกล่ะ?
ผมไม่เข้าใจพี่หรั่งจริงๆ
“วันละพันเลยเหรอครับ?”
...ผมยังทำใจให้เชื่อไม่ได้ เพราะเท่ากับว่า
หากผมช่วยอาจารย์กัลป์ติดๆกันสักสิบวัน ผมก็จะมีเงินได้เพิ่มขึ้นเป็นหมื่นเลยน่ะสิ
“ใช่...แต่จ้าโชคดีกว่ามานะเยอะ
ที่มีเอกสารให้จัดมากหน่อย ส่วนมานะน่ะ...สองอาทิตย์ผมถึงจะเรียกเขาให้มาช่วยสักครั้ง
เพราะฉะนั้น...เงินเท่านี้กับระยะห่างขนาดนั้น คงไม่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอะไรหรอกมั้ง”
.
.
.
.
.
“ที่เอกสารของอาจารย์กัลป์เยอะแบบนี้
เป็นเพราะพี่หรั่งเสียใช่ไหมครับ?” คนฟังถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะตอบผมเสียงอ่อน
เมื่อเห็นอาจารย์มีสีหน้าเศร้าลงทันตา ผมเลยยอมรับธนบัตรใบนั้นมาพับใส่กระเป๋าเสื้อแต่โดยดีเพื่อไม่เพิ่มความลำบากใจให้กับอาจารย์
“ผมพูดแบบนั้นไม่ได้หรอก
เพราะคนเอากระดาษพวกนั้นมากองสุมกัน มันก็ตัวผมทั้งนั้นแหละ...
.
...มานะคือคนที่มาช่วยทำให้พวกมันอยู่เป็นที่เป็นทางกันมากขึ้น...
...พอไม่มีมานะ
ธรรมชาติของความรกเลยกลับมายังไงล่ะ” อาจารย์กัลป์พยายามฝืนยิ้ม...ผมรู้จักท่าทางนี้ดี
เพราะผมทำอยู่บ่อยๆหลังจากรอดมาจากเงื้อมมือของ ‘มัน’
“อาจารย์กัลป์ครับ
อาจารย์ไม่ต้องกังวลนะครับ...ผมจะช่วยอาจารย์แทนพี่หรั่งเองครับ”
“ขอบใจมากนะจ้า...
...ผมดีใจนะที่คุณยอมช่วยผม...
...ต่อจากนี้ไป
ผมก็ไม่ต้องกังวลเวลานิสิตคนไหนจะขอเข้าพบผมที่ห้องทำงานอีกแล้ว...
.
.
...คุณรู้แล้วเหยียบให้มิดเลยนะ...
...เชื่อไหมจ้า...เดือนที่ผ่านมา
ผมต้องนัดแอดไวซี่ไปคุยกันตามร้านกาแฟ หรือโรงอาหารประจำเลยล่ะ...
...ผมทำใจไม่ได้ที่ต้องให้ใครเข้ามาเห็นห้องทำงานรกๆของตัวเองน่ะ
แย่เนอะ หึ หึ หึ หึ”
“ฮะ ฮะ ฮะ...ผมว่านิสิตของอาจารย์กัลป์ไม่น่าจะถือเรื่องนี้นะครับ
อาจารย์ออกจะใจดี แล้วก็เป็นกันเองมากขนาดนี้”
หลังจากได้ใช้เวลากับอาจารย์กัลป์มากขึ้น
ผมก็อดเปรยด้วยความชื่นชมออกมาไม่ได้
ผมไม่แปลกใจเลย
หากอาจารย์ท่านนี้จะกลายเป็นอาจารย์ที่ลูกศิษย์ทั้งรักและเคารพมากที่สุดท่านหนึ่ง
แต่ผมแปลกใจ
ที่อาจารย์กลับเก็บงำเรื่องเล็กๆน้อยๆซึ่งไม่สลักสำคัญพวกนี้จากลูกศิษย์...
แค่เสียภาพพจน์นิดๆหน่อยๆ
อาจารย์กัลป์ก็ไม่น่าจะต้องห่วงเลยนี่นา
“ทำเป็นพูดไป...คุณยังไม่เคยเจอผมตอนเข้าสอน
คุณไม่รู้หรอกว่าผมเฮี้ยบขนาดไหน ผมใจดีก็จริง แต่ผมเข้มงวด และไม่ได้เป็นกันเองจนเกินไปอย่างที่คุณเข้าใจซักนิด”
อาจารย์กัลป์ทำหน้าขึงขัง ทว่าสีหน้ากลับข่มดวงตาสุกใสขี้เล่นไม่มิด
“ถ้าอย่างนั้น
ผมก็โชคดีสินะครับ ที่ได้เจออาจารย์กัลป์ในโหมดนี้”
“รอให้คุณเจอผมบ่อยๆเข้า
คุณอาจเอือมในความรกรุงรังของผมจนไม่คิดแบบนี้แล้วก็ได้” คนขับเอ่ยติดตลก
“ฮะ ฮะ ฮะ
ฮะ...อาจารย์กัลป์ล่ะก็
ผมไม่มีทางเอือมอาจารย์เพราะความรกรุงรังของห้องทำงานอาจารย์หรอกครับ...
.
...ผมเสียอีกที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณอาจารย์ที่ทำให้ผมมีรายได้เสริมแบบที่ไม่ต้องเหนื่อยมากนัก”
ผมไม่ลืมที่จะยกมือขึ้นไหว้อาจารย์กัลป์อีกครั้งที่ช่วยชุบชีวิตใหม่ให้กับผม
“ผมยินดีนะ ตราบใดที่ความลับของผมไม่รั่วไหล...คุณก็เรียกผมว่าเจ้านายได้เลย”
“ครับ
เจ้านาย” ผมยิ้มให้อาจารย์หลังจากเอ่ยตอบด้วยอารมณ์สนุกสนานพอกัน
.
.
.
“หึ หึ
หึ...คุณรู้อะไรไหมจ้า เวลาคุณยิ้ม หรือหัวเราะทีไร คุณทำให้โลกดูสดใสขึ้นในพริบตาเลยนะ...
...น่าเสียดาย
ที่คุณไม่ค่อยหัวเราะ ไม่ค่อยยิ้มสักเท่าไร” ผมไม่ทันได้มองหน้าอาจารย์กัลป์ตอนเอ่ยประโยคนี้
ผมเลยไม่รู้ว่าอาจารย์ทำหน้าแบบไหน แต่ผมรู้ดีว่า...หน้าผมร้อนไปทั้งแถบ
หัวใจผมก็เต้นดังแปลกๆเมื่อรู้ว่าอาจารย์ชื่นชอบรอยยิ้มของผม
“เอ่อ ผมขอโทษ
ผมคงพูดอะไรแปลกๆออกไป ผู้ชายส่วนใหญ่เขาไม่ค่อยชมผู้ชายด้วยกันแบบนี้ใช่ไหม?...
...คุณอย่าถือสาคำพูดคำจาเมื่อครู่ของผมเลยนะ” อาจารย์กัลป์พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนจนผมต้องเบือนหน้าไปมอง
สีหน้าสลดของอาจารย์ทำให้ผมต้องรีบอธิบายความเงียบงันเมื่อครู่
“ไม่เป็นไรครับ
เมื่อกี๊ที่ผมเงียบไปเพราะผมแค่ไม่รู้จะตอบอาจารย์ยังไงน่ะครับ...
...ผมไม่ได้รังเกียจหรือถือสาคำพูดของอาจารย์เลยแม้แต่นิดเดียว
จริงๆนะครับอาจารย์”
คำตอบของผมทำให้อาจารย์กัลป์ยิ้มกว้างได้อีกครั้ง
อาจเป็นเพราะอาจารย์กัลป์ไม่เคยเห็นตัวเองยิ้มอย่างในตอนนี้...
ตำแหน่งเจ้าของรอยยิ้มที่สดใสและน่ามองที่สุดตามที่อาจารย์ว่าจึงตกเป็นของผม
ทั้งๆที่ผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากที่สุด คืออาจารย์กัลป์นั่นแหละ
“คุณเป็นคนดีไม่ผิดไปจากที่มานะเคยเล่าให้ผมฟังเลย”
“พี่หรั่งเล่าเรื่องผมให้อาจารย์กัลป์ฟังด้วยเหรอครับ?”
ผมประหลาดใจ เพราะไม่นึกว่าพี่หรั่งจะเล่าเรื่องของผมให้ใครฟัง...
พี่หรั่งเคยบอกว่า แค่เรามีกันสองคน เราก็ไม่ต้องสนใครอีกแล้ว
“หึ
หึ...เยอะเลยแหละ...
...เขาบอกว่าเขามีน้องชายร่วมสาบานอยู่คนหนึ่งชื่อจ้า...
...จ้าเป็นเด็กดี
สอนอะไรก็เชื่อ พูดอะไรก็ฟัง...
...เขายังบอกอีกนะว่า
จ้าเป็นคนอดทน และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆทั้งๆที่เกือบจะถอดใจอยู่หลายครั้งก็ตาม...
...ผมที่รับฟังเรื่องของคุณจากปากเขาบ่อยๆเข้า
เลยอดชื่นชมในตัวคุณไมได้...
...พอมานะไม่อยู่แบบนี้
ผมเลยอยากทำในสิ่งที่มานะเคยทำให้คุณบ้างน่ะ”
“ขอบคุณครับอาจารย์กัลป์”
“คุณต้องขอบคุณตัวเองที่เป็นคนดีสม่ำเสมอไม่ต่างจากทองแท้ที่ไม่กลัวไฟ
และต้องไม่ลืมขอบคุณมานะที่รักคุณมาก
จนทำให้คนอื่นพลอยรัก พลอยเอ็นดูคุณไปด้วย”
ผมนึกทึ่งที่รู้ว่าพี่หรั่งเปิดใจกับอาจารย์กัลป์มากกว่าที่ผมคิดเอาไว้
ถ้าอย่างนั้น...
ก็แสดงว่าพี่หรั่งไว้ใจอาจารย์กัลป์มาก
คนที่พี่หรั่งยอมเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง
ย่อมจะเป็นคนที่ผมต้องให้ความรัก ความเคารพไม่ต่างกัน
ผมดีใจเหลือเกิน
ที่ผมได้เจอกับอาจารย์หลังจากการสูญเสียพี่ชายสุดที่รักไป...
เพราะผมเริ่มแน่ใจแล้วว่า
แม้จะไม่มีพี่หรั่ง แต่ผมก็ยังมีอาจารย์กัลป์เป็นที่พึ่งสุดท้ายอีกคน
“เอ่อ
อาจารย์ครับ อาจารย์ขับเลยทางเข้าบ้านผมแล้วครับ” ผมร้องเตือนอาจารย์ยิ้มๆ
“อ้อ! ขอโทษที...ผมจำได้แต่ทางไปวัดน่ะ” อาจารย์กัลป์แก้เก้อด้วยการรีบถอยรถมาจอดตรงปากซอยเข้าบ้าน
“อาจารย์ส่งผมตรงนี้ก็ได้ครับ
ซอยผมรถเข้าไปไม่ได้”
ผมปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วนั่งนิ่งๆเพื่อรอให้อาจารย์กัลป์ปลดล็อคประตู
แต่อาจารย์กลับดับเครื่องแล้วตอบผมด้วยสีหน้าจริงจังจนผมเอะใจในความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของอีกฝ่าย
“เดี๋ยวผมเดินไปด้วยดีกว่า...ผมมีเรื่องต้องบอกคุณให้รู้เอาไว้”
จากสีหน้าและท่าทางของอาจารย์กัลป์
บอกผมให้รู้ว่า
สิ่งที่อาจารย์ต้องการจะบอกกับผมนั้น....เป็นเรื่องสำคัญมาก
เราเดินฝ่าความมืดของค่ำคืนเดือนหงายมาด้วยกันเงียบๆ
จนผมแปลกใจ
อาจารย์กัลป์ต้องการบอกอะไรบางอย่างกับผมก่อนจากกัน
แต่ทำไมตลอดทาง...อาจารย์ถึงไม่พูดอะไรสักคำ
“เอ่อ
นี่บ้านผมครับ” นั่นคือสัญญาณที่ผมบอกให้อาจารย์รับรู้ว่า ผมคงรอต่อไปอีกไม่ไหว หรือถ้าอาจารย์เปลี่ยนใจ...คงต้องยกยอดไปบอกผมวันอื่นแทนกระมัง
“จ้า...จำที่ผมถามคุณในห้องทำงานผมได้ไหม?”
อาจารย์กัลป์ถามโดยไม่ได้มองหน้าผม
สีหน้าเหม่อลอยทว่ากรุ่นไปด้วยกลิ่นอายของความเครียดขึงทำให้ผมกังวลใจในทันตา
“ผมจะจำหน้าคนที่ทำร้ายผมได้ไหม
หากต้องมาเจอกันอีกครั้ง....เรื่องนั้นน่ะเหรอครับ?”
ผมย้อนถามอีกฝ่ายเพื่อความแน่ใจ
“ใช่”
“ทำไมเหรอครับ?”
มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ
ไม่อย่างนั้นอาจารย์กัลป์คงไม่มีทีท่าจริงจังแบบนี้หรอก
“คุณตอบผมมาก่อน...
คุณมีเพื่อนหรือรุ่นพี่เรียนอยู่คณะวิศวะฯหรือเปล่า?” อาจารย์กัลป์ดูไม่ค่อยแน่ใจนัก
ผมมั่นใจว่า...ผมเองก็คงทำหน้าคล้ายๆกัน ผิดแต่ว่า...สีหน้าผมคงเพิ่มความสงสัยเข้าไปอีกอย่าง
“อาจารย์กัลป์ถามทำไมครับ?”
“ตั้งแต่ตอนที่เราออกมาจากห้องสมุด
จนมากินข้าวที่คณะผม...ผมเห็นมีเด็กวิศวะฯคอยจับตาดูคุณอยู่...
.
...ผมพยายามคิดว่าไม่น่าจะมีอะไร
เลยไม่ได้ติดใจถามคุณให้รู้เรื่อง...
...แต่ไม่รู้สิ
ยิ่งพอเราพูดถึงมานะบ่อยครั้งมากเท่าไร ผมก็ยิ่งเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณมากขึ้นเท่านั้น...
...แล้วคุณจะบอกผมได้หรือยัง
ว่าคุณรู้จักเด็กวิศวะบ้างไหม?”
‘...แล้วพบกันนะครับ...
.
.
.
...เด็กดีของพี่’
ไม่!!!
ผมไม่นึกเลยว่า
คนแปลกหน้าซึ่งผมไม่เคยรู้จักที่ผมคอยหาทางเลี่ยงมาตลอดวันจะเฝ้าดูผมอยู่จริงๆ
เด็กวิศวะฯคนนั้น
ต้องใช่ ‘มัน’
หรือต้องเป็นคนของ
‘มัน’แน่ๆ
พี่หรั่ง...จ้าควรทำอย่างไรดี?
‘มัน’
อยู่ใกล้ตัวจ้าเหลือเกิน!!!
แต่เมื่อผมเห็นสายตาเป็นห่วงของอาจารย์กัลป์ที่จดจ่อรอคำตอบจากปากผม
ผมก็จำต้องโกหกพกลมหน้าตาย
ด้วยไม่อยากทำให้อาจารย์ต้องพลอยกังวล...
อีกอย่าง...ผมกลัวว่า
หากรอบนี้อาจารย์กัลป์ยื่นมือเข้ามาช่วยผมอีกครั้ง อาจารย์อาจจะติดร่างแหจนแย่ไปอีกคน
“คงเป็นเด็กวิศวะที่เคยทำงานกลุ่มกับผมตอนเรียนวิชาเลือกปีหนึ่งมั้งครับอาจารย์กัลป์ เขาอาจจะอยากทักผม
แต่ผมมองไม่เห็นเขา...เขาเลยมองตามผม อะไรทำนองนั้นน่ะครับ”
ผมยิ้มแห้งๆให้อาจารย์กัลป์
หวังว่าความมืดจะพอช่วยทำให้อาจารย์ไม่ติดใจสงสัยอะไรหรอกนะ
“แน่นะจ้า?...จ้าอย่าปิดผมนะ”
“แน่ครับ...ไม่มีอะไรหรอกครับ
เชื่อผมเถอะ” ผมยืนยันเป็นมั่นเหมาะ ทั้งที่ข้างในกำลังตระหนกถึงขีดสุด
“ถ้างั้นผมต้องขอโทษจ้าด้วย
ที่เอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาทำให้จ้าต้องกังวลโดยใช่เหตุ...
.
...ผมอดกลัวและเป็นห่วงคุณไม่ได้น่ะ...
...ตั้งแต่การตายของมานะ
มาถึงการที่คุณถูกจับไปทำร้าย... ผมบอกเลยว่า ผมไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น”
“อาจารย์กัลป์ไม่ต้องเป็นกังวลใจไปหรอกครับ
เพราะคนที่ทำร้ายผม ไม่ใช่คนในมหาลัยเราแน่ๆ” ผมพยายามหว่านล้อมอย่างหนัก แม้จะคิดตรงข้ามกับคำพูดสุดขั้ว
“อย่ามั่นใจจนประมาทนะจ้า
ผมเป็นห่วง” สายตาแน่วแน่ของอาจารย์กัลป์กระตุ้นให้สติและสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของผมตื่นตัว
ยังดี...ที่ผมพอจะรู้ตัวแล้วว่าครั้งนี้
ผมควรระมัดระวังใครเป็นพิเศษ
“ครับ
ผมจะไม่ประมาท”
“ผมกลับก่อนแล้วกัน
คุณก็อย่านอนดึกล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นไปเรียนไม่ไหว” พูดจบ
อาจารย์กัลป์ก็เดินหันหลังให้ผมทันที
“เอ่อ...อาจารย์กัลป์ครับ”
ผมรั้งอาจารย์กัลป์เอาไว้ด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่ายไม่แพ้กัน
“ว่าไงเหรอจ้า?”
“ผมรบกวนอาจารย์เม็มเบอร์ผมเอาไว้หน่อยได้ไหมครับ...
คือ...ถ้าอาจารย์จะไม่ลำบากเกินไป
รบกวนอาจารย์มิสคอลเข้าเครื่องผมหลังจากที่อาจารย์กลับถึงบ้านแล้วได้ไหมครับ
ผมจะได้สบายใจว่าอาจารย์กลับถึงบ้านแล้ว”
“หึ หึ
หึ...ได้สิ นอกจากจะนิสัยดี รอบคอบแล้วยังประหยัดอีกด้วยนะเราเนี่ยะ”
“ฮะ ฮะ
ฮะ...ก็นิดหน่อยแหละครับ”
“งั้นคุณกดเบอร์คุณแล้วโทรออกเลยแล้วกัน
เดี๋ยวผมค่อยกลับบ้านไปเม็มอีกที”
อาจารย์กัลป์เดินเข้ามาใกล้แล้วยื่นมือถือรุ่นแพงๆเครื่องใหม่มากๆมาให้ผม
ระยะที่อาจารย์ยืนอยู่นั้น
ใกล้เสียจนผมได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆโชยออกมาจากร่างกายของอาจารย์
กลิ่นสดชื่น
หอมอุ่นๆเหมาะกับตัวตนของอาจารย์เหลือเกินกลิ่นนั้น ตรึงให้ผมยืนนิ่งไม่ถอยหนีไปไหน
ระหว่างกดเบอร์ตัวเองลงบนหน้าจอโทรศัพท์ของอาจารย์
ผมต้องข่มใจไม่ให้เสียมารยาทด้วยการเผลอดมกลิ่นประจำตัวอาจารย์กัลป์อย่างประเจิดประเจ้อจนน่าเกลียด
“อาจารย์กลับบ้านดีๆนะครับ” ผมก้มหน้างุดพลางส่งมือถือคืนให้อาจารย์กัลป์
“ไม่ต้องห่วง...มือชั้นนี้แล้ว...
.
...ราตรีสวัสดิ์นะจ้า
พรุ่งนี้เจอกัน”
“ราตรีสวัสดิ์ครับอาจารย์กัลป์...พรุ่งนี้เจอกันครับ”
กระทั่งตอนนี้
ผมก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบสายตากับอีกฝ่าย...
ผมกลัว
กลัวว่าตัวเองจะเผลอทำหน้าตาประหลาดๆให้อาจารย์ต้องพลอยตกใจไปด้วย
ช่วยไม่ได้จริงๆ
หากภาพสุดท้ายของผมที่อาจารย์กัลป์เห็นคืนนี้
เป็นผมที่ยืนก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย
◘------------------------------------------------------------------------------------◘
คืนนั้น...หลังจากรับโทรศัพท์รายงานตัวของพี่รักษ์เสร็จ
จ้าก็ได้รับข้อความจากอาจารย์กัลป์ยืนยันสวัสดิภาพของตัวเอง
ข้อความสั้นๆของอาจารย์กัลป์ทำให้ชายหนุ่มหลุดยิ้ม
มันทำให้เขานึกย้อนไปถึงบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องสัพเพเหระที่เขาและอาจารย์หนุ่มพูดคุยกันเสียยืดยาว
ซึ่งเรื่องราวส่วนใหญ่
ล้วนแล้วแต่มีหรั่งเป็นจุดศูนย์กลางที่โยงใยทุกๆเรื่องเอาไว้ด้วยกัน
ความอบอุ่นซึ่งเกิดจากการพูดคุยแลกเปลี่ยนสิ่งที่จ้าไม่เคยได้รับฟังเกี่ยวกับหรั่งจากมุมมองของกัลป์
ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจขึ้นมาก
นั่นจึงไม่แปลก
หากเขาจะเผลอเรอหลงลืมเรื่องน่าวิตกที่สุดบางอย่างที่เพิ่งได้รับการยืนยันจากผู้เห็นเหตุการณ์จากอีกมุมมองอย่างกัลป์ไปเสียสิ้น
ทว่า...อย่างที่ใครๆมักพูดกัน
ความสุขมักจะอยู่กับคนเราได้ไม่นาน
เพราะทันทีที่ชายหนุ่มผละไปเช็ดผม
หลังจากลัดคิวมาอ่านข้อความของกัลป์ที่เพิ่งส่งเข้าเครื่องเพียงครู่เดียว
ก็มีเสียงเรียกเข้าที่เจ้าตัวคุ้นเคย
หากไม่คาดฝันเนื่องจากห่างหายไปจากโสตประสาทนานร่วมเดือน ดังแผดออกจากลำโพงของโทรศัพท์มือถือที่เจ้าตัววางคว่ำหน้าทิ้งไว้บนฟูกนอน...
ได้แต่ฝากความคิดของฉันเอาไว้
เผื่อวันไหนเธอผ่านมา
เห็นที่เดียวกันนี้
เธอจะนึกขึ้นได้ว่า
เคยมีคนนึงยืนข้างเธอ
อยู่ตรงนี้เสมอ...ตลอดมา
อยู่ตรงนี้เสมอ...ตลอดมา
ชายหนุ่มจดจำเสียงเรียกเข้านี้ได้เป็นอย่างดี...
มันเป็นท่อนสร้อยของเพลงๆหนึ่งที่พี่ชายผู้ล่วงลับโปรดปราน...
ผู้ตายถือวิสาสะตั้งเพลงนี้ไว้เพื่อเป็นเสียงเรียกเข้าสำหรับหมายเลขของตนโดยเฉพาะ...
แต่เบอร์ของคนตายจะโทรออกมาหาเขาได้อย่างไร?...
ในเมื่อ...เจ้าของเครื่องไม่มีลมหายใจอยู่บนโลกนี้อีกตอ่ไปแล้ว!!!
ให้เธอสัมผัสความคิดที่ฉันทิ้งไว้
อาจไม่เห็นได้ด้วยตา
ฉันจะฝากเอาไว้
อยู่ในพื้นดินและท้องฟ้า
มันเป็นความคิดที่กระซิบว่า...
ฉันยังรักเธอ
จ้ารุดไปที่ฟูกแล้วคว้ามือถือขึ้นมา...
เมื่อชื่อของคนที่โทรมาไม่ผิดไปจากที่คาดการณ์ไว้
มือผอมบางของชายหนุ่มก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงมากพอจะประคองอุปกรณ์สื่อสารเครื่องกะทัดรัดเอาไว้ได้อีกต่อไป...
เขาได้แต่ปล่อยให้ชื่อของคนตายโชว์หราตรงหน้าจอ
คลอด้วยเสียงเพลงที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุดในยามนี้
Incoming Call:
พี่หรั่ง
ได้แต่ฝากความคิดของฉันเอาไว้
เผื่อวันไหนเธอผ่านมา
เห็นที่เดียวกันนี้
เธอจะนึกขึ้นได้ว่า
เคยมีคนนึงยืนข้างเธอ
อยู่ตรงนี้เสมอ...ตลอดมา
อยู่ตรงนี้เสมอ...ตลอดมา
จ้าคู้ตัวลงกับฟูกบางๆฝังโดยฝังหน้าลงกับหมอนเก่าๆของเขา
ก่อนจะส่งเสียงร้องราวกับสัตว์บาดเจ็บ
“อืออออออ....อือออออออออออออออออออ..........อือออออออออออออออ............”
ให้เธอสัมผัสความคิดที่ฉันทิ้งไว้
อาจไม่เห็นได้ด้วยตา
ฉันจะฝากเอาไว้
อยู่ในพื้นดินและท้องฟ้า
“...........อืออออออ.............อือออออออออออ.......อืออออออออออออออ................”
ชายหนุ่มปล่อยตัวเองให้โยกไปมา
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า
การกระทำเช่นนั้น เป็นไปด้วยเหตุผลกลใด...
รู้แต่เพียงว่า
เมื่อทำแบบนี้แล้ว...
ความหวาดหวั่น
ความเสียใจ และหลากอารมณ์รุนแรงทั้งหลายที่ปะทุอยู่ภายใน ค่อยๆบรรเทาเบาบางลง
กระนั้น สติที่ยังพอเหลืออยู่
ทำให้เขายังพอสดับความหมายของเนื้อเพลงที่ดังแว่วได้อย่างไม่ตกหล่น
มันเป็นความคิดที่กระซิบว่า...
ฉันยังรักเธอ
“อ๊ากกกกกกกกกกก!!!!!!!”
ชายหนุ่มฝังหน้าลงกับหมอน
ก่อนจะแผดเสียงร้องสุดคอหอยเพราะประโยคสุดท้ายของเนื้อเพลงท่อนนั้น...
ได้ทำร้ายหัวใจของเขาให้เจ็บปวดเหลือกำลัง
◘------------------------------------------------------------------------------------◘
ขอบคุณเนื้อเพลง:
◘------------------------------------------- TBC -----------------------------------------◘
No comments:
Post a Comment