Friday, May 22, 2015

◘ ชั่ว...ฟ้า ดินสลาย ◘ #04 || 22.05.2015



#04




หลังจากส่งสำเนาใบรับรองแพทย์ให้กับเจ้าหน้าที่ธุรการของภาควิชาเสร็จสรรพ
ผมก็ก้มหน้าก้มตาเดิน พลางคิดจัดสรรตารางเวลาใหม่ เพื่อให้เหมาะสมกับการไล่ตามทำรายงานหลายต่อหลายฉบับส่งอาจารย์ชดเชยช่วงเวลาขาดเรียน โดยต้องยังพอเหลือเวลาสำหรับทำงานพิเศษควบคู่ไปได้
ด้วยเหตุที่เดินใจลอยนี่เอง ตัวผมจึงกระแทกเข้ากับใครคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินสวนมาอย่างจัง


“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ...คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ?”


ผมพูดพลางรีบก้มลงช่วยเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายโดยไม่ทันสังเกตใบหน้าคู่กรณี
จนเมื่อของทั้งหมดถูกรวบรวมเอาไว้ในมือผมและอ้อมแขนของเขา ผมจึงได้เห็นหน้าอีกฝ่ายเต็มๆตา

และกลายเป็นผมเองที่ต้องสำรวมท่าที
แล้วยกมือไหว้ พร้อมกับกล่าวขอโทษขอโพยคนที่ถูกชนด้วยความไม่ตั้งใจเสียยกใหญ่


“ขะ..ขะ...ขอโทษครับอาจารย์...
.
.
...ผมมัวแต่คิดอะไรเพลินๆ เลยไม่ทันมองทางน่ะครับ”

“ผมไม่เป็นไรหรอกคุณ...
.
.
...อ้าว!! คุณนี่เอง...
...คุณหายไปไหนมา?...
...ผมเป็นห่วงคุณมากเลยนะ...
...ตอนนี้คุณโอเคไหม? สบายดี...ไม่มีปัญหาอะไรใช่รึเปล่า?...
.
...เอาอย่างนี้ดีกว่า เราอย่าเพิ่งพูดอะไรกันตอนนี้เลย...
...บอกผมมาก่อนว่า คุณว่างอยู่หรือเปล่า? ไม่ได้มีเรียนใช่ไหม?”  คนพูดที่ยังปรับสีหน้าตื่นเต้นตกใจให้เป็นปกติไม่ได้ รวบรัดตัดความถามเปลี่ยนเรื่องแบบฉับพลันจนผมเกือบตามอารมณ์ไม่ทัน

“เอ่อ...ว่างครับ ผมมีเรียนอีกทีตอนบ่าย” ผมตอบแบบเบลอๆ เพราะไม่รู้ว่าควรรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้อย่างไร

“งั้นดีเลย...ไว้คุณค่อยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟังที่ร้านกาแฟข้างล่างก็แล้วกัน...
...ผมยังไมได้ดื่มกาแฟซักแก้วตั้งแต่เช้า...ไป ไปกันเถอะ”


อาจารย์ผู้ที่ผมไม่รู้กระทั่งชื่อเอ่ยชักชวนพร้อมรอยยิ้ม
กระนั้น ความเป็นห่วงเป็นใยยังฉายชัดในแววตาคู่นั้นทุกครั้งที่ผมมองสบตา
ในเมื่อไม่รู้จะปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างไร ผมจึงต้องตอบรับคำชวนนั้นอย่างเสียไม่ได้


“คระ...ครับ เชิญอาจารย์เดินนำเลยครับ”


ผมเดินตัวลีบตามหลังอาจารย์ประจำคณะพี่หรั่งที่ผมเจอในงานศพไปยังคอฟฟี่ช็อปของคณะ
ตามจริง ผมไม่รู้จักอาจารย์ท่านนี้เป็นการส่วนตัว
แต่บังเอิญว่า ผมรับหน้าที่แจกธูปไหว้หน้าศพให้กับแขกที่มาร่วมงาน
จึงมีโอกาสสังเกตเห็นเพื่อนร่วมคณะพี่หรั่งเกือบทุกคน ทักทายอาจารย์หนุ่มท่านนี้อย่างสนิทสนม


“คุณอยากกินอะไร สั่งได้ตามสบายเลยนะ ผมเลี้ยงเอง”

“ไม่ดีกว่าครับอาจารย์ ผมไม่หิวเท่าไหร่” ผมรีบบอกปัดด้วยความเกรงใจ

“คุณเลือกมาซักอย่างเถอะ...อะไรก็ได้...
.
...ผมไม่อยากนั่งกินอยู่คนเดียวทั้งที่มากันสองคน...
...คุณเข้าใจใช่ไหม มันดูเอาเปรียบร้านเขายังไงก็ไม่รู้”


อาจารย์น่าจะมาเป็นลูกค้าประจำของร้านกาแฟที่ผมเคยไปทำ
ผมคงจะไม่ตกงาน และร้านนั้นอาจจะยังไม่เจ๊ง หากได้ลูกค้าขี้เกรงใจแบบอาจารย์สักคน


“ครับๆ”

“เลือกเสร็จแล้วคุณไปนั่งรอก่อนเลยนะ เดี๋ยวผมตามไป”


เมื่อสั่งเครื่องดื่มและของกินกับพนักงานที่เคาน์เตอร์เรียบร้อยแล้ว
อาจารย์ท่านนั้นก็เดินตามมานั่งลงตรงข้าม แล้วเริ่มถามผมทันที


“สรุปคุณชื่ออะไร? บอกชื่อนามสกุล ชื่อเล่นมาให้ครบเลยนะคุณ...ผมไม่อยากพลาดอีก”

“ผมชื่อรุ่งรวี  สมวัชร์ครับ...
.
...เอ่อ...
...ผมต้องบอกชื่อเล่นให้อาจารย์ทราบจริงๆเหรอครับ?”

“ผม ดร.กัลปพฤกษ์ วิสิทธิเมธีวงษ์...
.
...เวลาคุณคุยกับผม...
...คุณจะเรียกผมว่าอาจารย์กัลปพฤกษ์นั่น อาจารย์กัลปพฤกษ์นี่อยู่ตลอดเวลา ผมก็ว่าไม่ไหว...
...คุณเรียกผมว่าอาจารย์กัลป์ดีกว่า แล้วผมก็จะเรียกคุณด้วยชื่อเล่น  สะดวกกว่ารุ่งรวี สมวัชร์เยอะ...คุณว่าไหม?”


ไม่ใช่แค่คำถาม คำอธิบาย หรือ คำพูดจาของอาจารย์คนนี้เท่านั้น ที่ทำให้ผมแปลกใจได้ตลอดเวลา
ตัวผู้พูดเอง ก็ดูสบายๆเวลาคุยกับนิสิตอย่างผมราวกับเป็นพี่เป็นน้อง ไม่มีพิธีรีตรองสักเท่าไร
ผิดกับอาจารย์ประจำคณะผมส่วนใหญ่ ที่จะไม่พูดคุยเล่นหัวกับนิสิตอย่างใกล้ชิดแบบนี้มากนัก


“ครับๆ ก็ได้ครับ...
.
...ผมชื่อจ้าครับอาจารย์กัน”

“จ้า คุณเรียนครุฯเหรอ?” อาจารย์กันดื่มกาแฟร้อนที่เพิ่งมาเสิร์ฟระหว่างรอคำตอบของผม แล้วทำท่าบอกให้ผมกินขนมที่ผมเลือกมาเสียที

“ครับ ปีสอง...ปฐมวัยครับ”

“ผมเป็นที่ปรึกษาของมานะ ตอนรู้ข่าวครั้งแรกผมตกใจมาก ไม่นึกว่าลูกศิษย์ในความดูแลจะจากไปเร็วแบบนี้”


คิ้วของอาจารย์ขมวดมุ่นเมื่อพูดถึงพี่หรั่ง...
ผมไม่รู้ว่า ผมเผลอทำหน้าแบบไหนเวลาที่พูดถึงพี่ชาย
หวังว่าคงไม่ใช่ใบหน้าที่ฟ้องว่าพร้อมจะร้องไห้ในอีกไม่ช้าหรอกนะ


“ผมก็ตกใจเหมือนกันครับ” ผมยอมรับกับอาจารย์ไปตามจริง สีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดยิ่งกว่าเมื่อครู่ ระหว่างที่อาจารย์กันเปิดประเด็นถัดมา

“ผมว่าเราพักเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนดีกว่านะจ้า...
.
...ผมอยากรู้เรื่องคุณเมื่อวันนั้นมากกว่า...
...ไหนคุณบอกผมซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น...ทำไมคุณถึงถูกทำร้าย?...
...คุณเคยไปมีเรื่องกับใครมารึเปล่า? หรือคนที่ทำคุณ เป็นพวกเดียวกันกับคนที่ทำร้ายมานะ?”


อาจารย์คงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ตากับยายบอกสาเหตุการตายของพี่หรั่งให้ฟัง
แต่ผมไม่อยากเล่าหนังชีวิตของตัวเองให้อาจารย์ที่ปรึกษาของพี่หรั่งรับรู้...
ความอับอาย ทำให้ผมเลือกใช้การโกหกเป็นเครื่องมือเอาตัวรอดอีกครั้ง


“เอ่อ... ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ เพราะผมไม่เคยมีเรื่องกับใคร แล้วผมก็ไม่เคยรู้เรื่องที่พี่หรั่งเล่นพนันบอลมาก่อน” ผมไม่รู้สึกผิดมากนักกับสิ่งที่เพิ่งบอกอาจารย์กันไป เพราะใจความส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องจริง

“คุณบอกผมได้ไหมว่าหลังจากที่ผมสลบไป คุณเป็นยังไงบ้าง? พวกมันทำอะไรคุณรึเปล่า?”


 สีหน้าห่วงใยของอาจารย์กันทำให้ผมยิ่งรู้สึกแย่กับตัวเอง
แย่กับการคิดใคร่ครวญหาถ้อยคำชวนเชื่อเพื่อปกปิดความจริงเอาไว้กับตัว


“พวกนั้นแค่จับผมไปข่มขู่แล้วก็ทำร้ายผมนิดหน่อยน่ะครับ แต่ผมบอกพวกเขาไปแล้วว่า...มันเป็นการเข้าใจผิด” 


พี่หรั่ง...
ผมขอโทษนะครับ

ผมจำเป็นต้องโกหกอีกแล้วครับพี่...
แต่จะให้ผมบอกอาจารย์ได้อย่างไรว่า ผมโดน มันจับตัวไป?

“แค่นั้นจริงๆใช่ไหมจ้า? พวกมันไม่ได้ทำอะไรคุณแน่ๆนะ?” อีกฝ่ายย้ำเพื่อความมั่นใจ แต่ผมกลับไม่ชอบเลย...เพราะมันยิ่งทำให้ผมถลำลึกไปกันใหญ่

“ครับ พอพวกเขารู้ว่าผมไม่ใช่คนที่กำลังตามหา พวกเขาก็ยอมปล่อยตัวผมน่ะครับ”

“ง่ายๆแบบนั้นเลย?” อาจารย์กันยังไม่ปักใจเสียทีเดียว...หรือจะเป็นเพราะผมโกหกได้ไม่แนบเนียนนัก?

“ครับ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“แล้วตอนนี้ล่ะ พวกมันยังตามมาราวีหาเรื่องคุณอยู่อีกไหม?”

“ไม่นี่ครับ... ทุกอย่างเรียบร้อยและเป็นปกติดี” 


พี่หรั่ง...
ผมรู้สาเหตุที่พี่ห้ามผมไม่ให้พูดโกหกแล้วล่ะ...

เพราะเมื่อใดที่เริ่มโกหก...
เราก็ต้องโกหกต่อไปเรื่อยๆ แบบไม่มีที่สิ้นสุด
การโกหกเป็นคุ้งเป็นแควอย่างที่ผมกำลังทำอยู่นี่
ช่างน่าเหน็ดเหนื่อย และชวนให้อึดอัดสิ้นดี


“คุณจำหน้าพวกมันได้ไหม?...
.
...พวกมันเป็นใคร?
...คุณอยากจะแจ้งความรึเปล่า?”


อาจารย์กันพูดเสียงเบาแค่พอให้ได้ยินกันสองคน
ผมนึกขอบคุณอาจารย์อยู่ในใจ ที่ท่านไม่ทำให้ผมลำบากเมื่อต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง...
แม้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องแต่งก็ตาม


“ผมอยากอยู่อย่างสงบๆน่ะครับอาจารย์  ไหนๆตอนนี้ผมก็ปลอดภัยดีแล้ว...ผมขอไม่ก่อเวรสร้างกรรมกับใครจะดีกว่าครับ”

“จะเอาอย่างนั้นจริงๆเหรอ? เรื่องไม่ใช่เล็กๆนะจ้า”

“ผมไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด...
...เลิกแล้วต่อกัน ก็น่าจะเป็นคำตอบดีที่สุดครับ...
.
.
...อาจารย์กันล่ะครับ เป็นยังไงบ้าง?...
...อาจารย์ได้ไปหาหมอตรวจร่างกายแล้วหรือยัง?” ผมรีบถามเปลี่ยนเรื่อง...ไม่สะดวกใจที่ต้องรับบทเด็กเลี้ยงแกะเท่าใดนัก  

“ไม่ต้องห่วงผมหรอกจ้า...
...ผมไปหาหมอมาแล้ว อวัยวะทุกอย่างยังทำงานได้ดี...ไม่มีบุบสลาย...
...แค่กินยา ทำแผลอยู่สองสามวันก็กลับมาวิ่งปร๋อเหมือนเดิมเลยล่ะ...
.
...ห่วงแต่คุณนั่นแหละ...
...ถ้าวันนั้น...ผมเรียกให้คุณขึ้นรถมาด้วยกันตั้งแต่ที่วัดเสียก็ดี  จะได้ไม่เกิดเรื่องผิดฝาผิดตัวแบบนั้นขึ้นกับคุณ...
.
.
.
...คุณรู้ไหม พอผมฟื้น ผมก็รีบไปแจ้งความให้ตำรวจออกตามหาคุณเลยนะ...
...แต่ผมเจ็บใจตัวเองชะมัด ที่พอไปถึงสถานีตำรวจ ผมกลับให้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวคุณไม่ได้สักอย่าง  แค่เพราะคุณไม่ได้เป็นนักเรียนของผม...
...ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณเป็นใคร ชื่ออะไร เรียนปีไหน จนบังเอิญมาเจอคุณเมื่อกี๊นี่แหละ”

“ขอบพระคุณอาจารย์มากครับที่เป็นห่วงผม ผมปลอดภัยดี ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับผมทั้งสิ้น”

“ได้ยินอย่างนี้ผมก็สบายใจ...
.
.
...จ้า ฟังผมนะ...
...ถึงผมจะไม่ได้สอนคุณ หรือไม่ได้เป็นที่ปรึกษาให้คุณเหมือนมานะ...
...แต่ถ้าคุณมีปัญหาอะไร  คุณบอกผมได้ทุกเมื่อ...
.
...ไม่รู้ว่าคนรุ่นใหม่อย่างคุณจะเชื่อเรื่องเวรกรรมหรือเปล่า...
...แต่บางอย่างบอกผมว่า การที่เราทั้งคู่ผ่านเรื่องราวเลวร้ายครั้งนั้นมาด้วยกัน...
...อาจเป็นเพราะ  วาระกรรมทำให้เราได้กลับมาเกื้อกูลกันอีกครั้งในชาตินี้...
...เพราะฉะนั้น ผมอยากให้คุณถือซะว่า ผมก็เหมือนกับมานะ หรือรุ่นพี่คนหนึ่งของคุณ...
...รุ่นพี่ที่คุณสามารถมาขอคำปรึกษา และขอความช่วยเหลือได้ตลอดเวลา”

“จะดีเหรอครับอาจารย์? ผม...ผมเกรงใจ” ผมอึกอัก

“ไม่ต้องเกรงใจผมหรอกจ้า...
...สัญญากับผมสิ ว่าคุณจะมาหาผมเวลาที่คุณมีปัญหา หรือมีเรื่องทุกข์ใจ...
.
.
...นะจ้า...
...ให้ผมได้ช่วยดูแลคุณแทนมานะ มานะเขาจะได้หมดห่วง” สายตาอาจารย์ตอนที่พูดถึงพี่หรั่ง ดูเจ็บปวดไม่น้อย... พี่หรั่งโชคดีเหลือเกิน ที่ได้อาจารย์กันเป็นที่ปรึกษา

“ครับ ได้ครับอาจารย์”

“ดีมาก...อ่ะนี่ นามบัตรผม คุณโทรเข้ามือถือผมได้ตลอดเวลาเลยนะ...ไม่ต้องเกรงใจ...
...แต่ขออย่างเดียว อย่าบอกเบอร์ผมกับใคร...
.
...พวกนิสิตชอบมาแอบขอเบอร์ผมบ่อยๆ...
...ตอนแรกๆผมก็เคยให้ กลายเป็นว่าตอนกลางคืนนี่ผมต้องเอาแต่รับโทรศัพท์ไม่เป็นอันหลับอันนอนกันเลยทีเดียว...
...เพราะฉะนั้น ห้ามบอกใครนะ ตกลงไหม?” อาจารย์กันขยิบตาแล้วส่งยิ้มมุมปากให้ ผมจึงอดผสมโรงยิ้มตามไปไม่ได้ 


ไม่นึกเลยว่า...
การได้คุยกับอาจารย์ของพี่หรั่ง ทำให้ผมผ่อนคลายได้มากกว่าที่คิด

ดีใจ ที่ได้กลับมาเรียนอีกครั้ง
อย่างน้อยๆ ถึงผมจะต้องใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างโดดเดี่ยว
แต่แค่ได้รับรู้ว่า ยังมีใครบางคน พร้อมหยิบยื่นความช่วยเหลือให้...ผมก็พลอยโล่งใจ


“ครับ ผมสัญญาว่าผมจะไม่บอกใคร” ผมรับคำของอีกฝ่ายหนักแน่น

“งั้นผมไปนะ... ผมดีใจที่ได้เจอคุณวันนี้นะจ้า”

“ครับ ผมก็ดีใจที่เจออาจารย์ครับ” อาจารย์กันยิ้มกว้าง แล้วจึงบอกลาผมสั้นๆ

“ผมไปล่ะ”

“ครับ สวัสดีครับอาจารย์” พอรับไหว้ผมเสร็จ อีกฝ่ายก็ลุกเดินออกจากร้านไป


อ้าว! ชื่อเล่นของอาจารย์เขียนแบบนี้เองหรอกเหรอ?...
...แน่ล่ะสิ ชื่อเล่นใครจะเขียนง่ายแบบเราสองคนกันล่ะ...
...เนอะ พี่หรั่งเนอะ...
.
.
.
...กัลป์...
...ชื่อเล่นอาจารย์เท่ห์ชะมัด...








ผมนั่งจ้องนามบัตรของอาจารย์กัลป์
สลับกับใบหน้าของผู้บรรยายพิเศษตลอดคาบเรียนช่วงบ่าย
เมื่อนึกถึงตอนที่คุยกับอาจารย์กัลป์เมื่อเช้า...ผมก็เบาใจที่รู้ว่าอาจารย์ไม่เป็นอะไร  

การแสดงออกถึงความเป็นห่วงผมออกนอกหน้าของอาจารย์  
ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด
เพราะถ้าผมเป็นอีกฝ่าย ผมคงจะว้าวุ่นใจ และวิตกจนคุมสติไม่ได้ดีเท่ากับอาจารย์แน่ๆ

ลำพังแค่ต้องเจอเรื่องเมื่อคืนนั้น...
ผมยังรับมันแทบไม่ไหว
นับประสาอะไรกับคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างอาจารย์กัลป์ล่ะ




วันนั้น...เป็นงานสวดอภิธรรมศพคืนที่สอง
โดยอาจารย์หัวหน้าภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยผมรับเป็นเจ้าภาพ

แรกเริ่มเดิมที ตากับยายไม่ได้คิดจะเชิญแขกเหรื่อมาร่วมงานศพให้เอิกเริก
ติดอยู่ตรงที่  มีเพื่อนในคณะมาตามพี่หรั่งไปทำรายงานกลุ่มถึงบ้าน
สุดท้ายตาเลยต้องบอกกับเพื่อนกลุ่มนั้นไปว่าเกิดอะไรขึ้น
หากแต่ไม่ได้ลงรายละเอียดถึงสาเหตุการตาย

งานศพคืนนั้น
จึงแน่นขนัดไปด้วยอาจารย์ และศิษย์ร่วมมหาวิทยาลัยซึ่งมาร่วมงานจนล้นศาลาวัดเล็กๆศูนย์กลางของชุมชนแออัดที่ผมกับพี่หรั่งอาศัยอยู่



ราวๆสองทุ่ม หลังจากแขกทยอยกลับกันเกือบหมด
ผมก็ลาตากับยายเพื่อเดินกลับบ้าน

เมื่อพ้นรั้ววัด เมฆฝนที่ตั้งเค้ามาตั้งแต่ก่อนทุ่ม ก็กลั่นหยาดน้ำฉ่ำเย็นลงมาสู่ผืนดิน
ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งหวังจะไปให้ถึงบ้านโดยเร็วที่สุด

ระหว่างทาง...เสียงบีบแตรเรียกของรถคันหนึ่งทำให้ผมต้องชะลอฝีเท้า
รถยนต์หรูคันที่วิ่งออกมาจากวัดชะลอความเร็ว  ก่อนจะหยุดอยู่ข้างๆตัวผม
เจ้าของรถกดกระจกข้างคนขับลง เพื่อเอ่ยชักชวนให้ผมติดรถไปด้วยกัน  
ผมลังเล ยิ่งเมื่อคนขับเปิดไฟข้างในรถจนผมรู้ว่าเขาเป็นใคร ผมก็ยิ่งเกรงใจอีกฝ่ายไปกันใหญ่  

ผมยืนอึกอักอยู่ได้เพียงไม่นาน อาจารย์กัลป์ก็กางร่มลงมาจากรถแล้วออกปากชวนผมอีกครั้ง
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไร อยู่ๆก็มีรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่พุ่งเข้ามาจอดตรงหน้า


ชายสองคน วิ่งลงมาแล้วยกปืนขึ้นข่มขู่เราทั้งคู่
หนึ่งในนั้นเข้ามากระชากแขน เอาปืนจ่อหัวผมให้เดินตามไป

แต่อาจารย์กัลป์กลับวิ่งเข้ามาขวาง
จึงโดนชายอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังฟาดด้วยกระบอกปืนจนล้มกองกับพื้น
แรงกระแทกอย่างแรงตรงท้ายทอยทำให้รู้สึกสะเทือนร้าวไปทั้งกะโหลก ทำให้ภาพที่อาจารย์กัลป์นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นเฉอะแฉะใต้เม็ดฝนหนากระหน่ำกลายเป็นภาพสุดท้ายที่ผมได้เห็น ก่อนจะถูกยัดเยียดให้รู้จักกับความโหดร้ายป่าเถื่อนเมื่อม่านสายตาถูกบดบัง...ด้วยน้ำมือของ มัน



------------------------------------------------------------------------------------



หลังจากตามงาน และเลคเชอร์กับเพื่อนในเอกจนเกือบครบ
ผมก็กระวีกระวาดเก็บข้าวของ พร้อมๆกับชำเลืองมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ในโรงอาหารของคณะ...


หกโมงครึ่งแล้ว
คงไม่ช้าไปหากจะกลับไปเดินหางานตามร้านอาหารแถวๆตลาดโต้รุ่งใกล้ๆบ้าน
แต่จะกลับถึงตลาดกี่โมง...นั่นก็อีกเรื่องหนึ่งที่ผมอดกังวลไม่ได้  


วูบเดียวที่ละสายตาจากนาฬิกา
หางตากลับเหลือบไปเห็นเงาคนแว่บหลบเข้าหลังเสาต้นที่เยื้องจากจุดที่ผมยืนไปทางซ้ายมือ


ตาฝาด...
หรือเมื่อครู่ มีคนยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ?


ผมกวาดของทั้งหมดลงกระเป๋าอย่างลวกๆ ก่อนจะเดินไปยังเสาเจ้าปัญหาเพื่อพิสูจน์ให้เห็นกับตา
แต่เมื่อวนจนรอบเสา กลับไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใดๆปรากฏอยู่
ถังขยะสีเงินสูงแค่เอวไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ปรากฏในมุมของกรอบสายตาเมื่อครู่แต่อย่างใด

ผมส่ายหัวให้กับความฟุ้งซ่านอย่างไม่น่าเชื่อของตัวเอง
เย็นป่านนี้ ... นอกจากนายรุ่งรวีแล้ว จะยังมีใครหน้าไหนเที่ยวมาเดินเร่ร่อนไปมาในโรงอาหารได้อีก


ที่นี่คือมหาวิทยาลัย...
จะไปอันตรายเหมือนข้างนอกได้อย่างไรกัน...

ชักจะคิดมากใหญ่แล้วนะจ้า...
มัน ไม่มีทางตามมาถึงที่นี่หรอก


สิ่งที่ผมเพิ่งเห็นผ่านตา คงไม่พ้นภาพสะท้อนของความกังวลในหัวล้วนๆ
คิดได้ดังนั้น  ผมจึงรีบจ้ำออกจากคณะเพื่อไปรอรถเมล์แถวๆประตูด้านข้างมหาวิทยาลัยโดยไม่รอช้า




เวทมนตร์ของช่วงเวลาผีตากผ้าอ้อม ส่งแสงสีส้มอมแดงสาดซัดปัดป่ายไปทั่วทุกอณู
จะเว้นไว้ก็เพียงพื้นที่ซึ่งเป็นหลืบรู หรือมีสิ่งก่อสร้างกีดขวางอยู่
ตัวแทนของราตรีกาลในรูปของเงาค่อยๆขยายร่างกลืนกินทุกสิ่งสรรพให้ตกอยู่ภายใต้ความมืดมนอนธการได้ดียิ่งกว่าเงาช่วงไหนๆของวัน

ความเงียบงัน ไร้ซึ่งผู้คนเสริมส่งให้บรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยยิ่งดูวังเวง ชวนให้ขวัญหนีดีฝ่อไปกันใหญ่
เสียงส้นรองเท้าหนังของผมยามกระทบกับอิฐบล็อกตัวหนอนดังสะท้อนก้องยามที่เดินผ่านซอกระหว่างตึก...การสำเหนียกรู้ถึงสำเนียงจากทุกปลายเท้าที่ก้าวย่าง ยิ่งทำให้ใจผมเต้นระส่ำ


ความกลัวที่เกิดจากเหตุการณ์เมื่อครู่ยังคงไม่จางไป
กอปรกับเมื่อต้องเดินอยู่ท่ามกลางตึกเรียนกลางเก่ากลางใหม่ไร้ผู้คนยามสนธยาเพียงลำพัง
สองขาของผมก็เริ่มซอยถี่แบบไม่ยั้ง ในขณะที่ตาทั้งสองจ้องตรงไปยังประตูทางออกที่อยู่ห่างออกไปอีกไม่ถึงสองช่วงตึกด้วยความแน่วแน่


แต่แล้ว เสียงเครื่องยนต์ที่ดังมาจากด้านหลัง กลับทำให้สมาธิของผมแตกกระเจิงอย่างง่ายดาย...


ผมข่มความกลัว แล้วสั่งสองขาให้ยังคงก้าวเดินอย่างมั่นคงและรวดเร็วเพื่อรอให้พาหนะคันนั้นวิ่งแซงไป
ทว่าแม้จะผ่านไปหลายอึดใจ...กลับไม่มีวี่แววว่ารถคันนั้น จะเร่งเครื่องนำหน้าความเร็วของฝีเท้าคนขาสั้นอย่างผมได้


สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้
ซ้ำรอยบทนำของเรื่องในคืนนั้นอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ใครบางคน กำลังสะกดรอยตามผมอยู่!!



พี่หรั่งครับ...
ช่วยจ้าด้วย....จ้ากลัว!!!



ผมออกวิ่งแบบไม่คิดชีวิตหวังเพียงร่นระยะทางให้ตัวเองไปถึงประตูทางออกช้างหน้าให้เร็วที่สุด
แต่เสียงเครื่องยนต์ด้านหลัง ยังคงติดตามผมไม่ห่างเหมือนกับเงา


อดทนอีกนิดเดียวนะจ้า...ประตูอยู่ข้างหน้านี่เอง


ร่างกายที่เพิ่งจะฟื้นฟูยังไม่อยู่ในสภาพพร้อมรับมือกับการเคลื่อนไหวภายใต้คำสั่งอันเฉียบขาดของอะดรีนาลีน
อากาศที่ถูกสูดผ่านจมูกอย่างรวดเร็วกลายร่างเป็นเข็มแหลมพุ่งเข้าไปทิ่มแทงปอดจนเสียดร้าวไปหมด
ขาทั้งสองข้างประท้วงด้วยอาการสั่นเทาอย่างหนัก ทำให้ทุกๆก้าวโงนเงนง่อกแง่ก  


มันใกล้เข้ามาแล้ว!!!!
และผมไม่ได้คิดไปเอง...
เพราะฝีเท้าผม ไม่ได้ผ่อนลง...กลับจะเร็วขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
แต่เจ้าของรถ จงใจเร่งเครื่องจี้ตามหลังผมมาติดๆ


เจ้าของรถคันนั้นต้องการอะไร?
ทำไมถึงทำแบบนี้?
.
.
ทำไมถึงต้องเป็นผม?
ทำไม มันไม่ปล่อยผมไปเสียที?...ทำไม????


สุดท้ายแล้ว...
แรงคน หรือจะสู้แรงม้า
ผมคงไม่มีวันหลีกหนีไปจากชะตากรรมนี้ได้จริงๆ


อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก!!!


ผมร้องด้วยความตกใจทันทีที่ตัวผมกระแทกเข้ากับอะไรบางอย่าง...
.
.
.
.
.
บางอย่างที่อุ่น...
อุ่นเหมือนร่างกายคน...


“ชู่ว์!! ไม่เป็นไรแล้วนะจ้า นี่พี่รักษ์เอง” คนที่กอดผมเอาไว้แน่นพูดปลอบขวัญด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“พี่รักษ์?!


ผมเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงที่ยิ้มจนตาหยี
จากนั้นจึงค่อยๆยันตัวออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย
เพราะเริ่มจะวางหน้าไม่ถูกที่ต้องอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายด้วยกัน


“ครับ...พี่มารับ แต่พี่ขับรถมาผิดประตู...
...ไม่รู้ว่าประตูนี้ไม่ให้รถเข้าหลังหกโมง...
...จะให้พี่ขับวนไปเข้าประตูข้างหน้า...พี่ก็กลัวว่าจะสู้การจราจรไม่ไหว...
.
...อีกอย่าง  กลัวจ้าจะหนีกลับบ้านไปเสียก่อน พี่เลยจะเดินเข้าไปรับ...
...แล้วเมื่อกี๊...จ้าร้องทำไมครับ ตกใจอะไรเหรอ?”

“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกครับพี่รักษ์...
...พอดีทางเดินมันมืด  แล้วอยู่ๆจ้าก็เดินชนพี่โดยที่ไม่ได้เตรียมใจมาก่อน จ้าเลยเผลอร้องเสียงดังไปหน่อย...
.
...แล้วพี่รู้ได้ยังไงว่าจ้าเรียนที่นี่?...รู้ได้ยังไงว่าจ้าจะกลับบ้านกี่โมง”


ผมอดสงสัยในความพอเหมาะพอเจาะของกาปรากฏกายของอีกฝ่ายไม่ได้จริงๆ
ดูเหมือนพี่รักษ์จะอยู่ถูกที่ถูกเวลาเสมอ...
ราวกับว่า เขารู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับผมดียิ่งกว่าตัวเอง


“จ้าลืมไปแล้วเหรอว่าพี่เป็นตำรวจ...
.
.
...อย่าเพิ่งทำหน้าแบบนั้นสิครับจ้า พี่แค่รู้ว่าจ้าเรียนที่ไหนเพราะบังเอิญถามลุงจอมเมื่อตอนที่เดินไปส่งลุงนั่นแหละ...
...ส่วนที่มาแล้วเจอจ้าวันนี้ เพราะการคาดเดาและสัญชาตญาณล้วนๆเลยครับ...
...ไป กลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ จ้าเกรงใจ”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก พี่มีเรื่องอยากคุยกับจ้าเยอะเลย...
.
...แต่ก่อนอื่น เราไปแวะหาอะไรกินกันก่อนดีไหม...
...พี่หิวข้าวจนจะเดินไม่ไหวอยู่แล้วน่ะครับ”

“ครับ...แล้วแต่พี่รักษ์เลยครับ”


ผมเดินตามหลังพี่รักษ์ไปที่รถ
ในขณะที่สมองทบทวนภาพสุดท้ายของรถคันนั้นที่ทำทีเป็นวิ่งผ่านเลยไป
หลังจากมองเห็นแต่ไกลว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียว
.
.
.
.
คนขับมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่คันนั้น...
ใส่เสื้อช็อปสีแดงเลือดหมู

ผมแน่ใจร้อยเปอร์เซนต์ว่า ตั้งแต่เริ่มเรียนที่นี่มา
ผมไม่เคยมีคนรู้จักเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์


------------------------------------------------------------------------------------


คืนนี้พี่รักษ์เดินมาส่งผมถึงหน้าบ้าน อ้างว่าอยากได้คำตอบเรื่องที่จะให้ผมไปพบกับพี่โอ๊ตอีกครั้งโดยเร็วที่สุด
ผมไม่ค่อยเข้าใจเหตุผล และ ความจำเป็นของพี่รักษ์ในเรื่องนี้สักเท่าไร

แค่ผมตกใจง่าย และดูเคร่งเครียดว่าเด็กคนอื่นๆในวัยเดียวกัน...
นั่นไม่ได้หมายความว่า ผมควรจะไปหาจิตแพทย์เพื่อพูดคุย หรือ บำบัดอาการพวกนี้เสียหน่อย

ผมจึงขอผัดผ่อนนัดครั้งหน้ากับพี่โอ๊ตออกไปก่อน
โดยต้องยอมแลกกับการรับส่งของคุณตำรวจทุกๆเย็น



พี่รักษ์ต้องการอะไรจากผม?
ทำไมถึงทำดีกับคนไม่รู้จักได้มากขนาดนี้?
ทำไมต้องขอให้สายตรวจหมั่นแวะผ่านมาแถวบ้านผมถี่มากขึ้น?
ทำไมถึงอยากให้ผมไปคุยกับพี่โอ๊ต...ทำไมถึงอยากให้ผมสบายใจ และไม่เครียด?
แล้วเรื่องที่พี่รักษ์รู้เรื่องส่วนตัวของผมอีกล่ะ...พี่รักษ์รู้รายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับตัวผมได้อย่างไร?
พี่รักษ์กำลังหวังอะไร?



...แล้วพบกันนะครับ...
.
.
.
...เด็กดีของพี่



หรือพี่รักษ์จะเป็น มันจริงๆ?





“ไอ้จ้า!! มึงมัวแต่ไปทำอะไรอยู่ ทำไมเพิ่งกลับบ้าน?” เสียงลุงจอมดังขึ้นทันทีที่ผมไขเปิดประตูรั้วหน้าบ้าน

“ลุง?!!


ผมยกมือขึ้นไหว้ตามที่ถูกสั่งสอนมา
ทว่าในใจกลับกังวลถึงเหตุที่ทำให้ลุงจอมกลับมาบ้าน

ผมกำสายกระเป๋าสะพายของตัวเองเอาไว้แน่น...
นึกดีใจที่เก็บบัตรเอทีเอ็มไว้ในกระเป๋ากางเกง


“เออ! กูเอง...
.
.
...ทำไม? ตกใจนักเรอะไงที่เจอหน้ากู?“

“เปล่าครับ...จ้าแค่แปลกใจ ไม่คิดว่าลุงจะกลับบ้าน”

“ก็นี่บ้านกู กูจะกลับเมื่อไร มันก็เรื่องของกู”

“งั้นจ้าขึ้นไปทำการบ้านข้างบนก่อนนะครับ” ผมถอดรองเท้า แล้วค้อมตัวเดินเร็วๆผ่านลุงเข้าไปในบ้าน แต่ยังไม่ทันไร ผมก็โดนลุงคว้าต้นแขนเอาไว้จนเดินต่อไปไม่ได้

“เดี๋ยว!!!...
.
.
...ไอ้จ้า  มึงมีเงินติดตัวเท่าไร?”

“จ้าไม่มีเงินหรอกลุง...ลุงเอาเงินจ้าไปหมดแล้ว” ผมโกหก...แต่คำโกหกของผม ไม่เคยใช้ได้ผลกับลุงเลยสักครั้ง

“กูไม่เชื่อ!!! เอากระเป๋าตังค์มึงมาให้กูเดี๋ยวนี้!!!” ลุงกระชากกระเป๋าออกจากแขนผม โชคดีที่ผมกำสายกระเป๋าเอาไว้แน่น ผมเลยยังพอยื้อยุดกระเป๋าเอาไว้กับตัวได้

“ลุง...จ้าขอเถอะ ลุง....ลุง”


ผมพยายามอ้อนวอนเหมือนกับทุกครั้งที่ลุงทำแบบนี้
แต่ผีพนันในตัวลุง กลับอาละวาดได้อย่างร้ายกาจไม่ต่างไปจากทุกที
ยิ่งครั้งไหนผมไม่ให้ความร่วมมือ...ครั้งนั้น ผีพนันจะยิ่งเฮี้ยนหนัก


“หนอยยย!!! มึงกล้าหือกับกูเรอะ...ปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะไอ้จ้า เอากระเป๋ามึงมาให้กูซะดีๆ!!!


ลุงจอมกระชากกระเป๋าจนผมได้ยินเสียง แคว่กเบาๆ...
กระเป๋าใบเก่งของผมคงทนได้อีกไม่นาน
ผมเลยยกมือขึ้นเหนือหัวเพื่อไหว้ขอความเห็นใจจากผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้เลี้ยงดูผมมาตั้งแต่เด็ก


“ลุงครับ จ้าไหว้ล่ะ อย่าเอาเงินจ้าไปเลยนะ....(ผั่วะ!!!)...โอ๊ยยย!!!” ลูกถีบที่กระแทกเข้าตรงหน้าท้อง ทำเอาผมจุกจนลุกไม่ขึ้น  แน่นอน...กระเป๋าใบเก่งของผม ถูกรื้อค้นจนไม่เหลือชิ้นดีไปเสียแล้ว

“ต้องให้กูเหนื่อยอยู่เรื่อยนะไอ้หลานจัญไร...มีเงินนี่ไม่เคยแบ่งกูใช้บ้างเล๊ยยย!!


ลุงควักเงินที่มีเกือบทั้งหมดในกระเป๋าตังค์ออกไปนับ
ก่อนจะทิ้งแผ่นกระดาษสีเขียวสามสี่ใบลงกับพื้น...
ผมรู้ นั่นคือเงินที่ลุงเจียดให้ผมมีพอใช้ไปหาเงินก้อนใหม่มาให้แกถลุง


“ลุง...อย่าเอาเงินจ้าไปเลยนะ จ้าจะเก็บเอาไว้เรียนหนังสือ” ผมพยายามอ้อนวอนขอความเห็นใจอีกครั้ง เผื่อว่าลุงจอมจะสงสารผมจนเอาชนะผีพนันได้ในที่สุด

“โอ๊ย หนวกหูโว๊ย... น่ารำคาญจริงๆเลยมึงนี่...
...กลับมาบ้านทีไร เป็นต้องบีบน้ำตาร้องไห้ฟูมฟายใส่กูทุกที...
.
...รู้งี้ก็ไม่กลับมาเสียก็ดี” ลุงจอมพูดเสียงดังเหมือนตั้งใจให้เพื่อนบ้านได้ยินระหว่างมุ่งหน้าไปยังประตูหน้าบ้าน

“.............”


ผมได้แต่นั่งน้ำตานอง มองตามลุงที่เดินออกจากบ้านไปพร้อมกับเงินส่วนหนึ่งที่ผมเพิ่งเบิกออกมาใช้วันนี้...
เงินอีกก้อนที่เหลือ...จะพอใช้ทันได้งานใหม่หรือเปล่า  ผมก็ยังไม่รู้


ผมชักอิจฉาพี่หรั่งเสียแล้วสิ...
บางครั้ง ความตายก็ช่างน่าปรารถนาเสียจริงๆ
  

------------------------------------------------------------------------------------



ทันทีที่เครื่องยนต์สี่ร้อยซีซีดับลง
ถุงมือหนังก็ถูกถอดออก แล้วฟาดลงบนถังน้ำมันเต็มแรง

เขาเจ็บใจ...
ทั้งที่สบโอกาสได้อยู่ลำพังกับคนๆนั้นแล้วแท้ๆ
แต่กลับมีคนอื่นโผล่มาขัดจังหวะเสียได้...
ไม่น่าเลยจริงๆ
.
.
.
.
ช่างมันเถอะ ถึงวันนี้จะไม่สำเร็จ
แต่พรุ่งนี้...เขาจะลองดูใหม่อีกครั้ง
หวังว่า เขาจะมีโอกาสได้เข้าใกล้เจ้าของนัยน์ตาหวานซึ้งปนเศร้าคนนั้นอย่างที่ตั้งใจเอาไว้เสียที





------------------------------------------------------------------------------------



ตอนใหม่มาแล้วค่า...
จริงๆตอนนี้ก็ไม่ได้เฉลยเนื้อหาอะไรเพิ่มเติมเลยนะคะ
แถมจะยิ่งทำให้งงด้วยการแนะนำตัวละครอีกตั้งสองตัวเพิ่มความสับสนเล่นอีกต่างหาก ฮ่า ฮ่า ฮ่า
และขอบอกว่า ตอนนี้พระเอกมาแล้วค่า ก๊าววววว...

พระเอกของเราเค้ามีวีรกรรมร่วมกับนายเอกนะคะ
เพราะฉะนั้น ฮีจะได้รับคะแนนความไว้ใจและสงสารจากจ้าเยอะหน่อยค่ะ
แต่ฮีเป็นคนดีมากค่ะ รับรองใครๆก็ต้องรักฮี  เหรออออ?  




------------------------------------------- TBC -----------------------------------------



No comments:

Post a Comment