Saturday, May 9, 2015

◘ ชั่ว...ฟ้า ดินสลาย ◘ #02 ||09.05.2015



#02




“...จ้า...ตื่นแล้วเหรอ? หิวไหม? เช้านี้รู้สึกยังไงมั่ง?”


ทุกครั้งที่ผมผมลืมตาขึ้นท่ามกลางกลิ่นสะอาดๆของน้ำยาฆ่าเชื้อ
ผมจะเจอกับผู้ชายคนหนึ่ง
เขาจะนั่งเฝ้ามองผมอยู่ตรงโซฟาตัวนั้นเสมอ...

เขาบอกว่า เขาชื่อรักษ์
เขาบอกว่า เขาเจอผม แล้วก็พาผมมาโรงพยาบาล


ดูเหมือนเขาจะเป็นห่วงผมมาก
ดูเหมือนเขาจะเป็นคนดี
ดูเหมือนเขาจะใจเย็น


แต่ไม่รู้สิ...
ผมกลับรู้สึกไม่สนิทใจอย่างไรบอกไม่ถูก


“จ้า... จ้าได้ยินพี่ไหม?”


ก็ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร...
ที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้น...

เขาทำดีกับผม ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแม้แต่นิดเดียว...
ปกติ...เราทำดีกับคนแปลกหน้าได้มากขนาดนี้เลยเหรอ?  
เขาต้องการอะไรกันแน่?


“จ้า... งั้นจ้ากินข้าวเช้าก่อนนะ เดี๋ยวก่อนพี่ออกไปทำงาน...เพื่อนสนิทพี่จะมาเยี่ยมจ้า...
.
...พอพี่เล่าเรื่องจ้าให้เขาฟัง เขาก็อยากมาคุยด้วย อยากมาให้กำลังใจ...
...จ้าจะได้หายป่วยไวๆยังไงล่ะ”


ท่าทาง หน้าตา พูดจาดีแบบนี้...
ผมจะไว้ใจเขาได้หรือเปล่า?
เขา...ไม่ใช่ มันใช่ไหม?


“จ้า... จ้าไม่โกรธพี่เรื่องลุงจอมใช่ไหมครับ?”


ลุงจอม?
เขาพูดชื่อของลุง...
.
.
จริงสิ ผมจำได้ว่า เขาเป็นคนบอกให้ลุงจอมมาหาผมนี่นะ

อืม...ถ้าอย่างนั้น เขาก็น่าจะไว้ใจได้ล่ะมั้ง
ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่ช่วยผมคุยกับลุงจอมหรอก...
.
...ใช่ไหม?


“จ้าครับ...ไม่โกรธพี่ที่พี่ให้ลุงจอมมาหาจ้าเมื่อวานใช่ไหมครับ?”

“....ครับ..... จ้าไม่โกรธ...”


เขาดีใจเหรอ?
ทำไมถึงยิ้มกว้างขนาดนั้น?

แล้วทำไมเขาต้องดีใจด้วย
แค่ผมบอกว่าไม่โกรธเขา... ถือเป็นเรื่องน่าดีใจแล้วเหรอ?
.
.
.
แปลก...
เขาแปลกไปรึเปล่า?


“ดีจัง ถ้างั้น...กินข้าวเช้าเยอะๆนะ จะได้แข็งแรง”

“ครับ”


เขาบอกว่าถ้ากินข้าวเยอะ ผมจะแข็งแรง...
นั่นแปลว่าเขาหวังดีกับผมใช่ไหม?
ผมจะเชื่อคำพูดของเขาได้ไหมนะ?

ถ้าผมยอมเชื่อสิ่งที่เขาบอก...
เขาจะทำดีกับผมไปตลอดไหม?
หรือผมจะไว้ใจเขาได้จริงๆ?


“...แล้วพี่...
...ไม่กินเหรอครับ?”

“ก่อนจ้าจะตื่น พี่กินกาแฟไปแล้วครับ... ขอบคุณนะครับ ที่เป็นห่วงพี่” 


เขาดีใจอีกแล้ว
ทำไม?
ทำไมล่ะ?


แปลก....
แปลกเกินไป
แปลกจนไม่น่าไว้ใจ


 (ก็อก ก็อก ก็อก)


ใคร?
ใครมา?
ใครเข้ามาในห้อง?
ผู้ชายหน้าขาวคนนั้นเป็นใคร?

แล้วเขาจะหันไปยิ้มกับคนที่มาใหม่ทำไม?
หรือเขาสองคนกำลังนัดแนะอะไรกันอยู่?!!
.
.
อันตราย...
อันตรายแน่ๆ
!!!


“จ้า...นี่เพื่อนสนิทพี่เองนะครับ...
.
...พี่เขาชื่อพี่โอ๊ต...
...พี่โอ๊ตอยากมาเยี่ยม อยากมาคุยกับจ้า...
...จ้าคุยกับพี่เขานะครับ เดี๋ยวพี่ไปทำงานก่อน เดี๋ยวเที่ยงๆพี่จะแวะมากินข้าวด้วย”

“...พี่รักษ์...”


ผมเรียกเขา
อย่างน้อย...มีเขาอยู่ด้วย คงดีกว่าต้องอยู่กับคนหน้าขาวที่เพิ่งมาใหม่แค่สองคน
.
.
.
.
ผมไม่รู้จักคนที่เพิ่งมาใหม่...
ผมไม่อยากคุยกับคนหน้าขาว...
ผมอึดอัด...
ไม่เอา!!


“ไม่ต้องห่วงและไม่ต้องกลัวไปหรอกนะจ้า เพราะพี่โอ๊ตใจดีสุดๆ...เชื่อพี่สิ...
.
.
...ไอ้โอ๊ต กูไปทำงานก่อนนะ...
...มีอะไรโทรมา...
...กูฝากน้องด้วยนะมึง”

“เออๆ มึงรีบไปทำงานเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้ เดี๋ยวกูดูแลจ้าให้เอง”


เขาเดินออกจากห้องไปแล้ว!!
เขาเดินออกไปแล้ว!



พี่หรั่ง!
พี่หรั่งช่วยจ้าด้วย... จ้ากลัว!
จ้ากลัวคนหน้าขาว!!


“น้องจ้า...
...พี่ชื่อโอ๊ตนะครับ...
.
.
...เป็นยังไงบ้างครับ? ข้าวต้มอร่อยไหม?”


คนหน้าขาวไม่เหมือนคนอื่น...
.
.
.
เขาไม่เดินเข้ามาใกล้
เขานั่งอยู่ตรงนั้น...
เหมือนเขารู้มาก่อนว่าผมกลัวเขา

แต่อีกคนก็ทำแบบนี้...
สุดท้ายแล้วก็มาโดนตัวผม
ไม่น่าไว้ใจ...
ไม่น่าไว้ใจทั้งสองคนสินะ


เขายังไม่ได้ล้ำเส้นนะจ้า...
.
.
หรือเขาจะเป็นคนดีจริงๆ?


แต่ถ้าเขาจะทำร้ายผมที่นี่...
ผมจะหนีไปไหนได้?


“จ้า... ไม่ต้องกลัวนะ...
.
...พี่ไม่ทำอะไรจ้าหรอกครับ...
...พี่แค่อยากมาคุยกับจ้า...
...อยากรู้ว่าจ้ารู้สึกยังไงบ้าง จ้าสบายดีรึเปล่า...อะไรทำนองนั้นน่ะ”


ทำไมต้องอยากคุยกับผม?
เป็นใครก็ไม่รู้...ทำไมต้องอยากรู้เรื่องของผมด้วย? 


ทีผม...ยังไม่อยากรู้เรื่องของเขาเลย


“จ้า... ช่วงนี้หลับสบายไหมครับ?”


ถามเรื่องนอนทำไม?
ไม่เคยมีคนแปลกหน้าที่ไหนถามผมแบบนี้มาก่อน....

หรือว่าเขาจะรู้เรื่อง มัน?
เขารู้เหรอว่า ผมเจอ มันทุกครั้งที่ผมนอนหลับ?
เขารู้ใช่ไหมว่าผมนอนไม่ค่อยหลับ เพราะเอาแต่ฝันถึง มัน
เขารู้ได้ยังไง?


“จ้า...บอกพี่ได้ไหมว่าจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ครับ?...
.
.
...ทำไมต้องกัดเล็บด้วยล่ะจ้า?...
...จ้ากังวลอะไรอยู่?...
...บอกพี่ได้นะครับ พี่พร้อมรับฟัง...
...พี่อยู่ข้างจ้านะ”


ไม่จริง!!!
ไม่มีใครอยู่ข้างจ้านอกจากพี่หรั่ง!!

แต่พี่หรั่งตายแล้ว...
ไม่มีใครอยู่ข้างจ้า...
ไม่มี!!
ไม่มี!!!!!!


“เอาอย่างนี้แล้วกัน...
...ไหนจ้าบอกพี่ได้ไหมว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นบ้าง?...
.
.
...พี่รักษ์บอกพี่ว่า...
...ลุงจอมมาเยี่ยมจ้าใช่ไหมครับ?”


คนๆนี้ก็รู้เรื่องของลุงเหรอ?
ถ้าอย่างนั้น...
ก็คุยกับเขาได้เหมือนกันสินะ


“..........ใช่.............ลุงจอมมาหาจ้า.........................”

“แล้วจ้าดีใจไหมที่ลุงมาหา?”
.
.
.
.
“ก็ดีใจครับ... แต่...”

“แต่อะไรครับจ้า?”
.
.
.
.
.
“แต่ลุงไม่ดีใจที่จ้านอนโรงพยาบาล”

“ลุงคงเป็นห่วงจ้ามาก เลยไม่อยากให้จ้านอนโรงพยาบาล...อย่างนั้นใช่ไหมครับ?”
.
.
.
.
.
“จ้าไม่อยู่หลายวัน...ลุงคงไม่มีเงิน...
.
.
.
...ลุงเลยไม่อยากให้จ้านอนโรงพยาบาลครับ”

“แล้วที่จ้าไม่อยู่ จ้าไปไหนมาครับ?”
.
.
.
.
.
.
.
.
“จ้าไม่ได้ไปไหน...จ้าไปลาพี่หรั่ง แล้ว...แล้ว....”

“แล้วอะไรครับ?”

“.........................................................”


พี่หรั่ง!!
พี่หรั่ง...จ้าไม่อยากคุยแล้ว 
จ้าไม่อยากคุยกับคนหน้าขาวแล้ว!!!!


“จ้า...แล้วอะไรครับ?  เกิดอะไรขึ้นครับจ้า? บอกพี่ได้ไหม?”


พี่หรั่ง...จ้าไม่อยากคุย
พี่หรั่งช่วยหยุดเขาที!!

จ้าไม่อยากนึกถึงเรื่องนั้น...
จ้าไม่อยากนึกถึงเรื่องของ มัน


“จ้าครับ...พี่ขอโทษนะ พี่ไม่ถามแล้วก็ได้... เราเปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่าเนอะ”


ทำไมล่ะจ้า?
ทำไมจ้าถึงอยากลืมเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากตอนนั้น?



ก็จ้าไม่อยากนึกถึง มันอีกนี่นา
จ้ากลัว!!

มัน ทำร้ายจ้า
และจ้าก็รู้ว่า... มัน นั่นแหละ ที่ฆ่าพี่

พี่หรั่งรู้ไหม...
มันบอกว่า มัน จะกลับมาหาจ้าอีก

ถ้าจ้านึกถึง มัน บ่อยๆ...
.
.
วันนึง มัน ก็จะหาจ้าเจอ...
แล้วมัน จะกลับมาทำร้ายจ้า
ทำให้จ้าเจ็บ ทำให้จ้ากลัวเหมือนตอนนั้นอีก 



แน่ใจเหรอจ้า?
จ้ารู้ได้ยังไง?
จ้าคิดไปเองคนเดียวรึเปล่า?

กรุงเทพฯก็ตั้งกว้าง...
มัน จะหาจ้าเจอได้ยังไง?



โธ่พี่หรั่ง...
เชื่อจ้าสิ
.
.
.
ก็ตอนที่จ้าไปงานศพพี่หรั่ง...
มัน ยังตามไปจับตัวจ้าได้เลย

เพราะอย่างนั้น...
ที่ มัน บอกว่า มัน จะกลับมาหาจ้า

มัน ทำแน่ๆ
มันแค่กำลังรอให้จ้านึกถึง มัน...แล้วมันก็จะมา
จ้าเลยต้องระวังตัวแบบนี้ไง
เพราะพอไม่มีพี่หรั่ง...ก็ไม่เหลือใครอีกแล้ว ที่จะช่วยจ้า



จริงเหรอ?
จริงเหรอจ้า?
จ้าเชื่ออย่างนั้นจริงๆเหรอ?


“.........จริงสิ!!.... มันกำลังจะมาจริงๆนะ.........”

“ห๊ะ?!... เมื่อกี๊จ้าพูดอะไรนะครับ? พี่ไม่ทันได้ยิน”



พี่หรั่ง!!!!!!...
พี่หรั่งถามจ้าแบบนั้นทำไม?

ดูซิ...
คนอื่นรู้เรื่องของมันหมดแล้วเนี่ยะ

แล้วถ้าคนอื่นรู้เรื่องจ้ากับ มันมากๆเข้า
มัน ก็จะยิ่งหาจ้าเจอง่ายไปกันใหญ่น่ะสิ

คนหน้าขาวจะไปบอก มัน ไหมพี่หรั่ง?
เขาจะเอาเรื่องจ้าไปบอก มัน ไหม?


“จ้า...จ้าเคยได้ยินเสียงคนคุยกันในหัวรึเปล่าครับ?”


คนหน้าขาวรู้เรื่องของเรามากไปแล้ว...
เขารู้ด้วยว่าจ้ากำลังคุยกับพี่

พี่ดูสิ...
เขาจ้องหน้าจ้าใหญ่เลย
เขาต้องอยากรู้เรื่องที่จ้ากำลังคุยกับพี่อยู่แน่ๆเลย...


พี่หรั่ง...
ถ้าเขารู้เรื่องที่พี่คุยกับจ้า...
เขาจะมาเอาพี่หรั่งไปจากจ้าใช่ไหม?
.
.
.
.
ใช่!! คนหน้าขาวต้องมาที่นี่ เพื่อแยกจ้าออกจากพี่แน่ๆ


ไม่เอา!!
จ้าไม่ยอมหรอก!!!


พี่หรั่ง...
จ้าจะไม่บอกเรื่องพี่กับใคร
แต่พี่ต้องห้ามส่งเสียงดัง
และต้องห้ามถามอะไรแปลกๆอีกนะ


“เปล่าครับ”

“เมื่อกี๊...จ้าไม่ได้พูดว่าใครกำลังมาหรอกเหรอ?”


คนๆนี้ฉลาดจังพี่หรั่ง...
จ้าจะทำยังไงดี?
คนหน้าขาวจะต้องจับได้แน่ๆ ว่าพี่แอบมาอยู่กับจ้า
.
.
.
.
โกหกอีกสิจ้า...
อย่าให้คนหน้าขาวจับได้


แต่พี่หรั่งเคยบอกว่า ไม่ให้จ้าโกหกถ้าไม่จำเป็นนี่นา


โกหกตอนนี้ไม่เป็นไรหรอก
ถ้าจ้าจะทำเพื่อตัวจ้า
และถ้าจ้าจะทำเพื่อพี่หรั่ง
แค่โกหก...ไม่เป็นไรหรอก

ไม่เป็นไรจริงๆ...
เชื่อเถอะ


“เปล่าครับ...จ้าไม่ได้พูด”

“ครับๆ ไม่ได้พูดก็ไม่ได้พูด”


จ้า...
จ้าจำเอาไว้นะ...

หลังจากนี้
เวลาอยู่กับคนอื่น ห้ามทำตัวผิดปกติเป็นอันขาด
ไม่อย่างนั้น คนอื่นจะมาเอาพี่หรั่งไปจากจ้า
แล้วเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกเลย



ได้ครับพี่หรั่ง...
จ้าไม่อยากให้คนอื่นมาเอาพี่หรั่งไป
จ้าจะพยายาม
จ้าจะไม่ทำตัวผิดปกติ


“เวลาว่างจ้าชอบทำอะไรครับ?”

“พี่โอ๊ตครับ จ้าง่วงแล้ว...ขอนอนได้ไหมครับ?”

“โอเคครับ...งั้นพี่ไม่กวนจ้าแล้วล่ะ”


------------------------------------------------------------------------------------


((เท่าที่กูลองสังเกตพฤติกรรมของน้องตอนที่นั่งคุยกันตอนสายเมื่อวาน...
ประกอบกับอาการบาดเจ็บทางร่างกายตามที่หมอเจ้าของไข้บอกมึง...
.
.
...กูยังยืนยันร้อยเปอร์เซนต์ไม่ได้หรอกว่ะ ว่าน้องมีอาการทางจิตแน่ๆรึเปล่า...
...เพราะตอนนี้ น้องยังไม่ไว้ใจกู... กูเลยไม่ได้รู้อะไรจากปากเขามากนัก))

“อ้าวไอ้โอ๊ต...มึงเป็นหมอโรคจิตประสาอะไรวะ ทำไมมึงถึงยังบอกอะไรไม่ได้?”

((ไอ้ห่ารักษ์!!  กูเป็นจิตแพทย์ ไม่ใช่ซินแสดูโหงวเฮ้ง!...
...จะให้กูเพ่งเม็ดไฝบนใบหน้า แล้วพยากรณ์โรคร้ายได้เป็นฉากๆ นั่นก็ยอดมนุษย์เกินไปแล้ว...
.
.
...แค่คุยกันไม่ถึงชั่วโมง...
...ต่อให้เป็นซิกมันด์ ฟรอยด์ ก็ไม่มีทางฟันธงได้หรอกสัส))

“แต่กูสงสารจ้าว่ะ เห็นน้องโดนมัดเมื่อวาน กูไม่สบายใจเลยว่ะโอ๊ต” 

((โอเค โอเค...เอางี้ มึงตั้งใจฟังนะไอ้รักษ์...
.
...ตอนนี้ สิ่งที่กูบอกมึงได้แน่ๆก็คือ น้องมีอาการหวาดกลัวคนแปลกหน้า...
...น่าจะรวมถึงหวาดกลัวการสัมผัส ซึ่งคงเป็นผลมาจากการล่วงเกินทางเพศแบบวิตถาร หรือทารุณ... 
...เพราะฉะนั้น ตราบใดที่เขายังไม่ไว้ใจมึง มึงต้องเลี่ยงการถูกเนื้อต้องตัวน้องอย่างเด็ดขาด...
.
...เวลามึงคุยกับน้อง มึงต้องใจเย็นกว่าปกติอีกสิบเท่า...  
...อย่ากดดัน คาดคั้น หรือบังคับเขา...
...เพราะความเครียด อาจเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้จ้าต่อต้าน...
.
.
...สภาพน้องไม่ปกติแบบนี้  ถ้าโดนเค้นจนเครียดมากๆ...
...น้องอาจเตลิด หรือใช้ความรุนแรงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมันอาจเป็นอันตรายต่อตัวเขา หรือคนรอบข้างก็ได้...
...แต่ถ้ามึงหักห้ามความอยากรู้อยากเห็นเรื่องของน้องไม่ได้จริงๆ กูแนะนำให้มึงถามน้องเกี่ยวกับเรื่องของคนในครอบครัว คนสนิท หรือคนที่เขารัก แล้วค่อยๆตะล่อมถามเรื่องอื่นแทรกๆไป น้องน่าจะยอมเล่าอะไรให้มึงฟังบ้าง... เพราะตอนกูคุยกับน้อง กูก็อ้างชื่อลุงจอม...ซึ่งก็เวิร์คอยู่))

“เออๆ กูก็ทำแบบนั้นอยู่เหมือนกันแหละ...
...แต่สงสัยว่าชื่อลุงจะใช้ไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่แล้วว่ะ เพราะพอกูถามเรื่องลุงมากๆเข้าทีไร...
...กูได้กลายเป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับห้องคนป่วยที่จ้าไม่คิดจะแลทุกที”

((เซนส์กูบอกว่า ครอบครัวน่าจะเป็นอีกปัญหาที่ทำให้จ้าปิดตัวเอง...
...เอางี้  ไว้น้องยอมคุยกับกูเมื่อไหร่ กูจะแอบถามให้แล้วกันว่า ความสัมพันธ์ของลุงกับน้องราบรื่น หรือรุ่งริ่งแค่ไหน...
.
.  
...ส่วนสาเหตุที่อยู่ๆจ้าเกิดคุ้มคลั่งขึ้นมา...
...กูว่าน่าจะเป็นเพราะมีสิ่งเร้า หรืออะไรสักอย่างจากภายนอก เป็นตัวกระตุ้นทำให้น้องหวนคิดไปถึงเรื่องวันนั้น...
...และด้วยสภาพจิตใจที่บอบช้ำเป็นทุนเดิม น้องเลยจัดการกับความรู้สึกกลัวเฉียบพลันไม่ได้ดีอย่างที่คนปกติควรจะทำ...
.
.
.
...บอกตรงๆ ด้วยข้อมูลที่กูมีในตอนนี้...
...กูก็ยังไม่รู้หรอกว่า ชนวนที่ทำให้จ้ากลัวจนขาดสติแบบที่มึงบอกคืออะไรกันแน่)) 

“กูก็มืดแปดด้านไม่น้อยไปกว่ามึงหรอกว่ะโอ๊ต...
.
...วันนั้น น้องก็ยังดีๆอยู่  กูพูดด้วย เขาก็รับคำ...
...ก่อนกูลงไปข้างล่าง กูเปิดหนังให้น้องดูไปพลางๆระหว่างที่กูลงไปส่งลุงเขา...
...แล้วพอขึ้นมา น้องก็ส่งเสียงร้องแปลกๆ จนกูเผลอไปจับตัวเขาเข้านั่นแหละ...
.
.
...พอน้องหลับ กูเลยลองถามพวกพยาบาล เผื่อว่าจะมีใครแอบเข้าไปในห้องน้องระหว่างที่กูไม่อยู่...
...แต่มึงรู้ไหม ทุกคนยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า นอกจากลุงของจ้ากับกูแล้ว ไม่มีญาติผู้ป่วย หรือคนแปลกหน้าที่ไหนป้วนเปี้ยนตรงแถวหน้าห้องน้องแม้แต่คนเดียว... หลังจากฟังที่พยาบาลบอก กูก็เครียดเลยทีนี้  ไม่รู้ว่าน้องสติแตกเพราะกู หรือเพราะสาเหตุอื่น”

((เอาน่า...ใจเย็นไอ้รักษ์ อย่าเพิ่งคิดมากดิวะ...
...กูว่า มึงเลิกเครียดเรื่องเมื่อวันก่อน แล้วเอาเวลาไปจับสังเกตอาการน้องให้ละเอียดจะดีกว่า...
...ระหว่างที่น้องอยู่กับมึง  ถ้าน้องเกิดทำตัวผิดปกติ หรือมีอาการแบบที่คนทั่วไปเขาไม่เป็นกัน...
...ยิ่งเป็นจำพวกหูแว่ว เห็นภาพหลอน หรือเชื่ออะไรที่ไม่เป็นความจริง  มึงยิ่งต้องรีบบอกกูทันทีเลยนะ...
.
.
...อ้อ  แล้วก็...
...ไอ้รักษ์...มึงต้องพาจ้ามาหากูให้เร็วที่สุด...
...ถึงกูจะยังไม่ยืนยันผลเต็มร้อย แต่ถ้าจะปล่อยจ้าไปทั้งแบบนี้ กูก็ไม่วางใจอยู่ดี...
.
.
...เอาตรงๆเลยแล้วกัน...
...กูว่าจ้าเฉียดมากว่ะ... 
...จริงๆถ้าเมื่อวาน เด็กมึงออกอาการแปลกๆอีกแค่อย่างเดียว...
...จ้าต้องได้ย้ายมากินนอนกับกูแทนกลับบ้านแน่ๆ))

“เออๆ ไว้กูโทรหาใหม่”


รักษ์วางหูจากหมอโอ๊ต จิตแพทย์ที่เขาตั้งใจจะฝากฝังจ้าเอาไว้ในความดูแล
ใช่ว่าตำรวจหนุ่มจะไม่ไว้ใจหมอเฉพาะทางที่โรงพยาบาลแนะนำให้
แต่เพราะเขาอยากได้ความคิดเห็นนอกเหนือไปจากข้อวินิจฉัย หรือแนวทางการรักษาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กหนุ่ม

จิตแพทย์ท่านอื่นๆ ที่ผู้กองรักษ์ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว
คงลำบากใจไม่น้อย หากต้องถูกคนนอกอย่างเขาซักฟอกสืบสวนเรื่องนั้นเรื่องนี้หนักมือยิ่งกว่าญาติคนป่วย




บ่ายวันนี้ถึงกำหนดที่จ้าจะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว
รักษ์ตั้งใจว่า เขาจะหาทางหว่านล้อมให้จ้ายอมไปหาโอ๊ตเสียด้วยกัน แม้นั่นจะไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไร

จริงอยู่ นับตั้งแต่วันที่จ้าฟื้น...เด็กหนุ่มพูดคุยกับเขามากขึ้น
แต่เมื่อรักษ์ก้าวล้ำเส้น  จ้าจะทำเฉยเมยจนเขารู้สึกเหมือนไร้ตัวตนในสายตาอีกฝ่ายอยู่บ่อยๆ



ท่าทีระแวดระวังตัวแจเข้าขั้นหวาดระแวงของจ้า
น่าจะเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ที่เกิดกับเจ้าตัวไม่มากก็น้อย

รักษ์สลัดความคิดที่ว่า คนที่ล่วงเกินจ้า น่าจะเป็นบุคคลแปลกหน้าสำหรับเด็กหนุ่มไปไม่พ้นเสียที
เพราะเมื่อเจ้าของดวงตาโศกต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่ตนเองไม่รู้จัก เขาจะออกอาการผิดปกติอย่างเห็นได้ชัดเสียทุกครั้งไป


และหากข้อสันนิษฐานของรักษ์ถูกต้อง
จะแปลกอะไร หากจ้าจะจ้องจับผิดเขาด้วยสายตาไม่ไว้วางใจขึ้นมาอีกคน...
ในเมื่อไม่กี่วันก่อน ผู้กองรักษ์ กับเด็กหนุ่มผู้โชคร้ายเป็นเพียงคนแปลกหน้าของกันและกันอยู่จริงๆ


“...........จ้า..........พี่มารับกลับบ้าน”

“ครับ”


บทสนทนาแรกประจำวันของทั้งคู่
เริ่มต้น...และสิ้นสุดลงอย่างง่ายๆเพียงเท่านี้





จนเมื่อรักษ์ขับรถออกจากโรงพยาบาลได้สักระยะนั่นแหละ
ชายหนุ่มจึงโพล่งถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ถึงสิ่งที่ค้างคาใจของเขามาโดยตลอด...
.
.
.
เรื่องเกี่ยวกับใครคนหนึ่ง...
ผู้เป็นเจ้าของชื่อที่เขาเคยได้ยินอีกฝ่ายเพ้อหาบ่อยๆระหว่างเจ้าตัวไม่ได้สติ...
เจ้าของเบอร์โทรศัพท์ที่เด็กหนุ่มโทรหาบ่อยที่สุด แต่กลับขาดการติดต่อ และไม่เคยโผล่มาให้จ้าเห็นหน้าสักครั้ง


“จ้า...พี่ถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?”


คนถูกถามเบือนหน้ามองตำรวจหนุ่มโดยปราศจากคำพูด
อาการสงบนิ่งของจ้า ไม่ได้ทำให้รักษ์ท้อ
ผู้กองหนุ่มเตรียมใจมาแล้วว่า ถึงตลอดระยะทางที่เหลือ เขาจะต้องกลายเป็นอากาศธาตุ
ก็ดีกว่าปล่อยให้ความสงสัยเล่นงานตนเองจนไม่เป็นอันกินอันนอน


“พี่หรั่งคือใครเหรอจ้า?”


ในความรู้สึกของชายหนุ่ม
อาการลุ้นจนแขนทั้งสองสั่นระริกเพราะเผลอออกแรงกุมพวกมาลัยแน่นเกินไป
ไม่สำคัญเท่ากับคำตอบของคำถามแจ็กพ็อตข้อนี้


เด็กหนุ่มเสตามองไปทางอื่น
หยุดนิ่ง...เหมือนฉุกคิดนิดหนึ่ง

สุดท้ายแล้ว...
จะเพราะความคิดถึงหรั่งอย่างที่สุด หรือเพราะเหตุผลใดก็ตาม
จ้าก็ยอมเล่าเรื่องของอดีตพี่ชายผู้มีความสำคัญที่สุดในชีวิตให้รักษ์ฟังง่ายๆ ผิดจากที่รักษ์คาดไว้


 “พี่หรั่งเป็นพี่ชายข้างบ้านของจ้าเองครับ...
.
.
...ตั้งแต่จ้าจำความได้ ก็มีพี่หรั่งคนเดียวนี่แหละ ที่ยอมให้จ้าเล่นด้วย...
...จะว่าไป...จ้ากับพี่หรั่งก็คบกันอยู่แค่สองคน เพราะช่วงที่จ้ากับพี่หรั่งเกิด เด็กๆรุ่นก่อน เขาโตเป็นวัยรุ่นกันไปหมดแล้ว แถมรุ่นที่เด็กกว่าก็ไม่มี  เราสองคนเลยอดเข้าแก๊ง หรือตั้งตนเป็นหัวหน้าใหญ่แบบใครๆเขา” ยิ้มบางๆระบายแต้มใบหน้าขาวซูบยามเจ้าตัวนึกย้อนถึงอดีตที่ตนมีร่วมกับบุคคลที่สาม

“จ้ากับหรั่งคงสนิทกันมากสินะ”

“ครับ...พี่หรั่งเป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ และก็เป็นต้นแบบของจ้าในทุกๆเรื่อง...
.
...พี่หรั่งใจดี ใจเย็นและก็อดทนกับจ้ามาก...
...ตั้งแต่เล็กจนโต พี่หรั่งคือคนๆเดียวที่คอยดูแล ปกป้องไม่ให้ใครมารังแกจ้า...
...พี่หรั่งสอนจ้าให้รู้จักคิด รู้จักดูแลตัวเอง ดูแลคนอื่น...
...สอนให้จ้าอดทน พาจ้าไปฝากเข้าทำงาน  เป็นเพื่อนที่โรงเรียน และก็เป็นพี่รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย...
...สำหรับจ้า พี่หรั่งเป็นคนเก่ง และเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ครับ”

“ถ้าพี่เป็นหรั่ง พี่คงจะดีใจมากที่ได้ยินจ้าพูดถึงพี่แบบนี้”  


รักษ์ไม่ทันสังเกตความน้อยเนื้อต่ำใจที่แอบแฝงอยู่ในประโยคของตนเมื่อครู่  
ไม่อย่างนั้นแล้ว...เขาคงไม่ปล่อยให้หัวใจตัวเองเล่นตลกกับความรู้สึก จนบานปลายกลายเป็นบ่อเกิดแห่งเรื่องราวโศกสลดที่กำลังอ้าแขนรอรับเขาอยู่ในอนาคตอีกไม่ไกล


“...จ้าก็หวังให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน... 
...แต่ถ้าถามจ้า จ้าก็ไม่รู้หรอกครับ ว่าพี่หรั่งจะรู้สึกยังไง ถ้าพี่หรั่งมาได้ยินสิ่งที่จ้าเพิ่งบอกพี่...
.
...และถ้าจะให้จ้าพูดให้พี่หรั่งฟังตอนนี้  จ้าก็ไม่รู้จะทำไปทำไม...
...ในเมื่อพี่หรั่งไม่มีโอกาสรับฟังความรู้สึกที่จ้ามีต่อพี่หรั่งอยู่ดี” รุ่งรวีพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆฟังเรื่อยๆ แต่หางเสียงแผ่วในประโยคท้ายๆ เจือความเศร้าหมองไว้เต็มเปี่ยม

“อ้าว...ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะจ้า?” ด้วยความสงสัย รักษ์ถึงกับยอมตวัดสายตาจากถนนเพื่อมองเสี้ยวหน้าคนพูดอยู่ชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว

“...ก็พี่หรั่งเพิ่งเสียไปหลังสงกรานต์นี่เองครับ...” เด็กหนุ่มตอบอย่างไร้อารมณ์เหมือนกำลังเอ่ยประโยคบอกเล่าธรรมดา

“หรั่งตายแล้วเหรอ?” กลายเป็นรักษ์เสียเอง ที่แบกรับหน้าที่ตกใจแทนพวกเขาทั้งสองคน 

“ครับ”

“ไม่น่าเลยนะ...ยังเด็กอยู่แท้ๆ” น้ำเสียงรักษ์อ่อนลงด้วยเห็นใจครอบครัวของผู้ที่ลาลับ

“ครับ ไม่น่าเลยจริงๆ”

“อย่างนี้พ่อแม่ของหรั่งเขาจะไม่เสียใจแย่หรอกเหรอ?”

“พี่หรั่งอยู่กับตายายแค่สามคนครับ...
.
...เป็นธรรมดาแหละครับ ที่ตากับยายพี่หรั่งจะเสียใจมาก” รุ่งรวียังคงพูดเนิบๆ ไม่ยินดียินร้าย จนนายตำรวจอดสงสัยไม่ได้

“แล้วจ้าล่ะ?...เสียใจไหม?”

“ครับ...เสียใจครับ” ขนาดโดนถามจี้จุด อีกฝ่ายก็ยังตอบแบบสงวนท่าที เด็กหนุ่มไร้อารมณ์จนรักษ์แปลกใจ

“จ้าเก่งนะที่เสียใจ แต่ไม่เสียน้ำตาสักหยด”

“พี่หรั่งเคยบอกว่า ถ้าไม่จำเป็น ลูกผู้ชาย...ห้ามร้องไห้ให้ใครเห็น ห้ามสะอื้นให้ใครได้ยินครับ”


เห็นทีคนตายน่าจะมีความสำคัญกับรุ่งรวีมากกว่าที่รักษ์ประเมินไว้ 
ดีไม่ดี...
หรั่งอาจจะเป็นเพียงคนเดียว ที่จ้ายอมลงให้แบบไม่มีข้อแม้...
ตำรวจหนุ่มจึงทดสอบสมมติฐานของตนจากข้อมูลที่เพิ่งได้ยินจากปากจ้าโดยไม่รั้งรอ


“สิ่งที่หรั่งบอกก็มีเหตุผลนะ...
...แต่พี่ว่า...การร้องไห้ ไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอเสมอไปหรอกนะจ้า...
.
...ในบางครั้ง น้ำตาก็ช่วยชะเอาความอัดอั้นออกไปจากใจเราได้...
...เผลอๆอาจจะดีกว่าเก็บงำความรู้สึกเอาไว้ข้างในจนมันทำร้ายตัวเราเองเข้าสักวัน...
...จ้าไม่คิดอย่างนั้นหรอกเหรอ?”


อีกฝ่ายส่งสัญญาณเป็นความเงียบแทนคำตอบ
รักษ์จึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย ด้วยไม่อยากให้บทสนทนาที่กำลังไปได้สวย ต้องสะดุดด้วยความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง


“หรั่งตายเพราะอุบัติเหตุเหรอ?......พี่ถามได้ใช่ไหม?”


รักษ์กำลังคร่ำเคร่งกับการจราจรอันขวักไขว่ในเขตชุมชน
เขาจึงไม่ทันได้เห็นการวูบไหวของสายตาเด็กหนุ่มเมื่อได้ยินคำถาม
รุ่งรวีหลุบตามองต่ำโดยไม่รู้ตัวระหว่างพูดตอบ


“จ้าก็ไม่รู้เหมือนกันครับ จ้าไม่กล้าถามตากับยายพี่หรั่งตรงๆ...
...เพราะจ้ารู้ว่า แค่ท่านต้องเสียพี่หรั่งไปทั้งที่อายุยังน้อย...ท่านสองคนก็เสียใจมากพออยู่แล้ว”

“จ้าอยากให้พี่ลองสืบเรื่องนี้ดูไหม? พี่ช่วยได้นะ” รักษ์เสนอตัวด้วยความเต็มใจ

“ไม่ต้องหรอกครับเพราะพิธีศพก็เสร็จสิ้นไปแล้ว... ตากับยายพี่หรั่งคงไม่อยากรื้อฟื้น”


คำปฏิเสธของรุ่งรวีไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่
แต่ช่องว่างที่อีกฝ่ายเปิดเอาไว้ต่างหาก ที่ทำให้รักษ์ย่ามใจทั้งที่ไม่ควร

รักษ์จึงเจาะประเด็นที่เขาสนใจอยากรู้มากที่สุด
เขาภาวนาในใจให้จังหวะไหลตามน้ำครั้งนี้
หลอกล่อให้จ้าเผลอพูดถึงประสบการณ์เลวร้ายที่เด็กหนุ่มต้องเผชิญเพียงลำพัง


“แล้วเรื่องของจ้าล่ะ? จ้าอยากจะเอาผิดคนที่ทำร้ายจ้าบ้างรึเปล่า?”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“....พี่รักษ์ครับ...จอดเถอะครับ ถึงบ้านจ้าแล้ว” ผู้กองหนุ่มแทบจะตบปากตัวเอง ที่ทำเสียเรื่องจนได้

“จ้า...พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจ จ้าอย่าโกรธพี่นะ” เขาละล่ำละลัก พลางเทียบรถจอดข้างทาง

“ซอยบ้านจ้ารถเข้าไม่ได้ ต้องเดินต่อเข้าไปเอง จ้าขอลงตรงนี้แล้วกันนะครับ” รุ่งรวีกล่าวโดยไม่มองหน้าคู่สนทนา ดวงตาโศกทอดมองยังปากทางชุมชนแออัดตรงข้างถนนนิ่งๆ

“จ้า...พี่ขอโทษ”


รักษ์ใช้คำขอโทษแทนการอ้อนวอนขอโอกาส
เพราะสิ่งเดียวที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นไม่ว่าตอนนี้ หรือเมื่อไร...
คือ การที่เด็กหนุ่มตัดเยื่อใยที่แทบจะไม่มี  ให้สิ้นสุดลง

รุ่งรวีชั่งใจ แล้วจึงหันกลับไปหารักษ์
ก่อนแถลงคำพิพากษาความผิดของชายหนุ่มเนิบๆ


“จ้าไม่โกรธพี่รักษ์ครับ...ให้จ้าลงเถอะนะครับ”

“....ก็ได้ครับจ้า....”  


ถึงจะยินดีที่อีกฝ่ายไม่ติดใจ
แต่รักษ์กลับลังเลเมื่อต้องปล่อยจ้าไป โดยยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องสำคัญที่โอ๊ตกำชับกำชา  

กระนั้น เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของจ้า
เขาจึงจำใจพักประเด็นหมอโอ๊ตเอาไว้ก่อน
ชายหนุ่มปลอบตัวเองว่า ไว้ค่อยไปเกลี้ยกล่อมจ้าเอาวันหลังอีกที


“แล้วพี่จะโทรหา และมาเยี่ยมจ้าบ่อยๆนะครับ”

“ครับ...แล้วจ้าจะรีบหาเงินค่าโรงพยาบาลมาคืนพี่ให้ได้เร็วที่สุดครับ”


เด็กหนุ่มไม่เคยลืมพันธะที่เขามีต่อตำรวจหนุ่ม
แม้ในใจ รุ่งรวีอยากจะกำจัดมันให้พ้นไปโดยเร็วที่สุด
เพื่อที่เขากับนายตำรวจ จะได้เป็นอิสระต่อกัน โดยไม่มีเรื่องใดๆติดค้างใจเสียที


“ไม่ต้องก็ได้จ้า พี่อยากช่วย” รักษ์พูดในสิ่งที่คิด

“ไม่รบกวนดีกว่าครับ...สวัสดีครับพี่รักษ์” จ้าเอง...ก็พูดในสิ่งที่ตนตั้งใจเอาไว้ไม่ต่างกัน


------------------------------------------------------------------------------------


ลุงจอมไม่อยู่
.
.
.
ไม่แปลก...


ลุงไม่เคยอยู่บ้าน
ลุงชอบอยู่บ่อน


ช่วงนี้ลุงคงมือขึ้น...
ลุงเลยไม่ต้องเสียเวลามานั่งรอผมที่บ้านเพื่อหาทุนรอนไปเล่นต่อ


ก็ดี...
เพราะผมก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงต่อกรกับผีร้ายในตัวลุงเหมือนกัน
แค่นั่งรถกลับมากับพี่รักษ์ พลังงานผมก็ขอดจนแตะขีดแดงแล้ว



เปล่าเลย...ผมไม่ได้หมดแรงเพราะต้องเล่า หรือพูดเยอะๆ
แต่ผมเหนื่อย ที่ต้องตอบคำถามของพี่รักษ์ไปพร้อมๆกับคิดคำโกหก
เหนื่อยที่ต้องทำท่าเข้มแข็ง ทั้งที่อยากจะร้องไห้ อยากจะร้องหาพี่หรั่งแทบขาดใจ


ไม่นึกเลยว่า การทำตัวให้เป็นปกติจะยาก และเหนื่อยแบบนี้
แล้วเมื่อก่อน...ผมเคยเหนื่อยเวลาที่ต้องทำตัวปกติไหมนะ?
.
.
.
หรือที่ผ่านมา สิ่งที่ผมเป็นก็ไม่เคยปกติ?


[i]พี่หรั่ง...
สองสามวันมานี่จ้าเหนื่อยจัง

จริงๆถ้าตอนนั้น จ้าตายๆไป...จ้าคงจะสบายกว่านี้
พี่หรั่งก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันใช่ไหมครับ? [/i]


ผมล้มตัวลงนอนโดยไม่ใส่ใจจะอาบน้ำล้างตัว หรือเปลี่ยนเสื้อผ้า
ภาพของผมกับพี่หรั่งในช่วงเวลาต่างๆ ตั้งแต่เมื่อครั้งเรายังเป็นเด็ก
ผุดเข้ามาในหัวทันทีที่ผมหลับตา

ผมปล่อยตัวเองให้ดื่มด่ำกับภาพความสุข และความทรงจำจากเรื่องราวของวันเก่าๆ
โดยไม่ทันสังเกตเห็น นิทรารมณ์ที่ค่อยๆย่างกรายอย่างเงียบเชียบเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนผมตลอดค่ำคืน



------------------------------------------------------------------------------------



กระทั่งแสงจากหลอดไฟฟ้าทุกดวงในห้อง
ยังอาบร่างเปลือยที่นอนคว่ำหน้ากับผืนฟูกได้ไม่ทั่วถึงเท่ากับสายตาของอีกร่างหนึ่งที่ยืนสงบนิ่งอยู่ข้างเตียง


“.....ขาวเหมือนกัน.....
.
.
...แต่สวยไม่เท่ากัน...
...แต่ไม่เป็นไร วันนี้ฉันจะทำให้เธอสวยขึ้นอีกหน่อย..หึ หึ หึ”


พูดจบ...
เขาก็ลดตัวลงนั่งข้างๆร่างที่ยังไม่ได้สติเพราะพิษไข้
จากนั้นจึงค่อยๆเปิดผ้าก๊อซหุ้มแผลตรงสะบักด้านซ้ายออกอย่างเบามือ


“ฉันขอโทษเธอด้วยถ้าฉันทำรุนแรงเกินไป   ปกติฉันไม่ถนัดการสร้างตำหนิบนผิวขาวๆแบบผิวเธอเลยจริงๆ”


ใต้ผ้าก๊อซชนิดพิเศษ คือ รอยสักขนาดฝ่ามือที่ดูผิดรูปไม่ปะติดปะต่อ
กว่าค่อนภาพ มีรอยกรีดไม่ลึกนักบั้งเป็นรอยเส้นตรงลากยาวขีดฆ่าทับผิวหนังที่เคยประดับด้วยจิตรกรรมจากปลายเข็มอยู่เป็นสิบๆรอย ซึ่งกว่าครึ่ง...เริ่มตกสะเก็ดแล้ว


“ผิวขาวๆอย่างนี้  ไม่น่าไปทำรอยกระดำกระด่างให้เสียสวยเลยจริงๆ...
.
...เด็กไม่ดีอย่างเธอ สมควรแล้วล่ะที่ต้องโดนลงโทษ”


เขาจรดปลายแหลมของคัตเตอร์ลงบนรอยสักที่ยังเรียบ
วาดเส้นตรงเพิ่มอีกหนึ่งขีดข้างๆร่องรอยของเมื่อวานที่แผลเริ่มสมานปิด


“อา....สวย  สวยจริงๆ”


สายตาของเขา ยามที่มองของเหลวสีแดงซึ่งผุดขึ้นตามรอยกรีดตื้นๆ
เต็มไปด้วยความลุ่มหลงและพึงพอใจถึงขีดสุด...

เขาเอาแต่จ้องมองรอยแผลสดใหม่นั้นด้วยความเพลิดเพลิน โดยไม่นึกสนใจเจ้าของรอยสักที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียงด้วยความทรมานแม้จะขยับไม่ได้มากนัก เพราะทั้งมือและเท้าถูกมัดขึงพรืดเอาไว้จนไร้อิสระ


“....อึก....อึก....อื้ออออออออออออ.....”


ภวังค์แห่งความอภิรมย์ที่โอบล้อมเขาอยู่
ส่งผลให้กระทั่งเสียงอัดอั้นที่เล็ดรอดออกจากเทปกาวแถบใหญ่บนริมฝีปากบาง...สะกิดไม่ถึงหูคนฟัง


ชายหนุ่มหลงรักน้ำสีชาดที่รินไหลออกจากสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
ยิ่งรายไหน...เขาได้เป็นฝ่ายลงมือด้วยตัวเอง เขาจะยิ่งสุขสม

แต่ความสุขจากการเห็นเลือดหลั่งริน
กลับอิ่มเอมไม่ถึงครึ่งของความสุขที่เขาสัมผัสหลังจากได้ครอบครองสิ่งที่เขารักเป็นครั้งแรก...


และเพื่อให้ความสุขอยู่กับเขาตราบนิจนิรันดร์
เขาจึงยอมปล่อยให้ของรักได้กลับไปชื่นชมอิสรภาพเป็นครั้งสุดท้าย
จากนั้น...เขาจะไล่ล่าของรักกลับคืนมาถนอมไว้ในโลกที่เขาเตรียมเอาไว้
.
.
.
.
.
โลกที่ข้างใน จะเต็มไปด้วยความสุขของเราเพียงแค่สองคนเท่านั้น






ตอนใหม่ของเรื่องนี้มาแล้วค่ะ... ขอบคุณที่ติดตามและติชมนะคะ...
เรื่องนี้เนื้อหาหนักมาก อดทนและผ่านมันไปด้วยกันนะคะท่านผู้อ่านที่รัก จุ๊บๆ



------------------------------------------------------------------------------------




No comments:

Post a Comment