#03
ผมเดินโซเซออกจากบ้านหลังโดนตีติดกันเป็นวันที่สาม
ลุงบอกว่า ความผิดของผมในครั้งนี้
คือ แอบเอาเงินเก็บที่ผมได้จากการไปล้างจานที่ร้านข้าวต้มหลังเลิกเรียนไปซ่อน
ถ้าผมไม่งุบงิบเงินเอาไว้
ลุงก็ไม่ต้องเปลืองแรงพลิกบ้านหาเงินเพียงไม่กี่พันไปเล่นไพ่
พอได้เงินแค่หยิบมือสมใจแล้ว...ลุงก็ไป
ไปพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่ผมเตรียมเผื่อไว้สำหรับการเรียนปีสอง
แล้วอย่างนี้เมื่อไรผมถึงจะมีเงินมากพอ?
ผมแอบเช็ดคราบน้ำตาระหว่างเดินไปหาพี่หรั่งที่บ้าน...
พี่หรั่งไม่ชอบให้ผมทำตัวขี้แย
แต่พอเจอเรื่องแบบนี้เข้าทุกวัน...ทุกวัน
มันก็ต้องมีบ้าง...ที่ผมจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว
พอไปถึงก็เจอแค่ตากับยาย...ไม่เจอคนที่ตั้งใจมาหา
ยายบอกว่า พี่หรั่งไปแล้ว
และจะไม่กลับมาอีก
เมื่อความเจ็บปวดเรื้อรัง
โคจรมาพบกับความผิดหวังอย่างที่สุด...
ขาทั้งสองข้างของผมก็อ่อนแรงลงดื้อๆ
ผมนั่งทอดอาลัยให้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นซากชีวิตที่ชื่อว่า
ไอ้จ้า
นัยน์ตาผมเต้นระริกรอรับหยาดน้ำตาที่พร้อมจะหลั่งเป็นสาย
แต่ยังไม่ทันจะร่ำไห้ให้สมกับที่อัดอั้นมานานแสนนาน
อยู่ๆพี่หรั่งก็ปรากฏตัวตรงขึ้นหน้าผมราวกับหายตัวแว่บไปมาได้...
ผุบๆโผล่ๆแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยอย่างนี้
เหมือนกับอะไรนะ...
.
.
.
อ้อใช่!!...
เหมือนพวกวิญญาณที่พี่หรั่งเคยเล่าให้ฟังยังไงล่ะ
ไม่สิ...ไม่เหมือน
เพราะพี่หรั่งตายไปแล้วจริงๆนี่นา
‘ว่าไงไอ้ตัวเล็ก...
.
...มีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่า?...
...ดูทำหน้าเข้าสิ’
ทั้งที่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นแค่วิญญาณ
ไม่มีร่างกาย ไร้ซึ่งชีพจร
แต่ผมกลับไม่รู้สึกกลัวพี่หรั่งแม้แต่น้อย
เมื่อได้เจอคนที่ผมรอคอย...
บทสนทนาที่ผมไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิด
ก็หลั่งไหลราวกับสายน้ำ
‘พี่หรั่ง...
.
...ที่พี่บอกให้หรั่งไปนึกดูให้ดีๆน่ะ...
...จ้ารู้แล้วนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับจ้าก่อนหน้านี้’
‘จริงเหรอจ้า? ...
...พี่ดีใจด้วยนะ...
.
...ถ้าอย่างนั้น
พี่ก็หมดหน้าที่แล้วสิ’
ผมรั้งแขนพี่หรั่งเอาไว้...
ไม่อยากให้พี่หรั่งหายไปไหนอีก
‘พี่หรั่ง...ให้จ้าไปด้วยเถอะนะ
จ้าไม่อยากอยากอยู่ที่นี่คนเดียว... จ้ากลัว’
‘พี่บอกแล้วไงว่า
เราสองคนยังไปด้วยกันไม่ได้...
.
.
...จ้าจำไม่ได้เหรอว่า
ต้นเหตุที่ทำให้จ้ากลัวทุกคนโดยไม่มีสาเหตุแบบนี้
เป็นเพราะพี่พาจ้าไปกับพี่ในคืนวันนั้นยังไงล่ะ’
พี่หรั่งจงใจเน้นย้ำทุกคำที่พูด
นั่นหมายความว่า
พี่หรั่งอยากให้ผมนึกย้อนไปถึงครั้งสุดท้ายที่เราใช้เวลาร่วมกันก่อนพี่หรั่งจะตาย...
ทว่าเสียงจากส่วนลึก...กลับสั่งให้ผมต่อต้าน
จึงทำให้ทุกครั้งที่ผมพยายามทำตามคำขอของพี่ชาย
ลงท้ายด้วยการมองเห็นเพียงหมอกควันล่องลอยบดบังช่วงความทรงจำนั้นอยู่ร่ำไป
‘คืนนั้น?
คืนไหนเหรอพี่หรั่ง?’
‘เอ๊า
ไอ้จ้า...ไอ้หมาดื้อ!!...
...เรื่องมันเพิ่งเกิดไม่กี่อาทิตย์ก่อนนี่เอง...
...อย่าบอกนะว่ากลัวจนแกล้งลืมไปหมดแล้ว...
.
...หรือยังไง? ไหนบอกพี่สิ’
‘จ้าไม่ได้ลืม...
.
...จ้าแค่ไม่อยากจำเฉยๆ’
‘นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายนะจ้า...
.
...จ้าต้องนึกให้ออก...
...เพราะถ้าจ้านึกออก
จ้าจะเข้าใจว่า...ทำไมจ้าถึงไม่ควรไปกับพี่”
“ทำไมล่ะพี่หรั่ง?
ทำไมจ้าต้องนึกให้ออกด้วย...
.
...ถ้าจ้าไม่นึก
พี่หรั่งก็จะไม่ทิ้งจ้าไป...
...หรือถ้าพี่หรั่งยังอยากจะไป
จ้าก็จะแอบตามพี่ไปอยู่ดี พี่หรั่งก็รู้ไม่ใช่เหรอว่า จ้าตามพี่หรั่งไปได้จริงๆ”
“อย่าเลยจ้า...
...พี่ขอร้อง
อย่าบังคับให้พี่ต้องเลือกเลย...
...เอาอย่างนี้นะ ตั้งใจฟังสิ่งที่พี่กำลังจะบอกดีๆนะจ้า...
.
.
...ที่จ้าไปกับพี่ไม่ได้
เพราะพี่นี่แหละ คือ คนทำร้ายจ้าโดยที่ตัวพี่เองไม่ตั้งใจ’
“พี่หรั่ง...พี่หรั่งหมายความว่ายังไง?”
‘จ้าพยายามโกหกเพื่อพี่มามากพอแล้วล่ะ...
...พี่ไปนะ หน้าที่ของพี่จบสิ้นแล้ว...
...อย่าลืมล่ะ
ตั้งใจนึกให้ดีๆ...
.
.
.
...พี่รู้ว่า
จ้าของพี่เก่ง...
...จ้าต้องจำเรื่องทั้งหมดได้แน่ๆ’
‘พี่หรั่ง
อย่าทิ้งจ้าไปเลยนะพี่หรั่ง จ้าขอร้อง!!... พี่หรั่ง.....พี่หรั่ง!!!!’
ผมร้องไห้ฟูมฟายอย่างไม่อายสายตาใคร
เพราะรู้แก่ใจดีว่า คราวนี้...พี่หรั่งพูดจริง...
พี่หรั่งไม่ได้อยู่ข้างๆผมอีกต่อไปแล้ว
ม่านน้ำตา
ไม่ได้ทำให้สูญเสียการมองเห็นทุกสิ่งรอบข้างเพียงอย่างเดียว
หากแต่ยังทำให้ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ...
ความกลัวที่เหมือนกับความกลัวเมื่อตอนนั้น
ผมรีบกระพริบตาถี่ๆ
ยกเอาหลังมือขึ้นปาดน้ำตาออกจนภาพที่เห็นตรงหน้าดูชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ผมกลับต้องตกใจ
เมื่อพบว่าตัวเองถูกขังอยู่ในกล่องไม้ใบใหญ่
ตรงเบื้องหน้า
มีกระจกฝ้ากั้นตัวผมออกจากแสงสว่างสีนวลรำไรจากภายนอก
ภายในผนังสี่เหลี่ยมทำด้วยไม้
กับกระจกฝ้าไม่ได้คับแคบจนน่าอึดอัด
การไม่รู้ไม่เห็นถึงความเคลื่อนไหวรอบตัวต่างหาก
ที่ทำให้ผมร้อนรุ่มจนยืนไม่ติด
ผมสอดส่ายสายตามองหารู
หรือร่องระหว่างแผ่นไม้
เพื่อจะได้ส่องดูให้รู้กันไปว่า
ข้างนอกกล่องใบนี้...มันมีอะไร?
น่าดีใจ
ที่ความพยายาม ตอบแทนผมด้วยความสำเร็จเข้าจนได้
เพราะตรงมุมกล่องด้านหนึ่ง
ไม้กระดานประกบเข้ามุมกับแผ่นกระจกฝ้าได้ไม่แนบเนียนนัก
จึงทำให้ผมสามารถส่องตามองสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกได้
ภาพปราศจากเสียงประกอบที่ปรากฏอยู่ในคลองจักษุ...
ทำให้ผมต้องรีบเอามืออุดปากเพื่อกันไม่ให้น้ำเปรี้ยวในกระเพาะขย้อนออกมา
ผมเห็นเบื้องหลังเปลือยเปล่าของชายผู้หนึ่งระหว่างร่วมสังวาสอย่างรุนแรงกับใครอีกคน...
ขนหน้าแข้งของผู้ที่โดนโถมกายเข้าใส่อย่างไม่ยั้งมือ
บอกได้ว่า เขาคงมีเพศสภาพไม่ต่างจากผู้กระทำ หรือ กระทั่งตัวผม
ใจจริง ผมอยากเบือนหน้าหนีจากสิ่งที่เห็นข้างนอกนั่นเหลือประมาณ
แต่ผมกลับทำไม่ได้
เพราะอยู่ๆกล่องไม้ที่เคยกว้างใหญ่...
กลับย่อส่วนเล็กลง
จนเหลือขนาดพอดีแค่ให้ผมยืนตรงแบบที่ต้องวางมือแนบลำตัว
ผมจึงต้องยืนค้างอยู่ในท่านั้นอย่างไม่มีทางเลือก
ผมคลี่เปลือกตาลงปิด
เพื่อหลีกหนีจากภาพของกิจกรรมน่าคลื่นเหียนที่ดำเนินอย่างเผ็ดร้อนอยู่ด้านนอก...
ทว่าเสียงที่เหมือนถูกดูดออกไปจากภาพเคลื่อนไหวเมื่อครู่
กลับดังก้องโสตประสาทผม...
ฟังชัด
ราวกับเป็นเสียงของตัวเอง
น้ำเสียงน่าสงสารกรีดร้องโหยหวนปานจะขาดใจ
เขาเฝ้าอ้อนวอนให้อีกฝ่ายยุติความโหดร้ายที่กำลังติดพันอยู่
แม้ใจหนึ่ง ผมจะหวังให้คำขอของเขาผู้นั้นเป็นผล
กระนั้น...ผมกลับแน่ใจว่า
คนกระทำผู้ที่ไม่ส่งเสียงใด นอกจากเสียงลมหายใจหนักๆตลอดการเสพเพศรสตนนั้น
ไม่มีวันจะผ่อนแรง
หรือไว้ชีวิตเหยื่อของ ‘มัน’
เป็นแน่
ที่ผมรู้กระจ่างใจ...
เพราะผมผ่านมันมาแล้ว
ทว่า...สิ่งเดียวที่ผมไม่รู้
คือ ‘มัน’ เป็นใครกันแน่?
ใครกัน
ที่ทำร้ายผม
ใครกันที่ทำร้ายผู้ชายคนนั้นอยู่ข้างนอกกล่องไม้ใบนี้?
เมื่อสิ้นเสียงหวีดสุดท้ายของชายอับโชค
ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงบ
จากนั้น
เสียงฝีเท้าหนักๆของ ‘มัน’
ก็ดังขึ้น
และฟังชัดขึ้นเรื่อยๆ
ผมหลับตาปี๋พลางสวดมนต์
ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยดลบันดาลอย่าให้เหตุการณ์ที่ผมกลัวที่สุดเกิดขึ้น
แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างใจ...
ผมรับรู้ได้ถึงความสั่นสะเทือนที่เกิดจากแรงกระแทกภายนอก
แรงเขย่าอย่างต่อเนื่องบังคับให้ผมเบิกตามองวาระสุดท้ายของตัวเอง
แล้วผมก็เห็น ‘มัน’...กำลังหาทางแงะกล่องให้เปิด
‘มัน’ คงรู้แล้วสินะว่า ยังมีเหยื่ออีกคนแอบซ่อนตัวอยู่ในกล่องนี่
อีกไม่กี่อึดใจ
ผมก็จะมีชะตากรรมเช่นเดียวกับผู้ชายคนที่นอนพังพาบอยู่ตรงนั้น...
.
.
.
อีกไม่กี่อึดใจ
ไม่กี่อึดใจเท่านั้น
“อย่า!!!!!!!!!!!”
เสียงตะโกนลั่นของผม
ไม่ได้แค่ช่วยชีวิตผมเอาไว้เพียงอย่างเดียว
มันยังช่วยทำให้ผมได้สติ
และกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงเสียที
.
.
.
เมื่อครู่...
เป็นแค่ความฝัน
หากแต่ให้ความรู้สึกสเมือนจริงประหนึ่งว่า
ผมได้ไปยืนอยู่ในกล่องนั่น...
และ ‘มัน’ ก็อยู่ห่างผมเพียงแค่กระจกกั้นเท่านั้นจริงๆ
ผมสลัดความเมื่อยขบ
ลุกไปอาบน้ำเตรียมตัวไปเรียนหลังจากที่หายหน้าไปเป็นอาทิตย์
ดีเท่าไรแล้วที่ผมมีใบรับรองแพทย์ติดมือมาด้วย...
ไม่อย่างนั้น
ผมคงไม่มีหลักฐานกลับไปอธิบายกับอาจารย์หลายๆท่านแน่ๆ
แต่งตัวเสร็จ ผมก็เดินลงบันไดออกไปหลังบ้าน
ถอดสายยางสีเขียวทึบขนาดคืบเศษจากหัวก็อกน้ำที่แห้งสนิท
แล้วส่องหาเงินที่ม้วนซ่อนอยู่ในนั้น
แต่ภายในกลับว่างเปล่า...
เงินสำรองที่ผมแอบเก็บไว้ใช้ระหว่างยังหางานใหม่ไม่ได้
มันหายไปเสียแล้ว...
จะโทษใครดีล่ะ...
หึ! สงสัยคงไม่พ้นผมเองอีกนั่นแหละ
ค่าที่ไม่ได้กลับบ้านนานเกินไป...
ผลลัพธ์จึงออกมาในรูปนี้
ผมคงไม่ได้อยู่บ้านนานเสียจนลุงมีเวลาค้นทุกซอกทุกมุมของบ้านโดยละเอียด
กระทั่งลานซักล้าง
ที่ลุงไม่เคยย่างกรายเฉียดออกมาแม้สักครั้ง ลุงก็ยังไม่ละเว้น
ในเมื่อมันมาถึงขั้นนี้แล้ว...
ผมคงไม่มีทางเลือกอื่น
นอกไปจากเอาเงินก้อนสุดท้ายที่ซ่อนไว้ในแหล่งที่ผมไว้ใจได้มากที่สุดออกมาใช้ประทังชีวิตไปพลางๆก่อน
ผมหยุดยืนมองบ้านไม้เก่าสองชั้นหลังกะทัดรัดที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีราวกับบ้านหลังที่สอง
พลางสูดลมหายใจเจือกลิ่นฝุ่นควันเข้าปอดลึกๆ
ก่อนจะผลักรั้วระแนงปะสังกะสีผุๆเข้าไปด้านใน
หลังจากออกจากโรงพยาบาล
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ผมหายใจได้ทั่วท้อง
ผมกลับเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง
โดยไม่หวาดระแวง หรือเกรงกลัวผู้คนรอบตัวจนไม่เป็นอันทำอะไร
สถานที่แห่งนี้
ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น และปลอดภัยได้เสมอ...
แม้ที่นี่ จะไม่มีพี่หรั่งอีกต่อไปแล้วก็ตาม
“ตาครับ
ยายครับ...สวัสดีครับ”
“อ้าว จ้าเองเหรอลูก? ตากับยายไม่เห็นหน้าหลายวันเลย...เป็นไงมั่งลูก?”
ตาทักทายถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของผม
ทั้งที่ตามปกติ...ตามักจะไม่สุงสิงกับใครมากนัก
นั่นคงเป็นเพราะ
เมื่อยายเห็นหน้าผม ดวงตาของยายก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ น้ำตาเอ่อขึ้นมาทันที
.
.
ตาคงไม่อยากให้ยายเสียน้ำตามากไปกว่านี้...
ผมเองก็คิดเช่นกัน
“จ้าสบายดีครับตา...จ้าจะมาเอาของที่ฝากเอาไว้น่ะครับ”
ผมเบือนหน้าเลี่ยงสายตายายมองไปทางอื่น แล้วว่าธุระของตัวเองทันที
“จอมมันเอาไปหมดแล้วล่ะสินะ...
.
...งั้นจ้าก็ขึ้นไปเถอะ
ยายเขาเก็บเอาไว้ในตู้เสื้อผ้าของหรั่งนั่นแหละ”
“ครับ
ขอบคุณครับ” ผมรีบเดินขึ้นบันไดไปห้องพี่หรั่ง ปล่อยให้ยายกับตาได้ใช้เวลาด้วยกันสองคน
เมื่อผมได้บัตรเอทีเอ็มของตัวเองที่ฝากไว้กับพี่หรั่ง
ผมก็ลาตายายพี่หรั่งเพื่อออกไปเรียนทันที
ใจจริง
ผมอยากใช้เวลากับท่านทั้งสองให้นานกว่านี้
ติดที่ผมโดดอีกไม่ได้
และเพราะดวงตาอิดโรยของยาย ที่รื้นน้ำตาทุกครั้งเมื่อท่านมองหน้าผม...
ทำให้ผมรู้ว่า
ผมยังจัดการกับความรู้สึกสูญเสียของตัวเองได้ไม่ดีพอที่จะปลอบใจใคร
การพบหน้าตายายของพี่หรั่งอีกครั้งโดยไม่ได้เตรียมใจมาก่อน
ทำให้ผมคิดถึงพี่หรั่งจับใจ
ทว่านั่นกลับไม่ใช่สิ่งเดียวที่ค้างคาในความรู้สึก
การตายของพี่หรั่ง...คืออีกเรื่อง
ที่ผมยังคลางแคลงใจ
ผมจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดี...
สายๆของวันที่สิบหกเมษา
ผมกำลังจะออกไปหางานทำ
แต่ถูกป้าบ้านตรงข้ามเรียกเอาไว้เสียก่อน
แกบอกว่า ผมควรจะไปหาตากับยายพี่หรั่งที่บ้านโดยเร็วที่สุด
เมื่อไปถึง...ผมกลับกลายเป็นอีกคน
ที่เพื่อนบ้านต้องรีบเข้ามาช่วยหาม และหายาดมยาหม่องมาให้ดมเสียยกใหญ่
‘ไอ้จ้า...
ทำใจซะเถอะมึง ไอ้หรั่งมันไปสบายแล้ว’
‘พี่หรั่งตายได้ยังไงครับตา?’
ตาไม่ได้ตอบ
หากแต่ยื่นจดหมายที่มีลายมือคุ้นตาฉบับหนึ่งมาให้ผม
‘มีมอเตอร์ไซค์คันนึงเอาจดหมายนี่มาสอดไว้ตรงหน้าบ้าน... ตากับยายแกอ่านไม่แตก
แกเลยไปเรียกข้ามาช่วยอ่านให้’ ป้าน้อยตอบแทนทุกคน
ระหว่างที่ผมเริ่มไล่สายตาอ่านเนื้อความในจดหมายนั่น
ยิ่งอ่าน
สายตาผมก็ยิ่งพร่าเลือน
มันเป็นจดหมายลาตาย
ที่เขียนด้วยลายมือของพี่หรั่ง
ที่สำคัญ
ตรงท้ายจดหมาย...นอกจากประโยคขอโทษขอโพยตากับยายแล้ว ยังมีเลือดหลายหยดแต้มเอาไว้ราวกับจงใจ
‘ไอ้หรั่งมันคงโดนไอ้พวกโต๊ะบอลเก็บไปแล้วจริงๆนั่นแหละ’
‘ไอ้นรกส่งมาเกิดพวกนั้นมันก็เหลือเกิน
จะเอาอะไรกับเด็กมันนักหนา...หรั่งมันก็ไม่ได้คิดจะหนีสักหน่อย’
‘แล้วอย่างนี้ต้องแจ้งความไหมล่ะ...จะปล่อยให้ไอ้หรั่งมันตายไปทั้งอย่างนี้จริงๆเหรอ?’
สำหรับผมแล้ว เสียงซุบซิบ
การแสดงความเห็นอกเห็นใจ และคำถามมากมาย
ดังสู้ประโยคเหน็บลอยๆของใครก็ไม่รู้ไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
‘กูพูดจริงๆ กูไม่แปลกใจหรอก
ที่ไอ้หรั่งมันตายทั้งที่อายุยังน้อย...
.
...เล่นพนันหนักมือ
แถมยังมีเจ้าหนี้เยอะบานเบืออย่างนั้น...
...กูว่า มันควรจะโดนโต๊ะอุ้มไปตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบแล้ว...
.
.
...ไม่น่าเล๊ยยยย โตมากับไอ้จ้าหลานไอ้จอมแท้ๆ...
...ก็เห็นๆกันอยู่ว่าพวกผีพนันมันไม่มีวันเจริญ
มันยังริอ่านคิดอยากจะรวยทางลัดอีก...
...สงสารตากับยายมันจริงจริ๊งงงง’
ก่อนที่บทสนทนาจะกลายเป็นการทะเลาะเบาะแว้งของคนบ้านใกล้เรือนเคียง
ตาก็อาศัยฐานะเจ้าบ้าน
และตัวแทนครอบครัวของผู้สูญเสีย ขอความร่วมมือจากทุกคนให้ช่วยจัดการเรื่องงานบำเพ็ญกุศล
และร่วมกันเตรียมงานศพอย่างเรียบง่ายให้พี่หรั่งโดยไร้ร่างผู้เสียชีวิต
ที่ตาตัดสินใจแบบนี้
ผมมารู้ทีหลังว่า ตากับยายเชื่อตามเนื้อหาในจดหมายโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
ใจความของจดหมายลาตายฉบับนั้น
ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า...
ญาติพี่น้องไม่ต้องเสียเวลาตามหาศพ
เพราะเจ้าหนี้จะเอาทุกชิ้นส่วนของร่างกายพี่หรั่งไปใช้ให้คุ้มค่ากับเงินที่ติดค้าง
และหากเรื่องนี้ถึงหูตำรวจ
มันจะไม่จบอยู่แค่การตายของพี่หรั่งแต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป
ผมรู้ว่า คำขู่สุดท้ายนั่นไม่ใช่เหตุผลที่ตากับยายไม่คิดจะแจ้งความเอาเรื่องใครที่อยู่เบื้องหลังการตายของพี่หรั่ง
แต่คงเป็นเพราะผู้อาวุโสทั้งสองไม่รู้กฏหมาย
ไม่มีเงิน และไม่มีสายป่านที่ยิ่งใหญ่พอจะช่วยเหลือทั้งคู่ได้
และเหตุผลสำคัญที่สุด
อยู่ในคำพูดที่ตาบอกกับเพื่อนบ้านให้เข้าใจจุดยืนของท่านกับคู่ชีวิตในตอนท้าย
‘หรั่งมันเป็นเด็กดี...
...มันอยากให้ข้ากับยายสบายเร็วๆ...
...แต่มันยังเด็ก
มันเลยคิดไม่รอบคอบเท่าไร...
...ข้ากับยายก็เลี้ยงมันได้แต่ตัว
ใจมัน ความคิด ความต้องการของมัน...มันเป็นเจ้าของ...
.
.
...หรั่งมันพ้นทุกข์แล้ว
ตอนนี้ก็เหลือแต่คนแก่แค่สองคนนี่แหละ...
...ไอ้จะมานั่งขวนขวายต่อสู้ขึ้นโรงขึ้นศาลด้วยเรื่องของคนตายอีก
หลานมันจะพะวงจนนอนหลับไม่สนิทเอาเปล่าๆ’
ซึ่งเมื่อได้ฟัง...
คนหัวอกเดียวกันอย่างพวกเราที่เห็นกันมาตลอด
ต่างก็เข้าใจและยอมรับได้ในที่สุด
หากถามผม...
จริงๆถ้าไม่เกิดเรื่องคืนนั้นขึ้นเสียก่อน
ผมคงทำใจยอมรับจดหมายลาตายของพี่หรั่งได้อย่างสนิทใจมากกว่านี้
แม้ที่ผ่านมา
ผมจะไม่เคยรู้มาก่อนว่า พี่หรั่งเล่นพนันบอล
แต่เพราะเหตุการณ์ครั้งสุดท้ายที่ผมกับพี่หรั่งอยู่ด้วยกันนั่นแหละ
ที่ทำให้ผมไม่เชื่อสักนิดเดียวว่าพี่หรั่งตายด้วยฝีมือโต๊ะบอล
ใจผมบอกว่า...
‘มัน’ ต้องมีส่วนรู้เห็นกับการตายของพี่หรั่งอย่างแน่นอน
เพราะลำดับเวลาของเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นกับผมและพี่หรั่ง
ช่างพอดิบพอดีเสียเหลือเกิน
ผมไม่เชื่อหรอกว่า...
กรรมจะตามสนองคนทำผิดได้ภายในสามวันเจ็ดวัน
และแม้ผมจะเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำผิดในคืนนั้น...
แต่ผมไม่ได้ตั้งใจ
และไม่รู้เรื่องเสียด้วยซ้ำ
ซึ่งนั่นคือความสัตย์จริง
.
.
.
.
.
.
.
.
เพราะอย่างนี้...
สิ่งที่เพิ่งถูกพรากไปจากผมภายในเวลาไม่นานหลังจากเหตุการณ์คืนวันนั้น...
...ไม่ว่าจะเป็น
พี่หรั่งผู้เปรียบเสมือนพี่ชาย รวมทั้ง ร่างกายและจิตใจที่โดนย่ำยีจนแหลกสลายของตัวเอง
นั่นก็น่าจะมากพอกับความผิดที่ผมก่อด้วยความไม่รู้ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?
แล้ว ‘มัน’
จะยังต้องการอะไรจากคนสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างผมอีก?
...!!!!!!!...
.
.
แย่ล่ะ...
สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกี๊คืออะไร?
ทำไมผมถึงเริ่มจำเรื่องที่ผมอยากลืมได้เป็นฉากๆแล้วล่ะ?
หรือหมอกควันที่ผมสร้างขึ้นเพื่อพรางความทรงจำช่วงคืนวันนั้น
จะเริ่มเบาบางจนผมเริ่มเห็นเค้ารางของเรื่องที่เกิดขึ้นได้เกือบทั้งหมดแล้ว
.
.
.
.
.
นั่นก็แปลว่า...
ผมจะจำเรื่องที่
‘มัน’ ทำกับผมได้ทั้งหมดในอีกไม่ช้านี้ใช่ไหม?
ถ้ากำแพงที่ผมสร้างไว้เพื่อป้องกันตัวเองจากประสบการณ์ที่
‘มัน’ ยัดเยียดให้พังลงแล้ว...
ผมจะเป็นอย่างไร?
พี่หรั่งครับ...
หลังจากนี้ จ้าควรจะทำอย่างไรดี?
โลกที่ไม่มีพี่หรั่ง...
...มันดูอ้างว้าง
และน่ากลัวสำหรับจ้าเหลือเกิน
ในที่สุดเราก็ได้คำตอบว่า
จุดสมดุลย์ในการเขียนนิยายสองเรื่องไปพร้อมๆกันคืออะไร
(อันนี้มาจากการมโนเอาล่วงหน้านะคะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
เราตกลงใจว่า
เราจะอัพนิยายเรื่องนี้สัปดาห์ละครั้ง ทุกๆวันศุกร์ก็แล้วกันนะคะ
เพราะไหนๆเรื่องมันก็เศร้าแล้ว
ขอให้อ่านกันในวันศุกร์ที่หลายๆคนจะได้มีเสาร์ อาทิตย์เอาไว้พักใจ ก็น่าจะดี
(ขอโทษจริงๆค่ะที่เราเพิ่งรู้ตัวว่า การเขียนนิยายตลก ต้องใช้กำลังภายในเยอะมาก
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องฟูมฟักนิยายอีกเรื่องนานหน่อย
ฮาาาาาาา...
ขอโทษขาดราม่าด้วยนะคะ
ที่ดูเหมือนจะกลายเป็นลูกเมียน้อย ทั้งๆที่เปิดเรื่องก่อนแท้ๆ)
ตอนนี้มาสั้นๆ...แต่คนเขียนก็ยังจะกล้าทิ้งคำถามเอาไว้เรื่อยเปื่อย
อ่านจบแล้วอย่าตบโต๊ะหรือทำลายข้าวของเพราะคนเขียนนะคะ...
คับข้องใจประการใด
มาระบายเป็นความเห็นได้อย่างเต็มที่เลยค่ะ เรายินดีรับฟังเสมอ ^^
◘--------------------------------------------TBC----------------------------------------◘
No comments:
Post a Comment